Last Chapter
เช้าตรู่ ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี อากาศเย็นจนต้องขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ได้ยินเสียงเม็ดฝนตกโปรยปรายด้วยเป็นช่วงฤดูฝนของช่วงปี
อินทัชเอื้อมปิดนาฬิกาปลุกแล้วพลิกตัวกลับมานอนกอดคนด้านข้างอีกครั้ง ปากคลี่ยิ้มทั้งที่ไม่ลืมตา เขาครางเบาๆอย่างเกียจคร้านตอนที่ดึงคนรักเข้าหาอ้อมกอด ตัวพี่กุนต์อุ่นร้อนจนรู้สึกเหมือนกอดฮีทเตอร์ใต้ผ้านวม
“อือ..” กนธีขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะจั๊กจี้ “โกนหนวดได้แล้ว..”
เด็กหนุ่มหัวเราะ เขาแค่เอาหน้ากลิ้งเกลือกหลังคออีกฝ่ายเท่านั้น ทำไงได้..ตัวพี่กุนต์มีกลิ่นหอมอ่อนๆของเต้าหู้ เขาชอบจนทั้งฟัดและกัดเล่นทุกคืน
“ฝนตกหรือ” กนธีพึมพำถาม ได้ยินเสียงเปาะแปะนอกหน้าต่าง
“ครับ” เขากดปลายจมูกตรงท้ายทอยของแฟน ปลายผมสีดำยาวปรกต้นคอ นึกชอบกลิ่นแชมพูที่ใช้สระร่วมกันอย่างบอกไม่ถูก “ตกตั้งแต่เมื่อคืน”
กนธีอือออรับแล้วเคลิ้มหลับอีกหน ความสุขของชีวิตคือการได้นอนตื่นสาย ขดตัวอุ่นๆอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ เงี่ยหูฟังเสียงฝนไปเรื่อยโดยไม่ต้องรีบร้อน
“นอนต่ออีกหน่อยเนอะ” เขาบอก เอามือหนุนแก้ม “ตื่นแล้วค่อยไปกินกาแฟในสวนกัน” เขาชอบกลิ่นดินกลิ่นหญ้าหลังฝนตก มันให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำ
“โอเค” อินทัชอมยิ้ม เอาแขนสอดเข้าใต้ราวคอให้พี่กุนต์นอนหนุน
“อยากกินกาแฟดำกับเฟรนช์โทสที่พี่โอ๊ตทำ”
คนฟังหัวเราะ “ได้ครับ” เขาแตะปากจูบที่ซอกคอคนรัก
“พี่โอ๊ตคนดี” ชายหนุ่มขยับตัวกลับมา เอาหน้าซุกแผ่นอกกว้างที่รอรับ
อินทัชยิ้มแก้มปริ แขนหนึ่งให้กนธีนอน อีกแขนโอบรัดร่างนั้นแนบอก ใบหน้าคมเข้มซุกบนกลุ่มผมนิ่ม สูดดมกลิ่นแชมพูและสบู่ที่คุ้นเคยด้วยความสุข
..ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว..
.
.
.
