ขอเปลี่ยนชื่อตอนให้สอดคล้องกับเนื้อหาในตอนใหม่ค่ะ ชวนเดท
***********
ผ่านมาสักพักแล้วกับการมีเพื่อน บอกตามตรงว่าฟากฟ้านอนไม่หลับเลยสักคืน เขาได้แต่ยิ้มให้กับความสำเร็จของตนเองภายในห้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนอะดรีนาลีนสูบฉีดตลอดเวลา มีแรงฮึดมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว
กับเธอคนนั้นยังคงระยะห่างเท่าเดิม แต่ชุนกับพรรคพวกไม่มาตอแยเหมือนทุกที
รู้สึกว่าโรงเรียนน่าไปมากขึ้น
วันนี้ขุนเขาบอกว่าจะเริ่มต้นบทเรียนบทใหม่ให้หลังจากที่บทแรกประสบความสำเร็จ ที่จริงไม่อาจเรียกว่าประสบความสำเร็จได้เพราะขุนเขายื่นมือมาช่วยเอาในวินาทีสุดท้าย ผลลัพธ์แม้จะไม่ได้เรียกว่าสำเร็จได้อย่างสนิทใจแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้สถานะของเขาและมุมมองของเด็กชายกว้างขวางขึ้น เขาเริ่มยิ้มออกบ้างในบางครั้ง
เพราะว่าเป็นเพื่อน ขุนเขาและฟากฟ้าจึงอยู่ด้วยกันมากกว่าแต่ก่อน
"วันนี้ฉันจะโดดเรียนคาบสุดท้ายนะ"
"ไม่ได้"
"เฮ้ ปฏิเสธไวเชียว ใช้เวลาคิดหน่อยเซ่"
ขุนเขาหน้ายู่อย่างเห็นได้ชัด ระยะหลังนี้เพราะฟากฟ้าคอยลากคอยจิกจึงทำให้ขุนเขาทำตัวดีขึ้นกว่าเดิมขึ้นมาเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ อีกสามสิบที่เหลือคือตอนที่เด็กชายจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เพราะความต้วมเตี้ยมและเอื่อยเฉื่อย คนปราดเปรียวแบบขุนเขาจึงรอดไปได้อยู่บ่อยครั้ง
"ทำไมต้องชอบโดดเรียนอยู่เรื่อยเลยล่ะขุน ขุนไม่ได้ทำอะไรไม่ใช่เหรอ ว่างก็มาเรียนสิ ระวังจะหมดสิทธิ์สอบเอานะ"
เดี๋ยวนี้ฟากฟ้าพยายามเรียกชื่ออีกฝ่ายให้ติดปาก
ที่จริงมีเรื่องสะกิดใจนิดหน่อย อยากมองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่...
"ไม่ใช่เรื่องของนายสักหน่อย"
เหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่ยอมรับเขาเป็นเพื่อนด้วยใจจริงเสียที
กลายเป็นฟากฟ้าที่หน้าจ๋อยลงไปถนัดใจ เมื่อเห็นเพื่อนใหม่ทำแบบนั้นแล้วขุนเขาพลันลุกลี้ลุกลนโบกมือโบกไม้เป็นพัลวัน
"เฮ้ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ มันเป็นเรื่องของฉัน นายไม่ต้องใส่ใจหรอกน่าว่าฉันจะเข้าสอบไม่ได้" พยายามจะพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นลง แต่ฟากฟ้ากับส่ายศีรษะ
"เพื่อนจะทิ้งเพื่อนได้ยังไง ถ้าขุนไม่อยากบอกไม่เป็นไร แต่ต้องเข้าเรียนนะ"
"ทำไมชอบบังคับเนี่ย"
"เพราะเราไม่อยากให้ขุนเรียนไม่จบยังไงล่ะ"
