หลังจากที่โดนมันเยสส จนฮี๋เกือบจะเป็นหลุมหลบภัย ผมก็หนีมันออกมาจากห้องนอนและวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ ต้องใช้คำว่าหนี เพราะมันจะต่ออีกเป็นครั้งที่สอง
ฮี๋นะ....ไม่ใช่เหล็กไหล อีดอกกกกกก
ถ้าเปรียบการโดนเยสเหมือนอุบัติเหตุ ที่ผ่านมาตอนที่ผมเล่นยา ก็เหมือนผมประสบอุบัติเหตุทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง ถ้าทำได้ก็อยากจะร้องบอกคุณกิตติ ข่าวสามมิติว่า “ช่วยผมด้วยครับ ผมประสบอุบัติเหตุ ฮี๋พัง” ไปแล้วล่ะครับ
ดูเหมือนจันคนเดิมจะหลับมาแล้วใช่ไหม?
คนที่มีความคิดโลกีย์ ต่ำตม หมกมุ่นแต่ในกามคุณ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ แต่จริงๆ ปัญหามันก็ยังไม่หายไปไหนหรอก ก็แค่รอการเคลียร์ให้มันหายไป หรือหลีกเลี่ยงไม่ไปประสบมันตรงๆ นั่นเอง
ผมอาบน้ำแต่งตัวออกจากคอนโดพร้อมกับไอ้มาร์ช เช้านี้ผมรู้สึกดีมากขึ้นแล้ว ฤทธิ์ของยาได้สร่างลงไปมาก ผมเรียกตัวเองกลับคือมา โดยการแต่งตัว ขัดผิว และหวีผมให้เรียบร้อยก่อนไปทำงาน จริงๆ ผมก็ยาวแหละ ก็มีแค่หวีให้มันไม่รุงรังแค่นั้นเอง
“กูว่ามึงน่าจะไปตัดผมนะ” ไอ้มาร์ชแนะนำผมขณะที่มันนั่งรถไฟฟ้าไปส่งผมที่พารากอน
“เออ...กูก็อยากตัด แต่กูจะทำอะไรมากไม่ค่อยได้ บริษัทเขาจ้างสไตลิสต์มาดูแลกู กูจะตัดตามอำเภอใจได้ที่ไหน”
“หรอ.... แต่กูว่ามึงไว้ผมยาวแล้วดูโทรมว่ะกูคิดถึงไอ้จันของกูที่ผมสั้นๆ หน้าใสๆ ดูเป็นคนสุขภาพดี ปากแดง แก้มสีส้มๆ เหมือนเลือดฝาด”
“เลือดฝาดมันต้องสีแดงไม่ใช่หรอวะ”
“อ้าว...มึงรู้ไหม คนไทยเราแต่เดิม จะเรียกแก้มว่า..ปราง ราชาศัพท์ พระปราง ก็แปลว่า แก้ม ปรางนั้น มีที่มาจากเวลาที่คนไทยสมัยก่อนไม่ได้เป็นคนผิวขาวใช่มะ แต่ผิวสีเหลืองนวล หรือออกสีน้ำผึ้ง จนถึงสีแทน คราวนี้เวลาที่อากาศร้อนๆ หรือเหงื่อออก แกมก็จะเป็นสีออกส้มๆ แดงๆ ตรมสีผิวที่ไม่ได้ขาวอมชมพู สีเหมือนผลมะปรางสุกไง เขาถึงเรียกว่า ปราง ที่แปลว่า แก้ม......”
