.
.
.
หกโมงกว่า กนธีขับรถพาอินทัชไปที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่านเจริญกรุง ระหว่างทาง เขาเปิดเพลงของ Bee Gees ฟังไปด้วย และอินทัชก็ถือโอกาสฮัมตามอย่างอารมณ์ดี
“ชอบร้องเพลงจริงๆนะ”
“หายเครียดดีครับ..ผมชอบเพลงนี้” อินทัชยิ้ม เคาะนิ้วกับประตูรถ “Smile an everlasting smile. A smile can bring you near to me. Don't ever let me find you gone. 'Cause that would bring a tear to me.”
กนธีฟังเสียงนุ่มรื่นหู เขานึกถูกใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน ใครจะรู้เล่า ว่าหลังจากวันที่ได้เจอเด็กหนุ่มบนเวที อินทัชจะเข้ามาอยู่ใกล้ชิดเขาขนาดนี้
“Right now there'll be no other time. And I can show you how, my love” ร่างสูงร้องคลอ หันมามองคนด้านข้าง “Talk in everlasting words. And dedicate them all to me. And I will give you all my life. I'm here if you should call to me.”
กนธียอมรับว่าหวั่นไหวกับแววตาคู่สวยที่กึ่งเศร้าปนเว้าวอนของอินทัช แค่คำว่า My Love กับ I will give you all my life ก็ทำให้เขาแทบจะพ่ายแพ้ต่อน้ำเสียงออดอ้อนนั่นได้แล้ว
..ให้ตายเถอะ..เด็กมันก็แค่ร้องเพลง..
“You think that I don't even mean. A single word I say. It's only words, and words are all I have” อินทัชทอดเสียงลง “to take your heart away.”
คนอายุมากกว่าเสมองไปทางอื่น ปกติเขาก็ไม่ค่อยได้สนใจวิธีร้องเพลงจีบกันของวัยรุ่นอยู่แล้ว แต่มาเจอเข้าแบบนี้ เขาเป๋ไปชั่วขณะจริงๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าอินทัชร้องอย่างซื่อๆ ไม่ได้มีความหมายแอบแฝง แต่ใจมันก็สั่นคลอนตามไปด้วยจนได้
..ไม่ได้เรื่องเลย..มาเสียคนเอาตอนสี่สิบนี่เอง..
“เป็นไงครับ เพราะไหม” อินทัชยิ้มแก้มบุ๋ม “ห่างเวทีมานาน พี่ว่าคุณไผทเขาจะโอเคกับผมหรือเปล่า”
“แน่นอนอยู่แล้ว” กนธียิ้มรับ กลับมาตั้งสมาธิกับการขับรถใหม่
“ลีลาผมโอเคไหม ท่อนนี้ดีพอหรือยัง” เขาถาม “It's only words, and words are all I have......to take your heart away.”
“เออ..เพราะแล้ว ดีแล้ว ใจพี่เกือบจะปลิวตาม” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ
“หืม” อินทัชเลิกคิ้ว “พี่กุนต์ของผมใจอ่อนง่ายขนาดนี้เลยหรือ..แบบนี้ก็จีบไม่ยากสิ”
กนธีกระแอมแก้เก้อ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้จีบง่ายหรอก แต่บอกไปก่อนหน้าแล้วว่า ‘ชอบ’ ถ้าคนที่ชอบมาทำอะไรแบบนี้ใกล้กัน มันจะไม่รู้สึกอะไรเลยได้ยังไง
น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน ประสาอะไรกับหัวใจอ่อนๆของคนเรา
อินทัชเข้ามาใกล้ชิด มาดูแล แสดงความจริงใจให้เห็น มาเปลี่ยนความหนาวเย็นให้กลายเป็นความอบอุ่น เปลี่ยนความจืดจางชืดชาให้กลายเป็นรสที่อ่อนหวานนุ่มนวลกว่าเก่า ด้วยเหตุนี้แล้ว เขาย่อมรู้สึกเอนเอียงตามไปเป็นธรรมดา
เขายอมรับจากใจจริงว่าชอบอินทัชมากกว่าเด็กคนอื่นๆที่เคยเลี้ยงดู..ชอบมากจนไม่รู้จะพูดอย่างไร
..ก็ได้แต่ปรามใจตัวเอง..