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นแบบพาสชั้น ทว่าเดี๋ยวนี้โรงเรียนได้ออกกฎใหม่ว่าให้มีการซ้ำชั้นหากเด็กคนนั้นเรียนไม่จบหรือเวลาเรียนไม่ครบตามหลักสูตร สมัยนี้การเรียนค่อนข้างยากขึ้นโดยเฉพาะวัยมัธยม เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต จะดีจะร้ายขึ้นอยู่กับช่วงนี้ทั้งสิ้น และฟากฟ้าพยายามอย่างมากว่าตนต้องมีอนาคตที่สดใส และอยากให้ขุนเขาได้มีอนาคตนั้นไปกับตนด้วย
ฟากฟ้าเล่าเรื่องของตนเองให้ขุนเขาฟังไปมากมาย ทว่าขุนเขายังไม่บอกอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยสักอย่าง
ไม่อยากเคลือบแคลงสงสัยในความสัมพันธ์ ทว่านับวันฟากฟ้าคิดว่าขุนเขาอาจสมยอมรับเป็นเพื่อนเขาเพื่อให้เรื่องมันจบไปก็ได้
โดยที่ไม่คิดยินดีที่จะแบ่งปันเรื่องราวของตนเองให้เพื่อนรู้
ทำไมขุนเขาถึงหนีออกจากบ้าน และตอนนี้กลับบ้านไปแล้วหรือยัง รองจากสองเรื่องหลังนี้นั้นก็คงเป็นเพื่อนของหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่ชื่อว่าพลอย ไปคบกันได้ยังไง ทำไมถึงมารักกัน แต่จนแล้วจนรอดวันนี้เด็กชายยังไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยปากถาม
ในความดีใจที่มีเพื่อนนั้นกลับมีความน่าอึดอัดอยู่พอสมควร ฟากฟ้าจึงรอมันอย่างใจเย็นและคอยคิดว่าสักวันขุนเขาคงยอมเปิดปากเล่า
ทว่าเขาชักมั่นใจแล้วว่าตนคงคิดผิด
ขุนเขาขีดเส้นไว้ให้ตนตั้งแต่แรกแล้ว
"มันเรื่องของฉันไม่ใช่หรือไง" ขุนเขาว่า "อนาคตของฉันกับอนาคตของนายไม่ใช่อันเดียวกันสักหน่อย นายเรียนจบแล้วไปสร้างอนาคตที่ดีไปเถอะ อย่าเอาฉันไปเป็นตัวถ่วงความเจริญเลย"
"เพื่อนไม่มีคำว่าตัวถ่วงหรอกนะ !" ฟากฟ้าว่าพลางหน้าเบ้คล้ายจะร้องไห้
เห็นดังนั้นแล้วขุนเขาพลันดีดตัวนั่งตัวตรงหน้าเหวอ
"เฮ้ เดี๋ยว ๆๆๆๆ อย่าเพิ่งร้อง !"
ดวงตาเริ่มแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริก ลมหายใจหอบฟึดฟัด อีกไม่กี่วินาทีคงปล่อยโฮ
ขุนเขาทำตัวไม่ถูก เขามองซ้ายมองขวาหาอะไรช่วยเหลือ แต่บนดาดฟ้าโรงเรียนที่แดดส่องเปรี้ยงจะมีอะไรช่วยให้คนขี้แยสงบใจได้กัน คิดสิไอ้ขุน คิด
ทันทีนั้นขุนเขาเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้
"จริงสิ วันนี้เรามาเริ่มบทเรียนบทต่อไปนี่นะ" เด็กหนุ่มยิ้มยิงฟันเข้าสู้
ฟากฟ้าหยุดหน้าเบ้เลิกคิ้วขึ้น
"อ..อือ" แล้วพยักหน้า
เท่ากับเบี่ยงเบนความสนใจได้ เด็กหนุ่มร้องเยสในใจเบา ๆ พลางกลอกตาไปมา
"ง..งั้นวันนี้เลิกเรียนฉันจะพานายไป..."