กนธีนั่งรับลมไปเรื่อยเปื่อยระหว่างที่เด็กๆปล่อยแกงส้มกับสี่ถั่วออกมาเดินเล่นหลังฝนหยุดตก เขามองภาพตรงหน้ายิ้มๆเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของอ้นกับอุ้ม น้องสองคนชอบใจใหญ่ที่พวกแมววิ่งไปทั่ว โถมตัวเข้ากอดรัดกันจนล้มกลิ้ง
“มาแล้วพี่” พ่อครัวจำเป็นอย่างอินทัชเอาขนมปังชุบไข่ร้อนๆเพิ่งเสร็จจากเตามาวางให้ เขาราดน้ำผึ้งแท้แทนเมเปิ้ลไซรัปเพราะมันมีประโยชน์กว่า
“น่ากินมาก” กนธียิ้ม ชูนิ้วโป้งชม “ใครจะเก่งเท่าโอ๊ตของพี่ หล่อ ดูดี หุ่นนักกีฬา ขับรถได้ ทำอาหารเก่ง เป็นพ่อบ้าน ซักกางเกงในสะอาด”
อินทัชยืดอกด้วยความภูมิใจ..แต่คำหลังๆมันชอบกล
“อร่อยๆ” กนธีครางในลำคอเมื่อได้ชิมคำแรก “รักตายเลยเนี่ย”
“เที่ยงนี้อยากกินอะไรครับ” เด็กหนุ่มถามทันที เพื่อพี่กุนต์แล้ว ให้ไปซื้อมะเขือเทศถึงภาคเหนือ ให้ไปหาอาหารทะเลถึงตะวันออก เขาก็จะทำ
“น้ำพริก กระเจี๊ยบต้ม กับไข่เจียว พี่เห็นตำลึงริมรั้วขึ้นมาเป็นแถวเลย เด็ดมาทำแกงจืดก็ได้นะ” กนธีเคี้ยวช้าๆ ชิมรสน้ำผึ้งที่แทรกอยู่ในแผ่นขนมปัง
อินทัชหัวเราะ ทำไมกินง่ายอยู่ง่ายขนาดนี้นะ
“อ้น อุ้ม มากินหนมปังกันลูก พี่โอ๊ตทำมาให้” กนธีเรียกน้อง
เด็กน้อยวิ่งกันจนหอบแฮ่ก เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมข้างขมับ พี่กุนต์เลยเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดหัวเหม่งให้ น้องอุ้มอ้าปากหวอเหมือนลูกนก อ้อนให้พี่กุนต์ป้อน
“ปิดเทอมทั้งทีไม่อยากไปเที่ยวไหนหรือครับ” กนธีป้อนน้องอ้นอีกคำ
ช่วงนี้เป็นปิดเทอมใหญ่ มีเวลาสองเดือนครึ่งก่อนจะขึ้นปีการศึกษาใหม่ เผลอไม่นาน อินทัชจะขึ้นปีสามแล้ว เด็กๆก็เลื่อนชั้นตามกันไปด้วย
อ้นกับอุ้มมองหน้ากัน ปรึกษาตามประสาเด็กอยู่สองนาทีก็ยิ้มเขิน
“พวกหนูอยากชวนพี่กุนต์ไปเที่ยวน่านฮะ” อุ้มขอ “กลับบ้านกัน~”
อินทัชเห็นดีตาม “ไปด้วยกันนะพี่..เปลี่ยนบรรยากาศ”
“ไปสิ” กนธีตอบยิ้มๆ “เอาคันไหนไปดี”
“ขึ้นเครื่องดีกว่า ไปไหนใกล้ๆก็ปั่นจักรยานเอา ถ้าอยากไปไกลกว่านั้นก็เช่ารถขับได้” เขาตอบ “งานนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเอง”
…………………….............……………………………….
“ไอ้โอ๊ตๆๆ~” กนธีร้องโวยวายเมื่อไอ้เด็กเปรตของเขาพาขี่จักรยานลงจากเนิน
พื้นถนนที่เต็มไปด้วยเศษดินเศษหินทำให้จักรยานสั่นกึก คนซ้อนท้ายถึงกับหัวสั่นหัวคลอนตามแรงกระแทก ลมพัดหน้าจนหมวกตั้งท่าจะปลิว
อินทัชหัวเราะชอบใจ แกล้งปล่อยรถไหลลงมาให้พี่กุนต์หวาดเสียวเล่น
“อย่าปล่อยมือนะ~” กนธีแทบจะบีบคอคนรัก แต่กลัวว่ามันจะขาดใจตายแล้วพาทั้งเขาทั้งรถล้มคว่ำลงไปในพงหญ้าข้างทางเสียก่อน
“ไว้ใจผมหน่อยสิ” เด็กหนุ่มยิ้มเริงร่า เมื่อถึงทางราบ เขาก็เร่งความเร็วขึ้น จักรยานคันเก่งแล่นฉิวผ่านสายลมและบรรยากาศชุ่มฉ่ำหลังฝนตก
กนธีเขกหัวมันไปหนหนึ่ง น้องร้องอู้ หัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี
อินทัชลดแรงปั่นลง เหลือเพียงการถีบเอื่อยๆเพื่อรับลม กนธีละมือที่กำเสื้อมันไว้แน่นออก เปลี่ยนมาจับเอวน้องไว้หลวมๆ มองสองข้างทางที่ผ่านตา
ทิวไม้สีเขียวชอุ่มทอดตัวไกลออกไป เบื้องหลังเป็นแนวภูเขาน้อยใหญ่สูงลดหลั่น บนยอดมีไอหมอกขาวลอยอ้อยอิ่ง ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ
“ชอบไหมครับ” อินทัชหันมาถาม ยิ้มน้อยๆเมื่อมองหน้ากัน
กนธียิ้มตอบ “อือ..” เขาเงยหน้าขึ้น หลับตาลงแล้วสูดกลิ่นธรรมชาติ
รอบด้านคืออุ่นไอดินหลังฝนตก ได้กลิ่นดอกไม้และใบหญ้าที่เปียกชื้นลอยอวล มีกลิ่นสดใหม่ของต้นข้าวที่เพิ่งปักดำ กลิ่นท้องนาที่ผ่านเลยมา กลิ่นของมวลหมอกที่สะอาดบริสุทธิ์ ให้ความเย็นแทรกซึมอยู่ในปอด
ท้องฟ้าเริ่มทอแสงสว่าง เมฆที่ลอยต่ำก่อนนั้นลอยหาย เห็นแต่แอ่งน้ำที่เจิ่งนองบนถนน มันกระเซ็นขึ้นถูกรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง แต่กนธีไม่ได้ถือสา
เขานั่งยิ้ม มองคันนาที่ยาวคดเคี้ยวสลับกันเป็นไร่ บางพื้นที่ยังไม่เริ่มทำนา บางที่เริ่มเห็นแนวยอดสีเขียวประปรายแทรกไปด้วยสีน้ำตาลแก่ของผืนดินชุ่มน้ำ เขายกมือถือขึ้นถ่ายภาพชาวนาที่เดินเลาะแนวดินอยู่ไกลๆ
ลมบางเบาที่พัดผ่านติดจะหนาวอยู่เล็กน้อย หยดฝนซาลงเหลือเพียงไอน้ำในอากาศ ให้ความรู้สึกชื้นแฉะและเปียกปอน ปลายนิ้วเย็นขึ้น แต่เพราะมีฝ่ามืออบอุ่นของใครบางคนสอดประสานเข้ามา ความร้อนถึงได้แผ่ลาม
“ถ้าชอบ ผมจะพามาบ่อยๆ” อินทัชบอก “ทั้งช่วงที่ข้าวตั้งท้อง ช่วงที่ออกรวงแก่เป็นสีเหลืองทอง ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว..จะพามาเที่ยว”
“ทุกฤดูเลยใช่ไหม” กนธีอมยิ้ม
“จะอีกกี่สิบปี..ก็จะพามา” เขาเอียงหน้ามามอง
ใครอีกคนยิ้มจนเมื่อยแก้ม ต้องพักด้วยการเอาหน้าพิงแผ่นหลังกว้าง
“ฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว กลับกันนะครับ” อินทัชขี่จักรยานมือเดียว อีกข้างยกมือของพี่กุนต์ขึ้นจูบแล้วดึงมาวางแนบอก “ใส่หมวกด้วย เดี๋ยวเป็นไข้”
กนธีทำตามคำบอกอย่างเชื่อฟัง ตอนนี้เขากลายเป็นเด็กวัยรุ่น ใส่เสื้อยืดสกรีนลายว่า ‘หลงรักเมืองปัว’ สวมกางเกงขาสั้นเสมอเข่า บนหัวมีหมวกแก๊บ สะพายเป้ใบย่อม นั่งห้อยขาอยู่ท้ายจักรยานของเด็กหนุ่ม
“พรุ่งนี้จะพาไปวัดภูมินทร์” อินทัชตีรถกลับไปทางบ้าน “พาไปดูปู่ม่านย่าม่านจีบกัน..แล้วพี่จะรู้ว่าหนุ่มน่านน่ะ..โรแมนติกมากแล้วยังรักจริงอีก”
กนธีหัวเราะร่วน “ว่าแต่..ปู่ม่านกระซิบบอกย่าม่านว่าอะไร”
“ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว” อินทัชยิ้ม กุมมือกนธีไว้ระหว่างที่ปั่นจักรยานเนิบนาบ “จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย”
ชายหนุ่มยิ้มบาง วางหน้าแนบบ่าอีกฝ่าย “หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง..ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น”
“อ้าว..” อินทัชหันมามอง “ท่องได้ด้วยหรือนี่”
“เคยอ่านน่ะ ที่อาจารย์สมเจตน์ วิมลเกษมท่านแต่งไว้ใช่ไหม” กนธียิ้ม
“ไม่เห็นรู้ว่าพี่อ่านประวัติศาสตร์เมืองน่านด้วย..สมแล้วที่เป็..”
“ก็จะจีบหนุ่มน่าน..รู้ไว้ไม่เสียหายนี่”
อินทัชสำลักแค่กๆ เขากำลังจะเล่นมุก ‘สมแล้วที่เป็นแฟนคนน่าน’ ดันถูกพี่กุนต์เล่นตัดหน้าไปเสียก่อน ทำเอาเขาหน้าแดงเถือกไปถึงหูเลย
“จะจีบอะไรกัน..พี่น่ะจีบผมติดมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้ตัวหรือครับ”
กนธีทำเสียงฟึดออกจมูก เขาแหย่มัน มันแหย่เขา เท่าเทียมดี
“หมดมุกเลยเนี่ย” อินทัชโอดครวญ “มุกปู่ย่าจีบกันของผม..”
“แล้วปู่โอ๊ตล่ะ..” เขาหัวเราะ “ปู่โอ๊ตอยากบอกอะไรปู่กุนต์ไหม”
อินทัชนิ่งอึ้งไปสักพักก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หน้าบานแข่งกับดอกลำโพง
“You are the answer to my lonely prayer.” เขากุมมือกนธีแน่นขึ้น หันมองคนที่ชะงักแล้วยิ้มเก้อเขิน “You are an angel from above. I was so lonely till you came to me. With the wonder of your love.”
กนธีเอาหน้าซุกบ่าแข็งแรง กลิ่นหอมเจือจางจากร่างสูงใหญ่และอุ่นไอร้อนรุ่มจากช่วงตัวของคนรักทำให้เขารู้สึกเป็นสุข
อินทัชยิ้ม “I don't know how I ever lived before. You are my life, my destiny. Oh my darling, I love you so. You mean everything to me.”
ฝ่ามือที่กอบกุมกันและกันถูกสอดประสานแนบแน่น บีบกระชับเป็นหนึ่งเดียว ความรู้สึกบางอย่างถึงไม่ได้พูดออกมา แต่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ
“So hold me close and never let me go. And say our love will always be.” เขาดึงปลายนิ้วกนธีขึ้นจูบ “Oh, my darling, I love you so.”
กนธีกอดน้องเอาไว้ กระซิบข้างหู “You mean everything to me.”
อินทัชยิ้มเป็นบ้าเป็นหลัง อีกไม่เท่าไรจะถึงบ้านของเขา แต่เด็กหนุ่มตัดสินใจจอดจักรยานข้างวัดปรางค์ท่ามกลางความงุนงงของอีกคน
ร่างสูงก้มลงเด็ดดอกหญ้าที่ขึ้นอยู่แถวนั้นแล้วพันให้เป็นวง
“อะไรน่ะ..” กนธีนั่งมองอยู่ตรงเบาะหลัง
“มานี่ๆ” เขาจูงมือพี่กุนต์ พาเดินลัดเลาะไปยังหน้าโบสถ์ ตรงนั้นมีต้นดิกเดียมที่เอนมาทางวัด มีเสาค้ำยันลำต้นไว้อยู่ต้นหนึ่ง
“โอ้..พาพี่มาจั๊กจี้ต้นไม้หรือเปล่า” กนธีอยากลองลูบดูเหมือนกัน
“เปล่า” เขากลั้นขำ “พามาไหว้พระ”
อินทัชพาคนรักเข้าไปกราบพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายใน กนธี ยกมือไหว้แล้วอธิษฐานขอพรให้ตัวเขากับคนรอบข้างเพื่อความเป็นสิริมงคล
“ผมมาไหว้ที่นี่บ่อย เพราะอยู่ใกล้บ้านที่สุด” เขาบอก
“อันซีนไทยแลนด์เลยนี่นา” กนธีก้มลงกราบแล้วคลานเข่าออกมา
“ใช่ครับ ดิกเดียมต้นนี้มีต้นเดียวในประเทศ” อินทัชยิ้ม จูงมือคนรักให้เดินตาม เขาพาไปหยุดยืนอยู่ที่พันธุ์ไม้ต้นสำคัญก่อนจะยกมือกนธีให้วางทาบ
ชายหนุ่มเงยหน้ามอง อยากรู้ว่าดิกเดียมจะสั่นจริงไหม
“พี่กุนต์” อินทัชกุมมือข้างนั้นของอีกฝ่ายไว้ มีมือของเขาทาบทับ
“อะไรครับ” กนธีหันมอง
“ต่อหน้าดิกเดียมต้นนี้..” เด็กหนุ่มยิ้มเขิน มือขวาที่ยังเป็นอิสระล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบวงดอกหญ้าขึ้นมา “แต่งงานกับผมนะ”
กนธีนิ่งอึ้ง ชะงักค้างอยู่อย่างนั้นร่วมสองนาที
“พี่กุนต์..” อินทัชหน้าเจื่อน โบกมือปัดๆ “พี่ครับ..”
“ห๊ะ..ห๋า..อะไรนะ” เขาเลิ่กลั่ก มองซ้ายทีขวาทีพร้อมกับใบหูที่ขึ้นสีจัด
คนมองหัวเราะ “พี่กุนต์ครับ..” กุมมือที่จับไว้แน่นขึ้น ดึงปลายนิ้วข้างซ้ายของกนธีมาวางทาบแผ่นอก แหวนดอกหญ้านั้น..ถึงจะด้อยค่า ดูไร้ราคา
..แต่ความรู้สึกของเขาคือของจริง..
“ผมรู้ว่าการใช้ชีวิตของผู้ชายด้วยกันมันยาก เราคงไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน คงไม่ได้แต่งงานกันเปิดเผย แต่ผมก็อยากทำให้จริงจัง อยากตกลงกับพี่ให้ชัดเจน ว่าชีวิตพวกเราต่อจากนี้ จะไม่ใช่แค่คบกันแบบแฟนทั่วไป”
กนธีฟังน้องด้วยหัวใจที่เต้นรุนแรง เขาคิดไม่ถึง..นึกไปไม่ถึงจริงๆ
“ผมอยากร่วมชีวิตกับพี่ เป็นคู่รักผูกพันแน่นแฟ้น มีสัญญาใจต่อกัน เหมือนตากับยายที่อยู่ด้วยกันจนตายจากไปข้างหนึ่ง” เขาพูดอย่างมั่นคง “และถึงแม้ผมจะไม่ได้รักพี่เป็นคนแรก แต่ผมสัญญา สาบานต่อหน้าพระประธานที่นี่ ต่อหน้าต้นไม้ที่มีเพียงหนึ่งเดียวต้นนี้” เขาเงยหน้ามองมันและหันมายิ้มให้กนธี
“ว่าผมจะรักพี่คนเดียว..รักหมดหัวใจ..เป็นคนสุดท้ายในชีวิต”
กระบอกตาของใครบางคนร้อนผ่าว นัยน์ตาเขาวูบไหวด้วยความรู้สึกทั้งหมด หัวใจทั้งดวงเต้นรุนแรงก่อนจะสงบลงด้วยอบอุ่นที่แผ่ซ่านขึ้นมา
ลมพัดบางเบา ดิกเดียมต้นนั้นสั่นไหว
กนธีมองอินทัช ยิ้มทั้งดวงตาที่พร่าเลือน
“รู้เจตนาของผมแล้ว..” อินทัชชูแหวนขึ้น “จะตอบตกลงไหมครับ”
“ขู่หรือขอเนี่ย” เขาหัวเราะ มือซ้ายถูกดึงไปหาซึ่งเขาก็ไม่ได้ขัดขืนเลย
“ตกลงนะ” เด็กหนุ่มย้ำ สวมแหวนดอกหญ้าให้อย่างไม่คิดรอ
ไอ้เด็กใจร้อนนี่ กนธีบ่นในใจแต่ก็ไม่ได้ถือสา ตรงข้าม เขากลับยิ้มจนเมื่อยแก้มไปหมด “อืม..” เขาเดาะลิ้นเล่น “ตกลงมาตั้งนานแล้ว..”
อินทัชทั้งดีใจทั้งมันเขี้ยว อยากจับฟัดให้ปากบวมเป็นบ้า
“พรุ่งนี้..ตื่นเช้ามาทำบุญ ผมจะขอให้หลวงลุงช่วยผูกข้อมือให้นะครับ”
“ขนาดนั้นเลยหรือ” กนธีไม่คิดว่าเด็กมันจะจริงจังสุดๆ
“ผมไม่มีญาติผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็อยากทำให้ถูกต้องชัดเจน” อินทัชยิ้มให้ จูงมือคนรักกลับไปที่จักรยาน พี่กุนต์เดินตามเขาโดยไม่ปริปากพูดเลย
..ก็แค่เก้อเขินจนหูเป็นสีแดงจัดตลอดเวลาเท่านั้นเอง..
“ผูกข้อมือเสร็จแล้ว เราไปไหว้ยายกันนะครับ”
กนธีพยักหน้า “ได้เลย”
ร่างสูงขึ้นจักรยาน ตบเบาะให้พี่กุนต์มาซ้อนแล้วดึงแขนให้โอบเอวเขา
อินทัชนึกขึ้นได้ “ไว้ถึงกลางคืน” เอียงหน้ามากระซิบ “ค่อยเข้าหอกัน”
“ไอ้โอ๊ต~”
…………………………........................………………………….
วันรุ่งขึ้น อินทัชตื่นตั้งแต่หกโมง เขาปล่อยให้คนรักนอนหลับอุตุอยู่บนเตียง ส่วนตัวเขาตั้งใจจะลงมาทำกับข้าวแยกใส่ปิ่นโตไว้รอไปถวายเพลที่วัด
เพิ่งจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ยังไม่ทันใส่เสื้อผ้าดี คนที่หลับไม่รู้เรื่องก็งัวเงียลุกขึ้นมามอง ตาเปิดข้างหนึ่ง ปิดข้างหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงน่าเอ็นดู
“ไม่นอนต่อหรือครับ ไอ้อ้นกับไอ้อุ้มก็ยังไม่ตื่นเลย”
“ไม่ล่ะ” กนธีหาวหวอด คลานเข่าลงจากเตียงแล้วพับผ้าห่ม
“ผมจะลงไปทำกับข้าว พี่ไม่ต้องรีบตื่นก็ได้”
“จะไปช่วยพี่โอ๊ตทำ” เขาหาวอีกครั้ง
อินทัชอมยิ้ม เดินมาโอบเอวไว้หลวมๆ เขาสูงกว่าพี่กุนต์อีกแล้ว แต่เห็นควรว่าน่าจะหยุดอยู่แค่นี้ มากกว่านี้ก็คงเป็นผีเปรตสมคำด่า
“แต่งตัวให้ผมหน่อยสิ”
“ไอ้ขี้อ้อน” กนธีหัวเราะ เปิดตู้รื้อเสื้อผ้าที่เอาติดมาจากกรุงเทพ เลือกเสื้อยืดสีขาว กับเสื้อสีสดๆคลุมข้างนอกให้ กางเกงยีนส์อีกตัวก็โอเค
“ไม่หล่อไม่ได้ วันนี้วันสำคัญ”
“ไอ้เยอะ” กนธีด่ามัน แต่หูเขาร้อนจัดเลยทีเดียว “เอ้า..หันมา”
เด็กหนุ่มยิ้มบาง ก้มลงให้พี่กุนต์สวมเสื้อยืดให้ เขาดึงมันลงจากหัวแล้วถึงปลดผ้าขนหนูที่พันเอวออก พี่กุนต์หันไปทางอื่นเพราะเขาไม่ได้ใส่ชั้นใน
“มองให้ชินเถอะครับ ของของผมก็เหมือนของของพี่”
“ไอ้เด็กเปรตเอ๊ย..” นับวันยิ่งเอาใหญ่
อินทัชหัวเราะ ก้มลงใส่ชั้นในกับกางเกงยีนส์ หยิบเสื้อนอกมาพาดบ่า
“เจอกันข้างล่างครับ ผมลงไปหุงข้าวก่อน”
กนธียิ้มรับ หยิบผ้าเช็ดตัวที่น้องพาดไว้มาใช้ต่อ..คนกันเอง หรือเรียกให้ถูกก็คือเป็นคนคนเดียวกัน ไม่ต้องเกี่ยงเขาเกี่ยงเราแล้ว
เช้านี้อินทัชทำผัดผักบุ้งที่ได้มาจากเพื่อนบ้าน ทำแกงจืดไข่น้ำด้วยไข่ไก่ที่ป้าคนดูแลยายเอามาฝาก และเก็บชะอมริมรั้วมาทำชะอมทอดไข่ ตำน้ำพริกไปอีกอย่างก็ลงตัว เป็นวิถีชีวิตเรียบง่าย ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันตามประสา
“โอ๊ตเคยคิดจะกลับมาอยู่ที่นี่ถาวรไหม” กนธีนั่งขัดสมาธิแกะกระเทียม จากนั้นก็ช่วยตำพริกในครก ต้องเอาแว่นตามาใส่กันพริกกระเด็นกันเลย
“ตอนนี้ก็คิดอยู่ครับ” เขาตอบ หั่นผักบุ้งแล้วล้างให้สะอาด “แต่ผมตั้งใจว่าหลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับพี่กุนต์นั่นแหละ พี่อยู่ไหน ผมอยู่ด้วย”
กนธีตาลายเพราะคำหวานของเด็กจนเผลอตำก้านพริกแทนเม็ดเลย
“พี่กุนต์ พี่โอ๊ต~” อ้นกับอุ้มวิ่งตึงๆลงมาจากบันได
“ระวังลูก เดี๋ยวสะดุดนะครับ” กนธีตบแคร่ไม้ในครัวให้น้องนั่งด้วยกัน “เด็กๆเด็ดชะอมเป็นไหม ช่วยพี่โอ๊ตเด็ดหน่อยลูก แต่ระวังหนามนะคนดี”
“หนูทำเป็นๆ” อุ้มน้อยอาสา คว้าหมับเข้าให้เลยโดนจนได้ “อ๊า~”
“น้องอุ้มซนอ่ะ” พี่อ้นให้น้องไปล้างแตงกวาแทน “พี่ทำเอง”
กนธีหัวเราะ เป่านิ้วเล็กให้หายเจ็บ “หนูล้างผักแทนแล้วกันนะครับ”
อุ้มตะเบ๊ะรับ เอาแตงกวากับมะเขือใส่เสื้อแล้วหอบหิ้วไปทางกะละมัง
“คุณแตงกวา~ น้องเคยเห็นแตงกวารึเปล่า แตงกวาตัวโตไม่เบา..”
อินทัชกุมขมับในขณะที่พี่กุนต์หัวเราะลั่น น้องเขานี่มันบ้าบอจริงๆ
“ไอ้อุ้ม..โบราณบอกว่าทำกับข้าวไปร้องเพลงไป จะได้ผัวแก่!”
อุ้มสะดุ้งเฮือก “หนูเป็นผู้ชาย~” ถึงจะบ๊อง แต่ก็ตามทันนะ
“พี่โอ๊ตเขาแหย่เล่นลูก” กนธีอมยิ้ม นั่งตำพริกด้วยระยะห่างสุดเอื้อมแขนเป็นจังหวะสโลว์โมชั่นต่อ “พี่โอ๊ตไม่เคยร้องเพลงตอนทำกับข้าว ยังได้สามีแก่เลย” เขาพึมพำ มีเสียงป๊อกๆกลบเสียงพูดหมดแต่เด็กหูผีก็ยังได้ยิน
“เดี๋ยวๆๆ ใครผัวใครเมีย เอาให้แน่นะพี่”
กนธีหัวเราะชอบใจ เอานิ้วโป้งหันหาตัวเอง “นี่สามีไง..จะใครล่ะ”
อินทัชหรี่ตามอง อ๋อ..ได้ เบื้องหน้ายอมให้ แต่เบื้องหลัง..ไม่มีทาง!
ช่วงสาย พวกเขานั่งล้อมวงกินข้าวกัน โต๊ะไม้เก่าคร่ำตัวนั้นถูกลากมาวางกลางบ้าน ข้างกับเตียงขาสิงห์ที่ยายเคยใช้นอน มาวันนี้ ยายไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่ความทรงจำดีๆที่ผ่านมายังไหลเวียนอยู่ในภาพความอบอุ่น
“กินไข่กันครับ มีโปรตีนนะ” กนธีตักใส่จานเด็กๆ
“ขอบคุณคร้าบ” พี่อ้นเคี้ยวข้าวเสียงเงียบ แต่น้องอุ้มเผลอทำเสียงจั๊บๆ “น้องอุ้ม จุ๊ๆ” พี่ชายคนกลางช่วยดูแลมารยาทบนโต๊ะอาหารให้ “กินเบาๆ”
อุ้มยิ้มเขิน เคี้ยวแบบปิดปากมากขึ้น “พี่อ้นกินหมูสับ จะได้แข็งแรง”
“น้องอุ้มกินผักด้วย” พี่ชายตักผักต้มให้น้อง “ระวังพริกนะ”
กนธีนั่งมองยิ้มๆ สองคนน้องน้อยดูแลกันแล้ว เขาก็หันมาตักกับข้าวใส่จานพี่โอ๊ตบ้าง พอดีกับที่ฝ่ายนั้นตักผัดผักบุ้งมาใส่จานเขา ช้อนเกือบจะชนกัน
อินทัชยิ้มให้ “กินผักบุ้งแล้วตาหวานนะครับ หวานแบบผมนี่”
คนฟังทำไม่รู้ไม่เห็น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าดวงตาของเด็กมันสวยจริง
น้องอุ้มเห็นพี่โอ๊ตทำแบบนั้นก็เลียนแบบ เอาส้อมจิ้มไข่ชะอมให้
“พี่กุนต์กินชะอมนะฮะ ตัวจะได้เหม็นเขียว”
กนธีขำพรืด ลูกอุ้มของพ่อ..แย่งซีนพี่ชายได้ตลอดจริงๆนะเนี่ย
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]