Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11  (อ่าน 75771 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
  o13 o13 ไม่ว่าใครก็ต้องตกหลุมรักเด็กๆบ้านนี้

ออฟไลน์ Dolamon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ใครๆ ก็ทนความน่ารักของกานต์ไม่ได้หรอก ใครอยู่ใกล้ก็หลงเสน่ห์กานต์หมดแหละ 55555

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
แม่สามีรักและหลงแรงจนสัมผัสได้ว่าตอนนี้หวงยิ่งกว่าลูกชาย 555

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
สู้ไปด้วยกัน เรื่องราวคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1






34 .




เห็นพริอุสสีขาวเด่นทิ่มลูกตาแต่ไกลทำให้เหงื่อเริ่มตก พอรถที่นั่งอยู่ชะลอเพื่อตั้งลำก่อนจะถอยเข้าซองจอดผมก็เลยเปิดประตูพรวด ลองเอามือแตะกระโปรงหน้ารถคันสีขาวปรากฏว่าเย็นสนิทยิ่งเป็นลางหายนะเพราะหมายถึงคุณวรเมธมาถึงโรงแรมนานแล้ว ถึงผมจะอ้างว่าต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณภัทราพรทานมื้อเช้า ถามว่าคนอย่างเขาจะยอมฟังมั้ย คำตอบคือรับฟัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบทลงโทษฐานที่เข้างานสายจะลดลงหรอกนะ!


“ต๊าย!?” พี่พัชรีเห็นผมก็อุทานลั่น คงไม่รู้จะตกใจหรือขำดี “นี่วิ่งมาจากไหนจ๊ะเนี่ย วันหลังไม่เอานะ เกิดแขกที่มาพักเห็นเข้าจะนึกว่ามีไฟไหม้โรงแรม เดี๋ยวก็ได้ตกอกตกใจกันใหญ่หรอก”


ผมยิ้มพลางหอบพลาง สูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือกก็รีบพูดขอโทษก่อน รู้ดีว่าเป็นกริยาที่ไม่ควรทำ เพราะอย่างนี้ผมถึงต้องวิ่งขึ้นมาทางบันไดหนีไฟแทนที่จะรอลิฟต์ไงล่ะ


“เอาล่ะๆ ใจเย็นๆนะไม่ต้องรีบ คุณเมธมีแขกอยู่ ยังเข้าไปตอนนี้ไม่ได้อยู่ดี กานต์ไปล้างหน้าล้างตาให้หายเหนื่อยก่อนเถอะจ๊ะ”
“เอ๊ะ! ปกติคุณเมธไม่เคยรับนัดตอนเช้านี่ ใครเหรอครับพี่พัช”


พี่พัชรีอมยิ้มไม่ตอบแสดงว่าในใจก็ต้องคิดเหมือนกัน เพราะคำถามของผมสื่อได้กลายๆว่าคนที่กำลังอยู่ในห้องกับคุณวรเมธตอนนี้จะต้องเป็นแขกสำคัญที่เขาปฏิเสธไม่ได้ หรือ ไม่อยากปฏิเสธ อาจจะเป็นหุ้นส่วนของโรงแรม ลูกค้าระดับซุปเปอร์วีไอพี หรือเจ้าหน้าที่รัฐมาติดต่อขอความร่วมมืออะไรสักอย่าง ที่เดามานี่น่าจะครอบคลุมเคสสำคัญๆได้เกือบหมดแล้วแต่ไม่น่าเชื่อว่าขนาดผมก็ยังพลาด พอได้พบคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ผมก็อุทานลั่น แถมเกือบจะเทกาแฟทั้งถาดใส่หัวเจ้าของห้อง มิน่าล่ะ ตอนที่เปิดประตูเข้ามา เห็นตั้งแต่ข้างหลังก็รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก


“พี่กัญ! มาได้ไงครับเนี่ย?!”


พี่สาวผมยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรก็มีเสียงดังป้าบใหญ่สวนมา ตามด้วยเสียงร้องลั่น เจ้าของเสียง อ้อ! ก็ผมนั่นเอง รีบวางถาดแล้วเอามือปิดก้นไว้ก่อนจะโดนตีซ้ำ หันไปเห็นคุณเมธทำหน้าหมันเขี้ยว แฟ้มหนายังอยู่ในมือเลยต้องขยับออกมาให้พ้นรัศมี แล้วค่อยส่งเสียงโอดโอยให้รู้ว่าเจ็บปวดแสนสาหัส


“มานี่เลยมา ชักจะสำออยใหญ่ มันจะเจ็บอะไรขนาดนั้น?”


ผมสะบัดหน้าหนี ไม่เชิงโกรธแต่ไม่รู้จะตอบยังไงมากกว่า ถ้าอยากรู้ว่าทำไมผมต้องแหกปากก็เชิญไปถามเพื่อนเขาเองเถอะว่าทำอะไรผมไว้บ้าง ถ้าจะให้ดีช่วยบอกให้เพลาๆบ้าง ไม่อย่างนั้นผมคงต้องตื่นมาด้วยอาการร้าวระบมทุกเช้า แล้วอย่าถามว่าทำไมถึงไม่บอกเอง ก็เพราะผมบอกแล้วแต่ได้คำตอบว่า...


‘ก็อยากน่ารักเองทำไมล่ะ’


ผมงี้แทบจะกลั้นใจตายคาหมอน ได้ยินแล้วร้อนจนสุกไปทั้งตัวแต่ทำไมคนพูดยังทำท่าสบายใจเฉิบอยู่ได้ก็ไม่รู้


“กานต์... ไหวหรือเปล่า?!” พี่กัญแอบกระซิบถาม ผมรีบส่ายหน้าแล้วยิ้มให้เป็นปกติ เรื่องเจ็บยังมีบ้างแต่ก็ไม่อยากโดนคนบางคนมองว่าสำออย


หลังจากแม่ตาย เราสองคนพี่น้องต้องห่างๆกันไปเพราะพี่กัญเรียนหนัก ผมก็เอาแต่ทำงาน พอมาช่วงหลังที่ได้มาอยู่ที่โรงแรม ผมก็เล่าเรื่องของตัวเองให้พี่กัญฟังบ้างแม้จะไม่ทั้งหมด และโดยเฉพาะเรื่องของคุณกรนั้น ถึงไม่ได้บอกตรงๆแต่พี่กัญเซนส์ดีจะตาย ต้องระแคะระคายอะไรบ้างแหละ


“แล้วพี่กัญ...” ส่วนผมถึงจะไม่ได้รู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่อะไรที่มันชัดอยู่ตรงหน้าถ้ายังมองไม่ออกก็ซื่อบื้อเต็มทน “อ๋อ มาหาคุณเมธเรื่องทุนใช่มั้ย แล้วตกลงเรียบร้อยหรือยังอ่ะครับ?”


ผมถามพี่กัญแต่ก็แอบเห็นที่อีกฝั่งโต๊ะทำงาน... ยังบอกไม่ถูกว่ายังไงแต่ไม่ใช่อาการปกติของคนอย่างคุณวรเมธแน่ๆ


“อื้ม” ส่วนรายนี้ก็บอกไม่ได้ว่ายังไม่รู้ตัวหรือพยายามเก็บอาการอยู่ “แล้วเดี๋ยวก็จะได้มาฝึกงานที่นี่ด้วย ช่วงที่ฝึกงานพี่กะว่าจะกลับมาอยู่ที่คอนโดกับอาสา กานต์ก็ย้ายกลับไปอยู่ด้วยกันสิ เช้าจะได้มาทำงานพร้อมกัน เย็นก็กลับด้วยกัน นะๆ พี่จะได้มีเพื่อนด้วย”


“คือว่า... กานต์...”


ผมกำลังมองหน้าพี่สาวแต่ในหัวพาลเห็นภาพอีกคนที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ ตั้งแต่ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านใหญ่ก็ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่ได้หลับหรือตื่นมาในอ้อมกอดอุ่นจนมันกลายเป็นความเคยชิน ถ้าเกิดต้องไปอยู่ที่อื่นแล้วนอนไม่หลับ ผมจะแก้ตัวกับอาสารภี กับพี่กัญญาได้เต็มปากเหรอว่าเพราะแปลกที่ ก็ในใจมันต้องรู้ว่าไม่ใช่ และที่สำคัญ... ผมยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ว่าคุณภากรจะยอมอนุญาต!


“เรื่องส่วนตัวช่วยเก็บเอาไว้คุยเวลาอื่นนะคุณกัญญา ตอนนี้มาว่าเรื่องงานที่คุณจะต้องทำก่อนดีกว่า” ไม่อยากเชื่อว่าคุณเมธจะยื่นมือเข้ามาช่วย กลัวแต่ว่างานนี้ต้องจ่ายค่าตอบแทนกันอานล่ะ “คุณกลับไปจัดการเรื่องเอกสารขอฝึกงานจากทางมหาวิทยาลัยเอามายื่นให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องตำแหน่งถ้าต้องระบุก็ให้เป็นฝ่ายบริหาร เพราะผมจะให้คุณมาฝึกงานในตำแหน่งผู้ช่วยคุณพัช”


“เอ๊ะ! แต่ฉันเรียนเอกบัญชีนะคะ”


“ตอนนี้ฝ่ายบัญชีของเราไม่ได้ขาดคน งานทางนั้นก็เรียบร้อยราบรื่นดี ไม่ได้มีคำขอให้รับนักศึกษาฝึกงานมาช่วย แต่ชั้นบนนี่สิที่วุ่นวายเพราะมีพนักงานบางคน...” ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวหันขวับ ว่าแล้ว! “ลืมหน้าที่ของตัวเอง โดดงานได้ไม่เว้นแต่ละวัน หรือไม่อย่างนั้นก็มาสาย เป็นลูกน้องแต่เข้างานหลังหัวหน้า วันๆไม่ค่อยจะอยู่ติดที่ ชอบร่อนไปป่วนคนโน้นทีคนนี้ที พาลเอาคนอื่นไม่เป็นอันทำงาน แต่ก็ไม่มีใครกล้าจัดการเพราะถือว่ามีคนคอยให้ท้าย คนที่มีอำนาจซะด้วย!”


จู่ๆผมก็รู้สึกตัวเบาๆเหมือนเงาหัวจะหาย เลยได้แต่ยืนคอตกหมดคำแก้ตัว เพราะถึงมีเขาก็คงไม่ฟัง หรือถึงฟังก็ยังจะลงโทษผมอย่างที่บอกไปนั่นแหละ แต่ก็อีกตามเคยที่ผมคงสั่งสมบุญไว้เยอะเลยไม่มีทางจน พอใกล้จะแย่ก็มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยได้ทันเวลา...


“ไม่ได้ยุ่งอยู่ใช่มั้ยเมธ?”


เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมกับที่ประตูห้องเปิดผาง แน่นอนว่าไม่มีการเคาะให้สัญญาณล่วงหน้า แล้วทายสิครับว่าเจ้าของคำถามนั้นจะมองเห็นและตรงลิ่วเข้ามาหาใครก่อนเป็นคนแรก


“กานต์! เป็นอะไร?!”


ผมยังยืนคอตกท่าเดิม สาบานว่าไม่ได้ฟ้อง ก็แค่ตอบเจ้าของโรงแรมไปตามความจริงด้วยน้ำเสียงเบาๆ เศร้าๆ


“...โดนคุณเมธดุครับ”


“เฮ้ย! ทำไมไม่พูดกันดีๆวะเมธ ถ้าทำผิดแค่เตือนก็น่าจะพอแล้วนี่หว่า มีเรื่องอะไรทำไมต้องดุด่ากันด้วย?!”


มือใหญ่กระชากตัวผมเข้าไปหา โอบหัวแนบไว้กับอกกว้าง และในเมื่อคนถูกถามยังเงียบ ผมเลยอาสาตอบให้แทน


“คุณเมธบอกว่าผมชอบโดดงาน แถมยังมาสาย วันๆก็เอาแต่เล่นจนคนอื่นไม่เป็นอันทำงานไปด้วย”


“ไม่เห็นจะจริงสักนิด นายมีหลักฐานอะไรถึงต้องมาว่ากานต์ขนาดนี้ด้วย!”


กลิ่นน้ำหอมในระยะประชิดชวนให้รู้สึกระคายจมูกจนเกิดเสียงสูดน้ำมูกหลุดออกไปไม่ได้แกล้ง แต่อาจเป็นเพราะเหตุนี้คุณภากรเลยยิ่งเสียงดัง แทบจะกลายเป็นตะโกนใส่หน้าเลขาคนสนิท


“เออดี! นี่ขนาดฉันเป็นเจ้านายแกแท้ๆ ถามแค่นี้ไม่ตอบแล้วยังชักสีหน้าอีก งั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เดี๋ยวถ้าฉันกลับมาอีกทีแล้วไม่มีคำแก้ตัวที่ฟังขึ้นล่ะก็ เตรียมพิจารณาตัวเองได้เลย!”


คุณภากรบอกจบก็ลากผมออกจากห้องไปอย่างกับพายุไม่แพ้ตอนขาเข้ามา พอผมขัดขืน คำอธิบายที่ได้ก็คือ...


“ไหนๆมันก็บอกว่าเราโดดงานแล้ว เรื่องอะไรจะยอมให้โดนกล่าวหาฟรีๆล่ะ” คนตัวโตอมยิ้มตาพราวราวกับเด็กหัวโจกแล้วตีขลุมเอาผมเป็นลูกสมุนในการหาเรื่องเล่นซน “แล้วอีกอย่าง ฉันว่าเจ้าเมธคงไม่อยากเห็นหน้าใครหรอก นอกจาก...”


ดวงตาคมจ้องประตูห้องทำงานเพื่อนอย่างมีความหมาย ผมหันตามไป กระทั่งพี่พัชรียังก้มหน้าแอบยิ้มเพราะรู้ในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา ผมขำบ้าง คุณกรเลยหัวเราะตาม จากนั้นคุณกรสั่งงานพี่พัชอีกนิดหน่อยก็พาผมโดดงานเป็นเพื่อนกัน แต่จะให้ใช้แผนเดิมเหมือนอย่างคราวคุณวรเมธคงไม่ไหว ขืนให้เขาไปเดินร่อนทั่วห้างคงได้กลายเป็นอาหารตาของสาวๆเหมือนอย่างตอนงานแต่งซึ่งบอกตามตรงว่าผมไม่ปลื้ม แต่จะไห้นึกว่าอยากไปที่ไหนก็ไม่รู้อีก ลงท้ายเลยตามใจให้เขาเป็นคนคิด แล้วใครจะไปนึกว่าผมจะได้เข้าวัด!


“หืม?” คนตัวโตชะงักเพราะถูกกระตุกชายเสื้อยิกๆ แล้วค่อยหันมาหาผมที่ยืนต่ำลงมาสองขั้นบันได ส่วนที่รีรอ ยังไม่ก้าวตามขึ้นมาคือพี่บอดีการ์ดที่ต้องเก็บปืนมาช่วยหิ้วถังสังฆทานแทน “ก็ตามขึ้นมาสิ ไม่เคยเข้าวัดทำบุญหรือไง”


“แต่... ทำไมจู่ๆถึงมาที่นี่ล่ะครับ?”


