Chapter 53
นาฬิกาปลุกดัง กนธีที่หลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนตั้งแต่หัวค่ำค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น แขนซ้ายและขวามีน้องอ้นกับน้องอุ้มนอนหนุน ขดตัวซุกหาไออุ่นจากผ้าห่ม
กนธียิ้มบาง ไปจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จแล้วกลับมาปลุกน้องๆให้ตื่น
“ลูกชาย..” สายตาคู่นั้นอ่อนโยนและรักใคร่ “แปดโมงแล้วครับ”
เจ้าตัวเล็กสองคนยังงัวเงีย อ้นเป็นพี่เลยคลานลงจากเตียง หยิบเสื้อผ้าไปอาบน้ำแปรงฟัน ส่วนน้องอุ้มเพิ่งจะปรือตาลืมได้ข้างหนึ่ง น้องนั่งโงนเงน พิงอกพี่กุนต์ ปล่อยให้อีกฝ่ายสางผมที่พันกันจนยุ่งออกให้อย่างเบามือ
“พี่กุนต์จ๋า” อุ้มครางเหมือนลูกแมวเมื่อถูกจูบหัวเหม่ง
“ว่าไงคนดี” เขาก้มลงหอมแก้มยุ้ยเป็นพวง กลิ่นเต้าหู้หอมชื่นใจ
“เมื่อคืนหนูฝันถึงยายด้วย”
กนธีเงียบ น้องพูดจาประสาซื่อ เสียงเล็กๆบอกว่า ยายอยากกลับบ้าน
“ที่บ้านมีนาสีเขียวๆ” อุ้มเงยหน้ามองพี่กุนต์ “ลมเย้นเย็น ฟ้าก็สวยมากเลย เวลาฝนตก หนูกับพี่อ้นช่วยกันปิดหน้าต่าง ตอนกลางคืนช่วยพี่โอ๊ตกางมุ้ง”
กนธีกอดน้องอุ้มแน่น “คิดถึงบ้านกันหรือลูก”
อุ้มเบะปาก ยกมืออ้วนป้อมขึ้นเช็ดแถวดวงตา
“หนูคิดถึงยาย คิดถึงพี่โอ๊ต คิดถึงพี่อ้น คิดถึงพี่กุนต์ คิดถึงคุณอาไผ่ด้วย คิดถึงทุกๆคน อยากให้พวกเราอยู่ด้วยกันหมดเลย อยู่กันเยอะๆยิ่งดี”
“พี่เข้าใจครับ” เขาจูบไรผมอ่อน คลี่ปลายนิ้วนุ่มนิ่มมาแตะแก้ม “ตอนเด็กๆ พี่ก็อยากให้ทุกคนอยู่ด้วยกันหมดเลย อยู่กันให้พร้อมหน้าพร้อมตา”
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ถึงได้รู้ว่าร้องขอจนเกินกำลัง
..คนเราพบกันเพื่อจากลา..
น้องอ้นเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เด็กชายเลียบเคียงเข้ามาหา เจ้าหนูได้ยินน้องอุ้มกับพี่กุนต์คุยกัน ในความกังวลของน้องอุ้มคือคนที่รักจะหายจากไป และในความกังวลของอ้น ก็คือการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าความตายอีกครั้งหนึ่ง
..แต่อ้นไม่อยากร้องไห้ เดี๋ยวพี่ๆจะเป็นห่วง..
“น้องอุ้มไปอาบน้ำกัน” อ้นจูงมือน้องเล็กออกไป
กนธียิ้มตาม ลุกจากเตียงแล้วไปเตรียมข้าวเช้าให้เด็กๆ เป็นไข่เจียว ขนมปังกับผักสลัด น้ำเต้าหู้อีกคนละแก้ว เมื่อวานเขาไปรับน้องจากโรงพยาบาลมาค้างคืนด้วย วันนี้ตอนสายๆไผ่จะมาหา เขาฝากให้ช่วยดูแลน้องสองคน
“หนูอาบน้ำแล้ว” อุ้มเดินตุบตับมากอดรัดขาพี่กุนต์แล้วเอาแก้มแนบ “สดชื่นไหมครับ” เขายิ้ม หันมองน้องอ้นที่เสื้อเปียกชุ่มอีกคนเพราะไปยืนรอน้องคนเล็ก “โธ่..เป็นลูกแมวตกน้ำเลยลูกชายพี่”
อ้นยิ้มตายิบหยี จับน้องอุ้มปีนขึ้นเก้าอี้ก่อนจะมาช่วยพี่กุนต์ยกจานช้อนส้อมท่าทางขยันขันแข็ง กนธีมองเด็กน้อยที่รินน้ำเย็นใส่แก้วให้ครบทุกใบ แล้วเอาผ้ามาเช็ดรอยน้ำที่หกบนโต๊ะ ชายหนุ่มยิ้มด้วยความเอ็นดู
..ทำไมถึงได้เข้มแข็งกันอย่างนี้..
“ไม่ต้องทำก็ได้ครับ พี่ทำเอง”
“อ้นอยากช่วยพี่กุนต์ ยายบอกว่าเราต้องช่วยคนในครอบครัวครับ”
กนธีข่มความรู้สึกตื้นตันที่มาพร้อมกับคำพูดใสซื่อบริสุทธิ์นั้น
..เขาเป็นคนในครอบครัวของอ้นกับอุ้มใช่ไหม..
เขาทรุดตัวลงนั่ง รวบร่างเล็กมากอดแนบอกและกดจูบลงสองข้างแก้ม
“พี่รักพวกหนูมากนะ” เขาลูบหัวน้อง “รักเหมือนลูกชายของพี่จริงๆ”
อ้นมองผู้ใหญ่ตรงหน้า หนูน้อยยกสองมือขึ้นจับแก้มพี่กุนต์
“อ้นเห็นพี่กุนต์ไม่ค่อยยิ้ม พี่กุนต์ดูเหนื่อยมากเลย อ้นอยากช่วยพี่กุนต์ ถ้ามีอะไรไม่ไหว พี่กุนต์บอกอ้นได้นะครับ อ้นจะทำให้พี่กุนต์ทุกอย่าง” น้องบอกหนักแน่น “อ้นทำได้หมดเลยครับ อ้นล้างจานได้ อ้นรีดผ้า อ้นซักผ้า รดน้ำต้นไม้ ตอนนี้อ้นยังทำกับข้าวไม่ได้ แต่ถ้าโตกว่านี้ อ้นจะทำให้พี่กุนต์กินเองนะ”
กนธีน้ำตารื้น กอดน้องแน่น “ขอบคุณครับลูก..ขอบคุณ”
น้องอุ้มเห็นภาพที่พี่กอดกับพี่กุนต์ น้องเลยกระโดดตุบลงมาจากเก้าอี้แล้วเดินมากอดทั้งสองคนเอาไว้บ้าง กนธียิ้มรับ ใช้สองแขนโอบประคองเด็กๆไว้
“พวกหนูสองคนเป็นหัวใจของพี่นะลูกนะ..ไม่ต้องทำอะไรให้พี่ พี่ก็รักอ้น รักอุ้มมากที่สุดแล้วครับ” เขาจูบหน้าผากเด็กน้อยคนละครั้ง
“พี่กุนต์รักอ้นรักน้องอุ้มเยอะๆนะครับ” อ้นเงยหน้ามอง
“รักครับลูก..รักมากเลย”
“รักแล้วสัญญากับอ้นได้ไหมครับ”
กนธีเอียงหน้ามอง จับจ้องดวงตาคู่ใสที่เอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำ ตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ น้องอ้นก็ยกสองมือคู่น้อยขึ้นมาพนม คล้ายอ้อนขอ วิงวอน
“พี่กุนต์อย่าทิ้งพวกเราได้ไหมครับ”
“ลูกชาย..” เขานิ่งอึ้ง
“อ้นรู้ว่ายายจะไม่อยู่เหมือนแม่เหมือนพ่อ” น้องน้ำตาร่วงเผาะ “อ้นกับอุ้มจะเหลือแค่พี่โอ๊ต ที่จริงเราอยู่กันได้ครับ แต่ถ้าพี่กุนต์อยู่ด้วยตลอดไป อ้นกับอุ้มจะมีความสุขมากๆ..พวกเราคุยกันว่าจะเป็นเด็กดี จะไม่รบกวนพี่กุนต์..”
