วันนี้เป็นวันศุกร์ ผมนั่งอยู่ใต้ตึกที่คณะ รอพวกไอ้แบงค์ที่ไปส่งงานอาจารย์ที่ห้อง บ่ายสามแล้วพวกเราต้องประชุมวางแผนเกี่ยวกับหนังสั้นเรื่องล่าสุดที่ทำต่อจากเรื่องที่แล้วกันต่อ
ผมนั่งอ่านบทหนังเรื่อง “เขากอดผม” ที่ผมเพิ่งเขียนเสร็จ เป็นบทหนังสั้นที่เราวางแผนจะเอาไปถ่ายทำกันช่วงหลังจากสอบไฟนอลเสร็จโดยการระดมทุนมาได้แสนกว่าบาทจากทุนพ่อแม่พี่น้องและเงินกองกลางที่สะสมกันมา
จะหมู่จะจ่าเดี๋ยวก็รู้ อิอิ
...........เรื่องราวระหว่างกรุงกับต้อง
กรุงชายหนุ่มจากเมืองหลวงผู้แทบจะไม่เคยสัมผัสกับความบริสุทธิ์ของธรรมชาติตัดสินใจเดินทางท่องโลกคนเดียวเป็นครั้งแรก จุดหมายปลายทางของเขาคือเมืองในฝันที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือนิยายเล่มโปรดของเขา
เขาไม่แน่ใจว่าเมืองแห่งนั้นมีจริงหรือไม่เพราะในนิยายไม่ได้บอกไว้ มีแต่เพียงเส้นทางที่จะไปถึงอย่างคร่าวๆและการพรรณนาถึงความงามที่ปรากฏอยู่ กรุงเป็นศิลปินหนุ่มเพิ่งจบใหม่ หลังจากสอบไฟนอลเสร็จเขาจึงตัดสินใจเอาเงินเก็บส่วนหนึ่งเดินทางตามหาเมืองในฝันแห่งนี้ก่อนจะต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริงของผู้ใหญ่ที่เขาต้องเผชิญ
ระหว่างทางเขาได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง...ต้อง...คุณหมอหนุ่มวัยเบญจเพศที่เบื่อเต็มทนกับชีวิตที่ตนเองเลือกเดินมา เขาตัดสินใจลาพักร้อนและออกมาเดินทางคนเดียว เพื่อหยุดโลกที่หมุนอย่างไม่รีรอทั้งหมดไว้เบื้องหลัง เขาเลือกที่จะมาเมืองปาย เพราะใครๆก็บอกว่ามันสงบ เงียบ เหมาะแก่การมาพักผ่อน ปล่อยทิ้งความเครียดให้ไหลลอยไปสายน้ำและขุนเขา
ทั้งสองบังเอิญได้นั่งข้างกันบนรถเมล์คันแดงจากเชียงใหม่ไปปาย หนทางผ่านโค้ง แหวกหมู่ไม้
ผ่านเนินสูงต่ำ ภูเขาลาดชันลูกแล้วลูกเล่า บทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดจึงเริ่มขึ้นระหว่างเขา
“มาคนเดียวหรอครับ”
“ครับ แล้วคุณล่ะ”
“เหมือนกันครับ”
“ชอบเที่ยวคนเดียวหรอครับ”
“ไม่เชิงครับ อยากลองดูมากกว่า”
“ผมก็เพิ่งเที่ยวคนเดียวครั้งแรกเหมือนกัน”
“บังเอิญนะครับ แล้วเคยมาที่นี่หรือยัง”
“ยังหรอกครับ จริงๆผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำกว่ามาถูกที่หรือเปล่า”
“อ้าว...”