ผมเหลียวมองรอบตัวเหมือนอย่างที่ทำตั้งแต่อยู่ในรถ วัดแห่งนี้ไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองจึงมีเนื้อที่กว้างขวาง โบสถ์หลังใหญ่รายล้อมด้วยศาลาสำหรับประกอบศาสนกิจ หอไตร เมรุ และกุฏิหลายหลังล้วนก่อสร้างอย่างสวยงาม วิจิตรอลังการ แต่รถเบนซ์คันโตกลับเลยมาจอดตรงหน้ากุฏิหลังหนึ่งที่ห่างออกมา ตัวกุฏิเป็นไม้ทั้งหลังให้ความรู้สึกสันโดษ เป็นเอกลักษณ์ต่างจากกุฏิส่วนใหญ่ที่พร้อมพรั่งด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกราวกับไม่ใช่ที่พำนักของสงฆ์


“ก็ไม่ทำไมหรอก คุณแม่นับถือหลวงลุงรูปนี้มาก เวลาจะหาฤกษ์หายามหรือทำบุญอะไรให้คุณพ่อก็จะมานิมนต์ท่านตลอด ฉันนึกได้ว่ากานต์อาจจะอยากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่บ้างก็เลยพามาที่นี่ไงล่ะ”


ผมฟังคำตอบแล้วยืนอึ้ง คุณภากรเลยขยับหลบแล้วส่งสัญญาณให้พี่บอดีการ์ดยกของขึ้นกุฏิไปก่อน ความจริงบันไดนี้ไม่ได้สูงมากมาย แต่ก็รู้สึกเหมือนได้อยู่กันตามลำพัง ผมเลยกล้าที่จะก้าวขึ้นไปยืนเหนือกว่าหนึ่งขั้นเพื่อจะได้กระซิบที่ข้างหูเขาว่า... 


“...ผมอยากกอดคุณจัง...” เสร็จแล้วก็รีบซอยเท้าหนี พ้นจากมือใหญ่ที่เอื้อมจะคว้าเอวได้หวุดหวิด


เมื่อขึ้นมาด้านบนเจอพี่บอดีการ์ดนั่งยิ้ม เอานิ้วจิ้มก้านร่มในถังสังฆทานฆ่าเวลาแต่เล่นเอาผมเขินจนเดินไม่เป็น ได้แต่ยืนหันซ้ายหันขวาจนกระทั่งคุณกรตามขึ้นมาและพอดีกับที่มีน้าผู้ชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากห้องด้านใน


“เชิญครับเชิญ นั่งกันให้ใจเย็นๆก่อน พอดีเมื่อคืนหลวงพ่อมีไข้นิดหน่อย แต่ทานยาแล้วจำวัดไปก็ค่อยยังชั่ว เดี๋ยวคงจะออกมา วันนี้มาทำอะไรกันบ้างครับ”


ผมเดาว่าน้าคนนี้คงเป็นลูกศิษย์พระ ท่าทางเป็นคนมีอัธยาศัย ดูใจดี ระหว่างที่ชวนคุยก็ไม่ได้อยู่ว่าง เตรียมจัดข้าวของ น้ำร้อนน้ำชาสำหรับทั้งหลวงพ่อและพวกเรา คุณภากรรับหน้าที่สนทนา ส่วนผมได้มองไปรอบๆก็เห็นถึงความเรียบง่ายสมถะ ที่มีมากนอกจากพระพุทธรูปคือหนังสือ นอกนั้นก็มีเพียงเครื่องอุปโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพอย่างสงฆ์ ส่วนสิ่งของที่ฆราวาสนำมาทำบุญจะถูกคัดแยกไว้ที่มุมหนึ่งซึ่งคุณน้าบอกว่าสำหรับแจกจ่ายต่อให้ญาติโยมที่ขาดแคลน


พวกเรารออีกสักพัก หลวงพ่อหรือถ้าเป็นผมสามารถเรียกหลวงตาได้เต็มปากก็ค่อยๆก้าวออกมาจากห้อง ท่าทางท่านยังดูอ่อนแรงแต่แววตาสดใส น้ำเสียงดังกังวานและมีรอยยิ้มใจดีทำให้ดูยิ่งน่าเลื่อมใส ท่านจำคุณภากรได้จึงถามไปถึงคุณภัทราพร ส่วนผมยอมรับตามตรงว่าเป็นเด็กห่างวัด ถึงจะรู้สึกว่าหลวงตาใจดีแต่ก็ยังกลัวๆกล้าๆเลยได้แต่นั่งฟังเขาคุยกัน พอเสร็จเรื่องสารทุกข์สุขดิบก็เริ่มการถวายสังฆทาน ผมไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างได้แต่ท่องคำสวดและทำตามๆเขาไปจนมาจบขั้นตอนทั้งหมดที่การกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แม่กานดา เสร็จพิธีพอดีกับที่ผมเริ่มเหน็บกินขา แต่หลวงตายังชวนคุยต่อ ไม่ยอมให้ลากลับง่ายๆ


“คราวที่แล้ว แม่ของโยมมาเกริ่นให้ฟังว่าคงจะได้มาขอฤกษ์หมั้นฤกษ์แต่งให้ลูกชายเร็วๆนี้ แล้วนี่ใกล้หรือยังล่ะ” หลวงตาถามแล้วยกจอกน้ำชาขึ้นจิบ ส่วนผมยิ่งก้มหน้าจนคางชิดอก


“ถ้าเป็นฤกษ์อย่างที่ว่าก็เลิกคิดไปได้เลย เพราะกับแฟนคนนี้ผมคงไม่ได้แต่งหรอกครับหลวงลุง”


คุณกรตอบพร้อมกับเอื้อมมือมาขยี้ที่หลังหัวผมเบาๆ ผมไม่ได้เห็นว่าหลวงตาทำหน้าอย่างไร แต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะลั่นกุฏิเชียว


“เออแน่ะ! เห็นจะต้องเลิกคิดจริงๆ แล้วนี่แม่เราเขาจะยอมรึ”


“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวนี้แม่รักกานต์มาก เผลอๆจะรักเขามากกว่าผมซะอีก”


“เอ้าๆ ดีๆ ถ้าอย่างนั้นก็ดี รักใคร่ปรองดองกันไว้ ครอบครัวจะได้มีความสุข”


ผมก้มๆเงยๆเพราะยังไม่กล้ามองหน้าหลวงตาสักเท่าไหร่ จะว่าอายพระก็คงไม่ผิด ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครบ้าเอาเรื่องนี้มาคุยกับพระหรือเปล่า แล้วก็ได้รู้ว่ามีคนนึงที่นั่งพับเพียบอยู่ข้างๆผมนี่เอง


“แล้วหลวงลุง... ไม่คิดว่าแปลกเหรอครับ?”


“เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องทางโลก ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ถ้าพวกโยมตรองดูถี่ถ้วน รักชอบกันอย่างมีสติ และร่วมกันสร้างบุญสร้างกุศล ไม่ก่อบาปหรือทำความเดือดร้อนให้ใคร หลวงพ่อก็ขออนุโมทนา”


คราวนี้ผมตั้งใจมองแล้วก็ได้พบมากกว่าความใจดี นั่นคือความเข้าอกเข้าใจ ไม่ได้มีความรังเกียจเดียดฉันท์หรือแม้แต่เวทนาสงสาร ทำให้ผมรู้สึกเต็มตื้นอยู่ข้างในลึกๆ ที่เคยกลัวหรือลังเลไม่ได้หมดไปเสียทีเดียวแต่อย่างน้อยก็เหมือนได้เข้าใจว่าการทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือวิปริตอย่างที่ใครๆกล่าวหา


ผมหันไปสบตาคุณภากรแล้วก้มลงกราบพร้อมกัน พอดีกับมีญาติโยมมาหาหลวงพ่อก็เลยได้จังหวะขอตัวลา พากันเดินเลาะมาตามทางด้านที่ติดคลอง แถบนี้ถือเป็นเขตอภัยทาน ซ้ำยังมีคนมาคอยให้อาหาร ปลาเล็กปลาใหญ่เลยมารวมตัวชุกชุมเป็นพิเศษ


“ลุงคะลุง ขนมปังเลี้ยงปลาค่ะ ถุงสุดท้ายแล้วซื้อมั้ยคะ”


มีเสียงแจ๋วๆมาเรียกจากด้านหลัง แต่ผมหันไปเห็นสีหน้าคนถูกเรียกแล้วก็อยากจะปล่อยก๊าก


“ถุงสุดท้ายจริงๆเหรอหนู” คุณลุงจำเป็นทำหน้าปั้นยากแล้วยองตัวลงนั่งคุยกับเด็กหญิงหน้าตาซื่อๆ อายุน่าจะประมาณหนูเพลินนี่ล่ะ


“ค่ะ แม่บอกว่าหมดแล้วค่อยไปเอาใหม่ ยี่สิบบาทเอง ลุงซื้อหน่อยนะคะ”


ผมถึงกับกลั้นยิ้มไม่อยู่แต่คุณกรยังพอเก็บอาการไหว สุดท้ายก็ยอมควักกระเป๋าสำหรับขนมปังแห้งๆถุงสุดท้ายไปหนึ่งร้อยบาทเพราะไม่เคยพกแบงก์ราคาต่ำกว่านั้น


“นี่ฉันดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ?!”


ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่คำถาม แต่พอคิดตามก็อดสะท้อนใจไม่ได้ นึกถึงตอนที่พ่ออายุสามสิบ ผมก็สักห้าหกขวบได้แล้วมั้ง หรืออย่างบางคนที่ผมรู้จักก็มีลูกหลายคนแล้วด้วยซ้ำ ผู้ชายอย่างคุณภากรถือว่ามีความพร้อมในทุกๆด้าน ถ้าได้แต่งงานกับผู้หญิงที่คู่ควรกันก็คงเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และลูกๆที่น่ารัก...


“หืม?” ท่อนแขนใหญ่สอดรัดรอบเอว ส่งผ่านไออุ่นผ่านมาทางแผ่นหลังพร้อมเสียงกระซิบแผ่วที่ข้างหู เป็นวิธีที่เขามักใช้เรียกสติเวลาเห็นผมนิ่งเงียบไปโดยไม่มีสาเหตุ “คิดมากอีกแล้ว”


“เปล่าสักหน่อย!” แล้วผมก็จะบอกเขาแบบนี้หรือไม่ก็ดื้อเงียบไปเฉยๆ


“โอเคครับ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ถามอีกแล้วว่าคิดมากเรื่องอะไร” ผมเสียววาบในอก แต่ยังดีที่หันไปแล้วได้เจอรอยยิ้มเล็กๆให้ใจชื้น “แต่ขอให้กานต์รู้ไว้ว่าตอนนี้คุณกรมีความสุขมาก มากกว่าที่เคยมีมาทั้งชีวิต และไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น แม้จะต้องพลาดสิ่งดีๆในสายตาใครอีกมากมายแค่ไหน คุณกรก็จะขอแค่ให้เรายังมีกันและกันแบบนี้ตลอดไปนะครับ”


ผมจำไม่ได้ว่าเคยถามตัวเองหรือเปล่า แต่ลองให้ใครมาเป็นผมแล้วถามสิว่ายังทันมั้ยนะถ้าจะไม่ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้


“คุณ!” เรื่องเขินคงไม่ต้องพูดถึง แต่ผมว่า... เคลียร์สถานการณ์รอบด้านก่อนดีกว่า “ไม่อายบ้างหรือไง คนเขามองกันใหญ่แล้ว?!”


ไหนจะเด็กคนเมื่อกี้กับแม่ของแกที่กำลังบิดซะจนขนมปังแห้งๆกลายเป็นเศษขนมปังป่น พ่อค้าแม่ค้ารายอื่น ญาติโยมที่พากันมาทำบุญ และฝูงปลาอีกเป็นร้อย แต่เขากล้ายืนกอดผมไว้แล้วยังจะ... หอมแก้มโชว์อีกแน่ะ!


“ช่างปะไร ก็คนรักกันไม่เห็นมีอะไรแปลก ทำอย่างกับไม่เคยเห็นไปได้ คนที่มองสิต้องอายถึงจะถูก”


ณ จุดๆนี้ ผมขอเปลี่ยนคำถาม... แต่ช่างเถอะ! คงไม่ทันแล้วล่ะ งั้นก็เอาเป็นว่าผมรักเขา และผมโคตรจะอาย ขอพลีชีพกระโดดลงไปเป็นอาหารปลาให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีกว่า และขอบอกว่าพอกันที เข็ดจนตาย สาบานว่าชาตินี้จะไม่โดดงานอีกแล้ว!!




จบตอนแล้วคร้าบ






ถึงจะเขียนไว้นานแล้ว แต่มาลงในจังหวะที่ถือว่าใช้ได้ เพราะเพิ่งผ่านวันพระสำคัญมาก มีใครได้ไปทำบุญเข้าวัดกันบ้างมั้ยคะ



 :bye2:




ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
เมธทำเป็นดุเพื่อไล่คนอื่นออกจากห้องรึป่าว 555


ส่วนคู่รักที่ให้อาหารปลาระวังด้วย อย่าโปรยน้ำตาลลงน้ำมากคะ เดี๋ยวปลาเป็นเบาหวาน อิอิ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ยิ้มอีกแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
มดกดให้ยุบยับเลย 555

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1







35.