“ว่าไงล่ะครับ” อินทัชแหย่ “จีบง่ายหรือเปล่า”
“จีบไม่ยาก แต่ก็ไม่ได้ง่าย” กนธีว่ายิ้มๆ “ทำไม? เปลี่ยนใจจะจีบพี่หรือ”
อีกคนหัวเราะร่วน “แซวเล่นพี่”
เขาได้แต่ยิ้มขัน ผ่านไฟแดงข้างหน้าก็จะถึงแล้ว เลยบอกให้เด็กเลิกวอร์มเสียง เดี๋ยวจะแหบเสียก่อน
ตอนที่เลี้ยวรถเข้าไปจอด เขาเห็นคุณไผทยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว พอดับเครื่องยนต์ได้สนิทดี ร่างสูงก็เข้ามาเปิดประตูรถให้ ไผทยิ้มกว้างอวดฟันขาววับตัดกับผิวเนื้อสีแทน ต่างหูแบบห่วงที่เคยใส่ ตอนนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นจิวสีดำ ให้บรรยากาศผู้ชายตัวร้ายที่ซุกซน
“เชิญครับคุณกุนต์” ชายหนุ่มผายมือ “โต๊ะของเราอยู่ริมน้ำ ผมสั่งอาหารเอาไว้ให้แล้ว”
อินทัชเดินตามมาทีหลัง เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาด้วยซ้ำ อันที่จริงคือไม่ได้ถูกทักทายเลยมากกว่า ดังนั้นมือที่เตรียมจะยกขึ้นไหว้คนเป็นผู้ใหญ่เลยถือค้าง
กนธีหันมามองคนด้านหลัง เขาชะลอฝีเท้าเพื่อให้เด็กหนุ่มตามทัน พออินทัชเข้ามาใกล้ เขาก็ยกมือขึ้นโอบบ่ากว้างเอาไว้พลางเรียกไผทและแนะนำตัวแทน
“นี่โอ๊ตครับคุณไท” เขาบอก “แล้วก็นี่คุณไผท เป็นเพื่อนของพี่เอง”
อินทัชยกมือไหว้ มองคุณไผทที่พยักหน้ารับแล้วยิ้มให้เล็กน้อย
“น้องเขาอยู่ปีหนึ่ง กำลังจะขึ้นปีสองครับ ที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าเขาจะเปลี่ยนงาน”
“พอจำได้” ไผทยิ้มบาง “มาสิไอ้หนู..กินข้าวด้วยกัน”
อินทัชเลิกคิ้ว..เขาโตขนาดนี้ยังเรียกว่า ‘ไอ้หนู’ อีกหรือ
ที่โต๊ะอาหาร ไผทเชิญให้กนธีเข้าไปนั่งด้านในสุด ตามด้วยตัวเขาอีกคน ส่วนอินทัชถูกจัดที่ให้นั่งตรงข้ามคนเดียว ระหว่างมื้อค่ำมีแต่การพูดคุยของคนสองคน คนที่อายุน้อยที่สุดเลยได้แต่เขี่ยกับข้าวไปมาแล้วก็กินเงียบๆตามลำพัง นานครั้งถึงจะมีคำถามเกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งก็มักจะเกิดขึ้นเพราะพี่กุนต์เป็นคนเปิดประเด็นก่อน
ต่อให้มองในแง่ดีแค่ไหน อินทัชก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่เป็นที่สนใจของเจ้าของร้านเท่าไรนัก
“รสชาติอาหารเป็นไงครับ” ไผทพาดมือไปที่เก้าอี้ของคนข้างกาย “พ่อครัวชุดเดิมนะ คิดว่ามีอะไรต้องปรับปรุงไหม”
“อร่อยดีครับ แค่ว่าบางจานอาจจะจืดไปบ้าง แต่ถ้าเน้นลูกค้าฝรั่ง ผมว่ารสนี้ก็กำลังดี” กนธียกน้ำขึ้นดื่ม พอหมดแก้ว คุณไทก็รับไปตักน้ำแข็งและรินน้ำเปล่าให้เสร็จสรรพ
“ทานของหวานไหมครับ” ไผทยื่นเมนูให้
“ไม่ไหวแล้วคุณไท ท้องจะระเบิด”
“ถ้าอย่างนั้นผมสั่งผลไม้ให้ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มบอกก่อนหันมาทางเด็ก “เอาอะไรเพิ่มไหมไอ้หนู”
อินทัชส่ายหัว เขาตอบในใจว่า ถ้าจะขออะไรเพิ่ม ก็คือขอให้หมอนี่เลิกเรียกเขาว่าไอ้หนูเสียที
กนธีรับผลไม้จานใหญ่มาจากพนักงานเสิร์ฟ เขากินแตงโมเข้าไปชิ้นหนึ่งแล้วถึงพูดเข้าเรื่องเพราะเห็นว่าอินทัชเริ่มจะหันไปสนใจแต่วิวแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเดียวแล้ว
