Chapter 21
ช่วงบ่าย แดดร่มลมตก ด้านนอกดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน หลังจากที่กนธีให้อ้นกับอุ้มกินข้าวแล้ว เขาก็ชวนน้องสองคนมานั่งดูทีวีตรงห้องรับแขก จบหนังแนวผจญภัยไปหนึ่งเรื่อง น้องอุ้มรื้อเอาสมุดระบายสีมานั่งทำ น้องอ้นเห็นแล้วก็อยากแจมด้วย กนธีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขามี Secret Garden กับ Amour Greece ที่แถมสีไม้ Staedtler เคยซื้อไว้นานแล้วแต่ยังไม่มีเวลานั่งทำ เลยจัดการไปค้นสมุดภาพทั้งสองเล่มที่หมกไว้ในห้องทำงานมาร่วมวงกับเด็กๆ
“โอ้โห..ลุงตาลายเลย” เขาเกาหัวแกรก ลายเส้นดูละเอียดยิบเหลือเกิน ไม่ใส่แว่นแล้วตาพร่าไปหมด
“ยากจังเลยครับ” อ้นชะโงกหน้ามามอง “ถ้าให้อ้นทำนะ เละแน่ๆ”
“ให้พี่ทำก็น่าจะเละเหมือนกัน” กนธีหันซ้ายหันขวา “ใครเห็นแว่นพี่บ้าง ตะกี๊ยังว่าเจอแวบๆ”
น้องอุ้มหัวเราะครืน ชี้ให้ดูที่คอเสื้อยืด พี่กุนต์เหน็บไว้แล้วลืมสนิท
“สงสัยต้องกินกิงโกะ” ชายหนุ่มก้มดูภาพบนกระดาษขาว ปอยผมหน้ายาวปรกหน้าผาก เกะกะลูกตา เขาเลยไปหยิบเอาหนังยางรัดของมามัดเป็นจุกชี้โด่เด่ จะได้วิสัยทัศน์โล่ง เหมาะกับการใช้สายตา
ผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กสอง นั่งล้อมโต๊ะกลางหน้าทีวี ที่พื้นปูพรมขนแกะเลยนั่งได้สบาย กนธีเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ ทำให้ช่วงเวลาว่างของวันไหลไปเรื่อยอย่างไม่รีบร้อน
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง กนธีเพิ่งระบายได้แค่ยอดโดมสีฟ้า หน้าต่างสองบานกับประตูไม้ เงยหน้าขึ้นมาอีกที อ้นกับอุ้มก็เอาหน้าซบโต๊ะ ผล็อยหลับคาสมุดไปเสียแล้ว
เขาหัวเราะเบาๆ อุ้มน้องอ้นเข้าไปนอนในห้อง จากนั้นก็มาแบกน้องอุ้มอีกคน เปิดแอร์ให้คลายร้อน เด็กชายสองคนพลิกตัวนอนก่ายกัน กรนฟี้ไปกับความเงียบของยามบ่าย
กนธียืนมอง เขายิ้มน้อยๆก่อนจะก้มลงห่มผ้าให้ กลิ่นโลชั่นนมถั่วเหลืองโทฟุติดอยู่กับผิวเด็ก ต้องอดใจไม่ให้งับแขนแทบแย่
อินทัชเพิ่งกลับจากสอบ ตอนที่มาถึงคอนโด เขาได้ยินแต่เสียงเพลง พอเดินเข้ามาในห้องถึงทันเห็นพี่กุนต์กำลังคลี่ผ้านวมออกมาห่มให้น้องชายเขา สายตาที่ทอดมองอ่อนโยนเทียบเท่ากับคนในครอบครัว
เขาเผลอตัวยิ้มตามไปกับภาพนั้น
“อ้าว..กลับมาตอนไหน” กนธีหันมาเจอ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาทางอีกฝ่าย “อย่ากวนน้องนะ กำลังหลับกลางวัน”
“ยอมให้นอนตอนนี้เดี๋ยวก็ปวดหัวหรอกครับ” เขาบอก มองจุกเด้งๆบอกศีรษะคนอายุมากกว่าแล้วกลั้นขำ “กินข้าวกันหรือยัง ผมซื้อสลัดกุ้งมาฝากพี่ด้วย”
“กินแล้วน่ะสิ เก็บไว้ตอนเย็นได้ไหม ขอบคุณมากนะ” กนธีเดินลากรองเท้าไข่ไปที่ห้องรับแขก “สอบเป็นยังไงบ้าง ยากหรือเปล่า”
