ตอนพิเศษ First meet & Last Goodbye “ฮึกๆๆ” เสียงสะอึกสะอื้นที่ข้างหู พร้อมกับแขนเล็กๆที่กอดรัดคอ ทำให้นีรดาต้องกระชับเจ้าตัวน้อยไว้แนบอก โยกไปมาเพื่อกล่อมให้หยุดร้องไห้
จนกระทั่งร่างน้อยเริ่มสงบลง ก็เดินตรงไปที่บ้านข้างๆ โดยเดินผ่านพุ่มชาดัดที่ถูกตัดแต่งเป็นกำแพงเตี้ยระดับเอว อันเป็นขอบเขตกั้นระหว่างบ้านทั้งสองหลัง
หล่อนและครอบครัวเพิ่งย้ายมาอยู่เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทักทายข้างบ้านเลย
อย่างน้อยก็ฝากเนื้อฝากตัวบ้างก็ยังดี เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน...
ร่างบางที่กำลังรดน้ำอยู่ พอเห็นร่างที่อยู่ตรงพุ่มไม้ข้างบ้าน ก็นึกขึ้นได้ว่า มีคนเพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อวันก่อน
จนกระทั่งร่างนั้นโผล่พ้นแนวกำแพงพุ่มไม้นั่นออกมา เธอก็ต้องตกใจ เมื่อได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายเต็มๆ
“
น้องนี!!!” อีกฝ่ายก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน
“
พี่นาถ!!” ก่อนจะหัวเราะใส่กันอย่างคุ้นเคย
นาถหรือนาถลดานั้น เป็นรุ่นพี่ในมหาลัยของนีรดา เลยสนิทอยู่พอตัว ต่างฝ่ายต่ายไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง
“เพื่อนบ้านพี่คือน้องนีเหรอเนี่ย” นาถลดาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นีก็ไม่คิดว่าจะเป็นพี่นาถ นีวุ่นๆอยู่กับบ้านใหม่ เลยไม่ได้มาแนะนำตัวเลย ฮ่าๆ”
“ไม่เป็นไรๆ แล้วนี่ คนเก่ง เป็นอะไรไป หืม?” นาถลดาร้องเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่รุ่นน้องเธออุ้มอยู่แดงก่ำ ดวงตากลมโตชุ่มแฉะไปด้วยน้ำตา พอถูกทักเข้าใบหน้านั้นก็เข้าซุกเข้าที่ซอกคอของคนอุ้ม
“โดนพี่สาวตวาดมาน่ะค่ะ คงไปกวนตอนที่เขากำลังอ่านหนังสือสอบพอดี”
“หืม สองสาวนั่นน่ะเหรอ อยู่ชั้นไหนแล้วนะ”
“ขึ้นมัธยมพอดีค่ะ นี่เขาอยากเข้า โรงเรียน XXX ด้วย เลยต้องฟิตหนักเลย ” ทั้งสองแต่ก่อนแม้จะไม่ได้เจอกัน แต่ก็มีโทรหากันบ้าง ถามสารทุกข์สุขดิบกันบ้าง ล่าสุดก็เป็นเรื่องที่รุ่นน้องที่ได้ลูกหลงมาหนึ่งคนนั้นแหล่ะ
“นี่ปีหน้าพี่ก็จะให้ใบเตยเข้าเหมือนกัน จะไหวรึเปล่าก็ไม่รู้ เอ้า เข้ามาในบ้านก่อนดีกว่า มากินน้ำกินท่ากันก่อน” ยกมือลูบหัวทุยนั้นเบาๆ เด็กน้อยยิ่งซุกหนักไม่รู้ว่าเขินหรืออะไร
พอเดินเข้าใปในบ้าน ก็พบกับเด็กชายวัย 6 ขวบ ที่กำลังนั่งเล่นตัวต่ออยู่
เด็กชายคนนั้นเห็นคนเข้ามา ก็ร้องทักเสียงแจ๋ว
“แม่ค้าบ กระต่ายหิว อื๋อ?” ‘กระต่าย’ ชะงักกึกเมื่อเห็นมารดาพาคนอื่นมาด้วย
“นี่ น้านี เป็นรุ่นน้องแม่ แล้วก็เป็นเพื่อนบ้านเราด้วย” กระต่ายยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดี อย่างที่คุณครูสอนมา