“คุณไทบอกว่าสนใจเรื่องที่จะให้โอ๊ตมาช่วยร้องเพลงที่ร้านใช่ไหม” กนธีเกริ่น “น้องเขาเล่นดนตรีเก่งนะ เล่นกีต้าร์ได้ เปียโนก็ได้ เสียงเพราะมาก ปกติที่ผมเคยฟังจะเป็นเพลงฝรั่งยุคพวกเราเนี่ยแหละ”
“ยุคพวกเรานี่ยังไงหรือ”
“ยุคคนแก่” กนธีหัวเราะ
“ผมยังหนุ่มครับ” ไผทยักไหล่ “ใครจะไปยอมแก่..จริงไหมไอ้หนู”
อินทัชเคี้ยวเมล็ดแตงโมลงท้อง ที่จริงต้องคายออกมา แต่ถ้าเขาคาย เขากลัวจะกลายเป็นการพ่นทิ้ง
“เอาเป็นว่า เพราะหรือไม่เพราะ ต้องพิสูจน์” ไผทพยักพเยิด “เห็นเวทีตรงนั้นไหม ลองร้องเพลงโชว์หน่อย”
เด็กหนุ่มรับคำ เขาเดินตรงไปอย่างไม่อิดออด ตอนนี้มีแขกอยู่พอสมควร บางคนก็มองเขาว่าขึ้นไปทำอะไร พอเห็นว่าเขาลากเก้าอี้มานั่งด้านหน้า ยกไมค์ด้านข้างมาวางตามด้วยการหยิบกีต้าร์โปร่งขึ้นมาพาดตัก แต่ละคนก็หันมาให้ความสนใจ
อินทัชเคาะไมค์ดูว่าเสียงเข้า จากนั้นก็เทสเครื่องดนตรี ปรับสายให้เสียงไม่เพี้ยน
ปลายนิ้วยาวเริ่มดีดเป็นทำนองเพลง แขกคนอื่นที่กินข้าวละสายตาขึ้นมอง บางคนก็ปรบมือให้เมื่อจำเพลงได้
“It's late in the evening; she's wondering what clothes to wear.” เสียงทุ้มต่ำทอดอ่อนโยน ดวงตาหลับพริ้ม ปล่อยอารมณ์ตามเสียงเพลง “She puts on her make-up and brushes her long blonde hair.”
กนธีนิ่งไปอึดใจ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะร้องเพลงนี้
..เพลงเมื่อครั้งแรกที่ได้เจอกัน..
“And then she asks me, Do I look all right?” อินทัชยิ้มบาง เขาเงยหน้าขึ้น มองตรงมาที่ใครบางคน “And I say, Yes, you look wonderful tonight.”
ไผทกอดอก เหลือบมองเพื่อนใหม่ของเขาที่ยกน้ำขึ้นดื่ม หากสายตาไม่ละไปจากเด็กหนุ่มเลย
“We go to a party and everyone turns to see. This beautiful lady that’s walking around with me. And then she asks me, Do you feel alright?” เขายิ้มให้พี่กุนต์ “And I say, Yes, I feel wonderful tonight.”
กนธีรู้สึกร้อนบางๆที่หน้า หากถามว่าอะไรคือจุดเด่นในตัวอินทัช..ก็คงจะเป็นดวงตาคู่นั้นเอง
“I feel wonderful because I see the love light in your eyes. And the wonder of it all is that you just don’t realize....” นัยน์ตาสีเข้มดูคมปลาบ “....how much I love you”
ไผทเคาะนิ้วกับโต๊ะ สีหน้าเฉยเมย ผิดกับคนข้างตัว รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยที่คุณกุนต์สนใจเด็กคนนี้ชัดเจน จะว่าไป เจ้านั่นเล่นดี ร้องเพลงเพราะอยู่หรอก แต่เขาว่ามันขัดหูขัดตาพิกล
“I say, my darling, you were wonderful tonight.” อินทัชทอดเสียงอ้อน ละมือออกจากกีต้าร์ “Oh my darling.....you were wonderful tonight.”
มีเสียงปรบมือจากแขกในร้าน เขายิ้มรับ ก้มหัวให้และบอกขอบคุณ
ไผทลุกขึ้นยืน เขาเดินไปตรงเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม กนธีเห็นเลยตามไป อีกฝ่ายสั่งค็อกเทลให้เขาและชวนนั่งตรงเก้าอี้บาร์ เจ้าตัวรับ Daiquiri เหล้ารัมผสมกับมะนาวและน้ำตาลมาจากบาร์เทนเดอร์ ลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยกขึ้นดื่มเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