อินทัชส่ายหัว วันนี้สอบภาคปฏิบัติ ถือเป็นเรื่องง่ายกว่าสอบข้อเขียนเสียอีก “ขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
“แล้วกินข้าวหรือยัง”
“ยังครับ”
กนธีหันไปมอง เห็นแต่สลัดกุ้งของเขากล่องเดียว “แล้วไม่ได้ซื้อของตัวเองมาด้วยหรือ”
“ลืมครับ..” เด็กหนุ่มพึมพำ “พอดีเห็นกองผัก เลยนึกถึงพี่คนแรก”
ดูมัน! ‘กองผัก’ พูดซะเสียหาย “ของน้องๆล่ะ”
“ถ้าพี่กุนต์กินแล้ว ผมก็ไม่ทำข้าวเย็น ของผมกับน้องเดี๋ยวกินมาม่าก็ได้พี่ ไม่ซีเรียส”
“เฮ้ย ไม่ได้..อยู่กับพี่แล้วกินมาม่า เสียชื่อเสียง” เขาลุกเดินไปทางครัว ถลกแขนเสื้อ ทำท่าแข็งขัน “เดี๋ยวลุงลงมือเอง”
อินทัชหัวเราะ คว้าแขนคนตรงหน้าไว้ก่อนที่พี่กุนต์จะพังครัวเป็นลำดับถัดไป
“ขอเถอะครับ..ไปนั่งเล่นไอแพดแล้วปล่อยสงครามโลกให้หยุดแค่ครั้งที่สองพอ”
กนธีหรี่ตามอง อยากตบกะโหลกไอ้เด็กนี่จริงๆ แต่เขาก็เห็นด้วยนะ นอกจากผัดผักบุ้งของโปรดศรัณย์แล้ว เขาก็ไม่ควรทำกับข้าวอย่างอื่นอีก
“งั้นโทรสั่งข้าวกล่องฟูจิมากินนะ” เขาบอก “กินมาม่า รู้ถึงไหน อายถึงนั่น เด็กพี่แต่ละคนกินกาแฟสตาร์บั๊คส์ จะปล่อยโอ๊ตกินมาม่าได้ยังไง”
อินทัชคลายรอยยิ้มลง ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะสุขสบาย มันก็ยังมีจุดเล็กๆในใจบ้าง ว่าเขาได้กลายมาเป็น ‘เด็กเลี้ยง’ ของคนรวยเข้าเสียแล้ว แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อเขามีความจำเป็น และอีกอย่าง พี่กุนต์ก็ไม่เคยทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด ไม่เคยกดดัน ดูถูกดูแคลน หรือบีบบังคับให้เขาทำในสิ่งที่ไม่อยากจะทำ
ถ้าไม่คิดถึงกฎที่ควบคุมพวกเขาให้อยู่กับที่กับทางของตัวเอง และไม่นึกไปถึงวันสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างกัน อินทัชก็แทบจะรู้สึกได้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของอีกฝ่าย..เป็นครอบครัวของพี่กุนต์อย่างแท้จริง
..ไม่มีเด็กขายตัวที่ไหนถูกให้ความสำคัญถึงขนาดนี้หรอก..
เขาควรนึกไว้ตลอดเวลาว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจอพี่กุนต์
“ผมโทรคอนเฟิร์มกับป้าที่ดูแลยายแล้วนะครับ ว่าพรุ่งนี้พี่กุนต์จะให้คนไปรับที่บ้าน แกแค่ส่งยายขึ้นรถก็พอ”
กนธีพยักหน้า “ถ้าป้าเขาสะดวกจะนั่งรถไปด้วยกันถึงที่สนามบินก็ได้ คุณยายขึ้นรถกับคนไม่รู้จักอาจจะเกร็งๆ อย่างน้อยก็ให้คุ้นชินกันก่อน แล้วเดี๋ยวขากลับจะบอกให้เด็กมันขับไปส่ง ส่วนคุณยาย พี่ฝากลูกน้องคอยดูแลตอนนั่งเครื่องแล้ว ขอวีลแชร์สำหรับผู้สูงอายุให้แล้วด้วย ไม่ต้องห่วงนะ”
อินทัชยิ้ม “ขอบคุณครับ”
“ไปอาบน้ำไป พี่จะสั่งฟูจิให้”
“เดี๋ยวหิวแล้วค่อยสั่งก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องอุ่น” เขาบอก ยิ้มเมื่อเจ้าตัวพยักหน้ารับ
