บทที่ 9
"ไง ไอ้หลานรัก ไหนมาสารภาพซิ ว่าก่อเรื่องอะไร" ลุงเอเบรียนมาเยี่ยมในสองวันต่อมา เพื่อนในห้องต่างมองหน้ากันอย่างวิตกระหว่างนั่งดูฟาเรสโดนท่านผู้อำนวยการสอบปากคำอยู่ในห้องนั่งเล่น
"อะ เอ่อ ผมแค่ลองเทสยาที่ผสมเองนิดหน่อยตอนประลองนะครับ"
"ไม่นิดแล้วมั้ง ยาอะไร" คิ้วเข้มของผู้เป็นลุงขมวดมุ่นอย่างคาดคั้น มั่นใจเลยว่าต้องเป็นยาอันตรายไม่งั้นหลานชายคงไม่นอนซมก่อนหน้านี้หรอก
"ก็ เป็นยาที่ผสมเจ็มโมเลกุลเล็กๆ อะเอ้อ...แบบ พอมีเจมไหลเวียนอยู่ในตัว เราจะได้ ใช้พลังเวทย์ได้อย่างอิสระไง แหะๆ" คนถูกสอบหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นสายตากรุ่นโกรธของลุง "แต่มันก็ใช้ได้นะครับ"
"ใช้ได้ แต่ผลข้างเคียงเกือบตายนี่นะ" เสียงแหบเข้มว่าดัง ทำเอาฟาเรสสะดุ้ง
"ก็ผมอยากเข้ารอบแปดคนนี่ รอบที่แล้วผมโดนเตะอาวุธหลุดมือเกือบแพ้ เลยหาทางแก้ปัญหา แล้ว ตอนลองนิดๆ มันก็ไม่เป็นเป็นไร" ฟาเรสแก้ตัวเสียงอ่อยพลางก้มหน้างุด
"เลยไม่สนว่าตัวเองจะเป็นยังไงงั้นหรอ" นัยน์ตาสีเทาดุดันจนทุกคนในห้องขนลุก ยกเว้นเวลอร์ที่นั่งสบายๆ อย่างไม่ยี่หระ
"ผมแค่อยากลองไปทำงานในหน่วยพิทักษ์" ดวงตาสีครามช้อนมองผู้เป็นลุงอย่างอ้อนๆ "ฟาร์ขอโทษ อย่าโกรธฟาร์เลย" เล่นเรียกชื่อแทนตัวเองแถมอ้อนเสียงอ่อนขนาดนี้ สุดท้ายคนสูงวัยก็ยอมแพ้อย่างจำนน เมื่อท่าทางพวกนั้นมาน่ารักเสียเหลือเกิน
"อย่าให้มีอีก"
"ครับท่านลุง" แล้วก็รับคำอย่างเริ่งร่า ทำเอาทั้งห้องยิ้มตาม
ยิ่งเพื่อนๆ ได้รู้จัก ตัวตนของฟาเรสยิ่งชัดเจนว่าแท้จริงแล้วเจ้าตัวเป็นพวกร่าเริงแถมยังมึนได้โล่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนตระหนักได้ก็คือรอยยิ้มที่มักจะทำให้ทุกอย่างรอบตัวสดใสเสมอ
"สังเกตุไหมทุกครั้งที่ฟาร์ใช้อาวุธ มักจะมีปัญหา บางครั้งเจมก็ไม่สามารถรองรับพลังได้จนกลายเป็นหลานที่เจ็บซะเอง"
"เอ่อ ครับ" ฟาเรสพยักหน้ารับ แม้เขาจะพยายามควบคุมพลังเวทย์ที่ไหลผ่านเจมให้พอเหมาะ แต่ในยามเผลอจัดเต็ม เจมมีอันต้องร้อนจนแตกทุกที
"นั่นเพราะพลังของเราเป็นเวทย์บริสุทธิ์ไง พลังพวกนั้นมาจากเลือดเอลฟ์ในตัวหลาน ฟาร่าเป็นเอลฟ์ที่มีพลังแข็งแกร่ง มาจากสายเลือดเอลฟ์ชั้นสูง สิ่งเหล่านั้นจึงถ่ายทอดมาที่หลานไงละ เพียงแต่หลานต้องฝึกใช้มัน" เอเบรียนอธิบาย