"เรียนพิเศษ" เด็กชายพึมพำ
"อีกแล้วเรอะ นายเรียนวันไหนบ้างเนี่ย" ทำทีสนใจเรื่องของคนตรงหน้าเพื่อให้ลืมเรื่องที่คุยก่อนหน้านี้
ฟากฟ้าตอบอย่างไม่คิดว่า "ทุกวัน"
อันที่จริงรู้อยู่เต็มอกแล้วว่าอีกฝ่ายบ้าเรียนยังกับอะไรดี การที่เรียนพิเศษทุกวันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มีวันหยุดสิที่จะน่าประหลาดกว่า
ขุนเขารู้เรื่องของฟากฟ้ามากพอสมควร เพราะเจ้าตัวเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง อีกอย่างครอบครัวของฟากฟ้าใครต่างรู้จักดี เศรษฐีใหม่ประจำอำเภอที่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตผลไม้กระป๋อง มีสวนเป็นของตัวเอง กำลังผลิตเป็นของตัวเอง สินค้าเป็นผลงานส่งออกนอกประเทศ รายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่าสิบหลัก ลูกชายจึงได้รับความเอาใจใส่ ฟูมฟัก ทะนุถนอมราวกับไข่ในหินเพื่อหวังให้โตมาเพื่อรับช่วงกิจการต่อ ทว่าดูเหมือนฟากฟ้าไม่ค่อยชอบกิจการของครอบครัวเท่าไร แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะปฎิเสธ
เพราะตอนประถมเรียนแบบโฮมสคูลจึงค่อนข้างมีปัญหากับการปรับตัวในสังคมเมื่อขึ้นมัธยม เลยถูกเป็นเป้าของการโดนกลั่นแกล้งได้ง่าย สาเหตุที่ชุนกับพรรคพวกรุมฟากฟ้าคงไม่ได้มีเพียงชอบผู้หญิงที่ชุนหมายตาเพียงอย่างเดียวแน่ ๆ
แม้จะรู้ดังนั้นแต่ขุนเขาเลือกที่จะปิดปากเงียบ
"ถ้าอย่างนั้นวันหยุดล่ะ"
"เรียนครึ่งวันเช้า"
"งั้นครึ่งวันบ่ายเอามาให้ฉัน"
ฟากฟ้าเอียงศีรษะเป็นเชิงสงสัย
ขุนเขาสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายนับแต่วินาทีแรกที่พบกันแล้วรู้สึกว่าฟากฟ้าสมกับเป็นเด็กบ้านคุณหนู ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่ดูจิ้่มลิ้ม ผิวพรรณขาวนวลเหมือนผู้หญิง รูปร่างที่ดูเล็กกว่ามาตรฐานของเด็กผู้ชายวัยมัธยม ซ้ำเสียงยังคงแหลมเล็กเหมือนสัตว์จำพวกแมลงทำให้ไม่ว่ามองมุมไหนแล้วไม่มีความน่าพึ่งพาได้อยู่เลย
ทว่าหากปรับแต่งสักนิดคงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของพวกผู้หญิงได้ไม่ยาก
ฟากฟ้าแต่งกายด้วยเครื่องแบบถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว ผมตัดเกรียนสั้น ชอบสะพายเป้โรงเรียนใบใหญ่เวลาเดินจึงเหมือนชูชกแบกของ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีหวังได้เสียบุคลิกแน่ อีกอย่างวันหยุดคงแต่งตัวไม่เป็นเหมือนกัน ถึงแม้เวลาใส่แว่นเชย ๆ ตอนเรียนในชั้นจะดูน่ารักแบบเนิร์ด ๆ ดีก็เถอะ
ขุนเขาลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบา
บทเรียนที่สองที่ควรทำต่อไปคือการสร้างความอิมเมจให้ดูดีนี่แหละ
"ไปไหนเหรอ" เด็กชายถาม
จู่ ๆ ขุนเขากลับปิ๊งไอเดียโดยไม่ได้คาดหมาย
ไหน ๆ ไปกันสองคนแล้ว ซ้อมไว้เลยแล้วกัน
"เดทไง"
ทว่าคำตอบนั้นฟากฟ้ากลับไม่เข้าใจมันสักนิดเดียว
"เดท ?" ซ้ำยังทวนคำกลับมาอีกด้วย
นี่มันยุคไหนแล้ว ห่างจากยุคน้ำแข็งมากี่ล้านล้านปี ทำไมคำว่าเดทถึงไม่รู้จัก สมัยนี้ต่อให้เป็นเด็กประถมยังแก่แดดจนรู้ไปถึงคำว่าหย่าร้างกันแล้วด้วยซ้ำ
สีหน้าของฟากฟ้านั้นไม่ได้เสแสร้ง
ไม่ใช่เล่น ๆ นะเนี่ย ขุนเขาคิด จะไร้เดียงสาก็ควรหัดมีขอบเขตบ้าง
"นี่นายไม่รู้จริง ๆ เรอะ"
ฟากฟ้าส่ายศีรษะตอบว่า "ไม่รู้"
ได้ยินดังนั้นขุนเขาพลันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นี่นอกจากจะต้องสอนเรื่องพวกนี้แล้วยังต้องให้อีกฝ่ายมาทำความรู้จักเกี่ยวกับเรื่องที่ควรรู้ไว้เพิ่มอีกแล้วละมั้ง ถ้าจีบผู้หญิงแบบที่ไม่รู้อะไรเลยจะกลายเป็นตัวตลกเอาเปล่า ๆ อีกอย่างผู้หญิงเขามักคาดหวังให้ผู้ชายทำเรื่องเซอร์ไพรส์อยู่ด้วย
ชุนเขาจึงอธิบาย
"ผู้ชายกับผู้หญิงนัดกันไปเที่ยวเพื่อหยั่งเชิงความเป็นไปได้ว่าจะคบกันดีหรือเปล่าน่ะ บางคนคบกันแล้วก็ไปเดทกันนั่นคือกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ให้สนิทกันมากยิ่งขึ้น ง่าย ๆ ว่าไปเที่ยวกับแฟนหรือคนรู้ใจนั่นแหละ" พยายามรวบรัดให้เข้าใจง่ายที่สุด
สีหน้าของฟากฟ้าพลันผ่อนคลายลงคล้ายเข้าใจ เด็กชายพยักหน้าหงึกหงักตามสองสามที
"แต่ผมกับขุนเป็นผู้ชายทั้งคู่นี่นา" เหมือนจะไม่ควรเรียกว่าเดทด้วยซ้ำ ผู้ชายกับผู้ชายคงไม่ให้ประโยชน์อันใดนี่
ขุนเขากลอกตาแล้วตอบว่า
"ฉันจะรับบทเป็นผู้หญิงให้เอง"
"อะไรนะ"
"ฉันหมายถึง" ขุนเขาเอ่ย "เราจะมาซ้อมเดทกันดู ให้นายเป็นนาย ส่วนฉันเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้น นายจะต้องปรนนิบัติดูแลเอาใจใส่ฉันเหมือนฉันเป็นแฟนนายจริง ๆ ยังไงล่ะ เพื่อไม่ให้เวลานายออกเดทแล้วจะได้รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง"
แค่จินตนาการว่าตนจะได้ออกเดทกับเธอคนนั้นใบหน้าฟากฟ้าพลันร้อนผ่าว เขาก้มหน้าหลุบลงต่ำ สายตามองพื้น
"ม..ไม่ขนาดนั้นหรอก ด..เดท...ฉ..ฉันคงไม่ได้..." น้ำเสียงงุ้งงิ้งในลำคอ
จนขุนเขาถอนหายใจคำรบสอง
"ก็บอกว่าซ้อมเอาไว้เผื่อได้ใช้จริงยังไงล่ะ" เด็กหนุ่มยืดตัวตรง ขยับแขนขา "ยังไงแล้วถ้านายทำตามที่ฉันบอกวันนั้นต้องมาถึงแน่ มีประสบการณ์มันย่อมดีกว่าไม่ใช่เหรอ" ขุนเขาหันไปมองเด็กขี้แยที่กำลังทำหน้าครุ่นคิด ตอนนี้คงกำลังคิดอะไรปนกันมั่วซั่วอยู่แน่ ๆ
"ใช่อยู่..."
"ถ้าอย่างนั้นจะกลัวอะไรล่ะ มันคือการฝึกซ้อม ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว บางทีอาจสามหรือสี่ตามมาก็ได้"
ฟากฟ้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่สื่อในน้ำเสียงของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
ขุนเขายิ้มบางก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่าอีกฝ่ายไว้
"จากนี้ไปขอเริ่มเข้าสู่บทเรียนที่สองของฉัน เอาเป็นว่าวันเสาร์ฉันจะไปรับนายที่โรงเรียนกวดวิชาตอนบ่ายโมง อย่าเพิ่งกินข้าวซะก่อนล่ะ"
"เข้าใจแล้ว"
"งั้นฉันไปล่ะ"
"เดี๋ยวก่อนขุน ..." ฟากฟ้าดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้อย่างนึกขึ้นได้
ทว่าสีหน้าและแววตาของขุนเขาทำให้เด็กชายกลับพูดไม่ออก
"เอ่อ .. ไม่มีอะไร" สิ่งที่อยากเอ่ยกลับถูกกลืนเข้าไปในลำคอ ขุนเขาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนยักไหล่
ไม่มีก็ไม่มี
เด็กชายปล่อยมือจากเด็กหนุ่ม
"บาย" ขุนเขาโบกมือลาให้อีกฝ่ายแล้วเดินจากมา
คิ้วฟากฟ้าค่อยขมวดขึ้นเป็นปม เพราะทิศที่ขุนเขาเดินไปนั้นไม่ใช่ทางไปห้องเรียน แต่เป็น ....
ทันใดนั้นเด็กชายถึงกับร้องอ๊ะ ออกมาเสียงดัง เพราะนั่นตนกำลังนึกขึ้นได้ว่า
ขุนเขากำลังโดดเรียนต่อหน้าต่อหน้าโดยที่เขายังไม่ยินยอมเห็นชอบเลยสักนิด !
นี่มันหลอกเบี่ยงเบนความสนใจแล้วชิ่งหนีกันนี่นา ! ฟากฟ้ารู้สึกโมโหให้กับความเผอเรอของตัวเองอย่างสุดจะทนจนต้องใช้กำปั้นทุบตักอย่างหงุดหงิด
อีกแล้ว ! หนีไปได้อีกแล้ว !
ส่วนขุนเขาที่แอบหนีมาได้นั้นพลันโล่งใจที่เหมือนฟากฟ้าจะไม่รู้สึกตัว จากที่จ้ำอ้าวหนีค่อยผ่อนฝีเท้าลงเป็นเดินเอื่อยเฉื่อย มองชมนกชมไม้ตามประสา โรงเรียนนี้ถือว่าสวยเพราะมีต้นไม้ล้อมรอบและสิ่งก่อสร้างสวยงาม ที่นี่มาจากพื้นที่บริจาค สมัยก่อนใช้เป็นพิธีอะไรสักอย่างทางศาสนาทำให้บางอย่างที่คงไว้ดูมีศิลปะ รวมทั้งอาคารที่เก่าแก่ร่ำลือถึงสิ่งลี้ลับนั่นอีก โรงเรียนในยามพลบค่ำไม่เหมาะที่จะเอาไว้นั่งเล่นอย่างแรง ขุนเขาคิดเช่นนั้น
สถานที่ประจำของเด็กหนุ่มคือตึกเก่าที่ไม่มีใครใช้ ผู้อำนวยการรองบประมาณทุบทิ้ง แต่ถึงอย่างนั้นสมาคมผู้ปกครองที่รู้สึกผูกพันกับอาคารนั้นก็ไม่ค่อยยอมอนุมัติเท่าไหร่ มีเสียงบ่นอิดออดเป็นระยะว่าน่าจะรีโนเวทใช้ทำอย่างอื่น แต่เพราะวัสดุมันคือไม้ จะซ่อมแซมยังไงมันก็ย่อมผุพังไปตามกาลเวลา
คราวก่อนเจอฟากฟ้ามานั่งร้องไห้ที่ห้องน้ำ อันที่จริงเขาสังเกตเห็นฟากฟ้ามาได้สักพักแล้ว
ชีวิตช่วงมัธยมของขุนเขาเป็นอะไรที่จืดชืด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเป็นส่วนเกินของทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ ครอบครัว โรงเรียน เพื่อน ครูบาอาจารย์ ทุกคนต่างเริ่มเมินเฉยในพฤติกรรมไม่เอาอ่าวของเขา แสร้งทำเป็นเหมือนกับว่าเขาคืออากาศธาตุ ไม่พูดคุย ไม่มีปฏิกริยา ได้แต่มองผ่านมาแล้วผ่านไป หากเขากระโดดตึกตายต่อหน้าพวกนั้นก็คงทำเป็นไม่รับรู้เช่นเดียวกัน
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาต้องแปลกแยก เด็กหนุ่มยังหาคำตอบไม่เจอ อาจเป็นที่ตัวเขา หรืออาจเป็นที่คนรอบข้าง และเมื่อมันเป็นมากเข้าเขาจึงยอมที่จะถอยและถูกลอยคออย่างโดดเดี่ยว ใช้ชีวิตไม่แคร์ใครมาตลอดสองปีเต็ม
จนกระทั่งวันที่เขาขึ้นมัธยมสามและได้อยู่ห้องเดียวกับเด็กขี้แยคนนั้น
เพราะสายงานของทางบ้านทำให้รู้จักกับบ้านของชุน ทว่าขุนเขากลับไม่เคยคิดจะเอาชุนเป็นเพื่อนแม้แต่น้อย มองลักษณะภายนอกก็รู้แล้วว่าคงไปด้วยกันไม่ได้ เชุนคือคนที่มีความคิดความอ่านแต่ใช้ไปในทางที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ ตรงข้ามกับเขาที่คิดจะทำก็ทำ ไม่คิดอะไรให้เยอะแยะ เพราะใช้สมองหนักไปพาลจะปวดหัวเปล่า ๆ
แม้จะพอรู้ว่าชุนมีอำนาจบาตรใหญ่ในโรงเรียน ยิ่งขึ้นเป็นพี่ใหญ่สายม.ต้นด้วยแล้วยิ่งทำให้กร่างชนิดที่ว่าแทบเป็นมาเฟียเลยก็ว่าได้
แต่ไม่คิดว่าคนที่เป็นเหยื่อคราวนี้จะเป็นลูกชายของโรงงานผลิตผลไม้กระป๋องนั่น
ฟากฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากคำว่าลูกคนรวยอย่างสิ้นเชิง
ลักษณะภายนอกคือเด็กเนิร์ดที่อยู่ฝ่ายวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ยอมถูกเป็นเบี้ยล่างชาวบ้านได้อย่างง่ายดาย แม้ใบหน้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรแต่เก็บความรู้สึกไว้ข้างในเพียบ ดูเหมือนคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก จนทำให้นึกสงสัยว่าแล้วชีวิตวัยประถมก่อนหน้านี้นั้นทำอะไรมา