ตั้งแต่มาถึงภูเก็ตมีงานให้ทำยุ่งอยู่ตลอด แถมยังมีคนชอบเซ้าซี้คอยป้วนเปี้ยนกวนใจจนไม่มีเวลาว่างได้มานั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆเหมือนอย่างตอนนี้ มองไปเบื้องหน้ามีเพียงแผ่นฟ้าเคียงคู่กับผืนน้ำ บรรยากาศสงบเงียบเพราะยังเป็นเวลาเช้าจัด พระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นน้ำมาได้ไม่นาน ถ้าจะเทียบกันก็คงเป็นเวลาเดียวกับเช้าวันนั้น ฉันลากสังขารกลับบ้านด้วยหัวใจที่แตกเป็นเสี่ยงๆ หัวถึงหมอนก็สลบ อยากจะหลับให้ตายๆไปทั้งอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น และคนที่มาปลุกก็คือคนที่ทำให้ตกอยู่ในฝันร้ายทั้งๆที่ตื่นนั่นแหละ


‘หนูภาจ๋า’ เสียงนุ่มมาพร้อมกับริมฝีปากอุ่นแปะลงตรงโน้น ตรงนี้ทั่วใบหน้า ถ้าเป็นเด็กหญิงภาวิณีคงหัวเราะคิกคัก แกล้งผลักออกแต่ที่จริงก็ชอบให้คุณอาคนโปรดทำอย่างนี้ หรือหากเป็นภาวิณีคนเก่าก็ต้องยิ่งดีใจเพราะมันเหมือนกับที่ฝันไว้ทุกอย่าง แต่สำหรับตัวฉันตอนนี้ได้แต่นอนนิ่งไม่ต่างจากท่อนไม้หรือก้อนหิน เพราะเผื่อว่าหัวใจมันจะแข็งและชาจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บที่จี๊ดอยู่ข้างในนี่สักที


‘ไม่พูดไม่จาอย่างนี้ มีใครทำอะไรให้เจ้าหญิงของอาโกรธหรือเปล่าน๊า’


ผู้บุกรุกยังไม่หยุดงอนง้อ แต่ปฏิกิริยาของฉันก็ทำให้ความพยายามของเขาถูกแปลงความหมายเป็นการเซ้าซี้น่ารำคาญ น้ำเสียงและวิธีการจึงเปลี่ยนให้จริงจังขึ้น


‘ถ้าหนูภาโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อาขอโทษ แต่ถ้าไม่ใช่ก็บอกมาเถอะว่าไม่ชอบใจเรื่องอะไร อายอมทุกอย่างแล้วนะครับ’


‘ออกไปเถอะค่ะ’ พอบอกอย่างนี้อ้อมแขนใหญ่กลับยิ่งรัดแน่นขึ้น แถมยังรู้สึกจั๊กจี้กับหนวดแข็งๆที่ไซ้ซอนอยู่ข้างแก้ม หลานสาวตัวน้อยเคยยอมแพ้ให้กับไม้ตายนี้ โดนเข้าไปนิดหน่อยเธอก็จะหัวเราะคิกแล้วออกปากยอมแพ้คุณอาขี้แกล้ง แต่อย่างที่บอกแล้วว่านั่นไม่ใช่สำหรับภาวิณีคนนี้ ‘หนูภาขอโทษที่ทำเรื่องไม่สมควร ถ้าอาชัชไม่โกรธก็ช่วยคิดซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องพูดถึงมันอีกก็แล้วกัน’


‘แต่หนูภาเป็นเมียอาแล้ว จะบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง!’


‘เราเป็นอาหลานกันมาตั้งยี่สิบกว่าปี เป็นอย่างนั้นต่อไปคงจะดีกว่า เวลาแค่คืนเดียวเปลี่ยนอะไรไม่ได้มากขนาดนั้นหรอกค่ะ’


‘หนูภา! รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา เรื่องของเรามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วนะ จะให้ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าแค่ฝันไปอาทำไม่ได้!’


อาชัชเสียงดังขึ้นและเขย่าตัวฉันราวกับจะให้ความเพี้ยนหลุดออกไป น่าขัน! ตกลงเขาไม่รู้ใช่มั้ยว่านี่ล่ะ ตัวตนแท้ๆของหลานสาวตัวเอง!


‘ก็ไหนเมื่อกี้อาชัชบอกเองว่าจะยอมทำตามที่หนูภาบอกทุกอย่าง...’ ฉันหันไปมองเขา จงใจแทรกรอยขันลงไปในน้ำเสียง ทั้งที่ความจริงร้อนขอบตาจะแย่อยู่แล้ว ‘สุดท้ายอาชัชก็ไม่ได้เห็นหนูภาสำคัญอย่างที่ปากว่าสักนิด ในเมื่อไม่ได้รักไม่ได้แคร์กันก็ถือซะว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความโง่งี่เง่าของหนูภาฝ่ายเดียวก็พอ อาชัชไม่ผิด ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบ เพราะสำหรับหนูภา มันก็แค่เซ็กซ์สนุกๆไม่กี่ที ไม่เห็นจะมีอะไรบุบสลาย ไม่ได้ทำให้พิการจนมีชีวิตปกติต่อไปไม่ได้สักหน่อย’


‘หนูภา!’ ดวงตาสีดำสนิทมีแววตื่นตระหนก คงไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเยี่ยงนี้ออกจากปากหลานสาวคนเดียว ‘หนูภาเป็นผู้หญิง จะคิดแบบนี้ไม่ได้นะ!’


‘งั้นอาชัชจะให้หนูภาทำยังไง ร้องไห้ฟูมฟายที่เสียตัว ออกไปเดินตากฝนทำเหมือนโลกจะแตก หรือว่าจะให้เอามีดกรีดข้อมือ ให้เลือดชั่วๆมันไหลออกไปให้หมดตัวเลยดีมั้ยคะ!’


‘อานึกว่าหนูภารักอา!?’


‘อาชัชต่างหากที่ไม่เคยรักหนูภาเลย! อาชัชรักแต่ไอ้เด็กนั่น คิดถึงแต่มัน ร้องหาแต่มัน!’


เสียงละเมอของเขาแว่วขึ้นมาในหู ถึงจะยกมือปิดหรือเอานิ้วอุดหูแน่นแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ และแน่นอนว่าฉันเองไม่ใช่ท่อนไม้หรือก้อนหินที่จะทนทำตัวด้านชาไปได้จนถึงที่สุด ถึงไม่อยากทำตัวขี้แยหรือใช้น้ำตาเรียกความสงสาร แต่ความเข้มแข็งก็ถูกละลายออกมาชนิดที่พยายามเช็ดจะเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที


‘อะไร?! หนูภาหมายถึงใคร?!’ คนตัวโตร้องถามเสียงหลง พยายามจะช่วยเช็ดน้ำตาก็ถูกปัดทิ้ง


‘จะถามทำไมในเมื่ออาเองก็รู้อยู่แก่ใจ จะให้หนูภาต้องรู้สึกสมเพชตัวเองไปถึงแค่ไหนกัน?!’


‘แต่อาอยากจะรับผิดชอบ...’


ฉันตวาดเสียงลั่น ส่วนเขาบอกเบาๆ สีหน้าจ๋อยๆ และโดยเฉพาะคำที่เขาเลือกมาใช้มันทำให้... ก็เข้าใจนะว่าคนที่เป็นลูกผู้ชายควรยืดอกยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แต่พอมาเจอกับตัวเอง มันกลายเป็นคำที่ไม่เข้าท่า ไม่อยากให้ดังเข้ามาในหูเลยด้วยซ้ำ!


‘งั้นอาชัชกล้าบอกแม่กับพี่กรมั้ยล่ะ’ ฉันพูดจบ เขาก็ลุกพรวดจนเกือบคว้าตัวไม่ทัน ‘หยุดนะ! อาจะทำอะไร?!’


‘ก็จะไปบอกคุณภัทเรื่องของเรา’


ฉันจิกตาห้ามสุดฤทธิ์ ให้ตายเถอะ นี่เขาไม่รู้หรือไงว่าฉันประโช้ดดด!!


‘ทำไมล่ะ? หรือว่าหนูภาอาย?’


เป็นคำถามที่ชวนให้หยุดคิด ว่ากันตามจริง ถ้าคำว่า ‘อาย’ มีตัวตนอยู่ในหัว ความรักคงไม่เบ่งบานจนออกฤทธิ์ให้กล้าทำไปได้ขนาดนั้น และแม้ตอนนี้จะเรียกว่าสำเร็จไปเกินครึ่ง สถานภาพอาหลานอย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว แต่จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไรในเมื่อ...


‘หนูภาไม่ได้อายที่จะบอกใครๆว่ามีอะไรกับอา แต่อายตัวเองที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอาชัชรักหนูภาบ้างหรือเปล่า’


‘ทำไมถึงคิดอย่างนั้น อารักหนูภามาตลอดหนูก็รู้นี่ โอเคว่าเมื่อก่อนอาจมองหนูภาเป็นแค่หลาน แต่ไม่ว่ายังไงหนูภาก็เป็นที่หนึ่งในใจอาเสมอ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ถึงมันจะเป็นเพราะฤทธิ์ยา แต่อาเป็นผู้ชายต้องรู้ตัวเองอยู่แล้วว่ากำลังทำอะไร เซ็กซ์อาจเป็นแค่เรื่องสนุกๆอย่างที่หนูภาบอกก็จริง แต่กับคนที่เรารักเท่านั้นมันถึงจะกลายเป็นความสุขอย่างที่อาเองก็อธิบายไม่ถูก หนูภาไม่ได้รู้สึกเหมือนที่อารู้สึกบ้างเหรอครับ?”


อีกหนึ่งคำถามที่ถูกย้ำด้วยอ้อมกอดอุ่นชวนให้ใจอ่อน แต่เขาคงคิดว่ายังไม่พอเลยละลายซ้ำด้วย...


‘ทั้งตอนนี้และตลอดไปอาสามารถพูดได้เต็มปากว่าอารักหนูภา รักอย่างผู้ชายรักผู้หญิง อย่างที่ผัวจะรักเมีย หนูภาเชื่ออานะครับ’


ฉันสะกดตัวเองให้นิ่งทั้งที่ข้างในอกกำลังเต้นโครมครามราวกับเป็นบ้า ไม่อยากเชื่อว่าชีวิตนี้จะได้ยิน แต่อีกใจยังสงสัยว่านี่อาจจะเป็นแค่ความฝัน เพราะฉะนั้นจะเชื่อง่ายๆไม่ได้ ต้องเอาคำตอบนี้ย้อนตรวจคำถามที่คาใจเสียก่อน


‘แล้วถ้า... ระหว่างหนูภากับไอ้เด็กตุ๊ดนั่น อาชัชรักใครมากกว่า?’


‘กานต์มาเกี่ยวอะไรด้วย?’


‘ไม่รู้ล่ะ ตอบมาเลยนะว่าระหว่างหนูภากับมัน อาชัชจะเลือกใคร?’ ฉันเสียงดังขึ้น ไม่ถึงกับตะคอกแต่ก็คาดคั้นสุดๆ แล้วดูเขาสิ เอาแต่อ้ำอึ้ง เอ่อๆ อ่าๆ อยู่ได้ ‘นั่นไง! อาชัชลังเล อาชัชก็รักมันเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ?’


‘ถ้าจะเรียกว่ารัก... มันก็...’ กว่าจะหลุดออกมาสักคำก็ยังฟังไม่ได้อยู่ดี!


‘หยุดเลยนะ ไม่ต้องพูดแล้ว! ถ้าตราบใดที่อาชัชยังรักหรือเห็นมันสำคัญกว่าก็ไม่ต้องมายุ่งอะไรกับหนูภาอีก ห้ามมากอด มาหอม แล้วก็ห้ามบอกเรื่องของเราให้ใครรู้ด้วย จำไว้!’


อาชัชรับปากรับคำโดยดี ซึ่งว่ากันแบบไม่เข้าข้างก็ถือว่าเขาทำได้เกือบจะเคร่งครัด แต่ในเมื่อความสัมพันธ์ของเรามันเลยเถิดไปมากก็เลยมีบ้างที่เขาจะทำท่ากรุ้มกริ่ม คอยหยอดคอยแทะเล็มให้ตัวเขาเองรู้สึกกระชุ่มกระชวย ส่วนฉันเองก็เขินจนเกือบหลุดเก๊กอยู่บ่อยๆ


สำหรับการมาภูเก็ตเที่ยวนี้ ทีแรกฉันปฏิเสธจะไม่มาเพราะนึกว่าพี่กรอยากกำจัดฉันไปให้พ้นๆทางรักของเขา แต่พอได้ทำความเข้าใจว่าเป็นแผนงานที่วางไว้ตั้งแต่ต้นก็รู้สึกภูมิใจที่เขาวางใจในความสามารถ พอคิดอีกทีก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะดึงอาชัชให้ห่างจากเด็กคนนั้น เผื่อว่าเขาเองก็จะได้มีเวลาทบทวนความรู้สึกและตอบคำถามของฉันได้อย่างชัดเจนเสียที


ระหว่างที่อยู่ที่นี่เรียกว่าเป็นเวลาทองที่ฉันได้ตักตวงความสุขคืนมาหลังจากหลายปีที่ไม่เคยได้เห็นหน้าหรือแม้แต่ได้ยินเสียง แน่นอนว่าฉันยังสั่งให้เขาทำตัวเหมือนเป็นอาหลานกันตามปกติ ซึ่งนับเป็นความคิดที่ดีเพราะทำให้ฉันได้สัมผัสตัวตนของเขาอย่างที่คนทั่วไปได้รู้จัก คุณชัชผู้นี้มีความสามารถสมกับเป็นที่ปรึกษามือดีที่พี่กรวางใจได้เต็มร้อย เขาทั้งฉลาด ทันคน เด็ดขาด ไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ แต่ขณะเดียวกันก็มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ เป็นที่รักของลูกน้องตลอดจนคนในพื้นที่ เพราะเขาเองก็บอกเสมอว่า พวกเรามาทีหลัง จะไปเอาเปรียบคนที่อยู่มาก่อนไม่ได้ ต้องให้การมาของเราเกื้อหนุนให้พวกเขาอยู่ได้และเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน จึงจะเรียกว่าเราทำธุรกิจได้ประสบความสำเร็จ


“หนูภาจ๋า” อุ๊ย! กำลังนั่งเพลินๆ คนที่อยู่ในความคิดก็มาปรากฏตัวแล้วขโมยกลิ่นแก้มไปหนึ่งฟอดใหญ่ “ขอโทษจ๊ะ อาเข้ามาเงียบๆ ตกใจล่ะสิ”


ฉันไล้หลังมือกับข้างแก้มพร้อมตวัดสายตาเคืองๆใส่คนตัวโตในชุดพร้อมเดินทาง ที่จริงฉันแค่จะกลับไปทำธุระส่วนตัวที่กรุงเทพ แต่พอเขารู้ก็ยัดเยียดตัวเองไปเป็นเพื่อนหน้าตาเฉย


“หนูภาเก็บของเสร็จแล้ว เราไปสนามบินกันเลยมั้ยคะ”


“อีกเดี๋ยวก็ได้ครับ” เขาแตะแขนรั้งเบาๆแล้วรวบตัวเข้าไปหา ฉันเลยได้ยืนพิงแผงอกกว้างอย่างสบาย ส่วนเขาก็วางคางลงมาบนไหล่จะได้แอบหอมแก้มได้สะดวก อย่านึกนะว่าฉันไม่รู้! “ก่อนจะกลับไปกรุงเทพเที่ยวนี้ อามีเรื่องอยากคุยกับหนูก่อน”


ที่ผิดไปคือน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังมากถึงมากที่สุด ถ้าไม่ใช่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญมากๆ


“หนูภาตั้งกติกาสั่งให้อาห้ามความรู้สึกของตัวเอง แต่อารู้ตัวเองดีว่าทำไม่ได้ ไม่ว่ายังไงอาก็รักหนูภา รักจนไม่รู้จะอธิบายยังไงถูก แล้วหนูภาล่ะครับ ห้ามใจตัวเองไม่ให้รักอาได้หรือเปล่า”


นับวันความเข้มแข็งของฉันก็ยิ่งอ่อนละลาย ไม่รู้จะมาถามทำไม ในเมื่อเขาก็รู้ว่า...


“ถ้าห้ามได้ หนูภาจะทำอย่างที่ทำไปทำไมกัน?”