“ผมเดินทางตามลายแทงน่ะครับ ฮ่าๆ”
“หรอครับ อืม”
“คือว่า เรื่องมันยาวน่ะครับ แต่มันคงใช่ที่นี่แหละ”
“ผมว่าคุณคงจะประทับใจแน่ๆเมื่อไปถึง จะใช่ไม่ใช่คงไม่สำคัญแล้วครับ”
“ผมก็ว่างั้น”
…
…
…
“อ้าว ทำไมส่งไวจังวะ” ผมเงยหน้ามองไอ้ฟลุคที่มายืนเท้าโต๊ะม้าหินอยู่
“อาจารย์ยังไม่มา”
“อ้าว แล้วมากี่โมง”
“ไม่รู้ว่ะ มาคุยเรื่องหนังก่อนแล้วกัน สี่โมงค่อยขึ้นไปส่งใหม่” ไอ้ฟลุคพูด ไอ้แบงค์ ไอ้ฝุ่น ไอ้ตั้นเดินตามมา
ส่วนไอ้ทอปมันไปซื้อน้ำที่โรงอาหาร
“มึงว่าบทมันเรียบไปป่าววะ” ผมถามพวกมันเมื่อทุกคนมานั่งสุมหัวกันแล้ว
“อืม ใช่” ไอ้ฟลุคบอก
“กูไม่เข้าใจ ทำไมมันต้องขี่มอเตอไซด์ไปเที่ยวกันวะ” ไอ้ทอปพูด
“ก็มึงจะให้มันวิ่งข้ามภูเขาแบบหนังแขกรึไงวะ” ผมตอบมันไปแบบขำๆ
“ป่าว กูเห็นมันมีหนังหลายเรื่องแล้วที่ขี่มอเตอร์ไซด์กัน”
“จริงๆ กูก็อยากใช้พาหนะอื่นนะ แต่ว่ามันไม่มีอะไรจะน่ารักได้เท่ากับการซ้อนมอเตอไซด์แล้วว่ะ”
“ยังไงวะ” ไอ้ตั้นถาม
“รถยนต์มันห่างเหินกันเกินไป เหมือนโดนตัดขาดจากธรรมชาติภายนอก
ส่วนจักรยานมันเหมือนเรายังอยู่ในโลกแห่งความจริง เรายังรู้สึกว่าขาต้องถีบ
มันเหนื่อย ไม่โรแมนติค ซ้อนกันก็ลำบาก จากจะรักกันอาจจะกลายเป็นทะเลาะกันแทน
แต่มอเตอร์ไซด์มันเป็นกลางไง มันให้ความเร็วกว่าจักรยาน ไม่ต้องออกแรงมากมาย
ไม่เหนื่อย เหมือนมึงบินได้อ่ะ แล้วมันก็ไม่ได้มีกล่องมาครอบมึงแบบรถยนต์
ทำให้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งกับสายลม แสงแดด ไอดิน กลิ่นหญ้า อีกอย่างมันต้องซ้อนกัน
ได้สัมผัสซึ่งกันและกัน แถมยังมีเสน่ห์ที่เราไม่อาจเห็นหน้ากันได้ถนัด
คนขี่ไม่รู้หรอกว่าคนที่ซ้อนอยู่ยิ้มอย่างหวานช่ำแค่ไหน
แล้วคนซ้อนก็ไม่อาจจะเห็นประกายแววตาแห่งความสุขของคนขี่ได้
แม่งพูดแล้วกูอยากมีแฟนไปขี่มอเตอร์ไซด์ด้วยกัน ฮ่าๆๆๆๆ”
“อ้วกกกกกกกกกก”

พวกมันพร้อมเพรียงกันทำเสียงและท่าทางประกอบ แมร่ง กำลังซึ้งซะหน่อย
“มึงมีความรักหรอวะ” ไอ้ฝุ่นถามผม
“ป๊าว รักไรมึง”
โป๊กกก โอ้ย ไอ้แบงค์ ตบหัวกูทำไมวะ เจ็บนะมึง “ปากแข็งนะสัด” มันพูดต่อ
“ว่าไงมึง อย่ามาปิดบังเพื่อน” ไอ้ทอปจ้องหน้าถามผม
“พอๆ คุยงานต่อ ไม่มีไรจริงๆ” ห่าพวกนี้หนิ จับผิดกันจริง