เสื้อผ้าหน้าผมเหมือนเด็กโรงเรียนรัฐบาลทั่วไป บางทีคนรวยก็เดารสนิยมไม่ได้ ผมที่ตัดนั้นแอบสั้นยาวไม่เท่ากันเหมือนหนูแทะคาดว่าคงตัดเอง ชุดนักเรียนเป็นของที่ทางโรงเรียนจำหน่าย แต่สะอาดและเรียบร้อย พร้อมด้วยกระเป๋าเป้สีดำของโรงเรียนใบใหญ่ที่ตราอาร์มหายไปเกือบครึ่ง ทุกสิ่งอย่างนั้นถูกต้องตามระเบียบจนน่าหงุดหงิด
ซ้ำความขี้แยนั่นเอง จะขัดใจสักครั้งยังต้องเกรงใจ
ใช่ ขุนเขารู้สึกว่าไม่อยากให้เด็กคนนั้นร้องไห้ไปมากกว่านี้ เพราะเท่าที่เป็นก็บ่อน้ำตาตื้นง่ายอยู่แล้ว
ลอบสังเกตพฤติกรรมของชุนและฟากฟ้ามาสักพักเขาจึงได้คำตอบ
เพราะเด็กขี้แยไม่ยอมเจียมตัวดันแอบไปชอบกับเด็กผู้หญิงที่ชุนหมายตาไว้
สายตาของฟากฟ้าที่มองเธอคนนั้นช่างไม่มีปิดบังเอาเสียเลย บางครั้งถึงกับลอบมองเด็กหญิงจากด้านข้างแล้วอมยิ้มให้กับตัวเองก็มี หรือจู่ ๆ หน้าแดงอย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อเธอลุกขึ้นยืนแล้วชี้ให้เพื่อน ๆ ดูท้องฟ้า ยิ่งเวลาเธอยิ้มฟากฟ้าจะยิ่งทำตัวอะไรไม่ถูกเงอะงะ ซุ่มซ่าม ซึ่งคนช่างสังเกตอย่างชุนคงไม่ปล่อยไปแน่นอน
การกลั่นแกล้งของชุนมีหลายระดับ อย่างแรกอาจจะแค่ล้อเลียน ฟากฟ้าโดนเพื่อนผู้ชายที่อยู่ในสังกัดชุนแฟมิลี่ล้อเรื่องส่วนสูงและความตัวแคระอย่างไม่ปราณี
เลเวลต่อมาคือการแฉความลับที่เจ้าตัวไม่อยากให้ใครรู้ ที่ฟากฟ้าถึงกับมาร้องไห้ในห้องน้ำอาคารเก่านั้นมาจากการที่พวกชุนแอบขโมยสมุดของฟากฟ้าที่เขียนเพ้อถึงเธอคนนั้นลงไปแล้วอ่านออกเสียงให้พวกผู้หญิงในห้องฟัง สร้างความอับอายไม่พอ ซ้ำยังทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นมองฟากฟ้าด้วยสายตาแปลก ๆ
และขั้นสูงคือการใช้กำลัง ช่วงนี้ชุนได้ลูกน้องเป็นยักษ์วัดแจ้งสองคนขนาบซ้ายขวา ทำให้ยิ่งเหลิงอำนาจไปทุกที มัธยมต้นเข้าสู่ยุคมืดอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นขุนเขาจึงอยากเป็นกำลังให้ฟากฟ้าได้ตอกหน้าท้าทายอำนาจของชุนดูสักครั้ง เผื่อขั้วอำนาจที่มีอาจเปลี่ยน และเขาจะได้เลิกอึดอัดกับสถานการณ์ที่ทุกคนมองว่าคนที่จะล้มชุนได้คือเขาเท่านั้น
"เลิกโยนภาระที่ไม่ต้องการมาให้สักทีเถอะว้า" ขุนเขาเอ่ยอยู่คนเดียว โดยที่ไม่มีใครได้ยิน
...ซะที่ไหนล่ะ
"การเรียนไม่ใช่ภาระสักหน่อย"
สิ้นเสียงขุนเขาร้องเหวอออกมาเสียงดัง เขาสะดุ้งตัวโหยงแล้วหันไปมองต้นเสียง
ฟากฟ้ายืนหอบแฮ่ก ลิ้นห้อย หน้าแดง
"เฮ้ย ! มาได้ไง" จากสภาพดูก็รู้ว่าวิ่งตามมา
"แฮ่ก .. แฮ่ก...." ฟากฟ้าไม่ตอบทันที เขาเอื้อมมือมาคว้าแขนขุนเขาไว้ข้างหนึ่ง
เพราะยังไงคงตกใจที่ตนถูกตามเจอเลยยังนิ่งไม่ไหวติง
"ป...ไป..แฮ่ก...เรียนกัน..." เด็กชายพยายามเค้นเสียงเอ่ยกับอีกฝ่ายอยากยากลำบากเต็มที ริมฝีปากอ้าพะงาบสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ทว่าไม่ค่อยได้ผลดีเท่าไหร่นัก
สุดท้ายจึงต้านร่างกายตัวเองไม่ไหวจนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น
"เฮ้ !?"
