หลงที่ 20 : เมษา [ยิม]
“ น้องง่วง”
เด็กตัวขาวนี่พูดไปหาวไปไม่นานหลังจากนั้นดวงตากลมโตก็ค่อยๆหรี่ลง ก่อนจะปิดสนิทในที่สุดก็จะไม่ให้ง่วงยังไงไหวตั้งแต่มาถึงนี่เล่นไม่หยุด ชวนให้ไปนอนตั้งแต่หัวค่ำก็ไม่ยอมนอน สุดท้ายเด็กน้อยก็นอนหลับกอดหุ่นยนต์ที่หมอซื้อให้เสียแน่นมันชวนเอ็นดูจนต้องก้มลงไปหอมหน้าผากน้องเบาๆ แล้วค่อยช้อนร่างน้อยเข้าไปนอนในห้อง
“ ปอหลับแล้วเหรอ”
“ ครับ”
ผมหันไปตอบคำถามหมอซึ่งยืนหาววอดๆอยู่หน้าประตูห้องนอน พอได้คำตอบแล้วหมอก็พยักหน้าหงึกหงักเดินไปปิดโคมไฟซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือด้านนอก แล้วเดินตาปิดคลำทางมา ผมยิ้มขำกับท่าทางง่วงจัดของหมอ เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าตัวเองเดินมึนๆขี้หูขยี้ตาน่ามองแค่ไหน สุดท้ายแล้วหมอก็ยอมแพ้ให้กับความง่วงจนคลานขึ้นเตียงไปนอนมุดผ้าห่มกับน้อง มันเป็นภาพที่น่าดูไม่น้อยเมื่อสองพี่น้องขยับเข้าหากันแทบจะทันที น้องปอละเมอไปซุกอกหมอขณะที่คนพี่ก็อ้าแขนรอรับศีรษะทุยสวยทันที
“ หมอ”
“ อื้อ”
“ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ผมก้มลงไปประทับจูบริมฝีปากสีสดของหมออย่างแผ่วเบา อีกฝ่ายทำเสียงอืออาส่ายมือเปะปะชกไหล่ผมเบาๆ ยังดีว่าตอนนี้หมอครึ่งหลับครึ่งตื่นถ้าเป็นตอนที่มีสติครอบถ้วนอยู่ผมคงโดนสะกิดหน้าหงายแน่
ผมถอนหายใจคิดถึงเวลาเกือบเดือนแล้วผมเปิดอกคุยกับหมอและหมอเองก็เหมือนจะตอบตกลง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ยังเหมือนเดิมเหมือนตอนก่อนหน้านี้ที่เราเป็นแค่เพื่อนข้างห้องกัน ถึงเราจะปฏิบัติต่อกันเหมือนเดิมแต่ผมสัมผัสได้ว่าความรู้สึกข้างในต่างหากที่เปลี่ยนไป ผมเกลี่ยปลายนิ้วไปตามใบหน้าอีกฝ่ายก็โดนหมอปัดทิ้งอย่างรำคาญ ผมยิ้มและนึกเห็นใจหมอไม่น้อยเพราะตลอดเดือนที่ผ่านมาหมอยุ่งมากแค่ไหน
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาสอบของมหาวิทยาลัยซึ่งผมเองก็แทบเอาชีวิตไม่รอด จึงไม่แปลกที่จะเห็นหมอตาลึกโหลเหมือนคนอดหลับอดนอนขนาดนี้เพราะทั้งเรียนด้วยสอบด้วย ไหนจะราววอร์ด สรุปเคทอะไรอีกมากมายที่เห็นหมอทำอยู่ตลอดเวลา พอตกกลางคืนแทนที่จะได้นอนต้องมานั่งอ่านหนังสือดึกดื่น แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนผมก็ไม่ยักกะเห็นหมอบ่นสักคำ ผมรู้ว่าหมอมีความสนใจในสิ่งที่ทำอยู่ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนแต่แววตาหมอกลับมีประกายทุกครั้งที่เราสบตากัน