“อ่อ....กูลืมนึกไป ว่ามึงชอบเรื่องอะไรๆ แบบนี้ ลืมนึกว่ามึงน่ะหัวโบราณ ชอบทำกับข้าว ชอบอ่านกลอน นิยายขุนช้างขุนแผน แถมยังเป็นนักเรียนได้รางวัลประกวดอ่านทำนองเสนาะ”
“ป่าวเว้ยยยยย กูใฝ่รู้”
“อืม...ถึงแล้ว เดี๋ยวถ้าไงเย็นนี้เจอกันที่คอนโดกู อะ เอากุญแจไป แล้วเอาไปปั๊มซะ แล้วเย็นนี้มาทำกับข้าวให้กูกินอีกนะ” ผมสั่งไอ้มาร์ชเสร็จ ก็รีบเผ่นออกมาจากตู้รถไฟฟ้า แล้วหันกลับมาโบกมือบ๊ายบายให้มัน ก็ได้เห็นไอ้มาร์ชมันยืนยิ้มแฉ่งฟันขาวอยู่หลังกระจกประตูรถไฟฟ้า นี่อาจเป็นแรงใจ กำลังใจหนึ่งเดียวของผมเลยก็ได้ ในวันที่ผมต้องเจอเรื่องร้ายๆ และต้องเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่โลกในจิตนาการอย่างเมื่อตอนเล่นยา
ผมมาถึงที่บริเวณห้องแต่งตัวนักร้องนักแสดง ผมก็ไปแต่งตัว และแต่งหน้า และขึ้นคอนเสิร์ต ทุกอย่างดูรีบร้อน ลุกลี้ลุกลน จนผมไม่ได้กินน้ำหรืออาหารสักคำก่อนขึ้นเวที จริงๆ เจ้าภาพงานก็ไม่ได้ใจร้ายหรอกนะ แต่ผมเองนี่แหละ ที่เครียดเพราะกลัวว่าวันนี้จะต้องตอบคำถามสื่ออะไรบ้าง แล้วต้องทำอย่างไร มันตื่นเต้นจนกินอะไรไม่ลง
วันนี้แฟนคลับและแฟนเพลงของผม แน่นขนัดเหมือนเดิม ผมเลือกร้องเพลงที่ดังที่สุดของผม และร้องเพลงของศิลปินท่านอื่นมากมาย ทุกคนดูจะสนุกสนานกับมินิคอนเสิร์ตของผม จนเมื่อถึงเพลงสุดท้าย ผมเป็นลมกลางเวที
ภาพเลือนรางระหว่างที่ผมโดนหามส่งโรงพยาบาลนั้นวุ่นวายมาก จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าผมล้มลงไปหัวฟาดกับพื้น และจากนั้นก็วูบไปสักพัก แล้วก็พยายามจะลุกขึ้นจากพื้น แต่ก็ล้มฟาดลงไปจากเวทีอีกครั้ง รู้สึกว่าล้มครั้งที่สองนี้หนักมาก เลือดไหลอาบใบหน้าไปหมด ปวดหัวจี๊ดดดดดดดดดดดด แล้วก็สลบไปตรงที่ล้มครั้งที่สอง
พอตื่นขึ้นมาอีกที ก็รู้สึกถึงการโดนอุ้ม โดนหามลงไปนอนบนเปล แล้วก็ขึ้นรถพยาบาล แล้วก็เสียงโหวกเหวกของพี่กบว่า “ขอทางหน่อยค่ะ อย่ามุงสิคะ บลาๆๆๆๆๆๆ” หวีดวีนของนางอยู่คนเดียวทั้งงาน และก็ขึ้นมาอยู่บนรถพยาบาล แล้วก็จำอะไรไม่ได้ ภาพมันปะติดปะต่อยาก เหมือนจะเป็นเพราะผมหัวฟาดพื้นด้วยแหละ เลยเบลอ
แล้วผมก็ได้ยินเสียงพี่กบพูดว่า “ช่วยน้องด้วยนะคะ คุณหมอบี” แล้วก็อะไรๆ วุ่นวายมาก ถูกเข็นเปลเข้ามาในห้องอะไรสักอย่าง มีสายระโยงรยางค์ไปหมด แล้วผมก็ทนความปวดหัวไม่ไหว หลับไปในที่สุดไม่รู้ว่านานมากแค่ไหน แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากตื่น อยากนอนอยู่แบบนั้น อยากหลับอยู่แบบนั้น ไม่ต้องตื่นมาเจออะไร หรือเผชิญอะไร