ตอนที่อินทัชออกมาอีกที พี่กุนต์ก็ปิดเพลงไปแล้ว ฝ่ายนั้นกำลังนั่งเลื่อนเกมผลไม้ด้วยใจจดจ่อ ท่าทางเคร่งเครียดดูขัดแย้งกับกิจกรรมที่ทำ
“เดดอีกแล้ว! ชีวิตหมด” กนธีบ่นอุบ “ไอ้ไผ่..ส่งหัวใจมาเดี๋ยวนี้ ไอ้หมาหัวเน่า”
ร่างสูงขบขัน เขาเข้าไปนั่งใกล้ๆตอนที่พี่กุนต์ส่งไลน์ไปข่มขู่ญาติผู้น้อง
“เล่นในไหนครับเนี่ย”
“เกมในเฟซน่ะ”
อินทัชหยิบมือถือขึ้นมา “ผมมีไลน์พี่แล้ว แต่ยังไม่เคยมีเฟซเลย ขอหน่อยสิครับ”
กนธีหันมามอง “เออ..จริงด้วย ให้โอ๊ตส่งหัวใจให้พี่ก็ได้”
คนฟังสะอึกนิดหน่อย
“ส่งชีวิตน่ะ” เขาหัวเราะ “บางเกมก็เรียก energy บางเกมก็ life แต่ฟาร์มฮีโร่มันเป็นรูปหัวใจ”
“โอเคครับ” เขาพึมพำ หาชื่อพี่กุนต์แล้วกดแอดไป
“ส่งมาๆ”
อินทัชขำ “ใจเย็นครับ ติดเกมเป็นเด็กๆเลยนะพี่”
“ผู้ใหญ่บางคนยังต่อกันดั้มกับกันพลาอยู่เลย..ไอ้ไผ่นี่ต่อจิ๊กซอว์ห้าพันชิ้น งานอดิเรกมัน”
“ผมอยากสะสมการ์ตูน” เด็กหนุ่มว่า “เอาไว้ซ่อมบ้าน ทำห้องดีๆ ผมจะทำตู้หนังสือ กว้านซื้อการ์ตูนตอนเด็กมาเก็บ..ถ้าเขายังไม่เลิกผลิตไปก่อน”
กนธียิ้ม “ส่งมายัง”
“โธ่..รอแป๊บครับ” อินทัชคิดว่าถ้ายังไม่ส่ง ‘หัวใจ’ ให้พี่กุนต์ เขาคงจะถูกตื๊อไม่หยุดแน่ พอกดให้เรียบร้อย เจ้าตัวก็กลับไปหมกมุ่นกับเกมผลไม้ต่อ ส่วนเขาก็ได้โอกาสสำรวจเฟซบุ๊กอีกฝ่ายเล่น
ดูเหมือนว่าพี่กุนต์จะไม่ค่อยอัพเดทเรื่องราวชีวิตตัวเองเท่าไร ภาพถ่ายก็มีน้อยจนนับรูปได้ ทั้งที่เดินทางออกจะบ่อย ไปต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ ส่วนใหญ่จะใช้เฟซกดไลค์เพจทำเกษตรกรรม ปลูกผักออร์แกนิค หรือเพจสุขภาพไว้ตามข้อมูลมากกว่า เรื่องจะมาถ่ายรูปอาหารดีๆ ไวน์แพงๆ กาแฟแก้วเป็นร้อย หรือชีวิตไฮโซบนกองเงินกองทอง เรียกว่าไม่มีเลย
อินทัชกดเข้าไปดูอัลบั้มภาพ มีภาพถ่ายเก่าๆกับครอบครัวบ้างแต่ก็ไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นภาพแท็กมาจากคุณพสิษฐ์ ที่ชอบเอารูปถ่ายสมัยพี่กุนต์ยังเด็กมาสแกนแล้วอัพโหลดขึ้นโซเชียลเล่นๆ เขาว่า..ตอนนั้นพี่กุนต์ก็ดูน่ารักดี
เด็กหนุ่มมองคนข้างกายที่เมามันกับการเล่นเกม จุกน้ำพุบนหัวสั่นไหวเล็กน้อย
..แต่อย่างว่าแหละ พี่กุนต์เองก็เป็นคนน่ารักมานานแล้ว..
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่คนสองคนขยับมานั่งใกล้กัน ห่างเพียงเล็กน้อยจนอินทัชได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวอีกฝ่าย
“โลชั่นหรือโคโลญจน์ครับ..แปลกดี กลิ่นนมๆ เหมือนเป็นขนม”
“อ้อ..” กนธียกแขนตัวเองขึ้นดม “โทฟุ นมถั่วเหลืองน่ะ พี่เห็นน้องอุ้มผิวแห้งเป็นขุย เลยซื้อมาทาให้”
“ทาให้ไอ้อุ้ม แล้วทำไมกลิ่นมาติดบนตัวพี่กุนต์ได้ล่ะครับ” เขาขำ
“น้องก็ทาให้พี่น่ะ จะได้เท่าเทียม” เขาตอบ “มันเหม็นหรือ?”