“เออๆ สรุปก็ให้มันขี่มอเตอร์ไซด์นั่นแหละ”
“แต่กูว่ามันควรจะเจอสถานการณ์อะไรแปลกๆบ้างว่ะ” ไอ้ตั้นบอก
“เจองูยักษ์กลางป่ามั้ยวะ ฮ่าๆๆ”
“เหี้ย กลายเป็นหนังไซไฟพอดี”
“กูว่ามีผู้หญิงร่วมเดินทางอีกคนดีป่ะ”
“มันไม่กลายไปเหมือนเรื่อง Y Tu Mama Tambien หรอวะ”
“เจอไฟป่าเป็นไงวะ” ผมเสนอ
“แล้วมึงจะเผาป่าถ่ายหนังหรอวะ คิดใหญ่ไปแล้ว” แล้วไอ้ตั้นก็เบรคผมไว้ ก็จริงของมันอ่ะนะ
“มันต้องมีสถานการณ์บางอย่างไปดึงเอาก้นบึ้งความชอบผู้ชายออกมาเว้ย”
“เออ กูรู้แล้ว อะไรล่ะ”
“ก็มีที่กูใส่ไปอันนึงไง ว่าเมืองมันเกิดร้อนผิดปกติ คนเลยถอดเสื้อเดินกันให้ว่อน” ผมบอก
“อันนั้นมันเป็นสิ่งรอบข้าง แต่มันไม่ค่อยเกิดแอคชั่นต่อตัวละครเท่าไหร่ว่ะ มันเป็น motive เฉยๆ”
ไอ้ฟลุคพูดเสริม
“อะไรวะที่จะทำให้ตัวละครมันรู้สึกแล้วยอมรับว่าตัวเองเกิดหลงรักผู้ชายเข้าให้แล้ว”
“คิดไม่ออกว่ะ”
“ไอ้ทอป มึงเป็นเกย์อ่ะ ว่าไง” ไอ้ฝุ่นแซวไอ้ทอป
“ไม่รู้เว้ย กูชอบมาเลยแต่เกิด ไม่ต้องมีสิ่งเร้า” ฮ่าๆๆๆ ฮากันทั้งโต๊ะเลย แต่ผมแอบสะอึกเล็กๆ นั่นสิ อะไรวะ
ที่กระตุ้นให้คนเรารู้ว่าจริงๆแล้วกูชอบผ้ชาย
“เราทำหนังกึ่ง Surealism เพราะฉะนั้นเอาเป็นสัญลักษณ์ก็ได้เว้ย” ไอ้ตั้นบอก
“ภาพวาดเกย์บนฝาผนังในถ้ำเลยเป็นไง” ไอ้ฟลุคแม่งคิดได้นะ
“ตอนเล่นน้ำให้มันเกือบจมน้ำไงมึง ต้องมีการผายปอด เมาท์ทูเมาท์ไปเลย กูว่านะเผลอๆคนแสดงจะค้นพบตัวเองก่อนตัวละคร ฮ่าๆๆๆ” ไอ้ทอป ห่าหนิ ยังไม่รู้เลยใครจะยอมเล่น
แล้วโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมเดินออกมารับ
“ไงมึง”
“ว่าไง คืนนี้ไปไหน” เสียงไอ้แนทโทรมา
“คืนนี้หรอวะ ไม่รู้ว่ะ”
“มาลาดกระบังมั้ยมึง”
“จะดีหรอวะ ฮ่าๆๆๆ” ไม่ได้ไปหลายอาทิตย์แล้วเหมือนกัน รึว่าจะไปดีหว่า
“แหม น้ำเสียงนี่ไม่อยากมาเลยนะสัด” ไอ้แนทแม่งพูดประชดผม เป็นผู้หญิงพูดจาหยาบคายไม่ดีนะเว้ย
“เฮ้ย แต่กูคงเลิกดึกว่ะ เอางี้ พรุ่งนี้แล้วกัน”
“อ่านะ วันนี้กูก็ว่างล่ะสิ”
“มึงก็แดกเหล้ากับเพื่อนที่มอไปก่อน”
“เออๆ รมณ์เสีย พรุ่งนี้ไปไหนโทรบอกกูด้วยนะ” เสียงไอ้แนทหงุดหงิด แล้วก็ร่ำลาวางสายไป
คุยกันต่อกับพวกมันถึงสามทุ่ม ไปกินข้าวกันต่ออีก กว่าจะถึงห้องก็ปาไปห้าทุ่มแล้ว เหนื่อยเว้ย
และผมก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมอง 2046 ซึ่งมีแม่กุญแจลอคอยู่ คงไปกินเหล้าไม่ก็เล่นดนตรีสินะ คืนนี้
วันเสาร์ผมมีเรียนอีกหนึ่งตัว และผมก็ยังไม่ได้คุยกับใครจนเลิกเรียนเกือบสี่โมง
“ดีคับพี่นิว” พี่นิวรู้เวลามากๆ โทรมาตอนสี่โมงกว่าๆ ผมเลิกเรียนพอดี
“เรียนเสร็จแล้วสิมึง คืนนี้วายฟิฟตี้ (Y50) นะ” ว่าแล้วว่าต้องเที่ยว
“คร้าบ” ผมไม่ได้ออกไปไหนมาหลายคืน แบบนี้ไม่ถือว่าเที่ยวบ่อยเนอะ
“ไปเยอะป่ะอ่ะพี่” ผมถามต่อ เพราะอยากไปแค่คนสนิทๆ เคยเป็นมั้ยคับ เวลาไปไหนโดยที่ไม่ต้องคอยเทคแคร์ พยายามทำตัวสดใส เหมือนเหนื่อยกับชีวิต อยากอยู่กับเพื่อนๆ ที่สนิทๆ ไม่กี่คน
“ก็พี่ต้อม พี่แซน พี่โจโจ้ อยากชวนใครอีกป่าวล่ะ” พี่นิวถาม
“แค่นี้แหละพี่ อ้อมีไอ้แนทอีกคนเดี่ยวถามมันก่อ” ไอ้แนทมันก็เคยเจอพวกพี่ๆเค้าแหละคับ ขาเที่ยวพอกัน
“เออ จองโต๊ะเดิมไว้แหละ”
“อ่ะคับ ดีดี อยากนั่งสบายๆไม่อยากเจอคนเยอะๆ”
“อ้าว เป็นไรป่าว ไปหาร้านเงียบๆนั่งก็ได้นะเว้ย”
“ป่าวพี่ แค่อารมณ์อยากเต้นกับพี่ๆ ฮ่าๆๆ”
“เอออออออ” พี่แกลากเสียงยาว
“เจอกันที่ร้านเลยป่าวอ่ะเฮีย”
“แล้วแต่ พี่นัดเจอไอ้แซนที่ห้องพี่ก่อนตอนสองทุ่ม”
“อืม เดี๋ยวเต้เข้าไปหาที่ห้องและกัน”
“โอเคๆ อย่าเลทนะมึง”
“คร้าบบบบ”
วางสายไปแล้วก็รีบกลับหอไปนั่งเล่นสักพัก ตอนเดินผ่าน ห้องข้างๆก็ลอคแม่กุญแจอีกแล้ว
“ดีคับ” ผมรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ตอนกำลังจะออกจากหอขึ้นรถไปห้องพี่นิว
“หวัดดีคับ ว่างป่าวเต้”
“คุยได้คับ”
“วันนี้บิวจะไปเที่ยวกับเพื่อนที่มหาลัย ไปด้วยกันป่ะ” อ่ะ นายบิวอะไรนี่โทรมาชวนเที่ยวอีกและ ผมก็เกรงใจแฮะ ปฏิเสธเค้าทุกครั้ง
“ร้านไหนอ่ะ”
“วายฟิฟตี้” อ้าว...ไปร้านเดียวกัน
“จริงดิ เต้ก็จะไปร้านนี้พอดี เต้ไปกับพวกรุ่นพี่อ่ะ ไว้เจอกันที่ร้านก็ได้มั้ง”
“หรอ ดีจัง ตอนแรกบิวกะจะไปอาร์แต่เพื่อนๆในกลุ่ม บอกว่าอยากลองไปร้านนี้ดู ร้านมันดีป่ะ”
“ดีนะ ไม่แออัด เพลงมันส์ดี”
“หรอ อืมๆ งั้นเดี๋ยวเจอกัน เต้ไปกี่โมงอ่ะ”
“ถึงราวๆสามทุ่มมั้ง”
“พอๆกันแหละ โอเคคร้าบ”
เฮ้อ....ว่าจะไม่เจอคนเยอะแล้วเชียว ไอ้เต้คิดในใจ แล้วก็โทรหาไอ้แนทต่อ ชวนมันมาด้วย
“ถึงยังคับ” เสียงบิวดังอยู่ในโทรศัพท์ ผมพยายามเดินไปคุยที่ห้องน้ำเพื่อจะได้ไม่ต้องตะโกนแข่งกับเสียงดนตรี”
“อยู่ในร้านแล้ว โต๊ะหน้าเวทีคับ”
“คับ คับ บิวอยู่หน้าร้าน งั้นเดี๋ยวเดินไปหา”
“โอเคคับ”
“ไง” บิวเดินเข้ามาหลังจากผมกลับมานั่งที่โต๊ะสักพัก พวกพี่ๆ มองกันใหญ่เลย อิอิ สนใจมั้ยคับ เดี๋ยวจัดให้
“มานานยังอ่ะ”
“เพิ่งมาถึงสักพักอ่ะ แล้วนั่งโต๊ะไหนอ่ะ” บิวมันก็ชี้ไปที่โต๊ะอีกฝั่ง เห็นมีผู้ชายผู้หญิงนั่งอยู่เกือบสิบคนได้
“โห มากันเยอะว่ะ”
“โต๊ะนี้ก็ไม่น้อยกว่าเท่าไหร่เลยนะ” แหะๆ ก็ 6 คนเองคร้าบ
“แล้วนี่เพื่อนๆที่มหาลัยหมดเลยป่ะ” บิวมันถามแล้วมองพวกพี่ๆ สายตาสแกนยังกับเลเซอร์
“ป่าวๆพวกพี่ๆ นี่พี่นิว พี่แซน พี่ต้อม พี่โจโจ้ ไอ้แนท”
จะว่าไปผมยังไม่เคยถามบิวมันเลยว่าอายุเท่าไหร่ คิดว่ารุ่นเดียวกัน แหะๆ
“หวัดดีคับ”
“ชนๆ” พี่นิว จัดการชงแก้วใหม่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ยื่นใส่มือไอ้บิวเรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆ ไวนะพี่
“เอ่อ” ไอ้บิวก็ทำหน้าปฏิเสธไม่ได้ แล้วทุกคนก็ดื่มกัน...
สักพักก็เดินหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์กลับโต๊ะไป ฮ่าๆๆๆ เห็นแล้วตลกดี
.................................
....................................................
...........................Gear
“มึงรู้จักไอ้เต้ด้วยหรอวะ”
“อ้าว มึงก็รู้จักหรอ” ไอ้บิวถามผม รู้สิมึง ก็คนนี้แหละ ที่กูมาปรึกษามึง
“เออ คนนี้ไง ที่มึงบอกว่าชื่อเหมือนเด็กมึง”
“อ้าวสัด คนเดียวกันหรอวะ” ยังจะมาทำขำอีก ไอ้เหี้ยหนิ กูไม่ขำกับมึงนะ ผมลากมันมาคุยข้างนอกร้าน กลัวเพื่อนๆในกลุ่มคนอื่นจะรู้เรื่อง
“ถ้าเป็นคนนี้งั้นกูหลีกให้ว่ะ เดี๋ยวกูช่วย” ไอ้บิวพูด ดีมากเพื่อน
“แต่ถ้ามึงยังสับสนกับตัวเองแบบนี้ก็อย่าเพิ่งจีบน้องเค้าเลยว่ะ สงสารเค้า จีบๆไปเกิดเค้ารักมึงมากๆมึงเสือกเปลี่ยนใจไปเอาหญิงทำไงวะ” อืม ไอ้บิวก็พูดถูก ตอนนี้อาจจะแค่หลงมันมากๆ แต่ต่อไปก็ไม่แน่
“เออ ไม่รู้ว่ะ แต่กูไมได้คุยกับไอ้เต้มาตั้งหลายวัน (ตั้งแต่คืนนั้น) มึงพากูไปชนแก้วหน่อยแล้วกัน”
“ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ ฮ่าๆ”