คนตัวโตระบายลมหายใจอุ่นๆข้างแก้มฉันอีกทีแล้วพูดต่อ


“นั่นสิครับ หนูภาเองก็รู้ว่าความรักมันห้ามกันไม่ได้ หัวใจของเราเรายังสั่งไม่ได้ แล้วหนูภาจะเอาอำนาจอะไรไปสั่งหัวใจคนอื่น”
ฉันรีบแกะแขนที่กอดอยู่ แต่เขารู้ทันเลยยิ่งกอดแน่นขึ้น


“อาชัชจะโยงเข้าเรื่องพี่กรกับไอ้เด็กตุ๊ดนั่นใช่มั้ย?!”


“ที่อาพูดเพราะอาอยากให้หนูภาเปิดใจให้กว้าง มองโลกด้วยความเข้าใจ ถึงจะเห็นด้วยไม่ได้ก็ขอให้วางเฉย ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาสองคน คนดีทำเพื่ออาได้มั้ย”


“แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงต้องพูดเรื่องนี้ด้วย พี่กรบอกให้มาพูดหรือไง?” ฉันไม่ได้หันไปมองแต่รู้สึกได้ว่าเขาส่ายหน้า “งั้นก็ทำเพื่อไอ้เด็กนั่นอีกแล้วใช่มั้ย?”


“ไม่ใช่หรอกครับ อาแค่เห็นหนูภามาอยู่ภูเก็ตแล้วสบายใจเลยไม่อยากให้กลับกรุงเทพไปเจออะไรๆก็อารมณ์เสียไปซะหมด รู้มั้ยเวลาคนเราโกรธหรือเกลียด อารมณ์พวกนั้นมันก็ตกอยู่ที่ตัวเรา ทำให้ใจขุ่นมัวเป็นทุกข์ ร่างกายก็พลอยร้อนรน อึดอัด ไม่สบายทั้งตัวไม่สบายทั้งใจ ส่วนไอ้คนที่เราโกรธกลับไม่รู้เรื่องหรือเดือดร้อนอะไรด้วยสักนิด อาไม่อยากเห็นหนูภาของอาต้องเป็นแบบนั้น”


ถึงจะเห็นด้วยกับทุกคำที่เขาสอน แต่ฉันก็ไม่ยอมรับปากว่าจะทำได้ตามที่เขาขอร้อง ตลอดเวลาที่ขึ้นเครื่องเดินทางจนกลับมาถึงกรุงเทพ เราต่างเงียบไปทั้งคู่ ฉันไม่เชิงโกรธแต่กำลังสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้เขาถึงกับออกปากเรื่องนี้  แล้วก็ได้คำตอบเมื่อ...


“แกมาทำอะไรที่นี่?!”


แทนที่ถึงบ้านแล้วจะได้สงบ สบายใจ แต่นี่อะไร คนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกลับเสนอหน้าออกมารับ ทำราวอยู่บ้านตัวเองก็ไม่ปาน มิหนำซ้ำคนที่คอยให้ท้าย จัดการให้มันย้ายเข้ามาในระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็คือ...


“คุณแม่! นี่คุณแม่ก็เป็นไปกับพี่กรอีกคนเหรอคะ! ภาไม่ยอม ไม่ว่ายังไงภาก็ไม่ยอมให้มันมาอยู่ที่นี่ คุณแม่ไล่มันออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!”


ตั้งแต่จำความได้ น้อยครั้งมากที่คุณแม่จะไม่เข้าข้างหรือไม่ยอมตามใจ แต่ตอนนี้ ท่านเอาแต่ยืนนิ่ง มองฉันด้วยแววตาสงบและยังวางมืออยู่บนท่อนแขนของเจ้าเด็กนั่นอีก ส่วนอาชัชที่เพิ่งตามเข้าบ้านมาก็รีบมาจับตัวฉันไว้ ทำอย่างกับว่าฉันจะเข้าไปทำอะไรสุดที่รักของเขาอย่างนั้นแหละ


“ทุกคน!” ฉันสะบัดมือที่จับอยู่ กราดมองรอบตัวด้วยความรู้สึกเหมือนมีระเบิดกำลังตูมตามอยู่ในตัว “ไม่ว่าใครก็เป็นบ้าไปหมด! ถูกไอ้เด็กตุ๊ดนี่ล้างสมองหมดแล้วหรือไง!”


คนที่ถูกเอ่ยชื่อเอาแต่ยืนก้มหน้า คงจะรู้ตัวล่ะว่าโดนหมายหัว ส่วนคุณแม่หันไปส่งสัญญาณกับแม่บ้านที่รู้งานรีบไล่พวกเด็กรับใช้ให้ไปทำหน้าที่ตัวเอง จะได้ไม่มาอยู่คอยสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านาย


“คุณท่านครับ ผม...”


ในที่สุดไอ้ตัวต้นเหตุก็ยอมอ้าปาก เดาว่ามันคงจะขอยอมแพ้ แต่กลายเป็นคุณแม่ที่ไม่ยอมเสียเอง


“ฉันเป็นคนอนุญาตให้เธออยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” ท่านพูดกับมันแล้วค่อยหันมาทางฉัน “แม่ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”


นึกถึงเมื่อตอนที่คุณแม่โทรไปปรับทุกข์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันตัดสินใจกลับมาเมืองไทยเพื่อดูลาดเลาอย่างเงียบๆ น้ำเสียงของท่านทั้งเป็นทุกข์ วิตกกังวลไปสารพัด ไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้ท่านกลับเห็นดีเห็นงาม แถมดูจะปกป้องเจ้าเด็กนี่อยู่กลายๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นในระยะเวลาแค่ไม่กี่วันที่ฉันไม่อยู่บ้าน โลกมันหมุนกลับหัวไปแล้วหรือไงกัน?!


“ภาไม่คุย! ถ้าคุณแม่ให้มันอยู่งั้นภาไปเองก็ได้!”


“ห้ามไปไหนทั้งนั้นนะภาวิณี! ถึงเวลาที่เธอจะทำตัวให้เหมือนคนที่โตเป็นผู้ใหญ่จริงๆสักที หัดรับฟังคนอื่นซะบ้าง กานต์จะอยู่ที่นี่ เธอเองก็เหมือนกัน ถ้าไม่อยากคุยตอนนี้ก็ขึ้นห้องไปสงบสติอารมณ์ก่อน ใจเย็นลงเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”


ใครๆก็รู้ว่าเวลาคุณแม่โกรธจะยิ่งนิ่ง น้ำเสียงเรียบเย็นทรงอำนาจ แต่ไม่เคยเลยที่ท่านจะใช้น้ำเสียงอย่างนี้กับฉัน ไม่ว่าฉันจะทำผิดหรือทำให้ท่านไม่พอใจสักแค่ไหนก็ไม่เคยจิกเรียกฉันแบบนี้ นี่ตกลงว่าฉันกลายเป็นคนอื่นในขณะที่ไอ้เด็กตุ๊ดนี่กลายเป็นลูกรักคนใหม่ของท่าน ไม่จริงใช่มั้ย?!


“คุณแม่เข้าข้างมัน!”


“มาเหนื่อยๆ ขึ้นไปข้างบนกันดีกว่า เอาไว้ให้ใจเย็นๆก่อนแล้วค่อยคุยกัน นะครับหนูภา” คนที่ยืนอยู่ข้างๆพูดกับฉันแต่เชื่อสิว่าเขามองแต่ไอ้เด็กนั่น เพราะมันก็กำลังมองตอบเขาเช่นกัน


จนถึงตอนนี้ คำว่าเสียใจ น้อยใจ หรือผิดหวังก็ดูจะน้อยเกินไป เพราะในอกมันมันทั้งเจ็บและจุกจนแทบหายใจไม่ออก แต่จำไว้ ขึ้นชื่อว่าคนอย่างภาวิณีจะไม่ยอมเจ็บคนเดียว ฉันเลยคว้าอะไรสักอย่างที่ใกล้มือเขวี้ยงออกไปสุดแรง พอสิ่งนั้นโดนเป้าหมายแล้วตกลงบนพื้นถึงได้รู้ อ้อ! จานพอร์ซเลนเขียนลายที่คุณแม่ได้มาจากอิตาลี โชคดีไม่ถึงกับแตก แค่มีรอยร้าวกับขอบบิ่นนิดหน่อย ได้สีแดงสดแต้มเพิ่มขึ้นมา ฉันว่าจานมันยิ่งดูสวยสะใจสุดๆเชียวล่ะ!


ขณะที่ฉันยังจ้องจานกระเบื้องราคาแพงไม่วางตา ทั้งคุณแม่และอาชัชกลับเข้าไปรุมดูไอ้เด็กตุ๊ดกันใหญ่ แถมเรียกคนโน้นคนนี้มาช่วยกันให้เป็นที่เอิกเกริก ไม่เข้าใจว่าจะเดือดร้อนอะไรกันนักหนา ขนาดเจ้าตัวเองยังไม่ได้ยินว่าจะแหกปากร้องสักแอะ ฉันขี้เกียจจะวุ่นวายด้วยเลยเดินขึ้นห้องสบายๆ ปล่อยให้พวกเขาโอ๋เอาใจมันกันให้พอ




จบตอนแล้วคร้าบ




ตอนเริ่มก็ดูจะเรียกคะแนนสงสารได้บ้าง แต่พอจบตอนเธอก็เข้าอีหรอบเดิม

เชื่อว่ากระทั่งบทส่งท้าย นางก็คงโดนด่าไม่เลิกล่ะค่ะ 555





 :bye2:



ออฟไลน์ Fahsaizzz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หนูภาน่าจะโดนดัดนิสัยนะคะ เพลียยย

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ถ้ากานต์เป็นลูกอาชัชขึ้นมา จะมองหน้ากันไม่ติดนะหนูภา...

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :angry2: คนโตๆเขาทำกันใช่ไหม

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ภานิสัยเด็ก! เด็กไม่รู้จักโต ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์เลย


ฮึ้มมมมม...ลุ้นตอนต่อไป อิอิ

ออฟไลน์ Dolamon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลุ้นต่อไปว่ากานต์. จะเอาชนะใจภาวิณีด้วยวิธีไหน
สู้สู้ๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
เบื่อนางนะ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
มันเกินไปมั๊ยหนูภา อาชัชจัดการอะไรหน่อยดิ พอเป็นเมียล่ะเข้าสมาคมกลัวเมียเลยนะไม่กล้าดุสั่งสอนเลย :o211:

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1






36.




ด้วยตำแหน่งประธานกรรมการบริหารเครือข่ายธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งโรงแรม คลับ และคาสิโน ในแต่ละวันต้องพบปะพูดคุยกับผู้คนมากมาย มีเรื่องให้คิดและตัดสินใจซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของพนักงานนับร้อย ไหนจะครอบครัวของคนเหล่านั้นก็รวมได้เป็นพันชีวิต บางวันประชุมตั้งแต่เช้าจรดเย็น ยิ่งช่วงที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆจำเป็นต้องศึกษางานทั้งหมดอย่างเร็วที่สุด ผมกับวรเมธถึงขั้นหลับคากองเอกสารกันเป็นประจำ แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งหมดนั้นยังไม่ทำให้เครียดขนาดนี้ หลังรับโทรศัพท์จากอาชัชผมก็รีบแล่นออกจากโรงแรมด้วยความร้อนใจสุดชีวิต!


รถไม่ทันจอดสนิทดี ผมก็เปิดประตูลงแล้ววิ่งขึ้นบ้าน เพิ่งจะมีวันนี้ที่รู้สึกว่าบันไดมันจะสูงไปไหน โถงกลางบ้านกว้างไปมั้ย ห้องโน้นห้องนี้จะมีเยอะแยะไปเพื่อ และที่สำคัญ คนใช้บ้านนี้มันหายหัวกันหมด ทำไมไม่มีใครมาคอยบอกว่าคนที่ผมอยากเจออยู่ที่ไหน แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่มีใครโผล่มาเพราะวินาทีนี้ ผมรู้ตัวเลยว่าแม่งโคตรพาล!


“เป็นไงบ้างวะหมอ?!”


ผมรีบถามเมื่อได้เห็นคนที่อยากเจอ คาดว่าการทำแผลคงถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วเพราะชวินกำลังบรรจงแปะผ้าก็อซลงไปบนขมับของคนเจ็บ พอรูดนิ้วรีดแถบพลาสเตอร์จนแน่นดีก็หันมาตอบ


“โคตรง่วงเลยว่ะ เมื่อคืนเข้าเวร พอเช้ามีเคสฉุกเฉินเข้ามาเลยต้องอยู่ต่อ เพิ่งได้กลับบ้านเมื่อตะกี้ กะจะนอนยาวถึงเย็นแต่พอหัวถึงหมอนก็โดนเรียกมานี่แหละ”


ถึงมันไม่เล่าก็เดาได้เพราะคงไม่มีหมอที่ไหนจะบ้าใส่ชุดนอนมารักษาคนไข้ และที่ต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะบ้านมันอยู่ถัดจากผมไปไม่กี่หลัง เลยเป็นเหตุให้เห็นหน้ากันมาตั้งแต่จำความได้ เคยบ้าหนังจีนจนขนาดจะกรีดเลือดเป็นพี่น้องร่วมสาบาน แต่ถ้าถามตอนนี้ ผมว่าเชือดคอมันเลยดีกว่า เผื่อความกวนประสาทจะลดๆลงบ้าง


“กูหมายถึงกานต์ ไม่ใช่มึง!”


“อ๋อ! จิ๊บจ๊อย” เจ้าหมอหน้าแป้นฉีกยิ้มตามด้วยอ้าปากหาวจนผมอ่อนใจ “โดนขอบจานเข้าไปเลยแตกนิโหน่ย แต่ก็แค่ผิวๆว่ะ ไม่ต้องถึงกับเย็บ แค่ใส่ยากะปิดป๊าดซะเต้อก็เสร็จเรียบร้อยหายห่วง”


“ไอ้หมอ?!” ผมตวาดลั่น แต่กลายเป็นทำให้คนเจ็บสะดุ้งแทน


“โอเคๆ ใจเย็นก่อน ถ้ามึงไม่เชื่อน้ำหน้ากูที่สู้อุตส่าห์เรียนจบหมอมาจริงๆ งั้นมึงถามแฟนมึงเองเลยอ่ะ”


ความจริงผมมองกานต์อยู่ตลอด เห็นสีหน้าเซียวๆ อาการย่นหัวคิ้วนิดๆแล้วอยากจะเข้าไปกอด ไปปลอบให้หายเจ็บ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงยังยืนเป็นบื้อเหมือนคนไม่รู้ที่ทางของตัวเอง จนเจ้าหมอเปิดทางและกานต์ขยับตัวเบาๆ ผมถึงได้รีบนั่งลงข้างๆ แล้วเชื่อเถอะว่าผมกำลังทำตัวไม่ถูก...


“ผมไม่เป็นไร แค่หัวแตกนิดเดียวอย่างที่พี่หมอบอกจริงๆครับ”


“แน่นะ?! ปวดหัวมั้ย แล้วเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?!”