วันนี้เป็นวันแรกในรอบเดือนที่เราได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน เพราะนอกจากหมอจะติดสอบและเรียนหนักจนบางครั้งไม่ได้กลับมานอนที่คอนโดแล้ว ผมเองก็ยุ่งเพราะช่วงนี้ผมกำลังส่งภาพถ่ายเข้าประกวด เพราะเหตุนี้เราเลยต่างคนต่างยุ่งจนไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเป็นเดือนๆ โชคดีที่วันนี้น้องปอโทรมาอ้อนหมอให้ไปรับที่โรงเรียนอนุบาล เห็นหมอบอกว่าไม่มีใครอยู่บ้านอีกแล้วน้องเลยงอแงให้ไปหาสุดท้ายหมอก็ใจอ่อนไปรับมาอยู่ด้วยเพราะตรงกับเสาร์อาทิตย์พอดี ก่อนหน้านี้หมอก็พาน้องไปกินไอศกรีมในห้างซ้ำยังใจดีซื้อหุ่นยนต์ให้เด็กขี้อ้อนอีก ไม่แปลกที่น้องปอจะนอนกอดหุ่นยนต์เสียแน่นขนาดนี้
ผมกอดอกนั่งมองสองพี่น้องหลับใหลสักพักหนึ่งก่อนจะคว้าเอากล้องถ่ายรูปตัวโปรดของผมที่เก็บเงินซื้อตั้งแต่อยู่อังกฤษมาปรับแสงก่อนจะเล็งสายตามองผ่านเลนส์ โดยมีจุดโฟกัสคือใบหน้าหมอยามหลับใหล หมอไม่รู้ว่าเวลาที่หมอหลับผมแอบถ่ายรูปอีกฝ่ายตลอด เพราะเวลาที่อีกฝ่ายหลับใหลใบหน้าเรียบเฉยนั่นดูอ่อนโยนผ่อนคลายอย่างประหลาด ผมชอบที่สุดมันเหมือนว่าหมอได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่ต้องแบกรับมาตลอด มันดูผ่อนคลายเผยให้เห็นความสดใสที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
ผมเกลี่ยปลายนิ้วไปตามใบหน้าอีกฝ่ายหลังจากแอบถ่ายรูปหมอไปเสียหลายรูป หมอเป็นคนผิวดีแม้ใบหน้าจะดูอิดโรยเพราะหมอไม่ค่อยได้พักผ่อน ผมนิ่งมองอีกฝ่ายเหมือนกลัวว่าหมอจะหายไปคิดดูสิจากวันแรกที่รู้จักกันอย่างไม่เป็นมิตรนักจนถึงตอนนี้ผมได้มีโอกาสก้าวเข้ามาเป็นคนสำคัญของหมอ ถึงหมอจะไม่ค่อยพูดหรือแสดงออกอะไรมากนักแต่ผมกลับชอบความสัมพันธ์แบบนี้
...มันไม่น้อยไป ไม่มากไป...
...ไม่ได้ใกล้จนหายใจไม่ออก แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจนเอื้อมไม่ถึง...
ถึงเราจะไม่ได้พูดอะไรให้อีกฝ่ายรับรู้มากนัก แต่การกระทำและความรู้สึกระหว่างกันดูชัดเจนขึ้น
“ หมอ”
ผมกระซิบข้างหูอีกฝ่าย “ ขอให้หมอฝันดี ฝันถึงผมด้วยนะครับ”
หลังจากนั้นผมก็เดินออกมาจากห้องนอน เพื่อมาทำงานของตัวเองต่อ ก่อนจะปิดประตูห้องกันไม่ให้แสงสว่างจากห้องครัวสาดเข้ามาผมทันเห็นรอยยิ้มของหมอปายยามหลับใหล
...ยิ้มหมอยิ้มเดียว ก็เหมือนว่าจะมีแรงทำงานทั้งคืนแล้ว...
