Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11  (อ่าน 85588 ครั้ง)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ไม่แก้ไขความเข้าใจผิดกัน เสียดายเวลาจริงๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกมาก

กานต์สมกับชื่อจริงๆ เป็นที่รักของทุกคนเลย

แอบเดาไว้หลายเรื่อง รออ่านนะคะ จะได้รู้ว่าเดาถูกทุกเรื่องมั้ย อิอิ

ปล. ตอนล่าสุดนี้ อ่านแล้วน้ำตาหยดเลย ซึ้งงง ;_;

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1








30.





เสียงหงุงหงิงที่ข้างตัวเรียกให้ผมหันไปดูเด็กหญิงที่กำลังเล่นสนุกอยู่คนเดียว ส่วนถ้าถามว่าตอนนี้เราสองคนอยู่ที่ไหน เอ่อ... ถ้ายังจำได้ว่าบันไดเรือนหลังนี้สูงหลายสิบขั้นก็เลยต้องมีชานพักตรงครึ่งทาง ผมมีเรื่องให้ต้องลงไปข้างล่างมา แต่ก็ยังไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องกลับขึ้นไปข้างบนอีก เลยได้แต่จดๆจ้องๆ ลังเลว่าจะเอายังไง สุดท้ายก็เลยนั่งแหมะมันกลางบันได แล้วสักพักหนูเพลินก็ผ่านมาชวนให้ผมเล่นตุ๊กตาด้วย ผมไม่ค่อยถนัดเลยได้แต่นั่งเป็นเพื่อนให้เฉยๆ


“แก๊ มาทำอะไรที่นี่ยะ?!” เสียงแจ๋วดัดแหลมเลียนแบบผู้ใหญ่ เดาว่าคงเอามาจากละครหลังข่าวเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างที่บอกว่าผมเองเคยนั่งดูเป็นเพื่อนแม่บ่อยๆ ไอ้ตอนดูมันก็สนุกดี ลุ้นว่าฝ่ายไหนจะชนะหรือเมื่อไหร่จะลงมือตบกัน แต่พอมาเจอของจริง ผมงี้อยากจะกลายร่างเป็นจิ้งจกมุดกระดานเรือนหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น


‘ฉันดีใจที่ได้ยินคุณพูดอย่างนั้น’


งานนี้ต้องย้อนความกันมากหน่อยเพราะผมไม่อยากรายงานสดชนิดติดขอบเวที แต่เอาเป็นว่าพอมีเสียงน้ารื่นฤดีแทรกเข้ามา คุณภัทราพรก็หุบยิ้ม หน้าเครียดขึ้นทันที นี่ยังไม่นับน้ำเสียงเหยียดหยันเหมือนทุกครั้งที่ต้องออกปากพูดด้วยอย่างเสียไม่ได้


‘อย่างเธอถือสิทธิ์อะไรมาแสดงความคิดเห็น’


‘ฉันก็แค่อยากพูดในฐานะคนที่ได้อาศัยบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนเจ้าของบ้านนี้เท่านั้นล่ะค่ะ’


‘มีอะไรก็ว่ามา ไม่ต้องมาสำบัดสำนวน พูดจบก็ไปให้พ้นๆหูพ้นๆตา หรือไสหัวไปจากบ้านนี้เลยยิ่งดี’


‘แหม! ถ้าคุณภัทอยากฟังถึงขนาดนั้น ฉันก็คงต้องบอกว่าฉันเกลียดคุณ เกลี๊ยด เกลียดยังกับจิ้งจก ตุ๊กแก เป็นยังไงคะความในใจของฉัน พอจะรับได้มั้ย’


‘กะ...แก๊!’


เป๊ะ! บอกแล้วว่าเหตุการณ์ที่ผมเพิ่งได้รับรู้มาเหมือนกับละครหลังข่าวยังไงยังงั้น น้ารื่นฤดีพูดด้วยน้ำเสียงถือดี รอยยิ้มและแววตาเหมือนไม่ใช่น้ารื่นที่ผมเคยรู้จัก ส่วนคุณภัทราพรซึ่งรับบทเมียหลวงที่ถูกตามราวีก็เกิดอาการใบ้รับประทาน คงทั้งตกใจเหมือนผมและโมโหจนพูดอะไรไม่ออกถึงได้แต่ชี้หน้าและจ้องอย่างกับจะฉีกเมียน้อยเป็นชิ้นๆ


“ที่นี่บ้านคุณพี่ ฉันก็เป็นเมียทำไมจะมาไม่ได้!”


ไม่ไหวแล้ว! ภาพในหัวก็แรง เสียงพากย์ข้างตัวยังไม่แพ้กันอีก สงสัยผมคงต้องบอกป้าจิตว่าให้หนูเพลินเพลาๆดูทีวีเสียบ้าง


“เพลินไม่เอานะครับ พูดอย่างนี้ไม่น่ารักเลย”


ผมรีบสอดมือคั่นระหว่างตุ๊กตาสองตัวที่กำลังถูกเจ้าของจับให้ปะทะกันอย่างถึงพริกถึงขิง มีทั้งตบทั้งถีบ อูยยย เห็นแล้วเสียวแทน!


“ก็ในทีวีเขาพูดนี่”


“คนในทีวีเขากำลังทะเลาะกัน คนทะเลาะกันไม่ดีหรอก หนูเพลินอย่าไปเอาอย่างเลยนะ”


“แล้วเขาทะเลาะกันเรื่องอะไรคะ” หนูเพลินเลยวางตุ๊กตาแล้วมาสนใจผมแทน มีแววใฝ่รู้แต่เด็กเชียว ความซวยเลยมาตกอยู่กับผมเพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องผัวๆเมียๆให้เด็กขนาดนี้ฟังยังไง


“คะ?” โอยยย แววตาหนูเพลินก็ใสแจ๋วได้อีก อยากบอกจังว่าอย่ามาฝากความหวังกับพี่นักเลย พี่เองก็ไม่ใช่คนดิบดีอะไรหรอกนะ


“เรื่อง...ของครอบครัวน่ะ คือบางที...บางครอบครัวก็มีปัญหา แต่มันก็เป็นปัญหาของเขา เขามีเรื่องไม่เข้าใจกันแต่เราอย่าไปอยากรู้ดีกว่านะครับ”


ผมบอกพร้อมรอยยิ้มโน้มน้าวใจ แต่มาเจอวัยกำลังอยากรู้อยากเห็นเลยไม่ค่อยได้ผลนัก


“ก็เพลินอยากรู้ พี่กานต์บอกหน่อย นะๆ!”


ผมอยากจะร้องไห้ สาบานว่าไม่ได้อยากรู้เรื่องของครอบครัวใครเลย ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตาหรือเวรกรรมกันแน่ที่กำหนดให้ผมต้องไปตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดขนาดนั้น


‘ทีแรกฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณนักหรอก แต่ก็ยอมรับล่ะว่าแอบอิจฉาที่คุณทั้งสวย รวย มีชื่อเสียง แถมยังได้ผู้ชายที่ดีที่สุดอย่างพี่กฤตไปอีก อยากรู้จริงว่าชาติที่แล้วคุณทำบุญมาด้วยอะไรถึงได้โชคดีขนาดนี้ แต่พอนานวันเข้าฉันก็เริ่มไม่ชอบที่คุณไม่เห็นค่าของพี่กฤต คุณทำเหมือนเขาไม่ดี ไม่คู่ควร แต่ฉันอยากจะบอกว่าคุณนั่นแหละที่ไม่คู่ควรกับพี่กฤต ไม่เลยสักนิด!’


‘แกพูดอะไร? หุบปากไปเลยนะ!’


‘นั่นสินะ! ฉันอาจจะพูดผิดไป ที่จริงคุณก็ไม่ใช่จะมีบุญบารมีอะไรแต่มีกรรมซะมากกว่า ที่คุณมีกินมีใช้อยู่ทุกวันเพราะเงินจากบ่อน จากซ่อง ชีวิตคุณสะดวกสบายในขณะที่ใครหลายคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ผัวแอบนอกใจเมียมาหาเศษหาเลยนอกบ้านจนต้องทะเลาะกันบ้านแตก หาความสุขไม่ได้ คงเพราะอย่างนี้คุณถึงมีปมด้อยโดยไม่รู้ตัว คุณต้องพยายามทำตัวเป็นผู้หญิงสมบูรณ์แบบ ต้องชูคออยู่เหนือคนอื่นตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ใครเขาขุดเรื่องนี้มาดูถูกใช่มั้ยล่ะ’


น้ารื่นจบด้วยคำถามแต่คุณภัทกำลังเนื้อตัวเริ่มสั่นจนน่ากลัวว่าจะช็อกเข้าจริงๆ ผมพยายามสบตาบอกให้น้ารื่นหยุดแต่...


‘เจ้าสัวพ่อของคุณเองก็มีอีหนูเต็มบ้านเต็มเมือง คุณเลยไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีผู้ชายที่รักเดียวใจเดียว คุณหวาดระแวง กลัวว่าพี่กฤตจะนอกใจไปมีคนอื่นทั้งที่ความจริงเขาเป็นคนดีแสนดี ทั้งรักและทุ่มเททุกอย่างเพื่อครอบครัว ไม่เคยมีเวลาไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงคุณ ไม่คิดถึงลูก สุดท้าย... คนที่ทำลายทุกอย่างก็คือตัวคุณเองนั่นแหละคุณภัท!’


‘หยุดนะ! พอสักที!’ คุณภัทกรีดเสียงร้อง ดวงตาแดงก่ำแห้งผากเพราะมีแต่ความโกรธฉายชัดอยู่เท่านั้น ‘ฉันบอกให้แกหยุด!!’


ส่วนน้ารื่นกลับเหมือนว่าวที่ลอยขึ้นไปติดลมบน ทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าคุณภัทเป็นถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ยอมหยุด


‘ตอนพี่กฤตตายฉันเสียใจจนบอกไม่ได้ว่ามากแค่ไหน แต่พอมาคิดอีกที ฉันก็อดดีใจไม่ได้ที่คนอย่างคุณจะได้รู้จักกับความเสียใจ คุณจะได้เจ็บปวด ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียซะบ้าง แล้วฉันขอทำนายไว้เลยนะ ถ้าขืนคุณยังทำตัวเหมือนที่ผ่านๆมา สุดท้ายคุณก็จะไม่เหลือใครเลย’


‘ออกไป๊!! ฉันบอกให้แกหยุดพูดแล้วออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้นะนังบ้า!!’


‘ต๊าย! ส่องกระจกซะหน่อยสิคะคุณภัท ใครกันแน่ที่สมควรจะถูกเรียกว่านังบ้า’


‘คุณท่านใจเย็นๆก่อนครับ’ อย่าว่าแต่คุณภัทจะทนไม่ได้ ผมเองก็ทนรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้าไม่ไหวแล้ว ‘พอเถอะครับน้ารื่น!’


‘คุณกานต์จะไปปกป้องเขาทำไมคะ จำไม่ได้หรือไงว่าเขาทั้งดูถูก ทั้งรังเกียจกีดกันคุณสารพัด’


ถึงตาผมถูกถามแต่จะให้ตอบว่าอะไรได้เมื่อผมกำลังประคองคุณภัทไว้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ถ้าไม่มีผมท่านคงล้มทั้งยืนไปแล้ว และตอนนี้ท่านก็คงเห็นผมเป็นที่พึ่งเดียวที่มีเหมือนกัน


‘ไล่มันออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันบอกให้ไล่นังบ้านี่ออกไป!!’


‘แหม! ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก่อนคุณก็ไม่ได้เห็นฉันหรือคุณกานต์ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้กลับมาบอกให้คุณกานต์ไล่แต่ฉัน คิดว่าเขาจะฟังคำสั่งคุณหรือไง’


น้ารื่นลอยหน้าถามแถมส่งเสียงหัวเราะราวกับตัวร้ายโรคจิตในละคร ผมเลยยิ่งงงจนทำอะไรไม่ถูก อยากจะคิดว่านี่เป็นแค่การล้อเล่น อาจจะมีใครซ่อนกล้องแอบถ่าย แต่สภาพความตึงเครียดขนาดนี้ก็ทำให้โกหกตัวเองไม่ลง


‘ผมว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้ว วันนี้น้ารื่นเป็นอะไรไปครับเนี่ย’


‘น้าก็เป็นปกติดีนี่คะ คุณกานต์นั่นแหละ อยู่ดีๆไปเข้าข้างคุณภัททำไม’


ทุกคนยังอยู่ที่จุดเดิม ผมยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานมีคุณภัทอยู่ในวงแขน ส่วนน้ารื่นไม่ได้ขยับไปจากหน้าประตูแต่เบนเป้าหมายมาที่ผมแทน


‘ผมไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้น แต่ผมว่าน้ารื่นกำลังทำไม่ถูก ถือว่าผมขอ ออกไปก่อนเถอะครับ’


‘ไม่น่าเชื่อนะคะคุณภัท ดูสิ คนที่คุณเกลียดแทบตายกลายเป็นพวกคุณซะนี่’


‘ถ้ายังไม่หยุด ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะครับ!’ ผมขึ้นเสียงหวังปรามให้น้ารื่นได้สติเพราะไม่ว่าใครจะถูกหรือผิด เธอก็ไม่สมควรทำแบบนี้


‘คุณกรให้อำนาจน้าดูแลทุกอย่าง น้าคือคนที่มีอำนาจที่สุดในบ้านหลังนี้ คุณกานต์จะทำอะไรน้าได้ล่ะคะ’


เจอมุขนี้ผมเลยมึน ก็น้ารื่นเองไม่ใช่เหรอที่บอกให้ทุกคนเคารพผมเหมือนเป็นเจ้านายคนอีกคนหนึ่งด้วยเหตุผลที่ว่า...


‘ก็ได้ครับ! น้ารื่นเคยบอกเองว่าผมอยู่ที่นี่ในฐานะคนของคุณกร ต้องถือว่าผมเป็นเจ้านายคนนึง เพราะฉะนั้นผมขอสั่งให้น้าออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้!’


‘พูดกับน้าแบบนี้ ถ้าคุณกรรู้เข้า...’


‘ผมเชื่อว่าคุณกรเป็นคนยุติธรรม และเขาจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำอะไรคุณแม่ของเขาแบบที่น้ารื่นกำลังทำอยู่นี่แน่ๆ!’ ผมประกาศกร้าวแล้วรีบหันไปยืนยันให้คนในอ้อมแขนสบายใจ ‘คุณท่านไม่ต้องกลัวนะครับ’


คุณภัทพยักหน้าเกร็งๆแต่ดูมีกำลังใจมากขึ้น ผมเลยตั้งใจว่าถ้าน้ารื่นยังดื้อจะพาคุณภัทออกไปจากห้องนี้เอง แต่จู่ๆคนที่ยืนขวางประตูก็ส่งเสียงหัวเราะชอบใจ ชวนให้คิดว่าถ้าไม่ใช่การทำสงครามประสาท อาจมีผีบ้านผีเรือนมาตนไหนมาสวมร่างน้ารื่นก็เป็นได้


‘เป็นยังไงบ้างคะคุณภัท ไม่ได้รู้สึกว่าคุณกานต์น่ารังเกียจ หรือเป็นคนที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูลแล้วเหรอ’


‘อะ..อะไรของแก?’ ผมว่าที่คุณภัทยังสั่นคงเพราะเริ่มกลัวมากกว่าโกรธแล้วล่ะ


‘ก็คนที่กำลังปกป้องคุณอยู่นั่นยังไง ยังคิดว่าเขาอ่อนแอเกินไป ไม่มีค่า ไม่คู่ควรที่จะยืนเคียงข้างลูกชายคุณอยู่อีกมั้ยคะ’


ผมกับคุณภัทหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมรู้ตัวเลยว่ากำลังทำหน้าเหวอสุดๆ ส่วนคุณภัทก็มองตอบด้วยแววตาที่ผมไม่เคยเห็นและคาดเดาไม่ถูก  แต่แปลกก็ตรงที่... ไม่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนที่เคยรู้สึกอีกแล้ว พอหันกลับมาอีกทาง ผมยิ่งโล่งอกที่ได้เห็นรอยยิ้มของน้ารื่นกลับมาเป็นเหมือนปกติ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้เธอล้ำเส้นถึงขนาดนี้


‘ทั้งหมดที่พูดไปคือสิ่งที่น้ารู้สึกค่ะ’ น้ารื่นชิงตอบก่อนที่ผมจะอ้าปาก แล้วค่อยหันไปสบตาเพื่อบอกคุณภัทตรงๆว่า... ‘ฉันกับคุณกฤตไม่เคยมีอะไรกัน’


ตัวผมเองแน่ใจนะว่านี่คือน้ารื่นตัวจริงที่เปี่ยมไปด้วยความนอบน้อม เจียมตัวเจียมตน แต่ถ้าผมเป็นคุณภัทแล้วเพิ่งผ่านเหตุการณ์อย่างเมื่อครู่มาสดๆร้อนๆจะตวาดกลับว่าไม่เชื่อก็คงไม่แปลก


‘เพราะฉันรู้ว่าคุณไม่เชื่อ ฉันเลยจงใจปิดปากเงียบ ปล่อยให้คนพูดไปต่างๆนาๆเพื่อให้คำนินทาพวกนั้นย้อนกลับไปหาคุณ ฉันอยากเห็นคุณจมอยู่กับความสงสัย อยากให้คุณหวาดระแวงและเป็นทุกข์อย่างที่สุดเพราะมันเป็นหนทางเดียวที่คนต้อยต่ำอย่างฉันจะลงโทษคุณได้ยังไงล่ะคะ’


ณ จุดๆนี้ ผมอึ้งจนขี้เกียจ หรือจะพูดอีกอย่างคืองงจนหัวหมุนไปหมด อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าเสือซ่อนเล็บ คนที่ดูภายนอกอ่อนแอ ไม่มีพิษสง เลยไม่มีใครรู้ว่าซ่อนแผนการแยบยลชนิดที่หลอกคนทั้งโลกเลยทีเดียว


‘ถึงตอนนี้คุณก็คงยังไม่เชื่อว่าฉันพูดความจริง แต่ฉันกล้าสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่เคยมีอะไรกับคุณกฤต ฉันอาจจะเคยชอบเขาแต่นั่นตั้งแต่สมัยที่เรายังเด็กด้วยกันทั้งคู่ พอเขาแต่งงานกับคุณ ฉันก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้อีก และขอบอกอีกครั้งว่าเขาเป็นคนดีอย่างที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง ที่สำคัญ คุณกฤตรักคุณ แค่คุณกับลูกเท่านั้นที่อยู่ในใจเขาเสมอมา ส่วนฉันก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกคนที่นี่คือมีฐานะเป็นเพียงผู้อาศัยคนหนึ่ง หรืออย่างดีเขาก็แค่เอ็นดูเหมือนน้องสาว ฉันพูดได้เท่านี้ คุณจะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่คุณเถอะค่ะ’


เมื่อคำสารภาพที่แท้จริงจบลง ห้องกว้างก็ตกอยู่ในความเงียบชนิดที่เข็มตกสักเล่มยังได้ยิน คุณภัทหายจากอาการตัวสั่นแต่กลายเป็นหมดแรงจนผมต้องช่วยประคองให้ค่อยๆนั่งลง ท่านนั่งเงียบ ไม่ไหวติง ส่วนผมก็ยืนคอยโดยที่ในหัวสมองว่างเปล่า จนรู้ตัวเมื่อน้ารื่นเข้ามาสะกิดเรียกให้ออกจากห้องไปด้วยกัน เพื่อให้เวลาคุณภัทได้อยู่กับตัวเองและทำความเข้าใจเรื่องทุกอย่างมากขึ้น


“ครับๆ” ตั้งแต่ตอนนั้นผมเลยติดอาหารเหม่อมาไม่รู้ตัว คนที่อยู่ด้วยกันเลยต้องเขย่าเรียก หันไปเห็นทำหน้ามุ่ย คงน้อยใจที่ถูกลืม “เพลินว่าอะไรนะครับ?”


“พี่กานต์นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาเลย” เสียงแจ๋วต่อว่า


“พี่ขอโทษนะครับ พอดีพี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”


“คิดอะไรอยู่คะ?”


“พี่ก็กำลังคิดว่า...ทำไมอะไรๆถึงไม่เป็นไปอย่างที่พี่คิดเลย...”


“ก็แล้วพี่กานต์คิดอะไรล่ะคะ?”


“นั่นสิครับ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่กำลังคิดอะไร”


คำตอบของผมเล่นเอาหนูน้อยยกมือเกาหัว ตีหน้ายุ่งๆพลางบอก


“หนูงง”


“โทษทีครับ พี่ก็งงๆเหมือนกัน”


เราสองคนมองหน้าแล้วหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน หนูเพลินหัวเราะเสียงใส เมื่อไม่เข้าใจก็คงไม่ได้ติดใจอะไรอีก ผมเห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉา อยากกลับเป็นเด็กที่ดีใจก็หัวเราะ เสียใจก็ร้องไห้ ไม่ต้องเก็บกลั้น ไม่ต้องอดทนจนกลายเป็นความทุกข์สุมร้อนในอก ใครว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วดี ผมคนนึงล่ะที่เถียงขาดใจ!


“ทำอะไรอยู่เพลิน แม่เรียกแน่ะได้ยินหรือเปล่า?”


เสียงทักดังมาจากเชิงบันได มองลงไปเห็นน้ารื่นฤดีกำลังเดินขึ้นมา ส่วนหนูเพลินได้ยินอย่างนั้นก็ลุกพรวด หอบของเล่นเผ่นไปทางเรือนครัว คนมาใหม่นั่งลงแทนที่แล้วถามผมยิ้มๆ


“ทำไมมองหน้าน้าอย่างนั้นล่ะคะ คิดว่าน้ายังถูกผีเข้าอยู่หรือไง?”


“เมื่อกี้น้ารื่นน่ากลัวจริงๆนี่ครับ เล่นเนียนจนกานต์ยังเชื่อสนิท ถ้าเป็นดาราก็ได้ตุ๊กตาทองไปแล้ว”


“ขอบคุณค่ะที่ชม แต่น้าว่าสนุกดีนะ เหมือนได้ปลดปล่อยความอึดอัดที่ต้องทนเก็บมาตั้งไม่รู้กี่ปี พอพูดออกไปรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูกเลย”


น้ารื่นสนุกแต่เล่นเอาผมกับคุณภัทราพรสยองไม่หาย บอกตามตรงว่าอย่างนี้ไม่เอาอีกแล้ว


“แหม! แต่ก็ได้ผลไม่ใช่เหรอคะ” น้ารื่นเห็นสีหน้าผมเลยหัวเราะชอบใจใหญ่ “ถือซะว่าให้ยาแรงคุณภัทสักทีจะได้ตาสว่างยอมรับอะไรๆได้ง่ายขึ้น”


“แต่กานต์กลัวคุณท่านจะยังทำใจไม่ได้ เมื่อกี้ก็ดูนิ่งๆ เงียบๆไป ไม่รู้ว่าจะเชื่อเรื่องของท่านกับน้ารื่นหรือเปล่า ถ้ายังไงเราให้ทุกคนขึ้นไปช่วยยืนยันดีมั้ยครับ”


ผมรีบเสนอ เพราะอย่างวันก่อนยายปุยยังเล่าให้ฟังว่าน้ารื่นพักอยู่กับสองยายมาตลอด เพิ่งจะย้ายขึ้นมาห้องที่บนเรือนตอนที่คุณกรสั่งนี่เอง ถ้าเป็นคำพูดที่ออกจากปากยายปุยยายเป้า คุณภัทน่าจะเชื่อได้อย่างสะดวกใจมากขึ้น


“ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณภัทไม่ใช่คนโง่ ถ้าจะเชื่อ เธอก็คงตรองด้วยสมองของเธอเองได้ แต่ลองเธอไม่คิดจะเชื่อ ต่อให้เอาคนเป็นร้อยเป็นพันมายืนยันก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ แล้วน้าก็พอใจแค่ได้พูดออกไป ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่เถอะค่ะ”


น้ารื่นบอกแล้วแบมือออกรับดอกปีบที่กำลังลอยร่วงลงจากต้น นิ้วเรียวไล้กลีบดอกขาวแล้วยกขึ้นจรดปลายจมูกด้วยอาการถนอม ริมฝีปากระเรื่อสวยแต้มรอยยิ้มชนิดเดียวกับในดวงตาบอกถึงความสุขอย่างคนที่รู้จักความพอดีและสุขใจในสิ่งที่ตัวเองมี และคงเป็นความรู้สึกนี้ที่พลอยทำให้ผมสงบปากสงบคำตามไปด้วย





จบตอนแล้วคร้าบ



รักน้ารื่น นางซ่อนคมไว้เสียมิดเชียว






 :bye2:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2016 08:27:43 โดย minemomo »

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ชอบคนอย่างน้ารื่นมาก แต่น้ารื่นก็เหมือนมีคนที่รักอยู่นะ ใช่รึป่าว

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
เราว่าเรื่องกฤตคุณภัทก็ไม่ได้ผิดสักทีเดียว อย่างที่เขาเล่าให้กานต์ฟัง
คุณกฤตเก็บเงียบไม่เปิดปากทำเหมือนเขาไม่มีความสำคัญ
จนเขาเลยเงียบและไม่ให้ความสำคัญบ้าง แถมคุณกฤตนั่นแหละตัวดี
หนีปัญหาชอบมาอยู่บ้านสวนให้คนเขานินทาปล่อยคุณภัทอยู่บ้านใหญ่
แล้วบอกว่ารักไม่ได้มีอะไรกัน เป็นเราอมวัดมาพูดก็ไม่เชื่อเหมือนกันนั่นแหละค่ะ
ในรูปเขียนซะดิบดีรักอย่างนู้นเวลาเห็นเขาเล่นกับลูกแล้วมีความสุข แต่คุณหนีเมีย
มาอยู่ที่อื่น ไอ้เราถ้าเป็นเมียก็คงไม่คิดว่ามันรักเราหรอกค่ะ พูดแล้วรมขึ้นเดี๋ยวยาว 5555+


ออฟไลน์ spsygk

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :katai2-1: ปรบิให้น่ารื่นเลยค่ะ  น้องกานต์สู้ๆ

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ลูกสะใภ้คนนี้คงได้แม่ผัวขึ้นเยอะเชียว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ฉะกันมาหยด

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1






31.





ผมเชื่อน้ารื่นฤดีเลยรออยู่พักใหญ่กว่าจะกลับขึ้นเรือนไปอีกที น้ารื่นบอกว่าตอนนี้อาการป่วยของคุณภัทราพรทุเลาขึ้นมาก ไม่ว่าอาการทางกายหรือทางใจคงจะถูกเยียวยาจนหายขาดในที่สุด และภาพตรงหน้าก็ชวนให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น คุณภัทออกมานั่งรับลมอยู่ที่เก้าอี้นอนตัวยาว ดวงตาอาจดูเหม่อลอยแต่ไม่มีเค้าความเศร้าสร้อยแล้ว สักพักมีนกคู่หนึ่งบินมาเกาะกิ่งต้นปีบใกล้ๆ ท่านเลื่อนสายตาไปมองนกน้อยส่งเสียงจุ๊กจิ๊กหยอกล้อตามประสาแล้วเกิดมีรอยยิ้มบางๆชอบใจ พอผมเข้าไปหาและลองเอ่ยเรียกเบาๆ รอยยิ้มอย่างเดียวกันนั้นก็ยังเผื่อแผ่มาถึงผมอีกด้วย


“คุณกรส่งรูปต้นคริสต์มาสที่โรงแรมมาครับ” ผมยื่นไอแพดที่ถือที่ติดมา คุณภัทรับไปดูด้วยแววตาพอใจ “รอบบริเวณตกแต่งเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่เอาดวงดาวขึ้นไปติดบนยอดแล้วก็ให้คุณท่านกดเปิดไฟวันงาน ถ้าดูตอนกลางคืน เปิดไฟรอบๆต้นแล้วคงยิ่งสวยมากเลยนะครับ”


“เมื่อไหร่นะ พอมาอยู่ที่นี่ชักจะลืมวันลืมคืน” คุณภัทถามพลางสไลด์นิ้วเลื่อนภาพไปเรื่อยๆ


“มะรืนนี้ครับ ป้ามาลัยบอกว่า...เป็นวันเกิดคุณกรด้วยใช่มั้ยครับ”


ท่านไม่ตอบทันที พอดูภาพทั้งหมดจบก็ยื่นไอแพดคืนมาแล้วพูดไปอีกเรื่อง


“ปีนี้กรสามสิบ ยัยภาย่างยี่สิบเจ็ด พอนึกอย่างนี้รู้สึกตัวฉันเองก็แค่ยัยแก่คนนึง”


“ไม่จริงเลยครับ คุณท่านยังดูดีแล้วก็แข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันตั้งเยอะ”


“แข็งแรงแต่มานั่งเป็นง่อยอยู่อย่างนี้น่ะเหรอ” ท่านก้มลงมองข้อเท้าที่ทายาของป้ามาลัยแล้วพันผ้ายืดไว้ เชื่อว่าจะหายเป็นปกติทันวันงานเพราะอย่างตอนนี้ก็ไม่ต้องมีคนช่วยพยุง เพียงแต่ต้องค่อยๆเดินและไม่ทิ้งน้ำหนักตัวลงเท้าข้างที่เจ็บมากนัก “สงสัยปีนี้จะไปเปิดไฟต้นคริสต์มาสไม่ไหวหรอก ยืนนานๆยังรู้สึกเสียวๆ”


“งั้นก็โชคดีนะครับที่คุณภาวิณีกลับมาพอดี”


“รายนั้นก็แล้วแต่อารมณ์เขา เอาแน่เอานอนไม่ได้ เห็นกรบอกว่าจะส่งลงไปดูงานที่ภูเก็ตกับชัช ยังไม่รู้ว่าจะเอาด้วยหรือเปล่าเลย” ท่านเปรยเหมือนบ่นกับตัวเอง พอหันมาก็คงเห็นผมนั่งฟังตาแป๋ว “แล้วเราล่ะ อยากไปงานนี้มั้ย ไม่ใช่สิ ฉันถามผิดไป เพราะยังไงกรคงจะพาเธอไปด้วยอยู่แล้วนี่”


ผมฟังน้ำเสียงคุณภัทแล้วไม่ได้รู้สึกถึงความโกรธหรือรังเกียจอย่างเคย ออกจะมีอารมณ์น้อยใจปนออกมามากกว่า แล้วในเมื่อผมก็อยู่ว่างๆ ทำไมจะไม่ทำตัวดี น่ารัก ให้ท่านเมตตาเอ็นดูล่ะ


“แต่ถ้าคุณท่านไม่ไป ผมก็จะอยู่รับใช้คุณท่านที่นี่” ผมสบตาแล้วยืนยัน “จริงๆนะครับ”


รอยยิ้มนิดๆกับแววตาพอใจขึ้นหลายส่วนคือสิ่งยืนยันความสำเร็จ ก็บอกแล้วว่าเด็ก สตรี และคนชรา รายไหนรายนั้นไม่เคยรอดมารยาผมสักคน


“แต่ถ้าฉันไป เธอจะไปเป็นเพื่อน?” กับคำถามนี้ผมรีบพยักหน้าทันที “แล้วถ้าฉันจะให้เธอเป็นคนเปิดไฟต้นคริสต์มาสด้วย คิดว่าจะทำได้หรือเปล่า”


ผมต้องหยุดคิดอย่างช่วยไม่ได้ ถึงคุณภากรจะเคยเอ่ยปากเรื่องนี้มาก่อนแต่อย่าลืมว่าน้องสาวเขาก็ถือเป็นเจ้าของโรงแรมอีกคนหนึ่ง แค่หน้าผมเธอยังไม่อยากมอง แล้วคิดเหรอว่าเธอจะยอมให้ผมเจ๋อไปมีบทบาทในงานสำคัญของโรงแรมขนาดนั้น


“เอาเถอะ ยังไม่ต้องตอบ เอาไว้รอถามเจ้าของวันเกิดเขาดูก่อนก็ได้นะ”


เห็นผมนิ่งไป คุณภัทเลยช่วยตอบให้แทน แถมยังเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ เป็นอะไรที่ผมคาดไม่ถึงเลยอึ้งหนักกว่าเก่า และทำให้เรื่องของคุณภาวิณีกระเด็นหายไปจากสมองทันที แววตาปราณีทำให้รู้สึกตื้อๆ ผมเลยตั้งใจพนมมือแล้วก้มลงแทบพื้นเรือนเพื่อตอบรับความเมตตานั้น


“ผมกราบขอโทษที่เคยทำตัวเสียมารยาทกับคุณท่านครับ”


เมื่อเงยหน้าขึ้นมายังพบแววตาอ่อนโยนเจือความเอ็นดู ไออุ่นจากมือเรียวบางวางค้างอยู่บนหัว ผมเอาแต่ยิ้มจนท่านขำ พอผมเงียบผิดไปจากเคยท่านเลยเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนคุย


“เธอชื่อกานต์ สั้นๆแค่นั้นเองเหรอ?”


“ครับ แม่ผมชื่อกานดาก็เลยตั้งให้คล้ายๆกัน แต่พี่กัญ พี่สาวผมน่ะครับ ชอบล้อว่าเพราะแม่ขี้เกียจเปิดหนังสือหาชื่ออื่น ผมก็เลยเถียงว่ากัญญาแปลว่าผู้หญิงเพราะพี่กัญเป็นผู้หญิง แต่ชื่อผมแปลว่าผู้เป็นที่รักก็แสดงว่าแม่รักผมมากกว่า พอบอกแบบนี้พี่กัญเลยงอนทุกที”


“ผู้หญิงก็อย่างนี้ล่ะ ขี้งอน ขี้น้อยใจ” พูดจบท่านก็ขำเพราะคงนึกได้ว่าตัวเองก็เป็นผู้หญิงแล้วแถมยังมีลูกสาวที่แสบไม่แพ้ใคร ย่อมต้องคุ้นเคยกับนิสัยผู้หญิ๊ง ผู้หญิงข้อนี้อยู่แล้ว แต่คำถามที่ตามมานี่สิ ไม่ให้ผมได้ทันตั้งตัวเลย “แล้วทำไมเธอถึงได้มาชอบกับภากรได้ เพราะเท่าที่ฉันดู เธอก็...ปกติดี หรือไม่ใช่?”


“ผมเป็นผู้ชายจริงๆ ถึงจะไม่ได้ตัวโตถึงขนาดอกสามศอกแต่ก็เป็นผู้ชายแท้ๆร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ” ผมรีบสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเผื่อจะทำให้ดูอกผายไหล่ผึ่งขึ้นบ้าง


“เธอจะบอกว่าคนที่เป็น...!” คุณภัททำตาโต ไม่กล้าพูดต่อให้จบ


“ไม่ใช่ครับ! คุณท่านเข้าใจผิดแล้ว!” ลมที่อุตส่าห์กลั้นเอาไว้เลยหลุดพรวดแทบสำลัก ลองถ้าคุณกรเป็นอย่างพี่พอลน่ะเหรอ...เหอ เหอ สยองซะไม่มี! “ถ้าคุณกรเป็นคงโดนหาว่าไปทำให้สถาบันกระเทยเสื่อมเสียเปล่าๆครับ”


“อ้าว! ถ้าทั้งเธอกับลูกชายฉันต่างก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ แล้วมันจะยังไงกันล่ะ?!”


ผมนิ่ง รู้สึกคิ้วตัวเองบิดเป็นเกลียวหลายรอบก็ยังตอบไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ลองอธิบาย...


“ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันครับว่าอะไรมันคืออะไรกันแน่ แต่ถ้าจะบอกว่าผมกับคุณกรเป็นผู้ชายสองคนที่...บังเอิญมารักกัน... ก็คงจะใช่ ถึงจะเคยได้ยินว่านักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายว่าอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เกิดจากสารเคมีหรือฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย แต่ผมก็ยังเชื่อว่าความรักเป็นอะไรที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่านั้น บางคนพยายามเชื่อมโยงความรักกับหัวใจแต่ผมว่าก็ไม่น่าจะเหมือนกันเสียทั้งหมด เพราะเราคงไม่สามารถอธิบายถึงความรักได้เหมือนอย่างที่บอกว่าหัวใจคนเราดวงเท่ากำปั้น มีสี่ห้องและมีหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย สรุปแล้วผมก็คงบอกไม่ได้ว่าระหว่างผมกับคุณกรคืออะไร แต่ผมรู้สึกดีเวลาที่ได้อยู่กับเขา ผมอยากเห็นเขายิ้ม อยากเห็นเขาหัวเราะอย่างมีความสุข เวลาที่เขาทุกข์หรือมีปัญหาก็อยากแบ่งเบา อยากช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ ผมคิดถึงเขาตลอดเวลาจนบางครั้งก็นึกไม่ออกว่าถ้าไม่มีเขาแล้ว ชีวิตของผมจะเป็นยังไง” 


ความในใจของผมทำให้คนฟังถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะให้ความเห็นบ้าง


“ฉันว่าเธอพูดเกินไปนะ เธอกับกรไม่ได้เกิดมาตัวติดกันหรือใช้ลมหายใจเดียวกัน คนเรายังไงก็ต้องอยู่คนเดียวทั้งนั้น ดูอย่างฉันสิ คุณกฤตตายไปก็ใช่ว่าฉันจะต้องตายตามไปด้วยสักหน่อย”


ผมยอมรับว่าคุณภัทพูดไม่ผิด แต่หากในห้องพักผู้ป่วยวันนั้น ท่านได้ยินคำพูดที่ออกจากปากลูกชายของท่านเองก็คงเข้าใจเรื่องระหว่างผมกับเขาได้ง่ายขึ้น


“คุณกรเคยบอกว่า... ถ้าต้องจากกัน ถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็คงไม่รู้อีกแล้วว่าความสุขหน้าตาเป็นยังไง... ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันครับ”


ผมว่าคุณภัทคงรับรู้ได้บ้างไม่มากก็น้อยถึงได้นิ่งไป นานเป็นนาทีกว่าจะมีอาการทอดถอนใจแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ผิดไปจากทุกครั้งที่ผมถูกเรียกไปพบโดยสิ้นเชิง


“ฉันจะไม่บอกว่ายินดีกับเรื่องนี้ เพื่อเห็นแก่ความสุขของภากรฉันจะไม่ขัดขวาง แต่ฉันก็ยังหวังและเชื่อว่าวันหนึ่งลูกชายฉันจะได้เจอผู้หญิงดีๆและพร้อมจะสร้างครอบครัวอย่างคนทั่วไป เธอเข้าใจใช่มั้ย” ผมรับคำสั้นๆ รู้สึกถึงความหนักแน่นและมั่นใจในคำตอบของตัวเอง แต่พอได้ฟังถ้อยคำที่เหลือ... “ถ้าวันนั้นมาถึง คนเป็นแม่อย่างฉันจะได้หมดห่วง แต่พอลูกๆแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดคงเหงาน่าดู ถ้าเธอไม่รังเกียจที่จะอยู่เป็นเพื่อนคนแก่สักคน... ฉันจะขอบใจมาก”


ที่ผ่านมา ผมพยายามทำตัวเข้มแข็งเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้คุณภัทยอมรับ จนตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าสมตามความหวังนั้นแล้ว ความเข้มแข็งที่เพียรรักษาไว้จึงถูกละลายด้วยความเมตตา นับเป็นรางวัลที่มีค่าจนผมไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้จริงๆ


“ไม่ทันไรก็ทำตัวขี้แยซะแล้ว!”


ผมประนมมือก้มตัวลง ตั้งใจว่าจะซ่อนน้ำตาด้วยส่วนหนึ่ง แต่คราวนี้คุณภัทไหวตัวทันเลยเอื้อมมือมารับและยกกราบของผมไปวางลงบนตักแทน มือหนึ่งช่วยเช็ดน้ำตาส่วนอีกมือลูบหัวยิ่งทำให้ผมปล่อยโฮจนท่านอดขำไม่ได้ สุดท้ายท่านเลยดึงตัวเข้าไปใกล้ให้ผมได้กอดเอวท่านไว้ ส่วนท่านก็ช่วยลูบหัวลูบหลังพลางร้องโอ๋ราวกับปลอบลูกเล็กๆ ด้วยกระบวนท่านี้กว่าจะเป่าปี่จบเพลงก็เล่นเอาผมหัวเข่าชาจนเกือบลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว


นอกจากน้ารื่นฤดีและผม คุณภัทราพรยังถือโอกาสนี้ปรับความเข้าใจกับคนเก่าคนแก่ที่เคยมีอคติกันมาตลอด พวกตาหมายตามีนั้นไม่เท่าไหร่เพราะคงไม่ได้เจอฤทธิ์เดชกันมากนัก ส่วนครอบครัวลุงพันกับคนงานรุ่นใหม่ๆนั้นก็รู้จักคุณภัทแต่เพียงชื่อเสียงเรียงนาม อดีตลูกสาวเจ้าสัวผู้ถือตัวจึงเลือกที่จะเข้าหาสองยายผู้เป็นใหญ่แห่งเรือนครัวในด่านแรก


“อุ๊ย! ทำอะไรอย่างนี้ ไม่เอาค่ะไม่เอา ขี้กลากได้ขึ้นกบาลพวกอิฉันกันพอดี”


ทั้งยายปุย ยายเป้าแทบจะโยนทุกอย่างทิ้งเมื่อจู่ๆคุณภัทก็นั่งลงเสมอกันแล้วพนมมือขึ้นจรดหน้าอก ยายปุยเอื้อมมือไปห้าม พอรู้ตัวจะชักกลับ คุณภัทรีบจับมือยายกุมไว้ ไม่มีอาการรังเกียจแม้แต่น้อย


“ฉันอยากจะขอโทษป้าทั้งสองคนที่เคยทำกริยาไม่ดี”


“พูดอะไรยังงั้น! คุณก็คิดมาก ยังไงพวกเรามันขี้ข้า อาศัยบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนพ่อกำนันกันมาตั้งแต่สมัยไหนๆ คุณเป็นถึงสะใภ้ก็ต้องถือเป็นเจ้านาย อย่ามาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้เลย” ยายเป้ารีบกระเถิบลงนั่งต่ำกว่า พูดกับคุณภัทเสร็จก็หันมาทำตาดุที่เห็นผมเอาแต่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ “พ่อกานต์ก็น่าตีจริง! พาคุณลงมาในครัวทำไม มีแต่กลิ่นพริก กลิ่นกะปิ ไม่มีอะไรน่าดูสักนิด แล้วนี่เดินมาตั้งไกล แข้งขาก็ยังไม่หายดี”


“ไม่เจ็บแล้วล่ะ กานต์เขามียาดี ทาไม่กี่ครั้งก็หายเจ็บ แต่ป้าสองคนนี่ยังดูแข็งแรงอยู่เลยนะ ฉันเห็นเดินเหินคล่องแคล่ว แถมทำกับข้าวทำขนมก็รสมือเด็ดขาด ขนาดเชฟห้องอาหารที่โรงแรมฉันยังว่าสู้ไม่ได้ สงสัยจะต้องส่งมาหัดกับครัวที่นี่ท่าจะดี”


ขนาดผมเป็นคนนอกมาฟังเฉยๆยังอดไม่ได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่ถูกชมซึ่งๆหน้าจะยิ้มหน้าบานขนาดไหน


“แหม! คุณมายอคนแก่ก็เขินแย่ กับข้าวฝีมือบ้านๆจะไปสู้อาหารเหลาได้ยังไงกัน แต่ถ้าคุณถูกปาก อยากทานอะไรก็สั่งมาเถอะค่ะ รับรองพวกอิฉันจะทำสุดฝีมือ”


“ขอบใจจ๊ะ” คุณภัทบอกแล้วก็ถอนหายใจจนรอยยิ้มจางลงไปหลายส่วน “นึกแล้วก็น่าเสียดาย เมื่อก่อนฉันมัวแต่จมอยู่กับอคติ ถ้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วมองอะไรๆจากใจที่แท้จริงก็คงเข้าใจว่าทำไมคุณกฤตถึงได้รักบ้านสวนมากเหลือเกิน แม้แต่กรก็คงไม่ต่างจากพ่อของเขา ตอนนี้ตัวฉันเองก็เริ่มหลงเสน่ห์ที่นี่เข้าเหมือนกัน หวังว่าป้าสองคนจะไม่ติดใจกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว ไม่ต้องถือว่าฉันเป็นเจ้านายหรือเจ้าของบ้านหรอก ให้คิดเสียว่าเรามาอยู่กันแบบครอบครัว อยู่เป็นเพื่อนกันไปนานๆดีกว่านะ”


ยายเป้าเคยเล่าว่าคุณภัทราพรมาบ้านสวนครั้งแรกเมื่อตอนแต่งงานซึ่งต้องมารับไหว้ญาติฝ่ายคุณกฤตตามธรรมเนียม จากนั้นก็อีกครั้งหรือสองครั้งที่ตามคุณกฤตมาเยี่ยมพ่อสามีด้วยอาการอย่างเสียไม่ได้ จึงเป็นที่ขัดใจของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ทางนี้ไม่น้อย ยิ่งมาเกิดเรื่องซ้ำตอนงานศพที่ทำเหมือนไม่เห็นหัวพวกญาติจากบ้านสวน สายสัมพันธ์อันง่อนแง่นเลยขาดสะบั้น คนที่นี่จะนับคุณภากรเป็นนายแต่เพียงผู้เดียว พอมาได้ยินคำพูดอย่างนี้ สองยายจึงออกอาการน้ำหูน้ำตาไหลให้คุณภัทได้ปลอบ


ส่วนผมเฝ้ามองภาพประทับใจได้ไม่นานก็แว่วเสียงรถจึงขอตัวออกมารอรับคุณภากรถึงที่ อยากพาเขาไปได้เห็นสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นบ้าง แต่พอไปถึงเจอแต่พี่คนขับรถกำลังเตรียมยกกระเป๋าเอกสารกับเอาเสื้อนอกขึ้นไปเก็บบนเรือน แล้วตัวเจ้าของเสื้อหายไปไหนล่ะนี่...


ที่จริงผมไม่น่าเสียเวลาเดินหา และจริงๆก็น่าจะรู้แต่แรกว่ากำลังเดินเข้าสู่กับดักของหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ที่รอคว้าเหยื่อของมันอยู่นานแล้ว


“ทำไงดี!?” เสียงงึมงำดังที่ข้างหู ผมเลยเอี้ยวตัวไปมองเจ้าของอ้อมแขนใหญ่งงๆ อย่าบอกนะว่าเขาเดินเข้ามาในดงต้นมะม่วงแล้วเลยหลงทางกลับออกไปไม่ได้ แต่คิดอีกที แววตาวาววับขนาดนี้คงไม่ใช่แน่ๆ... “คิดถึงจริง คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้วล่ะ”


จากเสียงงึมงำต่อด้วยอาการคลุกวงในจนผมขนลุกซู่ รู้เลยว่าช่วงนี้มีแต่เรื่องยุ่งจนทำให้เขาลืมดูแลตัวเอง กรรมเลยมาตกกับผมที่ต้องรู้สึกจั๊กจี๋เป็นบ้าเวลาที่โดนตอหนวดเป็นปื้นไซ้ไม่หยุด


“พอแล้วครับ! เดี๋ยวก็มีใครมาเห็น!” ผมอ้างคนอื่นแต่ความจริงคือสงสารตัวเอง เพราะมันทั้งเสียวทั้งจั๊กจี้จนทำตัวไม่ถูก โคตรทรมานเลยให้ตายสิ!


“ใครอยากดูก็ช่างสิ ไม่สนหรอก” ใช่ซี้! แกล้งคนอื่นได้ตัวเขาเองคงมีความสุขล่ะ แต่จู่ๆหมาป่าตัวโตก็เริ่มเต้นพลางเอื้อมมือไปทำอะไรสักอย่างกับหลังตัวเอง “เอ๊ะ! อะไรวะ เจ็บๆ โอ๊ย!”


ส่วนผมทีแรกงงๆ จนมาร้องอ๋อแล้วแอบสมน้ำหน้าในใจเพราะสิ่งที่เขาใช้เป็นเกราะบังจากสายตาคนอื่นคือมะม่วงต้นใหญ่ แล้วพอแหงนคอขึ้นไปก็ต้องกลืนน้ำลายด้วยความสยอง โอ้วแม่เจ้า!


“เฮ้ย! รังมดแดงครับ!”


ตอนเจอครั้งแรกๆผมเองยังขนลุกเกรียว ถ้าจับเอามาเทียบไซส์ มดแดงตามบ้านในกรุงเทพที่เคยเห็นๆกันนี่กลายเป็นมดแคระไปเลย ปกติมดจะทำรังด้วยการเชื่อมใบไม้เข้าหากันจนมองดูเป็นก้อนใบไม้กลมๆ แล้วรังใหญ่ขนาดเท่าลูกส้มโอนี่ไม่ต้องนึกเลยว่าจำนวนประชากรมดที่อาศัยอยู่จะมากมายขนาดไหน และแน่นอนว่าหน่วยลาดตระเวนก็ต้องเต็มอัตราศึกเหมือนอย่างที่กำลังเดินเป็นแถวไต่ขึ้นไต่ลงลำต้นกันให้ควั่ก พอกระบวนทัพถูกรบกวนก็เลยสู้ยิบตา มีตัวหนึ่งที่ผมหยิบออกจากข้างคอคุณภากรนั่นถึงขนาดกัดติดเนื้อ ผมดึงตัวมันจนขาด หัวกับปากก็ยังงับเนื้อเขาแน่นอยู่เลย


“อุ๊ย! อูยยยย แล้วเราเป็นอะไรมั้ย โดนมดกัดหรือเปล่า โอ๊ย!” ถึงจะสงสารแต่เห็นท่าทั้งเต้นทั้งร้องเสียงหลงก็อดฮาไม่ได้


“ผมว่าคุณรีบถอดเสื้อออกเลยดีกว่า เกิดมันไต่ลงกางเกงไปด้วยจะยุ่ง”


โชคดีที่มดส่วนใหญ่ยังเกาะอยู่แค่เสื้อ เหลืออีกไม่กี่ตัวที่บุกถึงแผ่นหลัง หนักหน่อยคือต้นคอใกล้ๆโคนผมที่โดนเข้าไปสี่ ผมช่วยดึงออกก็ได้ยินเสียงร้องจ๊ากตัวละที แล้วมดพวกนี้เวลากัดจะปล่อยสารบางอย่างออกมาทำให้ทั้งแสบทั้งคัน เผลอๆคืนนี้อาจถึงขั้นนอนซม แล้วยิ่งถ้า...


“คุณแพ้แมลงหรือเปล่า?!” ผมรีบถามเพราะเคยเห็นมากับตา ตอนไปเข้าค่ายลูกเสือกันมีเพื่อนคนหนึ่งโดนผึ้งต่อยแค่ตัวเดียวแต่นอนซมไม่ได้สติ พวกอาจารย์ต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลแล้วก็เลยได้รู้ว่ามันแพ้ผึ้ง ยังโชคดีที่ถึงมือหมอทันเวลา “แบบเคยโดนมดหรือตัวแมงอะไรกัดแล้วหายใจไม่ออก มีไข้ หรือไม่ก็เป็นผื่นขึ้นทั้งตัวอะไรยังงั้นน่ะครับ”


“ไม่รู้สิ ไม่มั้ง แต่ก็ไม่เคยโดนเยอะขนาดนี้ นี่ก็แสบไปทั้งตัวเลยเนี่ย”


“งั้นรีบขึ้นบ้านไปอาบน้ำแล้วทายาหรือไม่ก็หายาแก้แพ้กินกันไว้ก่อนดีกว่าครับ”


“หืม?” คนตัวโตหยุดเต้นแล้วโน้มหน้ามาจ้องตาถาม “ห่วงเหรอ?”


“ใครว่าผม.. อุ้ย!”


ผมร้องบ้างเพราะจู่ๆก็เจ็บจี๊ดที่แขน แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร คุณภากรก็รีบหยิบเจ้ามดโชคร้ายตัวนั้นไปบด บีบ ขยี้ เท่านั้นไม่พอยังบี้ซากอัดเข้ากับร่องที่ลำต้นมะม่วง อย่างกับจะให้เป็นอนุสรณ์เตือนใจเพื่อนๆมันงั้นแหละ


“หนอย! ไอ้มดเวร นี่แน่ะ ตายซะเถอะมึง!” ยิ่งได้ฟังเสียง...ฆาตกรโรคจิตชัดๆ!


“คุณ! ทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วย!”


“ก็ไอ้มดบ้านี่อยากไม่ดูตาม้าตาเรือ ริอาจมากัดแฟนใครให้มันรู้ซะบ้าง” ผมไม่อยากบ้าไปกับเขาด้วยเลยกลับหลังหันเดินหนี อารามรีบเลยสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่าง ไม่ถึงกับล้มแต่ฟังคารมคนข้างหลังแล้วอยากจะเอาหัวโหม่งพื้นตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด 


“อ๊ะๆ! นั่นๆ ไอ้รากไม้ต้นเวรนี่ก็อีก ดันงอกขึ้นมาให้แฟนชาวบ้านเดินสะดุดแบบนี้ ถอนรากถอนโคนซะดีมั้ย”


“จะบ้าหรือไง! ตะโกนทำไมเนี่ย?! จะป่าวประกาศให้คนเข้ารู้กันทั่วเลยใช่มั้ย” ผมหันกลับมาแทบจะกัดฟันถาม


“ฉันไม่แคร์หรอกว่าคนอื่นจะรู้หรือเปล่า แต่อยากทำให้ใครบางคนแถวนี้รู้ตัวว่าฉันทั้งห่วงแล้วก็หวงมากเท่านั้นเอง” ดวงตาคมสะกดผมให้ยืนอึ้ง ส่วนหัวใจที่กำลังเต้นตึกตักก็ใช่จะหนีไปไหนพ้น แต่อย่าคิดว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์จะหยุด... “ทีนี้จะตอบได้หรือยัง... กานต์ห่วงคุณกรบ้างหรือเปล่าครับ?”


ระหว่างรอ คนตัวโตก้มมาหาแล้ววางท่อนแขนหนักๆลงบนไหล่ทั้งสองข้าง สงสัยกลัวผมจะชิ่งหนีเอาดื้อๆ แต่อยากบอกว่าที่ยืนเป็นบื้ออยู่นี่เพราะมันเขินจนนึกคำตอบไม่ออกต่างหากล่ะ 


“ผมก็จะรีบกลับขึ้นไปหายามาทาให้อยู่นี่ไงเล่า”


ท่อนแขนใหญ่ค่อยๆขยับเข้า บังคับให้ผมต้องมองตรงเข้าไปในดวงตาคมกล้า รู้สึกร้อนวูบวาบอย่างกับผู้ต้องหาโดนส่องไฟเวลาถูกสอบสวนเลย


“อื๊อออ ไม่เอา อย่าเฉไฉ ตอบให้ตรงคำถามหน่อยสิ” หมาป่าตัวโตเวลาออกเสียงหงุงหงิงยังกับลูกหมานี่ก็ฟังดูน่ารักดีแฮะ


“ไม่ได้แค่ห่วง...” คำตอบที่ดังก้องอยู่ในใจเสมอทำให้เผลอรู้สึกว่าตรงนี้มีแค่เราสองคน ผมเลยกล้าที่จะขยับเข้าไปหา สอดมือผ่านเอวสอบโอบรอบแผ่นหลังเปลือยเปล่าเพื่อรั้งตัวเองแนบสนิทแล้วกระซิบบอกกับแผงอกกว้าง “...แต่รักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าคุณกรเป็นอะไรไปผมก็คงอยู่ต่อไปไม่ได้เหมือนกันครับ”


ได้ยินคำที่ออกจากปากตัวเองก็เขินจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแต่ติดที่ยังถูกขังอยู่ในวงแขนกว้าง มือใหญ่เชยคางผมขึ้นรับรางวัลรสฉ่ำหวาน สัมผัสนุ่มละมุนแทรกซึมไปทั่วทั้งปากอย่างที่ขนมของยายเป้าก็สู้ไม่ได้ ขนาดว่าผมไม่ใช่คนติดหวานยังเริ่มรู้สึกว่าติดใจจนอยากเสพย์กินไม่สิ้นสุด ส่วนคนป้อนนั้นพูดไปก็ขำ ทั้งที่มีอาการสะดุ้งอยู่ทุกครั้งที่มือผมบังเอิญไปโดนรอยแดงเป็นจ้ำแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สงสัยเขาคงกำลังคิดว่าถึงโดนมดกัดทั้งรังก็ยังคุ้มอยู่ดี




จบตอนแล้วคร้าบ



ในส่วนของคุณภัทราพรก็ถือว่าเคลียร์จบ ผูกข้อมือรับขวัญสะใภ้เรียบโร้ย ฮิ้วววว

แต่เรื่องไม่จบง่ายๆแน่นอน ยังเหลืออีกหลายด่าน อีกหลายอุปสรรครออยู่ เป็นกำลังใจให้หนุ่มกานต์ของเรากันต่อไปนะคะ





 :bye2:






ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
คุณแม่สามียอมรับน้องแล้ววววว


แต่เอ๊ะ...จำไว่าเราเริ่มอ่านจากกลางเรื่องแล้วเม้นทุกตอน แล้วเม้นหายไปไหน

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ในที่สุดความดีของกานต์ก็ชนะใจคุณแม่สามีได้
หวังว่าต่อไปคงไม่มีเรื่องยุ่งอะไรอีกมากมายนะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กานต์ซะอย่าง ไหวอยู่แล้ว

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
กานต์พยายามเข้านะคนเขียนด้วยนะเราเป็นกำลังใจให้

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1






32.





ตรงนั้น...! ถึงจะมีต้นไม้ใหญ่บังแต่ก็ยังอยู่ตรงหน้านี่เองที่มีผู้ชาย... สองคนกำลังสวมกอดราวกับเกลียวเชือกถักไขว้จนเป็นเนื้อเดียวกัน ริมฝีปากของทั้งคู่แนบสนิท ไม่ใช่การแลกลิ้นตะกรุมตะกรามแต่เป็นท่วงท่าที่ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน ละมุนละไม คนตัวเล็กแจกยิ้มหวานชวนให้คนตัวโตยิ้มตาม ก้มลงแนบหน้าผากกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วพรมจูบทั่วใบหน้าจึงค่อยประกบริมฝีปากกันอีกครั้ง บทเพลงจุมพิตสะดุดลงเมื่อฝ่ายหนึ่งเริ่มต่อต้าน กำปั้นเล็กทุบอกเปลือยอยู่หลายทีจึงได้อิสรภาพคืนมา


ส่วนตัวเรา... ตั้งแต่เกิดโตมาจนป่านนี้ แม้แต่จับมือกับผู้ชายยังไม่เคย ถึงจะได้ดูฉากเลิฟซีนในหนังหรือภาพหวือหวาตามอินเตอร์เน็ตมาบ้าง แต่นี่... ของจริง คนจริง มาแสดงกันสดๆจริงๆจะๆลูกตาอย่างนี้ โอยยย ไม่ไหว ขาสั่นหมดแล้ว!


อ๊ะ! เรื่องยังไม่จบ... พอคนตัวโตยอมปล่อยมือ อีกฝ่ายก็อ้อมไปดูแผ่นหลังเปลือยเปล่า น่าจะมีแผลหรืออะไรสักอย่างเพราะทำให้เจ้าของแผ่นหลังสะดุ้งทุกครั้งที่โดนแตะต้อง คนตัวเล็กแอบขำ พูดอะไรสักอย่างแล้วถือเสื้อรอให้ใส่ รอจนเขาติดกระดุมเสร็จก็สอดแขนกอดเอวซบหน้าหลับตาพริ้ม เจ้าของแผ่นหลังหัวเราะแล้วย่อตัวลงรับร่างเล็กแบกขึ้นหลังเดินจากไปแบบเดียวกับฉากกุ๊กกิ๊กของพระเอกนางเอกในซีรีย์เกาหลี ทิ้งให้คน (แอบ) ดูอย่างเรา... หมดแรง ไปไหนไม่ได้อยู่ตรงนี้คนเดียว!


โฮกกก หวานเวอร์ หวานจนน่าอิจฉา มิน่า แถวนี้ถึงมีมดเดินกันให้ควั่ก... เฮ้ย! ไม่ใช่สิ ไม่ได้ๆ จะมาเพ้อไปกับฉากรักนั้นไม่ได้เพราะหนึ่งในสองคนนั้นคือน้องชายของเธอนะกัญญา น้องชายแท้ๆที่เธอเห็นมาแต่อ้อนแต่ออก น้องชายที่เธอสัญญาต่อหน้าโลงศพแม่ว่าจะดูแลอย่างดีที่สุด แล้วนี่... มันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิต ทำไมอยู่ดีๆเขาถึงได้...


ฮืออออ แม่จ๋าช่วยด้วย หนูงงไปหมด ทำอะไรไม่ถูกแล้วค่ะแม่!!


“ทำอะไรของเธอ?” เฮ่อ! ทำไมพักนี้รอบตัวเราถึงได้มีแต่สิ่งมีชีวิตเพศผู้ที่ไม่ชวนให้รู้สึกว่าโลกสดใส สวยงามนักนะ โดยเฉพาะคุณวรเมธคนนี้นี่ยิ่งแล้ว ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเขากำลังทำหน้านิ่ง น้ำเสียงเย็นชา เหมือนเอือมระอาทุกคนและทุกสิ่งอย่างรอบตัว ถ้าไม่ติดว่าจะเป็นการเสียมารยาท จะเชิญให้ไปทำหน้าเหม็นเบื่อไกลๆเลยไป ชิ้วๆ! “เอ้า ว่ายังไง จะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย ถ้าไม่นานจะรอ แต่ถ้าตั้งใจจะแช่จนรากงอกผมจะได้ขอตัว”


“ขอโทษค่ะ!” ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทแต่พอดีต้องก้มลงปัดเศษหญ้าออกจากชายกระโปรงเลยต้องลงเสียงหนักนิดนึง กลัวคนฟังจะไม่ได้ยิน


“เธอยังไม่เคยมีแฟนสินะ เจอเข้าไปแค่นี้ถึงกับแข้งขาอ่อน ไปไม่เป็นเลยล่ะสิ” คุณเลขาใหญ่แกล้งทำเป็นเดา แล้วเขาจะรู้มั้ยนะว่าถึงความจริงจะเป็นสิ่งไม่ตาย แต่บางทีก็อาจทำให้คนตายได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบมามองแล้วทำเป็นยิ้มเหมือนรู้จักคนอื่นไปซะทุกเรื่อง!


“ฉันก็แค่...ตกใจ” ใครว่าไปไม่เป็น แค่ไม่มีแรงจะไปไหนตะหาก แต่เอ๊ะ... “คุณเห็น?!”


“ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็น”


ในหูพาลอื้ออึง ส่วนสมองประมวลผลได้ความหมายซึ่งย้ำชัดว่าเรื่องที่เราคิด... จริงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! กานต์กับคุณภากรไม่ใช่แค่ลูกหนี้กับเจ้าหนี้ หรือพนักงานกับเจ้าของโรงแรมธรรมดาๆ ยิ่งภาพที่เห็นเมื่อกี้ก็ส่อถึงความสัมพันธ์ที่เกินเลยจนเรียกได้ว่าถ้าเป็นหนุ่มสาวทั่วไป ข้าวสารก็คงกลายเป็นข้าวสุกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว


แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง?! ในฐานะพี่สาวเราแน่ใจว่ารู้จักน้องชายตัวเองดียิ่งกว่าใคร จริงอยู่ที่กานต์ดูบอบบางน่ารัก แต่ถึงยังไงก็แมนร้อยเปอร์เซ็นต์ น้องไม่เคยมีความลับ ไม่เคยโกหก มีเรื่องอะไรก็บอก มีปัญหาก็มาปรึกษาตลอด แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้?!


“ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ใครก็ตามที่เข้าไปแทรกกลาง ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือร้ายก็ต้องเรียกมือที่สามซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ กานต์อาจจะเป็นน้องชายเธอแต่เธอก็ควรให้เกรียติและเคารพการตัดสินใจของเขานะ”


อีกครั้งที่เขาแค่มองตาแล้วก็รู้ไปถึงความคิด แต่จะให้เรายอมรับ ยินดี หรือแค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อ...


“แต่ถ้าท่านประธานของคุณจะมาหลอกกานต์ล่ะ ที่ผ่านมาเขามีข่าวกับผู้หญิงตั้งเยอะแยะ จะให้ฉันเชื่อว่าจู่ๆเขาจะมาชะ...ชอบ...” โอยยย แค่จะพูดออกมายังยาก มันกระดากปากยังไงก็ไม่รู้!


“ผมก็ไม่อยากเชื่อว่าเธอถึงขนาดไปสืบประวัติคุณภากร อย่าบอกนะว่ากับผมเธอก็...?”


“เจ้าของโรงแรมใหญ่ขยับตัวนิดเดียวก็เป็นข่าว ไม่เห็นต้องลำบากไปสืบอะไรให้ยุ่งยากเลย ส่วนเรื่องของคุณ ฉันไม่เห็นจะอยากรู้สักนิด”


เดี๋ยวนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรถามอากู๋เป็นรู้ไปหมด แค่คลิกเดียวก็ขึ้นมาเป็นพรืด สำหรับคุณภาการคนนี้ นอกจากข่าวในด้านหน้าที่การงาน เรื่องสาวๆก็มีมากจนลายตา หรือคิดอีกทีอาจจะเป็นแค่ข่าวปล่อยของฝ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมชื่อเสียงของโรงแรมหรือเปล่านะ ส่วนรายตาแว่นนี่ ไม่มีข่าวน่ะดีแล้ว เพราะจะพาลทำโรงแรมหม่นหมองไปซะเปล่าๆ


“แต่ผมว่ารู้ไว้บ้างก็ดีนะ ไหนๆอีกหน่อยเธอก็ต้องมาทำงานที่โรงแรมแล้ว”


“ขอโทษอีกครั้ง เผอิญว่าฉันยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรทั้งนั้นค่ะ”


เรารู้ตัวดีว่ากำลังเสียมารยาท อย่างน้อยเขาก็อายุมากกว่าแถมยังเป็นฝ่ายที่หยิบยื่นโอกาส... ทุนการศึกษาพร้อมค่าใช้จ่ายส่วนตัวทุกอย่างโดยไม่มีพันธะว่าจะต้องใช้คืนแต่ประการใด พ่วงด้วยข้อเสนอตำแหน่งสำหรับนักศึกษาฝึกงานซึ่งจะทำให้เรียนจบระดับปริญญาตรีได้อย่างผ่านฉลุย... ถามหน่อยเถอะว่าสำหรับคนอย่างเรา ถ้าไม่ใช่ความฝันแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก แต่ที่เรายังไม่ตกลง ไม่ใช่จะเล่นตัว แต่เพราะทำยังไงมันก็ไม่สนิทใจ ยังรู้สึกเคลือบแคลง สงสัย ยิ่งมาเจอภาพที่ทำให้ตาค้างอย่างเมื่อกี้จะให้คิดได้อีกเหรอว่าเรื่องทั้งหมดเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ


“เดี๋ยว!” รายนี้ก็ทำตัวได้น่าไว้ใจตายล่ะ ทั้งสายตาที่ทำให้ต้องระวังตัว ทั้งคำพูดที่ฟังแล้วต้องคิดตามอยู่ตลอดเวลา แล้วไหนจะการกระทำแปลกๆตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกัน จนมาถึงเรื่องสำคัญก็ยังจะมาเดินหนีกันดื้อๆอีก “ตกลงเรื่องของกานต์กับคุณภากรมันเป็นยังไงกันแน่คะ?!”


“ขอโทษเช่นกันครับ เผอิญว่าเรื่องนี้ผมคงไม่ใช่คนที่มีอำนาจในการตัดสินใจ” ย้อนแล้วยังจะมาจ้องหน้า กล้ามาก อยากถามจริง เคยยืนอยู่เฉยๆแล้วแว่นแตกมั้ย! “แต่ถ้าผมเป็นคุณ ถึงโวยวายออกไปก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ทุกคนย่อมต้องการเวลาตัดสินใจ บางครั้งการที่เราเงียบไว้แล้วรอดูละครฉากนี้ต่อไปน่าจะดีกว่านะครับคุณกัญญา”


คนบ้าชอบพูดจาให้ฟังไม่รู้เรื่องแล้วเดินหนี ลำบากให้เราต้องรีบวิ่งตาม ไม่อย่างนั้นคงได้พลัดหลงเหมือนอย่างทีแรกที่เราทำเป็นเก่งเลยเดินนำมาก่อนเพราะคิดว่าเดินไปตามทางเดี๋ยวก็ถึงตัวบ้านเอง แต่ดันไปโผล่กลางสวนมะม่วงโน่น คงต้องโทษความป้ำๆเป๋อๆของตัวเราที่มัวละลานตาไปกับโลกอีกใบที่แสนสงบร่มรื่นทั้งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพเลย และพอมาถึงจุดหมายก็ต้องตกตะลึงตาค้างราวกับหลุดเข้ามาในฉากละครพีเรียดที่มีเรือนไทยหลังใหญ่อลังการเป็นฉากสำคัญ เหนือสิ่งอื่นใดคือความดีใจที่ได้เจอคนที่อยากเจอเสียที กานต์เองก็คงเหมือนกันเพราะพอเห็นเราก็รีบทิ้งคนที่อยู่ด้วยกันวิ่งมาหา เราเลยต้องยิ้มสู้ แกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่เอะใจ ไม่สงสัยอะไรทั้งนั้น


“พี่กัญ! พี่กัญรู้ได้ไงว่ากานต์อยู่ที่นี่ แล้วนี่มายังไง มากับใคร พี่กัญสบายดีมั้ย ผอมลงป่าวเนี่ย สอบเสร็จแล้วเหรอ เกรดออกยัง ได้เอกี่ตัว โอ๊ย กานต์ดีใจจังครับ!”


เราหาช่องแทรกตอบไม่ทันเลยได้แต่ยิ้มแล้วกอดน้องให้หายคิดถึง อารมณ์กำลังดีๆอยู่เชียวก็ดันโดนคนนอกกวนซะได้...


“แต่ฉันว่าเขาคงไม่ดีใจที่ได้มาเจอนายแล้วมั้ง เล่นถามซะยาวเป็นขบวนรถไฟ อย่าว่าแต่ให้ตอบ แค่ฟังอย่างเดียวยังไม่ทันเลย”


“ก็ผมดีใจที่ได้เจอพี่กัญนี่ ไม่เกี่ยวกับคุณเมธซะหน่อย  เอ๊ะ! ตกลงคุณเมธเป็นคนพาพี่กัญมาเหรอครับ”


“ถ้าพี่สาวนายไม่ได้เหาะมาที่นี่ได้เองก็คงใช่ล่ะ”


ฟังเอาเถอะ! นี่น่ะเหรอที่กานต์เคยบอกว่าไม่เพี้ยน ถ้าลองเอาไปเทียบกับคุณภากรที่ยืนกอดอกพิงราวบันไดอยู่ตรงโน้น (แต่ต้องตัดข้อที่ว่าเขากับกานต์...!) คุณวรเมธอะไรเนี่ยทั้งกวนประสาท ทั้งขี้แกล้งตัวพ่อ!


“คุณเมธอย่ามาว่าพี่ผมเป็นแม่มดนะ!”


“แล้วทำไมไม่คิดว่าฉันจะชมว่าเขาเหมือนนางฟ้าบ้างล่ะ?!”


“ก็อย่างคุณเมธน่ะ...”


“พอสักทีนะกานต์!” เอ็ดน้องแต่ที่จริงแอบด่าคนข้างหลังนี่ตะหาก เป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า หน้าที่การงานก็ใหญ่โต มายืนเถียงกับเด็กข้ามหัวเราอยู่ได้! “เราเป็นเด็กไม่ควรเถียงคนที่แก่กว่า จำที่แม่เคยสอนไม่ได้หรือไง”


ต้องทำอย่างนี้ความสงบสุขถึงได้กลับคืนมาสู่กบาล จากนั้นกานต์ก็พาไปหาคนที่รออยู่ เรายังไม่ทันคิดอะไรแต่มือของน้องบีบแขนเราแน่นขึ้น คงจะเกร็งที่เห็นพี่สาวกับ... เอ่อ... เจ้านาย (แล้วกัน) มาเผชิญหน้า เรายกมือไหว้คุณภากรในฐานะที่เด็กกว่า เขาก็รับไหว้ตามปกติแล้วเอ่ยปากถามสบายๆ ไม่มีท่าทางร้อนตัว


“ได้ข่าวว่าสอบเสร็จแล้ว ถ้าว่างก็มาหากานต์ได้ จะที่นี่หรือที่โรงแรมก็ยินดีต้อนรับนะ” เรารับคำสั้นๆ แต่จ้องตาไม่มีหลบ อีกฝ่ายคงรู้เลยเปิดทางให้  “มีอะไรอยากคุยกับฉันเป็นการส่วนตัวมั้ย”


เรายังไม่แน่ใจว่าจะวางตัวเองอยู่ในตำแหน่งไหน คำแนะนำของนายเลขาหน้าตายยังติดหู ดูๆไปการทำเหมือนไม่รู้อะไรเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อนอาจเป็นหนทางที่ดี แต่กลายเป็นคนข้างตัวเรานี่สิที่ออกอาการกว่าใคร พอเห็นเรานิ่ง น้องก็ยิ่งลน กระตุกแขนเรายิกๆเชียว


“ตอนนี้หนูยังไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไร เอาไว้ถ้าแน่ใจเมื่อไหร่หนูคงต้องขอรบกวนเวลาคุณนะคะ”


“ได้สิ ฉันพร้อมเสมอ งั้นเอาเป็นว่าตอนนี้ขึ้นไปไหว้แม่ฉันก่อน แล้วจากนั้นสองพี่น้องค่อยไปคุยกันให้หายคิดถึงดีมั้ย”


ตอนที่คุณภากรพูดถึงคุณแม่ของเขา เราอดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ ที่เคยได้ข่าวมา คุณภัทราพรถือเป็นไฮโซแถวหน้า ภาพตามข่าวท่านดูเป็นคนดุ เข้มงวด และน่าจะถือตัวไม่น้อย มีหรือที่คนลักษณะนี้จะยอมรับความรักที่ผิดประหลาดไป แล้วยิ่งคนเป็นแม่จะยอมให้ลูกชาย... เอ๋! ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาทเราอยากยกมือขยี้ตาให้แน่ใจว่าตาไม่ฝาด เพราะพอขึ้นมาถึงบนเรือน คุณภัทราพรก็กวักมือเรียกกานต์เข้าไปหา ท่าทางสนิทชิดเชื้อกันยิ่งกว่าลูกชายตัวจริงเสียอีก


“เห็นจะจริงนะ กานต์น่ะคงเหมือนแม่ แต่พี่สาวสงสัยจะออกไปทางพ่อมากกว่า” คุณภัทราพรมองหน้าเราสองพี่น้องแล้วเปรยยิ้มๆ แล้วค่อยหันมาเจาะจงพูดกับเราด้วยน้ำเสียงปรานีผิดคาด “หนูมาที่นี่ก็ดี น้องจะได้ไม่เหงา ถ้าไม่รีบไปไหนอยู่ค้างสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับ เพราะเดี๋ยวฉันกับกานต์ก็ต้องกลับไปเตรียมตัวไปงานที่โรงแรมเหมือนกัน”


“นะพี่กัญนะ ค้างเหอะคืนเดียวเอง พี่กัญนอนห้องน้ารื่นแล้วก็ยืมเสื้อผ้าน้ารื่นเปลี่ยนไปก่อน ได้ใช่มั้ยครับ”


เรายังไม่ทันได้ตอบ กานต์ก็รีบเข้ามาอ้อนให้ตกลง ท่าทางคงแผลงฤทธิ์ไว้มาก คนทั้งบ้านตั้งแต่นายยันบ่าวเลยเห็นดีเห็นงาม พากันเอาใจเขาทุกอย่าง จะเรียกว่าพรสวรรค์หรือความเจ้าเล่ห์แสนกลก็คงได้ เพราะแต่ตั้งแต่เล็กจนโต ยังไม่เคยเห็นมีใครรอดพ้นจากลูกอ้อนของเจ้าหมอนี่ได้เลยสักราย


สรุปเราเลยตกลงค้างที่เรือนไทยนี้หนึ่งคืน หลังอาหารเย็นมื้อใหญ่ที่รสชาติอร่อยจนบรรยายไม่ถูก คุณภัทราพรก็ขอตัวไปสวดมนต์ทำสมาธิในห้องพระกับคุณรื่นฤดี คุณภากรกับเลขามีเรื่องงานคุยกันต่อ แต่เห็นเรียกหาเบียร์มาจิบไปพลางๆคงจะเป็นเรื่องงานได้ไม่นาน เราสองคนพี่น้องจึงค่อยมีเวลาเป็นส่วนตัวเลยหลบมานั่งคุยกันที่ชานเรือนอีกฝั่ง


“วันก่อนพ่อโทรหาพี่ด้วยนะ ตอนนี้พ่อไปทำงานกับเพื่อนที่เมืองจันทร์ ทั้งช่วยงานในไร่แล้วก็ขับรถส่งผลไม้ ถ้าวันไหนได้เข้ามากรุงเทพก็คงจะแวะเข้ามาหาพวกเราได้บ้าง” ก่อนอื่นก็ต้องบอกข่าวที่แน่ใจว่าจะทำให้กานต์ยิ้มได้ แล้วก็จริง น้องยิ้มกว้างทำเอาเรายิ้มตามไปด้วย “พ่อบอกว่ากำลังเก็บเงิน ถึงจะไม่มากแต่ก็จะรีบหามาใช้หนี้จะได้พากานต์กลับไป อีกหน่อยเราสามคนพ่อลูกจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกไง”


แต่เอ๊ะ! ทำไมจู่ๆรอยยิ้มของกานต์ถึงได้ดู... เจื่อนไป


“พี่กัญ...” น้องทำเป็นก้มหน้า แต่คือการหลบตาเราชัดๆ “ฝากบอกพ่อได้มั้ยว่าไม่ต้องลำบากเรื่องกานต์หรอก กานต์อยู่ที่นี่สบายดีพี่กัญก็เห็น”


“แล้วกานต์ไม่อยากอยู่กับพี่กับพ่อเหรอ” เป็นคำถามที่หลุดออกไปทั้งที่ตัวเรายังไม่พร้อมจะยอมรับคำตอบ กานต์เองก็คงนึกกลัว ไม่อยากทำให้เราผิดหวังในตัวเขา คิดแล้วก็เจ็บใจที่ต้องยอมรับว่านายแว่นพูดถูก นี่เป็นเรื่องที่กานต์ต้องตัดสินใจเอง ถ้าเขายังไม่พร้อมจะบอก เราก็เป็นได้แค่คนดูที่คอยเอาใจช่วยอยู่ห่างๆเท่านั้น


“พี่กัญ กานต์...” เห็นอย่างนี้ยิ่งน่าสงสาร น้องคงสับสนเต็มที ส่วนตัวเราก็ต้องขอเวลาทำใจไปอีกสักพัก


“บ้าจริง! พี่ก็ถามอะไรไม่คิดเนอะ ถึงยังไงพ่อก็คงหาเงินตั้งห้าแสนไม่ได้เร็วขนาดนั้นหรอก เผลอๆให้พี่เรียนจบ มีงานทำแล้วเอาเงินเดือนมาจ่ายคุณภากรจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ เฮ้อ! เป็นหนี้เขานี่ไม่ดีเลย ไม่เอาๆ เปลี่ยนเรื่องคุย คุยเรื่องอะไรกันดีล่ะ อืมมม”


“กานต์รักพี่กัญนะ”


บอกเสร็จก็โผเข้ามากอด ไม้ตายของเขาล่ะ แล้วเราจะทำอะไรได้นอกจากกอดน้องเอาไว้ด้วยความรู้สึกเดียวกัน นานแล้วสินะที่สองคนพี่น้องจะได้มานั่งคุยเล่นโดยไม่ต้องห่วงหรือกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับครอบครัวของเราอีก พอตกกลางคืนที่นี่ก็ยิ่งบรรยากาศดี สายลมเย็นสบายหอมกลิ่นดอกไม้ รีดหริ่งส่งเสียงร้องคลอกับกระดิ่งลมตามชายคารอบเรือน อย่างเดียวที่หนวกหูคือเสียงโหวกเหวกจากอีกฟาก มองไปเห็นผู้ชายตัวโตๆสองคนกำลังออกท่าเล่นเกมส์กันอย่างเมามันส์ ส่วนหนุ่มน้อยทางนี้ก็สบายสุดๆเพราะเอนตัวลงมานอนตักแล้วยังเอามือเราไปลูบหัวตัวเองอีก


“จริงด้วยครับ กานต์ก็ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว ทำไมอยู่ดีๆพี่ถึงมาที่นี่กับคุณเมธได้อ่ะ” แต่จู่ๆมาถามแบบนี้มันน่าผลักหัวลงไปโขกกับกระดานเรือน


“ก็...” ถ้าเอาแบบง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนที่สุดก็ต้อง “...พี่เข้าไปหากานต์ที่โรงแรม คุณคนนี้บอกว่าจะมาหากานต์ที่นี่แล้วก็เลยชวนให้มาด้วยกัน”


“แปลกแฮะ ปกติพี่กัญไม่ยอมไปไหนๆกับคนไม่รู้จักหรอก แล้วนี่ไปสนิทกันยังไงทำไมกานต์ไม่เห็นรู้เลย” น้องทำหน้ายุ่งจนเราใจแป้ว แต่ลงท้ายก็คิดเดาเรื่องไปเอง เราเลยรอดตัวไป “อ๋อ! สงสัยตอนที่กานต์เจ็บตัวแหงเลย คุณกรยังบอกว่าพี่กัญตามไปหากานต์ที่คลินิกด้วยนี่”


“เอ่อ...อืม ก็นั่นแหละ”


ถ้าจะให้เล่ากันจริงๆก็ไม่ใช่ที่นั่นหรอก เพราะตอนนั้นเรากำลังตกใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นใคร กว่าจะจำได้ว่าเป็นเขาก็ตอนที่นั่งรถมาจนถึงคอนโดของอาสารภีแล้ว แต่ถ้าเป็นครั้งแรกจริงๆก็นานกว่านั้น ตอนที่กำลังออกจากห้างจะเดินไปขึ้นรถเมล์ เราเห็นกานต์มองไปทางรถคันหนึ่งที่จอดติดไฟแดงอยู่ พอถูกทักน้องก็หันกลับมาทำเหมือนไม่มีอะไร เราสงสัยเลยหันไปมองบ้าง เป็นจังหวะที่ผู้ชายคนนั้นหันมาพอดี มันเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้คิดว่าเขาเองก็กำลังมองตอบ เรายิ้ม เขาก็ยิ้ม เกิดเป็นการทักทายและทำความรู้จักกันชั่วแวบหนึ่งก่อนที่สัญญาณจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียว เขาจึงก้มหัวให้แทนคำลาแล้วขับรถจากไป ไม่รู้ว่าเขาจะยังจำเรื่องนี้ได้หรือเปล่านะ


“แล้วคุณกรก็บอกว่าจะให้ทุนพี่กัญเรียนต่อด้วย เรื่องไปถึงไหนแล้วล่ะครับ”


สำหรับเรื่องนี้ยอมรับว่าเป็นโอกาสดีอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันก็มีเรื่องให้น่าโมโหตั้งแต่เริ่ม คืนนั้นพอถึงที่คอนโด เรายกมือไหว้ขอบคุณ แต่คุณวรเมธนั่นก็ทำท่าเหมือนต้องทำตามคำสั่งเจ้านายอย่างเสียไม่ได้ ตอนเราจะลงจากรถ เขายื่นนามบัตรมาให้ไม่พูดไม่จา พอเราบอกว่าไม่ขอรับ...


‘อะไรทำให้เธอแน่ใจว่าเราจะไม่มีธุระให้ต้องติดต่อกันอีกล่ะ’


เมื่อประตูเปิดไฟในรถก็สว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ เลยได้เห็นว่าคนถามยังพลิกดูนามบัตรตัวเองเล่น แววตาสุขุมเยือกเย็นทำเอาเรารู้สึกหนาวสันหลังพิกล


‘หวังว่าธุระที่คุณพูดถึงจะไม่เกี่ยวอะไรกับกานต์?!’


‘หรืออาจจะเป็นตัวเธอเอง...’


เป็นคำตอบที่ฟังแล้วไม่เห็นรู้เรื่อง สายตาที่พุ่งตรงมานั่นยิ่งทำให้ไม่อยากรู้ แต่คิดแล้วก็อดกลัวไม่ได้ ถึงจะมีโรงแรมใหญ่โตเป็นฉากบังหน้าก็ใช่ว่าจะธุรกิจของคนพวกนี้จะขาวสะอาด


‘แล้วทำไมต้องเกี่ยวกับฉันด้วย อย่าบอกนะว่าพวกคุณจะให้ฉันไปใช้หนี้แทนพ่ออีกคน!’


‘หมายถึงเรื่องทุนการศึกษาที่เจ้านายผมพูดถึงต่างหาก ใช้จินตนาการในทางที่สมเหตุสมผลหน่อยก็จะดีนะครับคุณกัญญา’ เขาไม่ถึงกับหัวเราะแต่น้ำเสียงมีรอยขันเต็มที่ ‘ผมยังไม่แน่ใจว่าจะมีเวลาทำเรื่องให้เมื่อไหร่ คุณโทรเข้ามาเช็คเอาเองก็แล้วกัน ถ้าไม่เจอผมก็ถามคุณพัชรี เลขาผมได้’


เรากำลังอึ้ง โกรธ และโคตรจะอายจนไม่ทันระวังตัว เขาเลยฉวยเอามือเราไปแล้ววางนามบัตรใบนั้นใส่มือให้อย่างใจเย็น พอเราจะชักมือกลับ...


‘ผมไม่เคยให้นามบัตรใครเป็นครั้งที่สอง อย่าทำหายล่ะ’ เขาบอกแล้วยกมุมปากนิดๆ เรากระตุกมืออีกครั้งเขาจึงค่อยปล่อยมือพร้อมเอ่ยลา ‘ฝันดีนะครับ’


ช่างเป็นคำอวยพรที่ให้ผลตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงเพราะกว่าเราจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบเช้า แล้วนับจากนั้นชีวิตที่เคยสงบสุขก็มีอันต้องปั่นป่วน ยังไม่ทันที่เราจะรวบรวมความกล้าเพื่อกดเลขหมายที่ปรากฏอยู่บนนามบัตรใบนั้น คนที่อ้างว่างานยุ่งกลับเป็นฝ่ายโทรมา หรือไม่ก็ให้คุณพัชรีเป็นคนติดต่อ ถึงจะอ้างว่าต้องการข้อมูลเพื่อร่างสัญญา แต่บางครั้งก็จุกจิกหยุมหยิมจนเราอดเกรงใจเธอไม่ได้


“กานต์” ยังดีที่เราแค่สะดุ้งนิดเดียว คงไม่เป็นที่สังเกต ส่วนคนถูกเรียกรีบลุกขึ้นรอรับคำสั่ง “ไปดูอาการเจ้านายเราหน่อย บ่นว่าจู่ๆก็ร้อนๆหนาวๆเหมือนจะเป็นไข้แน่ะ”


คุณวรเมธบอกแล้วใช้สายตาพาพวกเราหันไปที่อีกฟากของเรือน คนที่ดูคึกคักอยู่เมื่อกี้กลับนอนหงายหลังพิงหมอนขวานใบโต ท่าทางหมดแรง... เกินไปยังไงก็ไม่รู้?


“เหรอครับ! สงสัยเพราะโดนมดรุมกัดเมื่อเย็นแน่เลย งั้นพี่กัญอยู่คุยกับคุณเมธนะ กานต์จะรีบไปดูคุณกรก่อน แป๊บเดียวครับ”


เห็นชัดว่ากานต์ไม่คิดอย่างเราแน่ เพราะพูดไม่ทันจบประโยคก็รีบวิ่งตัดเรือนไปหาคน (แกล้ง) ป่วย แล้วก็พากันประคองเข้าห้องไป ส่วนเราก็ต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดว่าหลังประตูบานนั้นกำลังเกิดอะไรขึ้น แต่คนที่เหลืออยู่ด้วยกันก็ยังจะช่วยบิวท์อีกแน่ะ!


“เดาได้ใช่มั้ยว่าท่านประธานของผมคงไม่ปล่อยน้องชายเธอออกมาง่ายๆ”


“งั้นฉันไปนอนเลยดีกว่า เกรงใจคุณน้ารื่นด้วย ขอตัวนะคะ”


“เดี๋ยวสิ” เราไม่ได้หยุดเพราะเสียงเรียก แต่เป็นซองเอกสารที่เขายื่นมาให้ ถ้าจำไม่ผิดเห็นเขาถือติดมือมาตั้งแต่ที่โรงแรมแล้ว “คุณกรเพิ่งลงชื่อให้เมื่อกี้ ที่เหลือก็รอแต่การตัดสินใจของฝ่ายผู้รับทุนเท่านั้น”


พอเรารับของมา คนให้ก็ทำเหมือนหมดหน้าที่ หันหลังเดินหนีไปทันที


“เดี๋ยวค่ะ!” แล้วที่เราวิ่งตามเขามา...? “ฉัน... เอ่อ... ขอบคุณนะคะ”


คนตัวสูงหันกลับมา ยกมือขยับแว่นซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม อาจจะเป็นแค่ความเคยชินหรือแก้เขินหรือเปล่า เพราะรู้สึกว่าแก้มเขาจะขึ้นสีนิดหน่อย แต่สายตาเนี่ยต้องเรียกว่าวาววับเชียวล่ะ


“ผมจะถือว่านั่นคือคำตอบตกลง ส่วนเรื่องขอบคุณควรจะไปขอบคุณคุณกรมากกว่า เพราะผมมีหน้าที่แค่ดำเนินการตามคำสั่งเท่านั้น แต่ถึงยังไงก็ขอแนะนำให้อ่านเนื้อหาอย่างละเอียด เพราะเมื่อไหร่ที่คุณเซ็นชื่อจะถือเป็นการผูกมัดตัวเองกับข้อสัญญาทั้งหมดทันที ถ้าคุณตกลงใจเรียบร้อยก็เซ็นชื่อแล้วเอากลับมายื่นที่โรงแรม ผมจะรอ...”


เขาชะโงกมาหาเลยยิ่งเห็นรอยแดงบนโหนกแก้ม พร้อมกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆจากลมหายใจที่ทำเอาเรามึนตามไปด้วย


“รอ... ฉัน?!”


แม้จะดูเข้าข้างตัวเองไปบ้างแต่มันช่วยไม่ได้ที่จะคิดอย่างนั้น ก็ในดวงตาของเขามีใบหน้าของเราชัดจนเหมือนส่องกระจกเลยนี่น่ะ แต่คนชอบพูดให้คิดก็ทำให้เราได้ยินเสียงเพล้งเต็มสองรูหู...


“สัญญาต่างหากครับคุณกัญญา”


สาบานให้ฟ้าผ่าอีตาบ้านี่ให้ตายๆไปซะเลย! นายวรเมธที่กานต์รู้จักจะต้องมีฝาแฝดแน่ๆ คนหนึ่งสุขุม เยือกเย็น เป็นเจ้านายสุดโหด ส่วนอีกคนคือจอมกวนประสาทที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น หรือไม่อย่างนั้นอีตาเลขาบ้านี่ก็ต้องมีอาการทางจิต เป็นมนุษย์สองบุคลิกที่แสร้งทำตัวปกติต่อหน้าคนอื่น แต่กับเรา... ถ้าอย่างเขาไม่เรียกว่าเพี้ยน โลกนี้ก็คงหาคนปกติไม่ได้แล้ว!!






จบตอนแล้วคร้าบ





เปลี่ยนมาจื๊ดๆที่พี่สาวกับคุณเลขากันบ้าง อาจจะน้อยไปนิดเพราะแวบมาแค่ตอนเดียว ส่วนบทสรุปของคู่นี้จะไปอยู่ที่ตอนพิเศษซึ่งรับรองว่ามีพลิกล็อค ทั้งฮา หวานจนเดาทางไม่ถูกเลยล่ะค่ะ



ตอนหน้าไปเที่ยวงานคริสต์มาสกัน เย้!




 :bye2:




ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
คนน้องได้เจ้านาย
คนพี่ได้คุณเลขา

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ทำไมขี้แกล้งอย่างนี้!!!!!! คุณวรเมธ เล่นเอากัญญาใจพลิกคว่ำพลิกหงายหลายตลบเลย

ออฟไลน์ Dolamon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่ารักจังเลยพี่น้องคู่นี้
 :impress2: :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กานต์ ได้ไฟเขียวจากคุณภัทราพรแล้ว :mew1:
ลูกไม้ ไม่สบายของคุณกร เขารู้กันละ
กานต์ที่ว่าไปแป๊บเดียว คงไม่ได้ออกมาจากห้องแน่ๆ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คุณเมธ กัญญา จะรอการจีบของของคุณเมธอยู่นะ :mew1:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
มุกแกล้งป่วยเดิมๆแต่ก็ได้ผลประจำ 555

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
พี่กัญญาโดนจีบ 555

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1







33.






แสงไฟโดยรอบถูกหรี่ลง เสียงประสานเพื่อนับถอยหลังก็ดังกระหึ่ม สปอตไลท์ดวงใหญ่วิ่งวนไปทั่วสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ จนเมื่อถึงวินาทีสำคัญจึงหยุดสนิทยังจุดที่หนุ่มน้อยในชุดทักสิโดขาวยืนเด่น ดวงหน้าอ่อนใสมีรอยยิ้มเกร็งๆเพราะอาการประหม่าจากการเป็นจุดสนใจ ดวงตากลมโตหรี่ลงเพื่อเลี่ยงแสงไฟแต่ก็ยังพยายามทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ เมื่อเขากดนิ้วลงยังตำแหน่งที่กำหนดไว้ แสงจ้าก็ดับวูบในจังหวะเดียวกับที่ดวงไฟหลากสีซึ่งจัดประดับตกแต่งรอบต้นคริสต์มาสสูงใหญ่ และทั่วบริเวณโรงแรมพลันสว่างขึ้นราวกับดวงดาวอันสุกสกาวสดใส เป็นนิมิตหมายถึงการเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญ และในอีกวาระหนึ่งซึ่งรู้กันเป็นการภายในคือการอวยพรวันคล้ายวันเกิดให้กับเจ้าของโรงแรมหนุ่มรูปงาม... อ้อ! ก็ผมนั่นเอง!


นับตั้งแต่ได้รับตกทอดอาณาจักรที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือของพ่อ นี่ถือเป็นวันเกิดปีแรกที่ผมมีความสุขจนไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร มองไปรอบตัวเห็นแต่รอยยิ้มของผู้คน ความตื่นตาตื่นใจกับการประดับตกแต่งที่ต้องบอกว่างดงามอลังการยิ่งกว่าที่เคยจัดมา บรรยากาศอบอวลไปด้วยความยินดีเพื่อต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข และสำหรับเจ้าของวันเกิดคือตัวผมเอง ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาในตอนนี้มีค่ายิ่งกว่าคำอวยพรหรือของขวัญชิ้นไหนๆ... คุณภัทราพรออกงานในชุดราตรียาว งามสง่าเหมือนเช่นทุกครั้ง และแม้อาการบาดเจ็บจะหายจนเป็นปกติแต่ท่านก็ยังเรียกหาให้หนุ่มน้อยในชุดทักซิโดขาวมาอยู่เคียงข้าง มองเผินๆเหมือนเขามีหน้าที่คอยยื่นมือให้เกาะ  แต่ถ้าดูดีๆ แม่ผมต่างหากที่จับมือนั้นไว้แล้วพาจูงไปอวดใครต่อใครทั่วงาน


ในค่ำคืนนี้ ไม่ว่าแขกเหรื่อที่ทยอยกันเข้ามาทักทาย หรือกระทั่งช่างภาพ นักข่าวที่ทางโรงแรมเชิญมาร่วมงานจะได้มีโอกาสทำความรู้จักกับหลานชายซึ่งคุณภัทราพรรับมาอุปการะด้วยความรักใคร่เอ็นดูเสมือนหนึ่งลูกชายคนเล็กของตระกูล ไม่มีคำตอบสำหรับปูมหลังชีวิตแต่เป็นอันรับรู้ว่านับจากนี้เขาคือส่วนหนึ่งของครอบครัว ส่วนอนาคตนั้นถูกวางตัวไว้ให้เดินทางไปศึกษาต่อเพื่อนำความรู้กลับมาช่วยดูแลกิจการในวันข้างหน้า ด้วยข้อมูลที่ยืนยันจากตัวท่านเองแบบนี้จึงเท่ากับเป็นการปิดปากหุ้นส่วน บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโรงแรม และพวกช่างนินทาในแวดวงสังคมได้เป็นอย่างดี บวกกับภาพความสัมพันธ์ใกล้ชิด และความน่ารักขี้อ้อนของเจ้าตัวด้วยแล้ว  รับรองว่าจบจากงานนี้กานต์ของผมต้องดังเป็นพลุแตก แต่เหมือนอย่างที่มีคำกล่าว ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีใครได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องเสียอะไรสักอย่าง และคงมีแต่ผมที่รู้แก่ใจว่าความสุขนี้ต้องแลกมาด้วยสิ่งใด...


สายวันนี้ หลังจากพากันกลับมาถึงบ้านใหญ่ แม่ให้หัวหน้าแม่บ้านพาลูกชายคนใหม่ขึ้นไปทำความคุ้นเคยกับห้องส่วนตัวซึ่งยังนับว่าเป็นความปรานีที่แม้จะให้จัดห้องแยกต่างหาก แต่ก็เป็นห้องแฝดที่มีประตูเปิดเชื่อมกับห้องนอนของผม พอกานต์ลับสายตาไปท่านก็ลากผมมานั่งคุยกันเป็นการส่วนตัว


‘แม่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่คัดค้านเรื่องกานต์ แต่กรก็ควรเข้าใจแม่บ้าง’


คราวนี้ไม่มีอารมณ์โกรธเกรี้ยวดุดัน ไม่ใช่ทั้งคำสั่งหรือการตามใจ แต่เป็นการพูดคุยด้วยเหตุผล รับฟังซึ่งกันและกันแล้วช่วยกันหาทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึก... เป็นรองยังไงก็ไม่รู้!


‘แม่ยอมรับนะว่ากรตาถึง กานต์น่ารักกว่าที่แม่คิดและแม่ก็ชอบแกมาก’ แม่มองรอบตัวด้วยแววตาเหงาๆเท่ากับปิดปากผมได้สนิท ‘บ้านเราถึงจะใหญ่โตแต่ก็ขาดชีวิตชีวามานานเหลือเกิน ทั้งกรทั้งภาอยู่ก็เหมือนไม่อยู่ มีกานต์มาอยู่ด้วยอย่างนี้แม่จะได้ไม่เหงา เวลาไปไหนๆก็จะได้มีเพื่อน แต่เรื่องงานที่โรงแรมกรไม่ต้องห่วง พอเช้าให้รถที่บ้านไปส่งแล้วรอรับกลับตอนเย็น กานต์เองก็คงไม่มีปัญหาอะไร เป็นอันตกลงตามนี้นะ’


ผมรู้ว่าไม่ใช่จังหวะที่ควรพูดอะไร และเท่าที่ฟังถึงตรงนี้ยังไม่นับว่ามีอะไรเสียหาย แค่ปล่อยให้กานต์ห่างไปสักหน่อยแลกกับความสุขของแม่นั้นนับว่าคุ้ม ส่วนตัวผมเองก็แค่ต้องกลับมานอนบ้านมากขึ้น ยังไหวๆ พอรับได้อยู่


 ‘แล้วแม่ก็คิดไว้นะว่าอยากจะให้กานต์เรียนต่อ ยังเด็กยังเล็กถ้าหยุดเรียนไปเลยเสียดายแย่ ถึงไม่กลับเข้าโรงเรียนก็จะหาครูมาสอนที่บ้าน อย่างน้อยฝึกภาษาให้คล่องๆแล้วค่อยส่งไปเรียนต่อ อย่างพวกการโรงแรมเหมือนที่ตาเมธเรียนมานั่นก็ดี อีกหน่อยกรจะได้มีคนช่วยงานเพิ่มไงล่ะ’


เอ๊ะ! อันนี้ชักไม่ดีแฮะ ระยะห่างเริ่มจะไกลไปหน่อยมั้ย แล้วคิดดูว่าอย่างกานต์ไปอยู่กลางดงฝรั่ง เดี๋ยวก็ได้มีไอ้หัวทอง หัวแดง หรือจะหัวดำมาเดินตามเป็นฝูงหรอก!


‘แต่กานต์ยังเด็กมากนะครับ’


‘ถึงอายุจะเท่านี้แต่แม่ว่ากานต์มีความคิดอ่านโตเกินวัย เป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กรุ่นเดียวกันตั้งเยอะ เมธเองก็เคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปสวิสเด็กกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าเลือกที่นั่นจริงๆก็ยิ่งดีเพราะครอบครัวเมธทางโน้นจะคอยช่วยดูแลกานต์ได้อีกแรง แล้วแม่ก็ลองคิดเล่นๆว่าจะหาบ้านพักไว้สักหลัง ถ้าเบื่อๆเมืองไทยย้ายไปอยู่เป็นเพื่อนกานต์ที่โน่นก็น่าสนุกดีนะ’


เฮ้ย! นี่มันไม่ใช่แค่ความคิดลอยๆ แต่เป็นแผนการที่เป็นรูปธรรมเกินไปแล้ว อย่างกับว่าถ้าผมตอบตกลง แม่จะเก็บกระเป๋าจูงกานต์ขึ้นเครื่องไปพรุ่งนี้เลยอย่างนั้น แต่ชักสังหรณ์... ถึงบอกว่าไม่ จะมีใครฟังผมมั้ยเนี่ย?!


‘นี่แสดงว่าแม่คุยกับเมธ กับทางโน้น จัดการทุกอย่างโดยไม่คิดจะปรึกษาผมสักคำ!?’


ผมกัดฟันถาม พยายามจะข่มอารมณ์ไว้ก่อนเพราะอย่างน้อยตอนนี้กานต์ก็ยังอยู่กับผม ที่ผ่านมาเขาไม่ใช่คนรักประเภทที่ต้องผูกตัวติดกันตลอดเวลาอยู่แล้ว บางครั้งเป็นผมที่เอาแต่ใจ อ้อนเขามากเกินไปด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะไม่มีวันปล่อยเขาไปง่ายๆ


‘เอาล่ะ ถ้ากรอยากให้แม่ปรึกษางั้นก็ได้’


ทุกคนต่างบอกว่าแม่ผมเป็นคนตาดุ จ้องใครรายไหนรายนั้นเป็นกลัวหงอ ตัวผมเองสมัยเด็ก ต่อให้ร้ายจนใครๆเอาไม่อยู่ ถ้าโดนจับมานั่งคุยกันเมื่อไหร่ก็จะไม่กล้าโกหกหรือดื้อกับแม่ได้เลย


‘แม่เชื่อแล้วว่ากรรักเด็กคนนี้จริงๆ แต่ลองคิดดู ขนาดผู้ชายผู้หญิงรักกันยังมีวันเบื่อ ยังเลิกรากันออกถมไป วันนี้ลูกสองคนรักกันแต่วันข้างหน้าจะเป็นยังไงไม่มีใครบอกได้ กรเองผ่านอะไรมามากคงเข้าใจใช่มั้ยว่าใจคนเราก็มีทั้งที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว แต่บางครั้งก็อ่อนแอ อ่อนไหว เปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ ฉะนั้นกรควรเผื่อใจสำหรับวันข้างหน้า ถ้ากานต์ได้รู้จักโลก ได้พบเจอผู้คนมากขึ้น เขาอาจเปลี่ยนไปจนไม่ใช่คนเดิมที่กรเคยรู้จัก และกรก็ไม่มีสิทธิ์เก็บซ่อนเขาจากความเป็นจริงเหล่านั้น ลูกต้องปล่อยให้เขาได้เติบโตและเลือกในสิ่งที่ต้องการด้วยตัวของเขาเองนะ’


เหมือนสายตาของแม่กำลังจ้องทะลุเข้ามาที่ในอก แม่มองผมขาดตลอดจนไม่เหลือข้อไหนให้โต้แย้ง


‘แต่...’ แค่คิดมันก็เจ็บ แสบเหมือนหัวใจถูกเฉือนออกเป็นชิ้นๆ ‘ผมไม่คิดว่าจะทนได้... ถ้า... ต้องเสียกานต์ไป...’


แม่รีบขยับเข้ามากอด อ้อมแขนของแม่อบอุ่น มือของแม่ที่ลูบหัวทำให้ใจค่อยๆสงบลง ไม่ใช่เพราะผมรู้ว่าจะมีแม่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ แต่เพราะเชื่อว่าแม่ก็เป็นคนที่มีหัวใจ หัวใจของแม่ไม่ใช่ก้อนหิน แต่เป็นเลือดเนื้อที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก แม่รักพ่อมากก็ต้องเข้าใจว่าการต้องพรากจากคนที่เรารักมันเจ็บปวดแค่ไหน


‘ไม่ใช่แค่กรหรอก ตัวแม่ก็พูดได้เต็มปากว่าไม่อยากเสียเด็กคนนี้ไปเหมือนกัน แม่จะบอกทุกคนว่ากานต์เป็นหลานที่รับมาอุปการะ และไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นน้องจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว ต่อให้กรอยากไล่ไปแม่ก็จะไม่ยอมเด็ดขาด!’


แม่เสียงแข็ง ท่าทางขึงขัง แต่กลับทำให้ผมโล่งอก ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง ยิ่งได้ยินคำว่า ‘น้อง’ ผมก็ยิ่งกอดท่านแน่น ในใจนึกถึงคนที่คงยังตื่นเต้นกับห้องนอนใหม่อยู่ข้างบน ถ้าเจ้าตัวรู้ว่ากำลังได้รับความเอ็นดูมากขนากนี้จะถึงขนาดน้ำตาร่วงเลยมั้ยนะ


‘โธ่! อย่างผมน่ะเหรอจะไล่เขาไปไหนได้ ทำไม่ลงหรอกครับ’ ผมกอดและหอมแก้มแม่ด้วยความชื่นใจอย่างที่สุด แต่พูดตามตรงก็แอบสะใจอยู่ลึกๆที่สุดท้ายคนอย่างคุณภัทราพรก็ยังมาตกหลุมรักเด็กน้อยของผมเข้าจนได้ ‘กานต์เป็นเด็กดีนะครับแม่ เขาบริสุทธิ์มากจนบางครั้งผมก็รู้สึกผิดที่เหมือนไปหลอกให้เขามารักผู้ชายด้วยกัน ผมรักเขาจริงๆแล้วส่วนหนึ่งก็อยากจะรับผิดชอบเขาด้วยน่ะครับ’


‘แม่เข้าใจจ๊ะ แม่ถึงจะไม่บังคับให้กรเปลี่ยนแต่ก็จะดีใจมากถ้าได้ลูกชายคนเดิมกลับคืนมา เพราะอย่าลืมว่ากรเป็นความหวังเดียวของครอบครัวเรา แม่ไม่อยากให้นามสกุลของคุณพ่อสิ้นสุดลงแค่รุ่นกรเหมือนที่นามสกุลของคุณตาจบลงที่แม่ กรเข้าใจแม่ใช่มั้ย’


แม่ลงท้ายด้วยคำถามน้ำเสียงอ่อนๆ มือเรียวขาวตบลงเบาๆบนหลังมือแต่ทำให้ผมวาบลึกด้วยความรู้สึกผิด ที่เคยด่าตัวเองว่าเป็นลูกทรพีนั้นอาจจะไม่พอเพราะในขณะที่ผมแค่หวงแหนชีวิตส่วนตัว สนใจแต่ความสุขของตัวเอง แถมยังนึกอยากจะเอาชนะความเจ้ากี้เจ้าการ ชอบบงการจับคู่ให้ใครต่อใคร แต่แม่พยายามทำทุกอย่างด้วยความรับความรับผิดชอบทั้งในฐานะแม่และลูกสะใภ้ซึ่งมีหน้าที่สืบทอดวงศ์ตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป 


เฮ่อ! ถ้ากานต์เป็นผู้หญิงคงเป็นอะไรที่ลงตัวเพอร์เฟ็คท์สุดๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ถลำลึกเกินกว่าจะเปลี่ยนใจ ถือเสียว่าอุปสรรคต่างๆนาๆคือบททดสอบที่จะพิสูจน์ว่าคนรักของผมนั้นดีไม่แพ้ใคร ส่วนสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คงมีแค่...


‘กรขอโทษ กรรักแม่ครับ’ ผมถอยลงมานั่งที่พื้น กอดรอบเอวบางแล้วซบลงบนตักอุ่น จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ทำแบบนี้นั้นเมื่อไหร่ แต่ก็คงนานจนทำให้แม่พลอยขำไปกับมุขเด็กๆของผม


นึกถึงตอนนั้นแล้วก็ขำ ใครมาเห็นคงได้ด่าว่าโตเป็นควายแล้วยังทำไปได้ แต่ก็เท่ากับว่าผมเลือกไม่ผิด กานต์เป็นเหมือนกาวใจที่ช่วยให้ผมกับแม่ได้เปิดอกและทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ยิ่งเวลาเจ้าตัวอยู่ด้วย บรรยากาศของบ้านจะดูอบอุ่นขึ้นทันตา ผมไม่โกรธหรอกที่ถูกเมิน ก็แค่น้อยใจนิดหน่อยที่แม่หันไปสนใจลูกชายคนใหม่อย่างออกนอกหน้ามากๆ รีบพากันไปเตรียมเนื้อเตรียมตัวสำหรับงานตอนหัวค่ำ และอาจจะมีเคืองๆบ้างที่เจ้าตัวดีพยายามเลี่ยงไม่ยอมอยู่กับผมตามลำพัง ไม่รู้เพราะกลัวผม หรือเกรงใจ ไม่อยากให้ประเจิดประเจ้อต่อหน้าคุณแม่ แต่ไม่เป็นไร ผมจดลงบัญชีเอาไว้ค่อยสะสางทีหลัง ส่วนตอนนี้ ดูท่าว่าจะมีใครบางคนอยากเคลียร์กับผมเหมือนกัน...


“คุณเมธให้เอามาให้ค่ะ”


แก้วเครื่องดื่มอยู่ในมือสาวน้อยที่ต้องบอกว่าคืนนี้ดูสวยขึ้นผิดหูผิดตา ได้ยินว่าเป็นบริการพิเศษจากคุณพอล อย่างรายของกานต์นั่นก็โดนเจ้าของห้องเสื้อใหญ่ผูกขาดไว้แล้ว นี่ขนาดว่าผมสั่งห้ามยังแอบมาฉกตัวไปเป็นนายแบบให้คอลเลคชันใหม่ ถึงจะถ่ายรูปออกมาแล้วดูดีมากแต่ไม่คิดบ้างหรือไงว่าผมหวง คนของผม ผมก็ต้องเก็บไว้ดูคนเดียวสิ


ทีนี้ก็กลับมาที่สาวน้อยข้างตัวที่รอให้ผมยกแก้วขึ้นจิบพอเป็นพิธีจึงเริ่มชวนคุย...


“ดิฉันเองก็เพิ่งทราบ...”


“ฉันว่าแบบที่เธอเคยพูดฟังดูน่ารักกว่านะ” ผมรีบบอกเพราะไม่อยากให้เกิดช่องว่างมากขึ้นไปกว่านี้


“คือ...” ทีแรกเธอค่อนข้างอึกอัก แต่อย่างที่ผมรู้สึกมาตลอดว่าผู้หญิงคนนี้มีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร ดูไม่ค่อยจะกลัวผมหรือเจ้าเมธด้วยซ้ำไป “หนูเพิ่งทราบว่าวันนี้เป็นวันเกิดของคุณภากร เอ่อ...ยินดีด้วยนะคะ”


ผมยิ้มรับ แอบขำแต่ไม่แสดงอาการ เข้าใจว่าเธอคงไม่เคยต้องอวยพรวันเกิดให้คนที่สูงกว่าทั้งวัยและฐานะ นอกจากไม่ใช่ญาติแล้วแถมอนาคตอันใกล้ก็จะมาทำงานเป็นลูกน้องผมอีก จะมาบอกสุขสันต์วันเกิดหรือร้องแฮปปี้เบิร์ทเดย์ก็คงไม่สมควรนัก


“ขอบใจ ความจริงฉันไม่ได้ซีเรียสอะไรกับวันเกิดตัวเองนักหรอก แต่ปีนี้ได้เห็นเธอกับเมธมาร่วมงานด้วยก็รู้สึกดีใจมาก”


กัญญาไม่ใช่คนผิวขาวจัดอย่างน้องชาย แถมวันนี้ยังถูกคุณพัชรีจัดเครื่องสำอางมาให้เต็มหน้าเลยไม่แน่ใจว่าสีที่แก้มนั่นจะเป็นของจริงบ้างหรือเปล่า ถ้าใช่ก็แสดงว่าเจ้าเมธมีลุ้น


“ที่หนูมาเพราะในสัญญาระบุว่าให้ผู้รับทุนเข้าร่วมกิจกรรมของทางโรงแรมเท่านั้นเองค่ะ”


“อ้อ นั่นสินะ” ผมเออออ พยายามต้อนแบบไม่ให้ไก่ตื่น “เรื่องสัญญานี่สำคัญมากทีเดียว ต่อไปไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ปรึกษาเมธได้เลยนะ ฉันสั่งเขาไว้แล้วว่าให้ดูแลเธอเป็นพิเศษ”


“ขะ...ขอบคุณค่ะ” ตอบแบบหลบตาไปมองทางอื่น อะฮ้า! สงสัยงานนี้ผมกับเจ้าเมธจะได้มีสิทธิ์เป็นคู่เขยกันล่ะ “งานวันนี้คนเยอะมากเลยนะคะ เมื่อก่อนหนูเคยแต่นั่งรถผ่านหน้าโรงแรม เห็นแค่นั้นก็ว่าสวยแล้ว แต่พอได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ ยิ่งได้ดูใกล้ๆก็ยิ่งสวยมากเลยล่ะค่ะ”


วรเมธส่งกัญญามาถือว่าช่วยผมได้มาก เพราะเธอคงไม่อยากทำตัวว่างเลยชวนคุย ถามโน่นถามนี่ทำให้ผมไม่เหงา แถมยังมีประโยชน์คือเป็นกันชนไม่ให้สาวๆคนอื่นเข้ามาทักทายให้เป็นที่วุ่นวายเหมือนทุกที กานต์เองก็หันมาทางนี้บ่อยๆ หวังแต่ว่าจะไม่มองภาพผมกับพี่สาวตัวเองผิดไปแล้วกัน


“คุณภากร...” จู่ๆน้ำเสียงเรื่อยๆก็แข็งขึ้น แถมชักสายตามองผมเขม็ง... “รู้สึกยังไงกับกานต์เหรอคะ?”


ผมถูกใจอีกอย่างที่เธอเป็นคนตรงไปตรงมา และตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่เธอแน่ใจว่าจะคุยเรื่องอะไรกับผมแล้ว


“ถ้าเริ่มแบบนี้คงต้องคุยกันยาว ฉันขอแนะนำให้เปลี่ยนเป็นคำถามที่สั้นและกระชับกว่าอย่างเช่น ‘ฉันรักกานต์มั้ย’ น่าจะดีกว่านะ”
ตัวผมน่ะสบายๆ ชิลๆ แต่กลายเป็นอีกฝ่ายที่เขินแทน ผมเลยถือโอกาสนี้เปิดอกเสียเลย


“ฉันดีใจที่เธอถามเพราะฉันก็อยากจะบอกในฐานะที่เธอเป็นพี่สาวเขา” ผมจ้องดวงตาดำขลับแล้วส่งความรู้สึกของผมเข้าไป “ใช่ ฉันรักกานต์ ฉันรักเขามาก อาจจะไม่มากกว่าแต่รับรองได้ว่าไม่น้อยกว่าที่เธอรักเขาแน่นอน”


“แต่คุณ...กับกานต์...?!” สาวน้อยเบิกตากว้าง เกือบจะโตได้เท่าเจ้าตัวแสบของผมแล้วเนี่ย


“ฉันคิดว่าเธอเองก็ต้องรู้จักหรือมีเพื่อนกลุ่มนี้ แต่ก็เข้าใจอีกล่ะว่าพอมาเจอกับคนใกล้ตัวคงทำใจลำบาก กลายเป็นไม่เข้าใจว่าผู้ชายจะมาชอบผู้ชายหรือผู้หญิงจะมาชอบผู้หญิงได้ยังไง ถ้าพูดในความหมายว่าโฮโมเซกชวลคือคนที่ชอบคนเพศเดียวกัน ฉันก็คงเข้าข่ายเพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันกับกานต์เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันชอบกานต์ที่ตัวเขาเอง ไม่ใช่เพราะนึกว่าเขาเป็นผู้หญิงหรือชอบที่เขาเป็นผู้ชาย ฉันรักที่เขาเป็นเขาจริงๆ”


“แต่หนูก็ยังไม่เข้าใจ ถึงจะมองข้ามเรื่องนั้นแต่คุณกับกานต์ก็ยัง... ต่างกันเกินไป”


“ความแตกต่างที่ว่าคืออะไรล่ะกัญญา ฉันแก่เกินไป รวยเกินไป เพี้ยนเกินไปสำหรับน้องชายเธออย่างนั้นเหรอ?” ผมจี้ถามเพราะรู้ว่ายังไงเธอก็ตอบไม่ได้ อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่เธอลองดูนั่นสิ...”


ผมนำสายตาของเธอไปยังดาวเด่นของงานในค่ำคืนนี้ ไม่ใช่ต้นคริสต์มาสสูงจนแหงนคอตั้งบ่า แต่เป็นหนุ่มน้อยที่กำลังอวดยิ้มน่ารักมัดใจทุกคนที่รายล้อม ผมรู้ว่าทีแรกกานต์รู้สึกเกร็งที่ได้ออกงานใหญ่ แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มเป็นตัวของตัวเอง และสิ่งที่ส่งผ่านออกมาก็บอกชัดว่าเขากำลังสนุกและมีความสุขกับบรรยากาศรอบตัวมากทีเดียว


“มันอาจจะง่ายกว่ามั้ยถ้าบอกว่าฉันรักรอยยิ้มของเขา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่แต่รู้ตัวอีกทีฉันก็อยากเห็นและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เขายิ้มได้แบบนั้น”


คนที่กำลังมองภาพเดียวกันกับผมนิ่งไป ไม่นานก็มีเสียงถอนหายใจที่ระบายออกมาพร้อมกับความในใจที่ถูกเก็บกักมานาน...


“ภายนอกกานต์อาจจะดูเข้มแข็ง เป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่หนูรู้ดีว่าเขาทั้งขี้เหงาและน่าสงสารกว่าใคร กานต์รักทั้งพ่อและแม่มากเท่าๆกัน พอพ่อเริ่มเปลี่ยนไป เขาก็พยายามจะเข้าใจว่าพ่อก็ต้องมีเหตุผลของพ่อเอง พอพ่อเริ่มทำร้ายแม่ เขาก็พยายามจะทำใจให้ได้ คิดซะว่าเหล้าคงทำให้พ่อขาดสติไปบ้าง เวลาโดนพ่อตีเขาไม่เคยร้อง แต่เวลาที่เห็นพ่อตีแม่เขาต้องแอบไปร้องไห้อยู่ทุกครั้ง”


เด็กสาวหยุดพักเพื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เธอก็เพียงกำไว้แน่น คงเพราะไม่อยากทำอาการให้เป็นที่ผิดสังเกต


“ตอนที่แม่จากพวกเราไป กานต์เสียใจมากจนช็อก ไม่ยอมพูด ไม่ยอมคุยกับใครเลย จนวันที่เอาอัฐิไปลอยอังคาร เขาก็เอาแต่นั่งน้ำตาไหลแล้วก็บอกว่าเขารักแม่ไปตลอดทาง และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เหมือนเดิม แม้บางครั้งจะทำตัวร่าเริง ทำเหมือนสนุก มีความสุขมากแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยยิ้มได้เหมือนที่เคยยิ้ม ยิ้ม...” เธอหันไปมองน้องชายอีกครั้งเพื่อยืนยัน “...เหมือนอย่างตอนนี้”


“ชีวิตคนเราเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันนะกัญญา ถึงคุณแม่ของพวกเธอจะตายไปแล้วแต่ก็ไม่ได้จากไปไหน ท่านยังคงอยู่ในใจของเธอสองคนพี่น้องเสมอ กานต์เองก็คงอยากเห็นพี่สาวของเขายิ้มอย่างมีความสุขได้เหมือนกัน”


เมธก็กำลังมองมาทางนี้ มันยกคิ้วถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า  ผมเหลือบมองสาวน้อยที่ยังเอาแต่ก้มหน้า มันเลยทำท่าจะเดินเข้ามาแต่ผมส่งสายตาห้ามไว้ก่อน และจากตำแหน่งนี้ก็เลยได้เห็น สายตาที่เจ้าเมธมองเธอก็คงไม่ต่างจากที่ผมมองกานต์
เสียงสูดน้ำมูกดึงให้ผมกลับมามองคู่สนทนา ตาแดงแต่ยังแห้งสนิท นับว่าเป็นคนใจแข็งจนน่ากลัว


“หนูดีใจและอยากเห็นน้องยิ้มได้อย่างนี้ตลอดไป หนูขอบคุณคุณมากนะคะ” และรู้สึกว่ารอยยิ้มจะเริ่มน่ากลัวขึ้น “แต่ถึงยังไงหนูก็คงวางใจไม่ได้ ถ้าวันไหนที่คุณเปลี่ยนใจหรือทำให้กานต์ต้องร้องไห้ ถึงคนอย่างหนูจะทำอะไรได้ไม่มาก แต่รับรองได้เลยว่าชีวิตของคุณจะไม่มีวันเป็นสุขแน่นอนค่ะ!”


 “เอ่อ... ฉันก็หวังว่าจะไม่ถึงวันนั้น...” ดูเหมือนคู่นี้จะสลับนิสัยกัน เพราะกลายเป็นว่าน้องชายน่ารักพอๆกับที่พี่สาวน่ากลัว “ไม่สิ ฉันสัญญา สาบานเลยเอ้า! ว่าจะไม่มีวันนั้นแน่นอน พอใจหรือยังครับคุณพี่สาว”


เธอกลั้นยิ้มแล้วหลุดขำออกมาเบาๆ ผมเลยใจชื้นว่าผ่านฉลุยไปได้อีกขั้น ท่าทางจะเป็นโชคดีสำหรับการเริ่มต้นนับหนึ่งกับอายุสามสิบ วันนี้ถือว่าผมฝ่าด่านใหญ่คือแม่ของผมและพี่สาวของกานต์ไปได้ และถึงวันข้างหน้ายังมีปัญหาอีกมากมายรออยู่แต่ผมก็จะไม่ท้อ เพราะทุกๆวันนับจากนี้ผมจะได้มีกานต์เป็นดังของขวัญ เป็นยิ่งกว่ารางวัล และกำลังใจที่จะช่วยให้ผมผ่านพ้นทุกๆอุปสรรคไปได้





จบตอนแล้วคร้าบ




ถือว่าเคลียร์กันได้หมดทั้งสองฝั่งนะ ทางคุณกร คุณแม่ก็รับเป็นลูกรักคนใหม่ไปแล้ว ทางกานต์ พี่สาวก็โอเค แต่มีแอบขู่เล็กน้อย ขำๆกันไป


ตอนหน้าพักเบรคเล็กน้อย แอบไปส่องคนโดดงานกันว่าจะสวีตสักแค่ไหนค่ะ




 :bye2:





ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
รักน้องจนกลัวว่าพี่กรจะทำน้องเสียใจจนต้องขู่น้องเขยไว้ก่อน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คุณภัทราพร รักกานต์แล้ว
กานต์ จะก้าวหน้าไปไกล ได้เรียนรู้มากขึ้น
คุณกร เริ่มใจไม่ดีแน่ กลัวหัวหลายสีมาวุ่นวาย
ยุ่งกับสุดที่รักของตัวเอง
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
มีเมียเด็กต้องหัดตรวจเช็คร่างกายนะคุณกร

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด