(ต่อนะคะ)
วันต่อมาว่าที่ผู้นำตระกูลเฟวรีเย่อย่างผมก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเหมือนอย่างทุกๆวันโดยที่ไม่มีคนรักของตัวเองนอนอยู่บนตัก วันนี้ช่วงเช้าอานโน่มีเรียนทำให้ผมต้องอยู่ในห้องตามลำพัง
เมื่ออ่านหนังสือจบไปหนึ่งเล่มผมก็ลุกขึ้นยืดเส้นสายก่อนจะเปลี่ยนมานั่งอยู่ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์จอใหญ่ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่...ระหว่างที่รอคนรักตัวเองกลับมาผมก็เปิดโทรทัศน์ดูข่าวไปพลางๆ
‘...สำหรับข่าวที่น่าติดตามที่สุดในขณะนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องที่มีไดโนเสาร์หลุดและมีหน่วยรักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่งเข้าไปจัดการได้ทันท่วงทีทำให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลยค่ะ...’
เสียงของพิธีกรหญิงดังขึ้นในจอโทรทัศน์พร้อมกับวิดีโอที่ถูกฉายขึ้น...ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของผมมองไปยังวิดีโอนั้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆเพราะสิ่งที่คิดกับสิ่งที่เห็นไม่ตรงกัน
จากที่ฟังว่ามีไดโนเสาร์หลุดสิ่งแรกที่คิดคือหน่วยปฏิบัติการพิเศษต้องเข้าไปจัดการแน่แต่ภาพที่เห็นคือคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษและไม่มีไดโนเสาร์กลายพันธุ์ด้วย เป็นคนธรรมดาที่ดูแล้วไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับไดโนเสาร์
ทั้งแบบนั้นแต่กลับมาถึงที่เกิดเหตุได้เร็วกว่าหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่มีการเตรียมพร้อมตลอด24ชั่วโมงงั้นเหรอ?
‘...สวัสดีครับตอนนี้ผมอยู่กับหน่วยรักษาความปลอดภัยที่พึ่งเข้ามาช่วยผู้คนจากไดโนเสาร์ที่หลุดออกมานนะครับ...อย่างแรกเลยพวกคุณไม่ใช่หน่วยย่อยของหน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษใช่ไหมครับ?’
คำถามจากนักข่าวเรียกความสนใจของผมไปแทบจะทันที
‘ไม่ใช่ครับ...พวกเราเป็นหน่วยรักษาความปลอดเซฟตี้วิทที่พึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อจัดการกับไดโนเสาร์ที่หลุดออกมาครับ’
‘หน้าที่นั้นเป็นของหน่วยปฏิบัติการพิเศษนี่ครับ...พวกคุณไม่คิดว่าเป็นการตัดหน้าหาผลงานเหรอครับ?’
‘ตัดหน้า?...ไม่หรอกครับ...ใครที่มาถึงก่อนย่อมมีสิทธิ์ในการจัดการถือเป็นเรื่องปกติ’
‘พูดแบบนี้หมายความว่าพวกคุณจะแข่งกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษใช่ไหมครับ?’
‘แหม...พวกเราไม่อาจเอื้อมขนาดนั้นหรอก...รอดูฝีมือของพวกเราละกันครับถ้ามีไดโนเสาร์หลุดสามารถแจ้งมาที่เราได้ทางสายด่วนGH45เลยนะครับ...พวกเรารับรองว่าจะไปถึงให้เร็วที่สุด’
‘ขอบคุณมากครับที่ให้เราได้สัมภาษณ์...จากนี้เราไปย้อนดูการต่อสู้ของหน่วยรักษาความปลอดเซฟตี้วิทกันเลยครับ’
พอผู้สื่อข่าวพูดจบภาพก็ตัดไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้...ภาพของไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นพร้อมกับส่งเสียงขู่คำรามและแยกเขี้ยวแสนคมกริบออกจนทำให้ผู้คนแถวหน้าวิ่งหนีกันอย่างอุตลุด
ผิวหนังสีน้ำตาลอ่อนแซมเหลือง...บริเวณดวงตามีผิวหนังสีฟ้าที่เป็นสัญลักษณ์ของสายพันธุ์อีกทั้งกรงเล็บยาวที่แสนคมกริบนั่นเพียงเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าไดโนเสาร์ตรงหน้าเป็นพันธุ์อะไร
“...บารีโอนิกซ์”ชื่อของมันหลุดออกมาจากปากผมทั้งๆที่สายตายังจ้องไปยังการต่อสู้ของมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่วิ่งเข้ามาพร้อมอาวุธขนาดใหญ่เหมือนมีดแต่ใหญ่กว่ามาก ฟันเพียงทีเดียวบารีโอนิกซ์ถึงกับล้มลง...
“ไม่ใช่...”บารีโอนิกซ์ไม่ได้ล้มลงเพราะโดยฟันเท่านั้นด้วยความแข็งแกร่งของไดโนเสาร์แค่โดนฟันทีสองทีไม่มีทางทำให้ล้มได้
ความคิดมากมายตีกันอยู่ในหัวเพื่อหาคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแต่ยังไม่ทันได้ประมวลผลเสียงร้องโอดครางของบารีโอนิกซ์ก็ดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มคนที่ถืออาวุธเข้าไปรุม พอกลุ่มคนเหล่านั้นออกมาร่างของบารีโอนิกซ์ก็เต็มไปด้วยบาดแผล
ดวงตาสีฟ้าของมันสั่นระริกราวกับจะอ้อนวอนขอชีวิตแต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงครางสูงก็ดังขึ้นพร้อมๆกับลมหายใจของบารีโอนิกซ์ที่หายไป...
คนที่ทำได้เพียงนั่งดูแบบผมถึงกับกำหมัดตัวเองแน่นเมื่อเห็นภาพการฆ่าต่อหน้าต่อตา...สิ่งที่เห็นมันไม่ใช่การต่อสู้แต่เป็นการฆ่าที่ต้องการเพียงแค่ชีวิตของไดโนเสาร์เท่านั้น!
แกร็ก!
“เชสสสส”
ปิ๊บ!
ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดผมก็คว้ารีโมตปิดสิ่งที่เปิดไว้แทบจะทันที...
ผมไม่อยากให้อานโน่เห็น...ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่ไม่นึกถึงสิ่งมีชีวิตที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดแต่กลับต้องมาตาย ทั้งที่ไม่ฆ่าก็ได้แต่พวกเขากลับเลือกที่จะฆ่า
เพียงแค่เห็นความโกรธที่มีก็แทบปะทุทั้งที่ผมเป็นมนุษย์เหมือนกัน...ดังนั้นไม่ต้องพูดอานโน่เลยถ้าอีกฝ่ายเห็นคงได้โกรธจนเส้นผมสีเงินกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มแน่
พวกหน่วยรักษาความปลอดเซฟตี้วิทอันตราย
นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึก
“โดดเหรออานโน่?”ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเผื่ออีกฝ่ายจะถามว่าทำไมผมต้องรีบผิดโทรทัศน์
“เปล่าสักหน่อย...อาจารย์ปล่อยเร็วต่างหาก”เสียงนุ่มตอบพลางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดหนึ่งออกมา
“แน่ใจ?”
“แน่สิ...นายคิดว่าฉันจะโดดรึไง”
“ก็ไม่แน่นี่...เห็นตื่นเต้นซะขนาดนั้น”ผมตอบกลับไปพร้อมยกยิ้มขึ้น
“...ตื่นเต้นแล้วผิดรึไงเล่า...รอแป๊บนะขอเปลี่ยนชุดก่อน”พูดจบอีกฝ่ายก็วิ่งเข้าไปในห้องน้ำทันที ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองประตูที่ปิดด้วยรอยยิ้มพร้อมส่ายหน้าเบาๆ
คนรักของผมน่ารักจริงๆ
น่ารักจนไม่คิดว่าอีกสายเลือดหนึ่งจะเป็นของนักล่าแห่งอดีตกาล
พวกเรานั่งแท็กซี่ไปยังร้านCalzone(คันโชเน่)ที่มีชื่อเสียงด้านอาหารอิตาลี่และพิซซ่าที่สามารถเลือกของที่ใส่หน้าได้...ร้านี้เป็นร้านที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองติดขอบถนนทำให้พอลงรถก็ถึงในทันที แทบทั้งร้านตกแต่งด้วยสีเขียวสลับน้ำตาลและมีที่นั่งทั้งด้านนอกร้านที่เป็นโต๊ะไม้กับโต๊ะหรูที่อยู่ภายในร้าน
“...สุดยอด...สวยมากเลย”เสียงของคนด้ายข้างทำให้ผมหันไปมองรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ถ้าดูแค่ภายนอกคงจะคิดว่าร้านCalzoneนี้ขายแพงแต่ไม่ใช่เลย...แม้รสชาติของอาหารที่นี่จะเทียบเท่าระดับภัตคารแต่ราคานั้นถูกมากจนต้องตกใจ
ผมตอนมาครั้งแรกก็นึกว่าคิดราคาผิดเหมือนกัน
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”ผมบอกพร้อมกับเดินนำเข้าไปภายในก่อนจะเลือกที่นั่งติดกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองออกไปเห็นบรรยากาศข้างนอกได้
“ข้างในก็สวยมาก...นายรู้จักร้านแบบนี้ได้ยังน่ะ”
“แค่เดินผ่านแล้วลองเข้าดู”ที่บอกไปเป็นความจริง
“จริงดิ?...น่าอิจฉาจังที่ได้กินข้าวในร้านสวยๆแบบนี้”อีกฝ่ายพูดแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ไว้ฉันจะพาไปร้านอื่นอีก”
“จริงนะ?...พูดแล้วห้ามกลับคำด้วย”ดวงตาสีแดงอ่อนทอประกายแห่งความดีใจก่อนจะถามย้ำอีกครั้งเพื่อไม่ให้ผมกลับคำ
ท่าทางแบบนั้นเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“อืม...สัญญาเลย”
“เยี่ยม...งั้นเราสั่งกันดีกว่า”ทันทีที่พนักงานยื่นเมนูให้คนตรงหน้าก็เปิดดูด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากกินขนาดไหน
“ขอcoffe decaffeinato...พิซซ่าหน้าอะไรดีอานโน่”สั่งเครื่องดื่มเสร็จผมก็หันไปถามอานโน่ที่ก้มหน้าก้มตามองเมนูโดยไม่สนใจรอบข้าง
“อืมม...เลือกอยากจัง...เอาเป็นพิซซ่าแป้งบางหน้าทะเลซีฟู้ด...อ้อ...ถาดใหญ่นะครับ”อานโน่หันไปบอกพนักงานที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ค่ะ...รับเป็นcoffe decaffeinatoกับพิซซ่าถาดใหญ่แป้งบางหน้าทะเลซีฟู้ดนะคะ”
“แล้วก็ขอพิซซ่าใส่เห็ด...แฮม...แอนโชวี่และก็มะกอกอีกหนึ่ง...อันนี้ขอเป็นแป้งหนานุ่มละกัน...ใช่ๆ...กินพิซซ่าทั้งทีก็ต้องหน้านี้เลย...เอาพิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยนแป้งหนาด้วยครับ...ปิดท้ายก็...พิซซ่าซุปเปอร์เดอลุกซ์อันนี้ขอเป็นแป้งบางครับ...ทั้งหมดขอเป็นถาดใหญ่นะครับ”
“....”หน้าของพนักงานที่รับออเดอร์ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ปกติลูกค้าที่มาสั่งอย่างมากก็คงไม่เกินสามถาดแต่นี่มาแค่สองคนแต่เล่นสั่งตั้งสี่ถาดแถมยังเป็นถาดใหญ่ด้วย
หลังจากพนักงานสาวขอให้บอกรายการที่สั่งอีกรอบก็ทวนรายการแล้วเดินกลับไป...ไม่ถึงยี่สิบนาทีพิซซ่าถาดแรกที่เป็นทะเลซีฟู้ดก็มาเสิร์ฟร้อนๆบนโต๊ะ
“ว้าว...น่ากินมาก...ลงมือเลยนะเชส”อีกฝ่ายไม่รอแม้จะให้ผมอนุญาต พิซซ่าชิ้นใหญ่ถูกยกขึ้นด้วยมือเปล่าแล้วเอาเข้าปากอย่างรวดเร็วเพียงพริบตาเดียวพิซซ่าชิ้นใหญ่ก็หมดลง
พิซซ่าหน้าอื่นที่สั่งก็ทยอยมาส่งจนบนโต๊ะมีพิซซ่าถาดใหญ่อยู่ถึงสี่ถาด...ผมก็ได้แต่หยิบหน้าที่อยากกินเข้าปากโดยที่สายตายังคงมองไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่คนรักของตัวเองกำลังดื่มด่ำกับการกินพิซซ่า
สำหรับผมแค่สี่ชิ้นก็อิ่ม แน่น จุกแล้วแต่อานโน่กลับกินอย่างต่อเนื่องโดยที่ความเร็วไม่ตกลงสักนิด...แม้แต่ตอนที่ผมยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบอีกฝ่ายก็ยังคงกินอยู่
นี่สรุปว่าจะมาขอผมเป็นแฟนใช่ไหม?
ไม่ใช่ว่าจะขอคนทำพิซซ่าเป็นแฟนหรอกนะ?
อย่าบอกว่าลืมเรื่องที่จะขอเป็นแฟนไปแล้วน่ะ?!
“...หึ...”พอนึกขึ้นได้ผมก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เพราะคาดหวังไว้เยอะว่าจะได้ยินคำบอกรักและถ้อยคำหวานๆตอนขอคบแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ไม่จำเป็นต้องมีบรรยากาศโรแมนติกหวานๆ
ไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำสัญญามากมาย...
ขอเพียงแค่เขายังอยู่กับผมก็เพียงพอแล้ว
“อานโน่”ผมเรียกอีกฝ่ายที่ยังกินไม่หยุด
“หื้ม?...มีไรเชส?”เสียงนุ่มถามกลับก่อนจะยกเครื่องดื่มกลืนลงคอทีเดียวเกือบหมดแก้ว
“เป็นแฟนกันนะ”
พรูดดดด!!!
“แค่ก!....อะไรนะ?”
เสียงเอฟเฟ็กดังขึ้นพร้อมกับน้ำที่พึ่งดื่มไปถูกพ่นมายังหน้าผมอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ผมหลบทันทำให้น้ำพวกนั้นกระทบเข้ากับกระจกแทนแต่ถึงแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดบริเวณแก้มที่มีคราบน้ำเปื้อนอยู่เล็กน้อย
“เชส!...เมื่อกี๊นายว่าอะไรนะ?...อย่าเมินกันสิ!”เป็นอีกครั้งที่คนตรงหน้าถามก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นทีละน้อย
“นายก็น่าจะได้ยินนะอานโน่...หูของนายดีกว่ามนุษย์ปกตินี่”ผมย้อน
“...คนขี้โกง!!”เงียบไปสักพักอีกฝ่ายก็ตะโกนเสียงดังจนลูกค้าคนอื่นเริ่มหันมามอง
“ฉันโกงตรงไหน?”
“ก็...ก็...ก็ฉันกะจะเป็นคนขอนายนี่!”อานโน่ตะโกนออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อยแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“นายจะขอฉัน?...ฉันเห็นแค่คนที่นั่งกลืนพิซซ่าลงคอนานเป็นชั่วโมงแล้ว”ผมบอกออกไปตามตรง
“นั่นมันก็...ก็ต้องขอเวลาเตรียมใจบ้างสิ”
“งั้นเตรียมเสร็จรึยัง?”
“...ใกล้แล้ว”คำตอบนั้นทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมา
“งั้นก็ตอบฉันก่อนแล้วพอพร้อมค่อยถามใหม่”
“ไม่เอา...แบบนั้นมันจะไปมีประโยชน์อะไรเล่า...ฉันพร้อมแล้วจะขอเดี๋ยวนี้แหละ”
“ว่ามา”ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองไปยังฝั่งตรงข้ามที่มีคนรักของตัวเองกำลังนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิมด้วยใบหน้าที่เริ่มจริงจัง คิ้วของอานโน่ขมวดเข้าหากันแน่นเหมือนกำลังคิดสิ่งที่ยากมากๆอยู่
“...เชส”
“...”เสียงเรียกชื่อนั่นทำให้ผมยักคิ้วข้างหนึ่งส่งไปให้เหมือนจะถามว่าอะไร?
“ฉะ...”
“ฉะ?”ผมทวนน้ำเสียงอ้ำอึ้งพร้อมเอียงหัวเล็กน้อย
“อย่าพึ่งพูดแทรกสิ!...ฉัน...ฉันรักนาย!...เป็นแฟนกันนะ?!!”เสียงตะโกนของอานโน่ทำให้คนที่อยู่ในร้านหันมาจ้องอย่างลุ้นระทึกตามไปด้วย
“ถ้าบอกว่าไม่ล่ะ?”ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมาตอนนี้
“เชส...อย่าแกล้งฉันสิ...เมื่อกี๊นายเพิ่งขอฉันนะเพราะงั้นนายจะปฏิเสธไม่ได้!”เสียงนุ่มยามปกติทุ้มขึ้นมาทันทีนั่นทำให้ผมอมยิ้ม ดวงตาสีแดงอ่อนที่จ้องเขม็งมาทำให้ผมต้องกลั้นหัวเราะ
การที่มีอานโน่อยู่ข้างๆ...ทุกอย่างมันล้วนมีสีสัน
“จะมัดมือชกเหรอ?”
“ไม่ใช่แค่มัดนะ...ถ้ากล้าปฏิเสธฉันจะปล้ำนาย!”
คำประกาศนั่นทำให้คนทั้งร้ายถึงกับเงียบรวมทั้งตัวผมที่ได้ยินด้วย...
ปล้ำ
ปล้ำผมเนี่ยนะ?
อานโน่จะปล้ำผม?!
“หึ...คนที่สมควรพูดคำนั้นคือฉันต่างหาก”ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของผมเงยขึ้นไปสบดวงตาสีแดงอ่อนอย่างเอาเรื่อง
เรื่องไหนก็ยอมให้ได้แต่เรื่องนี้...
ไม่มีวัน!
“อะไร?”
“คนที่จะโดนปล้ำไม่ใช่ฉัน...แต่เป็นนาย”ผมย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“...จะบ้าเหรอ...ใครจะไปยอมกัน!”อีกฝ่ายสวนกลับด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“งั้นจะไม่เป็นแฟนกันเหรอ?”ผมถามออกไป
“เป็นสิ!”
คำตอบนั่นทำให้ผมยกยิ้มขึ้น...
เสียงรู้ซะแล้วไดโนเสาร์น้อย
“นายพูดแล้วนะ...คนที่ตกลงก่อนต้องถูกปล้ำด้วย”ผมอธิบายนิ่งๆก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบอยู่
“ห๊ะ?...นี่นายโกงนี่เชส”
“โกง?...ตรงไหนกัน...คนที่ตกลงคือนายเองนะ”
ผมทำอะไรผิดกัน?
“เชสคนขะ...”คำพูดที่ขาดหายไปทำให้ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะเห็นหน้าของอานโน่ที่มองออกไปนอกกระจกร้านด้วยใบหน้าที่เครียดขึ้นเรื่อยๆ
“อานโน่?”
“...เชส...นายเอาอาวุธมาไหม?”คำถามนั้นทำให้ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของผมหรี่ลงทันที
ท่าทางและคำพูดของอานโน่ทำให้ผมคาดการณ์ถึงที่สิ่งเกิดขึ้นได้...
“เอามา”ผมบอกพร้อมกับหยิบอาวุธที่อยู่ในกระเป๋าออกมา รวมทั้งคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่อยู่ในรูปของสายรัดข้อมูลก็ถูกสวมเข้าที่ข้อมืออย่างรวดเร็ว
“นายคงรู้แล้วว่าฉันจะบอกอะไร?”คนข้างกายถามโดยที่ยังไม่ละสายตาออกจากทิศทางนั้น
“อืม...ไดโนเสาร์สินะ”มีไม่กี่เรื่องที่จะทำให้ใบหน้าของอานโน่เครียดได้
“ใช่...มีไดโนเสาร์แถมไม่ใช่น้อยๆเลยด้วย”คำตอบนั้นทำให้ผมกำอาวุธในมือแน่น
ในที่สุดก็มาแล้วสินะ...
ภารกิจครั้งที่สอง!
...............................................................................................
สวัสดีค่ะ
มาอัพต่อแล้วนะคะ
จากตอนที่แล้วที่เราบอกว่าตอนนี้จะเป็นขั้นกว่า...หลายๆคนคิดไปในทางเดียวกันว่าต้องเป็นฉากนั้น(ที่ใครๆก็รู้)แน่นอน
แต่ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ใช่ฉากนั้น
หลังจากใจตรงกันขั้นกว่าก็ต้องแฟนกันสิคะ 555 //โดนถีบ
เราเป็นคนที่แต่งฉากนั้นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ถ้าใครตามนิยายเราก็คงรู้ว่าส่วนมากเราไม่ค่อยแต่งฉากนั้นเท่าไหร่
ทั้งเรื่องอย่างมากจะมี1-2ตอนเท่านั้นและส่วนมากจะเป็นตอนท้ายๆ(ขอพูดไว้เลยยย)
ถ้าเห็นฉากนั้นมาเมื่อไหร่แสดงว่าเรื่องนี้ใกล้ถึงตอนจบแล้ว
อีกอย่างของตอนนี้คือแอบเกริ่นเรื่องเครียดที่ทั้งคู่ต้องเจอมานิดหน่อยด้วย
เรื่องราวจะเป็นยังไงจะค่อยๆเฉลยไปทีละนิดนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่รอคอยนิยายเรื่องนี้
เราดีใจมากๆเลย
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆกำลังใจที่มีให้เสมอด้วยนะ
ไว้เจอกันใหม่นะคะ^^
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