.
.
.
....Rrrrrr...
เสียงโทรศัพท์หมอที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือดังขึ้นในความเงียบ ทำให้ต้องละความสนใจจากงานตรงหน้าทันทีเพราะกลัวว่าเสียงนั้นจะดังเข้าไปรบกวนการนอนของหมอในห้อง ผมถอนหายใจเมื่อเห็นชื่อ ‘ไอลดา’ เป็นรายชื่อสายเรียกเข้า คราแรกได้แต่นิ่งมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างไม่รู้จะทำยังไง ครันจะกดปิดก็กลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะมีธุระสำคัญในเวลาดึกดื่นขนาดนี้ แต่จะให้ไปปลุกหมอมารับก็ไม่มีทางซะล่ะ สุดท้ายผมเลยถือวิสาสะกดรับโทรศัพท์เอง
‘ครับ’
‘ปาย’ ปลายเสียงทำเสียงอ้อแอ้คล้ายคนเมา
‘หมอปายนอนแล้วครับ’
‘แล้วแกเป็นใคร สะเออะมารับสายปายทำไม’
ผมถอนหายใจเมื่อเจ้าหล่อนดูจะมีอารมณ์
‘มีธุระอะไรกับหมอครับ’
‘ไปตามปายมาคุยกับฉัน’
‘ผมบอกคุณไปแล้วว่าหมอนอนแล้วไม่สะดวกมารับสายคุณ ถ้ามีธุระสำคัญฝากผมไว้ก็ได้ครับ’
‘แกไอ้คู่ขาปายวันนั้น’
เหมือนหล่อนจะจำได้ซะแล้วว่าเคยปะทะกับผมในวันนั้น
‘นี่แกอยู่กับปายเหรอ’
‘ครับ’
‘ไม่จริง ไม่มีทาง ปายไม่มีทางเลือกคนอย่างแก’
‘แล้วทำไมหมอถึงเลือกผมไม่ได้ล่ะครับ’ ผมเดาะลิ้นกวนๆ
‘เขาไม่มีทางชอบใครได้อีก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย’ ปลายสายฟูมฟาย ‘ปายไม่มีทางลืมรักแรกของเขาได้ ไม่มีทาง’
...รักแรกงั้นเหรอ...
ผมรับรู้ถ้อยคำเหล่านั้นด้วยอาการที่วูบโหวงในใจแปลกๆ มันรู้สึกยังไงไม่รู้ที่รู้ว่าหมอมีรักแรกที่ไม่อาจลืมเลือน
‘แกไม่มีทางแทนที่
“เมษา” ได้ไม่มีวัน ’
ไอลดาเริ่มร้องไห้ ‘ถ้าปายจะรักใครอีก คนๆนั้นต้องเป็นฉันเพราะฉันอยู่เคียงข้างเขามาตลอด’
...เมษา...
