[End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62  (อ่าน 26088 ครั้ง)

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: [End] Acker | [Sp.1] After acker | Close Pre-order 5 Apri |P6 |03/04/02
«ตอบ #180 เมื่อ03-04-2019 22:51:44 »




[SP1] EP.36 After Acker





‘คร่อกกกก ฟี้’

“....”

ผมถอนหายใจหนัก ๆ ให้กับเสียงกรนดังกล่าวที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีท่าจะเบาลง หลังคนข้าง ๆ ผมนอนหลับไป มือหนา ๆ สองข้างและขาหนัก ๆ อีกข้างพาดผมเอาไว้ด้วยความรัก(?) เหมือนจะชินแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ชินอะไรมากเท่าไหร่ ตาผมจับจ้องไปที่ขนคิ้วหนา ๆ ทั้งสองข้างของเขา

ผมอมยิ้มกับตัวเอง อดไม่ได้ที่จะยกมือมาลูบหัวเขาเล่น ปลดปลงกับเสียงกรน แล้วคิดในใจว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะลองไปหาซื้อที่อุดหูสำหรับใช้เวลาตัวเองอยากจะเข้านอน มือก็บีบแก้มตัวต้นเหตุที่ทำเอาผมนอนไม่หลับ เจ้าตัวส่ายหน้าหนีผมไปมาทั้ง ๆ ที่หลับลงไปลึกมาก ๆ แล้ว

ทรอยเป็นคนนอนกรน และผมมั่นใจว่าเรื่องนี้น่าจะไม่มีใครบอกกับเขา

เอาเป็นว่าเสียงกรนนี้สามารถทำให้ผมเป็นไมเกรนได้สบาย ๆ เรื่องนี้ผมหลับรู้ตั้งแต่ช่วงที่ไปนอนกับเขาที่ห้องแถวมหาวิทยาลัยเจ้าตัวนั่นแหละ แรก ๆ ผมก็พยายามทำความเข้าใจ และก็พยายามพลิกตัวเขาบ่อย ๆ เวลาที่เขานอนหงายก็จะจับตะแคงให้หายนอนกรน แต่หลัง ๆ มาผมเองทำงานเสร็จก็หนักมากพอแรงแล้ว พอมาเจอเสียงดัง ๆ รบกวนอีกก็เหนื่อยเหมือนกันครับ

ผมคิดว่าผมน่าจะบอกเรื่องนี้ให้เจ้าตัวรับรู้ แต่อาจจะหาสักวันใดวันหนึ่งที่มีโอกาสเหมาะ ๆ จะบอกเขาแบบไม่น่าเกลียดเกินไป ผมคิดในใจพร้อมพยายามข่มตาให้ตัวเองนอนหลับ

เกือบสองวีคแล้วหลังจากวันนั้นที่น้องมันแมสเซจให้ผมไปหาที่ห้อง หลังจากวันนั้นจบลง ผมและทรอยก็เข้าใจกันมากขึ้นในหลาย ๆ ระดับ เข้าใจแล้วว่าท่าทีแข็งกร้าวที่เห็นมาตลอดคือการแสดงออกเพื่อปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด ยิ่งคิดแบบนั้นผมยิ่งเอ็นดูเจ้าเด็กนี้ ที่พยายามคิดถึงคนอื่นจนหลาย ๆ ครั้งก็ลืมละเลยตัวเอง

ถามว่าการเป็นแฟนกับคนที่เคยเป็น ‘แอคเค่อ’ มีความลำบากอะไรบ้างไหม?

ถ้าตอบตามตรงสำหรับผมมันก็มีบ้างแหละ จริง ๆ ก็ไม่บ้างหรอก เรื่องนี้มันเป็นกำแพงสำหรับผมตั้งแต่แรกเจอเลยมั้ง ไม่สิ ตั้งแต่ก่อนแรกเจอเขาตัวเป็น ๆ อีก ตั้งแต่ผมทำการรีเสิร์ชเรื่องพวกนี้จนไปเจอเรื่องของเขาผ่านปากแฟนเก่า รวมไปถึงการค่อย ๆ ตามดูพฤติกรรมที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้จักกับทรอยโดยที่เขาไม่เคยได้รู้จักผมเลยด้วยซ้ำ

ก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะมาตกหลุมรักคนแบบเขาได้

ผมยังจำวันนั้นได้เลย วันที่ผมเข้าไปที่ร้านอาหารที่เขาทำงานพิเศษ ตาผมก็สอดส่องไปทั่วร้าน ก่อนจะพบกับเจ้าเด็กเสียงหวานที่คอยบริการลูกค้าไม่ขาดสาย หนำซ้ำยังอัธยาศัยดีจนน่าหมั้นไส้ พูดก็พูดเถอะ จากลักษณะภายนอกที่แสดงออกแล้ว ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะมีแอคเค้าท์ทวิตเตอร์ไว้ลงเรื่องอย่างว่าในโลกออนไลน์

การได้พบเจอกับทรอย เปลี่ยนมุมมองที่ผมใช้มองผู้คนไปตลอดกาล

จากมองว่าคนนั้นคนนี้เป็น ‘สีอะไร’ ผมกลับเปลี่ยนไปมองทั้งหมดที่อยู่ในตัวคน ๆ หนึ่ง ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีเท่าที่คน ๆ หนึ่งจะมีได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นหลังจากได้พบกับเขา เจ้าเด็กใส่แว่นที่ปั้นหน้าตายหลอกซะจนผมต้องงัดไม้เด็ดออกมานั่นแหละถึงได้ยอมรับคำสารภาพอย่างเสียไม่ได้

ผมไม่อยากใช้การหักหาญบังคับอะไรเขา จึงทำได้แค่เพียงสารภาพในความผิดที่ไปได้รูปลับ ๆ ของเขามา พร้อมทั้งภาวนาให้เขาเข้าใจเจตนารมณ์ของผมที่อยากจะถ่ายทอดเรื่องราวพวกนี้ให้ออกมาเป็นตัวหนังสือ อาจจะเป็นโชคดีของผมที่ได้พบเจอกับเขาในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเจอกัน

การไปหาข้อมูล ‘เฉย ๆ ’ กับกลายเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ของชีวิตอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งการรับรู้เรื่องราวที่เป็นไป การรับรู้ว่าเจ้าตัวแบกรับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจากความรักมากขนาดไหน ทรอยอาจจะไม่รู้ตัวก็เป็นไปได้ แต่ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ผมใจผมกับรู้สึกกับเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใคร

นั่นแหละมั้ง คือเหตุผลที่ใคร ๆ ก็บอกไว้ว่าความรักมันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

ทรอยเป็นคนอัธยาศัยดีแบบแปลก ๆ กล่าวคือ เขาเป็นคนชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เป็นคนที่เหมือนจะใช้ชีวิตแบบสัตว์เดียว ออลอโลนในโลกของตัวเอง แต่ไอ้การไปไหนมาไหนคนเดียวของเขา คุณสามารถพบเจอกับผู้คนอันหลากหลายได้แค่คุณร่วมเดินทางไปด้วยกัน ครั้งหนึ่งเราเคยไปทานอาหารกันที่ห้างสรรพสินค้าใกล้กับมหาวิทยาลัยของเขา

ระยะทางตั้งแต่หน้าประตูห้างยันก่อนเข้าโรงภาพยนตร์ หมอนี้เจอคนรู้จักที่เข้ามาทักทายตั้งกี่คนต่อกี่คน และถึงแม้เขาจะไม่พูดอะไรมากไปกว่าการทักทายสารทุกข์สุขดิบทั่วไป แต่ผมก็มั่นใจแหละว่าบางคนก็คงเป็นคู่นอนเก่าของเขา สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมแอบหนักใจกับตัวเองอยู่หน่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

...ผมไว้ใจเขา แต่ผมมีสิทธิ์ที่จะหวาดระแวงอดีตของเขาใช่ไหมนะ?

ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ได้แต่ฝั่งจมูกของตัวเองไว้บนใบหน้าของเขา เจ้าตัวไม่เคยรับรู้อะไรหรอกว่าการอยู่ข้าง ๆ เขาผมต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวภายในใจเงียบ ๆ ของตัวเองเท่าไหร่ ผมรู้ ทรอยไม่ผิดหรอก เพราะตั้งแต่แรกก่อนที่เราจะมาเป็นคนข้าง ๆ กัน ก็เป็นผมเองไม่ใช่เหรอที่เดินเข้าไปถึงโลกของอีกฝ่าย

ผมต้องยอมรับมันได้สิ ผมคิดแบบนั้นนะ และหวังว่าภายในใจของผมจะยอมรับมันได้ทั้งหมดจริง  ๆ โดยไม่ต้องมารู้สึกหวาดกลัวในใจเงียบ ๆ คนเดียวแบบนี้อีก

เขาคงไม่นอกใจผมหรอก...

..ใช่ไหมนะ?

 

...