ผมตื่นขึ้นมาอีกที...... ก็พบว่าดอกไม้ แจกัน และอื่นๆ เต็มห้องผมไปหมด พร้อมกับคุกกี้โหลใหญ่มหึมาที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหัวนอนของเตียงผู้ป่วย คุณหมอเจ้าของไข้เดินเข้ามาหาผม ดูเหมือนเขาจะมาเฝ้าดูผมอยู่ด้วยที่ข้างเตียง พี่กบไปไหนไม่รู้ อยู่แต่คุณหมอ ในหัวสมองมีแต่ความมึนงง งงว่าตัวเองมานอนทำอะไรตรงนี้ งงว่าทำไมถึงปวดหัว รู้สึกคลื่นไส้นิดๆ
“พี่หมอบีเองนะครับ จำได้ไหม” พี่หมอบีชี้ที่ตัวของเขา แล้วก็ชี้ไปที่คุกกี้ ผมยังคงจำอะไรไม่ได้ เพราะยังรู้สึกมันๆ เบลอๆ ขนาดที่ว่าผมล้มได้อย่างไร ทำไมถึงล้ม ล้มที่ไหน หรือทำไมหัวถึงฟาด ใช่ล้มแน่หรือ หรืออะไรก็ตาม มันวกวนไปหมด จำแม้แต่เหตุการณ์ก่อนและหลังล้มไม่ได้เลย
“อ่า ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องนึก คือ น้องจันล้มหัวฟาดพื้นไป อาการอาจบังไม่ดีขึ้นภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือนานกว่านั้น หรือบางรายอาจมีอาการที่นานกว่านั้นได้ น้องจันปวดหัวไหมครับตอนนี้”
“อะไรนะครับ?” ผมทวนคำถามอีกครั้ง เพราะไม่เข้าใจที่เขาพูด ดูเหมือนจะงง และมึนเกินไปสำหรับผมตอนนี้
“ปวดหัวไหมครับ?”
“อ้อ...ปวด....ปวดครับ”
“ครับ น้องจันจะมีอาการจำเหตุการณ์ไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นอาจจะเป็นการจำเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุไม่ได้ หรือจำเหตุการณ์หลังเกิดเหตุไม่ได้ หรือมีความรู้สึกตื่นตัวลดลง ซึมลง พี่หมออาจเรียกน้องจันแล้วน้องจันยังไม่ตอบสนองเป็นเรื่องปกตินะ แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้นครับ ตอนนี้น้องจันยังขยับแขนขาได้ไหม หรือแขนขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรงกว่าอีกข้างไหมครับ?”
ผมลองขยับแขนขาตามที่พี่หมอเขาบอก ก็สามารถขยับได้ตามปกติ
“ยังขยับได้ครับ”
“ยังมีอาการปวดหัวไหมครับ”
“ก็ยังปวดครับ”
“แล้วมีอาการคลื่นไส้อาเจียนไหม?”
“ก็มีครับ”
“โอเค....พี่หมอไม่ถามมากดีกว่า น้องจันต้องพักผ่อน ตอนนี้พี่หมอออกเวรพอดี คุณกบเพิ่งออกไปสักครู่นี้เองครับ พี่เลยแวะมาดูน้องจัน พักผ่อนนะ เดี๋ยวพี่อยู่ดูแลอยู่ตรงนี้แหละ”
ความรู้สึกตอนนั้น ผมไม่รู้สึกอยากจะยินดี ยินร้ายอะไรกับใคร ถึงตอนนี้ผมก็ยังจำคุณหมอคนนี้ที่เขาแทนตัวว่าพี่หมอไม่ได้เลย แต่ก่อนที่จะคิดอะไรให้ปวดหัวมากกว่านี้ ผมก็หลับไปในที่สุด