ขุนเขาให้เวลาฟากฟ้าเกือบสามนาทีในการรวบรวมเรี่ยวแรงและสติสตังให้กลับคืน
จากนั้นคนขี้แยจึงเอ่ยว่า
"ไปเรียนกัน เลยเวลามามากแล้วนะ"
คำพูดนั้นทำให้ขุนเขาเลิกคิ้วสูง จริงอยู่ที่เสียงออดดังขึ้นไปสักพักแล้ว และน่าแปลกใจมากว่าคนที่บ้าเรียนสุด ๆ อย่างฟากฟ้าจะเสียสละอันมีค่านั้นมาตามตนถึงที่นี่
แต่นั่นยังคงไม่ทำให้เขาเปลี่ยนใจได้
"ไม่ละ นายไปเรียนเถอะ ถ้าไปสายกว่านี้อาจารย์จะดุเอา" กับเขาน่ะไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่ถ้ากับเด็กเรียนแบบอีกฝ่ายจะถูกหาว่าไม่เลือกคบเพื่อนเอาก็ได้
ในช่วงนั้นเองที่ขุนเขาคิดว่าบางทีตนอาจจะเป็นภาระให้กับอีกคนมากว่าหรือเปล่า
ทว่าฟากฟ้าส่ายศีรษะ
"ถ้าขุนไม่ไป ผมก็ไม่ไป"
"เฮ้ ไหงงั้น"
"เพื่อนกันต้องทำอะไรด้วยกัน"
เพื่อนอีกแล้วเรอะ .. ทำไมคำนี้ถูกหยิบยืมมาใช้บ่อยจริง แถมเขายังไม่กล้าปฏิเสธอีกต่างหาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงตอกหน้าหงายไปแล้ว แต่อย่างว่า เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องหน้าเบ้จะร้องไห้อีกแล้ว
เพื่อน ...
เพื่อนเรอะ ?
"นี่นายอาจจะเข้าใจคำว่าเพื่อนผิดไปก็ได้มั้ง"
"ยังไง ?"