"นายเจ๋งขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย" มาวิคว่า
"ใช้พลังได้เเบบไม่ต้องพึงเจม น่าอิจฉา" พรีมมามั่ง
"คนที่มีพลังเวทย์แฝงมากๆ ก็ทำได้นะ" คนแก่สุดบอกพร้อมยิ้มให้กับทุกคน "แต่อาจต้องฝึกหนักหน่อยจนพลังมันข้ามขั้นแล้วกลายเป็นพลังอิสระที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลาง แต่ก็น้อยคนจริงๆ นั่นแหละ"
"อืมม...ท่านลุงจะช่วยฝึกให้ผมได้ไหมครับ" ฟาเรสร้องขออย่างมีหวัง
"ฉันก็ไม่ค่อยมีเวลาซะด้วยสิ ลำพังวิชาเอกยังแทบไม่ได้สอนเลย หลานก็เห็น งั้นเอางี้ ให้เวลอร์เป็นคนสอนก็แล้วกัน อยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้วนี่" เอเบรียนเสนอ "อย่างเวนะ น่าจะสอนได้สบายๆ นายว่าไง"
"ก็แล้วแต่อารมณ์" เวลอร์ตอบเสียงเรียบ
"ไม่เต็มใจก็ไม่ต้อง" ฟาเรสแขวะ หมั่นไส้คนขี้เก๊ก
"เห้อ ช่วยสอนฟาเรสเขาหน่อย เดี๋ยวมันไปทำอะไรแผลงๆ อีกจะวุ่นเอา" เอเบรียนคะยั้นคะย้อ อีกคนก็ไหวไหล่ให้ทีหนึ่ง "ไม่ปฏิเสธถือว่าตกลง งั้นให้เวลอร์สอนไปแล้วกันนะ"
"แต่...เอ่อ ครับลุง" ฟาเรสรับคำอย่างเสียไม่ได้เมื่อเจอสายตาบังคับของผู้เป็นลุง
อีกหน่อยฟาเรสคงต้องเรียกเวลอร์ว่าท่านอาจารย์แล้วละ เพราะหมอนี่สอนเขาหลายอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องสมุนไพร การทำยา ทุกสิ่งทุกอย่างในวิชาเอก แล้วนี่ยังจะให้มาสอนการใช้พลังเวทย์ให้เขาอีก
....ถ้ามันจะเก่งขนาดนี้บรรจุเป็นอาจารย์ไปเลยก็ได้นะ... "เอ้อ รอบชิงในวันจันทร์นี้นะ อย่าลืมเตรียมตัวกันไว้ละ เราจะเปิดให้คนนอกเข้ามาดูด้วย หวังว่าจะทำให้ผู้ชมสนุกนะ ส่วนเธอสองคน มาวิค พรีม รอบที่ผ่านมาพวกเธอทำได้ดีมาก ฉันสนุกกับการต่อสู้ของเธอจริงๆ ฝึกต่อไปนะ ฉันว่าปีหน้าถ้าลงอีกพวกเธอต้องทำได้เยี่ยมแน่ๆ" เอเบรียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทางการ
"อืม รอบนี้หวังว่านายจะเอาจริงนะ" โอซี่หันไปบอกเวลอร์ นัยน์ตาสีดำเป็นประกายด้วยความสนุก
"ได้เสมอถ้านายต้องการ"
"งั้นฉันจะให้คนดูเรื่องความปลอดภัยของสนามแล้วกัน ว่าจะเพิ่มบราเรียขึ้นอีกชั้น กันคนดูโดนลูกหลง" ผู้อำนวยการแจง จากการที่ได้เห็นสองคนนี้ประลองในรอบที่ผ่านๆ มา คนที่ประสบการณ์มากมายอย่างเอเบรียนสามารถรับรู้สึกพลังที่มีมากเกินมนุษย์ของทั้งคู่จึงเข้าใจสถานการณ์ดี
"ขอบคุณครับ" โอซี่บอก
"งั้นฉันไปละ ดูและตัวเองดีๆ นะไอ้หลานรัก ถ้ารู้ว่าก่อเรื่องลุงจะจับย้ายไปอยู่ด้วย คุมประพฤติไปในตัว เวมาด้วยกันหน่อยสิ" หันมาขู่เสร็จก็ออกจากห้องไป โดยหนุ่มสาวที่เหลือลุกขึ้นโค้งให้ตามมารยาท ส่วนเวลอร์ก็เดินตามผู้สูงวัยออกจากห้องไป
มันก็เป็นไปตามคาด ที่สองคนนี้จะได้ชิงกัน เพราะพรีมเองก็แพ้ตอนรอบแปดคน มาวิคเองก็แพ้ให้เด็กปีสามไปเช่นกัน ทั้งคู่ยังแอบเสียดายนิดๆ ที่ไม่ได้เจอกันเองเพราะดันไปท้ากันไว้ก่อนแข่ง เลยมีแพลนจะนัดดวลกันนอกรอบอีกที
"ขอโทษนะ ที่ไม่ได้ไปดูพวกนายแข่ง" ฟาเรสหันไปขอโทษเพื่อนทั้งสอนเพราะมัวแต่พักฟื้นจนพลาดไป
"ไม่เป็นไรๆ ยังไงพวกฉันก็นัดนอกรอบกันอยู่แล้ว" มาวิคบอกปัดยิ้มๆ
"หลังจบเราต้องไปฉลองอยู่แล้วใช่ไหมละ คนที่ชนะ ไม่โอซี่ก็เว เพื่อนเราทั้งคู่นั่นแหละ มาวิคกับพรีม ใครแพ้ก็เป็นเจ้าภาพไปแล้วกัน" เซียเสนอความคิด
"เอางั้นก็ได้ ระวังกระเป๋าฉีกละเพื่อน" พรีมยกยิ้มพลางยักคิ้วท้าทายเพื่อน
"แล้วเสาร์อาทิตย์นี้ยังไง พวกนายกลับบ้านหรือเปล่า ฉันต้องกลับวะ พ่อกับแม่จะตัดออกจากกองมรดกแล้วเนี่ย" มาวิคบ่นหน้างอ "ไปด้วยกันไหมฟาร์"
"ไม่ละ ขี้เกียจ" คนถูกถามปฏิเสธ
"ฉันว่าจะไปบ้านพรีมนะ อาทิตย์นี้ คุณแม่นัดทานข้าว" เซียบอกพลางยิ้มเขิน นี่คงได้เป็นลูกสะใภ้บ้านนี้ชัวร์ "คงเหลือแต่โอซี่กับเวละมั้ง"
"เอิ่ม ไม่แน่ใจนะ อาจไปหาอะไรทำคลายเครียดในเดสเซนท์ อยากไปดื่มนะ" โอซี่บอกพลางยกยิ้มแบบมีเลศนัยน์ บอกให้รู้ว่าคงไม่จบด้วยการไปดื่มตามไสตล์เจ้าตัว
สรุปแล้วสุดสัปดาห์ของฟาเรสก็ต้องอยู่คนเดียวเพราะเวลอร์เองก็บอกว่าจะไปช่วยงานท่านลุง ก็ดีไม่มีหมอนั่นมากวนใจ อยู่ใกล้แล้วสมาธิไม่ค่อยมี โชคดีที่เวลอร์ช่วยจดสรุปไว้ให้ ไม่ถึงครึ่งวันฟาเรสก็เคลียรายงานที่คั่งค้างเสร็จ ชีวิตมันว่าง ซ้อมก็ไม่ได้ซ้อม อยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรทำฟาเรสจึงตัดสินใจนั่งเรือเข้าไปยังเดสเซนท์ว่าจะไปค้างซักคืน เดินเล่นในเมืองเผื่อมีอะไรใหม่ๆ ให้ซื้อ
"เฮ้ย ฟาร์มาไงวะ" เสียงทักดังขึ้นระหว่างที่ฟาเรสกำลังนั่งชิวตรงท่าเรือของเดสเซนท์พร้อมกับเบียร์ในมืออีกกระป๋องนั่งชมประอาทิตย์ตกดิน
"ไงโอซี่ เคลียงานเสร็จไม่มีอะไรทำเลยแวะเข้ามาเที่ยวเล่นนะ" โอซี่ยิ้มรับก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ กับร่างโปร่ง "เอาไหม" ว่าแล้วก็ยื่นเบียร์ให้ผู้มาใหม่
"ขอบใจ แล้วนี่พักที่ไหน"
"โรงแรม...ใกล้ที่นี่แหละ" ฟาเรสบอกพลางทอดมองไปยังแสงสุดท้ายของวัน
"นายกับเวรู้จักกันนานแล้วหรอ"
"ไม่หรอก ก็มาเจอกันที่อานิมานี่แหละ ทำไมละ" ดวงตาสีครามมองคนถามอย่างแปลกใจ
"เปล่า แค่เหมือนเวจะรู้จักนายดี อย่างกับคนที่เจอมานาน" ฟาเรสได้แต่ยักไหล่
"คืนนี้ไปดื่มกันไหม" โอซี่เอ่ยปากชวน
"อายุไม่ถึงเข้าผับได้ที่ไหนละ" ที่เมืองไม่เหมือนอานิมา คงมีการตรวจบัตรแน่ๆ ฟาเรสเองก็เพิ่งสิบหก
"เรื่องนี้เดี๋ยวจัดการให้"
ฟาเรสนัดกับโอซี่ที่ผับไนท์เฮเวียตอนสองทุ่ม ผับหรูใจกลางเดสเซนธ์ทันทีที่มาถึง ฟาเรสในชุดลำลองเสื้อเชิตสีครีมกับกางเกงยีนเข้ารูปสีเทากำลังยืนเคว้งรอโอซี่ออกมารับ ไม่นานชายหนุ่มร่างผิวแทนออกมาในชุดเสื้อยืนแขนยาวสีขาวเข้ารูปกับกางเกงยีนสีซีด ถึงหน้าจะไม่หล่อเท่าเวลอร์แต่ก็คมเข้มดูดีพอตัว รูปร่างสูงใหญ่กับไลน์กล้ามเนื้อที่เห็นได้แม้มีเสื้อผ้าบดบังก็ทำให้เพื่อนเข้าคนนี้มีดูเท่มีสเน่ห์อยู่มากโข ยิ่งดวงตาสีดำแพรวพราวนั่นเปรียบสเมือนหลุมดำที่ดึงดูคนที่มองให้หลงไหล ถ้าให้ฟาเรสนิยาม โอซี่คงเป็นผู้ชายประเภท Sex Appeal สูง
"ไงฟาร์ เข้าไปข้างในกัน จองโต๊ะไว้แล้ว" ว่าแล้วก็จูงมือคนตัวเล็กกว่าเข้าไปด้านในโดยที่การ์ดไม่กล้าวุ่นวายกับเขาเลยแม้แต่น้อย
ฟาเรสไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าเนียนกับรูปร่างโปร่งและผิวผุดผ่องของตนเมื่ออยู่ใต้แสงสลัวของบรรยากาศในผับมันช่างดึงดูดเสียนี่กะไร จนโอซี่ที่ใบหน้ามักแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มหันไปส่งสายตาดุดันแก่คนรอบข้างที่มองมายังฟาเรสอย่างปรารถนาจนทั้งหญิงชายเหล่านั้นรีบหลบตาทันที
"พามาแบบนี้คงไม่โดนไอ้เวฆ่าทิ้งหรอนะ" เสียงทุ้มพึมพำ ที่ชวนก็แค่อยากให้ฟาเรสได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ชีวิตมีแต่เรียนกับป่วยกลัวจะเบื่อไปเสียก่อน
เขาไม่ได้ปราถนาอะไรในคนตัวเล็กอยู่แล้ว เพราะสำหรับเขานั้นเอ็นดูฟาเรสในฐานะเพื่อนแต่บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นน้องชายที่ต้องดูแล แต่ที่ท้าพนันเวลอร์ไปเพราะอยากเห็นพลังที่แท้จริงของอีกฝ่าย เพราะเขามั่นใจว่าหมอนั่นต้องหวงคนคนนี้แน่นอน
"ไงโอซี่ ไปพาหนุ่มน้อยที่ไหนมา" สาวๆ ที่นั่งเต็มโต๊ะเอ่ยทักรีบมาคว้าฟาเรสดึงไปนั่ง ก่อนสาวสวยสองนางจะรีบประกบซ้ายขวาอย่างถูกใจ
"ไงจ๊ะ ชื่ออะไรละเรา" สาวผมสีเบสเอ่ยถามพลางเคลียแก้มใสเบาๆ
"ฟาเรสครับ"
"อุ้ย น่ารัก กินได้ไหมโอซี่" สาวผมดำอิกคนหันไปถามโอซี่ที่นั่งลงตรงโซฟายาวอีกตัว
"จับได้ ดูได้ แต่ห้ามกิน" โอซี่ตอบยิ้มๆ พลางเอนหลังพิงพนักก่อนรับเหล้าที่สาวสวยนางหนึ่งชงให้ ในโต๊ะตอนนี้มีอยู่เจ็ดคนรวมเพื่อนเที่ยวที่โอซี่ชวนมาด้วยซึ่งทั้งหมดเป็นผู้หญิง
ดื่มกันไปคุยกันไป สาวๆ ต่างให้ความสนใจถามไถ่ฟาเรสเป็นอย่างดี พวกเธอพากันขุดเรื่องฮาๆ เปิ่นๆ ของโอซี่ออกมาเล่า แต่เจ้าตัวก็หาได้โกรธกับยิ้มรับเสียอีก แล้วก็ชวนฟาเรสไปออกเสตปบนฟลอแต่ได้ไม่นานโอซี่ก็ต้องลากเพื่อนกลับมานั่งโต๊ะเพราะทนเห็นฟาเรสโดนลวนลามไม่ไหว เป็นห่วงสวัสดิภาพของเพื่อนตัวเล็ก จวบจนเที่ยงคืนจึงพากันแยกย้าย
ตอนแรกโอซี่ว่าจะไปส่งฟาเรสที่โรงแรม แต่ร่างโปร่งเห็นเพื่อนหิ้วสาวกลับมาด้วยเลยรู้สึกเกรงใจ เลยออกปากว่าจะกลับเอง จึ่งได้ร่ำราไปทางใครทางมัน
"เจอกันวันจันทร์นะ" โอซี่บอกลาเพื่อนพลางมองตามร่างโปร่งที่เดินไปตามทางจนลับตา คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งยังไงเจ้านั่นก็เป็นผู้ชายแถมต่อยตีเก่งพอตัว ก่อนจะเอาโทรศัพท์ออกมาโทร
...เด็กมันหนีมาเที่ยวรู้ไหมเนี่ย โทรไปแซวซักหน่อยดีกว่า... "ไงเว" เอ่ยทักทันทีเมื่อมีคนรับสาย
"มีอะไรพวก"
"ฉันเจอฟาเรสด้วยวะ"
"ฮะ...ไปเจอได้ไง ไหนว่าอยู่อานิมา" ปลายสายถามเสียงขุ่น อารมณ์เหมือนพ่อที่ลูกหนีเที่ยว
"เจอที่ท่าเรือเดสเซนท์เมื่อเย็นเลยชวนมาผับด้วย เพิ่งแยกกันเมื่อกี้นี่แหละ เห็นว่าจะกลับโรงแรม...แถวท่าเรือนั่นแหละ" โอซี่บอก ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ จากอีกฝั่ง ได้เห็นท่าทีร้อนรนของเวลอร์ทำให้เขารู้สึกสนุก จึงอดไม่ได้ที่จะแซว "ให้ตามไปส่งไหม ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้น"
"ไม่ต้องเดี๋ยวจัดการเอง" ว่าแล้วอีกคนก็ตัดสายไป ในใจก็คิดเมื่อไหร่สองคนนี้จะลงเอยกันเสียที สงสารก็แต่มาวิคงานนี้อกหักชัวร์แต่ก็แอบกลัวใจเพื่อนตัวเองคนอย่างมาวิคเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งคงไม่เล่นอะไรสกปรกหรอกนะ
ฟาเรสเดินไปตามทางเรื่อยโรงแรมอยู่ห่างจากที่นี่ราวๆ สองกิโลเมตร ที่เลือกจะเดินเพราะอยากซึมซับบรรยากาศของเมืองในยามค่ำคืน แม้จะปราศจากเสียงดังรถราและผู้คนแต่ไฟตามทางก็ยังส่องสว่างอวดโฉมสิ่งก็สร้างใต้แสดงสลัวให้ดูสวยไปอีกแบบ ในไวท์ออชาร์ดไม่ค่อยมีตึกสูงเหมือนที่นี่แต่อาคารบ้านเรือนก็สวยไม่แพ้กันเน้นตกแต่งด้วยลวดลาธรรมชาติให้กรมกลืนกับสภาพแวดล้อม
ชักคิดถึงบ้านขึ้นมาแล้วสิ คิดถึงท่านพ่อ ท่านแม่ที่รักเขาแม้ไม่ใช่ลูก เสียงเจื้อยแจ้วของน้องสาวทั้งสองลอยมาตามลมชวนให้ขอบตาร้อนผ่าวอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดถึงวิหารกลางน้ำคิดถึงรูปสลักที่นั่งอยู่ในนั้นถึงเจ้านั่นจะตอบโต้อะไรไม่ได้แต่ก็เป็นผู้รับฟังยามเขาทุกข์ใจ ถึงที่บ้านจะเหลือเพียงความทรงจำแห่งการสูญเสียแต่ก็อยากจะกลับไปซักครั้ง
ขณะที่ปล่อยใจไปกับเรื่องราวแสนสุขในอดีตสองเท้ากลับหยุดชะงักเพราะรับรู้ถึงความผิดปกติรอบตัว แล้วชายสี่คนก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าฟาเรส ลางสังหรย้ำเตือนว่ากำลังจะมีอันตราย ดวงตาสีครามมองหาทางหนีทีไล่ แต่เมื่อจะวิ่งกลับไปดานหลังดันมีไวโซลสามตัวกระโจนมาขวางไว้ ก่อนที่ตัวอื่นๆ จะปรากฏกายออกมากจากความมืด นับดูๆ แล้วเป็นสิบ ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นรัวด้วยความกลัว หากมีการประทะกันคงสู้ไม่ได้
...มนุษย์ที่มากับไวด์โซล นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย... "หึๆ กว่าจะหาโอกาสที่แกอยู่คนเดียวได้ ลำบากเป็นบ้า นึกว่าจะต้องบุกเข้าไปในอานิมาลากตัวแกออกมาเสียอีก" หนึ่งในนั้นเอ่ย พลางแสยะยิ้ม
"แกเป็นใคร ต้องการอะไร"
"กำจัดแกไง" มันตอบเสียงดัง
"เฮ้เดรก นายท่านบอกให้เจรจาก่อน" อีกคนหนึ่งเอ่ยเย้ง ก่อนหันมายิ้มละไมให้ฟาเรส "ไปกับเราไหมเด็กน้อย ความสามารถของเธอนะเราต้องการมัน ทำงานกับเรา เราจะดูแลเธอเป็นอย่างดี" เจ้านั่นกล่อมเสียงนุ่ม
"ไม่มีทาง" ฟาเรสปฏิเสธทันที พวกนี้เป็นพวกเดียวกับไวด์โซลเขาคงไม่มีวันอยู่ร่วมกับสิ่งที่ทำลายครอบครัวเขาเด็ดขาด
"แน่ใจนะที่ตอบแบบนั้น"
"แน่สิ ฉันไม่มีวันทำงานกับพวกแกหรอกโว้ย" ฟาเรสปฏิเสธเสียงแข็งในสถานการณ์เป็นรองหากต้องสู้เขาก็จะสู้ให้ถึงที่สุด
"งั้นก็ช่วยไม่ได้"
กรร!!! สิ้นเสียงเจ้านั่นเหล่าไวด์โซลก็ทะยานหาร่างโปร่งอย่างพร้อมเพรียง ฟาเรสสามารถหลบการโจมตีได้อย่างเฉียดฉิว ด้วยความรวดเร็วคล่องแคล่วที่ฝึกตัวเองมากอย่างหนักเพื่อการประลอง แต่ในมือกับไม่มีอาวุธใดๆ ให้สวนกลับนอกจากหมัดและเท้า ซึ่งมันก็ไม่สามารถหยุดพวกไวด์โซลนั่นได้จนฟาเรสเริ่มจะเหนื่อยเสียเอง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาแย่แน่
"
อั๊ก!!!!" ในช่วงชุลมุนหนึ่งในสี่ตัวนั้นพุ่งเข้าหาฟาเรสที่ยังไใ่ทันตั้งตัว ฝ่าเท้ากระแทกเข้าลำตัวบางอย่างจังจนกระเด็นไปไกลหลายเมตร เทาเอาจุกแทบลุกไม่ขึ้น "ชิ เจ้านี่"
"ตอบรับพวกเราก็จบแล้วไม่ต้องมาเจ็บตัว" มันแสยะยิ้มร้าย พลางอวดคมมีดวาววับในมือ เจ้านั่นทะยานเข้ามา ด้วยสภาพแบบนี้คงยากที่จะหลบเพราะอีกคนช่างไวเหลือเกิน
ฉัวะ!!! ความคมเฉือนลงผิวเนื้อตรงคอหอยก่อนเลือดของผู้เคราะห์ร้ายจะอาบไปทั่วร่างของฟาเรสที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้น แล้วร่างของหมอนั่นจะค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นเผยให้เห็นโฉมหน้าผู้ลงมือ
"วะ เว" ดวงตาสีครามเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง นัยน์สีอำพันบัดนี้วาวโรจน์ในแสงสลัวม่านตารีเรียวดุจดวงตาของสัตว์ร้ายที่มองมาทำเอาร่างฟาเรสเย็นเยียบไปทั้งตัว เวลอร์ยกมือที่อาบไปด้วยเลือดแลบเลียไปตามกรงเล็บแหลมคม ส่งเสียงคำรามในคอต่ำๆ อย่างพอใจ
"แก ไอ้สารเลว" ชายอีกสามคนที่เหลือเดือดดาลเพราะเพื่อนกลายเป็นศพ กรูกันเข้ามาพร้อมกับเหล่าไวด์โซลหมายจะปลิดชีวิตพวกเขาทั้งคู่
"หลับตาซะฟาร์ ถ้าไม่อยากเห็นอะไรน่ากลัว" เวลอร์สั่งด้วยน้ำเสียงแหบห้าวกว่าปกติพลางดึงให้ร่างโปร่งให้ยืนขึ้น
ฟาเรสได้แต่ยืนตาค้างมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวร่างกายแข็งทื่อจนไม่อาจขยับได้ เสียงกรี๊ดร้องอย่างทรมานทั้งของอันเดธและมนุษย์อื้ออึงไปทั่วบริเวร เมื่อร่างแกร่งเคลื่อนผ่านและฉีกกระชากมันเป็นชิ้นๆ จนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นถนน ศพแล้วศพเล่าที่ล่วงกองสู่พื้น จนตอนนี้พื้นที่ฟาเรสยืนนองไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม
"ดะ ได้โปรด อย่า" มนุษย์คนสุดท้ายอ้อนวอนแทบเท้าของเวลอร์ด้วยความหวาดกลัว "เด็กนั่น ฮึก ฉันจะไม่ยุ่งกับเด็กนั่นอีก"
แกรก!!! หัวเจ้านั่นถูกบิดแรงๆ จนหันกลับหลังดวงตาเบิกโพลงบอกถึงความกลัวสุดขีดก่อนตาย แล้วร่างก็กองกับพื้นกลายเป็นซากรวมกับคนอื่นๆ
"ฟาร์..."
"เฮือก!!!" ร่างบางสะดุ้ง พลางก้าวถอยทันทีที่เวลอร์เดินเข้ามา หัวใจเต้นเร็วเกินควบคุม กลัว คือสิ่งเดียวในใจ ภาพศพที่นอนเกลื่อนกราดทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้านเพราะเกรงจะเป็นหนึ่งในนั้น
"กลัวฉันหรอ" เวลอร์ถามเสียงอ่อน ดวงตาสีอำพันหม่นลงอย่างเจ็บปวดกับท่าทีของฟาเรส เพราะอย่างงี้ถึงบอกให้หลับตา เพราะอย่างนี้ถึงไม่อยากให้เห็น
เขาดีใจที่เวลอร์มาช่วยแต่ก็กลัวตัวตนเมื่อครู่ที่ได้เห็น ราวกับยมทูต ราวกับปีศาจแห่งความตาย สองเท้ายังคงก้าวถอยอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่พ้นเพราะอีกคนถลาเข้ามาดึงรั้งเอวบางเข้าสู้อ้อมกอด
"เว...อย่า!!!" สัญชาติญาณทำให้ฟาเรสดิ้นรน พยายามรั้งตัวออกให้ห่าง ยิ่งได้เห็นใบหน้าคมที่มีคาบเลือดกระเซ็นติดอยู่ประปรายยิ่งทำให้สติหลุดกระเจิง ทั้งทุบทั้งตีเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ
"ฟาร์ใจเย็นๆ"
"ไม่...เว ปล่อย"
"ฟาร์"
"ได้โปรด...ฮึก" ฟาเรสอ้อนวอนเสียงเครือ จนคิ้วเข้มขมวดหากันอย่างหนักใจ "เว เว ได้ป...อื้อ"
ริมฝีปากนิ่มถูกปิดด้วยริมฝีปากหนาของอีกคนก่อนจะพร่ำเพ้อไปมากกว่านี้ ทำเอาร่างโปร่งที่ดิ้นรนหยุดชะงักอย่างตกใจ ริมฝีปากร้อนบดจูบแรงๆ พลางขบกลีบเนื้อนิ่มเบาๆ ลิ้นใหญ่สอดแทรกเข้าไปในโพรงปากอุ่นไล่ต้อนลิ้นเล็กที่พยายามหลบอย่างตระหนก
"อ่อย!!" ฟาเรสพยายามดันตัวออกแต่จะเอาแรงใดไปสู้ รสจูบจาบจ้วงร้อนแรงเล่นเอาสมองประมวลผลไม่ทันจนสติเริ่มล่องลอย จากมือที่ผลักดันออกห่างบัดนี้กลับขย้ำเสื้อร่างใหญ่อย่างหาหลักยึด ไม่ใช่จูบแรกของฟาเรสแต่ทุกครั้งเขามักเป็นคุมเกมไม่ใช่ถูกไล่ต้อนอย่างตอนนี้ ทำเอาคนเคยจูบอย่างเขาลืมหายใจไปเลยที่เดียว
"แฮก วะ เว" ทันทีที่อีกคนผละออก ร่างโปร่งรีบโกยอากาศเข้าปอดแต่ยังไม่เต็มที่ใบหน้าเนียนก็ถูกช้อนให้เงยหน้าขึ้นรับจูบอีกครั้ง สัมผัสนุ่มนวลอ่อนโยนที่ได้รับหลอกล่อให้ฟาเรสตอบสนองอย่างลืมตัว รู้สึกวางใจและมั่นใจว่าจะไม่ถูกทำร้าย ฟาเรสหลับตาพริ้มตอบรับลิ้นร้อนที่รุกล้ำเข้ามา รสจูบเป็นไปอย่างเชื่องช้าแต่อ่อนหวานทำเอาร่างโปร่งบางยืนแทบไม่อยู่หากไม่มีแขนแกร่งกอดรัดเอวไว้
เวลอร์ผละออกทอดมองริมฝีปากอิ่มที่เผยอหอบอย่างชอบใจ ใบหน้าเนียนแดงซ่าน เขาสามารถเห็นมันได้ชัดเจนแม้ในแสงสลัว ความกลัวเลือนหายไปแทนทีด้วยความเขินอายจนฟาเรสต้องซุกหน้ากับอกแกร่งเพื่อหลบสายตาซุกซนที่มองมา
"หายกลัวหรือยัง" เสียงทุ่มหยอกเย้า ยกมือข้างหนึ่งมาลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ
"อื้อ" รับคำได้แค่นั้นเพราะใจยังคงเต้นรัว มันทั้งหวาดหวั่นทั้งเขินจนสับสนไปหมด
"คนเดียวที่ฉันไม่มีวันทำร้ายก็คือนาย" เวลอร์ย้ำเมื่อคนในอ้อมกอดยังคงสั่น "กลับกันเถอะฟาร์"
"อืม"
................................................................
-เค้ามาแล้ว ช่วงนี้อาจห่างหายไปบ้างนะ ที่รักเค้าบินมาหา ขอเวลาทำตัวมุ้งมิ้งหน่อย อิอิ
-ตอนหน้าเราจะมาเฉลย ถึงสาเหตุที่น้องฟาร์โดนตามล่าแล้วนะค่ะ แล้วแอบรู้สึกว่าตัวเองยืดเยื้อไปนิด
-ติชมกันเข้ามาได้นะค่ะ อยากได้รูปอะไรก็ขอให้บอก เดี๋ยววาดให้ชมกันจ้า