หลงที่ 17 : จูบ [ยิม] 50 %
“ น้องชอบ”
ปอทำหน้ายิ้มแฉ่งเลียขนมสายไหมท่าทางเอร็ดอร่อย ใบหน้าขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเพราะอากาศที่ร้อนแต่แววตายังร่าเริงสดใส ตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯผมก็พาแวะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆตามรายทางก่อนจะถึงจุดมุ่งหมายคือชะอำ และก่อนจะถึงรีสอร์ทที่พักเลยพาหมอกับน้องปอแวะทานอาหารเช้าก่อน ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นที่ถูกอกถูกใจสองพี่น้องคู่นี้พอสมควร
น้องปอร่าเริงเป็นพิเศษวิ่งวนไปรอบตลอดจนบรรดานักท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ค้าต่างให้ความเอ็นดู ทั้งที่เหงื่อท่วมตัวแต่ยังยิ้มแฉ่ง ก่อนหน้านี้ผมน้องปอที่ยาวดูน่ารำคาญจนคนเป็นพี่ต้องหายางมามัดเป็นจุกข้างหน้าชูขึ้นเป็นทรงน้ำพุ เวลาขยับศีรษะที่จึงเด้งไปมาจนน่าดีด
สภาพหมอตอนนี้เหมือนพ่อลูกอ่อนเพราะมีผ้าขนหนูผืนเล็กๆ พาดบ่าเอาไว้คอยซับเหงื่อให้น้องที่ดูเป็นคนขี้ร้อนมากเดินได้ไม่ถึงชั่วโมงเหงื่อจึงท่วมตัวได้ขนาดนี้
“ ปอมาเช็ดหน้าก่อน”
หมอกวักมือเรียกเจ้าตัวเล็กที่กำลังเอร็ดอร่อยกับขนมสายไหมแต่ถึงอย่างนั้นน้องก็ว่าง่ายโดยการเอียงใบหน้าให้หมอซับเหงื่อแต่โดยดี ก่อนหมอจะจับจูงน้องออกเดินไปยังรถทันทีด้วยกลัวว่าน้องปอจะวิ่งเล่นจนเพลินลืมเวลา
“ มึง”
“ ครับ”
“ จากนี่ไปที่พักอีกไกลมั้ย”
หมอหันมาถามผมเพราะผมเป็นคนจองที่พักซึ่งเป็นของคนรู้จักบิดาเลยได้ราคาลดพิเศษ ที่สำคัญถ้ากลับไทยทีไรผมมักมาใช้บริการที่นี่เป็นประจำ ซึ่งยังดูเหมือนว่าหมอไม่ค่อยสันทัดในการท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ หมอบอกว่าไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่เคยได้ออกมาเที่ยวไกลจากกรุงเทพฯเลย
นึกๆแล้วคนเรียนหมอนี่ก็น่าเห็นใจเพราะชีวิตดูไม่ค่อยมีเวลาว่างเหมือนคนอื่นเขาสักเท่าไหร่ เรียนก็หนัก ซ้ำเนื้อหาวิชายังเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนทำให้เครียดน่าดู แต่หมอปายดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ผมเชื่อเพราะแววตาของหมอมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทั้งๆที่เมื่อคืนกว่าหมอจะได้นอนก็เกือบเช้าเพราะอ่านหนังสือ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นว่าหมอจะบ่นที่ต้องตื่นเช้าแล้วมาดูแลเด็กน้อยที่เริ่มงอแงตั้งแต่ตื่นนอน
ผมรู้ว่าหมอเป็นคนดี และผมก็เริ่มจะ ‘รัก’ คนดีแบบหมอเข้าซะแล้ว
“ มองอะไร”
หมอเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นผมมองนิ่ง “ เลิกมองกูด้วยสายตาแบบนี้สักทีมันขนลุก”
หมอทำหน้ารับไม่ได้จนผมหัวเราะร่วน
“มองแบบไหนเหรอครับหมอ”
หมอปายจิ๊ปาก
“ ผมมองหมอแบบไหนเหรอครับ บอกผมทีสิครับ”
“ เหมือนคนโรคจิต”
หมอย้ำชัดๆทีละคำจนน้องปอหันมามองแล้วพูดตามหมอ “ โรคจิต ฮ่าๆๆ”
“ พี่ยิมโรคจิต”
ผมหรี่ตามองเด็กน้อยก่อนจะวิ่งไปจับตัวหมายจะฟัดสักหน่อย แต่เจ้าตัวดีดันวิ่งไปหลบหลังหมอแล้วหัวเราะเอิ้กอ้าก ผมเลยวิ่งไปหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าหมอโดยที่อีกฝ่ายยักคิ้วเป็นเชิงท้าทายว่าผมจะทำอะไร ผมเลยขยับไปใกล้ใบหูหมอแล้วกระซิบเบาๆ
“ ที่หมอถามผมว่ามองอะไร ผมขอตอบว่าผม
‘มอง’ หมอและผมก็หวังว่าหมอจะ
‘มอง’ ผมเหมือนกัน”
หมอเงียบแล้วจูงมือน้องปอเดินหนีไปแต่ถึงอย่างนั้นผมก็แอบเห็นว่าใบหูหมอมีสีแดงเรื่อ
.