กานต์อมยิ้ม ทำท่าจะส่ายหน้าแต่ขยับได้นิดหน่อยก็ชะงัก


“ตอนนี้อาจจะยังไม่ปวด แต่จะให้ยาแก้อักเสบไว้ ถ้าปวดหัวด้วยก็กินพาราเพิ่มอีกหนึ่งเม็ดทุกสี่ถึงหกชั่วโมง เวลาอาบน้ำหรือล้างหน้าต้องระวังอย่าให้แผลเปียก แล้วพรุ่งนี้เช้าพี่หมอจะแวะเข้ามาดูแผลให้อีกทีก่อนไปเข้าเวร โอเคนะครับ” น้ำเสียงจริงจังสมกับอาชีพแทรกขัด เรียกว่าถ้าคนทั้งโลกสบายดีก็คงไม่มีใครได้เห็นมุมนี้ของนายแพทย์ชวิน แต่สำหรับเพื่อนสนิทอย่างตัวผม มุมเดียวที่จะได้สัมผัส...


“ส่วนมึง เดี๋ยวกูจะสั่งยาแก้โรคประสาทให้กินเล่นสักกระปุก ชักวิตกจริตจนโอเวอร์แล้วมึงน่ะ”


“ง่วงก็รีบกลับบ้านไปนอนไป ก่อนที่กูจะทำให้มึงไม่ต้องตื่นไปกวนบาทาใครอีก ไอ้ลูกชิ้นหมา!”


ไอ้หมอมือไวหยิบห่อสำลีปามา ผมคว้าทันเลยส่งกลับไปสุดแรง มันหลบได้ ห่อสำลีเลยลอยไปตกที่มุมห้องโน่น มันมองผมกับกานต์แวบหนึ่งก็เดินไปเก็บให้ ไม่บ่นอะไรสักคำ ผมจึงหันกลับมาและเห็นคนข้างตัวนิ่วหน้าทั้งๆที่พยายามขำให้เบาสุดๆแล้ว ส่วนผมแค่อ้าปากก็เหมือนมีก้อนแข็งๆแล่นขึ้นมาที่คอ เพราะถึงแผลบนหัวจะดูไม่หนักหนาแต่รอยแดงที่แห้งกรังเป็นดวงๆบนเสื้อเชิ้ตสีขาวก็ทำให้ผมพูดได้แค่ว่า...


“ขอโทษ...” มือขาววางลงและบีบมือผมเบาๆ “ฉันขอโทษที่คุ้มครองกานต์ไม่ได้อย่างที่พูด ตั้งแต่มาอยู่กับฉันมีแต่เรื่องให้เจ็บตัว แล้วแถมคนที่ทำก็ดันเป็นน้องสาวฉันเอง”


จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อ ผมสนิทกับภาวิณีในระดับที่รู้จักนิสัยใจคอกันดี น้องสาวผมอาจจะดื้อรั้น เอาแต่ใจ ขี้งอน ขี้น้อยใจตามประสาผู้หญิง แต่ผมยืนยันได้ว่าเธอไม่ใช่คนก้าวร้าว หรือชอบใช้กำลังชนิดที่จะตามราวี ลงไม้ลงมือกับใคร และที่เลวร้ายที่สุด ถ้าลองคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พลาดจากกานต์ไปนิดเดียวก็คือคุณแม่ ไม่รู้จริงๆว่ามีอะไรบังตาหรือเข้าสิงให้ยัยภาขาดสติไปได้ขนาดนั้น


“ถ้ามองอีกด้านจะถือว่าผมเป็นตัวซวย เอาแต่เรื่องเดือดร้อนมาให้คุณก็ได้ เพราะฉะนั้นเราหายกัน” คนหน้าเซียวยิ้มบางๆแต่น่าชื่นใจเหลือเกินในความรู้สึกคนมอง “หัวแตกแค่นี้แป๊บเดียวก็หาย คุณภาต่างหากที่น่าเป็นห่วง ผมว่าคุณควรจะรีบไปคุยกับเธอนะครับ”


“กูเห็นด้วยว่ะกร มึงควรเคลียร์กับน้องภาให้รู้เรื่องและโดยเร็วที่สุด ถ้าเขามีปัญหาอะไรจะได้รีบหาทางแก้ไข บอกตรงๆกูเบื่อ เจอหน้ากันทีไรกานต์มีแผลมาฝากกูทู้กที” เจ้าหมอแทรกความเห็นบ้างพลางเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องปฐมพยาบาล ท่าทางมันดูเหนื่อยทั้งกายและใจไม่ได้แกล้ง คงเป็นอย่างที่มันเคยบอกอยู่บ่อยๆว่าถึงจะรู้สึกดีที่ได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาช่วยเหลือคนอื่น แต่คงจะดีกว่าถ้าโลกนี้ไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยให้มันต้องรักษา


“แล้วจะให้คุยอะไรวะ นี่ยังงงๆอยู่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น มึงก็รู้จักน้องกูมาตั้งแต่เด็ก ภาใช่เป็นคนแบบนี้ที่ไหน”


“ก็ไม่แน่นะกร คนเรามันเปลี่ยนกันไปตลอดทุกช่วงวัย ตอนเด็กอย่างหนึ่ง โตมาอย่างหนึ่ง เดี๋ยวพอแก่ไปก็อาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ มึงไม่ได้ตัวติดกับน้องตลอดเวลาสักหน่อย จะรู้ได้ไงว่าเขาไปพบใคร เจออะไร ยังไงมาบ้าง ขนาดร่างกายคนเราเจอมลพิษ เจอเชื้อโรคยังไม่สบายได้ สภาพจิตใจมันก็ไม่ต่างกันหรอกน่ะ”


ผมจ้องหน้าเพื่อนไม่กล้ากระพริบตา ไอ้หมอเองก็มองตอบผมตาไม่กระพริบเหมือนกัน


“มึงจะบอกว่ายัยภามีอาการทางจิต...?!”


“อันนี้กูไม่อยากฟันธง ถ้าจะให้ชัวร์ต้องลองพาไปคุยกับหมอจิตดู แต่การที่คนเราอยู่ดีๆอารมณ์รุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ ทำอะไรลงไปแบบที่ควบคุมตัวเองไม่ได้มันก็น่าสงสัย หรือถ้าเป็นแค่ความเครียดธรรมดาก็แล้วไป แต่อย่างน้อยหมอเขาจะได้ช่วยวินิจฉัยหาสาเหตุให้ว่าเกิดจากถูกกระตุ้น หรือมีสิ่งเร้าอะไรบ้างที่เราสามารถหลีกเลี่ยง น้องภาจะได้ไม่เสี่ยงจนเกิดอาการแบบนี้อีกยังไงล่ะ”


ไม่บ่อยนักที่ชวินจะพูดจาเป็นงานเป็นการ แต่เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่จะเกิดกันได้ง่ายๆ ลองว่าเกิดกับคนใกล้ตัวของใครก็ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่คนรอบข้างต้องเข้าใจและให้ความช่วยเหลือ ลำพังเจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัวหรือถึงรู้ก็อาจไม่ยอมรับว่ามีความผิดปกติอะไร


“งั้นผมว่า...” พอผมกับเพื่อนเงียบไป คนที่โดนผลกระทบเต็มๆก็ออกความเห็นบ้าง “ผมเนี่ยแหละตัวปัญหา” 


“อย่าคิดมากสิ” ผมรีบบอกเพราะไม่อยากให้กานต์คิดแบบนี้ ความรักของคนสองคนไม่ควรจะมีใครผิดหรือถูก และโดยเฉพาะในกรณีของเรา คนผิดจริงๆควรจะเป็นผมที่เริ่มต้นและล่อหลอกให้เขาเดินตามเกมของผมทุกอย่าง


“จริงๆนะครับ คุณภาเห็นผมปุ๊บก็อารมณ์เสียปั๊บ บอกให้ผมออกไปจากที่นี่ พอคุณท่านไม่ยอม เธอก็เลย...”


ผมบีบมือเล็กเบาๆ อีกมืออ้อมเอวบางโอบดึงให้เขยิบเข้ามาชิด ไม่ใช่เขาแต่เป็นตัวผมเองที่ต้องการกำลังใจอย่างหนักหน่วง และการที่ได้มีร่างอุ่นอยู่ในอ้อมแขน ได้สูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนผมนิ่มลื่นก็ชวนให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก


“จริงๆแล้ว...” เมื่อสมองโล่งขึ้นก็ควรจะถูกใช้ให้คุ้ม “ยัยภาเองมีเพื่อนทั้งที่เป็นเกย์ เป็นกระเทย หรือขนาดเลสเบี้ยนที่คบกันอย่างเปิดเผยอยู่หลายคน ก็ไม่น่าจะรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มันผิด หรือประหลาด น่ารังเกียจอะไรมากมาย ส่วนที่ตามไปอาละวาดถึงที่โรงแรมนั่นน่าจะเป็นเพราะได้ลูกยุจากคุณแม่ เพราะตั้งแต่เด็กภาเป็นลูกรักที่คุณแม่ตามใจทุกอย่าง ยัยภาเองก็ไม่เคยขัดใจ แม่ลูกเลยเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้ทุกเรื่อง แต่ตอนนี้คุณแม่เองก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังชอบกานต์มากด้วยซ้ำ ฉันถึงยังนึกไม่ออกว่ามันจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ยัยภาตั้งแง่กับกานต์มากขนาดนี้”


คนในอ้อมแขนส่งเสียงถอนหายใจแล้วเอียงซบลงมา ผมเลยแตะปากกับหน้าผากอุ่นเบาๆ อืมมม รู้สึกอุ่นเกินปกติ สงสัยจะเริ่มมีไข้ ส่วนเจ้าหมอทำตาโต แต่ไม่ใช่เพราะตกใจที่ได้เห็นฉากหวานๆ


“แกกำลังจะบอกว่าที่น้องภาปรี๊ดแตก ไม่ใช่เพราะกานต์...?” ผมไม่ได้ตอบ แต่ใจจริงๆก็อยากจะบอกแบบนั้น “บ๊ะ! งั้นนี่ตกลงว่าน้องกานต์ของพี่หมอหัวแตกแทนหมาตัวไหนกันวะเนี่ย?!”


“อาชัช...” ยังไม่ทันได้ตอบคำถามนั้นก็พอดีกับที่มีคนช่วยคิดเพิ่มขึ้นมา แต่ท่าทางเดินหมดแรง หน้าแห้งขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน “ข้างบนเป็นไงบ้างครับ?”


“ขังตัวเองอยู่ในห้อง เรียกยังไงก็ไม่ยอมตอบ” อาชัชส่ายหน้า ถอนหายใจยาวแล้วทิ้งตัวลงข้างๆเด็กน้อยของผม “ไหวมั้ยเรา โดนเจ้าลูกชิ้นจับเย็บไปกี่เข็มหืม?”


กานต์ยิ้มแล้วขยับตัวไปหาอาชัชอีกหน่อย ส่วนคนที่ออกอาการหนีไม่พ้น...


“โห อาหลานบ้านนี้พอกัน! ไม่รักไม่ปลื้มกันก็ไม่ว่า แต่ช่วยให้เกียรติอาชีพผมนิ๊สสสนึงสิครับ”


ชวินเคยบ่นว่าบ้านมันเงียบเหงา ทั้งพ่อทั้งแม่และตัวมันเองเป็นลูกคนเดียว ปู่ย่าตายายเสียไปหมดแล้ว ญาติๆไม่ว่าจะข้างไหนก็ล้วนอยู่ต่างจังหวัดหรือไม่ก็ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้ติดต่อเลยยิ่งห่างจนไม่รู้จักกันไปโดยปริยาย เหมือนอย่างตอนที่มาเจอกับวรเมธ คุยกันไปคุยกันมาถึงได้รู้ว่าพวกแม่ๆเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะอย่างนี้มันถึงชอบมาขลุกอยู่บ้านผม และยึดเอาพ่อแม่ญาติพี่น้องผมเป็นของมันไปด้วย ส่วนอาชัชนั้นก็รู้จักและเห็นมันคู่กับผมมาตั้งแต่เล็ก แถมดูจะสนิทสนมและเล่นหัวกับมันมากกว่าผมที่เป็นหลานด้วยซ้ำ


“เออๆ เอ็งอยากบ่นก็บ่นไปเหอะ ทีเมื่อก่อนอยากทำอะไรไม่คิดนี่หว่า ตัวแม่งก็นิดเดียวแต่เขมือบลูกชิ้นหมดไม้ ไม่รู้เอาไปยัดไว้ตรงไหนของกระเพาะ”


“แค่กินลูกชิ้นหมดไม้มันแปลกตรงไหนเหรอครับอา”


“เคยไปเที่ยวงานวัดใช่มั้ย?” กานต์พยักหน้าซื่อๆเลยยิ่งเข้าทางให้อาชัชก่อไฟกองใหญ่ “งั้นก็ลองนึกถึงร้านลูกชิ้นปิ้งนะ ที่มันจะมีลูกชิ้นลูกโตๆ ไม้นึงเสียบได้สองลูกอะไรยังงั้นน่ะ คือจริงๆคนขายก็คงกะแค่วางโชว์ไว้ให้เตะตาคนที่มาเดินเที่ยว ใครมันจะไปนึกล่ะว่าจะมีลูกเศรษฐีตายอดตายอยากซื้อไปกินจริงๆ นึกภาพตอนไอ้หมอนี่อ้าปากจะงับลูกชิ้นทั้งลูกให้ได้แล้วยังขำไม่หาย”


อาชัชส่งเสียงหัวเราะตบท้าย ส่วนผมนึกถึงเรื่องเก่าๆก็อดขำไม่ได้เหมือนกัน แต่ตัวเจ้าของเรื่องคงไม่สนุกด้วย


“หมด! หมดกัน!” ชวินออกท่าโวยวายยิ่งกว่าเด็กๆ สำหรับผมกับอาชัชมันไม่แคร์อยู่แล้วแต่ก็คงอยากรักษาภาพพจน์ดีๆในสายตาเด็กน้อยเอาไว้ให้ถึงที่สุด “น้องกานต์แค่ฟังให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็พอ อย่าไปนึกตามแล้วก็ไม่ต้องจำให้รกสมองเลยนะ ตอนนั้นพี่หมอยังเด็ก ใสซื่อบริสุทธิ์ อะไรไม่เคยเห็นมันก็เลยตื่นตาตื่นใจ อยากรู้อยากลองไปบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้ว สาบานให้ฟ้าผ่าไอ้กรเลยครับ”


ขนาดผมยังอดไม่ได้ อาชัชนั่นตบโซฟาป้าบๆ คนที่ตกที่นั่งลำบากคือกานต์ จะกลั้นขำก็ไม่ไหว แต่หัวเราะแรงๆก็เจ็บจนมีเสียงโอดโอยเบาๆแทรกมาให้ได้ยิน แต่ก่อนที่ผมจะได้ทันทำอะไร ร่างบางก็ถูกดึงให้ห่างออกไปกว่าเดิม


“เจ็บแผลล่ะสิ?” มือใหญ่ค่อยๆเกลี่ยไรผมเพื่อดูแผลที่ทำไว้เรียบร้อย ปลายนิ้วผิวสองสีไล้ทั่วหน้าผากแล้วค่อยเลื่อนทั้งมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก ดวงตาดำเข้มพินิจมองตลอดวงหน้าขาว พอประกอบกับรอยยิ้มนิดๆและเสียงทุ้มนุ่มอย่างที่ไม่ได้ยินบ่อยนักก็กลายเป็นความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่ผมต้องเบือนหน้าหนี แล้วก็ดันไปเจอเข้ากับแววตาของเพื่อนสนิทที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกมันสมน้ำหน้า


“ขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ” อาชัชไล่สายตาลงมาที่รอยแดงแห้งกรังแล้วก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผมนัก “ถ้าเพลียก็หลับสักตื่น ไม่อย่างนั้นก็ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณภัทเขาหน่อย รายนั้นก็เงียบๆ อาการน่าเป็นห่วงพอกัน”


กานต์หันมาหา ผมจึงพยักหน้าและเอ่ยฝากให้ช่วยดูแลคุณแม่อีกแรง พอเหลือกันสามคน เจ้าชวินก็เปิดประเด็นเก่าขึ้นมาเพื่อขอความเห็นจากญาติผู้ใหญ่ที่ใครๆก็รู้ว่าภาวิณีให้ความสนิทสนมมากที่สุด แทนที่จะได้คำตอบ อาชัชกลับมองผมแปลกๆ เริ่มต้นด้วยอาการอึกอักส่อถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ด้วยสไตล์ขวานผ่าซาก ไม่เก่งเรื่องพูดจาอ้อมค้อม  แค่ประโยคแรกที่หลุดออกมาก็ทำเอาผมชาวาบไปทั้งตัว


“เฮ้ย! เดี๋ยวๆไอ้กร ใจเย็นก่อน!”