“ว่าแต่ เจ้าตัวเล็กชื่ออะไรนะ” หันไปถามนีรดาที่ยังปลอบประโลมเด็กน้อยที่อุ้มอยู่ไม่หยุด
“’ไทกริส’ค่ะพี่นาถ เรียกสั้นๆก็น้องไทก์ เอ้า น้องไทก์สวัสดีป้านีก่อนสิครับ” เจ้าของชื่อช้อนตามองคนเป็นแม่ ก่อนจะมองคนทั้งสองด้วยสายตางุนงง นีรดาส่ายหน้าเบาๆ กับความไม่หือไม่อือกับลูกชาย ส่วยนาถลดาก็ยิ้มขำอย่างไม่ถือสา
“ดูตัวเล็กจัง กินเยอะๆนะ เดี๋ยวสู้พี่กระต่ายไม่ได้น๊า” นีรดาหยอก จับแขนเล็กเบาๆราวกับกลัวจะแตกหัก แต่เพราะเด็กน้อยคนนี้ดูจะตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน เมื่อเทียบกับกับสมัยที่ลูกชายเธออายุเท่านี้แล้ว เด็กคนนี้ถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์ด้วยซ้ำ
“กินก็กินปกตินะคะ บำรุงก็แล้วอะไรก็แล้ว ไม่โตเลย นี่นีว่าจะไปปรึกษาหมอแล้วเนี่ย” นีรดาตอบกลับอย่างปลงๆ
บทสนทนาของผู้ใหญ่ก็ยังดำเนินต่อไป
ส่วนเด็กน้อย ที่อยู่ในวงสนทนา ได้แต่มองคนนู่นคนนี้ จนกระทั่ง.....
“ไปเล่นกันเปล่า?” กระต่ายเอ่ยถามไทกริสที่นั่งเกาะแม่ตัวเองติดหนึบ
คนถูกถามสบตากับคนถามที่ยิ้มแฉ่งจนตาปิด
“...อื้อ” และนั่นคือ จุดเริ่มต้นบทสนทนาและความทรงจำของทั้งคู่ .......
เด็กชายกระต่ายหัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นใบหน้าคนตรงข้ามเต็มไปซอสมะเขือเทศ
“อย่ามัวแต่หัวเราะน้องสิ เอาทิชชู่ไปเช็ดให้น้องก่อน” นาถลดาผู้เป็นแม่ร้องเตือน หล่อนเองก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เพราะไทกริสร้องบอกว่าจะทานเอง หล่อนเลยไม่ได้ป้อนให้ แต่พอให้ทานเองก็เลอะไปทั้งปากทั้งจมูก ทั้งสงสารทั้งขำ
“กินแบบนี้ ดูพี่ๆ” กระต่ายยิ้มฟันหลออวดให้น้องดู ก่อนจะทำท่าตักข้าวเข้าปากอย่างโชว์ภูมิ
เด็กชายไทกริสมองตาแป๋ว แต่ก็ทำตาม กำช้อนพลาสติกสีขาวด้วยท่าทางขึงขัง ก่อนจะตักมักกะโรนีด้วยท่าทางเงอะๆงะๆ แต่หนนี้ไม่เลอะเท่าทีแรก
“เก่งๆ ฮี่ๆ” คนเป็นพี่ชม พลางปรบมือแปะๆ แม้เด็กคนนี้จะดูพูดน้อย ทำอะไรก็ตลกไปหมด แต่รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก
นั่นคือสิ่งที่เด็กชายคิด
โดยไม่รู้เลยว่า ....... เส้นทางข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่- Last goodbye -“นี่ เดี๋ยวพี่ต้องย้ายบ้านแล้วนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นกับเจ้าตัวเล็กข้างกาย ในขณะที่กำลังเดินกลับบ้าน
แต่เหมือนกับสีสอให้ควายฟัง เพราะนอกจากที่อีกคนจะไม่ยอมฟังแล้ว ยังเปลี่ยนเรื่องอีกต่างหาก
“กระต่าย อยากกินไอติม”
เจ้าของชื่อถอนหายใจดังฟู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดถึงย้ายบ้าน และทุกครั้งที่บอก ไทกริสก็มีปฏิกิริยาแบบนี้ทุกที
กระต่ายในวัย 12 ปี มองเจ้าเด็กที่เป็นยิ่งกว่าน้องชาย ตลอดที่ผ่านมากระต่ายและไทกริสก็ติดหนึบยิ่งกว่าแฝดอินจัน ตัวเองแม้จะมีพี่ แต่อีกฝ่ายเหมือนจะทิ้งระยะห่าง เพราะอยู่ในช่วงวัยรุ่นและยังเป็นผู้หญิงอีก ส่วนไทกริสเองก็เช่นกัน เกิดเป็นลูกหลงที่อายุห่างจากพวกพี่ๆ 10 ปี ด้วยสาเหตุที่เหมือนจะคล้ายๆกันเลยทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันซะส่วนใหญ่
ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกผูกพัน และเข้ากันได้ด้วยดีกว่าคนในสายเลือด
ขี้คร้านจะพูดเรื่องนี้กับคนที่ไม่ยอมฟัง สุดท้ายก็ยอมตามใจ เจ้าน้องชายคนนี้อย่างที่เคยทำมาตลอด
และหลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่พูดเรื่องนี้อีก จนล่วงเลยจนมาถึงวันที่ย้ายบ้านจริงๆ...
ทางฝั่งนีรดาและอาเธอร์ผู้เป็นสามี ก็รู้สึกใจหายไม่ต่างกัน ส่วนเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมา
เป็นกระต่ายที่ต้องไปเคาะประตู แต่ก็ได้รับความเงียบตอบกลับมา
“กริส พี่ไปแล้วนะ” กระต่ายรู้ดี ความรู้สึกของไทกริส เมื่อต้องอยู่ห่างกันก็รู้สึกใจหาย ถ้าเลิกได้ก็ไม่อยากย้ายไปหรอก
”...........” ไม่มีเสียงตอบกลับมา เลยลองเงี่ยนหูฟัง
‘ซื๊ดด’
เสียงสูดน้ำมูกดังแว่วดังออกมาจากอีกฝั่งของประตู คนฟังเบิกตากว้าง เพราะไม่คิดว่าอีกคนจะเป็นถึงขนาดนี้
“อย่าร้องไห้นะ ไว้พี่จะมาหาบ่อยๆ” บอกทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกไปเพราะมารดาเรียก
สองเดือนมาแล้ว ที่บ้านข้างๆได้ย้ายออกไป นีรดาถอนหายใจ พลางไปที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน ที่กำลังเดินขึ้นรถ ด้วยท่าทางไร้อารมณ์ เหมือนกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งมา ผิดกับแต่ก่อน ที่จะมีคนพี่เดินมาคู่กัน แม้จะไม่ได้มีหน้ายิ้มแย้มอย่างที่เด็กควรจะเป็น แต่แววตาและท่าทาง ก็ทำให้เธอเชื่อว่า เด็กคนนี้กำลังมีความสุข
ในตอนที่รู้ว่า ตั้งครรภ์เด็กคนนี้ ยอมรับว่า เธอตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีอีกคน เพราะหลังจากที่คลอดสองสาวฝาแฝด เธอก็มีแพลนว่าจะมีเพิ่มอีกซักคน แต่เอาเข้าจริง กลับไม่ติด พอไปปรึกษาหมอก็พบว่า เธอมีความผิดปกติที่ฮอร์โมน
หลังจากนั้นก็ล่วงเลยมาสิบกว่าปี จนเธอล้มเลิกเรื่องที่จะมีลูกอีกซักคน
แต่พอเด็กคนนี้เกิดขึ้นมา เธอก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจอย่างบอกไม่ถูก คนในครอบครัวทุกคนก็รู้สึกไม่ต่างกัน พอได้ชื่อว่าเป็นลูกหลง ก็มีคนทั้งรักทั้งหลงจริงๆ
เลยเป็นสาเหตุให้ไทกริสถูกเอาอกเอาใจมากเป็นพิเศษ ทั้งจากคนในครอบครัวและคนรอบข้าง
และน้องกระต่ายก็เป็นคนในนั้น เธอมักจะอมยิ้มทุกครั้งที่เห็นลูกชายเธอเข้าไปอ้อนพี่ชายบ่อยๆ
นอกจากเธอแล้วก็มีเด็กคนนั้นที่โดนไทกริสอ้อนบ่อยๆ ...
