8. คนที่ชอบ___________________________________________________________________________
“พี่เต้ สวัสดี”
วันนี้เต้เดินเข้ามาในร้านตอนเที่ยงเช่นเคยและได้แต่มองไปรอบๆเมื่อไม่เห็นอีกคนที่ตนมาหา
“น้องนายไม่อยู่เหรอครับ”
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่การมาร้านนี้มีสาเหตุหลักมาจากเด็กอีกคน เนมองเขาอย่างงงๆก่อนจะบอก
“นายมันไม่สบายนอนอยู่บ้านคนเดียว เนบอกให้มานอนที่ร้านก็ไม่มา”
เต้ขมวดคิ้วแน่นให้กับคำตอบ เพราะทั้งๆที่เมื่อวานพวกมันยังนัดกันอยู่เลยว่าจะมาติวหนังสือที่ร้านหลังเวลาเลิกงาน เช่นเดียวกับน้องเนที่ตอนนี้กำลังงงอยู่ว่าทำไมคุณครูจำเป็นของน้องชายถึงดูเหมือนยังไม่รู้เรื่องว่านายป่วย เต้กล่าวขอบคุณคนที่ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์ก่อนจะผลักประตูร้านกาแฟร้านประจำออกไปแล้วเดินกลับไปยังรถของตัวเองหลังจากนั้นก็ต่อสายเข้าไปในแผนที่ตัวเองฝึกงานอยู่
“พี่ครับ ผมลาครึ่งวันนะน้องไม่สบาย”
ในตอนที่ตัดสินใจบอกออกไปเต้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เป็นห่วงอีกคนแบบนี้ มันเข้าไปนั่งในรถตัวเองก่อนจะต่อสายอีกครั้งถึงอีกคนที่ได้ยินข่าวว่าป่วยแต่ก่อนที่เต้จะได้กดโทรออกคนที่กำลังจะโทรไปหาพอดีก็โทรเข้ามาเสียก่อน
“พี่เต้ นายกำลังจะโทรไปบอกว่าวันนี้ลาป่วยนะเดี๋ยวหายแล้วจะทำโจทย์ทบทวนเป็นสองเท่า”
เสียงหัวเราะแหบๆลอดมาตามสาย เต้ที่พากเพียรสอนคณิตศาสตร์น้องมาเกือบสองอาทิตย์แล้วไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการเรียนแม้แต่นิด เพราะเท่าที่ดูน้องนายก็ทำได้ดีไม่ดีอาจจะได้มากกว่าคนที่พื้นฐานแน่นแต่ไม่ตั้งใจเรียนเสียอีก
“กินอะไรยังครับ”
นายที่ลุกมากินขนมปังใส้ครีมก้อนนึงตอนสายๆและนอนอยู่บนเตียงมาตั้งแต่ตอนนั้นตอบคุณครูจำเป็น
“ไม่อยากกิน อยากนอนนิ่งๆมันหนักหัวสงสัยสูตรเลขมันเข้ามาเยอะไป”
เต้ลอบถอนหายใจให้กับน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะร่าเริงก่อนจะบอกออกมาบ้าง
“เดี๋ยวพี่ไปหานะครับ”
คนเป็นพี่ว่าก่อนจะกดวางสายเพราะต้องขับรถแต่คนปลายสายอย่างไอ้เนกำลังงงว่าที่บอกจะมาหานี่มาทำไม? มาตอนไหน? ตอนนี้หรือหลังเลิกงาน? แต่พอคิดได้ไม่เท่าไหร่ยาแก้หวัดที่กินไปก่อนหน้านี้สักพักก็ออกฤทธิ์ ในที่สุดนายก็หลับไปพร้อมกับกำมือถือเครื่องเล็กไว้แบบนั้น
จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่เต้ไม่รู้จะซื้ออะไรไปให้คนป่วยกิน มันเลยแทบจะเหมาร้านสะดวกซื้อและแผงผลไม้ใกล้ๆกันมา ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจแม่นักหรอกว่าทำไมไปตลาดแต่ละทีถึงดูเหมือนไปเหมาตลาดกลับมาแต่ตอนนี้เริ่มจะเข้าใจบ้างแล้ว เพราะจะซื้ออันนี้ก็อยากให้น้องกินอันนั้นด้วย จะซื้อส้มวิตามีนซีสูงๆก็กลัวน้องเบื่อเลยซื้อองุ่น แอปเปิ้ล ชมพู่ ในที่สุดแล้วก็หอบข้าวของพะรุงพะรังเอามาวางไว้เต็มหลังรถ
“พี่เต้...”
ไอ้เต้นึกอยากจะกัดลิ้นตายหลายๆรอบเพราะการที่เป็นห่วงคนป่วยกลายเป็นการมากวนคนป่วยไปเสียได้ เมื่อมันกดกริ่งเรียกอยู่สองครั้งก่อนจะเห็นเด็กอีกคนดูจะมึนฤทธิ์ยาและความง่วงเดินมาเปิดประตูให้ เต้รีบจอดรถตรงหน้าบ้านแล้วลงจากรถก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกคน
“ไปรอในบ้านแดดมันแรง เดี๋ยวพี่เอาของในรถก่อนนะครับ”
มันมองเจ้าของไปหน้าแดงแจ๋ที่พยักหน้าก่อนจะค่อยๆเดินเข้าบ้านไป ส่วนตัวคนที่หอบของกินมาเต็มสองไม้สองมือรีบเดินเข้าไปในบ้านหลังสีฟ้าโดยลืมคิดแม้กระทั่งว่ายังไม่ได้ขออนุญาติเจ้าของบ้านเสียด้วยซ้ำ
“น้องนาย”
เต้ถือวิสาสะเดินเข้าไปวางของบนโต๊ะในห้องนั่งเล่นก่อนจะมองไปที่โซฟาหน้าทีวีแล้วพบว่าคนป่วยนอนซุกอยู่บนเบาะนิ่มๆนั่น คนที่อายุมากกว่าเดินเข้าไปหาก่อนจะแตะที่แขนแล้วพบว่าน้องตัวร้อนจนเกินไป ดีที่เมื่อครู่เต้ซื้อผ้าเย็นมาหลายผืน มันรีบรื้อของพวกนั้นออกมาจากถุงแล้วปลุกอีกคนขึ้นมาเสีย
“น้องนาย นอนหงายดีๆ”
คนที่ถูกเรียกครางอืออาในลำคอก่อนจะค่อยๆพลิกตัวมานอนหงายอย่างที่อีกคนบอก ไอ้เต้จำเวลาที่ตัวเองไม่สบายแล้วแม่ทำนั่นทำนี่ให้ได้ดี แต่เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยดูแลคนป่วยมาก่อนเลยดูเก้ๆกังๆไปบ้าง
“ปวดหัวไหม”
คนที่นอนอยู่บนโซฟาส่ายหน้าทั้งๆที่ไม่ยอมลืมตามามองเสียด้วยซ้ำแต่กระนั้นเต้ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดี บางทีคงเป็นเพราะอุณหภูมิที่ร้อนจัดบนร่างกายของอีกคนก็ได้
“ง่วงเหรอครับ”
คนป่วยพยักหน้าให้กับคำถามนั่น เต้ลอบถอนหายใจอยู่หน่อยก่อนจะเอาแผ่นเจลเย็นวางบนหน้าผากมน หลังจากนั้นก็หยิบผ้าเย็นมาเช็ดบริเวณใบหน้าแดงระเรื่อไล่ลงมาถึงข้างแก้มและลำคอ
“พอแล้ว”
คนป่วยว่าเบาๆเมื่อเขากำลังจะเลิกเสื้อยืดตัวบางของอีกคนขึ้นมาเพื่อจะเช็ดตัวให้ ในตอนนั้นน้องนายเอื้อมมือร้อนๆของตัวเองมาจับมือใหญ่ไว้ เต้ว่าโชคดีที่น้องไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองเพราะมิเช่นนั้นคงรู้ว่าตัวมันเองก็หน้าแดงไม่แพ้คนป่วยเลย มันมองคนป่วยที่ขยับยุกยิกเหมือนไม่สบายตัวก่อนจะตะแคงข้างหันออกมาด้านนอกอันเป็นฝั่งที่เต้นั่งอยู่ มือเล็กที่จับมือมันไว้ไม่ยอมปล่อย ที่มากกว่านั้นคือนายเอามือข้างซ้ายของเต้ที่กุมไว้นั่นเข้าไปซุกข้างแก้มร้อนแล้วหลับตาพริ้ม
“ไปหาหมอกันเนอะ”
คุณครูจำเป็นที่ถ่อมาถึงบ้านนักเรียนตัวเองถามด้วยความเป็นห่วง ส่วนคนที่ดูจะเพลียบอกออกมาเบาๆทั้งๆที่เหมือนเข้าภวังค์ไปแล้ว
“อยู่แบบนี้ก็พอ...”
เจ้าของมือใหญ่ที่ถูกยึดไปยิ้มจนตาแทบจะปิดก่อนจะยอมให้เขาจับมือไว้แบบนั้นตามใจ เต้นั่งขัดสมาธิบนพื้นพรมข้างโซฟามองคนที่หลับหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ทำไมเขาถึงพึ่งสังเกตนะว่าขนตาของน้องนายยาวมาก จมูกโด่งนั่นรับกับรูปปากอิ่ม แก้มที่เคยเป็นสีขาวเหลืองตามสีผิวของเจ้าตัวบัดนี้แดงระเรื่อเพราะพิษไข้ เต้ใช้นิ้วชี้ของมือขวาที่ว่างอยู่เกลี่ยมือของอีกคนที่จับมือเขาไว้แน่นอย่างนึกแกล้ง เต้เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ไม่ค่อยละเอียดอ่อนทั้งไม่เข้าใจความแตกต่างของความปลื้ม ความชอบและความรักเสียเท่าไหร่ แต่ที่มันรู้แน่ๆคือมันไม่ได้รู้สึกกับน้องนายเหมือนน้องเนแน่นอน เต้นั่งมองเขาอยู่แบบนั้นจนในที่สุดแล้วก็หลับไปด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
กว่าน้องนายจะตื่นก็เกือบเย็นเข้าไปแล้ว ไอ้เต้ที่นอนท่าประหลาดอย่างเช่นนั่งขัดสมาธิแต่เอาหัวเกยโซฟาตื่นมาเพราะรู้สึกเหมือนมือซ้ายของตัวเองหายไป มันตื่นขึ้นมาเห็นว่าถูกอีกคนเอามือไปหนุนต่างหมอนเรียบร้อย พอเห็นว่าใกล้จะหกโมงคนที่แก่กว่าถึงได้ปลุกอีกคนขึ้นมากินข้าว ซึ่งกับข้าวที่มีได้แก่โจ๊กซอง ไข่ตุ๋นสำเร็จรูป ไส้กรอกและอะไรต่อมิอะไรไม่รู้อีกมากมายเต็มโต๊ะ ในขณะที่ไอ้เต้กำลังปอกเปลือกแอปเปิ้ลแบบเข้าเนื้อไปเสียส่วนใหญ่โทรศัพท์มือถือของน้องนายที่วางไว้บนโต๊ะก็ดังขึ้น
“ดีขึ้นแล้ว เนนอนที่ร้านไปเถอะ”
นั่นคงป็นบทสนทนาฉบับพี่น้องนั่นเอง
“ไม่เป็นไรจริงๆ แค่เป็นหวัดเหมือนคราวที่แล้ว”
ด้วยเพราะนายเป็นภูมิแพ้มันจึงเป็นหวัดและไม่สบายง่ายกว่าคนอื่น เช่นนั้นแล้วการไม่สบายแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยกว่าคนอื่นเช่นกัน
“กินแล้ว กินโจ๊ก ไข่ตุ๋น หมูหยองกับส้ม แอปเปิ้ลด้วย”
หลังจากฟังคำตอบจากน้องชายตัวเองด้วยความไม่รู้ว่าของกินพวกนี้มาจากไหน เนถึงได้คิดเอาเองว่าถ้าน้องชายจะเดินออกไปซื้อของได้ก็คงดีขึ้นอย่างที่ว่า ในที่สุดคุณพี่ชายตัวเล็กก็วางสายไปหลังจากกำชับน้องชายให้กินยาให้ตรงเวลาอย่างดิบดี
“ไม่ไปหาหมอจริงๆเหรอ”
เต้ถามขึ้นเมื่ออีกคนวางมือถือแล้วหันมาสนใจแอปเปิ้ลชิ้นบูดๆเบี้ยวในจาน
“อื้อ พักอีกคืนก็หายแล้วครับ”
คงเพราะเต้สวมเสื้อช็อป น้องมันถึงได้ถามบางอย่างออกมา
“พี่เต้ลางานเหรอ”
และทีนี้ก็คงรู้สึกผิดตามเคย แต่เต้ก็ไม่ได้อยากโกหกให้อีกคนสบายใจแต่อย่างใดเพราะมันเองก็อยากให้น้องรู้บ้างว่าที่มันทำแบบนี้เพื่ออะไร
“ครับ”
เต้ตอบพร้อมกับยิ้มบางๆให้อีกคน ปกติแล้วนายไม่ใช่คนที่ตามคนไม่ทันหรือความรู้สึกช้าแต่เพราะมันเชื่อมาตลอดว่าพี่เต้คนนี้ชอบพี่ชายของตัวเอง ทั้งนายเองก็พึ่งจะเจ็บกับความรักของตัวเองมามันถึงไม่ได้มีช่องว่างพอที่จะคิดเรื่องแบบนั้น แม้จะรู้ตัวดีว่าการอยู่กับพี่เต้ช่วงนี้ช่างสบายใจเหลือเกิน แต่ก็รู้ว่าคงไม่แฟร์กับพี่เต้ที่แอบชอบเนเสียเท่าไหร่
“พี่เต้น่าจะไปหาเนนะ ช่วงนี้น้องเนกำลังเก็บของในร้านไปด้วยร้องเพลงไปด้วยพี่เต้น่าจะชอบ”
นายบอกและยิ้มให้อย่างอย่างจริงใจ เต้ที่รู้สึกปวดใจแปลกๆเอ่ยท้วงน้องที่สีหน้าดูจะดีขึ้นแล้ว
“แต่นายไม่สบาย”
เต้ว่าและยื่นแอปเปิ้ลชิ้นที่มันคิดว่าตัวเองปอกเปลือกได้ดีที่สุดให้
“จะหายแล้ว”
คนที่รับผลไม้มาใส่ปากบอกด้วยความยินดี เพราะวันนี้นายอยู่บ้านชุดที่สวมจึงเป็นเพียงเสื้อยืดย้วยๆกับกางเกงบ็อกเซอร์เท่านั้น เต้มองคนป่วยที่ดูกินได้เยอะเหมือนปกติแล้วก็โล่งใจแต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้อยากจะไปไหนในตอนนี้
“พ่อแม่กลับกี่โมง”
เต้ถามทั้งๆที่ไม่อยากถามเรื่องส่วนตัวของที่บ้านเขานักแต่มันคิดว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นในยามนี้ ส่วนคนที่ถูกถามหัวเราะอยู่หน่อยก่อนจะตอบ
“แม่อยู่อินโดครับ ส่วนพ่ออยู่อเมริกา แม่น่าจะไม่มาที่นี่ส่วนพ่อน่าจะกลับอีกปี”
เต้ฟังประโยคนั้นก่อนจะคิดตามไปด้วยแต่กระนั้นก็ยากที่จะเข้าใจ เพราะแบบนั้นคนป่วยจึงต้องอธิบายใหม่แทบทั้งหมด
“แม่นายเป็นคนอินโดนีเซียส่วนพ่อเป็นคนไทยไปทำงานที่อเมริกา ปีนึงกลับมาฮอลิเดย์ครั้งนึง ร้านที่ทำเป็นร้านของพ่อนายกับน้องเนจะได้กำไรร้อยเปอร์เซ็นช่วงที่พ่อไม่อยู่”
เต้ว่ามันเข้าใจบ้างแล้ว แสดงว่าที่เห็นเด็กสองคนอยู่ด้วยกันแล้วช่วยกันทำงานที่ร้านแบบนี้คงเป็นการรับผิดชอบตัวเองส่วนหนึ่ง คงเพราะเต้เกิดมาค่อนข้างสบายกว่าคนวัยเดียวกันอยู่หน่อยมันจึงไม่ค่อยเข้าใจคำว่าทำงานพิเศษเพื่อสิ่งที่อยากได้เสียเท่าไหร่ ฉะนั้นแล้วการที่ได้เห็นเด็กสองคนขยันทำงานมันถึงได้ปลื้มนัก
“เพราะงั้นเลยไม่จ้างใครเลยใช่ไหมครับ”
เต้ถามติดตลก
“อ้าว...ความแตก”
อีกคนหัวเราะทั้งๆที่แก้มแดงจัด ก่อนที่จะเล่าออกมาอีก
“น้องเนอยากได้ตังค์ไปเรียนโรงเรียนแฟชั่นที่ญี่ปุ่น นายเลยยกเงินส่วนใหญ่ให้น้องเนไป”
คนเป็นน้องชายแต่เรียกพี่ชายว่าน้องแทนคำพูดด้วยรอยยิ้ม บางทีเต้ว่าที่นายอยากเป็นเหมือนเนคงเพราะชอบพี่ชายตัวเองและภูมิใจในตัวพี่ชายมากทีเดียว
“แล้วน้องนายอยากทำอะไร”
เต้ถามออกไปบ้าง คนตัวเล็กยิ้มเขินๆก่อนจะตอบ
“นายชอบรถ อยากเปิดอู่ซ่อมรถกับคาร์แคร์”
จะว่าไปแล้วเต้ก็ได้ยินความฝันแบบนี้จากเพื่อนที่คณะอยู่บ่อย คงเป็นความฝันธรรมดาของพวกที่เลือกเรียนเกี่ยวกับเครื่องยนต์ แต่เขาว่ามันก็ดูเหมาะกับคนตรงหน้าดี อาเฮียตัวเล็กๆใช่ชุดหมี เดินทำหน้าโหดๆไปมา...ก็เหมาะดี
“อาเฮียตัวเล็กแบบนี้ ใส่ชุดหมีคงน่ารักเนอะ”
ไวเท่าความคิดไอ้เต้ก็หลุดปากออกไปจนได้ และในที่สุดมันก็โดนอีกคนค้อนวงใหญ่ อาเฮียที่เขาว่าก้มหน้าลงยิ้มกับตัวเองก่อนจะบอกออกมา
“นายไม่น่ารักหรอก ถ้าเป็นเนว่าไปอย่าง”
เต้ขมวดคิ้วให้กับคำพูดนั้น มันไม่ได้ฟังดูตัดพ้อหรือเรียกร้องอะไรแต่มันคือการแค่พูดออกมากับตัวเอง เท่าที่เต้ว่าดูน้องนายเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย
“แล้วนายมีอะไรดีบ้าง?”
และเช่นเดียวกับคำพูดเขาก็ไม่ได้แฝงการดูถูกหรืออะไรลงไปมากกว่าคำถามเลย เต้ขยับลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปหาอีกคนที่ก้มหน้าอยู่ ในที่สุดใครคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา
“นายไม่รู้”
คนที่ยืนอยู่ยิ้มขำก่อนจะบอกออกมา
“นายเป็นคนดี นายช่วยเนทำงานที่ร้าน นายตั้งใจเรียน นายไม่เคยไปทำให้ใครเดือดร้อน นายรู้จักความเกรงใจที่หลายๆคนไม่มี และนายก็เข้มแข็ง”
เต้วางมือลงบนผมสีน้ำตาลเข้มตามธรรมชาติก่อนจะพูดต่อ
“ข้อดีเยอะแยะแต่นายก็ต้องรู้จักภูมิใจในตัวเอง”
คนที่นั่งเงยหน้าขึ้นมามองเขาอยู่ยิ้มกว้างแบบที่ไม่ค่อยได้ทำนัก นายรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่เต้เป็นคนดีและมันก็มองคนไม่ผิดด้วย แม้ไอ้ตอนที่สอนหนังสือจะดุและเข้มงวดมากก็ตามที
“นายว่าพี่เต้สู้ลุงภัทรได้นะ”
คนป่วยว่าจริงจัง มันเชื่อว่าหน้าตานี่พี่เต้สู้ไอ้ลุงนั่นได้ส่วนฐานะนั่นเต้แอบเห็นจากคอนโดห้องชุดที่เคยไปค้างเมื่อนานมาแล้วน่าจะสู้ลุงภัทรได้สบาย ไอ้เต้ขำก่อนจะถดมือออกแล้วลากเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้อีกคน
“ทำไมถึงคิดว่าพี่ชอบน้องเนล่ะ”
ไอ้เต้ว่าพลางหยิบแอปปิ้ลที่เกิดมาพึ่งเคยปอกเข้าปากตัวเอง
“อ้าว...”
ทีนี้คนที่คิดมาตลอดว่าพี่เต้ชอบพี่ชายตัวเองถึงกับเหวอ
“เพราะลุงภัทรใช่ไหม พี่เต้อย่าไปยอมเขานะลุงมันมีดีแค่หล่อรวย”
เต้นั่งขำคนที่ดูเหมือนจะอยากช่วยมันแต่ฟังไปฟังมาดันเหมือนกับกำลังถูกเปรียบเทียบ แถมฝั่งตนยังเสียเปรียบอยู่เยอะอีกเสียด้วย
“แค่นั้นก็กินขาดแล้วครับ”
เต้บอก
“เออจริงด้วย”
และอีกคนก็ตอบรับแบบยิ้มๆ เท่าที่ดูเต้ว่าน้องนายคงใกล้หายป่วยอย่างที่บอกจริงๆ เพียงแค่คืนนี้ก็ต้องกินยาแล้วพักผ่อนเพราะอุณหภูมิที่ตัวยังสูงอยู่แม้แต่นั่งข้างๆกันก็รู้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมา
“พี่ปลื้มน้องเนนะ แต่พี่ไม่ได้ชอบ”
คนเป็นพี่ว่าอย่างง่ายๆพลางกินผลไม้ในจานไปด้วยส่วนอีกคนมองหน้ามันอย่างอยากจะถามว่าต่างกันตรงไหน...?
“พี่ว่าพี่มีคนที่ชอบแล้ว”
นายแปลกใจกับคำตอบอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ก้าวก่ายอะไร มันแอบได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่าพี่เต้ค่อนข้างเป็นที่รู้จักพอสมควรเพราะขนาดมหาวิทยาลัยของนายที่อยู่ไม่ไกล้เลยยังเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้
“ดีเนอะ นายคงไม่กล้าชอบใครแล้ว มันเจ็บ...”
คนที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆกันว่าพลางหัวเราะน้อยๆ นายก็เป็นเหมือนคนทั่วไปที่พอได้รักแล้วก็ไว้ใจเขาไปเสียหมด แต่คราวนี้นายว่ามันเองต้องโตขึ้นบ้างแล้ว ต้องปกป้องตัวเองบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นทางที่ดีคงต้องปรึกษาคนที่น่าจะมีประสบการณ์เยอะแบบพี่เต้นี่เอง ก่อนที่นายจะได้ถามอะไรบางอย่างอีกคนก็บอกออกมาก่อน
“พี่ไม่กล้าสัญญาหรอกว่าจะไม่ทำให้นายเจ็บ แต่พี่อยากพยายามดูก่อน”
“ห๊ะ...”
คนที่เหมือนจะเรียบเรียงทุกอย่างในสมองได้อย่างไอ้นายถึงกับรวนไปชั่วครู่ มันมองหน้าคนพูดอย่างกับว่าต้องการคำตอบของประโยคบอกเล่าเมื่อครู่
“แค่เป็นนายแบบนี้ก็ได้ พี่ชอบนายที่เป็นแบบนี้นะ”
และเขาก็บอกประโยคที่เข้าใจยากออกมาอีกครั้ง เต้รู้ว่าน้องเป็นไข้แต่ใบหน้าแดงจัดที่มากกว่าเดิมนั่นคงไม่ได้เป็นเพราะเป็นพิษไข้แน่นอน
“พี่เต้พูดอะไร...”
เต้รู้ว่าการที่จะทำให้น้องเชื่อใจคงไม่ง่าย แต่แม้จะรู้ดีแต่ก็อยากทำ มันใช้มือข้างที่ถนัดแตะที่หน้าผากกับแก้มของอีกคนเพื่อวัดอุณหภูมิด้วยท่าทางปกติและตอบคำถามด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติเช่นเคย
“พูดกับคนที่ชอบครับ”
TBC.
______________________________________________________________________________
ทำไมรู้สึกว่านุ้งนายน่ารักกว่าไอ้เน
เต้มันลำเอียงไปพร้อมกับคนเขียนนั่นแหละจ่ะ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคะ อ่านแล้วชุ่มชื่นหัวใจ