 เสียงเจ้าหมอตะเบ็งกรอกหูทำให้กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ยอมรับเลยว่าสติหลุดไปจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าคว้าคออาชัชขึ้นมาและกำลังง้างหมัดจะซัดเข้าให้แล้ว


“จะให้กูเย็นอะไรอีก มึงไม่ได้ยินที่ไอ้เชี่ยนี่มันพูดหรือไง?!”


“เฮ้ยกร! ยังไงก็อานะมึง!”


“งั้นมึงบอกซิว่าอาที่ทำกับหลานตัวเองยังงั้นไม่เลวบัดซบแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!”


ผมตะโกนใส่หน้าคนที่ได้ชื่อว่า ‘อา’ สุดเสียง ไม่เคยรู้สึกถึงความโกรธ เกลียด ขยะแยงจนอยากจะฆ่าให้ตายคามือขนาดนี้มาก่อน ความจริงผมพูดอย่างไม่อายว่ารู้มาตลอดที่ภาวิณีแอบรักคนๆนี้ สาเหตุที่ไม่คัดค้านหรือพยายามกีดกันก็เพราะเขาไม่ใช่แค่ญาติฝ่ายพ่อคนเดียวที่เหลืออยู่ แต่เป็นแบบฉบับของผู้ชายแท้ๆที่ผมนับถือและไว้ใจได้เท่ากับตัวเอง แต่กลับมาทำเรื่องบัดสีกับน้องสาวผม หลานสาวคนเดียวของเขา ผมคงไม่ใช่พ่อพระที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงเขาจะเป็นฝ่ายสารภาพออกมาเองแล้วหวังว่าผมจะโอเค ก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าไม่มีทางเด็ดขาด!


“ก็ไม่ต้องเรียก” อาชัชยังนิ่งทั้งน้ำเสียงและสีหน้า อย่างกับว่าไม่ได้ถูกกระชากคอเสื้ออยู่ด้วยซ้ำ “ฉันเป็นแค่เด็กที่แม่เก็บมาเลี้ยง แต่พี่กฤตมีเหตุผลบางอย่างที่ให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ พูดง่ายๆคือฉันไม่ใช่อาแท้ๆของพวกเธอ ไม่ได้มีความเกี่ยวพันอะไรทางสายเลือด เพราะฉะนั้นอยากจะทำอะไรก็เชิญเลย”


ผมตัวชาวาบ สมองขาวโพลนไปอีกรอบ มันฟังเหมือนจะเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่าที่สุด แต่ทำไมผมถึงไม่รู้สึกเลยล่ะว่าเขากำลังโกหกเพื่อเอาตัวรอด


“แต่...” ตอนนี้ในหัวของผมมีคำนี้เต็มไปหมด “...มันก็ไม่สมควรอยู่ดี เพราะถึงยังไงผมกับน้องก็นับถืออาเป็นอามาตลอด ยัยภาทั้งรักทั้งปลื้มอามากกว่าใคร แล้วใครๆก็รู้ว่าเราเป็นญาติกัน คิดบ้างมั้ยว่าทำแบบนี้แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมันไม่มีเหลืออยู่ในหัวอาแล้วหรือไง?!”


ผมเสียงดังส่งท้าย ใส่แรงไปตอนปล่อยมือจากคอเสื้อจนดูเป็นการผลักอกกลายๆ แต่ร่างหนาก็ยังยืนนิ่ง มีรอยยิ้มอย่างเป็นปกติจนผมชักฉุน


“กรจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจนะ แต่รายนั้นรู้อยู่แล้วว่าอาไม่ใช่อา เขาอาจจะรู้เองหรือไม่พี่กฤตก็คงบอก และคนที่ทำให้เรื่องมันเลยเถิดจนถึงขั้นนี้ก็คือน้องสาวเรานั่นแหละ”


ดวงตาคมเข้มสะกดอารมณ์ผมให้เย็นลงบ้าง แล้วจึงค่อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากภาวิณีไปอาละวาดกานต์ที่โรงแรมและถูกลากตัวออกไป หลังเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกเพราะเชื่อว่าอาชัชกำราบยัยภาได้ ไม่นึกเลยว่าแม่น้องสาวตัวดีจะทำเรื่องที่... เอาเป็นว่าทำให้ผมขนลุก เนื้อตัวชาวูบอีกรอบได้ก็แล้วกัน


“โอ้วแม่เจ้า! น้องภาเธอช่าง... แรงวส์! อันนี้ส่วนตัวนะกร กูเชื่ออาชัชว่ะ” ชวินหันมาทำตาโตใส่แล้วตบไหล่ผมหนักๆ ท่าทางมันเหมือนจะบอกว่าดีใจที่เกิดเป็นลูกคนเดียว ผมยกขาเหวี่ยง แต่มันรู้แกวเลยหลบทัน “หรือมึงจะเถียงว่าน้องภาไม่ได้ชอบอาชัชมาตั้งแต่ยังไม่โตเป็นสาวเลยมั้ง เอะอะไรก็อาชัชๆตลอด ยิ่งน้องภาเป็นคนที่รักก็รักแรง เกลียดก็เกลียดเข้าไส้ คงจะรู้มานานแล้วว่าอาชัชไม่ใช่อาก็ยิ่งปักใจ พอถึงจุดๆนึงเลยกล้าที่จะทำอะไรที่บ้าได้ขนาดนั้นไง”


ผมไม่ได้เถียงหรือความจริงคือเถียงไม่ออก เพราะมันก็รู้จักยัยภาดีพอๆกับผม ฝ่ายที่เปลี่ยนสถานะจาก ‘อา’  มาเป็น ‘ว่าที่น้องเขย’ หมาดๆเลยถือโอกาสปิดตายคำโต้แย้ง


“อาถือว่ากรเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีสิทธิ์ในการตัดสินใจทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ที่มาบอกนี่ไม่ใช่จะให้ยกโทษแต่เพราะอาต้องการรับผิดชอบหนูภา และอาพร้อมจะทำทุกอย่างตามที่กรกับคุณภัทต้องการ”


ผมยกมือขอยอมแพ้แล้วทิ้งตัวลงโซฟา นาทีนี้บอกได้เลยว่าเข็ดขยาดเรื่องเซอร์ไพรส์ไปอีกนาน ชวินเลยทำหน้าที่เพื่อนแสนรู้ดำเนินการสนทนาต่อ


“งั้นเราพักเรื่องอาชัชไว้แล้วกลับมาที่ประเด็นของกานต์กันก่อน ที่ตอนแรกอาบอกว่าน้องภาไม่ได้แค่หวงไอ้กร แสดงว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นใช่มั้ยครับ”


“ดูเหมือนหนูภาจะคิดว่าอาชอบกานต์...” ผมดีดตัวผึงขึ้นมาจ้องหน้าให้รู้ว่าคราวนี้ลองถ้ามีอะไรผิดหูอีกทีล่ะก็ ถึงเป็นอาชัชผมก็ไม่เอาไว้แน่ “วางใจได้ อารู้น่ะว่ากานต์เป็นของใคร แต่เอาจริงๆเลยนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม มันอธิบายไม่ได้ แต่อาชอบเด็กคนนี้มาก ตั้งแต่ที่เจอกันก็คอยคิดถึงตลอด อยากเห็นเขายิ้ม อยากทำอะไรก็ได้ให้เขามีความสุข แล้วเวลาได้อยู่ใกล้ๆกันก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก หนูภาบอกว่าอาเคยละเมอเรียกหากานต์ แต่จะเอาอะไรกับคนกำลังหลับล่ะ หนูภาอาจจะฟังผิดหรือไม่อาก็คงฝันถึงใครไปเรื่อยเปื่อย แต่พูดยังไงหนูภาก็ไม่ยอมเชื่อ ยังฝังใจว่าอารักกานต์ด้วยอีกคนถึงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตนี่ล่ะ”


“แล้วถ้าอาไม่ได้ฝันถึงกานต์ อาฝันถึงใครล่ะครับ” ชวินซักแต่คนอย่างอาชัช ถ้าเงียบก็อย่าหวังว่าจะยอมคายอะไรออกมา เจ้าคนขี้สงสัยเลยวิเคราะห์และช่วยตัดสินความให้เสียเลย “ตกลงว่าน้องภาเข้าใจผิด คิดว่าอาชัชชอบกานต์ก็เลยหึงจนหน้ามืด งั้นสรุปก็เป็นหน้าที่ของอาชัชที่จะต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนที่ผมจะต้องถ่างตามานั่งทำแผลให้กานต์อย่างวันนี้อีก ส่วนไอ้กร ในฐานะที่เป็นพี่และหัวหน้าครอบครัว มึงก็ควรช่วยอาชัชกับน้องภาคุยกับคุณป้า ถ้าตกลงได้แล้วว่าจะบอกคุณป้าวันไหนก็บอกด้วย กูจะได้เข้ามาคอยเสนอหน้า เผื่อคุณป้าดีใจที่ได้ลูกเขยมากจนช็อคไปจะได้ช่วยกันทัน โอเค้?”


ผมเออออรับไปด้วยความหมันไส้ ความจริงก็ต้องขอบใจเพราะทุกอย่างที่มันบอกแสดงถึงความละเอียดรอบคอบและใส่ใจกับทุกคนในครอบครัวผมจริงๆ แต่มีใครที่มันตกไปสำรวจหรือเปล่า?!


“แล้วตกลงกานต์ไม่เป็นอะไรแน่นะ แผลนั่นจะอักเสบมั้ย จะมีไข้หรือไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่า?”


ชวินกลอกตาขึ้นฟ้าแล้วจะเรียกว่าชี้หน้าด่าก็คงได้...


“มึงช่วยหึงอย่างมีสติแล้วก็เลิกห่วงจนโอเวอร์สักที! จำใส่สมองไว้ด้วยว่ากานต์เป็นผู้ชาย เข้าใจมั้ยว่าแฟนมึงเป็นผู้ชาย! ไม่ใช่สาวน้อยบอบบางไร้เดียงสาที่แม่งโดนเข็มตำนิ้วก็นอนเดี้ยงไปเป็นร้อยปีนะเว้ย!”


ผมได้ฟังแล้วรู้สึกคุ้นหู เหมือนมีภาพเจ้าเมธซ้อนทับร่างไอ้หมอ โดนเพื่อนสนิทสองคนรุมด่าด้วยเรื่องเดียวกันไม่พอ อาชัชยังตามถล่มซ้ำ


“อย่าไปว่ามันเลย คนมันเพิ่งจะรู้จักกับความรัก แถมยังเผลอไปปิ๊งผู้ชายด้วยกันเองอีก ถ้ามันจะทำตัวไม่ถูกก็ไม่แปลกหรอก”


“อย่างกับอาจะดีกว่าผม ถ้าไม่รีบหาวิธีกำราบยัยภาเสียแต่เนิ่นๆ ระวังจะเป็นโรคกลัวเมียไปตลอดชีวิตนะครับ!”


เจ้าหมอเดินออกจากห้องพร้อมเสียงหัวเราะลั่น อาชัชแค่นยิ้มแล้วหงายหลังผึ่ง ส่วนผมก็ทิ้งตัวลงโซฟาหมดรูปพอกัน ชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมงนับแต่ได้รับโทรศัพท์จนมาถึงตอนนี้ต้องเรียกว่าวายป่วง มีแต่เรื่องให้ตกใจ เซอร์ไพรส์ทุกนาที แต่ก็โชคดีที่ทุกอย่างจบลง... น่าจะดีกว่าที่คิดเพราะอย่างน้อยกานต์ก็ปลอดภัย ส่วนอาชัชกับภาวิณีนั้นแม้จะขลุกขลักไปบ้าง แต่มันอาจจะเป็นความบังเอิญ เรื่องของโชคชะตาที่ท้ายที่สุดแล้วน้องสาวผมก็ได้ลงเอยกับคนที่เขาปักใจมานาน ผมพลันคิดไปถึงคำที่เคยได้ยินว่า ความรักมักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ คนสองคนถ้าตั้งใจว่าจะรักและใช้ชิวิตคู่ก็ต้องร่วมฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน ซึ่งเป็นความคิดที่ให้ความหวังและสร้างกำลังใจได้อย่างยอดเยี่ยม ฉะนั้นเรื่องของผมกับกานต์ก็น่าจะไปได้สวย เพราะผมเชื่อว่าตราบใดที่มีความรักก็มักมีทางให้ไปต่อเสมอ






จบตอนแล้วคร้าบ





ตอนนี้ต้องขอบคุณหมอที่มาช่วยรับเชิญเบรคอารมณ์ตลอดๆ พอเขียนจบแล้วมาทวนใหม่หลายรอบยังสงสัยว่าทำไมไม่เขียนให้หมอมีแฟนหว่า ผู้ชายอย่างเนี้ยน่ารักจะตาย



อาชัชไม่ใช่แค่เข้าสมาคม แต่นี่เขียนใบสมัครประธานชมรมเลยค่ะ เมียน่ากลัวออกอย่างนี้ 555


ส่วนคุณกร สงสารฮีเถอะค่ะ ตอนนี้เจอหนัก ปัญหารุมเร้า เรื่องบางอย่าง จะดูใหญ่หรือเล็กน้อยแค่ไหน แต่พอมาเจอกับตัวบางทีมันก็ตัน หาทางออกไม่เจอจริงๆ






 :bye2:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2016 05:08:43 โดย minemomo »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
หมอลูกชิ้น เอ้ย! หมอชวินดูคล้ายว่าจะเป็นพระเอกของตอนที่ช่วยแก้ไขสถานะการณ์ทุกอย่าง 5555

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Dolamon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เฮ้ยยยย  กว่าน้องภาจะยอมรับ สงสัยกานต์จะน่วมซะก่อนละสิ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
ตามความรู้สึก น้องภาไม่สมควรจะได้แต่งกับอาหรอก ชีวิตควรรู้จักความผิดหวังซะบ้าง
ยืนยัน รำคาญผู้หญิงแบบนี้

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คุณหมอผู้ช่วยชีวิต  :pig4:

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ตอนนี้อยู่ที่อาชัชล่ะว่าจะยอมคลายอดีตหรือยัง  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อาชัชที่ผูกพันกับกานต์ คงเพราะกาต์หน้าหวานเหมือนแม่
แต่ภาวินี มีอาการจิตแล้วล่ะ รักแรง หึงหวงแรง
เห็นด้วย ที่ว่าต่อไป อาชัช เป็นโรค กลัวเมีย
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1





37.