กนธีกลั้นน้ำตาไม่อยู่กับคำร้องขอตามประสาเด็ก
“ให้อ้นกับน้องอุ้มกับพี่โอ๊ต อยู่กับพี่กุนต์ด้วยได้ไหมครับ”
“พี่กุนต์จ๋า..อย่าทิ้งหนู” น้องอุ้มสะอื้น “หนูจะไม่ดื้อไม่ซน..”
กนธีรวบตัวน้องสองคนไว้แนบแน่น ลูบหลังลูบหน้าปลอบประโลมขวัญ “พี่ไม่ทิ้งอยู่แล้วลูก..ไม่มีวันทิ้งพวกหนูหรอกนะ” เขาจูบข้างแก้ม “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราจะเป็นครอบครัวกันตลอดไปนะครับ..เด็กดีของพี่”
เป็นธรรมชาติของเด็ก เมื่อคนที่รักห่างหายหรือตายจาก การเผชิญหน้ากับความสูญเสียย่อมสร้างความกังวลให้ไม่มากก็น้อย สิ่งที่ทำได้ คือให้ความมั่นใจว่าไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีคนอยู่เคียงข้าง..และพร้อมจะให้ความรักอยู่เสมอ
“พี่รักอ้นกับอุ้มมาก..มากจนหมดหัวใจเลย เพราะฉะนั้นพวกหนูไม่ต้องกังวลไปนะลูก” เขายิ้มให้เด็กๆ “ถึงมีวันไหนที่พี่เหนื่อย พี่ล้า พี่ท้อไปบ้าง แต่รักที่พี่มีให้หนูสองคนยังเหมือนเดิมนะครับ..พี่ไม่เคยถอดใจที่จะรักพวกหนูนะ”
น้องอุ้มวางคางเกยบนบ่าลาด อ้นเองก็เข้ามากอดด้วย พี่กุนต์พูดอะไรยากๆ ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในเมื่อยืนยันว่ารัก เด็กสองคนก็เบาใจลง
กนธีจัดแจงให้น้องกินข้าวเช้ากันจนเสร็จ ถามว่ามีการบ้านมาจากที่โรงเรียนไหม พอทำเรียบร้อยแล้วก็ช่วยสอนวิชาและทบทวนบทเรียนอีกครู่หนึ่ง
“อ้นสัญญาว่าจะเรียนให้เก่งครับ”
“หนูก็ด้วยฮะ” น้องอุ้มชูมือหรา
“พี่ขอบคุณสำหรับความตั้งใจครับ ความมุ่งมั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่พี่ก็อยากให้หนูเรียนกันอย่างมีความสุข การสอบได้ที่ดีๆเป็นใบเบิกทางให้ชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต” เขายิ้มให้ “พี่คงไม่ดีใจถ้าพวกหนูต้องเครียดกับการเรียนเพื่อเอาคะแนนดีๆกลับมาให้พี่ สำหรับพี่..พี่อยากให้พวกหนูเติบโตกันไปตามวัย เรียนบ้าง เล่นบ้าง เข้าสังคมได้ เท่านี้พี่ก็พอใจแล้ว”
“อ้นไม่อยากให้พี่กุนต์ผิดหวังในตัวอ้น”
“แค่เป็นอ้นกับอุ้มอย่างทุกวันนี้..พี่ก็ไม่เคยผิดหวังอยู่แล้วครับ”
น้องๆพยักหน้าหงึก จากนั้นก็ตั้งใจอ่านหนังสือเรียนกันต่อ กนธียิ้มระอา ส่ายหัวอย่างเอ็นดู ดูเหมือนว่าทั้งสองคนพยายามทำตัวให้ดียิ่งกว่าเดิมเพื่อจะได้มั่นใจว่าเขาจะไม่ผิดหวังและจะไม่ทอดทิ้งไปไหน
เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องให้ความรักความอบอุ่น พูดให้น้องๆเชื่อมั่นจนกว่าจะคลายกังวลลง ว่าการเป็นคนในครอบครัว เราไม่จำเป็นต้องพยายามเพื่อให้อีกฝ่ายยังคงรักใคร่ในตัวเรา..แค่เราเป็นเรา เท่านั้นมันก็เพียงพอ
ใช่แล้ว..ถ้าเป็นคนในครอบครัว เราไม่ต้องพยายามให้ใครมารักหรอก
..เลิกพยายามสักที..