อินทัชตามเข้ามาสมทบ คิดว่าอย่างไรเสียก็ไม่ได้ทำให้พี่กุนต์ขายหน้าแน่ หากยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม คุณเจ้าของร้านก็เปิดประเด็นขึ้นมาก่อนทันที
“นี่ร้องเพลงมานานแค่ไหนแล้ว”
เขานิ่งไปนิด “ประมาณปีกว่าครับ”
“นอกจากกีต้าร์ เปียโน มีอย่างอื่นอีกไหม” ไผทยกวิสกี้ขึ้นดื่ม
“สองอย่างครับ แต่ถ้ามีเวลาว่างก็ว่าจะหัดเพิ่ม”
“หัดเพิ่มก็ดีนะ จะได้มีความสามารถหลากหลาย ไม่น่าเบื่อจำเจ”
อินทัชมองพี่กุนต์ที่พยักหน้าให้ยิ้มๆ เขาเลยตอบรับในลำคอ อะไรที่พี่กุนต์เห็นด้วย เขาก็เห็นด้วยเหมือนกัน
“แล้วคืนนี้ผมร้องเป็นยังไงบ้างครับ” ว่ากันตามจริง เขามั่นใจในเสียงตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ที่ถามแบบนี้ไปก็เพื่อมารยาททางสังคม
“ก็ว่าจะพูดอยู่..” ไผทกอดอกมอง มือข้างหนึ่งโคลงแก้วไปมา “ร้องมาตั้งปี..ประสบการณ์ก็น่าจะพอควร แต่เสียงมีแค่นี้หรือ”
คนฟังชะงักค้าง หันไปมองพี่กุนต์ที่ดูงุนงงอยู่บ้าง
“พี่ว่ามันเบา ไม่มีพลัง เหมือนแมวตัวน้อยไปหน่อย” เขายักไหล่ “แต่ก็โอเคนะ พอฟังได้”
อินทัชนิ่งไปอึดใจ จากนั้นสีหน้าคาดไม่ถึงก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เขาน่ะหรือร้องเพลงเหมือนแมว? ร้องแล้วแค่พอฟังได้? อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยว่ะ ถ้าให้นึกย้อนขึ้นมา เขามั่นใจว่าเขาร้องเพราะกว่าไอ้หมอนี่ตอนงานสงกรานต์ก็แล้วกัน นั่นน่ะ..เสือคำรามตอนบาดเจ็บ ไม่ใช่การร้องเพลงหรอก
“เพลงไม่ใช่แนวร็อคนี่ครับ ผมจะตะเบ็งก็คงประหลาด” เด็กหนุ่มตอบกลับ “ตอนร้องที่เก่า ผมก็เน้นร้องแนวป็อป ส่วนใหญ่มีแต่เพลงช้า มันเข้ากับบรรยากาศดี”
กนธีหัวเราะเบาๆ “อันที่จริง ถ้าอยากให้มีพลัง คงต้องไปฟังพวกโอเปร่านะคุณไท ในร้านอาหาร โทนเสียงแบบนี้ ผมว่าฟังแล้วอยากกินข้าวมากกว่า”
ไผทขำตาม “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แค่คิดแล้วก็พูดตามความจริง”
อินทัชกดเสียง ‘หึ’ ให้อยู่แค่ในลำคอ
..เขาว่าไอ้หมอนี่ต้องไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นการส่วนตัวแน่นอน..
“โอเค..พี่อาจจะมีทัศนคติคับแคบไปหน่อย ขอโทษด้วยแล้วกัน” ร่างสูงยิ้ม ยกวิสกี้ขึ้นจิบอีก “ตกลงมาทำงานที่ร้านได้ ช่วงนี้ปิดเทอมสินะ มาทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ก็แล้วกัน ส่วนใหญ่แขกจะมีเวลาช่วงวันหยุด ร้องประมาณหกโมงถึงสี่ทุ่ม ไหวไหม”
“ไหวครับ..”
“ตรงกับวันสอนเด็กๆ ไหวแน่นะ” กนธีท้วงขึ้น ถึงจะเป็นตอนกลางวัน คนละเวลากับงานร้องเพลง แต่เขากลัวอินทัชจะหักโหมไปจนหมดแรงเสียก่อน
ไผทเลิกคิ้ว “ขยันขนาดนี้เชียวหรือ”
“น้องเป็นคนขยันจริงครับ” ชายหนุ่มยิ้ม “ที่คุยกัน ช่วงกลางวันของวันศุกร์จะมีสอนพละ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์จะสอนว่ายน้ำ คือผมรับงานพิเศษจากเพื่อนมา ทางนั้นเขาขอคนที่ไว้ใจได้ไปช่วยหัดให้ลูกๆว่ายน้ำเป็น แล้วก็อีกงานเป็นครูสอนพละชั่วคราวที่โรงเรียนอนุบาล โอ๊ตเขาเรียนวิทย์กีฬา เซ้นส์ทางนี้เยี่ยมยอดทุกอย่าง ผมก็เลยขโมยตัวมาใช้งานหน่อย”