“วันนี้เรียนเป็นไงบ้างคะน้องไทก์” ถามคำถามเดิมทุกวัน ถ้าเป็นแต่ก่อนจะมีคนพี่คอยเล่านู่นนี่ โดยมีคนน้องคอยแทรกขึ้นมาอยู่เรื่อย
แต่ตอนนี้ ...... ถ้าเธอไม่ถาม อีกคนก็ไม่ยอมเอ่ยปาก
“วันนี้มีสอบวิชาภาษาไทยครับ”
“เหรอ แล้วน้องไทก์ทำได้ไหมครับ”
“....” เด็กน้อยเงียบไปซักพัก ก่อนจะตอบด้วยเสียงงึมงำว่า “พอได้ครับ”
“คิกคิก ดีมากครับ เดี๋ยววันนี้แม่จะทำของโปรดให้น้องไทก์ทานดีกว่า”
ตกเย็น เด็กน้อยมานั่งเฝ้าโทรศัพท์ที่จะโทรมาในช่วงนี้ เป็นใครไม่ได้นอกจจาก พี่ชายข้างบ้านที่ย้ายออกไปนั่นเอง
บางทีก็เธอก็เป็นฝ่ายโทรไป
แต่ช่วงหลังๆมานี้ เหมือนอีกคนจะยุ่งอยู่กับโรงเรียนใหม่ เลยทำให้ห่างๆกันไปบ้าง เธอเองก็ไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ ดูเหมือนไทกริสจะติดพี่คนนี้มากเกินไป กลัวจะกลายเป็นรำคาญลูกชายเธอแทน
พอไม่ได้ติดต่อกับพี่ชาย ไทกริสก็เหมือนจะเก็บตัวมากขึ้น จากที่ไม่ค่อยพูดก็กลายเป็นคนไม่พูดเลย ถามคำตอบคำ คนในบ้านยิ่งร้อนใจ เพื่อเป็นการแก้ปัญหา เธอจึงตัดสินใจ ให้ลูกชายไปอยู่กับปู่และยายที่ฮังการีในช่วงปิดเทอม
แรกๆก็ตะกุกตะกักนิดหน่อย เพราะด้วยทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรม ภาษาฮังการี แม้เธอจะไปอยู่มาเกือบ 8 ปี เธอเองยังไม่คล่อง อีกทั้งประเทศนี้ก็ไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษซักเท่าไหร่ เลยต้องปรับพื้นฐานอยู่พักนึง
ไปๆมาๆ ช่วงมัธยมก็กลายเป็นว่าย้ายมาอยู่ที่ฮังการีโดยถาวร
เด็กคนนี้ แม้จะดูมึนๆ แต่เรียนรู้ได้เร็ว ต่างจากเธอที่เหมือนจะแก่เกินการเรียนรู้ ถูกสอนอะไรมา ก็ไม่ค่อยจะจำ อาศัยความงูๆปลาๆและสามีเธอแทน
ปู่ของไทกริส เป็นชาวฮังการี ส่วนยาย เป็นคนไทยผสมออสเตรีย พอมีลูกออกมา ก็เป็นลูกครึ่ง ฮังการี-ไทย-ออสเตรีย
พอมาเป็นคราวหลานก็กลายมาเป็นลูกเสี้ยว แต่เหมือนจะลูกชายคนเล็กจะได้เชื้อตะวันตกมาเยอะกว่าใครเขาเพื่อน เลยดูเหมือนได้เชื้อเป็นลูกครึ่งมากกว่าคนพ่อด้วยซ้ำ
ไทกริสในช่วงไฮสคูล ถูกยัดเยียดกิจกรรมหลายๆอย่าง ทั้งเรียนศิลปะป้องกันตัว ทั้งเรียนภาษาที่สามที่สี่เพิ่มเติม วันเสาร์-อาทิตย์ก็ให้ศึกษางานกับพ่อ
มีอยู่ช่วงหนึ่งกระแสที่เรียกว่า Facebook กำลังมาแรง ทั้งเพื่อนบ้านรวมถึงเพื่อนๆที่อยู่ที่ไทยของนีรดา ต่างไม่มีใครไม่รู้จักเจ้า Facebook แถมยังชวนให้เธอไปสมัครบ้าง แต่เธอก็ต้องขอบาย เพราะมันดูยากเกินไปนั่นเอง
หากแต่ใครจะรู้ว่า เจ้าบริการทางอินเทอร์เน็ตนี่ จะทำให้ ใครคนนึงได้พบกับอีกคนหลังจากที่จากกันเกือบสิบปี
เด็กหนุ่มลูกเสี้ยว นั่งหน้าอมยิ้มเบาบางกับหน้าจอไอแมค ส่วนสาเหตุก็ไม่ใช่อะไร
ถ้าไม่ใช่
‘คนในหน้าจอ’ ลงรูปอีกแล้วน่ะสิ
ทีนี้ เป็นรูปที่กำลังดูดน้ำ แต่ยกนิ้วกลางใส่กล้อง พร้อมแสยะยิ้ม
เหล่าคอมเม้นต์ ล้วนไปในทิศทางเดียวกันก็คือ กวนตีน
แต่สำหรับเขา
คนๆนี้
น่ารัก~
เขาเพิ่งสมัครเฟสบุ๊คได้ไม่นาน จากคำชักชวนของเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนในนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกัน
จะมีก็แต่ เพื่อนที่อยู่ประเทศไทยคนนึง ที่เขาได้แอบเข้าส่องทุกวัน โดยที่ไม่ได้ขออีกฝ่ายเป็นเพื่อน
“Going Sasin” พร้อมกับโปรไฟล์ที่เป็นเด็กหนุ่มที่นั่งหันข้างให้กล้อง เลยเห็นแค่เพียงครึ่งหน้า แต่ก็เดาไม่ยากว่าเป็นใคร
เขาไม่รู้เหมือนกัน ว่า คนคนนี้ก็ปรากฏขึ้นในลิสต์ เพื่อนที่คุณอาจจะรู้จักได้อย่างไร
สำหรับเขา มันเป็นเหมือนโชคชะตา กับคนที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี
ด้วยความที่อีกคนเป้นคนที่ออกจะเปิดเผย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแสดงให้เป็นสาธารณะที่คนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนก็สามารถดูได้
มันเป็นความสุขอย่างนึง ที่ได้ทำแบบนี้
กระต่าย เปลี่ยนไปมาก หลังจากที่จากกัน ทั้งดูตัวสูงและผิวเข้มขึ้น
เผลอตัวอีกที คนคนนี้ ก็ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป .......
นีรดาคิดว่าไทกริสน่าจะลืมคนข้างบ้านไปแล้ว แต่เปล่าเลย ในวันหนึ่ง ขณะที่กำลังทำความสะอาดบ้าน ในส่วนห้องของลูกชายเธอ ปกติเจ้าตัวจะเป็นคนรับผิดชอบทำความสะอาด และไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในห้อง ซึ่งเธอก็เข้าใจเพราะลูกชายเธอก็เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว ....
แต่วันนี้แดดดี เป็นเหตุให้เธอขนหมอนทั้งหมดในบ้านไปตาก รวมถึงของลูกชายเธอด้วย
.... นีรดายืนอยู่หน้าประตูของลูกชายที่ไม่ได้เข้ามานาน เธอเพียงแค่ตั้งใจจะเอาหมอนและผ้าห่มไปตาก โดยไม่คิดจะยุ่งวุ่นวายอะไรในห้อง หากแต่พอเปิดประตูเข้าไป เธอก็ต้องผงะ เพราะห้องนอนที่ไม่มีของตกแต่งมากนัก แต่กลับเต็มไปด้วย รูปของคนๆนึง ที่เธอถึงกลับร้องเรียกชื่อนั้นได้ทันที
“อ้ะ นี่มัน น้องกระต่ายนี่?!”
ความตกใจ ความสงสัย ความแปลก ประเดประดังเข้ามา แต่เหนือสิ่งอื่นใด
เธอรู้ ลูกชายของเธอทำอะไรมีเหตุผลเสมอและเป็นคนจริงจัง เหมือนสามีของเธอไม่มีผิด
ดังนั้น การที่ในห้องของเธอมีรูปเด็กผู้ชายที่เธอรู้จัก มันต้องมีที่มาที่ไปแน่ๆ
ตกเย็นลูกชายกลับมาจากโรงเรียน
“น้องไทก์ ยังจำพี่กระต่ายได้ใช่ไหม”ไทกริสไม่ยอมตอบ สายตาล่อกแล่กไม่ยอมสบตา
หากแต่ ...... ผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็พอจะเดาอะไรได้บ้างแล้ว
“เนี่ย เดี๋ยวพี่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เร็วจะเนอะ” นีรดาพูดด้วยเสียงเนิบๆ คอยดูปฏิกิริยาของลูกชาย ถ้าไม่นับสายตาที่ล่อกแล่ก เด็กชายคนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกเลย
หรือเธอจะคิดไปเองกันนะ .....
“มีอะไรก็คุยกับแม่ได้นะครับ” บอกด้วยเสียงอ่อนลง แววตาทอดมองเด็กน้อยที่ไม่ตัวน้อยแล้ว ตั้งแต่มาอยู่ที่ฮังการี ไทกริสก็สูงพรวดพราด จนน่าตกใจ จนตอนนี้ก็ได้สูงเลยผู้เป็นแม่แล้ว
นายไทกริสในวัย 17 ปี สบตาผู้เป็นแม่ก่อนจะพยักหน้าลงอย่างช้าๆ
“แม่ครับ ถ้าผมจะรักใครซักคน มันจะผิดไหมครับ” มือบางที่กำลังลูบกลุ่มผมนุ่มชะงักลง
“ความรู้สึกรัก มันก็เป็นธรรมชาติของคนเรา เพราะฉะนั้นที่ลูกรักใครซักคนน่ะไม่ผิดหรอกครับ”
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามเหรอครับ”
“ใช่ครับ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”
“ผม... อยากกินแพนเค้ก” นีรดากระพริบตาปริบๆ คิดว่าลูกชายจะพูดอะไรออกมา ก่อนจะหัวเราะขึ้นแล้วรวบร่างโปร่งมาหอมไปหลายฟอด ก่อนจะเข้าครัวไปทำแพนเค้ก
หลังจากนั้นไทกริสก็จบชั้นไฮสคูลพอดี ในช่วงที่ครอบครัวกำลังสับสนว่าจะให้ไปเรียนต่อออสเตรียหรือสวิตเซอร์แลนด์ดี
เธอก็ได้เสนอให้ลูกชายกับประเทศไทย
และอย่างที่คิด โดนคัดค้านจากทั้งสามีเธอและปู่กับย่า ด้วยเหตุผลเดียวกันว่า ไม่อยากให้ไปไกล เดี๋ยวคนแก่จะคิดถึง
เพราะถ้ายังอยู่ในยุโรปก็ยังไปมาหาสู่กันได้
แต่นี่เป็นประเทศไทย ต้องเดินทางเกือบวันถึงจะได้เจอ
โรคคิดถึงไทกริสก็กำเริบทันที
พอได้มาเหยียบประเทศไทยครึ่งแรกในรอบ 6 ปี อาการคัลเจอร์ ช็อคทำอะไรไม่ถูก เงอะๆงะๆ ต่างจากตอนที่อยู่ฮังการีโดยสิ้นเชิง
เธอกลัวว่าลูกชายเธอจะอยู่ไม่ไหว เลยตัดสินใจ......
ไปปรึกษาพี่นาถ
ฝ่ายนั้นดีใจ ที่ไทกริสกลับมาเมืองไทย แถมยังมาเรียนต่อที่นี่อีก จึงเสนอให้ลูกชายให้มาช่วยดูแลแทน โดยไม่ได้สอบถามเจ้าตัวเลยด้วยยซ้ำ
“ก็เหมือนตอนเด็กๆไงน้องนี พี่ว่าน่ารักออก คิดถึงจังน๊า ตอนเดินตามเจ้าต่ายต้อยๆน่ะ”
“จะลำบากน้องกระต่ายรึเปล่า อีกอย่างเป็นโตๆกันแล้ว แถมไม่ได้เจอกัน คงไม่ตีกันน๊า”
“เดี๋ยวพี่จัดให้ ”
เธอตอบตกลงอย่างไม่คิด เธอจะได้ พิสูจน์ตัวลูกชายของเธอด้วย ……..
(มีสกู๊ปน้อยๆมาให้อ่านด้วยค่าาา อยู่ล่างสุดเลย)
[END]
/////////////////////////////////////////////////////////
BEVA TALK : กรี๊ดดดดดดดดดด หายไปนานมากค่ะ รอบนี้เป็นเดือนเลยทีเดียว อันที่จริงแต่งตอนพิเศษเสร็จตั้งนานแล้วค่ะ แต่ไม่มีเวลาเอามาลงเลย ฮรือออ
/ขอโทษผู้อ่าน Three Times ...
ตอนนี้ทำให้รู้หลายๆอย่างเนอะ อาจจะเคลียร์ในหลายประเด็น (รึเปล่าหว่า) อาจจะยังไม่มีหวานเลิฟๆ ติดตามตอนพิเศษที่ 2 ได้ หลังบีว่าสอบเสร็จนะคะ ><
เหมือนจะเห็นมีคนพูดถึงรวมเล่ม ดีใจมากค่ะ ที่มีคนอยากเก็บไว้อ่าน แต่แบบ นิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของบีว่า มีความมือใหม่มากค่ะ ถ้าเป็นอะไรที่จะรวมเล่มจริงๆ ขอเป็นเรื่องที่มีการพัฒนามากกว่านี้อ่ะค่ะ (อีกอย่างกลัวทำมาแล้วจะไม่มีใครซื้อด้วย ฮ่าๆ) อ่านในนี้ไปก่อนเนอะ
ขอบคุณทั้งนักอ่านหน้าใหม่และหน้าเดิมด้วยนะคะ ที่ยังติดตามบีว่ามาตลอด ขอบคุณมากจริงๆค่าา
-----------------------------------------------------------------------------------
สกู๊ปพิเศษ
บีว่า : แนะนำตัวหน่อย (ยิ้มหวาน)
ไทกริส : (ตีหน้านิ่ง มองไปที่พี่ต่าย อีกคนพยักหน้าเป็นเชิงให้แนะนำตัว) (บีว่ายิ้มแห้ง) ชื่อไทกริสครับ
บีว่า : เอ่อ ขอชื่อเต็มๆหน่อย
ไทกริส : ............ (หน้านิ่วคิ้วขมวด) ไทกริส (กระต่าย: ขำกร๊าก)
บีว่า : เอาชื่อ นามสกุลอ่ะจ้า (เหงื่อเริ่มตก)
ไทกริส : ชลนาถ เคอดิส...
บีว่า : งั้นก็แปลว่า ชื่อเล่นชื่อไทกริส ว่าแต่ชื่อจริงเพราะจัง มันแปลว่าอะไรเนี่ย
ไทกริส : (ไม่ฟัง เริ่มกระแซะกระต่าย)
บีว่า : ฟังเค้าหน่อยยย
ไทกริส : (มอง) แม่บอกว่า แปลว่า เจ้าแห่งน้ำ
บีว่า : แล้วไทกริสล่ะ ใช่มาจาก แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติสใช่ไหม
ไทกริส : Tiger ต่างหาก
เพล้ง!! เสียงหน้าแตกของบีว่า
บีว่า : เอ่อ แล้ว มีสิ่งที่ชอบไหมเอ่ย? เผื่อแฟนคลับมาเห็นจะได้ซื้อมาฝาก
ไทกริส : .... กระต่าย
บีว่า : อ๋อ กระต่ายนี่เอง แล้วของกินล่ะ
ไทกริส : ... กระต่าย
บีว่า : เห้ยย กระต่ายไม่ใช่ของกินนะ ไทกริส!!
ไทกริส : (มองนิ่ง) ทำไมจะกินไม่ได้ ก็กินอยู่บ่อยๆ (เสียงโมโนโทน มองไปที่กระต่ายที่ว่า อีกคนแยกเขี้ยวใส่ )
แล้วก็งุ้งงิ้งกันอยู่สองคน...
บีว่า : เอ่อ จบเถอะเนอะ สำหรับคนนี้
ส่วนของพี่ต่าย ติดตามต่อหน้าฮับ ....