มีเสียงเคาะประตู ก่อนที่พสิษฐ์จะโผล่เข้ามาในห้องรับแขก ร่างสูงยิ้มให้ ซื้อของกินมาฝากเด็กๆเพียบ พอน้องอุ้มเห็นอาไผ่ก็ร้องดีใจ วิ่งเข้าไปหา
“วันนี้ดูหนังกัน คุณอาซื้อการ์ตูนมาใหม่หลายเรื่องเลย”
เด็กๆร้องไชโย บรรยากาศผ่อนคลาย สดใสร่าเริงตามวัยมากขึ้น กนธีเห็นแล้วนั่งยิ้ม เขาบอกให้อาหลานคุยกันไปก่อน ตัวเขาจะไปชงน้ำหวานให้
พสิษฐ์นั่งคุยกับสองหน่อ สักพักก็เอาขนมออกมาขุนแล้วเปิดการ์ตูนให้ พอน้องนั่งกันเพลินๆ เขาก็ผละออกมา เดินไปหาพี่กุนต์ที่ยืนเหม่ออยู่ในครัว
“เป็นไงบ้างพี่” เขาถาม มองแก้วน้ำหวานที่ถูกคนซ้ำๆ
กนธีหันมอง หลุดจากภวังค์ “อ๋อ..อืม..รอแป๊บนึงนะ”
“ไม่ใช่น้ำหวาน ผมหมายถึง..พี่กับเจ้าโอ๊ตน่ะ”
คืนวันศุกร์..กนธีกลับมาคอนโดด้วยสภาพที่ไม่ค่อยจะไหวนัก ช่วงนี้เขามานอนค้างกับพี่ ผลัดกันดูแลเด็กๆ แล้วก็เผื่อแผ่มาดูแลคนแก่ที่มักจะฝืนสภาพตัวเองอยู่เนืองๆ เลยทันได้เห็นว่าคุณไผทเป็นคนมาส่งกนธีถึงหน้าห้อง
รอให้พี่ใจเย็น เขาก็เค้นถาม ถึงได้รู้ว่าพี่กุนต์ทะเลาะกับอินทัช อันที่จริงจะเรียกว่าทะเลาะได้ไหมไม่รู้ เพราะลุงเป็นคนไม่ชอบทะเลาะ เป็นพวกเก็บเงียบและนิ่งไปเลยมากกว่า มันดีอยู่อย่างที่ไม่ต้องระเบิดอารมณ์ ใช้คำพูดคำจาสาดเสียเทเสียใส่กัน แต่ก็เป็นข้อเสียไม่น้อยที่ไม่เปิดโอกาสให้ได้เคลียร์
“ตอนนี้ยังโกรธน้องมันอยู่ไหม” พสิษฐ์ยืนพิงเคาน์เตอร์ “ดีกันหรือยัง”
“พี่ไม่ได้โกรธ” กนธีถอนหายใจ “แกเห็นพี่เป็นคนไม่มีเหตุผลหรือไง พี่เข้าใจว่าน้องมันหลุดปากเพราะมันกังวล มันโกรธเพราะพี่ทำอะไรโดยพลการ”
“มันก็จริงนะ หลายอย่างพี่กุนต์หวังดี แต่ไม่ได้ถามว่าคนรับเขาเข้าใจในความหวังดีด้วยไหม” พสิษฐ์ไม่ได้เข้าข้างพี่ชาย
“อือ..พี่คงต้องปรับปรุงตัวเองแล้ว” เขายอมรับอย่างง่ายดาย
“ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่ว กลับไปคืนดีกันได้แล้วสินะ”
“พี่ไม่ได้โกรธ แต่ก็ยอมรับว่าเสียใจ” กนธียิ้มบาง “พี่เข้าใจโอ๊ตว่าพูดออกมาเพราะความไม่ตั้งใจ อารมณ์น้องไม่คงที่ เด็กที่กำลังจะสูญเสียคนสำคัญ คุมตัวเองได้ในระดับหนึ่งก็เก่งแล้ว พี่ไม่ได้คาดหวังให้น้องจัดการได้ทุกเรื่อง”
เขายืนเหม่อ นัยน์ตาแห้งผาก ไม่มีน้ำตาหลงเหลืออีก
“แต่ที่พี่เสียใจ..คงเป็นเพราะว่า ลึกๆแล้ว พี่ยังเข้าไม่ถึงคำว่าครอบครัวของโอ๊ต” กนธีก้มหน้าต่ำ “และถึงพี่จะเข้าใจโอ๊ตยังไง พี่ก็รู้ดีนะไผ่..ถ้าคนเราไม่มีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว เราจะพูดมันออกมาได้ยังไงกัน”
พสิษฐ์แก้ตัวแทนอินทัชไม่ได้จริงๆ เพราะเขาเองก็เห็นด้วย
“ท้ายที่สุด..พอเกิดเรื่องคับขันหรือมีเรื่องกระทบใจขึ้นมา สิ่งที่โอ๊ตหลุดปากให้พี่ได้ยินมันก็บอกให้รู้ชัดเจน..” กนธีพึมพำ “โอ๊ตไม่ได้เข้าใจพี่เลย”
เขารู้ว่าตนก้าวก่ายไม่เข้าเรื่อง แต่ในสิ่งที่เกิดขึ้น ในความน่ารำคาญที่ทำลงไป อินทัชเข้าใจเขามากพอจนมองทะลุลงไปเห็นข้อความแฝงนั้นไหม
..มองเห็นความรัก ความหวังดี ความห่วงใย ที่เขามีให้ทุกคนไหม..
ในขณะเดียวกัน เมื่อน้องไม่พอใจ เขาเข้าใจว่าน้องกำลังเครียด
เมื่อน้องหงุดหงิด ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เขาเข้าใจว่าน้องยังเด็ก
ความเข้าใจนี้ บางทีก็ไม่เกี่ยวข้องกับอายุ มันใช้เพียงแค่ ‘ใจต่อใจ’
..แล้วใจของอินทัช..ได้เข้ามาอยู่ในใจของเขามากน้อยแค่ไหนกัน..
“ไผ่..พี่เองก็เป็นแค่คนคนหนึ่ง เป็นมนุษย์ มีกิเลส ถึงผ่านโลกมามาก แต่พี่ก็ไม่ได้เข้มแข็งกับทุกๆเรื่อง ที่ผ่านมาพี่พยายามเพื่อเขา พยายามเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา พอเจอแบบนี้ ไผ่อนุญาตให้พี่เสียใจได้ไหม หรือเพราะว่าพี่อายุมากกว่า พี่ถึงเสียใจไม่ได้ ผิดหวังไม่ได้ ต้องรับมือให้ได้ทุกเรื่อง”
“ผมเข้าใจ..” พสิษฐ์เข้ามากอดบ่า “ถ้าเหนื่อยก็พักเถอะ..”
กนธียืนนิ่ง “พี่ยังเข้าใจในตัวโอ๊ตนะ และไม่ได้คาดหวังให้เขาต้องเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ไม่ได้หวังให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใคร หวังให้เขาเป็นเขา ส่วนพี่..จะรับได้ จะดำเนินต่อไหม ก็เป็นเรื่องของพี่”
ร่างสูงดึงตัวพี่ชายที่มีสีหน้าราบเรียบไปกอดแน่น
“สำหรับความรู้สึกที่มีให้เขา” กนธีหลับตาลง “พี่คงพอแค่นี้แล้ว..”
..จะไม่มีความพยายามใดๆอีกต่อไป..
…………………………………………………….
อินทัชหลับไปบนโซฟาทั้งที่ยังเปิดทีวีค้างอยู่ เมื่อคืนเขาหลับๆตื่นๆ กังวลหลายเรื่อง พอตีสามกำลังจะนอน ยายก็ละเมอเพ้อหาตา เขาต้องไปนั่งข้างเตียงและกุมมือแกไว้อยู่ตลอด ยายลืมตาขึ้นมอง แกเห็นว่าเป็นเขาก็หลับลงไปใหม่อีกหน
สุดท้ายกว่าจะได้นอนก็เกือบเช้า ถึงอย่างนั้นก็หลับได้ไม่สนิท ต้องตื่นบ่อยครั้งเวลาพยาบาลเข้ามาดูอาการ เพิ่งได้งีบสนิทดีเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วนี่เอง
ขนาดเด็กอย่างเขายังล้าจนแทบทนไม่ไหว แล้วพี่กุนต์ที่ต้องคอยดูแลยายติดต่อกันหลายวันเวลาเขาไปเรียนจะเหนื่อยแค่ไหน ญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ ถ้าไม่มีใจห่วงใยกันเหมือนเป็นลูกหลาน ใครจะมาทำให้เล่า
..เขาพลาดไปแล้วจริงๆ..
อินทัชคิดหลายอย่างด้วยความกลัดกลุ้ม สักพักก็เคลิ้มหลับ มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่เสียงทีวีในห้องเงียบลง เขากำลังสะลึมสะลือ ลืมตาไม่ขึ้น
สัมผัสอุ่นร้อนของใครบางคนค่อยๆดึงผ้าที่กองตรงปลายเท้าขึ้นมาห่มให้ถึงอก สักพัก..ฝ่ามือนุ่มละมุนข้างหนึ่งก็ลูบลงบนศีรษะของเขาอย่างอ่อนโยน
เด็กหนุ่มปรือตามอง พอเห็นว่าเป็นกนธี ฝ่ายนั้นก็ผละออกไป เจ้าตัวหันหลังให้แต่ช้ากว่าเขาที่รีบลุกไปคว้าข้อมือ
“พี่กุนต์” เขาเรียก ดึงแขนไว้แน่น
เมื่อวานตอนพี่กุนต์มารับอ้นกับอุ้ม เขาไม่ได้คุยอะไรเพราะปาลินอยู่ด้วย กนธีอยู่ไม่นานก็ขอตัวกลับไปพร้อมกับน้องของเขา
“พี่ครับ..” เขาลุกตาม เข้าไปโอบช่วงเอว
กนธีตบหลังมือคนด้านหลังเบาๆ “เมื่อคืนได้นอนหรือเปล่า ถ้าง่วงก็ไปงีบต่อเถอะ เดี๋ยวพี่คอยดูคุณยายให้เอง”
“ผมไม่เป็นไร” เขาพูดเนือยๆ ยอมรับว่าล้า การเฝ้าคนไข้อาการหนักที่มีแต่จะทรุดลงไปเรื่อยๆไม่ได้ง่ายเลย “พี่กินอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ โอ๊ตล่ะ”
“มาม่า” เขาโคลงหัว “เบื่ออาหาร ไม่รู้จะกินอะไร”
กนธีหัวเราะ ไม่ได้พูดคุยเล่นหัวอย่างเคย “ไปพักไป”
“พี่กุนต์” อินทัชไม่ยอมให้อีกคนเดินหนี เขาขยับเข้าหาคนที่ยืนนิ่ง วางคางเกยบนไหล่ สองแขนโอบรัด ดึงร่างนั้นไว้แนบอก “ยังโกรธผมอยู่ไหม”
“ทำไมคิดว่าพี่โกรธ”
“ผมปากไม่ดี” เขาพูดเสียงอ่อน “ผมขอโทษ..”
“พี่ไม่ได้โกรธโอ๊ต” ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้า ลูบผมน้อง “ไม่เคยโกรธ”
“จริงหรือเปล่า”
“จะมีก็แต่..เสียใจเท่านั้น”
อินทัชเงียบกริบ คว้ามือกนธีมากุม “ผมขอโทษ”
“พี่สิต้องขอโทษ” เขาถอนหายใจ เลี่ยงไปนั่งที่โซฟา “หลายครั้งพี่ทำอะไรเอง ไม่ถามความเห็นเรา ไม่รอให้เราได้ตัดสินใจ พี่ไม่ทันคิดว่ามันก้าวก่าย”
..เผลอนึกไปว่าการคิดแทนคนในครอบครัวเป็นเรื่องที่ใครๆก็ทำ..
“พี่ไม่ได้ตั้งใจ..ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” อินทัชพึมพำ “ผมเองก็ไม่ดีที่ต่อว่าพี่”
“นั่นก็เพราะโอ๊ตไม่ชอบที่พี่ทำใช่ไหมล่ะ”
เขานิ่งไป กระทั่งพี่กุนต์ถามย้ำถึงได้ตอบ ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆไหนๆแล้ว ถือเสียว่าได้เคลียร์ ได้คุยเรื่องที่ค้างคาใจ “มันก็ใช่..ผม..ไม่ค่อยชอบนัก” เขายอมรับโดยดี “แต่ว่า..มันก็ไม่ได้หนักหนา แค่อยากให้ถามความเห็นกันบ้าง และกับเรื่องสำคัญ ผมอยากให้พี่บอกผม เคารพการตัดสินใจของผมด้วย”
คนฟังพยักหน้ารับ “มันจะไม่มีอีกแล้ว..รับรองได้”
อินทัชเงยหน้ามอง “เกลียดผมหรือยัง”
เขาเลิกคิ้ว “พี่น่ะหรือจะเกลียดเรา”
“ผมไม่รู้” พักนี้พี่กุนต์นิ่ง..นิ่งมากจนเขาหวั่นใจ และนึกกลัว
สำหรับเขา ความสัมพันธ์คือการสานต่อ ดำเนินต่อไปเรื่อยๆแม้มีอะไรง่อนแง่น หากมีส่วนไหนที่หักพัง เขาก็พร้อมที่จะซ่อม จะเยียวยาให้กลับมาใช้ได้ใหม่..ให้พวกเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม
..ต่อให้เสียหาย ทรุดโทรมอีกกี่ร้อยครั้ง เขาก็ยังจะซ่อมแซมมัน..
แล้วพี่กุนต์ล่ะ พร้อมจะฟื้นฟูทุกความสัมพันธ์ไปด้วยกันกับเขาไหม
หรือจะวางมือ ผละถอย ทอดทิ้งมันไปแล้วสะบั้นทุกเรื่องราวให้จบลง
กนธีมองหน้าคนที่นั่งเงียบ “พี่ไม่เกลียดเราหรอกเด็กน้อย” เขายิ้มให้อย่างเคย “ความรู้สึกที่พี่มีให้เรา ตอนนี้มันก็ยังเหมือนเดิม”
..เพียงแต่..พี่ตัดสินใจจะไม่ปล่อยให้มันเพิ่มมากไปกว่านี้..
..ไม่ได้รักลดลง..แต่ก็ไม่ได้รักมากขึ้น..
หยุดเพื่อคิดทบทวน เผื่อว่าบางที..เขาอาจจะก้าวถอยไปทีละนิด
อินทัชมองตากนธี เขาควรจะดีใจที่พี่กุนต์บอกมา แต่ทำไม..ความรู้สึกนั้นกลับไม่ให้ความมั่นใจ มั่นคง หรืออบอุ่นอย่างเดิม มันวูบโหวง ว่างเปล่าสิ้นดี
“พี่กุนต์” เขาเรียกคนที่นั่งก้มหน้า ดึงปลายนิ้วไว้แน่น “ผม..รักพี่นะ”
กนธีเงยมอง ดวงตามีแววประหลาดใจวูบหนึ่ง..ก่อนกลับมาเป็นปกติ
“ไม่ได้พูดเพื่อให้ยายสบายใจหรอกหรือ”
อินทัชครางในลำคอ คิ้วเข้มขมวดแน่น “ไม่ใช่”
..เขาพลาดไปเสียแล้ว..พลาดมากจริงๆ..
..พลาดทุกอย่าง พลาดที่ใจเย็น ปล่อยเวลาไว้จนป่านนี้..
เขาประสานปลายนิ้วลงกอบกุมฝ่ามือของคนตรงหน้า “ผมเคยบอกรักพี่ไปแล้วครั้งหนึ่ง..คืนนั้นตอนที่เรา..” ปลายจมูกเขาเป็นสีแดงเข้ม “แต่ว่าพี่ไม่ได้ยิน” เด็กหนุ่มสารภาพหมดทุกอย่าง “ตอนเช้า..ผมตั้งใจบอกอีกที แต่ว่าผมไม่อยากให้พี่คิดไปว่าผมบอกรักเพราะเพิ่งได้รถเป็นของขวัญ”
กนธีบีบมือตัวเอง กระบอกตาร้อนผ่าว
“หลังจากนั้น ผมตั้งใจจะหาจังหวะดีๆบอกรักพี่แต่ก็ไม่สบโอกาสอยู่เรื่อย แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ผมก็ขอยืนยันว่ารักพี่จริงๆ..”
กนธีพยักหน้ารับ ภาพเบื้องหน้าเลือนรางไปด้วยหยดน้ำที่เอ่อคลอ สิ่งที่กลั่นขึ้นในดวงตานั่น..มาจากความรู้สึกที่ผสมรวมกันไปอย่างสับสนปนเป
แต่ในความวุ่นวาย ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุด คือความตกใจ
..ตกใจที่ตัวเขา..ไม่รู้สึกรู้สากับคำว่า ‘รัก’ นั้นเลย..
กนธีหลับตาลง สัมผัสเสียงในอกที่เต้นเร่าด้วยความตื่นเต้นยินดีอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้น..ทุกอย่างก็พลันหดหาย กลายเป็นความจืดจาง ชืดชาเข้ามาแทน
..ไม่ดีใจ..ไม่มีความสุข ไม่ได้มีความทุกข์ หรือยิ้มได้เพราะสมหวัง..
หัวใจเขา..มันนิ่งเย็น และเฉยเมย
คล้ายกับความเจ็บปวดที่เกาะเป็นตะกรัน..ทำให้ก้อนเนื้อนั่นด้านชาไป
น้ำตาหยดหนึ่งเอ่อล้นลงมา
..ไม่ได้ดีใจที่ได้เป็นที่รัก..
..แต่เสียใจ..ที่ไม่ได้รู้สึกยินดีกับการ ‘ได้เป็นที่รัก’ อีกแล้ว..
“พี่กุนต์..” อินทัชเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตานั้นให้ “เป็นอะไร”
กนธียิ้มเพียงน้อย เขากุมฝ่ามือใหญ่ไว้แนบแก้ม “ขอบคุณนะ” เขาจับจ้องใบหน้าอ่อนวัยของเด็กหนุ่ม ยิ้มให้น้องเหมือนที่ผ่านมา
วันแรกยิ้มให้ผู้ชายคนนี้อย่างไร วันนี้..เขายังยิ้มให้อย่างเคย
“ขอบคุณ..”
อินทัชนิ่งอึ้งเมื่อพี่กุนต์ลุกขึ้นและเดินออกไป เสี้ยววินาทีที่คนตรงหน้าผละจาก ความอบอุ่นที่ติดตรึงอยู่กับเขาก็จางหายไปเช่นกัน
ความรู้สึกของพวกเราสวนทางกัน..และมันคงสายเกินไป
..หรือเป็นเพราะคำว่า ‘รัก’ นั้น..มันยังไม่เพียงพอ..
…………………………………………………….
[ต่อด้านล่าง]