คนอย่างผมให้จัดอยู่ในประเภทหัวแข็งก็น่าจะได้ ขนาดพี่หมอยังออกปากเองว่าแผลแห้งและหายสนิทเร็วกว่าที่คิด ไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ผิดกับคนที่ประเคนแผลใส่หัวผมที่อาการหนักกว่า คุณภาวิณีขังตัวเองอยู่ในห้องเป็นวันๆจนคุณชัชทนไม่ไหว ต้องใช้กุญแจดอกสำรองไขเข้าไป มีเสียงเจรจาดังโครมครามพอให้พวกเราที่รออยู่หน้าห้องสะดุ้งกันหลายยก สุดท้ายเธอก็ยอมอ่อนข้อให้ผมเสนอหน้าอยู่ต่อได้ แต่มีข้อแม้ให้เสียวสันหลังว่าจะไม่รับประกันความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้น


เนื่องด้วยสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ช่วงนี้ผมเลยต้องวิ่งรอกเพราะคุณภากรตัดสินใจพาผมกลับมานอนที่โรงแรมเพื่อเป็นการตัดปัญหา แต่คุณภัทราพรก็มักจะโทรเรียกให้ผมเข้าไปที่บ้าน หรือไม่ก็จะมาหาที่โรงแรมแล้วพาออกไปทำธุระที่โน่นที่นี่ตามแต่ใจท่าน และนอกจากงานประจำวันที่คุณวรเมธสั่ง ผมยังได้กลับมาเป็นนักเรียนอีกครั้งพร้อมข่าวดีที่ชวนให้ใจเต้นตึกตักทุกครั้งที่นึกถึง นั่นก็คือ... ผมกำลังจะได้ไปเมืองนอก!


ใช่แล้วครับ คุณภัทเป็นธุระจัดหาติวเตอร์ส่วนตัวมาให้ และบอกกับปากท่านเองว่าถ้าผมพร้อมเมื่อไหร่จะส่งไปเรียนต่อด้านการบริหารจัดการโรงแรมเหมือนอย่างคุณเมธ ถึงจะไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้เพราะมีเรื่องให้เตรียมตัวอีกมากและคุณภากรยังงอแงไม่ยอมให้ไปง่ายๆ แต่สำหรับคนอย่างผมแล้ว โอกาสดีๆแบบนี้ยิ่งกว่าฝันที่เป็นจริงอีกนะเนี่ย!


พอได้กลับมาอยู่ที่โรงแรมก็อาจพูดได้ว่าชีวิตกำลังกลับเข้าสู่จังหวะเดิมๆ ถึงอย่างนั้นผมก็เลิกหวังที่จะให้อะไรๆกลับไปเหมือนเก่า


“ถึงคุณจะไม่ถือสา แต่ผมก็ต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีของพวกลูกน้องครับ”


อะไรกัน?! ผมอุตส่าห์อาสาคุณเมธเอาเอกสารมาส่งถึงที่คลับเพราะอยากจะได้มาเฮฮาในบรรยากาศเดิมๆ แต่พวกพี่ๆทุกคนเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ขนาดเฮียสยามที่เคยเล่นหัวผมมาแต่ไหนแต่ไรยังทำท่าเคารพนบนอบราวกับผมเป็นเจ้าของโรงแรมด้วยอีกคน พอเห็นผมทำหน้ามุ่ยหนักเข้าถึงได้หันไปส่งสัญญาณบอกลูกน้องให้ถอยไปแล้วค่อยพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเกือบจะเหมือนเดิม 


“คนทุกคนต้องรู้จักหน้าที่และสถานะของตัวเอง เราเองก็ควรเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้แล้วนะกานต์”


“แล้วอะไรๆมันจะเปลี่ยนไปได้ยังไงในเมื่อผมก็ยังเป็นผม หรือเฮียลืมไปแล้วว่าพ่อพาผมมาที่นี่เพราะอะไร วันนั้นเฮียก็อยู่ด้วย อย่าบอกนะว่าเฮียแก่แล้วเลยความจำเสื่อม?!”


เฮียสยามเป็นคนหน้าดุ ขนาดไม่ใช่ลูกน้องในอาณัติโดยตรงยังกลัวกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่อยากคุยว่าทั้งโรงแรมคงมีแต่ผมที่กล้าเสียงดังใส่หรือใช้คำพูดข่มนักเลงใหญ่ได้ขนาดนี้


“เพราะจำได้แม่นเฮียถึงดีใจมากที่ได้เห็นเจ้าเด็กตัวผอมๆที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลาคนนั้นกลายมาเป็นคุณกานต์ที่มางอแงใส่เฮียอยู่อย่างตอนนี้น่ะสิ”


น้ำเสียงเข้มบอกเรียบๆแล้วโยกหัวผมเล่นนิดเดียวก็รีบปล่อยเพราะคงไม่อยากให้ผิดคำพูดตัวเอง อันที่จริงผมก็ไม่ได้โกรธ หรือถึงจะหงุดหงิดแต่มาเจอความเมตตาขนาดนี้ก็คงได้แต่ทำหน้าหงอย ไม่กล้าออกฤทธิ์อะไรอีก


“ถือเสียว่าเฮียพูดในฐานะผู้ใหญ่ที่ผ่านอะไรมามากก็แล้วกัน” ริมฝีปากหนาขอบสีคล้ำอย่างคนสูบบุหรี่จัดเหยียดออกนิดเดียวจนอาจไม่เรียกว่ารอยยิ้มด้วยซ้ำ “คุณอาจจะรู้สึกว่ายังเป็นคนเดิมแต่ในสายตาพวกเราทุกคน ตอนนี้คุณไม่ใช่ลูกหนี้ของบ่อนอีกแล้ว คุณมีตำแหน่งหน้าที่ในโรงแรมอย่างชัดเจน หรือแม้แต่คนข้างนอกก็ยังรู้จักคุณในฐานะหลานชายของคุณภัท เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเราหรือคุณเองก็ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสม ลองคิดดูว่าถ้าคนอื่นมาเห็นเฮียหรือลูกน้องยังเล่นหัวกับคุณเหมือนเมื่อก่อนแล้วเขาจะคิดยังไง”


เฮียสยามจบด้วยคำถามที่ไม่ได้ต้องการให้ผมตอบใครนอกจากตัวเองซึ่งเท่ากับตอกย้ำสิ่งที่ผมพยายามปฏิเสธมาตลอด ทำไมผมจะไม่รู้ว่าการฉลองไฟต้นคริสต์มาสคืองานเลี้ยงเปิดตัวผมอย่างเป็นทางการ กระแสตอบรับถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเกินคาดเพราะข่าวซุบซิบมักเน้นไปที่ภาพของผมกับคุณภัทราพร หรืออย่างร้ายที่สุดก็เพียงแต่บอกว่าผมเป็นคนใกล้ชิดของคุณภากรโดยไม่สืบสาวไปถึงประวัติที่มาหรือข้อเท็จจริงที่ว่า... ผมเป็นผู้ชาย


ผมอาจจะคิดมากไปเองแต่ถึงอย่างนั้นก็วางใจไม่ได้ การจะบอกว่าสังคมสมัยนี้เปิดกว้างจนยอมรับความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันแล้วคงเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนผมว่าบ่อยไปที่คำพูดหรือการแสดงออกมักสวนทางกับความคิดที่แท้จริง คนเราอาจพูดโดยไม่คิด หรือบางครั้งอาจคิดแต่ไม่ได้พูดออกมา คนที่ตีหน้าซื่อ ฉาบรอยยิ้มสวยอาจตั้งใจใช้สิ่งนั้นปกปิดความรู้สึกจริงๆอยู่ก็ได้ เหมือนอย่างที่ผมยังจำได้ติดตาตอนงานศพแม่ พอสิ้นเสียงประกาศกร้าวของพ่อ สายตาหลายคู่หันมาจับจ้องผมด้วยความสงสัย แม้บางคนจะเข้ามาบอกไม่ให้ผมคิดมาก อย่าไปใส่ใจหรือถือสาคำพูดของคนเมา แต่น้ำเสียงของคนเหล่านั้นก็ยังแฝงความลังเล ไม่แน่ใจด้วยซ้ำไป และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมกลัว ไม่อยากพูดหรือแม้แต่สบตาใครที่จะเป็นการตอกย้ำว่าผมไม่ใช่...


“คิดมากอีกแล้ว” ผมเงยหน้าขึ้นงงๆ เฮียเลยเอานิ้วคลึงหว่างคิ้วตัวเองแทนคำอธิบาย “เมื่อก่อนคุณก็แบบนี้ ชอบทำหน้าเศร้าเอาแต่คิ้วขมวดทั้งวัน ใครเห็นเข้าก็อดห่วง อดกังวลไปด้วยไม่ได้ แต่พอคุณยิ้มเมื่อไหร่ก็อดยิ้มตามไม่ได้อีก”


พอได้ยินอย่างนี้เลยกลายเป็นว่าผมทำตัวไม่ถูก จะต้องยิ้มยังไงกันนะถึงจะเรียกว่าใช้ได้ พอเฮียมองหน้าผมเลยทำเสียงเหมือนคันในคอชอบกล


“คนมีความคิดถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้าคิดมากไปจะเริ่มไม่ดี ถึงขั้นฟุ้งซ่านนี่ยิ่งแย่เพราะแสดงว่าใกล้บ้าเข้าไปทุกที คุณก็เพิ่งอายุเท่านี้ น่าจะหัดปล่อยวางหรือแกล้งทำตัวเป็นเด็ก มีความสุขกับชีวิตแบบไม่ต้องคิดอะไรมากซะบ้างเถอะ”


เฮียสอนกึ่งปลอบและทำท่าจะลูบหัวผมอีกแต่คงเปลี่ยนใจเลยยกมือค้างอยู่อย่างนั้น พอดีกับที่มีลูกน้องคนหนึ่งวิ่งตะโกนลั่นมาก็เลยกลายเป็นคราวเคราะห์ของเขาไป ถ้ายังจำเด็กเสิร์ฟที่เฮียสยามส่งไปสอดแนมในงานแต่งงานคราวก่อนได้ ก็คนเดียวกันนั่นแหละครับ


“นึกแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่! มีคนมา...”


ทุกอย่างชะงักกึกเมื่อมือที่ยกค้างจิ้มนิ้วชี้ลงพื้น หมุนควงหนึ่งรอบแทนการบอกให้กลับหลังหัน ยังไม่ทันที่ผมหรือคนที่ทำตามคำสั่งจะเข้าใจอะไร รองเท้าหนังเบอร์ใหญ่ก็ยันโครมจนพี่เขาล้มถลาไปกับพื้น


“มึงคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใคร เพื่อนเล่น!?”


น้ำเสียงของเฮียฟังดูเหี้ยมและดังจนน่าจะได้ยินกันทั่วโถงกว้างของคลับ พวกพนักงานกะกลางวันที่กำลังทำความสะอาด เก็บกวาดสถานที่กันอยู่เลยพากันหันมามองเป็นตาเดียว ผู้เคราะห์ร้ายในฐานะไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดูรีบลุกมายืนตัวตรงแหนว สีหน้าเหมือนอย่างจะร้องไห้ ผมเลยทำตัวไม่ถูก ทั้งเขินทั้งเกร็งที่จู่ๆก็ถูกยกให้อยู่เหนือคนอื่น สงสารพี่เขาก็สงสารแต่ก็ต้องสงบปากสงบคำไว้ก่อนเพราะจะค้านอะไรไปตอนนี้ก็กลัวทำให้เฮียสยามเสียการปกครอง


“ขอโทษครับคุณกานต์ คือผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ”


ผมส่งความเห็นใจไปทางสายตาแต่เจอคำตอบจากเฮียเข้าไปก็ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน


“งั้นต่อไปหัดตั้งใจแล้วก็จำใส่สมองพวกมึงทุกคนไว้ด้วยว่าใครเป็นใคร อย่าให้ต้องเตือนกันบ่อย” เฮียสยามแพนสายตาไปทั่วแล้วค่อยกลับมาเจาะจงลงกับคนตรงหน้า “คงไม่ต้องบอกใช่มั้ยว่าถ้ามีคราวหน้ามันจะไม่ใช่แค่ถีบ”


เขารีบรับคำแข็งขัน ผมเลยได้จังหวะถามถึงธุระในตอนแรก


“อ๋อ! มีคนมา... เอ่อ...” คนพูดเกิดอาการสำลักน้ำลายเพราะรู้สึกถึงออราดำทะมึนของลูกพี่ตัวเอง “มีแขกมาขอพบคุณกานต์ ตอนนี้รออยู่ที่ลานจอดรถครับผม!”


ผมซักต่อเพราะแปลกใจที่มีคนมาถามหาผมที่นี่ ถ้าเป็นธุระเรื่องงานก็น่าจะติดต่อไปที่ออฟฟิศหรือทางโรงแรมโน่นมากกว่า แต่พี่เขาก็ตอบได้แค่พอดีผ่านมาทางนั้นแล้วบังเอิญเจอผู้ชายคนหนึ่งมาถามหาคนชื่อกานต์ เขาก็เลยรีบวิ่งมาตามโดยลืมถามรายละเอียดเสียสนิท


“งั้นถ้าสิ้นเดือนลืมคิดเงินเดือนให้ มึงอย่ามาโวยก็แล้วกัน”


ฝ่ายที่ถูกเอ็ดหน้าซีดลงจนผมรู้สึกผิดที่เขาพลอยมาเดือดร้อนทั้งที่หวังดีกับผมแท้ๆ ขืนเป็นอย่างนี้อีกหน่อยผมคงกลายเป็นพวกเท้าไม่ติดดินเพราะถูกยกวางไว้บนหิ้งซะสูงลิบ ไม่มีใครกล้าเข้ามาสุงสิงด้วยแน่ๆ


“โธ่! พอเถอะครับเฮีย เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวผมออกไปดูก็รู้เองล่ะครับว่าใคร” จริงอยู่ว่าหลังจากงานเปิดไฟต้นคริสต์มาส ผมเริ่มเป็นที่รู้จักแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะมีธุระกับใครได้ แต่เหตุการณ์อย่างนี้ก็คุ้นๆว่า... “หรืออาจจะเป็นพ่อก็ได้ เพราะคราวก่อนพ่อก็มารอผมแถวนั้น”


“แล้วคุณเองก็เกือบเอาตัวไม่รอดอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน!”


เฮียสยามทิ้งท้ายแล้วขอตัวไปทำงานต่อแต่สั่งให้ลูกน้องคอยตามมาคุมเชิงห่างๆ พอออกมาตรงลานจอดรถเห็นคนที่รออยู่คือพ่อและมาคนเดียวจริงๆผมจึงค่อยใจชื้น และคงไม่ใช่แค่เฮียสยามที่ยังจำเรื่องวุ่นวายคราวก่อนได้เพราะฝ่ายพ่อเองก็ต้องหยุดคิดอยู่นานกว่าจะหาคำพูดมาทักทายผมได้


“...เป็นไง สบายดีหรือเปล่า...”


ผมตอบรับแล้วทักทายกลับไปสั้นๆ โล่งอกทีเดียวที่เห็นพ่อหน้าตาผ่องใส ทั้งเสื้อผ้าหรือผมเผ้าเรียบร้อยขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ประจำ ก็เอาง่ายๆว่าผมไม่ได้เห็นพ่อหวีผมเรียบแปล้แบบนี้มานานมาก คงจะใช่อย่างที่พี่กัญญาบอกว่าพ่อกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ได้แล้วจริงๆ


“ที่มานี่...จะมาดูว่าเอ็งสบายดี...”


ผมเดาว่าพ่อคงยังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เคยทำไว้ แต่บอกแล้วว่าผมไม่ได้โกรธหรือนึกว่าจะเกลียดพ่อได้ลง


“พ่อเองก็...ดูโอเคขึ้นนะ”


“โอคงโอเคอะไรกัน ก็เป็นยังงี้มาตลอดนั่นแหละ ทำไม? เห็นพ่อหนุ่มขึ้นหรือไง?”


คำถามกลั้วเสียงหัวเราะชวนให้บรรยากาศดีขึ้นทันตา เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เราพ่อลูกได้หยอกเย้าอย่างเป็นกันเอง ถึงจะไม่ได้ขนาดพูดคุยเล่นหัวกันเหมือนสมัยยังเด็ก แต่ผมก็เริ่มรู้สึกว่ากำลังจะได้พ่อคนเดิมกลับคืนมา


“พี่กัญบอกพ่อไปทำสวนผลไม้กับเพื่อน เป็นไงบ้างอ่ะ ไม่ได้ลำบากใช่มั้ย”


“เทียบกับที่ผ่านๆมาก็คงไม่มีอะไรให้เรียกว่าลำบากแล้วล่ะ” พ่อถอนหายใจหนักๆแล้วเหยียดยิ้มราวกับจะหยันอดีตที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก “ว่าแต่เอ็งนั่นแหละ ทำงานที่นี่เป็นไงบ้าง ไอ้พ่อมันก็ทำเรื่องไว้เยอะ กลัวเจ้านายท่านจะเอามาลงกับเอ็ง อยู่กับเขาเงินดงเงินเดือนคงไม่ได้ล่ะสิ อย่างดีก็คงโยนเศษเงินมาให้บ้าง มันจะคุ้มค่าเหนื่อยได้ยังไง”


“ไม่เลยครับ กานต์อยู่ที่นี่ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยจริงๆ สบายเกินไปด้วยซ้ำ” พลันนึกถึงที่พี่กัญญาเล่าให้ฟังเลยถือโอกาสยืนยันว่า... “ถ้าพ่อพอมีตังแล้วอยากเอามาใช้หนี้จะได้ไม่ต้องติดค้างใครกานต์ก็เห็นด้วย แต่ถ้าคิดว่าจะต้องหาเงินมาไถ่ตัวนั่นไม่ต้องก็ได้ เพราะถ้าคุณกรรู้ก็คงไม่รับเงินของพ่อแน่ๆ”


ไม่ใช่ว่าคุณภากรจะร่ำรวยจนเห็นเงินแค่ห้าแสนไม่มีค่า แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่เขามีมากกว่าทรัพย์สินเงินทองคือความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ พร้อมจะให้โอกาสคนอื่นอยู่เสมอ เทียบกันแล้วอาจจะเป็นผมเองที่เห็นแก่ตัว เพราะลึกๆคงเป็นผมมากกว่าที่อยากเก็บหนี้ก้อนนี้ไว้ อย่างน้อยก็เพื่อใช้เป็นข้ออ้างให้ได้อยู่เคียงข้างเขาต่อไป


“ถ้าเอ็งว่ายังงั้นก็ตามใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่อึดอัดหรืออยู่ไม่ไหวก็บอก ทางโน้นพอมีลู่ทางหาเลี้ยงตัวได้ มีเอ็งอีกคนจะได้ช่วยกันทำมาหากิน พี่สาวเอ็งก็ให้เขาเรียนหนังสือไป อีกหน่อยพวกเราก็จะได้สบายกันล่ะ”


คำพูดของพ่อทำให้ผมยิ้มออก เกือบจะเกิดอาการตื้อในอกด้วยความซาบซึ้ง แต่ดันมาสะดุดเมื่อได้เห็นของฝากที่ถ้าไม่เห็นกับตาจะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด ขนาดตอนที่พ่อถอดของสิ่งนั้นออกจากตัวยื่นให้ผมยังนึกว่าแดดแยงตาจนเบลอเห็นภาพหลอน สร้อยคอทองคำจริงๆ แล้วขนาดก็แบบว่าไม่ใช่แค่วุ้นเส้นที่ดีดจิ๊ดเดียวก็ขาดผึงด้วยนะ!


“เฮ้ย?! พ่อไปเอามาจากไหนเนี่ย?! อย่าบอกนะว่า...”


ผมไม่ยอมรับมาสวมพ่อเลยยัดใส่มือให้แทน แล้วจังหวะที่พ่อเข้ามาใกล้ผมก็ยิ่งตาโตกว่าเดิมเพราะมีของแบบเดียวกันคาที่คอของพ่ออยู่อีกเส้น ขนาดผมไม่มีความรู้เรื่องทองอย่างยังดูออกเลยว่าสองเส้นนี้รวมๆกันต้องหนักหลายบาท แน่


“เปล่านะโว้ย! เอ็งจะหาว่าพ่อมีสันดานขี้ขโมยหรือไง?”


พ่อทำเป็นโวยเสียงดังแต่สีหน้ายิ้มกริ่มพอใจ เหมือนอย่างเมื่อก่อนเวลาดวงดีมีเงินติดไม้ติดมือกลับบ้าน พ่อก็จะหัวเราะเสียงดังมาแต่ไกล พอเจอหน้าก็สั่งให้ผมออกไปซื้อกับข้าวมากินแกล้มเหล้า บางวันใจดีมากก็แจกตังผมกับพี่ไว้กินขนม แต่ถ้าวันไหนเสียก็อย่าให้เล่าเลยว่าผมจะต้องโดนอะไรบ้าง


“แต่ทองเส้นใหญ่ขนาดนี้ราคามันตั้งเท่าไหร่ นี่อย่าบอกนะว่าพ่อกลับไปเข้าบ่อนอีก?!”


“ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่ะ เอ็งไม่ต้องเสือกอยากรู้หรอกว่าได้มายังไง แค่เก็บเอาไว้ให้อย่างที่พ่อบอกก็พอ ของพวกนี้มีไว้น่ะมันดี เผื่อเอ็งกับพี่เดือดร้อนขึ้นมาจะได้ไม่ต้องไปรบกวนใคร เอาสร้อยนี่ไปขายเอาเงินมาใช้ซะไม่ต้องเสียดายเข้าใจมั้ย”


พ่อถามไปถึงพี่กัญกับอาสารภีอีกสองสามคำ แต่พอผมจะซักเรื่องงานหรือความเป็นอยู่ที่ต่างจังหวัดเข้าก็ทำท่ารำคาญตัดบททันที จังหวะนั้นมีแท็กซี่ที่เข้ามาส่งผู้โดยสารกำลังวนรถออก พ่อก็เลยโบกเรียกแล้วรีบร้อนขึ้นรถหนีไปโดยไม่มีแม้แต่คำล่ำลาตามเคย ผมยืนอึ้งๆมึนๆอยู่ตรงนั้นจนได้ยินเสียงกระแอมหนักๆดังจากด้านหลัง ไม่รู้ว่าเฮียสยามมาเมื่อไหร่และเห็นอะไรบ้าง แต่ดวงตาเรียบเฉยกำลังจ้องอย่างกับจะให้ทะลุถึงสิ่งที่ผมกำไว้ในมือ


“ถ้าไม่ว่าอะไร ขอดูหน่อยได้มั้ยครับ”


ถ้าตอนนี้มีใครผ่านมาเห็นคงนึกว่าผมโดนของเพราะผมจ้องหน้าเฮียพลางยื่นมือออกไปช้าๆ ฝ่ามือใหญ่รับมือผมไว้ด้วยอาการรวบกำมิดจนดูไม่ออกว่าเราทั้งคู่กำลังทำอะไร แต่ทันทีที่สร้อยเส้นนั้นพ้นไป ผมกลับรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เฮียสยามมองอย่างพิจารณาสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือแล้วเขย่าเบาๆเพื่อคะเนน้ำหนัก เสร็จก็ส่งคืนมา


“อะไรครับ” ผมไม่รับและถามกลับ นึกกลัวคำตอบอยู่ลึกๆ


“ก็สร้อยของคุณไง รับรองว่าเส้นนี้ของแท้ ใส่แล้วไม่ลอก ไม่ด่าง น่าจะหนักสักสองบาทได้” เฮียทำท่าจะคืนของให้ได้ ผมเลยรีบไขว้มือไว้ด้านหลัง ป้องกันการถูกยัดเยียด “เอาคืนไปเถอะครับ ที่ขอดูเพราะเห็นว่าสวยเฉยๆ ไม่มีอะไรจริงๆ”


“แต่ผมไม่เชื่อ! สร้อยนี่ผมให้เลยก็ได้แต่เฮียต้องบอกมาให้หมดว่ามีเรื่องอะไรปิดบังผมอยู่หรือเปล่า ผมไม่เชื่อว่าเฮียจะไม่รู้ เฮียเป็นคนกว้างขวางจะตาย ไม่ว่าพ่อไปก่อเรื่องอะไร กับใคร หรือที่ไหนเฮียก็ต้องรู้อยู่แล้วจริงมั้ยครับ”


ผมจี้ถาม ทั้งจ้องตาคาดคั้นเอาให้อีกฝ่ายรู้สึกกดดันจนต้องคายความลับออกมา แต่เหนือชั้นระดับเฮียสยามมีหรือจะสะดุ้งสะเทือน ส่วนสร้อยของพ่อพอผมไม่ยอมรับเฮียก็หย่อนลงกระเป๋าบอกว่าจะเก็บเอาไว้ให้แล้วหันหลังเดินหนีหน้าตาเฉย


“ถ้าเฮียไม่ยอมพูดก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น!...”


ผมรีบอ้อมไปดักหน้า งัดทุกวิธีมาขอร้อง แต่เสียงดังก็แล้ว โอดครวญก็แล้ว เฮียยังทำไม่รู้ไม่ชี้ เอาแต่ยืนนิ่งสองมือประสานกลางลำตัว สายตามองลงที่พื้นเบื้องหน้า จนกระทั่ง..


“อย่าครับ” เฮียยอมเปิดปากเป็นเชิงห้ามเมื่อผมทำท่าจะเข้าไปเขย่าถึงตัว “เมื่อกี้ก็เพิ่งปรามลูกน้องให้รู้จักระวังการปฏิบัติตัว คุณเองเป็นคนมีความคิด รู้ฐานะตัวเองดีอยู่แล้ว อย่าให้ต้องพูดอะไรมากเลย”


“งั้นถ้าฐานะอย่างผมถามแล้วเฮียไม่ยอมตอบนี่ถือเป็นการขัดคำสั่งได้ใช่มั้ยครับ” เฮียไม่ตอบ คงรอดูว่าผมจะมาไม้ไหน “งั้นผมขอสั่งให้เฮียบอกมาให้หมดว่าพ่อมีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้ ได้ยินมั้ยครับ  ตอบมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น...ผมจะให้คุณกรไล่เฮียออก!”


นักเลงหน้าดุแสยะยิ้มทำให้ผมชักจะเดือดจริงๆ แต่พอหลุดปากออกไปก็ใจหายวาบ นึกตำหนิตัวเองที่ทำเหมือนเด็กเกเร พอไม่ได้อย่างใจก็เที่ยวยืมชื่อคนอื่นมาใช้ และที่ลืมคิดไปคือคนที่ถูกอ้างก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล อาจจะโผล่มาเมื่อไหร่ก็ได้


“อ้าว! นี่สองคนมาเอะอะอะไรกันอยู่ตรงนี้ล่ะเนี่ย?” 


มั้ยล่ะ! มีคนบอกเข้าป่าอย่าถามหาเสือ แต่อยู่ที่นี่ก็คงต้องห้ามถามถึงตัวเจ้าของโรงแรม ไม่อย่างนั้นท่านก็จะโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ผมงี้ขนลุกซู่ไปหมด เหมือนหลอดเสียงจะดับไปซะเฉยๆเลยต้องปล่อยให้เจ้านายลูกน้องเขาคุยกันเอาเอง


“พอดีคุณกานต์บอกว่าจะไล่ผมออก เลยว่าจะรีบไปเตรียมเก็บข้าวของเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ถ้านายมีงานอะไรจะใช้ผมก็รีบๆหน่อยนะครับ เพราะไม่รู้ว่าผมจะได้อยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนเหมือนกัน”


“อ้าว! แล้วอยู่ดีๆทำไมถึงจะไล่ออก  ความผิดอะไรร้ายแรงขนาดนั้นเชียว”


ผมก้มหน้าหนีอายแต่รู้เลยว่าสองคนที่กำลังคุยข้ามหัวผมอยู่นี่กำลังสนุกกันมาก


“ความผิดฐานบังอาจขัดใจคุณกานต์ นายว่าหนักมั้ยล่ะครับ”


คุณภากรหัวเราะชอบใจ แล้วยังรวมหัวกับเฮียสยามแซวต่ออีกหลายคำจนผมทนอยู่ใม่ไหว ต้องขอตัวกลับไปทำงาน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเสียรู้เพราะสุดท้ายเฮียสยามก็หาทางเลี่ยงไม่ยอมบอกอะไรผมได้อยู่ดี พอหันกลับไปดู ทั้งคู่ยังยืนคุยกันต่อ มีบางจังหวะที่เฮียสยามเหลือบมาทางผมแล้วก็มองผ่านไป คุณภากรเองก็หันมา เหยียดริมฝีปากออกแต่ตรงตาไม่ได้ยิ้มตาม บรรยากาศเลยยิ่งดูเคร่งเครียดชอบกล เฮ่อ! หวังว่างานนี้ผมจะไม่ได้คิดมากไปเองหรอกนะ




จบตอนแล้วคร้าบ






 :bye2:




ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ท่าทางจะมีงานเข้าตามมาอีกแน่เลย  เห้อออออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด