Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11  (อ่าน 75772 ครั้ง)

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1






41.





กานต์ไม่ได้แค่ลบคำว่าโสดออกไป แต่เขาเข้ามาเติมความพิเศษให้กับทุกช่วงเวลาของชีวิต ให้ผมได้หลับตาพร้อมไออุ่นในอก หลับสนิทด้วยความฝันแสนหวาน และตื่นรับความสดชื่นปนความตื่นเต้นในทุกเช้า เหมือนอย่างตอนนี้ ขนาดว่ายังไม่ลืมตาก็ต้องเก็กจนเมื่อยหน้าเพราะอยากหลุดยิ้มจะแย่แล้ว


“อรุณสวัสดิ์ครับ” เสียงกระซิบเรียกมาพร้อมรอยอุ่นเบาๆที่หน้าผาก


อันที่จริงผมรู้สึกตัวตั้งแต่ที่ควานมือไปแล้วพบความว่างเปล่าข้างกาย ถ้าไม่ได้ผ่านค่ำคืนหนักหน่วงนัก กานต์มักลุกจากที่นอนก่อนและตระเตรียมมื้อเช้าไว้คอยบริการ นี่ก็คงรู้ว่าผมเล่นตัวไม่ยอมตื่นง่ายๆเพราะยังมีเวลาเหลือเฟือเกินกว่าคำว่าสาย คนน่ารักเลยยอมเอาใจลงนอนข้างๆ มีบางอย่างมาขยุกขยิกอยู่ที่ข้างแก้มแต่ผมแกล้งเฉย จนได้ยินเสียงร้องเบาๆจึงลืมตา เห็นเขาทำหน้าแหย ลูบปลายจมูกตัวเองป้อยๆ คงจะระคายตอหนวดที่แย่งกันแทงผิวขึ้นมายิบๆ ผมจะทำอะไรได้นอกจากสอดแขนรวบร่างเพรียวเข้ามาแนบตัวแล้วรับขวัญกับหน้าผากอุ่นเสียหลายที


“เดี๋ยวโกนหนวดให้คุณกรหน่อยนะครับคนดี” เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำเองก็ได้ แต่ถ้ามีคนทำให้มันต้องดีกว่าอยู่แล้ว


“งั้นลุกไปอาบน้ำสักทีสิครับ เดี๋ยวก็ลงไปทำงานสายหรอก”


“อืม อีกแป๊บนึง กำลังจะลุกแล้วล่ะ” ผมงึมงำตอบแล้วมุดลงซุกซอกคอหอมกลิ่นแป้งยี่ห้อที่เจ้าตัวบอกว่าใช้มาตั้งแต่จำความได้ ความจริงกลิ่นลักษณะนี้น่าจะให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาเหมือนอย่างเด็กทารก แต่พอมาอยู่บนตัวเด็กน้อยของผมกลับเสริมให้เนื้ออุ่นเร้าอารมณ์ได้มากกว่าผู้หญิงที่พรมน้ำหอมราคาแพงเสียอีก


“คุณกร!” คนตัวหอมร้องลั่นเมื่อสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างในร่างกายของผมที่กำลัง ‘ลุก’ ก่อนส่วนอื่น แต่ความสนิทชิดเชื้อระหว่างเราก็ลบคำว่าอายออกจากพจนานุกรมของผมไปนานแล้ว เขาจะดิ้นหนี ผมเลยล็อกด้านบนด้วยวงแขน รัดท่อนล่างด้วยขาทั้งสอง เสือกไสอาการตื่นตัวยามเช้ากับเนื้อสะโพกแน่นๆ แอบลืมตามอง คนถูกกระทำเป็นฝ่ายหลับตาปี๋ แก้มแดงเป็นลูกตำลึงเชียว


“สัญญากันแล้ว จะผิดคำพูดเหรอครับ” ถึงจะอายจนหน้าแดง เจ้าลูกแกะก็ยังทำปากกล้าเอ่ยทวง หมาป่าอย่างผมเลยได้แต่กัดฟันทน ปลอบตัวเองว่าเหลืออีกแค่วันเดียวเท่านั้น รอให้ครบกำหนดก่อนเถอะ จะจัดเต็มเอาให้ร้องไม่ออกเชียว


“อาาาา ดีจังเลยครับ” ยังโชคดีที่เงื่อนไขในสัญญาเอื้อประโยชน์ให้ผมเอาแต่ใจได้มากพอดู พอเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองได้สักหน่อย ผมก็แกล้งส่งเสียงกระเส่า ไล้ริมฝีปากทั่วแก้มนุ่ม ปากบางเม้มแน่นไม่ยอมร่วมมือ ผมเลยเลื่อนลงไปกัดปลายคาง ได้ยินเสียงท้วงเบาๆ จากนั้นก็ลากลิ้นต่อไปตามลำคอ ขบย้ำแนวไหปลาร้า และจัดการกับกระดุมเสื้อเชิ้ตจนผิวขาวเปิดเผยแก่สายตา


“คะ..คุณกร อย่า...อย่าครับ อื้อ!” เด็กดื้อยอมเปิดปาก ร้องห้ามเสียงพร่า ผมจึงละจากแผงอกขึ้นฉกริมฝีปาก ละเลียดชิมรสฉ่ำหวานที่ยังแฝงความดื้อดึงชวนกำราบ ไม่นานก็โอนอ่อน ยอมรับและป้อนกลับจุมพิตหวานรับอรุณให้กันและกัน


“แฟนใครน๊า น่ารักจริง” ผมหยอกถาม คำตอบคือกำปั้นเล็กทุบอกดังปั้ก แต่ผมไม่ถือสา กระชับอ้อมแขนกอดร่างเพรียวไว้แล้วรวบมือเล็กมาหอมเล่น ทอดเวลาที่ต้องออกไปผจญกับงานและปัญหาสารพัดไปอีกสักนิด ผมชอบและเชื่อว่ากานต์เองก็คงชอบช่วงเวลาง่ายๆที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ไม่ต้องมีคำพูด ไม่ต้องมีสัมผัสร้อนแรงแต่กลับรับรู้ได้ถึงความรักที่เรามีให้แก่กัน 


ความจริงแล้วผมไม่ใช่คนขี้อ้อน อิดออดอะไรสารพัดขนาดนี้ แต่เพราะหลังจากงานคริสต์มาสของโรงแรม คุณภัทราพรดูจะจริงจังและสนุกกับการชุบตัวลูกชายคนใหม่จนทำให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงจนน่าหงุดหงิด นอกจากงานประจำในตำแหน่งผู้ช่วยวรเมธ กานต์ต้องเรียนหนังสือเพิ่มกับอาจารย์พิเศษหลายคนที่ถูกคัดสรรมา ต้องออกงานเลี้ยง งานการกุศลเพื่อให้มีภาพข่าวทางหน้าสังคม พอผมเผลอก็ถูกคุณพอลชิงตัวไปถ่ายแบบ นี่ยังโชคดีที่อาชัชมีคิวลงไปดูงานที่ภูเก็ตอยู่เรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นส่วนของผมก็คงถูกแย่งให้ยิ่งน้อยลงไปอีก เวลาส่วนตัวที่เหลืออยู่จริงๆก็คือตอนเข้านอน กับตอนเช้าที่เขายังรักษาสัญญาอยู่เป็นเพื่อนกินข้าวกับผมเหมือนอย่างวันนี้


“Would you like some coffee or tea, sir?”


กานต์อมยิ้มถามทันทีที่ผมนั่งลงตรงหน้ามื้อเช้า แม้จะรู้อยู่แล้วว่าผมดื่มกาแฟดำ แต่นี่คงอยากอวดสำเนียงที่นับว่าใช้ได้ทีเดียว ไม่เสียแรงที่ได้ลูกสาวเพื่อนสนิทของคุณภัทราพรซึ่งไปเรียนที่ประเทศเจ้าของภาษาตั้งแต่เด็กมาติวเข้ม ส่วนวิชาอื่นๆ ถ้าไม่ใช่ว่าติวเตอร์พากันหลงเสน่ห์นักเรียนเสียหมดก็คงเชื่อรายงานผลการสอนได้อยู่


ผมเก็กหน้าดุ ส่ายหน้าเบาๆหลอกเด็กให้ใจเสีย กานต์ขมวดคิ้วนิดๆคงพยายามนึกว่าตัวเองพูดอะไรผิด อาจจะผิดความหมายไป ห้วนไป หรือไม่สุภาพพอ ผมเลยดึงเก้าอี้อีกตัวให้เขยิบเข้ามาชิด หยิบถ้วยกาแฟใส่มือ เชยคางเขาขึ้นมองตาแล้วค่อยเฉลย


“แค่สั้นๆว่า Coffe or me? ก็ถูกใจฉันแล้วล่ะ”


คนหน้าบางถลึงตา เม้มปากมิด แก้มขาวๆนั่นขึ้นสีเรื่อได้ราวกับกดสวิตซ์


“จริงๆนะ ทั้งโต๊ะเนี่ย กานต์น่ากินสุดแล้วไม่รู้ตัวเหรอ”


โดนผมยิงอีกดอก คนเก่งถึงกับไปไม่เป็น ขยับไปไหนก็ไม่พ้นเลยได้แต่ค้อนใส่ ทำปากขมุบขมิบแต่ก็ยอมทำหน้าที่บริการมื้อเช้าเหมือนอย่างเคย ระหว่างทานข้าว เขาจะอธิบายตารางงานของผมในแต่ละวัน เพื่อที่ว่าเมื่อส่งต่อถึงเจ้าเลขาใหญ่จะได้ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก เรียกว่าขนาดยังไม่ตอกบัตร แฟนผมก็ถูกเจ้าเมธใช้งานซะแล้ว ตัวผมเองเลยต้องคอยดูแกมบังคับให้เขาทานมื้อเช้าให้มากพอสำหรับกิจกรรมมากมายที่รอเขาอยู่ กลายเป็นการดูแลซึ่งกันและกันซึ่งผมหวังว่าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป


“เย็นนี้ออกไปดินเนอร์ข้างนอกกันดีมั้ย ชวนเมธกับกัญญาไปด้วยก็ได้นะ สองคนนั่นจะได้สนิทกันมากๆ” ผมเอ่ยปากหลังจากรวบช้อนตัวเอง แต่เลื่อนแก้วน้ำส้มส่งให้อีกคนพร้อมสายตาสั่งว่าต้องดื่มให้หมด


“พี่กัญคงขอบายครับ ใกล้สอบแล้วรายนี้ชอบหมกตัวเองอยู่กับกองหนังสือ บอกว่ายังไงก็จะเอาเกียรตินิยมให้ได้ คุณเมธน่าจะว่างแต่ก็คงบอกว่าไม่อยากกินข้าวเย็นไปเห็นหน้าคุณกรไป ส่วนผม...” ท่าทางอึกอัก ทำหน้าแหยอย่างนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผมชวด “คุณท่านให้ไปงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งนายกสมาคมผู้ปกครองคนใหม่ด้วยน่ะครับ”


กานต์อ้างถึงตำแหน่งนายกสมาคมผู้ปกครองและครูของโรงเรียนคอนแวนต์ชื่อดังซึ่งทั้งแม่และภาวิณีเป็นศิษย์เก่า เรื่องงานเลี้ยงนี่เรียกว่าจัดกันบ่อยจนเป็นปกติ เดี๋ยวก็ต้อนรับ อำลา หาทุน หาเรื่องพบปะกันจนผมเบื่อแทน


“คุณแม่หมดวาระนั้นมาตั้งสามสี่ปีแล้วนี่” ที่รู้เพราะผมไม่ต้องถูกลากตัวไปออกงานประเภทนี้มาสามสี่ปีแล้วเช่นกัน


“พอดีว่านายกสมาคมคนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งกับคุณท่านเรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านเลยยิ่งต้องไปร่วมงานในฐานะอดีตนายกแล้วก็เพื่อนสนิทน่ะครับ ทีแรกจะให้คุณภาไปด้วยเพราะคุณภาเองก็เรียนจบจากที่นั่น แต่กลัวจะติดงานทางภูเก็ตเลยให้ผมไปแทน คุณกรไปมั้ยครับ ไปเป็นเพื่อนคุณท่านกัน”


“ไม่เอาล่ะ งานแบบนี้ขอผ่านดีกว่า มีแต่พวกคุณหญิง คุณนาย ไม่ค่อยได้คุยธุระอะไรเป็นชิ้นเป็น น่าเบื่อจะตาย”


“แล้วผมไม่ยิ่งกว่าเหรอครับ”


“เอาน่า อย่าห่วงเลย นายก็แค่ไปนั่งทำตัวน่ารัก เฉยๆไว้ ไม่ต้องพูดอะไรมากก็โอเคแล้ว แต่ถ้าให้คนเนื้อหอมอย่างฉันไปมันจะยุ่งไม่รู้หรือไง”


ผมรีบปิดทาง ไม่ยอมใจอ่อนเด็ดขาด เพราะงานประเภทนี้เบื้องหลังก็คือการอวดฐานะ อวดลูกอวดหลาน จับคู่ดูตัวที่แม่พยายามยัดเยียดให้ผมมาตลอด คนที่ปฏิเสธไม่ได้เลยยิ่งทำหน้ายุ่ง ไม่รู้เพราะกลัวทำตัวไม่ถูกหรืออาจจะหึงย้อนหลังผมอยู่ก็ได้


“อดทนหน่อยนะ เชื่อครับว่าคนเก่งของคุณกรต้องทำได้แน่” พอผมกระชับอุ้งมือแนบข้างแก้ม กานต์จะเอียงคอรับสัมผัส อาการคล้ายลูกแมวอ้อนมือเจ้าของ เป็นวิธีให้กำลังใจอย่างง่ายสุดที่ผมจะใช้เวลาเห็นเขาล้ากับสิ่งที่ใครต่อใครพากันยัดเยียดให้ เพราะภาระหน้าที่เหล่านั้นล้วนมาพร้อมความคาดหวังที่ทำให้เขาต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ หลายครั้งที่ผมทนไม่ไหว อยากจะยกเลิกทุกอย่าง อยากจะเถียงกับแม่ตัวเองแทนว่าไม่เห็นจะต้องไปเรียนต่อเมืองนอก สถาบันการสอนด้านการโรงแรมในไทยก็มีดีอยู่หลายที่ และไม่เห็นจะต้องทำให้กานต์เป็นที่ยอมรับหรือเชิดหน้าชูตาใคร แค่เขาเป็นที่รักของผมคนเดียวก็มากเกินพอแล้ว แต่เป็นตัวเขาเองที่เต็มใจจะทำทุกอย่างด้วยเหตุผลที่ง่ายแสนง่ายว่า...


‘ผมไม่ได้อยากให้ใครยอมรับในตัวผม แต่ขอให้ทุกคนยอมให้ผมได้อยู่เคียงข้างคุณกรเท่านั้นก็พอ’


แล้วผมจะทำอะไรได้เมื่อถูกความน่ารักของแฟนตัวเองปิดปากเข้าให้


“คุณกรครับ”


จู่ๆผมก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ไม่ต้องรอให้กานต์พูดต่อก็พอเดาได้ เพราะมันคือเรื่องที่ผมพยายามเลี่ยงตอบคำถามมาเป็นอาทิตย์แล้ว ผมหันไปมองสายตาคาดหวังแล้วต้องถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ได้นับ ความจริงคือไม่ได้อยากปิดบัง แต่บางครั้งรู้แล้วช่วยอะไรไม่ได้จะไม่ยิ่งเป็นการเพิ่มความทุกข์ให้เจ้าตัวเสียเปล่าๆหรอกเหรอ


“ผมก็แค่ไม่อยากถูกปิดหูปิดตาเหมือนผมเป็นเด็กๆที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ถ้าผมจะได้อยู่เคียงข้างคุณกรอย่างนี้ สู้ให้ผมได้รู้แล้วก็พร้อมที่จะรับได้ทุกๆเรื่องไม่ดีกว่าเหรอครับ”


ผมยิ้มบางๆและยอมพยักหน้าเป็นอันตกลง แต่ใช่ว่าผมจะยอมเปิดปากบอกหมดทุกอย่าง แค่ยอมให้เขาล้วงและรีดไปเอง นั่นหมายถึงข้อมูลนะครับ ถ้าเรื่องอื่นเป็นผมที่จัดการเขาเองจะเหมาะกว่า


“พ่อกลับเข้าบ่อนอีกแล้วใช่มั้ยครับ” เขารอจนแน่ใจว่าผมจะไม่พูดจึงเริ่มถามเอาจากการคาดเดาของตัวเอง “พ่อไปเล่นที่ไหนครับ นานหรือยัง”


สองมือเล็กจับแขนผมเขย่าให้รีบตอบ ผมจึงวางมือกุมมือทั้งสองเป็นการเตือนให้เขารู้จักสงบนิ่ง อย่าปล่อยให้อารมณ์ควบคุมตัวเองจนเสียงานใหญ่


“รู้ว่าเขากลับไปเล่นแค่นั้นก็พอ ไม่ต้องไปเซ้าซี้กับเฮียหยามอีกแล้ว เรื่องจะไปห้ามเขาถึงที่น่ะเลิกคิดเลย เข้าใจมั้ย”


 “แต่ถ้าปล่อยไว้ ถ้าพ่อยังไม่เลิกเดี๋ยวก็ได้มีเจ้าหนี้ตามมาทวงเงินที่ผมอีก แล้วถ้าเกิดเป็นเรื่องใหญ่โตมีข่าวขึ้นมามันจะไม่ดีนะครับ”


ผมยิ้มที่เห็นกานต์กังวลในจุดที่ผม วรเมธ และเฮียสยามคิดไว้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ใครๆต่างรู้ว่าเขาไม่ใช่พนักงานธรรมดา กระแสตั้งแต่งานเปิดตัวก็ยังไม่เงียบหาย ถ้าเป็นข่าวขึ้นมาคงส่งผลกระทบถึงเจ้าตัวและชื่อเสียงของโรงแรมไม่มากก็น้อย เฮียสยามจึงส่งคนคอยสืบข่าวสมบัติอยู่ห่างๆ แม้แต่ตัวกานต์เองก็มีลูกน้องเฮียสยามตามประกบแบบไม่ให้รู้ตัว


“เอาเป็นว่าถ้าห่วงเรื่องพวกนี้ก็วางใจเถอะ ฉันจัดการได้” ผมมองตาและตบที่หลังมือเล็กเบาๆ รู้สึกได้ว่าแรงที่บีบอยู่คลายลง


“แต่ผมก็ยังสงสัยว่าพ่อเอาเงินที่ไหนไปเข้าบ่อนอีก คราวก่อนที่มาหาผมก็ใส่ทองมาเต็มคอเลย แค่ทำงานไร่มันจะได้ตังเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ”


ผมหลบตาเพราะถือเป็นชนักติดหลังอันใหญ่ สมควรด่าตัวเองว่าทั้งที่อยู่ในวงการนี้แท้ๆ ผมก็ยังประมาทความเป็นผีพนันเสียได้ สิ่งที่เจ้าเมธเตือนไว้ไม่ผิดเลยแม้แต่คำเดียว ยิ่งมีต้นทุนให้ถลุงมากก็ยิ่งหนักมือ ยอดหนี้จากเงินก้อนห้าแสนสูงจนต่อให้นายสมบัติมีลูกอีกสิบคนก็ไม่พอขายใช้หนี้


“นอกจากที่ใช้หนี้สามหมื่นไปตอนนั้น พ่อได้มาขอเงินคุณกรอีกหรือเปล่าครับ”


“ใช่ใช่มั้ย” ผมเสหยิบถ้วยกาแฟขึ้นจรดริมฝีปาก คนที่กำลังลิ้มรสฝาดเฝื่อนของความผิดหวังยิ่งคาดคั้น “คุณให้เงินพ่อไปอีกเท่าไหร่ บอกผมมาสิ”


“ฉันไม่เคยถือเรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ อย่าคิดมากเลย”


“ไม่คิดไม่ได้ครับ คุณให้พวกเรามาจนไม่รู้จะเรียกว่ามากมายแค่ไหนแล้ว ทั้งห้าแสน สามหมื่น แล้วยังจะมีอีกงั้นเหรอ นี่ผมกับพ่อยิ่งกว่าไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรอีกแล้วนะ”


ถึงจะเป็นเด็กขี้อ้อน ชอบโวยวายให้ตามใจในบางครั้ง แต่กับเรื่องเศร้ากานต์ไม่ใช่คนฟูมฟาย ยิ่งเสียใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเก็บเอาไว้กับตัวจนผมกลัวว่าตัวเขาเองนั่นล่ะจะทนรับไม่ไหวเข้าสักวัน


“ฟังฉันนะกานต์ อย่าใช้เงินวัดศักดิ์ศรีของคน การประพฤติตัว การตั้งมั่นในความดี ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรต่างหากที่สำคัญ ฉันอาจจะจ่ายเงินห้าแสนแล้วได้ตัวนายมา แต่นั่นไม่ใช่ราคาของศักดิ์ศรี ที่ทำไปเพราะฉันอยากพาคนดีๆไปอยู่ในที่ๆเขาควรอยู่ แล้วฉันก็เชื่อว่าความใฝ่ดีในตัวจะนำพาคนๆนั้นไปสู่อนาคตที่ดียิ่งขึ้นๆไป ฉันเชื่อมั่นในตัวนาย แล้วนายจะไม่เชื่อมั่นในตัวเองหรือไง”


“แต่ถ้ามีใครรู้ว่าผมกับพ่อมาเอาเงินคุณ...”


“ใครจะรู้หรือเอาไปพูดก็ช่างเขาสิ นายก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวฉันแล้วนี่ว่าการเก็บเอาความคิดของคนอื่น เอาคำพูดคำนินทาว่าร้ายมาทำให้ตัวเองเป็นทุกข์แล้วชีวิตมันจะเป็นยังไง”


เรื่องราวเบื้องหลังระหว่างพ่อกับแม่พาลให้ผมพูดไม่ออก ทั้งน่าขันและน่าเศร้าจนไม่อยากเชื่อที่ความสุขในชีวิตของครอบครัวเราขาดหายไปเพราะลมปากชาวบ้าน ส่วนคนของผมนี่ก็น่าสงสารพอกัน ความสุขในชีวิตของเด็กคนหนึ่งหมดไปเพราะคนที่ควรรักเขาที่สุดหันไปฝากชีวิตไว้กับเหล้าและการพนัน


“อย่าคิดมาก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ ส่วนเรื่องของพ่อนายขอให้ไว้ใจฉัน ตกลงมั้ย”


“แต่คุณกรก็ต้องรับปากว่าจะไม่ให้เงินพ่ออีก ไม่ว่ายังไงก็ห้ามเด็ดขาดนะครับ”


กานต์ยื่นข้อแลกเปลี่ยนด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวจนผมจำต้องยอมรับปากเพื่อความสบายใจของเขา แต่จะเรียกว่าผิดคำพูดหรือไม่คงต้องว่ากันอีกที เพราะเขาคงไม่รู้ว่าแผนการบางอย่างได้เริ่มต้นไปแล้ว

“เรื่องนั้นเรียบร้อยแล้วนะ”


หลังจากเคลียร์ส่วนของงานประจำวันจบ วรเมธก็ปิดแฟ้มแล้วมองหน้าก่อนจะเกริ่นในเรื่องที่รู้กันแค่สองคน ผมไม่ซักต่อเพราะเชื่อฝีมือเจ้าเลขาคนสนิท แต่ดูเหมือนมันจะไม่เชื่อในวิธีของผมมากกว่า


“แต่แน่ใจได้ยังไงว่าจะจบ คราวนี้จากห้าแสนเพิ่มเป็นสามล้าน นี่นายจะทำตัวเป็นตู้เอทีเอ็มให้ผีพนันอย่างนายสมบัติผลาญเงินเล่นหรือไง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถ้ากานต์รู้เรื่องเข้าจะว่ายังไง”


เป็นเรื่องดีอยู่เหมือนกันที่กานต์มีธุระยุ่งจนทำให้ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา อย่างตอนนี้เป็นเวลาเรียนภาษากับติวเตอร์ส่วนตัว ทุกทีจะมาสอนกันที่โรงแรมแต่วันนี้นักเรียนบอกว่าขอเปลี่ยนบรรยากาศออกไปเรียนนอกสถานที่ ผมมองนาฬิกาก็รู้ว่าใกล้จะได้เวลาเลิกเรียนแล้ว คงต้องรีบคุยประเด็นนี้ให้จบเดี๋ยวนี้ล่ะ


“ฉันก็ไม่ได้ให้ฟรีๆนี่หว่า ตัวเขาเองก็ยอมรับเงื่อนไขที่จะต้องลงไปอยู่ภูเก็ต เรื่องคุมคนๆเดียวอาชัชจัดการให้ได้อยู่แล้ว ถ้าเรื่องเงินเรียบร้อยแล้ว นายก็ย้ำเขาอีกทีให้จัดการตามที่รับปาก พร้อมเมื่อไหร่ก็ลงไปได้เลย ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”


“แล้วจะให้พ่อเขาบอกลูกๆว่ายังไง จู่ๆหายตัวไปเลยมันน่าก็น่าสงสัย เผลอๆกานต์อาจจะจับพิรุธเรื่องเงินที่นายใช้หนี้แทนพ่อเขาเข้าก็ได้”


วรเมธชี้จุดที่ผมก็กังวลเพราะยังไม่ได้หาทางหนีทีไล่เตรียมไว้ บวกกับข้อที่รับปากไปเมื่อเช้ายิ่งทำให้หนักใจอยู่ว่าทางออกแบบไหนถึงจะทำให้กานต์สบายใจ ไม่คิดทำเรื่องที่ฝืนตัวเอง แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอย่างนั้นทำให้ผมกลัวใจ อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ


เจ้าคนถามเห็นผมเงียบก็ส่ายหน้า ไม่ซักไซ้ต่อ พอดีมือถือเจ้าตัวดังขึ้น มันกดรับและฟังแค่คำแรกเท่านั้นก็หันขวับมาหาผมด้วยสายตาที่บอกได้ทันทีว่า... งานเข้า!


“กานต์ถูกจับตัวไป”






จบตอนแล้วคร้าบ



ขอโทษคร้าบ มาสั้นแล้วยังตัดจบห้วนซะ    :mew2:

จะรีบพากานต์ไปรดน้ำมนต์ งานเข้าอีกแล้ว เป็นนายเอกของพี่ต้องอดทนเข้านะน้อง   :hao3:




 :bye2:


 :bye2:




ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
อ้าว...เห้ย!!!

อะไรอีกเนี๊ย  มีงานเข้าไม่หยุดไม่หย่อน น่าสงสารจริง

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
อ้าวเฮ้ยไม่เหมือนที่คุยกันไว้นีหว่า

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
อะไรมันจะขนาดน้าน ตอนเว้นตอนเลยเว้ย  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1





42.





ผมค่อยๆลืมตาเพราะความรู้สึกเหมือนตัวโดนเขย่า พอสติมาความเจ็บก็แล่นจี๊ดจากกึ่งกลางลำตัวทำให้ยิ่งตาสว่าง พยายามขยับก็รู้ว่าโดนเอามือไขว้หลังแล้วมัดไว้ ขาสองข้างยังเป็นอิสระแต่พื้นที่ก็จำกัดให้เหยียดขาเต็มที่ไม่ได้ สรุปสภาพของผมก็คือนอนคู้อยู่บนเบาะของรถตู้ที่ติดม่านรอบคันจนมองไม่เห็นภายนอก แต่รู้สึกได้ว่ารถกำลังแล่นด้วยความเร็วพอสมควร


“ฟื้นแล้วก็อยู่เฉยๆ อย่าทำตัวมีปัญหา” เสียงคุ้นหูกระซิบบอกแล้วมีแรงช่วยยกตัวผมขึ้น


พอนั่งได้ถนัดผมรีบกระเถิบออกมาชิดริมอีกด้านเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร หึ หึ อยากจะหัวเราะจนร้องไห้ บอกไปใครจะเชื่อว่าผมจะถูกพ่อตัวเองลักพาตัว


ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเปล่าแต่พ่อมาหาหลังจากที่ผมแยกย้ายกับครูสอนพิเศษและกำลังจะกลับโรงแรม พ่อไม่ได้มีท่าทางผิดปกติอะไร แถมยังพูดอวดว่าวันนี้ยืมรถของเพื่อนมา ตั้งใจว่าจะมาพาผมไปชวนพี่กัญไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อ แต่พอผมตามมาถึงที่รถก็กลายเป็นช่วงชุลมุน มีผู้ชายสามสี่คน ใส่หมวกไหมพรมปิดหน้าพุ่งออกมารุมจับ ผมพยายามขัดขืนก็ถูกชกหลายที หนักสุดคือตรงท้องที่ทำเอายืนไม่อยู่ หมดสติไปในที่สุด


“อ้าว! ตื่นแล้วเหรอครับคุณหนู เห็นตัวเล็กๆแต่เล่นเอาพวกพี่หมดแรงไปเยอะเลยน๊า” มีมือหยาบยื่นมาจากด้านหลังพยายามจะลูบแก้มแต่ผมเบี่ยงตัวหลบจนเกือบตกลงจากเบาะ


“เฮ้ยๆ ระวังหน่อย เขาของสูง มีราคานะเว้ย น้ำหน้าอย่างมึงน่ะอย่าหวังเลย” อีกคนจากเบาะด้านหน้าพูดลอยๆพาให้ทั้งรถส่งเสียงหัวเราะข้ามหัวผมไปมา


สรุปแล้วนอกจากคนขับ มีคนที่เบาะด้านหน้าสองคนและหลังสุดอีกหนึ่ง ทุกคนถอดหมวกไอ้โม่งออกแล้วแต่ไม่มีใครที่ผมคุ้นหน้า ส่วนคนคุ้นเคยที่นั่งอยู่แถวเดียวกันก็ไม่น่าเชื่อว่าจะทำอย่างนี้กับผมได้ลงคอ


รถแล่นมาได้สักพักก็เริ่มชะลอและจอดสนิท แต่ผมไม่รู้ว่าถูกพามาที่ไหนเพราะทันทีที่ประตูรถเปิดก็ถูกปิดตาแล้วพาเดินอย่างไม่รู้ทิศทางจนมาจบที่ห้องว่างๆห้องหนึ่ง ประตูปิดสนิทมีคนเฝ้าที่ด้านนอก หน้าต่างบานเดียวก็ดันติดเหล็กดัด แต่ที่น่าแปลกคือผมไม่ได้ถูกขังอยู่คนเดียว พ่อยืนมองนอกหน้าต่างครู่หนึ่งก็เดินมาแก้เชือกให้ เสร็จแล้วก็เดินไปนั่งลงห่างออกไปไม่พูดไม่จา


สักพักพวกโจรเปิดประตูเข้ามามองไปทั่วๆ โยนน้ำเข้ามาให้หนึ่งขวด แล้วปิดประตูโดยไม่ได้เรียกให้พ่อตามออกไป


“นี่ตกลงพ่อร่วมมือกับพวกมันหรือเปล่า” ผมถามอย่างอดไม่ได้


“ไม่ต้องถาม อยู่เฉยๆไปเดี๋ยวก็หมดเรื่องเองแหละ”


ผมไม่ได้เชื่อฟังแต่คำตอบนั่นก็ทำเอาพูดไม่ออก สภาพของพ่ออาจไม่ได้ดูแย่เหมือนตอนตกต่ำที่สุด แต่การกลับเข้าบ่อนก็มีแต่ทางสูญเสีย อย่างเช่นสร้อยคอทองคำที่หายไปจากคอ และอาจจะเป็นสำนึกของความเป็นพ่อที่เหลือน้อยเต็มที


“ตกลงเห็นผมเป็นตัวอะไร พ่อคิดจะเอาผมไปขายให้คนโน้นทีคนนี้ทีไปถึงเมื่อไหร่”


พ่อส่งแววตาหงุดหงิด เลี่ยงไปยกขวดน้ำดื่มแทนการตอบคำถาม


“ถ้าคุณกรรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาต้องเอาเรื่องพ่อจริงๆแน่”


“ไอ้เศรษฐีนั่นมันดีกับเอ็งนักหรือไง” อย่างน้อยคำขู่ก็ได้ผล พ่อมองหน้าผมอีกอึดใจก็ถามต่อ “ใครๆก็พูดว่ามันนอนกับเอ็ง จริงหรือเปล่า”


ผมอึ้งไปชั่วครู่แต่ไม่คิดจะหนีการเผชิญหน้า ไม่วันใดก็วันหนึ่งเราต้องได้คุยเรื่องนี้กันอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่าผมแค่รู้สึกเขิน แต่ผมไม่เคยอาย และไม่ได้รู้สึกผิดที่จะป่าวประกาศให้ใครๆได้รู้ว่า...


“ผมกับคุณกรรักกัน”


“เฮอะ! ไอ้พวกคนมีตังนี่มันคงชอบทำอะไรประหลาดๆยังงี้สินะ เอากันเข้าไปได้ยังไง วิปริต”


อาการกระแทกเสียงใส่หน้าพร้อมรอยยิ้มหยันทำให้ผมแสบขึ้นมาในอก ถึงจะมีคนเป็นร้อยเป็นพันมองว่าความสัมพันธ์รูปแบบนี้ไม่ถูกต้องหรือฝืนธรรมชาติ แต่คงไม่ผิดใช่มั้ยที่ผมยังหวังให้พ่อเข้าใจ ถึงไม่อยากยอมรับแต่จะช่วยดีใจที่เห็นผมมีความสุขบ้างไม่ได้หรือไง?! 


“ถึงผมกับคุณกรจะเป็นผู้ชายแล้วมันผิดตรงไหน เรารักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน”


“โธ่เอ๊ย! จะบริสุทธิ์ใจไปได้สักกี่น้ำ มันก็หวังแต่จะสนุกกับเรื่องอย่างว่ากับเอ็ง เดี๋ยวพอเบื่อมันก็ไปหาคนอื่น คนมันรวย จะใช้เงินซื้ออะไรก็ได้ หน้าตามันก็ดูหล่อดี ใครๆก็ต้องอยากอ้าขาให้ถึงเตียง พอถึงตอนนั้นมันก็คงเอาเงินฟาดหัวแล้วเขี่ยทิ้ง แล้วมึงจะมีค่าอะไรนอกจากไอ้ตัวชั้นต่ำ”


ถึงคำพูดเหล่านั้นจะสกปรกจนผมไม่อยากให้ผ่านเข้ามาในหู แต่บอกได้เลยว่ามันไม่มีผลอะไรอย่างที่เขาหวัง เพราะผมไม่เคยรู้สึกว่าถูกใช้ร่างกายเป็นเครื่องระบายอารมณ์ทางเพศ ผมพูดได้เต็มปากว่าระหว่างเราคือการร่วมรัก เขาสัมผัสผมด้วยความอ่อนโยน ทะนุถนอม แม้ในยามที่ความต้องการเร่งเร้าเขายังทำให้ผมรู้สึกถึงการให้เกรียติ เขาบังคับตัวเองเพื่อตามใจผม เขาอดกลั้นเพื่อให้ผมตักตวงความสุขได้มากเท่าที่ต้องการ เขาขอโทษที่ทำให้ผมเจ็บ เขาขอบคุณกับความสุขที่ได้รับ กระทั่งสัญญางี่เง่าของผม เขาก็ยังทำได้ตามที่รับปากแม้จะไม่จำเป็นสักนิด 


“คุณกรไม่ได้เป็นแบบนั้น เขารักผมจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้อยากจะได้อะไรจากผม ไม่เหมือน...”


ผมยั้งปากไว้และจ้องคนตรงหน้าอย่างพยายามจะค้นหา คนๆหนึ่งที่เคยกอด คนที่เคยร้องไห้และหัวเราะไปด้วยกัน คนที่เคยรักผมได้มากขนาดนั้นจะหายไปจากโลกนี้แล้วจริงๆน่ะหรือ


“มึงไม่ต้องมาทำเป็นผู้ดี หนอย ด่ากูด้วยสายตา ไม่อยากพูดให้มันเป็นเสนียดปากงั้นสิ แน่จริงก็บอกมาเลยสิว่าผัวมึงมันวิเศษกว่าคนที่เคยเลี้ยงดู หาข้าวหาน้ำให้กิน เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวตั้งแต่มึงยังตัวแดงๆ ขอถามหน่อยว่าถ้าไม่ได้กูนี่ มึงจะโตมาเป็นผู้เป็นคนได้หรือเปล่า” น้ำเสียงและอารมณ์ของพ่อพุ่งขึ้นเหมือนภูเขาไฟที่เก็บความโกรธไว้มากจนวันหนึ่งก็ปะทุออกมา


“ไอ้บัติหนอไอ้บัติ มึงมันคนมีเวรมีกรรม มีเมียแม่งก็มีชู้ มี...”


“ไม่จริง แม่ไม่ได้ทำยังงั้น!” ความอดทนของผมหมดไปทันทีที่คนสำคัญถูกแตะต้อง เรื่องของแม่เป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับผมเสมอ


“ถ้าไม่ได้ทำแล้วมันจะมีไอ้ลูกชู้มานั่งด่ากูอยู่นี่ได้ไง!”


“ไม่จริง! ผมไม่เชื่อ...ไม่...”


“ไม่จริงแล้วเขาที่มันอยู่บนหัวกูนี่มันงอกได้เองหรือไง มึงฟังให้ชัดๆนะไอ้กานต์ แม่มึงน่ะมีชู้ ส่วนมึงก็ไอ้ลูกชู้ที่เกิดมาทำลายชีวิตกู!”


เห็นผมเถียงไม่ออก พ่อก็ยิ่งกระแทกซ้ำ เหมือนกับจะตอกย้ำให้เราทั้งคู่ยอมรับ


“แม่มึงบอกจะออกไปหางานทำช่วยกัน แต่ความจริงมันแรดออกไปหาผู้ชาย เวลาที่มันอ้างว่างานหนักต้องกลับบ้านดึกๆดื่นๆกูก็ยังสงสารที่มันต้องเหนื่อย ที่ไหนได้ มันไปเหนื่อยอยู่กับผู้ชายล่ะสิไม่ว่า กินกันข้างนอกไม่พอ ยังตามมาส่งกันถึงบ้าน มาพลอดรักกันทั้งๆที่กูถูกรถชนนอนเป็นง่อยอยู่กับบ้าน แม่มึงมันไม่มียางอาย คิดว่ากูไม่รู้แล้วไม่คิดบ้างว่าชาวบ้านชาวช่องเขาจะเห็นหรือเปล่า ไม่อายคนก็ควรจะอายผีสางเทวดา เพราะมันแรดอย่างนั้นกรรมเลยตามสนองโดนรถชนตายโหงนั่นไง”


ดวงตาของพ่อวาวโรจน์ด้วยความโกรธ ส่วนตัวผมมีแต่หยดน้ำกลบตา เขาตะโกนใส่หน้า ผมก็ตอกกลับแรงไม่แพ้กัน


“ผมไม่เชื่อ แม่ไม่มีวันทำยังงั้น พ่อโกหก ไม่มีหลักฐาน!”


“กูจะต้องไปหาหลักฐานทำไมในเมื่อแม่มึงยอมรับออกมาเอง วันนั้นมันบอกกูเองว่าใครเป็นชู้กับมันแล้วมันก็วิ่งออกไปให้รถชนตาย สมน้ำหน้า!”


เคยมั้ยที่รู้สึกว่าจู่ๆรอบตัวก็มืดลง เหมือนดวงไฟร้อนที่ปลายเทียนโดนเป่าวูบเดียวก็ดับสนิท ทิ้งเปลวควันลอยฟุ้งให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปชั่วขณะ ผมยังคงเชื่อมั่นในตัวแม่เหมือนแก้วที่จะมีน้ำปริ่มขอบอยู่เสมอ แต่คราวนี้... สัญญาว่าจะมีแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่ลมปากเบาๆก็ทำให้ผิวน้ำสั่นไหว


“ใคร...” ผมถามเสียงค่อย แต่พ่อยังตะคอกไม่หยุด


“มึงจะถามทำไม อ๋อ คงอยากรู้ล่ะสิว่าพ่อมึงเป็นใคร สันดานเดียวกันทั้งแม่ทั้งลูก เลี้ยงไม่เชื่อง!”


“เขาเป็นใคร...”


“กราบตีนกูสิแล้วกูจะบอก”


ผมกระพริบไล่หยดน้ำในตา ภาพของคนตรงหน้ากลับมาชัดขึ้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกด้านลบที่ปะทะกันรุนแรง แต่ในใจผมมีภาพของแม่ชัดที่สุด เสียงอ่อนๆของแม่ดังขึ้นมาเหมือนทุกครั้งที่หัวใจเริ่มปฎิเสธความจริงอันแสนโหดร้าย


'กานต์ฟังแม่นะลูก แม่ไม่เป็นไร พ่อเขาไม่ได้ตั้งใจ กานต์อย่าโกรธพ่อนะ พ่อเขารักกานต์มาก กานต์ก็ต้องรักพ่อให้มากๆนะครับ'


ผมสูดลมหายใจเข้าลึก บอกขอโทษแม่อยู่ในใจเพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่ลูกคนนี้ไม่เชื่อฟัง


“ผมก็ไม่ได้อยากรู้ เพราะยังไงผมก็ไม่เชื่อ แม่ไม่ได้มีใคร พ่อต่างหากที่ใจร้าย พ่อใส่ร้ายแม่ ผมเกลียดพ่อ!”


“เออ กูก็เกลียดมึงเพราะมึงไม่ใช่ลูกกู!”


เสียงตะโกนใส่หน้ากันดังลั่นห้อง ผมกำหมัดแน่นข่มอารมณ์ไม่ให้เกินขีดจำกัด ส่วนอีกคนก็ปาขวดน้ำลงพื้นสุดแรง เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออก ผมหันหลังหนีไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น


“ไอ้ห่า! เสียงดังหาสวรรค์วิมานอะไรกันวะ จะซวยกันหมดไม่รู้ตัวนะพวกมึง”


“มีใครตามมาหรือไง”


“ก็เออสิวะ ไอ้หน้าอ่อนลูกมึงนี่ไม่ธรรมดาเหมือนกันนี่หว่า ผัวมันต้องให้คนคอยตามอยู่แน่ๆ ไม่งั้นไม่รู้ตัวแล้วตามกลิ่นมาเร็วขนาดนี้หรอก”


มีเสียงเอะอะจากข้างนอกดังลอดเข้ามาทำให้ผมใจชื้นขึ้นเป็นกอง


“แล้วเสี่ยมาถึงหรือยัง อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้เสี่ยไม่รู้ พวกมึงหลอกกูใช่มั้ย?!”


“พูดดีๆ พวกกูไปหลอกอะไรมึง ตอนแรกเสี่ยสนใจไอ้เด็กนี่จริงๆ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ะ แฟนมันหอบเงินสดๆเป็นล้านๆไปให้เสี่ยบอกว่าขอใช้หนี้แทนพ่อตา เสี่ยเลยยอมวางมือเพราะไม่อยากมีปัญหากับมัน”


ผมหันกลับมาดูคู่ที่กำลังคุยกันเสียงเครียด ทีแรกผมก็เครียดไปด้วยเพราะกลัวว่าคนที่ตามมาจะเป็นเจ้าหนี้รายใหม่ซึ่งต้องมีอำนาจและอิทธิพลไม่แพ้คุณภากร แต่พอฟังไปฟังมาชักจะงงจนไม่รู้ว่ากำลังเจอกับข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่


“ถ้าเสี่ยไม่ได้สั่ง แล้วทำไม หรือว่าพวกมึง...”


“เออ พวกกูทำเรื่องเหี้ยนี่กันเอง พอใจหรือยัง ถ้าหมดเรื่องสงสัยแล้วก็ตามมา มึงก็ดูลูกมึงด้วย อย่าตุกติก ไม่งั้นกูยิงไส้แตกทั้งพ่อทั้งลูก”


คนร้ายเหวี่ยงปากกระบอกปืนจ่อทั้งผมและอีกคน พอเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น ผมก็ใจชื้นจนกล้าเอ่ยปากต่อรอง


“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ถ้าพวกนายยอมปล่อยผมกับ... เขา รับรองว่าจะไม่มีใครเอาเรื่อง”


“กูไม่เชื่อ กูขอแค่สิบล้านเป็นค่าตัวมึง แต่แทนที่จะได้เงิน ไอ้เฮียหยามดันพาลูกน้องมาเป็นโขยง ขนาดเจ้านายมันยังออกโรงบุกมาเอง ไม่มีทางที่พวกมันจะไม่เอาเรื่อง มึงคิดเหรอว่าแค่มึงพูดคำเดียวแล้วทุกอย่างจะจบ ตอนนี้เสี่ยตัดหางปล่อยวัดพวกกูแล้ว พวกกูไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าหนีไม่รอดก็ตายด้วยกันหมดนี่ล่ะวะ”


“ใจเย็นๆพี่ ขอให้ผมคุยกับคุณกรก่อน ผมสัญญา...”


“ไม่มีประโยชน์ มึงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ถ้าไม่ทำตามที่กูสั่ง มึงอยากตายตรงนี้หรือไปตายต่อหน้าผัวมึงก็เลือกมา”


ปลายกระบอกปืนจ่อห่างจากขมับไม่ถึงนิ้วทำให้ผมไม่กล้าประมาท คุณชัชเคยบอกว่าแรงกดดันที่เกิดจากความหวาดกลัวไม่ใช่สิ่งที่ควรล้อเล่นด้วย ยิ่งอีกฝ่ายมีอาวุธอยู่ในมือ เราก็ยิ่งต้องมีสติมากกว่า และดูเหมือนอีกคนที่เหลือก็คงคิดแบบเดียวกันจึงได้ตามมาประกบที่ด้านหลังผมแล้วกระซิบบอก


“ตามมันไปก่อน”


พอพ้นประตูเสียงเอะอะจากด้านหน้ายิ่งชัด แล้วพวกเราก็ต้องชะงักเมื่อเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น


“กูพาไอ้นี่หลบออกไปทางหลังบ้านก่อนดีมั้ย อย่างน้อยก็เก็บตัวมันไว้ต่อรอง”


“ไม่! ออกไปด้วยกันหมดนี่แหละ มึงพาลูกเดินนำไป พวกมันจะได้ไม่กล้ายิง”


แม้จะต้องอยู่หน้าสุดตามคำสั่งคนที่มีปืนอยู่ในมือ แต่ผมกลับอุ่นใจอย่างประหลาดเมื่อรู้สึกถึงแรงจับทั้งบนไหล่ขวา และต้นแขนซ้าย สัมผัสนั้นบอกให้ผมก้าวนำแล้วเจ้าตัวจะคอยตามมาไม่ห่าง ผมจึงก้าวต่อด้วยความมั่นใจจนออกมาที่โถงใหญ่ของตัวบ้าน แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์สุดวิกฤต คุณภากรก็ยังดูโดดเด่น รังสีความเป็นนายเหนือหัวแผ่กระจายจนแม้แต่ฝั่งคนร้ายยังครั่นคร้าม ทันทีที่เห็นผม ร่างสูงก็ก้าวออกมาอย่างไม่หวั่นเกรง ดวงตาคมกวาดมองแต่ละใบหน้าราวกับจะระบุความผิดก่อนการพิพากษา จนเมื่อมาหยุดอยู่ที่ผม แววตานั้นก็เติมไออุ่นเข้ามาให้หัวใจผมเข้มแข็งขึ้นอีกเป็นกอง


“ต้องการอะไรว่ามา” คุณภากรกล่าวชัดด้วยน้ำเสียงดุดัน ทรงอำนาจ


“คำเดิม สิบล้าน กับคำรับรองว่าจะไม่ตามเอาเรื่องพวกกู” คนร้ายที่คุมตัวผมออกมาตะโกนบอก


เฮียสยามส่งเสียงเหยียดหยันจากลำคอ เสียงขึ้นลำปืนดังระงม ส่วนคุณภากรยังยืนนิ่ง จ้องคู่เจรจาด้วยสายตาที่ถ้าเป็นผมคงขาสั่นจนล้มทั้งยืนไปแล้ว


เมื่อคุณภากรไม่ตอบ สถานการณ์โดยรอบจึงตกอยู่ในภาวะชะงักงัน ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆแต่ผมกลับสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก พยายามสอดส่ายตาหาความผิดปกติ ไม่ผิดแน่ มุมฝ้าแผ่นหนึ่งถูกเลื่อนออก!


“เพดาน!”


ผมตะโกนสุดเสียงแล้วพุ่งเข้าใส่ตัวคุณภากรสุดแรงเกิด เราเสียหลักลงไปพร้อมกันแล้วจากนั้นเสียงปืนก็ดังสนั่นจนไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน ไอร้อนและกลิ่นเขม่าดินปืนคละคลุ้ง เป็นช่วงชุลมุนเพียงไม่กี่วินาทีที่รู้สึกเหมือนยาวนานเป็นชาติ ผมหูดับจากเสียงปืนที่ยิงกันไม่หยุด จนเหมือนได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเป็นความตาย


“กานต์!”


วินาทีเดียวกันที่ผมถูกผลัก ร่างหนึ่งก็ล้มทับลงมา พยายามตะเกียกตะกายใช้ตัวเองต่างโล่ห์เพื่อกันผมจากห่ากระสุน หยดสีแดงสดค่อยๆซึมผ่านและขยายวงกว้างบนอกเสื้อ ถึงอย่างนั้นสีหน้าก็ไม่มีอาการบอกถึงความเจ็บปวด ยังคงเต็มไปด้วยความห่วงใย และกังวลในความปลอดภัยของคนที่เขาต้องการจะปกป้อง


เขาขยับปากแต่ผมกลับไม่ได้ยินอะไรเลย ผมตะโกนสุดเสียงแต่เหมือนเขาจะไม่ได้ยินเช่นกัน ผมเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ ผมไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นเลยได้แต่กอดเขาเอาไว้ ยื้อสุดแรงไม่ให้ต้องสูญเสียคนที่ผมรักไปตลอดกาล







จบตอนแล้วคร้าบ








 :bye2:





ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
เศร้าอีกแล้ว  เฮ้อ  เจ็บตัวตลอดด้วย

ไปทำบุญดีกว่านะ  อิอิ 

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ โอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ไม่นะจะเป็นยังไงต่อไปล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ใครกันนะ??  โอ้ยย...ลุ้นๆๆๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พ่อกานต์ มีแต่กินเหล้า เล่นการพนันเข้าสายเลือด
ไม่เชื่อใจเมีย ขายลูก ดูท่าสติปัญญาแย่
เพราะการศึกษาน้อย หรือน้ำเมามีผล ทำให้สมองกลวง
ขายลูก ซ้ำซาก เป็นพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย :z6: :z6: :z6:
ใครกัน ที่มารับกระสุนปืน เป็นคนที่กานต์รักด้วย :katai1:
ได้แต่รอ ลูกเดียว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     





















ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ใครกันที่มาบังกานต์ไว้

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1





43. 






“น้องเป็นยังไงบ้างกร”


“มีลืมตามาบ้าง แต่สะสึมสะลือ ไม่ค่อยได้สติ เรียกก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยครับ”


คุณภากรพูดถูก ผมฟื้นแล้วแต่ก็ยังเหมือนอยู่ในภาวะกึ่งตื่นกึ่งฝัน ได้ยินทุกเสียงแต่ยังไม่เข้าใจทุกคำพูด แขนขายังรู้สึกชา ไม่มีแรงและบังคับไม่ได้อย่างใจ เหมือนอย่างตอนนี้ที่อยากจะเปิดเปลือกตาขึ้นให้สุดก็ยังทำไม่ได้


“โชคดีที่กระสุนแค่ถากแขนไป แต่น้องคงโดนมาหนักจริงๆเลยใช่มั้ย”


“ครับ ตอนที่พากันมาถึงโรงพยาบาลจนเข้าห้องผ่าตัดก็เรียกว่าแย่เต็มที เพราะใครมาเจอเรื่องแบบนี้ต่อหน้าต่อตาก็คงช็อค นี่ดีนะครับที่เขาวูบไป ไม่ยังงั้นคงรออยู่หน้าห้องไม่ยอมไปไหน พยาบาลจะพาไปทำแผลก็ไม่ยอม คงไม่ไหวแล้วจริงๆถึงได้ล้มทั้งยืนไปเลยล่ะครับ”


ผมนอนฟังแล้วพยายามนึกตามสิ่งที่ได้ยิน โรงพยาบาล ห้องผ่าตัด ทำแผล คืออะไรกันนะ หรือนั่นจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้ ที่มานอนไม่มีแรง แล้วก็รู้สึกดึงๆเจ็บๆที่แขนซ้ายขึ้นมานิดๆ


“เอาเถอะ ยังไงก็ปลอดภัย ไม่เป็นไรแล้วนะกานต์ คุณพระรักษานะลูกนะ”


คุณภัทราพรลูบหัวผมช้าๆ อืมมม ดีจัง และเหมือนว่าพอโดนสัมผัส ประสาททุกส่วนในร่างกายก็ค่อยๆฟื้นตัว


“นี่แม่มาจากห้องผ่าตัดใช่มั้ยครับ ทางนั้นเป็นยังไง หมอออกมาบอกอะไรบ้างหรือยังครับ”


“มีแต่พยาบาลออกมาตามให้ญาติเข้าไปในห้อง หนูกัญกับอาเขาเข้าไปกันสองคนได้สักพักแม่ก็เลยให้เมธเฝ้าไว้แล้วรีบมาดูทางนี้ ถ้ากานต์รู้สึกตัวก็คงดี จะได้...”


ผมว่าผมได้ยินชัดขึ้นในความหมายที่สามารถจับกระแสบางอย่างในคำพูดนั้น น้ำเสียงเครือปนอาการทอดถอนใจแสดงว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดี ท่านเอ่ยถึงญาติคือพี่กัญญาและอาสารภีกำลังเข้าไปในห้อง ห้องไหนล่ะในเมื่อผมยังนอนอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่ผมแล้วสองคนนั้นมาหาใคร ญาติอย่างนั้นเหรอ? ญาติของเรา คนที่มีสัมพันธ์ทางสายเลือด ครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้อง


พ่อ...


เหมือนลืมตาขึ้นมาในที่สว่างจ้าจนดวงตาถูกคลุมด้วยแสงขาว ยิ่งพยายามเพ่งก็เกิดประกายระยิบระยับหลากสี แต่ที่เห็นชัดคือจุดสีแดงกระพริบพร่าแล้วรวมตัวกันเป็นดวงใหญ่ขึ้น แผ่ขยาย กระจายออกออกจนทุกหนแห่งแดงฉานไปด้วยเลือด


เลือดของพ่อ พ่อถูกยิง!


สติพุ่งเข้าใส่ในวูบเดียวจนผมแทบสำลัก ภาพทุกภาพ เสียงทุกเสียง ทุกเหตุการณ์ กระทั่งกลิ่นดินปืน และคาวเลือดแจ่มชัดในทุกช่องการรับรู้ ผมจำได้แล้ว จำได้ทั้งหมด และผมก็ได้รู้ว่าพ่อไม่เคยไม่รักผม


ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย พ่อเรียกชื่อผม พ่อใช้อกของพ่อรับกระสุน แล้วยังรีบมากอดผมไว้ ไม่ยอมให้อันตรายหน้าไหนมาเฉียดใกล้ ผมร้องไห้พ่อยังใช้มือเช็ดน้ำตา จนใจจริงๆที่ผมไม่ได้ยินสิ่งที่พ่อพูดในตอนนั้นแต่ผมจำได้ดี ทุกครั้งที่หกล้มแล้วร้องไห้ พ่อจะบอก...


'ขี้แยอีกแล้วไอ้ลูกคนนี้ มาๆ เดี๋ยวพ่อเป่าให้แล้วหายเจ็บเลย พ้วง! ไม่เจ็บแล้วนะคนเก่งของพ่อ'


พ่อ กานต์เจ็บ...


“ฟังซิกร น้องพูดว่าอะไร”


“กานต์ ได้ยินฉันมั้ยกานต์”   


“พ่อ!” ภาพตรงหน้าค่อยๆชัดขึ้น คุณภากรกับแม่ของเขา แต่ไม่มีคนที่ผมอยากเจอ “พ่อล่ะ พ่ออยู่ไหน?!”


“ใจเย็นๆนะ ฉันตามหมอมาดูเราก่อน”


“ไม่เอาหมอ ผมจะหาพ่อ” ต่อให้ขนกันมาทั้งโรงพยาบาลผมก็ไม่สน แต่คุณภากรไม่คิดอย่างนั้น เขายังจับตัวผมไว้ไม่ให้ดิ้นลงจากเตียง ผมรีบหันไปหาที่พึ่ง คุณภัทราพรเอ็นดูผมมาก และในฐานะคนเป็นแม่ ท่านต้องเข้าใจความรู้สึกของผมแน่ๆ “คุณท่าน พ่อล่ะครับ พ่อผมอยู่ห้องผ่าตัดใช่มั้ย ให้ผมไปหาพ่อนะครับ”


“ได้จ๊ะได้ ฉันจะไปเป็นเพื่อนด้วยนะ แต่ตอนนี้เธอต้องนั่งนิ่งๆ สูดหายใจเข้าลึกๆก่อน หายใจช้าๆ จะได้ลุกลงจากเตียงไหว ไม่อย่างนั้นเป็นลมไปอีกเธอจะไม่ได้ไปหาพ่อนะรู้มั้ย”


คุณภัทราพรกอดผมไว้ทั้งตัว สั่งซ้ำให้ผมหายใจเข้าและออก ผมอยากเจอพ่อเร็วๆก็รีบทำตามแต่กลับไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หัวใจผมเต้นรัวจนต้องกดหน้าอกไว้ รู้สึกเหนื่อยทั้งๆที่ยังไม่ได้ขยับตัวไปไหน ท่านต้องช่วยลูบหลังลูบแขนเพราะผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเกร็งจนนิ้วแทบจิกลงไปในเนื้ออยู่แล้ว


ไม่ว่าใครจะเรียก มันก็เหมือนไม่ได้ยิน เพราะตอนนี้มีแค่คนๆเดียวที่ผมอยากเจอ ตาผมจ้องอยู่แต่บานประตู รอเวลาที่จะได้ออกไปเจอพ่อ อดทนอีดนิด อีกแค่แป๊บเดียวเท่านั้น


“พ่อ...”


ผมเรียกหา พร้อมกับที่บานประตูเปิดออก


“กานต์...”


หัวใจผมกระตุกวาบด้วยความยินดี แต่แล้วก็เหมือนโดนผลักลงจากปากเหว พี่กัญญาโผเข้ามาแทนที่คุณภัทราพร กอดผมแน่นแล้วร้องไห้จนตัวสั่น


“พ่อ...” พี่กัญเอ่ยถึงคนๆเดียวกันด้วยเสียงสะอื้นที่บาดหัวใจผมออกเป็นชิ้นๆ แล้วทุกอย่างก็เหมือนดับลงอีกครั้ง “พ่อไม่อยู่แล้ว ทำยังไงดี พ่อไม่อยู่กับเราแล้วนะกานต์”


เป็นครั้งแรกที่ผมไม่เชื่อคำพูดของพี่สาวคนเดียว พ่อแค่รอผมอยู่ที่อีกห้องหนึ่งต่างหาก ขอแค่ผมมีแรง เดินลงจากเตียง ออกจากห้องนี้ไปก็จะได้เจอพ่อแล้ว พี่กัญย้ำซ้ำๆผมก็ยิ่งไม่เชื่อ ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด


“พี่กัญโกหก พ่อรอกานต์อยู่ ปล่อยนะ กานต์จะไปหาพ่อ”


“กานต์ตั้งสติก่อน ฟังอาแล้วทำใจให้ดีๆ พ่อเขาไปสบายแล้วล่ะ เขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว กานต์ต้องอวยพรให้พ่อได้ไปอยู่ในที่ๆดีๆนะรู้มั้ย” อาสารภีตามหลังพี่กัญญาเข้ามาและพูดแบบเดียวกัน อาไม่ได้ร้องไห้แต่ก็ตาแดง เสียงเครือๆ และแน่นอนว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่อาพยายามจะบอกเลยสักนิดเดียว


“ไม่จริง! อาหลอกกานต์ พ่อไปทำงาน เดี๋ยวพ่อก็มา พ่อจะเก็บตังเยอะๆให้กานต์เรียนหนังสือเก่งๆ ปิดเทอมพ่อจะพาไปเที่ยว กานต์จะไปทะเลกับพ่อ พ่อ...”


เหมือนผมกำลังจะเห็นภาพของคนที่อยากเจอ  เค้าร่างของพ่อชัดเจนขึ้นมาทีละนิด แต่จู่ๆผมก็โดนกระชากออกจากอ้อมกอดของพี่กัญ ภาพรางๆสลายไปเหมือนควันที่ถูกลมแรงพัด


“กานต์! ตั้งสติหน่อย กานต์มองฉัน ตั้งสตินะ ได้ยินฉันมั้ยกานต์ ทำใจดีๆ”


“คุณ...กร...” ยิ่งโดนเขย่า ภาพในตาก็ยิ่งชัดจนได้รู้ว่าใครอยู่ตรงหน้า แต่อดไม่ได้ที่จะเหลียวหา “แล้ว...พ่อล่ะ...”


“กานต์ฟังคุณกรนะครับ” เขารอจนผมหันกลับมาหา ความเคร่งเครียดในดวงตาคู่นั้นสะกดให้ผมต้องทำตาม “ตั้งสติแล้วฟัง พ่อของกานต์ไม่อยู่แล้ว เขาไปสบายแล้ว แต่กานต์ยังมีคุณกร ลองมองดูสิว่าตรงนี้มีใครอีก กานต์เห็นมั้ย คุณแม่ฉัน พี่กัญญากับคุณอาของกานต์ เจ้าเมธก็อยู่ ถึงพ่อจะจากไปแล้วแต่กานต์ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว พวกเรารักกานต์และจะอยู่ข้างๆกานต์เสมอ”


ผมหันมองและพบว่าทุกคนกำลังรายล้อมอยู่รอบตัว สายตาทุกคู่มองผมอยู่เงียบๆและคุณภากรพูดถูกทุกอย่าง ความจริงผมก็เคยได้เรียนรู้ว่าชีวิตคนเราไม่ได้จะจบลงเมื่อมีใครสักคนตายจากไป เมื่อครั้งที่เสียแม่กานดา ผมเสียใจจนพูดไม่ออก รู้สึกมืดมน มองไปทางไหนก็ไม่มีทางออก แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตต่อมาได้จนถึงทุกวันนี้ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมคงมีลมหายใจต่อไปแม้จะไม่มีพ่ออยู่ด้วยแล้วก็ตาม 


“แต่ผม...ผมยังไม่ได้...ผมอยาก...ผม...” ผมพูดไม่ออกเพราะกลัวว่ามันจะซ้ำรอยเดิม คำสุดท้ายนั่นยังดังก้องอยู่ในหัวไม่ต่างจากตอนที่พูดออกไป


“หายใจลึกๆนะกานต์ ค่อยๆคิดแล้วก็ค่อยๆพูด กานต์อยากจะทำอะไรบอกคุณกรสิครับ”


“ผมอยาก...อยากบอกว่าผมรักพ่อ ผมอยาก...ขอโทษ อยากบอกพ่อว่าผมไม่ได้เกลียดพ่อ ผมรักพ่อ กานต์รักพ่อ”


“พ่อต้องรู้อยู่แล้วล่ะว่ากานต์รักเขามากขนาดนี้ เชื่อคุณกรนะครับ”


ผมจ้องหน้าคุณภากรเพื่อหาความเชื่อมั่นคืนมาให้ตัวเอง


“จริงเหรอครับ พ่อจะรู้แล้วจริงๆนะครับ”


คุณภากรยิ้มแล้วพยักหน้าช้าๆ หนักแน่น มั่นคง ผมหันไปรอบตัว ทุกคนต่างช่วยยืนยัน


“จริงสิกานต์ พ่อฝากพี่ให้บอกกานต์ว่าพ่อขอโทษ แล้วพ่อก็บอกว่ารักกานต์มากๆ รักมากที่สุดเลย”


“จริงๆนะ พ่อรักกานต์จริงๆใช่มั้ยพี่กัญ”


คราวนี้ผมเชื่อพี่สาวหมดใจ พี่กัญรีบเช็ดน้ำตาแล้วดึงผมไปกอด เรามองหน้า ยิ้มแล้วก็หัวเราะ และถึงจะร้องไห้อีกครั้ง เราก็ช่วยกันเช็ดน้ำตาเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ


ทุกคนคงเริ่มวางใจเมื่อเห็นผมแสดงอาการทำใจยอมรับความจริงอันเจ็บปวดนี้ได้ ถัดจากพี่กัญญาก็เป็นอาสารภีที่เข้ามากอดผมแน่นจนแทบหายใจไม่ออก อาช่วยเช็ดน้ำตาให้เหมือนกับที่พ่อเคยทำ ผมเลยยิ้มให้อาเหมือนอย่างที่อยากจะยิ้มให้พ่อเห็น คุณภัทราพรกอดและลูบหัวผมเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรแต่สายตามองผมเป็นลูกหลานของท่านคนหนึ่ง คุณวรเมธก็ยังเหมือนเดิม แค่มองตาก็รู้ว่าเขาเข้าใจจิตใจผมดีทุกอย่าง และยังเป็นคนแรกที่นึกถึงธุระมากมายที่ต้องจัดการจึงสะกิดเรียกคุณภากรเพื่อปรึกษางาน


“กานต์!”


จู่ๆประตูห้องก็เปิดออกพร้อมเสียงก้อง ร่างสูงใหญ่ในชุดดำคุ้นตารีบตรงเข้ามาหาและกอดผมไว้แน่น เขาลูบหัว ลูบหน้า พอเจอผ้าพันแผลที่แขนก็ชะงัก ทำหน้าเหมือนโดนยิงเสียเอง


“ไม่เป็นไรแล้วนะ ปลอดภัยแล้ว ไม่เจ็บหรอกใช่มั้ยคนเก่ง”


“เจ็บครับ” ผมทำหน้าแหยที่ทำให้เขาผิดหวัง


คุณชัชหัวเราะลั่นแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอด ทั้งหอมหัวหอมหน้าผากจนได้ยินใครบางคนทำเสียงระคายคอ


“แผลแค่นี้เอง สบายๆ อย่าไปสนเดี๋ยวก็ลืม หายเจ็บไปเองล่ะน่ะ” เขากดหัวผมแนบอกแล้วรำพึงราวกับอยู่กันสองคน คนอื่นๆที่ชินตาแล้วแค่อมยิ้มมองเฉย จะมีก็แต่พี่กัญญาและอาสารภีที่จ้องคุณชัชตาเขม็ง “ต่อไปนี้ก็ระวังตัวให้มากๆนะ อย่าทำอะไรเสี่ยงๆอย่างนี้อีก รู้มั้ยว่าพอรู้ข่าวฉันนี่แทบบ้า อยากจะเหาะมาเองซะให้รู้แล้วรู้รอดเลย”


“อาชัชจะเป็นซุปเปอร์แมน” ผมยันตัวเองออกจากอกกว้างแล้วยิ้มล้อ คุณชัชในชุดรัดรูปต้องดูดีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ครบ “ต้องใส่กางเกงในไว้ข้างนอก สีแดงด้วย จะไหวเหรอครับ”


เจ้าตัวนึกภาพตามแล้วทำหน้าสยอง ขนาดคุณภัทราพรยังต้องปิดปากกลั้นขำ คงมีแต่สองสาวที่ยังจ้องหนุ่มใหญ่ไม่เลิก


“อาชัช?!” จู่ๆพี่กัญก็ทะลุกลางป้องขึ้นมา


“ใช่ ฉันนี่ล่ะชัช ส่วนเธอ อ๋อ พี่สาวของกานต์ใช่มั้ย”


แน่ะๆ คุณชัชหันไปแจกรอยยิ้มมัดใจคนสำคัญของผมซะด้วย แต่พี่กัญก็ยังขมวดคิ้วหน้ายุ่ง คงจะไม่มาหวงน้องชายเอาตอนนี้หรอกนะ


“ก่อนที่จะหมดสติ พ่อก็เพ้อถึงอะไรหลายอย่าง ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็เหมือนจะพูดชื่อคุณออกมา” พี่กัญค่อยๆลำดับความคิดแล้วรีบหันไปขอคำยืนยันจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยกัน “พ่อเรียกกานต์ แล้วก็มีชื่อของอีกคน พ่อหรือเพื่อนที่ชื่อชัชนี่แหละ อาก็ได้ยินเหมือนกันใช่มั้ยคะ”


สายตาทุกคู่หันไปหาอาสารภีที่นิ่งเงียบอยู่ตลอด ผมเองก็เพิ่งสังเกตว่าอาจ้องคุณชัชไม่วางตา พอเจ้าตัวหันไปสบตาด้วย อาสาก็ทำเหมือนนึกอะไรออกในทันที อาการนั้นทำให้ตัวผมชาวาบอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องของพ่อหมุนวนขึ้นในหัวราวกับเปิดอัลบั้มย้อนดูรูปเก่า แล้วเสียงของพ่อก็ดังขึ้นมาในหูผม...


'วันนั้นมันบอกกูเองว่าใครเป็นชู้กับมันแล้วมันก็วิ่งออกไปให้รถชนตาย
คงอยากรู้ล่ะสิว่าพ่อมึงเป็นใคร'



ผมส่ายหน้า


'กราบตีนกูสิแล้วกูจะบอก'


ผมจ้องตากับอาสารภีและแน่ใจว่าเรากำลังคิดเรื่องเดียวกัน ผมอาจจะเคยอยากรู้ แต่ก็ปฏิเสธความอยากนั้นไปแล้ว แล้วตอนนี้ผมกำลังจะถูกบังคับให้ต้องรู้อย่างนั้นเหรอ


“ไม่จริงใช่มั้ยครับอา ไม่ใช่ใช่มั้ย”


ผมกลั้นใจถาม ผมหวังคำปฏิเสธ แต่อากลับพยักหน้าเบาๆ


“ผมไม่เชื่อ แม่ไม่ได้ทำอย่างนั้น ไม่ใช่แน่ๆ”


ผมถอยจนหลังชนหัวเตียง ถดขาเข้ามาชิดอกแล้วกอดตัวเอง พยายามหดตัวให้เล็กที่สุด ถ้าหายไปจากตรงนี้ตอนนี้ได้เลยยิ่งดี


“อาว่าเราต้องยอมรับความจริงให้ได้ทั้งหมดนะ ไม่อย่างนั้นกานต์เองนั่นแหละที่จะอึดอัดแล้วก็ทุกข์กับความสงสัยนี้ไปตลอดชีวิต”


ผมยกมืออุดหูแต่ยังเห็นปากของอาขยับพูด และเสียงของอาก็ยังเล็ดลอดมาให้ได้ยิน


“คุณรู้จักผู้หญิงที่ชื่อกานดาใช่มั้ยคะ พี่ดาทำงานเป็นแม่บ้านสำนักงาน มีอยู่คืนนึงเขากลับดึกเพราะที่ทำงานเลี้ยงปีใหม่ ฉันอยู่รอปิดประตูแต่ก็เห็นเขาวิ่งเข้าบ้านมาเหมือนหนีอะไรสักอย่าง พอวันรุ่งขึ้นก็บอกว่าลาออกจากงานแล้ว แต่พวกเราก็ไม่ได้สงสัยเพราะหลังจากนั้นพี่ดาก็ท้องแล้วก็มีกานต์ออกมา ฉันไม่รู้ว่าคุณจะจำได้หรือเปล่า แต่เราเคยพบกันตอนที่คุณมาถามหาพี่ดา คุณบอกว่าจะตามเขากลับไปทำงานแต่จากนั้นคุณก็หายไป ฉันเองยังคิดว่าคงไม่ได้มีเรื่องอะไร”


“ใช่ครับ ผมรู้จักกานดา เรา... มีเรื่องกันนิดหน่อย ที่เขาลาออกเพราะอยากจะหนีจากผม แต่ตอนนั้นผมเองก็กำลังช่วยพี่ชายบุกเบิกงาน ขึ้นเหนือล่องใต้ไม่ได้หยุดเลยต้องพักเรื่องเขาไว้ก่อน พองานเริ่มอยู่ตัวผมกลับมาแต่กานดาก็ทำเป็นไม่รู้จักผม ผมรู้ว่าเขากำลังเดือดร้อน พยายามจะช่วยแต่เขาปฏิเสธผมทุกทาง ผมตามไปที่ทำงานก็หนีไปทำที่อื่นอีก ไปที่บ้านก็เจอแค่แฟนเขา แต่ผมไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นใคร แค่บอกว่าเป็นเพื่อน”


“แค่นั้นก็ทำให้บ้านของพี่ชายพี่สะใภ้ฉันลุกเป็นไฟได้แล้วล่ะค่ะ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าจริงๆแล้วเรื่องมันเกิดจากอะไร แต่หลังจากรถชน พี่บัติเริ่มกินเหล้า พอเมาก็ทะเลาะกับพี่ดาแทบทุกวัน เขาหาเรื่องบอกว่าพี่ดามีคนอื่น พี่ดาบอกว่าไม่มีก็ไม่เคยเชื่อ จะเค้นเอาให้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร จนพาลมาว่ากานต์ไม่ใช่ลูกตัวเองไปด้วย”


“ไม่ใช่นะ!” ผมตวาดลั่นเพื่อกลบเสียงอื่นให้หมด “ผมไม่ใช่ลูกคนอื่น ผมเป็นลูกพ่อ ผมมีพ่อคนเดียว แล้วพ่อผมก็ตายไปแล้ว”


เสร็จแล้วผมก็ได้แต่ก้มหน้า หนีสายตาของทุกคน หนีความจริง ไม่ว่าใครจะพยายามเข้ามาผมจะสะบัดตัวหนี ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ไม่ยอมให้อะไรมาทำลายความเชื่อมั่นที่ผมมีอีกแล้ว


“อาเคยพยายามคุยกับพี่ดาว่าตกลงแล้วมันเป็นยังไงกันแน่ ที่สุดแม่เขาก็ยอมรับกับอาเองว่าเราไม่ใช่ลูกของพี่บัติ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าท้องกับใคร นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวกานต์นะ ถึงจะไม่ได้มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันมายืนยัน แต่จากสิ่งที่พวกเรารู้มาจนถึงตอนนี้ อาเชื่อว่าคุณคนนี้เป็น...” 


ผมรีบอุดหูแน่น ส่งเสียงในคอเพื่อกลบทุกคำพูดให้สนิท เมื่อสุดลมหายใจก็กลายเป็นใครอีกคนกำลังพูดแทนอาสารภี


“...ผมขอใช้เกียรติของผมเป็นประกันว่ากานดาเป็นคนดี เธอเป็นผู้หญิงที่รักครอบครัวและเป็นแม่ที่ดีที่สุดของลูกๆ เธอไม่เคยมีทีท่าอะไร แต่เป็นผมที่มองเธออยู่ฝ่ายเดียวจนทำเรื่องที่เลวอย่างไม่น่าให้อภัย ถ้ากานต์จะโกรธหรือเกลียดคนที่รังแกแม่เขาก็ไม่ผิดหรอกครับ”


เขาหันมามองผมอีกครั้ง ดวงตาคมดุดวงเดิมส่งแววอ้อนวอน ไม่ผิดกับน้ำเสียงอ่อนๆ เนิบช้าแต่หนักแน่น


“ความจริงฉันรู้มาสักพักแล้วล่ะว่าเราเป็นลูกของกานดา ส่วนหนึ่งฉันก็ตั้งใจจะดูแลเราเพื่อชดเชยความผิดที่เคยทำ แต่นับวันมันก็ไม่ใช่แค่นั้น ฉันยิ่งรู้สึกผูกพัน คอยคิดถึงและเป็นห่วงเราจนยังนึกแปลกใจตัวเอง พอมารู้อย่างนี้ฉันก็ยิ่งดีใจนะ บอกไม่ถูกเลยว่ามันดีใจมากแค่ไหน เราอาจจะยังไม่พร้อม ไม่อยากยอมรับฉันหรือจะอะไรก็ตาม แต่ฉันเชื่อว่าเราเป็นพ่อลูกกันจริงๆ ขอให้พ่อ...”


หมอนใบโตพุ่งออกไปก่อนที่ผมจะทันห้ามมือตัวเอง เขายืนนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยน ผิดกับคนอื่นที่ตกใจกับความก้าวร้าวผิดวิสัยของผม


“คุณไม่ใช่... พ่อผมตายแล้วได้ยินมั้ย!” ผมสะอึกเพราะพยายามกลั้นบางสิ่งที่กำลังจุกขึ้นมาที่คอ เขาจะก้าวเข้ามาหา ผมไม่มีทางหนี ไม่มีอะไรจะใช้เป็นอาวุธ ก็เหลือแต่คำพูดนี่ล่ะ “ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ ออกไป!”


ผมตะโกนซ้ำๆ ทั้งดิ้น ทั้งสะบัด แม้แต่คุณภากรก็ไม่ยอมให้ถูกตัว สุดท้ายก็เป็นคุณวรเมธที่ขอให้ทุกคนออกไปจากห้อง ก่อนออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขาบอกให้ผมสงบสติอารมณ์ตัวเอง คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆให้หนักแล้วกลับมาเป็นกานต์คนเดิมให้เร็วที่สุด ผมนิ่งฟัง ไม่ได้เถียง แต่ใจอยากถามเหลือเกินว่ากานต์คนนั้นคือใคร ตอนนี้ผมยังจะกลับไปเป็นลูกชายคนเดิมของพ่อได้อีกอย่างนั้นเหรอ




จบตอนแล้วคร้าบ



ไม่รู้ว่าจะนับเป็นเซอร์ไพรส์มั้ยที่ออกมารูปนี้

แม้ว่าชีวิตคนเราจะมีผิดพลาดกันได้ แต่ก็ยังอยากให้รู้ว่าความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่เสมอ

ขอให้ทุกคนรักคุณพ่อคุณแม่กันให้มากๆ ส่วนกานต์จะออกฤทธิ์แค่ไหน ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ ^^


 :bye2:



ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
โถ่ชีวิต

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ขอให้ทุกอยงดีขึ้นไวไวนะ

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
สงสารกาต์นมีแต่เรื่องแต่ราว

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
คิดอยู่แล้วว่าอาชัชเป็นพ่อของกานต์แน่ๆ แต่กานต์มารู้ตอนที่คนที่เข้าใจมาตลอดชีวิตว่าเป็นพ่อเสียไป คงทำใจยอมรับไม่ได้ง่ายๆ

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1







44.





งานศพของพ่อผ่านไปเรียบร้อยด้วยความช่วยเหลือของคุณวรเมธเป็นหลัก ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล เขาดูแลผมทุกอย่าง เช้าก็เอาผมมาส่งให้อาสารภีกับพี่กัญญา ช่วยกันจัดการธุระเรื่องงานศพ เย็นก็มารับไปฟังสวดที่วัดแล้วก็พากลับไปนอนที่คอนโดของเขา ส่วนคนอื่นๆนั้น ผมเพียงแต่ต้อนรับในฐานะเจ้าภาพกับแขกที่มาร่วมงาน ไม่ได้ไต่ถามทุกข์สุข พูดคุยเล่นหัวเหมือนเคย เอาเข้าจริงๆพี่กัญญากับอาสารภีก็บ่นอยู่ทุกวันเรื่องที่ผมไม่ยอมคุยกับใคร ทำอะไรไปเหมือนกับตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตไม่ต่างกับเมื่อตอนงานศพแม่กานดานั่นล่ะ


“กานต์”


ผมหันไปตามเสียงก็เจอขนมปังของโปรดจากครัวขนมหวานของโรงแรมกับน้ำส้มคั้นสดหนึ่งขวด พร้อมกับสายตาบังคับเพราะคงรู้จากพี่กัญญาว่านอกจากมื้อเช้าที่เขาบังคับให้ผมยัดแซนวิชกับนมถั่วเหลืองหนึ่งถ้วยลงท้อง ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรอีกตามเคย


“เฮ้อ! นี่ฉันหมดปัญญาแล้วนะ” มือใหญ่เสยหลังหัวผมเบาๆแล้วคุณวรเมธก็นั่งลงข้างกัน “อีกสักชั่วโมงก็จะเริ่มพิธีฌาปนกิจแล้ว จะไหวมั้ยเนี่ย หน้านายมันซีดจนไม่รู้จะซีดยังไงแล้ว”


ผมกลืนขนมปังคำสุดท้ายแล้วแกล้งอมหลอดไว้เฉยๆ ผมรู้ว่าสองสามวันมานี้ทำตัวดื้ออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กลายเป็นตัวสร้างปัญหาที่ทำให้เขาต้องปากเปียกปากแฉะ เหนื่อยจากงานแล้วยังต้องตามมาจัดการชีวิตให้อีก ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเขามาก ตั้งใจไว้ว่าวันที่ไปเขียนใบลาออกที่โรงแรมจะบอกขอบคุณเขาอย่างเป็นกิจจะลักษณะให้ได้


“นี่ตกลง...” เขาเกริ่นแล้วเงียบ ผมทำเป็นก้มหน้าดูดน้ำส้มต่อ จนหมดขวดแล้วถึงได้หันไปเห็นว่าเขามองอยู่ตลอด “จะไม่ยอมคุยกับคนบ้านนั้นจริงๆใช่มั้ย”


อาสารภีตัดสินใจจัดงานแค่สามคืน คุณภัทราพรกับคุณภาวิณีมาร่วมงานแค่วันแรก ส่วนคุณภากรกับอีกคนมาฟังสวดทุกคืนรวมถึงเย็นนี้ที่กำลังจะมีพิธีฌาปนกิจ ผมไม่ตอบเพราะรู้ว่าเขาคงเห็นตอนที่ผมยกมือไหว้คนทั้งคู่ก่อนจะเลี่ยงออกมานั่งที่ศาลาตรงนี้ ผมก็ทำหน้าที่เจ้าภาพที่ดีแล้วยังจะเอาอะไรกับผมอีก


“เอ้าๆ จะเอายังไงก็ตามใจ เดี๋ยวเสร็จงานแล้วค่อยคุยกันอีกที”


สุดท้ายคุณเมธก็ถอนหายใจที่จัดการผมไม่ได้อย่างเคย เรานั่งเฉยๆกันอีกสักพักก็กลับเข้างาน พิธีดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น หัวแรงใหญ่คือคุณเมธและอาสารภี ส่วนผมทำทุกอย่างตามที่มีคนบอกไม่ต่างจากคราวงานของแม่ ต่างกันตรงที่วันนี้ผมไม่ต้องเจ็บปวดกับสายตาและคำพูดของพ่ออีกแล้ว


“อย่าร้องไห้นะกานต์ เดี๋ยวพ่อเห็นน้ำตาแล้วจะเป็นห่วง” พี่กัญญากระซิบบอกผมทั้งที่ตัวเองเพิ่งป้ายหลังมืออยู่หยกๆ แต่ผมก็รีบพยักหน้าแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆในขณะที่ส่งโลงศพสีขาวเข้าสู่เชิงตะกอน ดอกไม้จันทน์ที่เหลือถูกกอบใส่ตามไป ไฟถูกจุดและโหมแรงขึ้น ไอร้อนผ่าวแผ่ออกมาผมเลยใช้เป็นข้ออ้างกับพ่อว่าหยดน้ำบนหน้าคือเม็ดเหงื่อไม่ใช่น้ำตา หวังว่าพ่อจะเชื่อและจากโลกนี้ไปอย่างหมดห่วง


“พ่อ... กานต์รักพ่อ” ผมหวังให้พ่อได้ยินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ประตูเตาเผาจะปิดลง พี่กัญพูดประโยคคล้ายกันและปล่อยน้ำตาออกมาเป็นสาย


ผมทอดเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะขยับตัวก้าวลงมาจากเมรุ พี่กัญญากับอาสารภีแยกไปจัดการงานที่เหลือ และปรึกษาเรื่องการเก็บอัฐิกับลอยอังคารกับทางเจ้าหน้าที่ของวัด ความจริงผมก็รู้สึกผิดที่ไม่ค่อยได้ทำตัวเป็นประโยชน์มากนัก ทั้งที่เป็นผู้ชายคนเดียวของครอบครัวที่ควรจะเข้มแข็งและเอางานเอาการกว่านี้ แต่อาสาก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนพี่กัญบอกว่าแค่ผมหายใจเข้าหายใจออก มีชีวิตอยู่ต่อไปจนจบงานได้ก็ถือเป็นพระคุณแล้ว ผมเลยได้แต่เซ็งไปเท่านั้น


“กานต์” ผมหันไปตามเสียงแล้วผงะถอยด้วยความตกใจ ส่วนหนึ่งเพราะเพิ่งรู้ว่าตัวเองใจลอยขนาดไม่เห็นว่ามีใครยืนรออยู่เชิงบันได อาการของผมคงแปลกจนอีกฝ่ายต้องตั้งคำถาม “ไหวมั้ย เป็นอะไรหรือเปล่า”


ผมส่ายหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง คุณภากรรีบตามมาขวาง


“วันนี้กลับบ้านด้วยกันนะ”


ผมหันหลังกลับก็พบผู้ชายอีกคนในชุดดำคุ้นตา เขาก้าวเข้ามาหาเลยเหมือนดักผมไว้ตรงกลาง ไปไหนไม่ได้


“อย่าทำแบบนี้เลยกานต์” ผมยังเงียบเลยได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ “อย่างน้อยกรก็ไม่ได้ผิดอะไร คุยกับเขาหน่อย เขาเป็นห่วงเรามาก ทุกคนเป็นห่วงเราทั้งนั้นนะ”


เขายื่นมือมาจะจับหัว ผมรีบหลับตา ยืนเกร็งตัวแน่น และไม่ได้รู้สึกถึงสัมผัสใดๆ


“ถ้าความผิดของฉันมันมากจนให้อภัยไม่ได้ขนาดนั้น ก็โทษฉันแค่คนเดียวเถอะ อย่าทำร้ายตัวเอง แล้วก็อย่าทิ้งความรักดีๆที่ใครๆมีให้เพราะคนอย่างฉันเลย”


ตอนที่ผมลืมตาก็เห็นเพียงแผ่นหลังของคนที่เดินจากไปแล้ว ผมมองตามภาพนั้นด้วยความรู้สึกอึดอัดพาลน้ำตาจะไหล ผมไม่ได้อยากเกเรต่อคำแนะนำของคุณวรเมธที่ให้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ แต่จนใจกับความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองที่สับสนจนอธิบายให้ใครฟังไม่ได้เลย


คุณภากรก้าวเข้ามาแทนที่แล้วโน้มตัวลงให้สายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน ในดวงตาคู่นั้นคือผมไม่ผิดแน่


“ไม่ต้องห่วงอะไร ไม่ต้องแคร์ใครอีกแล้ว แค่ถามใจตัวเองดูว่าต้องการอะไรก็พอ” อุ้งมือใหญ่แนบเข้ามาที่ข้างแก้ม และสิ่งที่ทำให้ผมอุ่นวาบไปทั้งตัวก็ไม่ใช่แค่สายตา... “แล้วก็ช่วยดูแลคนๆนี้ให้ด้วย บอกเขาทีว่าคุณกรรักและต้องการเขามากที่สุด ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ ถ้าสบายใจแล้วก็กลับมาหาคุณกรนะครับ”


ผมยืนมองแผ่นหลังคนสำคัญอีกคนเดินจากไป พอแหงนหน้าก็เห็นควันขาวกำลังลอยสูงและสลายไปในท้องฟ้ายามเย็นที่โล่งจนน่าแปลก ไม่มีเมฆสักก้อนหรือนกบินอยู่เลยสักตัว หรือความจริงชีวิตคนเราก็เท่านี้ ไม่ได้มีอะไรติดตัวมาแต่แรก คนทุกคนพบกันเพื่อจาก จะจากเป็นหรือตายจากก็คงมีค่าเท่ากัน 


ผมยังเก็บความคิดนั้นใส่หัวจนกลับมาถึงคอนโดของคุณวรเมธ เขามีงานติดมือมาทำต่อตามปกติ ส่วนผมเขาสั่งให้งดสักพักเพราะอ่านอะไรไปก็คงไม่เข้าหัว หน้าที่ของผมจึงเหลือแค่ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ


“ทำอะไรของนาย เห็นหายมาตั้งนาน” ผมสะดุ้งแล้วหันสีหน้าตื่นๆไปหาคนที่กำลังยืนกอดอกพิงตู้เย็น


“เอ่อ..” กลับมามองของที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัวตรงหน้า “กำลังคิดว่านมหรือน้ำส้มดี... ละมั้งครับ”


“กินนมแล้วท้องเสียไม่ใช่หรือไง”


“ก็... จริงด้วย” เห็นเขาขมวดคิ้วผมก็คงคิ้วขมวดตาม แต่ไม่ได้เครียด จริงๆคือรู้สึกเหมือนหัวโล่งๆ อะไรๆก็ลอยๆ เบลอๆมากกว่า


คุณเมธถอนหายใจแล้วเก็บทั้งขวดนมและน้ำส้มเข้าที่ แต่มีบางอย่างติดมือออกมาก่อนปิดตู้เย็น เขาจูงผมออกมาที่ระเบียงห้องด้านนอก พื้นที่กว้างถูกปล่อยให้โล่งเพราะเจ้าของห้องกลัวว่าถ้าจัดเป็นสวนก็คงไม่มีเวลาดูแล เลยมีแค่ชิงช้าไม้ตัวใหญ่เอาไว้นั่งเล่นกินลมชมวิว พอนั่งลงตามคำสั่ง กระป๋องสีเขียวเย็นเฉียบก็ถูกยัดใส่มือ หันไปดูคนข้างๆกำลังกระดกนำไปก่อนแล้ว ส่วนผมขอถือเอาไว้เฉยๆดีกว่า เพราะลำพังไม่ดื่มก็ไม่ค่อยจะมีสติอยู่แล้ว


“ปัญหาของนายคืออะไรกันแน่” เบียร์หมดกระป๋องก็ได้ฤกษ์ซัก เห็นผมถือกระป๋องไว้เฉยๆก็เลยยึดเอาไปดื่มเสียเอง


“ผม...” ผมก้มลงมองมือที่คลายออก ยังรู้สึกถึงความเย็นชื้นที่เหลืออยู่ “ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้น กับ...หลายๆคน ผมทำตัวไม่ถูก มันสับสนไปหมด”


คุณเมธเหวี่ยงขาขึ้นไขว่ห้าง เท้าแขนกับเข่า นิ้วเรียวจิกขอบกระป๋องหมิ่นๆแล้วเอียงตัวมาทางผม แว่นสายตาที่ใส่ประจำถูกถอดวางไว้หน้าโน้ตบุ๊ค มองเผินๆเลยอาจไม่ชินแต่ดวงตาคม มีแววรู้ทันเสมอก็ช่วยให้คุ้นเคย ทั้งยังวางใจในฝีมือการแก้ไขปัญหาของท่านเลขาใหญ่ หรือความจริงผมอาจจะรอช่วงเวลานี้อยู่ก็ได้


“นายรักแม่นาย ฉันพูดถูกมั้ย”


ผมรีบพยักหน้าเพราะเป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่เคยสงสัย


“แน่นอนครับ ผมรักแม่มากที่สุด ยิ่งตอนนี้ผมรู้ว่าแม่ยอมเก็บความทุกข์ไว้กับตัวมาตลอด แม่พยายามปกป้องผมจนถึงที่สุด ไม่มีใครที่จะดีและรักผมได้มากกว่าแม่แล้วล่ะครับ”


“นั่นเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของนาย ต้องขอบคุณท่านที่ให้ความรักความอบอุ่นอย่างเต็มที่ทำให้นายมีพื้นฐานจิตใจที่ดี ขนาดผ่านเรื่องร้ายๆมามากนายก็ยังมองโลกในแง่ดี รู้จักแบ่งปันความรักให้คนรอบข้าง ใครได้อยู่ใกล้ก็มีความสุขรู้ตัวหรือเปล่า”


ผมยิ้มรับได้ไม่เต็มที่เพราะรู้แก่ใจว่าแม่ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ถ้าไม่มีผมสักคน ชีวิตของแม่ก็คงไม่ลำบาก และไม่จากผมไปเร็วอย่างนี้


“แม่ทุกคนก็ย่อมรักลูกไม่ใช่เหรอกานต์ ถึงชีวิตจะยากลำบากไปบ้างแต่ฉันเชื่อว่าท่านไม่มีทางโทษใคร และนายนั่นแหละคือความสุขที่ช่วยปลอบประโลมใจ ช่วยให้ท่านผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้ เพราะฉะนั้นก็อย่าคิดมาก ไม่ต้องโทษตัวเองอีกนะเข้าใจมั้ย”


คุณเมธตบไหล่ผมเบาๆแต่รู้สึกเหมือนเขาช่วยปัดความหนักอึ้งที่ผมแบกเอาไว้โดยไม่รู้ตัว หรือความจริงแล้วผมกลัวไปเอง ผมอาจจะรู้สึกผิดต่อแม่เลยไม่กล้าที่จะปล่อยวาง ไม่กล้าที่จะมีความสุข พอมีคนมากระตุ้น เสียงของแม่ก็เหมือนลอยขึ้นมาในหัว


'ยิ้มหน่อยสิลูก กานต์ยิ้มแล้วน่ารักออก'


เวลาต้องจับลูกๆถ่ายรูป ผมนี่ล่ะตัวปัญหา เพราะโดนล้อบ่อยๆว่าน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิง พอแม่บอกแบบนี้ผมก็จะทำหน้าคว่ำ กอดอกฉับ ให้แม่ลงทุนอ้อน


'แม่อยากเห็นกานต์ยิ้มจัง แม่ชอบตอนที่กานต์ยิ้มที่สุดเลย ยิ้มหน่อยนะครับคนเก่งของแม่'


ผมรู้ว่าแม่อยากให้รูปถ่ายออกมาดี ใครเห็นจะได้ชมว่าลูกๆของแม่น่ารัก แต่บอกเลยว่าผมไม่ได้อยากให้ใครเห็น ผมแค่ยิ้มให้แม่เพราะแม่ชอบ ผมอยากเป็นคนเก่ง เป็นลูกที่แม่รักก็เท่านั้นเอง


อ๊ะ! จู่ๆก็รู้สึกเจ็บที่หน้า ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าโดนคนข้างๆหยิกแก้ม หรือผมจะเผลอยิ้มให้เขาเห็นเหมือนกันนะ


“พ่อของนายก็ไม่ผิด เขามีสิทธิ์ระแวง มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเด็กที่เขาคิดว่าไม่ใช่ลูกตัวเอง แต่เราก็เห็นๆกันอยู่ว่าเขาปกป้องนายด้วยสัญชาตญาณของความเป็นพ่อ ถึงเขาจะเคยทำร้ายนาย ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ ก็คิดเสียว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งเถอะ ในโลกใบนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกนะ ทุกคนพยายามทำให้ถูกแต่ก็พร้อมจะผิดพลาดได้เสมอ แค่ตัวนายรู้อยู่แก่ใจว่าพ่อรักนายมากแค่ไหนก็น่าจะพอให้นายภูมิใจและดีใจที่ได้เป็นลูกของเขาแล้วใช่มั้ยล่ะ”


ผมพยักหน้าช้าๆ พลันนึกถึงเรื่องที่คุณเมธเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่าความจริงแล้วนอกจากเงินห้าแสนที่ใช้แลกตัวผมในตอนแรก พ่อก็ไม่เคยขออะไรจากคุณภากรอีก ส่วนคุณกรจะให้อะไรพ่อไปบ้างนั้นคุณเมธไม่ยอมพูดถึง สำหรับหนี้ก้อนล่าสุดที่ทำให้เกิดเรื่อง พ่อบากหน้ามาหาคุณกรแล้วเกิดเปลี่ยนใจ แต่ก็ยังโดนพวกคนร้ายตลบหลังบังคับให้มาจับตัวผมไป ซึ่งตอนนี้พวกมันกำลังชดใช้กรรมที่ก่อ ส่วนพ่อของผมก็ถือว่าหมดเวรหมดกรรมเสียที


“ส่วนเรื่องคุณชัช” เขาคงจงใจหยุดเพื่อดูปฏิกิริยาของผม “ถ้านายยังสงสัย การตรวจดีเอ็นเอเป็นทางออกที่ดีที่สุด คุณชัชน่ะพร้อมอยู่แล้ว เหลือก็แต่นายว่าจะต้องการแบบนั้นหรือเปล่า”


ผมก้มลงมองมือตัวเองอีกครั้งแล้วก็ลองคิด ดีเอ็นเอคือสิ่งที่ส่งผ่านจากพ่อแม่สู่ลูก ถ้าผมเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น ร่างกายของผมก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่เหมือนกับเขา ถ้าผมปฏิเสธเขาจะเท่ากับปฏิเสธตัวเองหรือเปล่านะ


“แต่ถ้าถามฉัน ไม่ว่าจะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หรือสถานะทางกฎหมาย ก็สู้ความรู้สึกที่แท้จริงไม่ได้หรอก ที่ฉันเคยขอให้นายสำรวจใจตัวเองดูก็เพราะฉันเชื่อว่าคุณชัชอยู่ในใจนายเสมอ ทีแรกเขาอาจจะเป็นแค่ญาติผู้ใหญ่ของเจ้ากร แต่ขนาดฉันยังมองออกเลยเขารักและหวังดีกับนายจริงๆ แล้วตัวนายเองจะไม่รู้สึกอะไรเลยเป็นไปไม่ได้หรอก”


จู่ๆตรงหน้าก็เหมือนมีภาพอื่นซ้อนทับเข้ามา มือของผมทั้งเล็กและขาว มือคุณกรใหญ่กว่า นิ้วเรียวยาวสวย แต่มือของใครอีกคนใหญ่กว่านั้นมาก ผิวกร้านแดด ทั้งยังหยาบ มีจุดด้านเต็มไปหมด แต่ผมก็ชอบวางมือตัวเองลงไป สัมผัสตามรอยแตก แกล้งบีบข้อนิ้วแข็งๆก่อนจะโดนเขากำรวบไว้ทั้งมือ แล้วผมก็ต้องดึงมือตัวเองคืนมาให้ได้ ซึ่งขอบอกว่าไม่ง่ายเลย ผมออกแรงแทบตายแต่เขาทำท่าสบายๆ แถมยังมาแกล้งช่วยดึงมือผมออกจากมือตัวเองเสียอีก ทำไปทำมาก็เลยกลายเป็นการงัดข้อที่ไม่เหมือนใคร และแน่นอนว่าเป็นเรื่องเล่นๆที่รู้กันระหว่างเราเท่านั้น


“ฉันก็พอจะเข้าใจหรอกนะ เพราะรักมากก็เลยผิดหวังมาก ไม่อยากเชื่อว่าคนที่เคยทำดีด้วยจะกลายเป็นคนที่ทำให้เสียใจมากขนาดนี้ งั้นถามหน่อยสิ ถ้าวันนึงกรทำให้นายเสียใจหรือผิดหวังมากแบบที่ไม่ต่างจากคุณชัชเลย นายจะเลิกรักมันมั้ย”


ผมนิ่วหน้ากับคำถามที่แค่สมมติก็เจ็บไปทั้งหัวใจ ถึงผมจะเชื่อแล้วว่าคนเราพบกันเพื่อจาก แต่ถ้าคนๆนั้นเอาหัวใจของเราไปกับเขาด้วย สิ่งที่เหลือยู่คงเป็นแค่ซากที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ถ้าไม่อยากตกอยู่ในสภาพนั้นก็ต้องเก็บใจไว้กับตัว แต่พูดจริงๆนะ ผมไม่คิดว่าชีวิตนี้จะเอาหัวใจคืนจากคุณกรได้หรอก ซึ่งเรื่องนี้ถึงผมไม่พูด คุณเมธก็คงเดาได้อยู่แล้ว


“นายลังเลที่จะเลิกรักเจ้ากร แต่กลับหันหลังให้พ่อตัวเอง ไม่คิดจะให้โอกาสเขาอีกครั้งเลยงั้นเหรอ” ยิ่งเห็นผมนิ่งเขาก็ยิ่งกระทุ้ง คงอยากจะให้ผมได้สติเร็วๆ “เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมันเป็นเรื่องระหว่างเขากับแม่นาย มันจบไปแล้ว ไม่มีใครกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก แล้วนายจะเอามาแบกไว้ทำไม ต่อให้นายไม่มองหน้าเขาไปจนตลอดชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายจะไม่มีใครหลุดพ้นไปจากความทุกข์นี้ได้สักที ฉันเชื่อว่าแม้แต่พ่อของนายก็ยังปล่อยวางและให้อภัยแล้วถึงได้เอ่ยถึงคุณชัชในวาระสุดท้ายของชีวิต”


น่าหัวเราะ... เมื่อนึกว่าครั้งหนึ่งคำพูดแบบนี้ก็เคยออกจากปากตัวเอง


'เรื่องบางเรื่องอาจจะหนักหนาจนไม่น่าให้อภัย แต่ไม่มีใครย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ เราจึงต้องเดินไปข้างหน้า พยายามแก้ไขในส่วนที่พอจะทำได้และระวังไม่ให้ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง อาชัชของกานต์...'


นั่นสินะ การที่เราให้ใจใครไปแล้ว ยากที่สุดคือเอากลับคืน อย่างน้อยคนๆนั้นก็รักและหวังดีกับผมไม่ต่างจากลูกหลาน    คอยตามเอาใจ ชวนทำเรื่องสนุกๆ


'เอ้า! อ้าปาก ปล่อยให้กินเองกว่าจะหมดจานคงได้ทำแม่โพสพร้องไห้กันพอดี'


คอยซับน้ำตา ปลอบโยนให้กำลังใจ


'อย่าเห็นฉันเป็นคนอื่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้คิดซะว่าฉันเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ หรือจะเป็นพ่อก็ยังได้ เมื่อไหร่ที่เสียใจ อยากทำตัวอ่อนแอ อยากร้องไห้ก็ให้มาหาฉันนะรู้มั้ย'


และยังคอยปกป้องคุ้มครอง


'ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ยอมให้ใครทำอะไรเราแน่'


เขาคืออาชัชที่แสนดี เจ้าของอ้อมกอดที่ผมไขว่คว้าไออุ่นได้อย่างสนิทใจ... ผมเกือบลืมไปแล้วจริงๆ


“นายอาจจะไม่รู้ตัว แต่ที่ผ่านมานายคือความสุขของคนหลายคน อย่าเปลี่ยนมันเลยนะ” คุณเมธยิ้มแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ “ชีวิตคนเรามันแน่นอนซะที่ไหน ปล่อยวางความทุกข์แล้วกำความสุขไว้ในมือดีกว่า ดวงวิญญาณของพ่อกับแม่ก็จะได้หมดห่วงเพราะรู้ว่าพวกนายจะมีคนคอยดูแล”


ผมแหงนหน้ามอง อาจเพราะเป็นวันพระจันทร์ข้างขึ้นและมีเมฆอยู่มาก แต่ถึงไม่เห็นแสงเล็กๆเกลื่อนท้องฟ้าก็ใช่ว่าดวงดาวจะหายไปไหน พ่อกับแม่คงอยู่ตรงไหนสักแห่งบนนั้นเพื่อเฝ้ามองดู ถ้าผมกับพี่กัญยิ้ม ดวงดาวก็คงกระพริบรับ ถ้าพวกเราเศร้า แสงของดาวก็คงหมองลงจนน่าใจหาย ในตอนนี้สิ่งที่ผมจะทำให้พวกท่านได้ก็คงเป็นการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ยิ้มให้กว้าง หัวเราะให้ดัง ถ้าเสียใจก็ร้องไห้แล้วรีบกลับมามีความสุขเร็วๆ ส่วนพ่อก็คงไม่ว่าถ้าผมจะขอมีคุณชัชเป็นพ่ออีกสักคน


“ผมจะพยายามครับ”


คำตอบของผมพาให้คุณเมธยิ้มทั้งที่ถอนหายใจ เขาคงโล่งอกและถือเป็นความสำเร็จที่รีบูทสติผมกลับมาได้เสียที


“ดีแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ต้องพยายามกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณชัชนี่ฉันว่าต้องพยายามมากกว่าใครเพื่อนเลยล่ะ” เขาบอกทั้งมีรอยยิ้มแปลกๆ แถมยังแกล้งจิบเบียร์อีกหลายอึกกว่าจะยอมพูดให้จบ “รู้หรือเปล่าว่านอกจากมีพ่อเพิ่มมาอีกคนแบบไม่รู้ตัว นายยังจะมีแม่เลี้ยงกับน้องแถมมาด้วยนะ”


“ไม่จริงน่ะ ก็อาชัชเคยบอกเองว่าไม่ได้มีใคร เอ๊ะ... หรือว่า!”


คุณเมธเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม สายตาจับพิรุธทำให้ผมต้องคายความลับออกมาเอง ภาพที่โรงพยาบาลวันนั้นชัดขึ้นมาในหัว นึกถึงทีไรเป็นขนลุกไม่หายสักที


“คุณภาวิณี...เหรอครับ?” ผมเดาแต่ลุ้นให้เขาปฏิเสธ


“ไม่ต้องทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ได้” คุณเมธหัวเราะขำ “ประเด็นแรกเลยนะ คุณชัชไม่ใช่อาแท้ๆของเจ้ากรกับคุณภา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็แค่ทำให้ชาวบ้านชาวช่องช็อคกันไปทั่ว แต่ไม่ถึงกับผิดทำนองคลองธรรมหรอก ส่วนที่ว่าไปอะไรกันตอนไหนก็คงไม่มีใครกล้าไปถามทั้งคู่หรอก รู้แต่ว่าตอนนี้คุณภาน่าจะท้องได้เดือนกว่าๆแล้วล่ะมั้ง”


“แล้ว...คุณท่านทราบ?!” อันนี้ผมหวั่นใจกว่าคำถามแรก เมื่อพลาดจากลูกชายคนโต คุณภาวิณีจึงเป็นความหวังเดียว ถึงขนาดว่าคุณภัทราพรได้เริ่มมองหาคู่หมายที่สมกันไว้บ้างแล้ว อีกไม่นานคงได้เป็นแฟ้มกองโตเหมือนคราวคุณภากร


“เพิ่งมารู้หลังจากงานพ่อเราคืนแรกนั่นแหละ คุณชัชคงอยากสะสางเรื่องทุกอย่างก็เลยเข้าไปบอก เล่นเอาคุณป้าเป็นลม ต้องตามไอ้หมอกันให้วุ่น”


ผมนึกตามภาพความวุ่นวาย ต้องนับว่าคุณชัชมีความกล้าอย่างร้ายกาจถึงทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนั้นได้


“ตอนนี้คุณป้าก็ยังตึงๆอยู่นะ อย่างว่าล่ะ เรื่องแบบนี้เป็นใครก็ยอมรับยากหน่อย แต่นายก็รู้ มีใครขัดใจคุณภาได้ที่ไหน แถมยังเลยเถิดถึงขั้นท้องซะแล้ว คุณป้าเลยต้องยอมรับไปโดยปริยาย ถือว่าคุณชัชรอดหวุดหวิดไม่โดนตีหัวแบะ แต่ก็ต้องทำคะแนนอีกเยอะล่ะกว่าแม่ยายจะยอมญาติดีด้วยเหมือนเดิม”


ผมพยักหน้าเบาๆ ไม่มีความเห็นด้วยประการทั้งปวง แต่ผมก็เข้าใจแล้วในข้อที่ว่าคนทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงต่ำดำผอมก็ล้วนมีปัญหาในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราจมอยู่กับปัญหา เราก็จะคิดว่ามันหนักหนาจนตัวเรากลายเป็นคนที่ทุกข์ที่สุดในโลก ทางที่ดีก็ควรมองอนาคตข้างหน้ายาวๆ อย่าคิดสั้นเลือกจบชีวิตลงพร้อมกับปัญหา ถ้าทำอะไรไม่ได้จริงๆอย่างน้อยก็ก้าวออกมาก่อนเผื่อจะได้เห็นหนทางไปต่อ หรือจะหันหน้าเข้าสู้ แตกหักกับปัญหาไปเลยอย่างคุณชัชก็เข้าท่าดี แต่รายคุณภัทราพรนี่ถ้าเป็นเกมก็เรียกว่าตัวบอส ไม่รู้ว่าคุณพ่อคนใหม่ของผมจะแข็งแกร่งพอจะฝ่าด่านหินนี้ไปได้หรือเปล่านะ






จบตอนแล้วคร้าบ



 :bye2:





ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
อะหืมมมมม....คุณว่าที่พี่เขยของกานต์นี่สุดยอดไปเลยยยยย....ทำได้ทุกอย่างจริงๆ


ในส่วนของคุณพ่อคนใหม่วีรกรรมทั้งอดีตและปัจจุบันแสบทรวงทุกงาน 5555

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
วรเมธคือพระเอก

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ปล่อยวางแล้วก้าวต่อไป :กอด1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด