ความรักเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน ใจคนก็ไม่แน่นอน แล้วทำไมผมต้องเอาหัวใจตัวเองไปผูกไว้กับความไม่แน่นอนนั่นด้วย ถ้าผมให้ไปแล้ว เกิดเสียใจขึ้นมาล่ะ ผมต้องทำยังไง ? ยอมรับว่าผมกลัว อคติเล็กน้อย ผมยังไม่เจอใครให้ใจเต้น ผมไม่เคยเจอใครที่ถูกชะตา อยู่แบบนี้บางทีก็มีความสุข ถึงบางครั้งจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง แต่ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ได้
ถึงเคยคิด ว่าอยากมีคู่ดั่งคนอื่นเขา อยากบอกรักใครสักคน
ถึงเคยคิด ว่าอยากไปเที่ยวกับใครสักคนสองต่อสอง
ถึงเคยคิด ว่าอยากจะลองคุยโทรศัพท์กับสักคนเป็นเวลานาน ๆ
ถึงเคยคิด ว่าอยากเดินจับมือกันอย่างไม่อายสายตาผู้คน
ถึงเคยคิด ว่าอยากลองกอดใครสักคนอย่างแนบแน่นจนรู้สึกอึดอัดกันไปข้าง
ถึงเคยคิด ว่าอยากมีใครสักคนให้คิดถึง อยากถูกใครสักคนเป็นห่วงซึ่งนอกจากพ่อแม่
....จูบแรกผมอยากรู้ว่ามันเป็นแบบไหน ระหว่างที่จูบกันอยู่รู้สึกอย่างไร
แต่โลกของคนรักกัน มันยากเกินกว่าผมจะเข้าไป ผมรู้ไม่แม้แต่วิธีที่จะเริ่มรักใครสักคน ไม่รู้แม้แต่ความรู้สึกที่ชอบใครสักคนมันเป็นยังไง พอเถอะถึงคิดไปรังแต่จะทำให้ปวดหัว หากโชคชะตาต้องการสักวันผมคงจะคนที่ทำให้ผมรู้สึกเช่นนั้นได้เอง ทว่าเมื่อไหร่ล่ะ ? หรือว่าต้องรอตลอดไป ?
ถึงผมจะไม่อยากมี แต่ก็มีความอยากมีอยู่ส่วนลึก ก่อนที่ชีวิตวัยรุ่นของผมจะหมดไปอยากจะลองดูสักครั้ง หากผมจะมีจริง ๆ ขอให้เขาเป็นรักเดียว รักตลอดไปทีได้ไหม ผมไม่อยากจะเริ่มต้นใหม่ซ้ำซาก ผมไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นใหม่ได้อีกรึเปล่า หรือถ้าหากไม่มีก็ขอให้ไม่มีไปชั่วชีวิต ความคิดหัวโบราณมากใช่ไหม
อยากจะรักแค่ใครสักคนไปตลอดชีวิต ใครสักคนที่จะเป็นทั้งครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของผม คนที่จะทำลายอคติของผมได้และไขกุญแจเปิดใจผมออกมา อยากจะรู้ว่าบนโลกนี้ซึ่งมีผู้คนอยู่เป็นร้อยเป็นล้านล้านคนจะมีสักคนไหม
และแล้วผมก็ได้กลับบ้านเกิดดั่งที่หวังไว้สักทีทุกอย่างเริ่มขึ้นที่เดือนเมษา และผมก็กำลังจะกลับช่วงเดือนเมษาทุกอย่างช่างประจวบเหมาะเสียจริง ในที่สุดผมก็ได้หนีจากเมืองความวุ่นวาย ซึ่งเต็มไปด้วยความร้อนไม่ว่าจะอากาศหรือใจคน หรือจากความคิดและภายในใจที่กำลังร้อนรุ่มไปหยุดพักผ่อนในสถานที่ซึ่งเคยจากมา สถานที่ที่ทำให้ผมสบายใจที่สุด
ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ยิ่งโต ยิ่งเจอผู้คนมากขึ้น ต่างคนก็ต่างมีสิ่งที่ต้องทำ ไม่แปลกที่จะสนใจสิ่งนั้นมากกว่า และเพื่อนที่ไม่ค่อยมีความน่าสนใจดั่งผมไม่แปลกอีกเช่นกันที่จะถูกลืมไป ก็นะ..แต่ผมก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ผมคิดว่าความสัมพันธ์ที่มีด้วยกันมานานต่อให้เจอกันใหม่สักกี่รอบก็ยังสามารถสานความสัมพันธ์ได้อีก
แต่มีเพียงคนเดียวที่ผมอยากจะให้เขาจำผมได้มากที่สุด เราไม่ได้ติดต่อกันนับตั้งแต่ผมโทรไปร้องไห้กับเขา ผมอายเกินกว่าที่จะติดต่อไป และเขาก็ไม่ได้ติดต่อมาเช่นกัน หรือบางทีเขาอาจจะลืมผมไปแล้วก็ได้ หรืออาจจะย้ายที่อยู่ไปแล้ว
เขาเป็นคนเดียวที่สนิทกับผม ยอมรับนิสัยของผมได้ ผมสบายใจทุกครั้งที่อยู่กับเขา และบ้านเราก็ไม่ได้ไกลกันมาก ผมคิดถึงเขาอยู่ตลอด เวลาที่ผมท้อแท้ เหนื่อยใจเรื่องเพื่อนผมจะนึกถึงเขาเสมอ พร้อมกับปลอบใจตัวเองว่ายังไงผมยังมีเพื่อนดี ๆ กับเขาอยู่ จนตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ผมปลอบใจหรือกำลังหลอกตัวเองกันแน่
รถประจำทางได้มาจอดยังทางเข้าหมู่บ้านของผม ซึ่งตอนนี้คงมีแต่รอให้ใครสักคนมารับเพราะกว่าจะถึงตัวหมู่บ้านของผมจริง ๆ ก็อีกประมาณสี่สิบกว่ากิโล แม่ผมดูกังวลไม่ใช่น้อยจะแยกทางกันทว่าพ่อกับแม่ยังไม่หย่ากัน แม้จะปากแข็งแต่ผมคิดว่าแม่ผมก็ยังรักพ่ออยู่ อย่างไรก็ตามเรื่องราวทั้งหมดได้ผ่านมานานขนาดนี้จะให้ไปคบกันอีกก็คงยาก มิหนำซ้ำพ่อยังคงมีผู้หญิงคนนั้นอยู่คงไม่ทางจะกลับมาคบกันอีก
อากาศช่างร้อนจับขั้วเหงื่อไหลซึมไปตามไรผมและเสื้อผ้า ผมหยิบกระดาษทิชชู่จากในกระเป๋าเสื้อผ้าก่อนซับบนใบหน้าพลางส่งให้แม่ซึ่งดูท่าว่ากำลังร้อนไม่แพ้กัน
“แม่โทรให้ยายมารับแล้วนะลูก”
น้ำเสียงนิ่งเรียบของแม่กล่าวบอก ผมพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปยังถนนทางเข้า มองรถซึ่งแล่นสวนกันไปมา ทางซึ่งเคยเป็นลูกรังตอนนี้กลายเป็นลาดยาง ไม่ได้กลับมาตั้งนานไม่รู้ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปอีกนะ
ผ่านไปประมาณสิบนาที รถกระบะสี่ประตูสีควันบุหรี่ได้มาจอดเทียบข้างที่ผมยืนอยู่ กระจกติดฟิล์มทุกด้านดำทึบจนมองไม่เห็นบุคคลที่อยู่ภายใน เพียงชั่วครู่เขาได้เปิดประตูออกมาแทนที่จะเป็นยายมารับกลับกลายเป็นคนที่ไม่คาดคิด
“ไง..ไม่เจอกันเสียนานนะ”
ชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมกล่าวทักซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเทาธรรมดา กับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินทรงกระบอกและรองเท้าแตะแบบหนีบยี่ห้อช้างดาว ทรงผมสีดำดั่งผู้ชายทั่วไป ผิวสีแทนดูแมนและกำยำกว่าเมื่อก่อน
“คุณป้าสวัสดีครับ ของมีเท่านี้ใช่ไหมครับ” เขายกมือไหว้แม่ของผมก่อนจะยกสัมภาระทุกอย่างไว้ที่กระบะท้ายรถ
“จ้ะ..โตขึ้นเยอะจนป้าจำไม่ได้เลยนะ” ท่านกล่าวด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องจะบอกว่าหล่อขึ้นเยอะด้วยล่ะสินะ
“แต่ป้าก็ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ” เขาระบายยิ้มอย่างหวานเยิ้มพลางเปิดประตูด้านหลังให้แม่ผมเข้าไปนั่ง
“แหม..ขอบใจนะจ้ะ” ท่านกล่าวพร้อมกับขึ้นไปทันที
“ลูกป้าก็เหมือนกัน สวยไม่เปลี่ยน” ชมแบบนี้อย่าคิดว่าผมจะดีใจนะ
“ตาถั่วหรือไง มาชมผู้ชายว่าสวยเนี่ย” ไม่ดีใจมิหนำซ้ำจะมีความโกรธเป็นของแถม
“ครับ ๆ เอ้า! ขึ้นไปได้แล้ว” เขาเปิดประตูพลางทำท่าเหมือนไล่หมูหมากาไก่เข้าคอก นาน ๆ จะได้เจอกันทียังกวนประสาทไม่เปลี่ยน เขาคือเพื่อนร่วมชั้นสมัยประถมจนถึงมัธยมเจอกันร้านเกมอยู่บ่อย ๆ
ตลอดทางได้แแต่นั่งเงียบฟังแม่กับเขาคุยกันอย่างสนุกสนาน กลับมาทั้งทีเจอคนที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ตั้งแต่แรกแบบนี้ถือว่าเป็นความซวยได้ไหมเนี่ย เขาดูเปลี่ยนไปมาก มากจนผมเองก็เกือบจำไม่ได้ ก็นะผ่านมาสี่ห้าปีจะไม่เปลี่ยนเลยก็คงแปลก แถมยังดูดีกว่าแต่ก่อนเยอะ ทว่าก็ค่อยยังชั่วหน่อยที่ยังมีคนจำผมได้ ถึงจะเป็นเขาก็เถอะ ก็ยังดี
“จ้องทำไม หลงรักฉันแล้วรึไง” คำถามกวนโอ๊ยดึงสติให้ผมรู้ตัวว่าผมกำลังจ้องเขานานเกินไปจริง ๆ
“อ่ะ เปล่า แค่คิดว่าอย่างนายโตมาไม่น่าจะดูดีได้” ผมตอบไปด้วยอาการหวั่นใจอย่างประหลาด
“งั้นเหรอ ฮึ..อย่างน้อยฉันก็หล่อกว่าคนที่นายนึกถึงแล้วกัน” คนที่ผมนึกถึงแล้วมันใครกันล่ะ ?
“ก็อย่างนี้แหละ คุยกับคนไม่สมประกอบรังแต่จะทำให้ปวดหัว” ผมกล่าวแกมประชดสายตาหันมองสำรวจสองข้างทาง
“นี่ว่าฉันบ้าเหรอ” เขากระชากเสียงถามราวกับว่ากำลังจะอารมณ์เสียอย่างไรอย่างนั้น
“คิดเองเออเอง” ผมยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“นายนี่มันกวนโมโหได้ตลอด ถ้าเป็นหมอนั่นมารับคงดีกว่านี้สินะ แต่เสียใจด้วยหมอนั่นมาไม่ได้หรอก เพราะมันย้ายไปอยู่กับเมียตั้งนานแล้ว”
“คนที่กวนก่อนนั่นมันนายนะ” หมอนั่น ? ใครกันล่ะหมอนั่นที่ว่า ?
“คิคิ” แม่ที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ มาตลอดแอบขำออกมาเล็กน้อย
“ชอบเถียงกันไม่เปลี่ยนเลยนะทั้งสองคน” ก่อนที่จะกล่าวด้วยอาการปนขำ
“ก็ไอ้บ้า มันเริ่มก่อนนี่ครับแม่” ผมเถียง
“นั่นไงว่าฉันบ้าอีกแล้ว” เขาพูดราวกับกำลังจับผิดผมอยู่
“ฉันเอ่ยชื่อนายที่ไหนกัน อยากรับก็รับไป” ฮึ่ย! น่าโมโหชะมัด
“ก็ได้..ฉันยอมก็ได้ สามียอมภรรยาคงจะไม่แปลก” ผมหันไปมองหน้า คนที่เอ่ยขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย จะนึกคำด่า ก็นึกไม่ออกจนกลายเป็นว่าผมเงียบไปในที่สุด
“จริงไหมครับ คุณป้า” เมื่อผมเงียบเขาจึงไปถามแม่ผมแทน
“จ้า ๆ รักกันแม่ก็ไม่ว่าหรอก สมัยนี้สังคมเปิดกว้างกว่าเมื่อก่อนแล้ว”
“แม่!” ท่านพูดอย่างเปิดใจยอมรับเต็มที่ แล้วความสมัครของลูกท่านเองล่ะ
“ฮ่า ๆ” เสียงขำเปล่งออกมาอย่างสะใจจนผมไม่รู้ว่าจะโกรธเขาหรือแม่ดี
ในที่สุดก็ถึงบ้านยาย ผมรีบลงจากรถ ไปยังท้ายกระบะ ยกของทีละอย่างลงทันที น่าโมโห น่าโมโหชะมัด คนบ้าที่พูดอะไรออกมาอย่างง่ายดาย โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา แถมแม่ยังไปเห็นดีเห็นงามด้วย อารมณ์ดีกลายเป็นอารมณ์เสียเพราะไอ้บ้า ไอ้บ้า ไอ้บ้า นั่นคนเดียว
“ภรรยาน่าจะอยู่เฉย ๆ รอสามีมายกให้ก็สิ้นเรื่อง” ยังจะพูดแบบนี้อยู่อีกเหรอ อยากจะต่อยปากสักเปรี้ยงเสียจริง ผมเมินทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะยกทุกอย่างไปหน้าบันไดบ้านไม้ซึ่งยกสูงกว่าพื้นมาไม่มากประมาณเมตรกว่า ๆ ได้
“อุตส่าห์ไปรับทั้งทีไหนล่ะคำขอบคุณ” คนที่กำลังยกของเดินตามมาติด ๆ ทำหน้าทะเล้นอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าผมกำลังโกรธแค่ไหน
“ขอบคุณ” อยากได้นักก็ได้พูดก็ได้ หากไม่กวนประสาทผมก็ตั้งใจจะขอบคุณอยู่แล้ว
“ไหนรางวัล” รางวัลอะไรอีกล่ะ หรืออยากจะได้ค่าน้ำมันรถ ? เดินมาถึงหน้าบันไดพอดีจึงวางของลงและควักเงินในกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาเดฟที่กำลังใส่อยู่ออกมาหนึ่งร้อยพลางยื่นให้
“เอ้า! พอไหม ?” โครงหน้าอย่างไทยแท้ย่นคิ้วแทบจะติดกันผมเลยเพิ่มให้อีกร้อย
“พอไหม” ถึงบอกไม่พอผมก็ไม่ให้อีกแล้วนะ
“จะไปพอได้ยังไงเล่า” เขาวางของก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้
“มันต้องแบบนี้” ไม่ทันขาดคำริมฝีปากกระจับสีชมพูออกคล้ำนิดหน่อยเข้ามาจุมพิตที่แก้มขวาของผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“เฮ้ย!”
ผมที่กำลังตกใจกับเหตุการณ์ พอรู้ตัวอีกทีเขาก็วิ่งหนีไปไกลเสียแล้ว แถมรถก็ยังคงจอดทิ้งไว้ ไอ้บ้าเอ้ย! ผมขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่เกย์นะครับ แต่ไอ้สิ่งที่กำลังเต้นตึกตักผมก็ไม่สามารถอธิบายได้เหมือนกัน ตกใจ.. อาจจะเป็นเพราะความตกใจแน่ ๆ
ตกค่ำหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จผมได้ออกมานอนเปลได้ต้นไม้หน้าบ้านพลางใช้เท้ายันพื้นแกว่งไปมาพร้อมกับมองบนฟ้าอย่างเพลิดเพลิน อยู่เมืองกรุงมองไม่เห็นดาว แต่ถ้าเป็นบ้านนอกมองเห็นดาวอย่างชัดเจน
“ไง.. มานอนอะไรตรงนี้ เดี๋ยวยุงก็กัดหรอก” ไอ้ผมก็อยากจะดูดาวอย่างเงียบ ๆ
“มาทำไม” ผมถามเสียงเรียบ
“มาเอารถน่ะสิ ยังจำสัญญานั่นได้ไหม” เขาถามพร้อมกับเดินมาหาผมที่เปล ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“สัญญาอะไร” ผมขมวดคิ้วพลางคิด
“ก็สัญญาที่ว่าหากซื้อของในเกมให้นายจะแต่งงานกันฉันไง”
“อ๋อ..นั่นน่ะเหรอฉันก็แต่งไปแล้วในเกม” ยังจะจำได้อีก
“แล้วตอนนั้นฉันบอกนายตรงไหนว่าจะแต่งกันในเกม”
“เรื่องนมนานปานนั้นใครจะไปจำได้” และไหงถึงมาบอกตอนนี้
“แต่ฉันมีหลักฐาน”
“อะไรนะ” ผมแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“นี่ไง..ลายมือนายที่เขียนสัญญาว่าจะแต่งงานกับฉัน” กระดาษแผ่นเล็กที่ถูกส่งมาให้ ซึ่งดูท่าทางคงจะเก็บรักษาไว้อย่างดี
“เป็นไงเถียงไม่ออกเลยล่ะสิ” จะไปเถียงอะไรได้ในเมื่อนั่นลายมือผมชัด ๆ
“เลิกเถียงมาเป็นของฉันเสียดี ๆ นายคงไม่รู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นคนรักเดียวใจเดียว คิดว่าฉันรักนายมานานเท่าไหร่ คิดว่าฉันรอนายนานแค่ไหน ยอมรับแล้วมาหลงรักฉันได้แล้ว อย่าให้ต้องรอนานกว่านี้เลย”
พูดมาเสียดิบดีผมก็นึกว่าเขาจะรอคำตอบจากผมแต่ใช่ที่ไหนกัน ริมฝีปากของคนตรงหน้าซึ่งโน้มประกบลงมาอย่างอ่อนละมุนบนริมฝีปากของผม เริ่มแรกผมตกใจอีกทั้งโกรธหมัดกำแน่นทุบไปยังแผ่นอกของเขาหลายต่อหลายครั้ง โดยที่เขาไม่ได้ป้องกันแต่อย่างใดทั้งสิ้น การกระทำทะนุถนอมและนุ่มนวลราวกับกำลังลิ้มรสขนมหวานที่มีเพียงชิ้นเดียวในผืนโลก ทำให้ผมเคลิ้มไปกับสิ่งนั้นส่งผลทำให้ความโกรธในใจค่อย ๆ จางหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกใหม่ซึ่งเริ่มเพิ่มพูนเข้ามา
ความอบอุ่นจากส่วนที่สัมผัสชโลมก้อนเนื้ออันแสนด้านชาอย่างช้าช้าเสียงลมพัดผ่านเสียงต้นไม้เสียดสีกันไปมา เปลือกตาทยอยหย่อนลงจนกลายเป็นหลับพริ้มซึมซับความรู้สึกต่าง ๆ
อ่า..จูบมันเป็นอย่างนี้เองสินะ
ผมคงคิดถูกแล้วที่หนีความวุ่นวายของเมืองกรุงกลับยังบ้านเกิด ไม่งั้นผมไม่เจอผมคงจะไม่เจอสิ่งที่ผมตามหามาตลอดใครมันจะไปคิดล่ะว่าจะอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ หนีมาพักร้อนในหัวใจที่กำลังว่างเปล่าและร้อนรุ่ม ให้เย็นลง ในที่สุดผมก็มีอะไรมาเติมเต็มกับเขาสักที
-END-