.
“ ทะเล”
“ ทะเลจ๋า น้องมาแล้ว”
น้องปอร้องดีใจ กระโดดเหยงๆร่ำๆว่าจะวิ่งลงไปเล่นน้ำทะเลเสียเดี๋ยวนี้แต่คิดที่หมอคว้าตัวเอาไว้ก่อนแล้วหยิบเอาครีมกันแดดมาละเลงตามพื้นผิวนอกร่มผ้าให้เด็กน้อยที่เห่อวิ่งไปเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำกางเกงขาสั้นแนบเนื้อ เจ้าตัวดิ้นแด่วๆหนีฝ่ามือหมอคงเพราะรู้สึกจั๊กจี้ น้องปอหัวเราะคิกคักจนหมอปายเผลอขำตาม กว่าจะเสร็จเด็กน้อยก็หัวเราะจนเหนื่อย หมอเหลือบตามองมาทางผมซึ่งเปลี่ยนเป็นชุดกางเกงว่ายน้ำขาสั้นเปลือยท่อนบนเหมือนน้องปอ
“ ผมมองหมอ”
“ ใครถาม”
หมอทำเสียงเหวี่ยง
“ก็เห็นหมอมองมาทางนี้พอดี ผมก็นึกว่าหมอจะถามว่าผมมองอะไร”
“ สู่รู้”
ผมยักไหล่ “ แต่ครั้งนี้ผมว่าหมอ ‘มอง’ ผมเหมือนกัน”
“ มึง”
หมอทำหน้าบึ้ง
“ เอาเป็นว่าเรามองกันและกันเนอะ” ผมยักคิ้วให้แล้วยิ้มแบบที่คิดว่าดูดีที่สุด
“ ประสาท”
เสียงหมอไล่ตามมาติดๆ ตอนที่ผมยิ้มกริ่มจูงมือน้องปอไปเล่นน้ำ
บรรยากาศยามบ่ายแก่ๆแดดร่มลมตกทำให้ผมกับน้องปอมาทรุดตัวลงนั่งก่อกองทรายกันอย่างสนุกสนาน น้องหน้าเบ้ทุกครั้งที่คลื่นซัดเข้าฝั่งทลายปราสาททรายที่ตัวเองก่อขึ้น แต่พักเดียวก็กลับมาฉีกยิ้มชักชวนผมก่อกองทรายขึ้นมาใหม่ทำแบบนี้หลายรอบซ้ำๆแต่สำหรับน้องแล้วคงสนุกสนานน่าดู ผมเองก็ไม่ต่างกันบางครั้งการลองกลับไปทำอะไรสนุกๆแบบเมื่อครั้งยังเด็กก็น่าสนุกไม่น้อย ลองปล่อยความคิดไปพร้อมกับรับรู้ความเป็นอิสระรอบกาย
บางทีคนเราถ้าไม่ยึดติดกับอะไรแบบเดิมๆแล้วลองเริ่มต้นกับความสัมพันธ์แบบใหม่บางทีมันอาจจะมีอะไรที่น่าค้นหารออยู่ก็ได้ คงเหมือนกับความสัมพันธ์ของผมกับหมอปายในตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกับหมอเราเป็นอะไรกัน มันไม่สามารถนิยามความสัมพันธ์นี้ได้เลย
แต่สำหรับผมหมอคือคนที่ทำให้ใจเต้นแรงทุกครั้งที่สบตา ทุกท่วงท่าของหมอทำให้ผมกรอกตามองตามไม่รู้เบื่อ ภายใต้ท่าทางแข็งๆดูเข้าถึงยากแต่พอได้สัมผัสจริงๆผมว่าหมอชอบกลบเกลื่อนด้วยการโหวกเหวก ชอบเสียงดังเวลาโดนต้อนให้จนมุม และชอบเงียบใส่เวลาที่กำลังเขินอาย แต่ทุกอย่างที่รวมเป็นหมอยังคงน่าสนใจสำหรับผมเสมอ
อย่างเช่นตอนนี้ที่ผมลอบมองคนในชุดเสื้อกล้ามสีขาวคลุมทับด้วยเชิ้ตลายสดใสแขนสั้นอีกที ท่อนล่างสวมกางเกงขาสั้นพอดีเข่าเผยให้เห็นท่อนขาเรียวแต่ดูแข็งแรง ภาพตรงหน้าดูไม่คุ้นชินเพราะผมไม่เคยเห็นหมอใส่กางเกงขาสั้นมาก่อน หมอนั่งกอดอกพิงต้นไม้แล้วเหม่อมองไปยังผืนน้ำกว้างไกล
“ หมอ”
ผมเดินมาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆกับหมอตาก็คอยมองน้องปอที่นั่งก่อกองทรายสนุกสนานอยู่คนเดียวไม่ใกล้ไม่ไกลกันนัก
“ หมอไม่เปลี่ยนชุดเล่นน้ำเหรอ”
หมอปายส่ายหน้า
“ หมอไม่ชอบทะเลเหรอครับ”
“ ทำไมมึงถึงถามอย่างนั้นล่ะ”
“ ผมเห็นหมอดูไม่กระตือรือร้นในการมาทะเลเท่าไหร่”
“ เปล่าหรอก” หมอปฏิเสธ “กูไม่ชอบเล่นน้ำเพราะมันเหนียวเหนอะหนะ เวลามาทะเลกูชอบนั่งนิ่งๆฟังเสียงคลื่นมากกว่า”
“ งั้นเหรอครับ”