ผมพึมพำชื่อใครคนหนึ่ง โดยปล่อยความคิดให้หลุดลอยไปลืมฟังแม้กระทั่ง ถ้อยคำด่าทอที่อีกฝ่ายด่ามาตามสาย ผมนิ่งเงียบปล่อยให้โทรศัพท์ดับไป
ผมนิ่งอยู่นานในหัวกำลังทบทวนชื่อที่ได้ยินมา เธอคนนั้นเป็นใคร เธอมีความสำคัญกับหมออย่างไร ถึงว่าเวลาที่หมอพูดถึงอดีตหมอถึงดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดทุกครั้ง เพราะหมอคงจะเก็บเธอไว้ในส่วนลึกสินะ เธอคนนั้นคงมีอิทธิพลกับหมอจริงๆ ผมยอมรับว่าอดใจหายกับข่าวที่ได้ยินไม่ได้ ไม่สิไม่ใช่ใจหายแต่กำลังน้อยใจหมออยู่ต่างหาก เพราะนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หมอดูเย็นชาปิดรับความรู้สึกรอบข้าง
แล้วยังไง ผมต้องมัวมานั่งน้อยใจกับอดีตโดยไม่คิดถามหมองั้นเหรอ ไม่มีทางซะหรอกต่อให้เธอจะมีตัวตนจริงหรือไม่แต่ก็ตามในตอนนี้ ผมเองก็มีความสำคัญกับหมอไม่ต่างจากคนๆนั้นเหมือนกัน
“ ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
เพราะมัวแต่เหม่อจึงไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้หมอตื่นมายืนมองผมอยู่ใกล้ๆแค่นี้
“ หมอตื่นมาทำไมครับ”
หมอปายปิดปากหาว แต่สีหน้าดูสดชื่นขึ้นคงเพราะไม่พักสายตา ผมเหลือบตามองไปยังนาฬิกาที่แขวนบนฝาผนังบอกเวลาตีสองกว่าแล้ว แสดงว่าหมอไปนอนได้เกือบสองชั่วโมงแล้วสินะ
“ กูตื่นมาอ่านหนังสือต่อแล้วมึงล่ะยังไม่นอนอีกเหรอ”
ผมส่ายหน้า
“ ยังทำงานไม่เสร็จครับ” หมอพยักหน้ารับก่อนจะบิดขี้เกียจ เดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือ ผมเลยได้แต่มองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายไปเงียบๆ เพราะเวลาดึกสงัดรอบกายผมจึงได้สงบเงียบเช่นนี้ หากเป็นก่อนหน้านี้ผมคงรู้สึกดีไม่น้อยเพราะผมต้องอาศัยความเงียบในการทำงาน แต่ตอนนี้ความเงียบแบบนี้กลับชวนอึดอัดเพราะเรื่องราวที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้
...มันอึดอัดอยู่ในใจจนอยากระบายออกมา...
“ หมอครับ”
“ หืม”
หมอทำเสียงในลำคอ สายตายังจดจ้องที่ตำราเรียนภาษาอังกฤษเล่มหนาซึ่งเต็มไปด้วยภาพร่างกายของมนุษย์ ผมถอนหายใจจนหมอสัมผัสได้จึงเงียบไป ฝ่ายนั้นจึงละมือจากหนังสือตรงหน้าหันมามองผมทันที
“ มีอะไร”
“ เมื่อกี้คุณไอลดาโทรมาครับ”
“ แล้วไง”
“ ผมถือวิสาสะรับสายครับ”
“ มันคงไม่ใช่แค่นี้มั้งที่มึงจะบอกกู” หมอกอดอกมองผมนิ่ง “ มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
ผมถอนหายใจอีกครั้ง
“ เธอพูดถึงผู้หญิงที่ชื่อ ‘เมษา’ ”
หมอถอนหายใจคลึงขมับตัวเองไปมา ผมเลยลอบสังเกตอาการอีกฝ่ายที่ดูจะแปลกไปแววตาหมอไหววูบดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก อาการเหล่านั้นทำเอาผมใจวูบโหวง
“ ไอบอกอะไรมึงบ้าง”
“ เธอบอกแค่ว่าหมอไม่มีทางรักใครได้ เพราะหมอไม่เคยลืมเมษา”
เราสบตากันนิ่งและเป็นผมเองที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ส่วนหมอขยับตัวไปยังโต๊ะอาหารที่ครัวจนต้องผมต้องลุกตาม ผมมองหมอเทนมใส่แก้วแล้วเอาไปอุ่นในไมโครเวฟ ก่อนจะวนมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ กูไม่มีทางลืมเมษา”
หมอพึมพำแววตาเหม่อมองไปไกล หมอแสดงออกว่ารู้สึกห่วงหาใครบางคนจนผมสัมผัสได้ ถึงในใจผมวูบโหวงแต่ก็รู้สึกได้ว่าความรู้สึกของหมอมันเป็นความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์น่าจดจำ
“ เมษาเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวของกู” หมออมยิ้มเมื่อพูดถึงเธอ “ เธอสวยน่ารัก เมษาเป็นคนอ่อนโยน เราเป็นเพื่อนกันมาก่อน นอกจากอั้มที่สนิทกับกูมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว กู เมษา และไอลดาเรามาสนิทมากันตอนเรียนม.ปลายเพราะเราเรียนห้องเดียวกันจากความสนิทสนมทำให้กูรู้สึกดีๆกับเมษาจนขอเธอเป็นแฟน”
...เป็นคนสำคัญของหมอปายจริงๆสินะ ผมแค่นยิ้มก่อนจะถอนหายใจอย่างอ่อนล้า...
“ แล้วตอนนี้เธออยู่ไหนครับ”
หมอเงยหน้าขึ้นสบตากับผมไม่รู้ว่าตาฝาดไปรึเปล่าที่เห็นหยาดน้ำใสๆในแววตาคู่นั้นของหมอ
“ ถ้ามึงจำได้กูเคยเล่าว่าแม่กูประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต” หมอเสียงสั่นๆ “ แล้วรถคันนั้นเมษาก็นั่งไปด้วย”
...งั้นก็แสดงว่า...
ผมอ้าปากค้างนึกโกรธตัวเองที่พาลไปรู้สึกไม่ดีกับผู้หญิงที่ล่วงลับไปแล้ว ซ้ำเธอยังไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับผมด้วยซ้ำ ผมคิดเองเออเองต่างหาก โธ่เอ้ยไอ้ยิม
“ ผมเสียใจด้วยนะครับ”
“ มันนานมาแล้ว” หมอพูดเสียงเบา “นานจนเวลามันทำให้ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว”
“ ผมขอโทษที่รื้อฟื้นมันทำให้หมอต้องคิดถึงความเจ็บปวดตอนนั้น”
หมอส่ายหน้าปฏิเสธ “ ถึงยังไงแม่กับเมษาก็ไม่ฟื้นขึ้นมา พวกเขาไม่มีทางกลับมาหากู กูยอมรับว่ายังเสียใจอยู่แต่พวกเขาคือความทรงจำ คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่กูเคยมี”
ผมเอื้อมไปกุมข้อมือหมอแล้วเขย่าเบาๆ
“ เก็บพวกเขาเอาไว้เถอะครับหมอ เก็บเมษาไว้ในความทรงจำ ถึงแม้จะเศร้าใจทุกครั้งที่ได้คิดถึงแต่ยังดีกว่าไม่มีใครให้คิดถึง”
“ อืม”
“ หมอครับ”
ผมขยับเข้าไปใกล้หมอ “ ครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องของเมษาผมยอมรับว่ากำลังคิดน้อยใจ และไม่เข้าใจหมอ ผมขอโทษที่คิดแบบนั้น”
“ อย่าน้อยใจเลย”
หมอลูบปลายคางผม
“ ถ้าเมษาคืออดีตที่สมควรจดจำ มึงก็คือปัจจุบันที่กูควรรักษาเอาไว้” ผมไม่นึกว่าหัวใจตัวเองจะเต้นแรงขนาดนี้ เมื่อได้ยินประโยคง่ายๆของหมอแต่ฟังแล้วลึกซึ้งสำหรับผมเหลือเกิน แปลกมั้ยสำหรับความรักบทจะหวานก็พาให้หัวใจสั่นไหว พอเศร้ามาเยือนครั้งใดก็เหมือนว่าใจจะจาดเสียให้ได้
...ประหลาดแท้ความรัก...
“ ผมบอกตัวเองตั้งแต่ได้ยินเรื่องของเมษาว่า ต่อให้เธอจะมีตัวตนหรือไม่ก็ตาม ผมก็จะไม่ยอมให้เมษาหรือใครๆมีความสำคัญกับใจหมอเท่ากับผม ผมขอคิดเข้าข้างตัวเองว่าผมสำคัญเป็นที่หนึ่งสำหรับหมอ”
ระหว่างเรามีแต่ความเงียบจนเสียงไมโครเวฟดังขึ้น
“ มึงคิดถูกแล้วล่ะ” ไม่ผิดใช่มั้ยถ้าผมจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังหัวใจพองโต
หมอขยับรอยยิ้มก่อนจะเดินไปหยิบนมที่อุ่นจนร้อนในไมโครเวฟ แล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมก่อนจะยกนมขึ้นเดิม แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามที่เห็นผมมองอยู่ ผมเลยชี้ไปที่ขอบปากหมอแล้วอธิบาย
“ นมเลอะขอบปากครับหมอ”
หมอเม้มปากแน่นก่อนจะแลบลิ้นเลียขอบปากของตัวเอง ผมเลยผุดลุกขึ้นไปยืนอยู่ใกล้ๆหมายจะหยิบทิชชู่เช็ดให้ พอดีหมอเงยหน้ามองผม จะเรียกว่าทุกอย่างมันยากเกินกว่าที่ผมจะควบคุมก็ได้เมื่อผมยืนเท้ามือข้างหนึ่งไปที่พนักเก้าอี้ของหมออีกข้างยันที่โต๊ะก่อนจะโน้มใบหน้าไปประกบริมฝีปากที่เลอะคราบนม ถึงจะประหลาดใจที่หมอซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เงยหน้ารับจูบของผม แต่เหมือนบรรยากาศรอบข้างจะหยุดลงฉับพลัน เหมือนว่านาฬิกากำลังหยุดเดิน ตอนที่ปลายลิ้นผมไล่ดูดคราบนมแล้วป้อนให้หมอปายผ่านลิ้น ไม่นานลิ้นของเราทั้งสองก็เกี่ยวกระหวัดกันจนมั่วไปหมด ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองหูอื้อ ตาลายแทบจะจำอะไรไม่ได้ ผมจำจดได้แต่สัมผัสของเราสองคน
ผมอยู่ในท่าประหลาดคือคร่อมทับหมอซึ่งถูกผมอุ้มไปนอนแผ่อยู่บนโต๊ะอาหาร ถึงอย่างนั้นริมฝีปากเราก็ไม่แยกจากกันเลย ตรงกันข้ามผมรู้สึกว่าเราสัมผัสกันแนบแน่นมากขึ้น ทั้งมือก็ลูบไล้ไปตามกล้ามเนื้อเรียงสวยของหมอ ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังร้อนเป็นไฟ ท้องน้อยเสียววูบวาบไปหมดเหมือนมีอะไรอัดอั้นอยู่ภายใน ยิ่งเสียงของหมอครางท่ามกลางความเงียบยิ่งพาให้สติผมกระเจิดกระเจิง หมอปายหดขาหนีตอนที่ลำตัวช่วงล่างของผมกำลังสีที่ต้นขา
“ หมอครับ”
“ อื้ม”
“ ผมกำลังร้อนเพราะหมอ”
“ ยิม”
หมอครางเสียงกระเส่าตอนที่ปลายนิ้วผมคีบติ่งไตทั้งสองบนหน้าอกแล้วสะกิดไม่เบานัก สีหน้าหมอดูยั่วยวนอย่างประหลาดและปฏิกิริยานั้นกลับทำให้อารมณ์ผมพุ่งทะยาน
“ ปล่อยกู”
“ ผมรักหมอ”
ผมกระซิบชิดริมฝีปากอีกฝ่ายซ้ำยังถูไถส่วนกลางที่ก้นอีกฝ่ายอย่างหยาบโลน ภาพตรงหน้าชวนตื่นเต้นตอนที่หมอบิดตัวไปมาทำเอาผมปวดไปหมดเมื่อสัมผัสระหว่างเรามีแค่กางเกงเนื้อบางที่กางกั้นตัวตนของแต่ละฝ่าย
“ กะ กูต้องอ่านหนังสือ”
“ ครับ”
ผมรับคำโดยไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าหมอพูดว่าอะไร รู้แต่ว่าผมปรารถนาในตัวหมอจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
“ ปล่อย”
หมอครางไม่เต็มเสียงตอนที่ผมฝังใบหน้าที่ซอกคออีกฝ่าย
“ หมอ”
“ โอ้ย”
หมองอเข่าจนมันกระแทกหน้าท้องผมเต็มๆ ความเจ็บนั้นทำเอาผมเผลอปล่อยมือจากหมอจนฝ่ายนั้นผละถอยหลัง หมอทำหน้าบอกบุญไม่รับหัวหูแดงก่ำ ริมฝีปากบวมเจ่อ เสื้อยืดเลื่อนหลุดไหล่ไปข้างหนึ่ง ภาพตรงหน้าโคตรยั่วอารมณ์ผมเลยให้ตายเถอะ
ผมอมยิ้มมือยังกุมท้องที่โดนหมอกระแทกเข่าใส่ไม่เบาแรงเลย
“ หน้าผมมีอะไรติดรึเปล่าครับทำไมหมอไม่มองหน้าผมเลย
“ หน้ามึงนะไม่มีอะไร” หมอเงยหน้ามองผมอย่างโกรธเคืองก่อนจะเหลือบตามองกึ่งกลางลำตัวผม
“ แต่ลูกมึงเนี่ยจะชี้หน้ากูไปถึงไหน”
ผมหัวเราะดังลั่นขณะที่หมอทำตาเขียวมองผมอย่างเอาเรื่อง
“ เช้าๆก็งี้แหละหมอ น้องผมมันแข็งแรง”
หมอกรอกตาไปมาทำหน้าบอกบุญไม่รับแล้วชี้นิ้วไปทางนาฬิกาตรงฝาผนัง
“ ตอนนี้เพิ่งตีห้าเช้าบ้านมึงสิ”
“ มันเตรียมยืนตรงเคารพธงชาติไงครับ พอแปดโมงจะได้ไม่ต้องเรียกรวมพลนาน”
“ ไอ้เหี้ยโคตรเสื่อม”
หมอทำหน้ารังเกียจผมทันที
“ หมอใจร้าย”
ผมเกรียนใส่ “ ไม่รับไหว้ลูกชายผมเลย”
“ ไอ้หมายิม”
หมอฮึดฮัดเดินหน้าแดงกลับไปยังโต๊ะอ่านหนังสือทันที ผมเลยแปลงเนื้อเพลงร้องแซวหมอขำๆ‘ ได้เกิดมาเจอหมอทั้งที ไม่ว่ายังไงก็อยากลองดีสักวัน’
“ ลองตีนกูก่อนมั้ย”
เสียงหมอดังแหวกอากาศมาพาให้บรรยากาศยามเช้ามืดครื้นเครง ผมรู้สึกว่ามันโคตรดีเลยว่ะ ถ้าตื่นมาเจอกันทุกๆวันแบบนี้ ผมหมายถึงตื่นมาเจอหน้าหมอนะไม่ใช่ตีนหมอ
จะ จูบกันอีกแล้ว เมื่อไหร่จะได้ไปต่อคะ (หมอปายบอกว่าอย่าแม้แต่จะคิด หึ !!!) ฮ่าๆๆๆ
ช่วงนี้อัพหัวค่ำหน่อยเนื่องจากว่านักเขียนอยู่บ้านที่ตวจ.อัพดึกแล้ววังเวง ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนเหลย ฮ่าๆๆๆ
หนึ่งความคิดเห็นคือหนึ่งกำลังใจนะจ๊ะ จุ๊บๆๆๆ