“เปล่าครับ” อินทัชไม่ได้บอกสิ่งที่คิดไว้ออกไป
..กลิ่นนี้มันน่ากัดแล้วก็น่าเคี้ยวที่สุดต่างหาก..
คนอายุมากกว่ากลับไปจดจ้องไอแพดอีกครั้ง “ว่าแต่เราไม่อ่านหนังสือหรือ”
“จะอ่านเดี๋ยวนี้แหละครับ” เขาหยิบชีทที่ถือติดมือมาเปิด
พี่กุนต์ปิดเสียงเกม ผลไม้พวกนี้จะร้องทุกครั้งที่ทำแต้มได้
“เปิดไว้เถอะครับ เดี๋ยวไม่สนุก”
“แล้วจะมีสมาธิเรอะ”
“ผมสมาธิดี” อินทัชยิ้ม หยิบหมอนอิงมาสอดเข้าใต้แผ่นหลัง
กนธีเปิดเสียงขึ้นมาใหม่ แต่เบาลงกว่าตอนแรก ใครอีกคนนั่งมองสักพักก็หันกลับมาอ่านชีทเรียนของตนเอง
‘ฮุ..ว้า..ว้า’
อินทัชลอบขำ เงี่ยหูฟังเสียง ‘ฮึ้ย..ฮึ้ย’ ทุกครั้งที่คนด้านข้างทำแต้ม
‘กร๊อบ..กร๊อบ..อุ๊กี้กี้’
เขานั่งฟังเพลิน อ่านเข้าหัวบ้างไม่เข้าบ้าง เจอเวลาบ่ายคล้อย บวกกับแอร์เย็นๆเข้าไป ซ้ำยังเหนื่อยมาจากการสอบปฏิบัติ ไม่นานนัก..ชีทในมือก็ตกลงมาอยู่ข้างตัว
กนธีหันมามองเด็กหนุ่มที่นั่งหลับตรงโซฟา เขาชั่งใจว่าจะปลุกให้ไปนอนต่อในห้อง หรือจะปล่อยให้หลับตรงนี้เลย “โอ๊ต..” เขาลองจับบ่ากว้าง
อินทัชส่งเสียงในลำคอ คว้าหมอนข้างตัวมาหนุนหัว “ของีบหน่อยนะครับ สักครึ่งชั่วโมง ฝากปลุกด้วยนะ”
“โอเค..” เขาหันกลับไปสนใจเกมต่อ
ไม่ถึงสิบนาที เด็กหนุ่มก็พลิกตัวนอนตะแคงข้าง หันหน้าเข้าหาพนักโซฟา ปลายเท้าเหยียดยาวไปอีกด้าน และเพราะว่าหมอนอิงมันใบเล็กซ้ำยังอวบไป โดนแตะเข้าหน่อยเลยลื่นลงไปกลิ้งกับพื้น
กนธีก้มลง กำลังจะหยิบหมอนมาให้ แต่คนที่งัวเงียก็ควานมือหาก่อนแล้วขยับหัวตาม
อินทัชไม่ได้ลืมตา เขาขมวดคิ้วเพราะถูกขัดอารมณ์การนอน ฝ่ามือกร้านคว้าได้วัตถุนุ่มๆก็วางหัวลงไปโดยไม่ทันได้ใส่ใจ สัมผัสที่อบอุ่นมากกว่าทำให้หลับลึกไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
กนธีมองคนที่นอนหนุนตักอย่างอึ้งๆ
..อ้อนหรือเปล่านะ? หรือว่าแค่เผลอตัว..
ชายหนุ่มเงียบกริบ มองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ซบอยู่บนขา ปลายจมูกโด่งซุกแนบหน้าท้อง เขาเผลอกลั้นใจกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น หัวใจเหมือนจะเต้นแรงกว่าเก่าในช่วงแรก แล้วถึงสงบลงได้ในตอนหลัง
อินทัชยังนอนเฉย ไม่มีการขยับเขยื้อนอื่นใดนอกจากลมหายใจสม่ำเสมอเท่านั้น
..คงจะเหนื่อยมากกว่า..
กนธีถอนหายใจ ลูบหัวอีกฝ่ายแผ่วเบา
แดดยามบ่ายส่องเข้ามาในห้อง รอบด้านเงียบลงเมื่อไม่มีการพูดคุย เหลือแต่เสียงเกมเท่านั้นที่ยังดังแว่ว
.............................................................................
แปะ อิๆ