"เพื่อนกันเขาไม่จำเป็นต้องตัวติดกันเหมือนตังเมหรอกน่า ไม่ใช่ฝาแฝดกันสักหน่อย แต่ละคนมีเส้นทางชีวิตต่างกันรู้ไหม และการที่นายมาลากฉันไปเรียนด้วยเนี่ยมันทำให้ตัวนายเสียเวลา และถ้านายเกิดเรียนไม่รู้เรื่องขึ้นมากลายเป็นฉันที่จะรู้สึกแย่นะ"
ทว่าเหตุผลนี้สำหรับฟากฟ้าแล้วมันเหมือนข้อแก้ตัว
แววตาเด็กขี้แยพลันเปลี่ยนกลายเป็นจริงจัง ดวงตาหรี่ลง ริมฝีปากเป็นเส้นตรงบางเฉียบ สีหน้าแบบนี้บ่งบอกเลยว่ากำลังจะโมโห
"เพื่อนคือคนที่คอยช่วยเหลือเวลาที่ใครอีกคนกำลังแย่ต่างหาก เพื่อนคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างกันในวันที่ทุกข์ สุข เศร้า ผมเคยอ่านเจอหรอกนะ ขุนเองนั่นแหละที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่าเพื่อน ถ้าขุนจะโดดผมก็ต้องโดดด้วย ถ้าขุนจะเรียนไม่จบผมก็ต้องเรียนไม่จบด้วย เพื่อนเขามีไว้ทำแบบนั้นล่ะ"
ขุนเขารู้สึกเถียงไม่ออกไปชั่วขณะ แววตาของฟากฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าจนนึกไม่อยากขัด ยอมรับว่าเหตุผลตนมีช่องโหว่ แต่ใช่ว่าเหตุผลอีกฝ่ายจะสมบูรณ์ไร้ที่ติ อย่างน้อยไอ้ที่บอกว่าจะพากันดิ่งลงเหวนั้นคงไม่ใช่แน่ ๆ
ทว่ามาขนาดนี้ฟากฟ้าคงไม่ยอมเขาตามคาด
เพิ่งรู้ว่าเป็นคนหัวดื้อใช้ได้
"นี่นายน่ะ ไม่เคยมีเพื่อนใช่ไหม"
"ขุนเองก็เหมือนกัน"
"เออ ฉันก็ไม่เคยมีหรอกคนที่บอกปาว ๆ ว่าตัวเองเป็นเพื่อนแล้วมาตามจิกคนที่บอกว่าเพื่อนให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเนี่ย"
ฟากฟ้าเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
ขุนเขาเพิ่งรู้ตัวว่าพูดแรงเข้าให้แล้ว แน่นอนว่าเด็กขี้แยหน้าจ๋อยสนิท มือที่จับแขนขุนเขาไว้พลันคลาย
"ขอโทษ" แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ทว่าใบหน้านั้นไม่บ่งบอกว่าจะแหกปากร้องไห้โฮภายในหนึ่งวินาที ตรงกันข้ามฟากฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วยกแขนขยี้หน้าตัวเอง
"เอ่อ..."
"ขอโทษ" ฟากฟ้าเอ่ยอีกครั้งก่อนลุกขึ้นยืน แล้วก็ ...
"ขอโทษจริง ๆ"
วิ่งออกจากอาคารเก่าไปอย่างรวดเร็วจนขุนเขาต้องอ้าปากค้าง
เอาจริงเรอะ !?
ไม่ร้องไห้แล้วก็จริง แต่ทำแบบนี้มันปวดใจมากกว่าเป็นเท่าตัว เด็กหนุ่มไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายวิ่งหนีไปทั้ง ๆ อย่างนี้ เขาลุกขึ้นแล้วรีบเร่งฝีเท้าวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าร่างกายของคนมันต่างกันไม่กี่ก้าวเด็กหนุ่มพลันคว้าแขนอีกฝ่ายไว้หมับ
"แค่ไปเรียนใช่ไหม ?"
เด็กหนุ่มถาม
"อื้อ" ฟากฟ้าพยักหน้าหงึกหงัก
"เออ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ"
"ไม่ได้"
"อะไรวะ นี่็ยอมให้สุด ๆ แล้ว" ทว่าฟากฟ้ากลับไม่ตอบ
แต่เปลี่ยนเรื่องแทน
"ผมต้องแต่งตัวยังไง วันเสาร์น่ะ" เมื่อจู่ ๆ ถูกเปลี่ยนเรื่องขุนเขาแทบตั้งตัวไม่ทัน ผ่านไปเกือบหน้าวินาทีเพิ่งนึกได้ว่าตนเคยบอกอะไรไว้
"ยังไงก็ได้ที่คิดว่าหล่อที่สุดแล้ว"
ทว่าโจทย์นั้นเด็กชายกลับคิดไม่ออก เสื้อผ้าที่มีก็เป็นชุดธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วแบบนั้นขุนเขาจึงอธิบายเสริม
"ใส่อะไรก็ได้ที่เป็นตัวนายที่สุด" บอกแค่นั้นก่อนที่ทั้งสองจะเดินถึงอาคารเรียน
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ขุนเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้ถูกเด็กขี้แยเอาคืน
กว่าจะวันเสาร์ก็มะรืน ทว่าน่าแปลกที่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกปวดในมวนท้องอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่ก่อนหน้านั้นขุนเขาถึงกับสำลักน้ำลายเมื่อถูกถามว่า
"แล้วขุนจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงหรือเปล่า" ด้วยสีหน้าใสซื่อของอีกฝ่ายที่คิดว่าเขาจะรับบทเป็นผู้หญิงให้จริง ๆ
เล่นทำเอาพูดไม่ออกเลยทีเดียว