“ อืม แล้วมึงล่ะชอบเล่นน้ำเหรอ” หมอถามกลับเพราะพอเปลี่ยนชุดเสร็จผมกับน้องปอก็พากันไปดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเลเกือบชั่วโมงก่อนจะพานั่งพักเหนื่อยก่อกองทราย
“ ผมชอบอาบแดดครับ”
ชผมตอบ “ ซัมเมอร์ที่ต่างประเทศเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ได้มีโอกาสไปปิคนิคกันเป็นครอบครัวและไปเที่ยวทะเลเพื่ออาบแดด มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ทำให้ที่โน่นไม่ต้องผจญกับอากาศที่หนาวเหน็บ”
“มึงไม่ชอบฤดูหนาวเหรอ”
“ ก็ไม่เชิงนะครับ” ผมส่ายหน้า “ แต่มันทำให้ผมทำกิจกรรมกลางแจ้งได้น้อยลงเพราะทนหนาวไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องมาหลบในห้องนั่งเล่นเพื่อผิงไฟ บางวันครอบครัวผมก็หอบผ้าห่มมานอนรวมกันหน้าเตาผิงไฟ”
ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงครอบครัวที่อยู่ต่างประเทศ
“ ดูมึงสนิทกับครอบครัว”
“ ครับ” ผมอมยิ้ม “ พ่อกับแม่เลี้ยงพวกเรามาเหมือนเพื่อนและให้อิสระทางความคิดไม่เคยปิดกั้นหรือสั่งห้าม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราบนพื้นฐานความถูกต้อง มีอะไรเราก็เปิดอกคุยกันตลอด ทุกวันนี้มีเรื่องอะไรผมยังปิดแม่เขาไม่ค่อยได้เลย”
ผมคิดอย่างขำๆแต่เหลือบตามองหมอปายที่นิ่งไป หมอไม่พูดอะไรแต่แววตาโครตเศร้า
“ หมอครับ ครอบครัวของแต่ละคนก็มีวิธีการเลี้ยงดูสั่งสอนที่ต่างกันไป การแสดงออกบางอย่างก็เช่นกันแต่มันไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่ไม่รักเรา”
หมอเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ บางทีที่เขาชอบพูดให้เราเสียใจก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเกลียด เหมือนกับที่เขาไม่แสดงว่ารักอะไรมากก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักหมอ”
“ มึงจะพูดอะไร”
ผมเอื้อมมือไปกุมมือหมอไว้
“ นอกจากสปาเก็ตตี้แกงเขียวหวานก็ยังมีข้าวผัดปลาสลิดนะหมอ” ไม่รู้ว่าหมอจะจำได้รึเปล่าที่ผมเคยพูดประโยคนี้กับหมอ ผมอมยิ้มขณะที่หมอชะงักก่อนเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ผมเลยอาจหาญเกลี่ยปลายนิ้วไปตามใบหน้าของหมอแนวโน้มตัวไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกจนใบหน้าเราใกล้จนสัมผัสลมหายใจของอีกฝ่ายได้
“ ผมจูบหมอได้มั้ย”
ตึก
ตึก
“ แล้วใครห้ามมึงล่ะ” ผมกระตุกยิ้มก่อนจะประทับจูบบนกลีบปากสีชมพูอมส้มของหมอ ผมอาศัยความมึนของรสสัมผัสขบเบาๆตรงขอบปากทำให้หมอเปิดริมฝีปากเพื่อให้ผมเข้าไปสำรวจหาความอ่อนหวานอยู่เนิ่นนาน
หมอพลาดล่ะ...เพราะตั้งแต่วินาทีนี้ไปผมจะไม่มีทางปล่อยให้หมอหลุดมือไปแน่นอน และมีแค่หนทางเดียวเท่านั้นคือหมอต้อง
‘รัก’ ผมแล้วล่ะ
จะ จะ จูบกันอีกแหล่วววววว ฮิ้วๆๆๆๆๆๆ เอาไปครึ่งนึงก่อนเนอะ
อีกครึ่งอัพพุ่งนี้จ๊ะ รับรองว่าฟินลืม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ปล.หนึ่งความคิดเห็นคิดหนึ่งกำลังใจสำหรับคนเขียนนะคะ