อินทัชยิ้มบาง พี่กุนต์มักใช้คำพูดที่ให้เกียรติเขาเสมอ จะว่าไปแล้ว เล่าว่าเขาถูกไล่ออกจากงาน จนตรอกสุดๆขนาดหางานทำไม่ได้เลยต้องมาพึ่งพาและให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ มันดูจะตรงกับความเป็นจริงเสียมากกว่า
“วันเดียวกันดีแล้วครับ เหลืออีกสี่วัน จะได้ดูแลพี่ได้เต็มที่” เขาพูดตรงไปตรงมา เพราะยังต้องแบ่งเวลาให้อีกคนด้วย ถึงจะได้งานใหม่ แต่เขาไม่ควรลืมหน้าที่หลัก แน่นอนว่าเขาเต็มใจจะทำเพื่อกนธีเสียยิ่งกว่าอะไร
คนถูกพาดพิงหน้าร้อนวูบ ไม่ได้โต้ตอบอะไรออกมา
ไผทหรี่ตามอง เขาสนใจสายตาของคนคู่นี้ที่มองกันและกัน คิดว่ามีคำตอบบางอย่างในใจเรียบร้อยแล้ว
“งั้นก็ตามนี้นะ เริ่มอาทิตย์หน้า เข้างานห้าโมงครึ่ง ร้องหกโมงถึงสี่ทุ่ม” เขาสรุป “ส่วนเงินเดือน ไม่มีประจำให้เพราะเป็นงานพาร์ทไทม์..เอาเป็นว่า..ให้สามร้อย”
กนธีหันไปมองคนด้านข้างอย่างเผลอตัว เขาอ้ำอึ้ง พอมองอินทัช ก็เห็นว่าเด็กหนุ่มเปลี่ยนสีหน้ากลับไปไม่สบอารมณ์เหมือนตอนที่ถูกทักเรื่องเสียง
“สามร้อยที่ว่านี่ยังไงครับ” อินทัชคิดว่าเขารักษามารยาทมาพอแล้ว เงินแค่นี้ได้แค่น้ำมะนาวแก้เสียงแหบไม่กี่แก้วเอง
พูดกันตามตรง ถ้าไม่เต็มใจจะจ้าง ถ้าจะหาเรื่อง ถ้าจะมองเขาอย่างมีอคติ ไม่ได้สนใจเด็กเมื่อวานซืนอย่างเขาตั้งแต่แรก ก็ควรจะจบกันไป คุยมาตรงๆเลยดีกว่า ไม่ต้องเกรงใจพี่กุนต์แล้วค่อยมาไล่บี้เขาแบบนี้หรอก
..เป็นผู้ใหญ่ประสาอะไรวะ!..
“ใจเย็นไอ้หนู..ชั่วโมงละสามร้อยต่างหาก” ไผทรู้ทัน “ใครจะใจร้ายให้แค่วันละสามร้อยล่ะ”
อินทัชไม่ได้ขำไปด้วย
“คุณไทชอบแกล้งเด็กหรือครับ” กนธีส่ายหัว “น้องผมขี้ตกใจนะ”
ร่างสูงหัวเราะแล้วหันมาทางคนด้านข้าง ทอดเสียงอ่อนลง “คือผมก็รู้ตัวว่าให้น้อยครับ ขอโทษด้วยที่ต้องจำกัดค่าใช้จ่ายพนักงาน ตอนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนเจ้าของ อะไรๆก็ยังไม่ลงตัว ถ้ากำไรขึ้นเมื่อไร รับรองว่าค่าแรงขึ้นตามแน่”
กนธีได้แต่ยิ้มรับ “อันที่จริง ตอนนี้โอ๊ตเขาก็ไม่ได้สนใจค่าจ้างเท่าไรแล้ว แค่อยากมีอะไรทำไม่ให้ว่างเฉยๆ การร้องเพลงเป็นงานที่เขารักน่ะครับ..”
“อย่างนั้นหรอกหรือ” คนฟังยักไหล่ หมุนแก้วให้น้ำแข็งละลาย “หายากนะ..คนทำอะไรไม่สนใจเงินเนี่ย”
กนธีลอบถอนหายใจ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เขาขีดเส้นให้ชัดเจนสักหน่อยก็น่าจะดี
“แน่นอนอยู่แล้วครับ” ชายหนุ่มยิ้มจาง จิบเครื่องดื่มในมือแล้วหันไปกระซิบเพื่อนใหม่ “คุณไทก็น่าจะรู้ ‘เด็กของผม’ ทุกคนไม่เคยมีใครเจอปัญหาเรื่องเงินอยู่แล้ว”
ไผทหรี่ตามองไอ้เด็กเมื่อวานซืน สถานะปัจจุบันของมันชัดเจนจากปากของกนธีก็ตอนนี้เอง
ก้าง!!!! มันน่ากระทืบทั้งก้างทั้งกระดูกนั่นแหละ!
“หึๆ” เขาหัวเราะในลำคอ “งั้นก็ดีเลย ถ้าผมลดค่าจ้างเหลือชั่วโมงละสองร้อยก็ได้ใช่ไหม” เขายิ้มใสซื่อ
คราวนี้กนธีอึ้งกว่าเดิม เขาอุตส่าห์หาประเด็นพูดอ้อมค้อมให้ไผทรู้ว่าอินทัชคือใคร จะได้ไม่รังแกเด็กของเขามากนัก แต่ดูเหมือนจะหนักกว่าเดิม
“โธ่..ทำไมทำหน้าตกใจแบบนั้น ล้อเล่นต่างหากครับ ผมเป็นคนขี้เล่น คุณกุนต์ก็น่าจะรู้” ไผทยิ้มโชว์เขี้ยว
อินทัชนึกด่าในใจ...เล่นขี้น่ะสิ!
“จริงๆอยากให้ชั่วโมงเป็นพันเลยนะครับ” ฝันไปเถอะวะ!
เด็กหนุ่มเหยียดปากอย่างรู้ทัน...เชื่อมันก็บ้าแล้ว
“แต่กำไรยังไม่เข้าที่เข้าทาง ผมกำลังพยายามอยู่ จะเจ๊งไม่เจ๊งแหล่ เวลาดูแลก็น้อย อะไรๆก็ลำบาก” ไผทเคี้ยวน้ำแข็งกรุบๆ “น่าสงสารใช่ไหมล่ะครับ ผมคิดว่าคุณเข้าใจผมนะ”
อินทัชหัวเราะหึ คร้านจะฟังเลยเดินมายืนด้านหลังพี่กุนต์
กนธียิ้ม “บอกแล้วไงครับ ว่าเรื่องเงินไม่เป็นปัญหากับผม..กับโอ๊ต”
“ผมรู้ เรื่องนั้นก็ถือว่าจบกันไป ผมก็แค่ชี้แจงความจำเป็นในส่วนของผมว่ามีอะไรติดขัดตรงไหนบ้าง..บริหารคนเดียวก็เป็นแบบนี้แหละครับ” เขาพึมพำก่อนจะปรายตามอง “จะว่าไป..ตอนนี้ผมก็กำลังมองหาคนที่วางใจได้อยู่”
กนธีเลิกคิ้วเมื่อไผทมองเขายิ้มๆ
“ผมอยากได้หุ้นส่วน จะได้มาช่วยดูแลแทนตอนผมไม่อยู่กรุงเทพ”
“อ้อ..” เขาพยักหน้ารับ “แล้วตอนนี้หาคนที่ว่าได้หรือยังล่ะครับ”
ร่างสูงเท้าแขนกับขอบเคาน์เตอร์ “นั่นสิ..หาได้หรือยังก็ไม่รู้” ปากพูดแบบนั้น หากสายตาไม่ได้ละไปจากอีกคนเลย “จะมีใครให้เกียรติมาร่วมทุนกับไอ้หนุ่มบ้านนอกอย่างผมหรือเปล่านะ”
กนธีนึกขำ คนๆนี้ทำอะไรอ้อมค้อม ถ้าอยากจะชวนให้เขาหุ้น พูดตรงๆแต่แรกก็หมดเรื่อง
จะว่าไปแล้ว การทำร้านอาหารก็น่าสนใจดี ถึงแม้กำไรจะไม่ได้มากมายเท่าอสังหาริมทรัพย์ แต่การตอบตกลงก็เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ได้แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็มีกำลังมากพอ ไม่ได้นึกขลาดกลัวต่อการทำอะไรใหม่ๆที่ยังไม่เคยลอง ซ้ำยังแสดงขอบเขตการปกครอง ‘เด็กของตน’ กลายๆ
..ถือเสียว่าฆ่าเวลาเล่น..
เขามองอีกฝ่าย ยิ้มบาง “ให้ผมช่วยหาไหม”
“กำลังรอคำนี้อยู่เลย” ไผทชูแก้วขึ้น “เรามาดื่มแล้วคุยเรื่องนี้กัน..ดีไหมครับ”
อินทัชที่ฟังอยู่สักพักขยับเข้ามา ใช้ปลายนิ้วแตะข้อศอกคนข้างกายเบาๆ “พี่กุนต์..”
กนธีหันไปมอง ยิ้มให้ ตบหลังมืออีกฝ่ายเป็นเชิงรับรู้
“ดื่มไม่เยอะหรอก ไม่ต้องห่วง”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่ได้กลัวเรื่องดื่มเยอะหรือไม่เยอะ แต่เขาไม่ค่อยสนับสนุนเรื่องการคุยธุรกิจกับไอ้หมอนี่เท่าไร แต่จะให้พูดอะไรได้ เขาก็แค่เด็กที่มีกฎระหว่างกันควบคุมอยู่ อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัว นั่นถือว่าเกินหน้าที่ของเขาแล้ว
“ไปนั่งรอก่อนแล้วกันนะ เสร็จธุระเมื่อไรจะปล่อยตัวพี่กุนต์ไปให้” ไผทยกยิ้ม
อินทัชได้แต่มองเขม็ง สบตากับคนที่ลอบยักคิ้วให้เขาแบบยียวน
.
.
.
