-13-
หนึ่งอาทิตย์แล้ว…
หลังจากวันนั้นที่พี่สามมากินสุกี้ที่ห้องและไอ้กำแพงหนึ่งนาที นี่ก็ครบอาทิตย์แล้ว ที่ผมพยายามหลบหน้าทั้งสองคนนั่น
หลบไอ้กำแพงโดยการไปมหา’ลัยเช้าๆ แล้วกลับเร็วๆ
หลบพี่สามที่พยายามมาหาผมที่คอนโด หรือมหา’ลัย
ปิดตายไลน์ตัวเอง…ผิดสัญญากับไอ้กำแพงและทำตัวไม่ดีกับพี่สาม
ใช่ ผมกำลังหนี…
ผมหนีสองคนนั่นได้ แต่หนีความรู้สึกสับสนในใจตัวเองไม่ได้
ผมยอมรับว่าหวั่นไหวกับไอ้กำแพง แม้มันจะเข้ามาในเวลาสั้นๆ แต่เรารู้สึกดีกับคนสองคนพร้อมกันไม่ได้ สิ่งที่แย่กว่าการปฏิเสธใครสักคน คือการไม่รู้ใจตัวเอง
ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้
ผมต้องการเวลาในการหาทางออกให้กับทุกอย่าง
แต่เวลามันหมดลงแล้ว…ยังไงผมก็ต้องพบกับความจริง
วันนี้เป็นวันรับน้องนอกสถานที่ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในสถานที่ยอดนิยมอย่างทะเลที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก
ตอนนี้ผมยืนอยู่ในทะเลลึกแค่เข่า ปล่อยให้สายลมที่พัดมาช่วยลดความวุ่นวายในหัวสมองผม น้ำทะเลเย็นๆขัดกับแสงแดดที่สาดลงมาอย่างร้อนแรงทำให้ผ่อนคลายลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ทำเอ็มวีอะไรของมึงวะ” เสียงที่คุ้นเคยกับแรงกดที่ไหล่ทั้งสองข้าง ทำเอาผมสะดุ้งนิดหน่อยด้วยความตกใจ แต่พอมองผมก็ยิ้มออกมา เพราะมันคือเพื่อนรักของผมทั้งสองคน
พวกมันสองคนยิ้มตอบ ก่อนจะกระชับท่อนแขนที่วางบนไหล่ผมคนละด้านให้แน่นขึ้น
“ไม่ได้ทำเอ็มวี กูยืนอ่อยฝรั่งอยู่ นู่น กล้ามอย่างแน่นอ่ะมึง”
“ไม่ยักรู้ว่าเดี่ยวนี้มึงหัดทำตัวแรด” ไอ้เทียร์ที่มีปากมีเสียงน้อยสุดในกลุ่ม แต่พูดทีก็ทำเอาเสียศูนย์เหมือนกัน
“แรดตามไอ้ฟาน แต่มึงก็ชอบแรดแบบนี้ไม่ใช่หรอวะ?” พอผมสวนกลับเรื่องที่เป็นจุดอ่อนของพวกมันสองคน มันก็พร้อมใจกันหุบปากฉับ แล้วมองนกมองทะเลเป็นทองไม่รู้ร้อน
“กูมีเรื่องจะบอกพวกมึงว่ะ” ผมยิ้มอ่อนๆ แล้วหันไปมองหน้าพวกมันทีละคน สองคนนั้นมองหน้าผมแล้วยิ้มตอบอย่างเข้าใจ
เวลาที่เราสามคนมีเรื่องทุกข์ใจ จะไม่ค่อยบอกกัน จนกว่าจะแน่ใจว่าแบกมันคนเดียวไว้ไม่ไหวจริงๆ ถ้าบอกก็แปลว่า ได้พยายามแก้ไขเรื่องนั้นอย่างสุดความสามารถแล้ว
“เล่ามาสิ”
เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดอย่างใจเย็น เริ่มต้นตั้งแต่ตอนเจอพี่สาม เจอไอ้กำแพง จนถึงเหตุการณ์ที่กินสุกี้วันนั้น พวกมันก็รับฟังเงียบๆอย่างใช้ความคิด
“กูไม่อยากทำร้ายใคร” ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อเล่าจบ
“มึงไม่ทำร้ายใครไม่ได้หรอกไอ้วา เพราะตอนนี้มึงก็ทำร้ายทั้งเขาสองคนและตัวเองอยู่” ไอ้ฟานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“สิ่งที่มึงควรทำตอนนี้คือ ถามความรู้สึกตัวเองให้ดีๆ พอได้คำตอบมึงก็บอกไปตรงๆ ถ้าสองคนนั่นชอบมึงจริง เขาต้องยอมรับการตัดสินใจของมึงได้ จริงอยู่ที่มันคงเจ็บถ้าโดนปฏิเสธ แต่ดีกว่ามึงยื้อต่อไป จนถอนตัวไม่ได้ มันไม่เท่ากับว่ามึงทำร้ายพวกเขาหนักกว่าเดิมหรอวะ”
“ที่มึงพูดมันถูก แต่กูไม่เคยมีความรักจริงๆจังๆสักครั้ง กูไม่รู้อะไรเลย แม้กระทั่งความรู้สึกตัวเอง”
“ถ้าหนึ่งมันใช่ จะไม่มีสอง” ไอ้เทียร์พูดขึ้นเรียบๆ แต่ก็ทำให้ผมเงียบลง แล้วใช้ความคิดกับตัวเองอีกครั้ง
“กูกลัว” สุดท้ายสาเหตุจริงๆมันก็มาจากเหตุผลเดียว มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะผิดหวังกับความรัก แต่ผมว่าผมผิดหวังมา
มากเกินไป จนกลัว…
“กูเข้าใจว่าที่ผ่านมามันไม่ค่อยดี แต่อย่าเอาอดีตมาทำร้ายปัจจุบันสิวะ เริ่มใหม่ได้แล้ว”ไอ้ฟานยิ้ม ทำให้ผมยิ้มตาม
“ ไว้ผัวทิ้งก็วิ่งมาซบพวกกูได้” ไอ้เทียร์พูดแล้วหัวเราะออกมา สำทับด้วยไอ้ฟานที่ประสานเสียงด้วย แล้วผมก็หลุดหัวเราะออกมาบ้าง
“เลิกทำหน้าเครียดสักทีเหอะ พวกกูเป็นห่วง” พวกมันสองคนยิ้มกว้าง ผมก็ยิ้มตอบไปแบบกว้างๆ
“อืม ขอบคุณนะพวกมึง”
“ไม่ต้องหรอก ก็เราเป็นเพื่อนกัน” พูดจบพวกเราสามคนก็กอดกันเป็นวงกลม หรือมีศัพท์ที่เรียกกันเองว่า ‘การชาร์จแบต’
ถึงความรักผมจะล้มเหลวมากี่ครั้ง แต่ผมไม่เคยล้มเหลวจากการรักพวกมัน
ตอนเย็น
เสียงเพลงอะคูสติกฟังสบายจากพี่ปีสามดังคลอไปกับเสียงคลื่น ช่วยให้บรรยากาศในการรับน้องนอกสถานที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย เหมือนกับเป็นการพักผ่อนของปีหนึ่ง หลังจากเจอศึกหนักจากพวกพี่ว้าก ที่พอหมดเวลาโหดก็เข้าสู่โหมดติ๊งต๊องกันเต็มที่
อย่างในตอนนี้ที่เฮดว้ากอย่างเฮียยิ้มกำลังโดนเหล่าพี่ว้ากหามลงทะเล ท่ามกลางเสียงเชียร์ของบรรดาปีหนึ่ง พอมันขึ้นมาได้ก็วิ่งไล่เตะเพื่อนตัวเอง แต่สังขารไม่อำนวยเท่าไหร่ เลยต้องมานั่งเหนื่อยๆข้างผม
“แก่แล้วดิเฮีย วิ่งแค่นี้หอบ” ผมเหน็บไปเบาๆ ก่อนจะส่งน้ำเปล่าในมือให้ เฮียยิ้มมองผมด้วยหางตาแบบคาดโทษไว้ก่อน แล้วรับน้ำไปดื่ม
“ว่ากูแก่ มึงเหอะทำหน้าเครียดจนหน้าแก่กว่ากูอีก ชีวิตมันดราม่ามากหรอวะ” เฮียมันว่าพร้อมกับขยี้หัวผมแรงๆ
“อย่าดิเฮี๊ย! แม่งเซ็ตนานนะเว้ยกว่าจะหล่อแบบนี้” ผมปัดมือมันออก แล้วขยับหนี แต่เฮียยิ้มแม่งก็ล็อคคอแล้วสะบัดๆน้ำใส่
“โว้ยยยยย มันเปียกนะเว้ย พวกมึงช่วยกูด้วย!” ผมแหกปากเรียกไอ้เทียร์กับไอ้ฟานที่ยืนคุยกันอยู่ไม่ไกล มันสองคนหันมาโบกไม้โบกมือแล้วคุยกันต่ออย่างไม่สนใจใยดีผมสักนิก ไอ้เพื่อนนิสัยไม่ดี!
แปะ!
“โอ๊ย! อะไรวะ”
เสียงวัตถุกระทบหน้าผากเฮียยิ้มดังแปะ แต่เป็นแปะที่ฟังแล้วเจ็บแทน พอมองหาก็พบว่าเป็นผลของต้นอะไรสักอย่างที่ผม
ไม่รู้จัก คาดว่าน่าจะหล่นมาจากบนหัว
“เวรกรรมที่เฮียแกล้งผมอ่ะแหละ แบร่” พอได้จังหวะ ผมก็วิ่งหนี ทิ้งให้เฮียผู้โชคร้ายนั่งคลำหัวป้อยๆต่อไป
เดินไปไม่กี่ก้าว สายตาผมก็เจอเข้ากับซุ้มอาหารเล็กๆ ที่ทางบ้านพักจัดไว้ให้ เป็นแบบบุฟเฟ่ต์เลือกตักทานเองได้เต็มที่ เป็นอาหารจำพวกอาหารทะเลย แน่ล่ะ มาทะเลจะให้นั่งกินข้าวซอยก็แปลกไปหน่อย
ในขณะที่กำลังถือจานเลือกอาหารอย่างอารมณ์ดี ข้อมือของผมก็ถูกใครบางกระชากไว้
แล้วก็ไม่ต้องสงสัย
ไอ้กำแพง…
“หนีไม่ได้แล้วนะ” ดวงตาสีนิลคู่นั้นมองมาด้วยความรู้สึกที่ยากจะเดาออก ก่อนจะออกแรงลากผมไปริมทะเลที่ไม่ค่อยมีคน
“ผมต้องการคำอธิบายจากพี่”
“….” แต่ผมก็ให้คำตอบมันด้วยความเงียบ
“พี่วา!” พอมันเริ่มเสียงดัง ผมก็สะดุ้ง แล้วขยับถอยหลังไปอีกก้าว สัมผัสได้เลยว่าอีกฝ่ายน่ากลัวแค่ไหนในเวลานี้ ดวงตาคมดุวาวโรจน์ด้วยโทสะจากความเงียบของผม
“วา!!” มันเสียงดังอีกครั้ง แล้วเอื้อมมือมากระชากแขนผมทั้งสองข้างเข้าไปหาตัวอย่างแรง
“มึงจริงจังแค่ไหนกันวะ” เสียงที่ออกมาแผ่วเบา แต่ดวงตาผมเต็มไปด้วยความจริงจัง มันถึงเวลาที่ผมต้องเผชิญหน้าสักที
“อะไร?” จากความโกรธที่เต็มเปี่ยมเปลี่ยนเป็นความงุนงงทันที แรงบีบที่ต้นแขนทั้งสองข้างก็ค่อยๆคลายลง
“เรื่องกู มึงจริงจังแค่ไหนกัน รันต์กูถามจริงๆเถอะนะ มึงแค่อยากหาอะไรใหม่ๆเล่นรึเปล่า มึงชอบกูจริงๆหรือแค่ถูกใจ” ผมพูดในสิ่งที่ตัวเองสงสัยและกลัวอยู่ออกไปหมด
“…” มันเงียบ ความเงียบมันน่าอึดอัดแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะ ไอ้กำแพงถึงได้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ผมไม่เปิดปากพูดอะไร
เมื่อกี๊
แต่ความเงียบก็คือคำตอบรูปแบบหนึ่ง
“กูเข้าใจแล้ว” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะฝืนยิ้มให้มันบางๆ แล้วหันหลังกลับ แต่เสียงถอนหายใจยาวๆก็ดังขึ้น พร้อมกับวงแขนแข็งแรงที่กอดรัดจากด้านหลัง
“เข้าใจว่าอะไร” น้ำเสียงนุ่มทุ้มแบบเดิมถูกงัดมาใช้ ใบหน้าได้รูปของคนข้างหลังกดลงบนบ่าของผมเบาๆ
“ก็มึงเล่นๆไง พอเถอะเลิกได้แล้ว อย่ามายุ่งกับกู” ผมใช้แรงที่มีพยายามแงะแขนมันออก แต่ก็ชัดเจนอีกคนมันแข็งแรงกว่ามาก
“คนที่ต้องเสียใจมันเป็นผมนะ”
“มึงจะเสียใจอะไรล่ะ! ไม่ได้แคร์อยู่แล้วนี่!” ผมตวาดใส่มันทั้งที่จมูกกับตาเริ่มร้อนผ่าว
“พี่ไม่ตอบไลน์ หลบหน้าผม แล้วก็ดูถูกความรู้สึกของผมด้วย” อ้อมแขนแข็งแรงค่อยๆคลายออก ก่อนอีกฝ่ายจะจับผมให้หันมามองหน้ากันดีๆ
“จะให้กูเชื่อได้ยังไง มึงเข้ามาเร็วมาก มึงรุกกูหนักมากด้วย มันเร็วจนเหมือนล้อเล่น” ยิ่งพูดเสียงผมก็ยิ่งสั่นแบบห้ามไม่อยู่ ภาพทุกอย่างเริ่มพร่ามัวเพราะม่านน้ำตาที่ก่อตัวขึ้น
“นี่ไงถึงได้บอกว่าผมควรจะเสียใจ ที่พี่มองไม่เห็นความจริงจังของผม รู้มั้ยกว่าจะทำใจกล้าหน้าด้านไปกวนตีนพี่ เนียนเอา
ไลน์ หาที่อยู่ อ่อย หรืออะไรก็ตามให้พี่สนใจมันยากขนาดไหน แต่ขอให้เชื่อเถอะว่าผมไม่เคยทำเพราะอยากล้อเล่นกับพี่เลยสัก
นิด ผมชอบพี่ก็คือชอบพี่ ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อให้พี่รู้สึกแบบเดียวกันทั้งนั้น”
ถึงน้ำเสียงนุ่มทุ้มนั้นจะเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ ริมฝีปากได้รูปนั่นจะยกยิ้ม แต่ดวงตาสีนิลที่มักจะระยิบระยับอยู่เสมอกลับแสดงออกชัดเจนว่ามันจริงจังแค่ไหน
“เข้าใจหรือยัง?” มันถามอีกครั้ง ผมก็ทำได้แค่พยักหน้ารับหงึกหงัก ปาดขี้มูกที่ย้อยๆออก จนมันหัวเราะเบาๆแล้วส่งปลายนิ้วอุ่นมาไล้คราบน้ำตาที่ยังหลงเหลือออกอย่างอ่อนโยน
ผมกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะผงะเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าคมนั่นโน้มเข้ามาใกล้ ดวงตาสีนิลอยู่ใกล้จนมองเห็นใบหน้าเหรอหราของตัวเองจากในนั้น อีกฝ่ายคลี่ยิ้มบางๆ แล้วออกแรงที่วงแขนรัดเอวให้แน่นขึ้นเมื่อผมเริ่มต่อต้าน
“ถ้าหนีอีก ผมจะจับล่ามโซ่จริงๆนะ” ไอ้กำแพงพูดแบบทีเล่นทีจริง แต่ก็ทำให้ผมหยุดดิ้นแล้วมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง
“ก็ลองดูสิ ถ้ามึงทำได้ก็เอาเลย”
“ครับๆ ไม่ทำหรอกครับ น่ารักขนาดนี้ใครจะไปทำลง” มันพูดพร้อมกับหัวเราะแผ่วๆ
“ปล่อยกูได้แล้ว” ผมพยายามขืนตัวอีกครั้ง ทั้งจิกไปลงบนแผ่นอกแข็งแรงเกินหน้าเกินตา มืออีกข้างก็ข่วนไปทั่ว
“ชอบผมบ้างรึยังครับ?” พอมันถามก้อนเนื้อในอกก็กระตุก ความร้อนแล่นไปรวมกันบนใบหน้า ผมเม้มริมฝีปากแน่นอย่าง
ทำอะไรไม่ถูก ตรงข้ามกับคนถามที่เลื่อนมือไปบีบท้ายทอยผมเบาๆแล้วบังคับให้เงยหน้าขึ้น
ณ เวลานี้หนียังไงก็คงไม่รอดแล้ว สู้เผชิญหน้าไปเลยดีกว่า
“ไม่รู้” ผมตอบเสียงแผ่วๆ แต่มันก็ยังคงยิ้ม
“พี่ชอบผม”
“กูบอกว่าไม่รู้”
“พี่ชอบผมแน่ๆ”
“เอ๊ะ! กูบอกว่ากูไม่รู้!” พอมันเริ่มพูดประโยคเดิมมากๆเข้า ผมก็เริ่มหงุดหงิดเลยเผลอโวยวายออกไปเสียงดัง
แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อ สัมผัสอุ่นๆก็ประทับลงบนริมฝีปากที่เผยอจะพูดต่อของผมอย่างรวดเร็ว มันค้างอยู่นานพอที่จะสัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นและความชื้นนิดๆจากปลายลิ้นอีกฝ่ายที่ไล้เลียกลีบปากบนและล่างอย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอนออกแล้วยิ้มใส่ตาผมที่ยังช็อคอยู่
“ชอบยัง?” ไอ้คนฉวยโอกาสยักคิ้วใส่อย่างกวนตีน
“ไม่ชอบว้อย!” ไม่รู้ว่าเพราะแรงจากการโมโหหรือเขินกันแน่ แต่ก็ทำให้ผมดิ้นจนหลุด แล้วประเคนฝ่าเท้าเบอร์ 38 ใส่หน้าแข้งให้มันไป ก่อนจะจ้ำออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ทิ้งไว้แค่เสียงร้องโอดโอยปนเสียงหัวเราะขำของคนโดนทำร้ายไล่ตามหลังมา
หายไปนานเลย TT
อารมณ์อะไรหลายๆอย่างยังไม่คงที่ค่ะ
เเต่งไปก็ตบตีกับตัวเองไป 5555555
มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยากนะคะ ถ้าใครอยู่ในสถานการณ์อะไรเเบบนี้
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาคอมเม้นท์ มากๆนะคะ