Chapter 62
บีเอ็มคันโปรดค่อยๆถอยเข้ามาจอดข้างอพาร์ทเมนท์ ยักแย่ยักยันอยู่ครู่ใหญ่เพราะพื้นที่คับแคบ ดีที่ว่ามีลูกคู่เป็นเสียงเจื้อยแจ้วคอยบอกหันซ้ายหันขวา
“ซ้ายฮะพี่กุนต์ ซ้ายเลย ซ้ายๆๆ” น้องอุ้มชูมือไปมา
“ไอ้อุ้ม..” อินทัชหันมามองน้องที่ชะโงกดูท้ายรถให้จนคอยาวอยู่ตรงเบาะหลัง เขาเหนื่อยใจสุดๆ “ไหนยกมือซ้ายให้พี่ดูหน่อยว่าข้างไหน”
เด็กน้อยยกมือขวาทันที “เย้”
กนธีหัวเราะชอบใจ ขอบคุณน้องที่ช่วยบอกทางแม้เจ้าตัวดีจะพูดสลับซ้ายสลับขวาเสียหมด “ได้แล้วครับ จอดเอียงนิดเดียวไม่เป็นไรหรอก”
พวกเขาลงจากรถของพี่กุนต์ น้องอ้นเพิ่งถูกปลุกให้ตื่น พี่ชายคนกลางสลบเหมือดตั้งแต่ขึ้นรถเพราะพลังสูงทั้งวัน วิ่งถ่ายรูปตั้งแต่เช้าจนเย็น
อินทัชจูงน้องอุ้ม ส่วนกนธีเปิดประตูหลังคนขับแล้วช้อนตัวน้องอ้นที่ยังงัวเงีย พี่ชายคนโตช่วยยกขึ้นหลังให้เพราะปลุกแล้วดูจะตื่นยาก
“ไหวแน่นะพี่” เด็กหนุ่มถาม จับสองแขนของน้องกอดคอกนธี
“พี่ยังอุ้มโอ๊ตไหวเลย” เขาพูดยิ้มๆ “ท่าเจ้าสาวก็ไหว”
“ขอร้องเลยครับ” อินทัชจินตนาการตัวเองแบบนั้นไม่ออก
วันนี้พวกเขาสี่คนไปเที่ยวสวนสัตว์ดุสิตมา ตอนแรกตั้งใจจะพาเด็กๆไปชมพระที่นั่งวิมานเมฆเพราะว่าอ้นชอบวิชาประวัติศาสตร์แต่ว่าที่นั่นปิดซ่อมแซม กนธีเลยชวนไปเที่ยวสวนสัตว์ แล้วค่อยหาเวลาว่างไปพิพิธภัณฑ์อื่นๆกันทีหลัง
“พี่อ้นหลับไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ” น้องอุ้มจูงมือพี่โอ๊ต ขึ้นบันไดฮึบๆ
“คงจะเหนื่อยน่ะครับ” กนธียิ้มเอ็นดู “อุ้มน้อยไม่เหนื่อยบ้างหรือ”
“เหนื่อยฮะ แต่ว่าถ้าหลับ จะไม่ได้คุยกับพี่กุนต์”
“โธ่..ลูก” คนอายุมากกว่าขยี้ผมนุ่มนิ่ม
อินทัชอมยิ้ม ไอ้เด็กแสบพวกนี้มันปะเหลาะเก่งจริง รู้ว่าเมื่อไรควรพูดอะไร และรู้ว่าควรจะอ้อนแบบไหนให้พี่ๆกลับมาอยู่ด้วยกัน
กนธีพาเด็กๆไปส่งที่ห้อง น้องอ้นสะลึมสะลือเพิ่งตื่นหลังจากที่วางตัวลงบนเตียง พี่โอ๊ตเลยสั่งให้ไปอาบน้ำ เจ้าหนูก็เดินละเมอไปแปรงฟัน
“อุ้มไปดูพี่อ้นที เป็นพี่เป็นน้อง ต้องผลัดกันดูแล” อินทัชบอก
“ซึมแซ่บ!” อุ้มน้องน้อยตะเบ๊ะรับ “พี่อ้น อาบน้ำกัน~”
กนธีหัวเราะอย่างนึกขัน เขาพาน้องเที่ยวตั้งแต่แปดโมงเช้า ตะลอนทั้งวันอยู่ในสวนสัตว์ทั้งที่แดดร้อนเปรี้ยง พาไปดินเนอร์กันที่ครัวริมน้ำแล้วถึงกลับห้องตอนสองทุ่มกว่า พรุ่งนี้น้องต้องไปเรียนอีก ไม่รู้จะขึ้นรถกันไหวไหม
“ถ้าตื่นไม่ทัน โทรบอกนะ พี่จะมารับ” เขาบอกเด็กอีกคน
อินทัชยิ้ม “พวกผมรับผิดชอบตัวเองได้พี่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
กนธีพยักหน้ารับ อดพึมพำไม่ได้ “ให้เอารถไปใช้ก็ไม่ยอม”
“ถ้าผมเอารถมา แล้วพี่จะมีโอกาสได้ไปรับไปส่งพวกเราหรือ”
คนฟังคล้อยตามอย่างว่าง่าย เขาลูบปลายคาง “นั่นสิ..”