ห้าทุ่ม..ไผทขับรถมาส่งกนธีกับเด็กอีกคนถึงคอนโด เขายืนยันไม่ให้คุณกุนต์ขับรถกลับมาเองคนเดียวเพราะอีกฝ่ายดื่มไปหลายแก้ว สำหรับคนคออ่อน การดื่มค็อกเทลมันแย่ตรงที่ว่ารสชาติอร่อยและไม่รู้สึกเหมือนกำลังดื่มแอลกอฮอล์เท่ากับเหล้าเพียวๆ กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ค่อยไหวก็ตอนที่มึนไปแล้ว
“พาคุณกุนต์ขึ้นไปคนเดียวไหวหรือเปล่า” เขาถามคนด้านหลัง
อินทัชเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เขาประคองตัวพี่กุนต์ลงมาและดึงแขนเจ้าตัวมาพาดบ่า พูดเสียงเรียบกับอีกฝ่ายโดยไม่คิดจะยกมือไหว้เพราะรู้ดีว่าไหว้ไป หมอนี่ก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว “ขอบคุณที่มาส่งครับ”
“พรุ่งนี้ค่อยไปเอารถคุณกุนต์กลับมาก็แล้วกัน จอดไว้ที่ร้านของพี่นั่นแหละ” ไผทบอก “แล้วเราน่ะ..อายุขนาดนี้แล้วก็หัดไปขับรถซะบ้างนะ เวลาคับขันขึ้นมาจะได้พึ่งพาได้บ้าง”
เด็กหนุ่มขบฟันแน่น มันไม่ใช่ความผิดของเขาที่ขับรถไม่เป็น ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่ได้มีฐานะดีพอจะหารถเก๋งมาขับได้ และเขาก็ไม่เคยไปรับจ้างขับรถให้ใครที่ไหน ถึงจะต้องหัดเอาไว้ล่วงหน้า
แต่เขาก็เถียงไม่ออกที่ครั้งนี้ต้องพึ่งพาคนอื่นจริงๆ
อินทัชปิดประตูรถ เขาพาพี่กุนต์เข้าคอนโดโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคุณไผทจะขับออกไปตอนไหน แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าไอ้ลุงนั่นยังมองอยู่กระทั่งเขาเข้าไปถึงล็อบบี้
“โอ๊ต..” กนธีลูบหน้าตัวเอง “ขอโทษที..พี่เพลินไปหน่อย”
“คราวหน้าอย่าทำอะไรเกินตัวอีกนะครับ” เขาตำหนิอย่างตรงไปตรงมา “คืนนี้เราไม่ได้กลับบ้านใหญ่นะ ผมโทรไปบอกอ้นกับอุ้มแล้วว่าให้ไปนอนกับยาย”
“ขอโทษนะ”
อินทัชถอนหายใจ เขาพยุงตัวอีกฝ่ายมาใกล้กัน “ผมไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
“ก็ว่าอยู่เมื่อกี๊”
กนธีหลับตานิ่ง รู้สึกเหมือนพื้นอ่อนยวบ “อยากนอนแล้ว..”
“ยังนอนไม่ได้ครับ ให้ถึงห้องก่อน” เขายืนรอลิฟท์ แต่กว่าจะได้ขึ้น พี่กุนต์ก็แทบจะยืนหลับคากำแพง
ร่างสูงส่ายหัว ตัดสินใจตวัดร่างกนธีขึ้นอุ้ม ถึงแม้จะเป็นผู้ชายเหมือนๆกัน ความสูงก็ไม่ได้ห่างกันมาก แต่เขาก็รับน้ำหนักพี่กุนต์ได้ไม่ยากนัก
“อื้อ..” กนธีปรือตามอง “ทำอะไร”
“อุ้มครับ” เขาพึมพำ มองคนแก่ขี้เมาอย่างนึกขัน
“หนักไหม”
“อายุสี่สิบ กระดูกพรุนไปแล้วล่ะมั้ง ผมเลยไม่หนักเท่าไร”
กนธีหัวเราะร่วน ตาปรือปรอยอีกครั้ง
ตอนมาถึงห้อง พอเปิดประตูเข้ามาได้ พี่กุนต์ก็ดูเหมือนจะผล็อยหลับไปแล้ว อินทัชอุ้มคนอายุมากกว่ามาที่ห้อง ค่อยๆวางตัวลงบนเตียงแล้วผละไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้
“ไม่เอา..” กนธีหันหนี “หนาว..จะนอนแล้ว”
“อย่าดื้อครับ” เขาเช็ดไล่มาที่คอ เจ้าตัวก็ทำคอย่นเหมือนจะหดหนี “ผู้ใหญ่เกเร”
มือกร้านไล่เนื้อผ้าลงมา ติดตรงเสื้อเชิ้ต เขาเลยผละมาปลดกระดุมออกทีละเม็ด พอแหวกสาบเสื้อออก แผ่นอกขาวก็เด่นชัดอยู่กลางแสงสลัวจากโคมไฟ
อินทัชนั่งนิ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่กุนต์เมา แต่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นลึกเข้ามาถึงผิวเนื้อใต้ร่มผ้า อันที่จริง ถ้าเป็นก่อนหน้า เขาคงจะไม่ได้คิดอะไร แต่เพราะตอนนี้ สถานะของเขากับอีกฝ่ายมันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และในอนาคต..ไม่รู้ว่าวันไหน เขาก็จะต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอีกฝ่าย เขาเลยอดหยุดชะงักไม่ได้
ใบหน้าได้รูปเอียงซบหมอน ปอยผมสีดำตกระอยู่บนหน้าผาก ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท เรียวปากสีเรื่อเผยอหายใจเล็กน้อย เห็นไรฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบ
เขานั่งมองกนธีอย่างเลื่อนลอย
พี่กุนต์เป็นคนที่ใครๆก็อยากเข้าหา ไม่ว่าจะด้วยหน้าตา นิสัย หรือสิ่งดึงดูดภายนอก คืนนี้ เขาคิดว่ามองสายตาของคุณไผทออก คนที่ตัดสินเขาด้วยอคติแต่แรก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไม่ชอบหน้ากัน ก็คงเพราะเห็นว่าเขาขัดขวางอะไรอยู่
ช่วยไม่ได้..ที่พี่กุนต์เลือกเขา
คนที่ใครๆก็นึกอยากได้คนนี้..ตัดสินใจเลือกเขา ให้เขาได้เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกว่าใคร
อินทัชจ้องมองอยู่อย่างนั้น ในอกคับแน่นไปด้วยความรู้สึกวูบไหวก่อนที่อะไรบางอย่างจะดลใจให้ก้มลงอย่างเผลอตัว
กลิ่นหอมอ่อนๆตรงซอกคอนั้นทำให้เขาหลับตานิ่ง พยายามนึกทวนว่าได้กลิ่นนี้ที่ไหน ดูเหมือนว่าจะเป็นครีมโทฟุตัวเก่า เมื่อไล่ปลายจมูกขึ้นมาแถวริมฝีปาก เขาก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นหวานของค็อกเทลผลไม้ที่พี่กุนต์ดื่ม
อินทัชเคยลักลอบหอมแก้มปาลินตอนเพื่อนสนิทหลับ แต่ไม่เคยล่วงล้ำเกินกว่านั้น เขาคิดว่าตนเองไม่กล้า ขลาดเขลาเกินกว่าจะก้าวข้ามคำว่าเพื่อนรัก
แต่กับพี่กุนต์..สถานะของเขากับอีกฝ่ายชัดเจนอยู่ก่อนแล้ว
ปากร้อนผ่าวโน้มลงใกล้กว่าเดิม ดวงตาคมกล้าเหลือบมองคนที่หลับสนิท ความอยากรู้อยากเห็นในตัวบวกรวมกับจินตนาการของวัยหนุ่มเป็นตัวเร่งเร้า ความคิดของเขาพรึงเพริดไปไกลเพียงแค่นึกถึงฉากรักที่จะเกิดขึ้นในสักวันหนึ่ง
..มันจะให้ความรู้สึกอย่างไรนะ..กับการมีเซ็กซ์ครั้งแรก..
อินทัชรับรู้ได้ว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น เมื่อหลับตาลง..แล้วกดปากลงสัมผัสกับปากอุ่นๆเบื้องหน้า
..เพียงแค่นั้น เขาก็มีปฏิกิริยากับพี่กุนต์เสียแล้ว..
ความเชื่อและความคาดหวังที่อยากจะมีอะไรกับคนที่ตนรักถูกสั่นคลอน ในความเป็นจริง ผู้ชายคนหนึ่งสามารถมีอารมณ์และมีความสัมพันธ์ทางกายกับใครก็ได้ หากว่าอีกฝ่ายเป็นที่พึงพอใจ
แต่ความผูกพันที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น เป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ
เขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน หลังจาก ‘ร่วมรัก’ กับพี่กุนต์ ความรู้สึกของพวกเขาจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน
ร่างสูงหายใจติดขัดตอนที่วางฝ่ามือลงบนแผ่นอกตึงแน่น เขาเผลอไล้ปลายนิ้วไปตามแรงยุยงในหัว
ดวงตาสีเข้มหลุบต่ำ จับจ้องยอดอกสีเรื่อที่ดุนผ่านเนื้อผ้าที่ปิดบังผิวเผิน มือใหญ่สอดเข้าไป ค่อยๆกอบกุมและเคล้นคลึงแผ่วเบา ใช้ปลายนิ้วโลมไล้อย่างเผลอตัว
“อืม..” กนธีคราง ขมวดคิ้วมุ่น “รัณย์อย่าซน..พี่จะนอน”
อินทัชชะงัก
..ศรัณย์?..
เผลอมองเงาสะท้อนเลือนรางของตนหน้าทีวี
..เขา..คล้ายคลึงกับคุณศรัณย์..
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ สติที่พลั้งไปเหมือนถูกกระชากกลับมา สุดท้ายก็ได้แต่ซบหน้าลงกับหมอนใบเดียวกัน ทอดถอนใจอยู่ตามลำพังในห้องกว้าง พี่กุนต์ขยับตัวเล็กน้อย เพราะเขาทาบแขนทับเอาไว้
อินทัชปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ลุกขึ้นมาติดกระดุมเสื้อคนบนเตียงให้เรียบร้อยแล้วเข้าไปอาบน้ำ ใช้น้ำเย็นราดรดให้ตัวเองหายฟุ้งซ่านถึงจะกลับเข้ามาในห้อง
เขามองคนที่พลิกตัวนอนตะแคง จากนั้นก็ก้าวขึ้นเตียง สอดตัวลงใต้ผ้านวมก่อนดึงร่างพี่กุนต์เข้ามา ใบหน้าคมเข้มซบลงบนไหล่ลาดก่อนหลับไปด้วยกัน
.....................................................................................

ใครกดหัวใจ หื่นนะเราา 55555+