อินทัชมองด้วยความเอ็นดูปนมันเขี้ยว อาศัยจังหวะอีกฝ่ายเผลอ ตั้งใจจะรวบตัวมากอด แต่ก็อ้าแขนวืดเมื่อพี่กุนต์เดินออกไปหยิบชุดนักเรียนของอ้นกับอุ้มมาเตรียมไว้ให้ เขาส่ายหัว ยิ้มอย่างระอาคุณพ่อเห่อลูก
“เสื้อผ้าชุดนักเรียนนี่ใครรีดให้น่ะ” กนธีก้มดูกลีบกางเกงคมกริบ
“ไอ้อ้นมันรีดเอง” อินทัชหยิบน้ำจากตู้เย็นไซส์เล็กมาให้เจ้าตัว
“อา..จริงด้วย ตอนนั้นที่เจอกันครั้งแรก น้องอ้นก็นั่งรีดผ้าอยู่” กนธีคิดแล้วยิ่งรักน้องทั้งสองคนเหลือเกิน เด็กดีอะไรขนาดนี้ ความภูมิใจของพ่อแม่ชัดๆ
“รักขนาดนี้ก็เอาไปเป็นลูกเลยดีไหมครับ”
เขาหันขวับมามอง ตาเป็นประกาย “ยกให้จริงหรือ”
อินทัชหัวเราะร่วน “จะให้ดีไหมนะ..” ทำทีเป็นครุ่นคิด
“คือ..ไม่ต้องยกให้ก็ได้ เดี๋ยวจะรู้สึกว่าพี่แย่งอ้นกับอุ้มไป” เขาลูบต้นคอตัวเอง ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี “แต่ว่าทางกฎหมาย..ถ้าได้ก็ดีน่ะนะ..”
ร่างสูงอมยิ้มมุมปาก “จะพูดอะไรกันแน่ครับคุณ”
กนธีเหลือบตามอง เลียบเคียง “พี่อยากขอรับอ้นกับอุ้ม..เป็นลูก” เขามองน้องที่เงียบไป ไม่ตอบอะไรกลับ “คือพี่เข้าใจว่ามันเซ้นซิทีฟ เพราะว่าเด็กๆจะเปลี่ยนมาใช้นามสกุลพี่ ทีนี้..นามสกุลของโอ๊ต..เอาไงดี..”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ” อินทัชยิ้มขัน
“จริงหรือ” กนธีมีความหวังขึ้นมา
เด็กหนุ่มยักไหล่ “ผมไม่ได้ยึดติดกับนามสกุลขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง..”
เขาหลุบตามองคนที่ดูตื่นเต้นดีใจท่าทางปิดไม่มิด ฉวยโอกาสทีเผลอ ดึงอีกฝ่ายมากักไว้ในอ้อมกอด พี่กุนต์ตัวแข็งไปชั่วขณะเมื่อเขาก้มลงกระซิบ
“ผมให้พวกมันไปใช้นามสกุลพี่ พี่เองก็มาใช้นามสกุลผมสิ..จะได้เจ๊า”
“ไอ้โอ๊ต~” กนธีเตะเข่าน้องตุบๆแต่มันไม่สะท้าน “หมายความว่าไง”
“เด็กใช้นามสกุลผู้ปกครอง” เขาพึมพำ “ภรรยาก็ต้องใช้นามสกุลสามี”
กนธีหันหน้าไปทางอื่น ร้อนวูบวาบไปหมดกับอ้อมกอดแข็งแรง
“ไหนบอกว่าโอ๊ตเป็นเมียพี่ไง ให้น้องไปประกาศขนาดนั้น”
อินทัชหัวเราะในลำคอ “ทางทฤษฎีผมเป็นเมียพี่”
กนธีตาพร่าพรายเพราะลมหายใจอุ่นๆที่รินรดข้างแก้ม
“แต่ในทางปฏิบัติ..พี่น่ะ..เป็นเมียผม”
“ฮื่อ..ไอ้เด็กเปรต”
อินทัชยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมทบทวนหน้าที่ของภรรยาให้เอาไหม”
คนฟังรู้สึกมึนเบลอ หัวใจเต้นตึกเมื่อใบหน้าคมเข้มโน้มลงใกล้ จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียอยู่สองข้างแก้ม กดจูบแผ่วเบาพร้อมกับหอมฟอด
“เมื่อไรจะใจอ่อนให้ผมรัก..” เขากระซิบเสียงพร่า แตะปากลงกับกกหู สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆเข้าเต็มปอด “คุณสามีอยากทำการบ้านจะตายอยู่แล้ว”
“หยุดเลย~” กนธีดึงผมมันแรงๆ เรียกเสียงหัวเราะชอบใจ
มีเสียงประตูห้องน้ำเปิด น้องอุ้มที่เปียกซ่กไปทั้งตัวเดินออกมาพร้อมกับพี่อ้นที่ยังหาวหวอดๆ กนธีเลยรีบผลักคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทาง
“พี่กุนต์จ๋า คืนนี้นอนกับพวกหนูไหม” อุ้มเดินโทงๆ อวดก้นเด้งดึ๋ง
“อยากให้นอนด้วยหรือครับ” กนธีผละไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้น้องๆ
อ้นหาวแล้วหาวอีก “พี่กุนต์นอนกับอ้นก็ได้ ให้พี่โอ๊ตนอนพื้นครับ”
อินทัชเขกกะโหลกน้องชายไปหน เขามันหมาหัวเน่าของแท้
กนธีหัวเราะเอ็นดู เช็ดตัวให้ทีละคน “สงสารพี่โอ๊ตน่ะสิครับ เอาไว้วันไหนอ้นกับอุ้มไปค้างที่ห้องของพี่สิ จะได้นอนกันสบายๆ ดีไหมครับ”
“เอาฮะเอา” น้องอุ้มรับปากแบบไม่มีการเล่นตัว
“เด็กดี” เขายิ้ม เอาแป้งเด็กมาทาตัวให้ “เป่าผมให้แห้งแล้วนอนซะลูก”
น้องๆรับคำว่าง่าย ผลัดกันเป่าผมให้แต่ละฝ่ายแล้วคลานขึ้นเตียง อุ้มที่พูดไม่หยุดทั้งวัน พอหัวถึงหมอนก็หลับผล็อยทันทีแบบไม่มีสัญญาณ
“ทำไมอ้นสุดหล่อของพี่ยังตาแป๋วล่ะ หืม..” ถามเด็กน้อยที่นอนมอง
“วันนี้ได้คุยกับพี่กุนต์นิดเดียวเองครับ” อ้นหาวอีกรอบ
“เอาไว้วันอื่นเราก็คุยกันได้ครับลูกชาย” กนธีลูบหน้าผากน้อง
“อ้นอยากไปเที่ยวกับพี่กุนต์อีก”
เขาเลยยกมือขึ้นสัญญา “พี่จะพาอ้นไปพิพิธภัณฑ์ให้ทั่วกรุงเทพเลย”
อ้นยิ้มตาปิด ส่งจูบปากจู๋ให้พี่กุนต์ก่อนพลิกตัวนอนตะแคง
กนธีรอให้เด็กๆหลับสนิทแล้วถึงตัดสินใจกลับคอนโด
“ไม่รอให้ผมหลับอีกคนก่อนหรือ” อินทัชที่กอดอกมองอยู่นานถามขึ้น
“ไอ้เด็กโข่ง ไม่นอนก็อย่านอน”
เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงเบา เดินไปส่งอีกคนตรงหน้าประตู พี่กุนต์ก้มลงใส่รองเท้า เขาถือเสื้อนอกไว้ให้ในขณะที่มองเจ้าตัวแทบไม่ละสายตา
“เอาล่ะ..สามทุ่มแล้ว พี่กลับก่อนนะโอ๊ต” กนธีหันมาบอก
อินทัชนิ่งอยู่ครู่ก็พยักหน้ารับ อดรู้สึกเหงาหงอยไม่ได้
ตอนที่กนธีแตะลูกบิดประตู เขาก็พูดขึ้น
“ผมเคยสงสัย..ว่าความรู้สึกของคนที่รักกันจนตัดสินใจแต่งงาน เพื่อจะมีกันและกันในทุกๆวันไปตลอดชีวิต..มันเป็นยังไง”
กนธีมองน้อง อยากรู้ว่าโอ๊ตกำลังจะพูดอะไร
“เราจะต้องรักเขามากแค่ไหนนะ ถึงได้อยากเข้านอนพร้อมกัน ตื่นมาพร้อมกัน ทำทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกัน มีอีกฝ่ายเป็นเสี้ยวหนึ่งของชีวิต”
ดวงตาของเขาไหวสั่น แทบกลั้นหายใจด้วยความหวัง
อินทัชขยับเข้ามาหา จ้องมองไม่ผละไปไหน
“ตอนนี้ผมรู้แล้ว..เข้าใจดีแล้ว”
“ว่าอะไรครับ..” กนธีพึมพำถาม มองเหม่อที่ริมฝีปากสีอ่อนของเด็ก
“ว่าผมอยากมีพี่กุนต์..มาเป็นอีกเสี้ยวของชีวิตผม”
“โอ๊ต..” ชายหนุ่มคราง
“พี่ไม่รู้สึกหรือครับ” เขาจับปลายผมข้างแก้ม “ไม่อยากเข้านอนพร้อมผม ตื่นมาเจอหน้าผม กินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันหรือครับ”
“อยาก..” กนธีตอบเสียงเบาหวิว หัวใจเต้นแรง
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับมาอยู่ด้วยกัน” อินทัชกระซิบ ใช้ปลายนิ้วไล้บนแก้มอย่างรักใคร่..หลงใหล “กลับมาหาอ้อมกอดของผมสักที”
เขาหลับตาลงเมื่อน้องโน้มเข้าหา ปากอุ่นร้อนแตะสัมผัสนุ่มนวล
“โอ๊ต..” กนธีเรียก “โอ๊ตของพี่..”
อินทัชขบกรามแน่น เขาดันตัวฝ่ายตรงข้ามชิดผนัง สองแขนกอดรัดช่วงเอว ลูบไล้แผ่นหลังพลางสอดมือเข้าใต้เสื้อเชิ้ตสีขาว ห้ามใจหนักหน่วงไม่ให้บีบเค้นแรงลงสะโพกแน่นตึงใต้กางเกงยีนส์เข้ารูป..เขาอยากรักกนธีจนจะบ้า
เด็กหนุ่มเลื่อนมืออีกข้างมาบีบปลายคางได้รูป แกล้งทำให้พี่กุนต์ร้องเบาๆ สบจังหวะให้เขาสอดลิ้นเข้าไป ดูดคลึงลิ้นอุ่นนุ่มของเจ้าตัวอย่างกระหาย
กนธีเอียงหน้ารับจูบหนักหน่วง สองแขนกอดบ่ากว้าง เขาเองก็จูบตอบน้องอย่างคนที่โหยหา จูบแบบนี้..รสชาติแบบนี้..ความร้อนที่แผดเผากันแบบนี้
..รัก..อินทัชคนเดียว..
พวกเขากอดกันและกันแนบแน่น และจากรสจูบที่รุนแรง รวดเร็ว ติดจะดุดันก็กลายเป็นการจูบที่เนิบช้าและอ้อยอิ่ง เหมือนหมอกควันที่ลอยผ่าน
กนธีขบกัดริมฝีปากบนของเด็กหนุ่ม และเขาก็ถูกปลายลิ้นร้อนนั่นโลมเลียกลับ นึกมันเขี้ยวจนต้องงับเรียวปากนั้นตอบเบาๆอย่างหยอกล้อ
“ไม่ใช่ลูกกวาดนะครับ..จะได้ทั้งดูดทั้งดึง” อินทัชแหย่
คนฟังหัวเราะ จูบลงบนซอกคอ กลิ่นน้ำหอมที่โอ๊ตใช้ เขาชอบจริงๆ
“ดึกแล้ว..” กนธีพึมพำ “ต้องกลับจริงๆแล้ว”
“ไม่อยากให้กลับ” อินทัชนวดคลึงกลางฝ่ามือ “พรุ่งนี้จะมาไหม”
“พรุ่งนี้ต้องไปงานแต่งเพื่อนรุ่นน้อง” เขาผละออกจากอ้อมกอด
“ไปกับใคร ที่ไหน มีเหล้าหรือเปล่า ถ้ากลับดึกบอกด้วย”
“ไปคนเดียว เพื่อนมันแต่งกันที่อยุธยา” กนธียิ้ม “คิดว่าคงกลับดึก มีเหล้าด้วยเพราะมันชวนอยู่อาฟเตอร์ปาร์ตี้ แต่จะพยายามไม่ดื่ม เอาแค่เบาะๆ”
อินทัชถอนหายใจ งานสังคมนี่มันเลี่ยงลำบาก “ถ้าถึงงานแล้วก็ช่วยแชร์โลเคชั่นมาด้วยครับ ปล่อยไปเอง ห่างตาแบบนี้ ผมเป็นห่วงพี่มากนะ”
“หลังจากนี้จะไม่อยู่ห่างตา ไม่ปล่อยให้ห่วงแล้ว”
“หือ?” ร่างสูงเลิกคิ้ว “พูดอีกทีสิครับ”
กนธีอมยิ้ม โยกหัวน้อง “ไปก่อนนะ แล้วค่อยเจอกัน”
อินทัชเดินออกมาส่งด้านนอก เขาว่าจะลงไปเป็นเพื่อนถึงรถ แต่พี่กุนต์บอกปัด เพราะพรุ่งนี้เขาต้องตื่นเช้าไปเรียนอีก นี่ก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลย
“พี่กุนต์..” เขาเรียกไว้ เจ้าตัวหันมามอง “ฝันถึงผมบ้างนะ”
กนธีหลุดยิ้มออกมา ทั้งหน้าร้อนผ่าว..จีบได้จีบดี คิดว่าได้ผลหรือไง
..ใช่..ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์เลย..
…………………………………………………….
วันนี้กนธีต้องไปงานแต่งงานของเพื่อนรุ่นน้องที่อยุธยา มันอายุสามสิบกว่าแล้วเพิ่งจะได้แต่ง แต่เขาว่าก็ไม่แปลกหรอก เดี๋ยวนี้ผู้ชายที่ไหนก็รอให้ฐานะพร้อมแล้วทั้งนั้น ดีเสียอีก การจะสร้างครอบครัวควรอาศัยวุฒิภาวะของทั้งสองคน
ชายหนุ่มตื่นสายเล็กน้อยเพราะวันนี้ว่างทั้งวัน ตั้งใจว่าช่วงบ่ายค่อยออก พอหยิบโทรศัพท์ดูก็เห็นว่ามีไลน์เข้าจากอินทัช ส่งมาอรุณสวัสดิ์ตั้งแต่ตีห้า
กนธียิ้มบาง ข้อดีของการมีความรัก ก็คือทำให้โลกรอบตัวสดใส แต่ว่าเหรียญมักมีสองด้าน ปัญหาที่มาจากความรัก เราเองก็ต้องหัดรับมือให้ดี เพราะไม่มีใครจะเลือกแต่ความสุขเข้าหาตัวได้ตลอดเวลา
..ในเมื่ออยากรัก ก็ต้องรู้จักปรับตัว รู้ให้เท่าทันสิ่งที่จะเกิด..
คนที่ชีวิตมีความสุข ไม่ใช่คนที่หนีเรื่องทุกข์ได้เก่ง แต่เป็นคนที่จัดการกับความทุกข์ที่เข้ามาได้ดี และรู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไรต่างหาก
กนธีพิมพ์ตอบกลับว่าอรุณสวัสดิ์ไปตอนเก้าโมงครึ่ง น้องกดอ่านแทบจะทันที คงอยู่ในคลาส แต่จับมือถือตลอด ถ้าอาจารย์ด่าจะสมน้ำหน้าให้
‘คิดถึงพี่จัง’
คนอ่านหัวเราะ รู้สึกถูกกระชากวัยกลับไปสมัยเป็นหนุ่ม..ตอนที่ถูกจีบครั้งแรก..โดนจีบจากคนที่มีใจให้ เหมือนโลกทั้งใบลอยในอากาศไปหมด
กนธีพิมพ์ตอบ ‘คิดถึงโอ๊ตเหมือนกัน’
อินทัชส่งสติ๊กเกอร์หมาคอร์กี้วิ่งวนด้วยท่าทางดีใจสุดขีดมาให้ ทำเอาเขานึกภาพหางที่กระดิกริกๆออกเลย..ทั้งตลก ทั้งน่าเอ็นดู
‘วันนี้ขับรถดีๆนะครับ อย่าใจร้อน ห้ามใช้มือถือ ถ้าจะคุยโทรศัพท์ก็ให้ใช้บลูทูธ ถ้าผมรู้ว่าพี่ดื้อ ผมจะจับฟาดก้นให้แดงเถือกเลย’
กนธียิ้ม เขารอคอยที่จะถูกเด็กมันสั่งแบบนี้มาตลอด การไม่มีช่องว่างระหว่างกันและกันช่วยให้ความสัมพันธ์แบบคู่รักแนบแน่นมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้จะเรียกร้องให้เราสองคนแนบสนิทจนไม่มีที่ให้หายใจหรอก
‘รับทราบครับพี่โอ๊ต พี่โอ๊ตก็ตั้งใจเรียน ถ้าอาจารย์ดุ พี่จะจับฟาดก้น’
ทางนั้นพิมพ์เลขห้ากลับมายาวเหยียด
‘จะไปเรียนแล้วครับ ถึงแล้วแชร์โลเคชั่นมาด้วยนะ’
‘แล้วก็อย่าดื่มจัดล่ะ ดูแลตัวเองหน่อย ที่ขอเยอะไม่ใช่ว่าอยากก้าวก่ายการใช้ชีวิตของพี่ แต่เพราะว่าผมเป็นห่วง อยากให้เราอยู่ด้วยกันนานๆ’
‘รักพี่กุนต์มากนะ..พี่เป็นหัวใจของผม’
กนธีถอนหายใจออกมาอย่างมีความสุข โอ๊ตมันพิมพ์รัวไม่ยอมให้เขาตอบเลย ไอ้เด็กคนนี้..เวลามันไม่รัก มันใจแข็งจนน่ากลัว พอมันรักขึ้นมา
..เขาก็แทบจะจมความรักของมันตาย..
“มีความสุขชะมัด” เขาพึมพำ ยิ้มอยู่ตัวคนเดียว
แดดตอนสายส่องผ่านม่านเข้ามา กนธีนั่งแช่อยู่สักพักก็ลุกขึ้นยืน เปิดระเบียงออกดูแสงของเช้าวันใหม่ สว่างจ้า..แต่ไม่ได้ทำให้ร้อนระอุ
เงาสะท้อนจากกระจกในกรอบรูปส่องเข้าตา กนธีหันมอง
ศรัณย์ยังยิ้มให้เขาเหมือนเคย..อยู่ ณ ที่แห่งเดิม
“ขอบคุณนะรัณย์..” กนธียิ้มให้คนรักเก่า “ขอบคุณ”
เขารู้ว่าศรัณย์เอาใจช่วยเขา ไม่ว่ารักครั้งใหม่ของเขาจะเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร หรือกับใคร ศรัณย์ก็จะอวยพรให้เสมอ..อวยพรให้มีชีวิตต่อไป
กนธีลูบลงบนภาพถ่ายในความทรงจำ
..ความรักของเรายังคงเป็นนิรันดร์..
.
.
.
ชายหนุ่มมาถึงโรงแรมใหญ่ในอยุธยาตอนหกโมงเย็น แขกคนอื่นเริ่มทยอยกันมาแล้ว เขาใส่ซอง เขียนอวยพรคู่บ่าวสาวและถ่ายรูปกับทุกคนไปเป็นสิบ
ช่วงที่ศรัณย์จากไป เขาหลบจากการพบปะเพื่อนฝูงอยู่นาน ปกติก็ไม่ค่อยเข้าวงสังคม พอมีแผลใจก็ยิ่งเก็บตัว แต่ตอนนี้เขากลับมายิ้มได้อย่างเดิม
กนธียังคงชอบไปงานแต่งงาน การที่คนรอบข้างรักกัน มันทำให้โลกนี้สดใสมากกว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนเกลียดกัน และการอยู่ท่ามกลางรอยยิ้มของความสุข มันก็ทำให้ตัวเรามีความสุขตามไปด้วย
เขาทักทายเพื่อนแต่ละคน พูดคุยเรื่องสมัยเรียน ชนแก้วกับพวกมันพอเป็นพิธีเพราะมีเด็กขอไม่ให้ดื่ม พอช่วงที่บ่าวสาวขึ้นเวทีก็มีใครบางคนโทรมา
“ว่าไงครับพี่โอ๊ต” เขาปลีกตัวออกมาคุยด้านนอก ตอนที่มาถึงเขาแชร์โลเคชั่นให้มันไปแล้ว น้องจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง “กินข้าวเย็นหรือยัง”
‘ยังพี่’ ปลายสายตอบกลับ ‘นี่งานเลิกกี่โมงครับ’
“ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะอยู่ฉลองกับพวกมันอีกหน่อย มีอะไรหรือ”
‘ผมกำลังไปหา’
กนธีนิ่งอึ้ง “อะไรนะ”
‘ขอโทษที่ไม่ได้บอกครับ ผมเข้าไปเอารถที่บ้านของพี่ แต่ให้คุณไผ่ช่วยโทรบอกป้าแม่บ้านก่อนแล้ว’ อินทัชพูด ‘กลัวพี่ดื่มมากแล้วจะกลับไม่ไหว’
“เฮ้ย..จะขับมาเองเลยหรือ” เขาเริ่มอยู่ไม่สุข “นี่อยู่ไหน”
‘กำลังเข้าถนนเอเชีย..รถวิ่งกันเร็วชะมัดเลย’
กนธีชะงัก ความกังวลพุ่งเข้าเกาะกุมใจ น้องเพิ่งขับรถเป็น ยังไม่แข็งนัก จะขึ้นทางด่วนหรือออกถนนใหญ่ เขาเป็นห่วงเหลือเกิน
..ห่วง..กลัวเรื่องจะซ้ำซ้อนกับศรัณย์..
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้นะโอ๊ต” กนธีสั่ง “ไม่ต้องมา พี่กลับเองได้”
‘ทำไมล่ะ นี่กำลังไปหาไง’
“โอ๊ต..” ใจเขาร้อนรน “กลับบ้านนะ พี่เป็นห่วง พี่..”
กนธีสูดลมหายใจเข้าลึก รับรู้ว่าปลายนิ้วเริ่มเย็น
“มารับหน่อย..ทำเพื่อพี่ได้ไหมรัณย์”
‘พี่กุนต์..’
“กลับบ้านเถอะนะ” เขาขอ เสียงเบาหวิว “ไม่อยากให้เกิดอะไรกับโอ๊ต”
‘อะไรจะเกิดกับผมล่ะ’ ทางนั้นถามอย่างอ่อนโยน
กนธีจับมือที่สั่นเล็กน้อยเอาไว้ ชั่ววูบหนึ่ง ภาพอดีตแล่นเข้ามาในหัว และมันก็ทำให้เขานึกกลัวจนหายใจไม่ออก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับน้อง ถ้า...
‘พี่กุนต์..ห่วงผมมากหรือ’
กนธีหลับตาลง “ห่วงสิ..ห่วงที่สุด”
‘ห่วงผมเพราะว่ารักผมใช่ไหม’ อินทัชถามอย่างล้อเลียน
“เจ้าเด็กโง่เง่า” ชายหนุ่มหัวเราะแผ่ว ไม่ว่าอะไรที่ทำให้เขาอมพะนำอยู่ ไม่ว่าจะนึกอยากแกล้งหรือถ่วงเวลาให้ไกลออกไป ขอให้สิ่งนั้นยุติลง
..แล้วซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองให้มากขึ้น..
..เพราะเวลาไม่เคยรอใคร..
“
รักครับ..รักพี่โอ๊ตมากนะ” กนธีกระซิบ กุมอกซ้ายผ่านเสื้อสูทที่สวม สัมผัสหัวใจที่เต้นแรง “รักมานานแล้ว..และจะรักเป็นคนสุดท้ายในชีวิตด้วย”
‘ว้าว..’ อินทัชทำเสียงเซอร์ไพรส์ ‘อยากเห็นหน้าพี่ตอนนี้จัง’
“เด็กโง่..ไม่ต้องมาหาหรอก กลับบ้านเถอะ พี่จะกลับเดี๋ยวนี้แหละ”
‘อีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วพี่ อย่าเพิ่งออกมา รอผมก่อน’ อินทัชตอบ ‘ผมจะวางสายแล้ว ไม่อยากคุยไปขับไป มันอันตราย’
“โอ๊ต..” กนธีคราง “ทำไมดื้ออย่างนี้”
‘ผมไม่เป็นอะไรหรอกพี่ จะขับระวังๆ’ น้องบอก ‘รักพี่กุนต์นะครับ’
คนฟังกำตัวเสื้อแน่น โอ๊ตตัดสายไปแล้ว แต่เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
..ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น..เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปชั่วชีวิต..
กนธีบังคับลมหายใจให้เป็นปกติ เขาบอกตัวเองให้เชื่อใจ นี่เป็นแค่อีกวันที่ต้องรอให้น้องมาหา ไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไรก็อย่าเอามาซ้อนทับปัจจุบัน
เขากลับเข้าไปในงาน ทำตัวให้วุ่นวายด้วยการเดินไปรอบห้องบอลรูมเพื่อปัดความวิตกกังวลทิ้งไป แต่ในช่วงที่พูดคุยกับคนมากมาย เขาสัมผัสได้ว่าระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงที่ต้องทนกับความเป็นห่วง มันยาวนานเหมือนครึ่งปี
เมื่อรู้แล้วว่าการต้องอยู่ห่างกันทำให้ทรมานขนาดนี้ แล้วคนเราจะมีทิฐิต่อกันไปทำไม กลับมารักกัน แสดงความรู้สึกต่อกันให้คุ้มค่าลมหายใจดีกว่า
..เราไม่รู้ว่ายังจะมีวันพรุ่งนี้อีกไหม..
..เพราะฉะนั้น รักกันวันนี้ ให้สมกับที่ได้มีวาสนามาพบเจอ..
กนธีเดินเลี่ยงออกมาจากงาน พลิกดูนาฬิกาข้อมือเรื่อยแต่ไม่กล้าโทรหา รถบนถนนใหญ่วิ่งเร็ว แล้วยังจะมีสิบแปดล้อที่ชอบวิ่งกลางคืนอีก
เขาคอยอย่างอดทน ข่มความกระวนกระวายของตนเอง
“นั่นกุนต์หรือเปล่า”
กนธีมุ่นหัวคิ้ว เสียงที่ลืมไปแล้ว คือเสียงของเพื่อนเก่า
เขาชะงัก รู้ว่าคงมีสักวันที่ได้กลับมาเจอกันอีก..เพื่อนในอดีตที่ใช้คำว่า ‘เพื่อน’ เป็นฉากบังหน้า แต่ไม่เคยแสดงความหวังดีกับเขาอย่างจริงใจ
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]