 

“ทรอยครับ พี่บอกแล้วไงว่าเวลากินเสร็จให้ล้างจานเลย ทำไมถึงทิ้งจานไว้แบบนั้น?” ผมเอ็ดเขาหลังตื่นมาแล้วจะเข้ามาหาของกินในครัว พอเห็นซิงค์ล้างจานที่มีจานวางอยู่สองสามใบก็ถอนหายใจกับความมักง่ายของอีกฝ่ายที่ทำให้ผมเอ็ดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เจ้าตัวเดินเข้าไปก็จะบอกกับผมง่าย ๆ ว่า

“เดี๋ยวค่อยล้างทีเดียวตอนเย็นก็ได้” เขาว่า ผมส่ายหน้าและชี้ไปให้เขาจัดการ ณ เวลานี้ เจ้าตัววางมือจากงานตรงหน้าและเดินมาทำตามที่ผมบอก

“พี่ไม่ชอบอยู่กับคนสกปรกนะ” ผมหลุดปาก เขาหันมามองหน้าผม ทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดอะไร ยืนล้างจานไปเงียบ ๆ แบบนั้น เช็ดเสร็จแล้วก็เอาเข้าตู้ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งพิมพ์โครงงานของตัวเองต่อ ผมเห็นอีกฝ่ายยังอารมณ์ไม่ดีก็ไม่อยากเข้าไปกวนใจเขาในเวลานี้ เลยเลี่ยงด้วยการเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองแทน

ผมจำได้ว่าสูทที่ผมต้องใช้ในเช้าวันจันทร์นี้ มันควรแขวนไว้ที่แขวนเสื้อด้านในห้องไม่ใช่เหรอ?

หรือทรอยเอาไปไหน?

“ทรอยครับ เห็นเสื้อสูทตัวนอกของพี่ที่แขวนไว้ในห้องไหม?” ผมเดินออกไปถาม เจ้าตัวเงยหน้าออกจากโน้ตบุ๊คมองผมและส่ายหน้าเงียบ ๆ ผมถอนหายใจแล้วพูดต่อ

“อยู่กันสองคน ถ้าทรอยไม่เปลี่ยนที่แล้วมันจะหายไปไหน?” ผมว่าลอย ๆ อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา เงยหน้าแล้วมองลอดผ่านแว่นตา

“ก็ทรอยบอกว่าทรอยไม่เห็น พี่หาของไม่เจอแล้วจะมาโทษเราได้ไง” เขาโต้กลับ ผมขมวดคิ้วเป็นโบว์

“ก็เราชอบย้ายของในห้องพี่ พี่ก็ต้องถาม เผื่อเราย้ายไปไหนอีก” ช่วงที่มาอยู่ด้วยกัน บางครั้งอีกฝ่ายก็ทำความสะอาดห้องให้ผม แต่กลับกลายเป็นว่าหาของบางอย่างไม่เจอไปซะงั้น หลัง ๆ มาผมเลยห้ามไว้ว่าไม่ต้องทำความสะอาดอีก แค่ไม่ทำรกก็พอใจแล้ว

“พี่แชมป์ เราไม่ใช่ปลาทองนะจะได้จำไม่ได้ถ้าขยับของพี่ ของในห้องนี้นอกจากซิงค์ล้างจานกับที่นอนแล้ว เราแทบไม่ได้แตะต้องอะไรด้วยซ้ำ” เขาว่า น้ำเสียงขึ้นนิด ๆ

“รอบที่แล้วเราก็พูดแบบนี้ แต่ปากกาพี่ก็ไปอยู่ใต้โต๊ะ”

“เราบอกแล้วว่าตรงนั้นเราไม่ได้ไปยุ่งด้วย พี่ทำตกเองหรือเปล่า?”

“เราโทษพี่เหรอ?”

“งั้นแปลว่าพี่จะโทษเราทั้ง ๆ ที่เราบอกไปแล้ว? เรื่องเสื้อก็เหมือนกัน ทรอยเป็นแฟนพี่นะครับ ไม่ใช่เลขาพี่ ถ้าสงสัยทำไมไม่ลองถามพี่ไก่แจ้ดู” เขาว่ากลับ น้ำเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ

“ก็ของมันอยู่ในห้องที่เราอยู่กันสองคนนะ ไอ้แจ้มันจะไปรู้ได้ยังไ...” ผมบ่นยังไม่เสร็จเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไอ้คนตายยากโทรศัพท์เข้ามาพอดี ผมแอบขอบคุณมันในใจเงียบ ๆ ที่อีกฝ่ายโทรเข้ามาในช่วงเวลาที่บรรยากาศมาคุพอดี ผมเดินเลี่ยงไปที่ระเบียงก่อนจะกดรับสายโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทที่เป็นเลขาของตนเอง

“ฮัลโหล ว่าไงมึง” ผมทัก

‘มึง ชุดสูทที่ส่งซักรีดเดี๋ยวร้านจะไปส่งให้ที่คอนโดมึงช่วงเย็นนะ’ มันว่า ผมขมวดคิ้วอีกรอบ

“สูทอะไรวะ?”

‘สูทสีน้ำเงินตัวเก่งที่มึงทำกาแฟหกใส่เมื่อวันศุกร์ไง อะไรวะ สองสามวันลืมของรักของหวงไปแล้วเหรอ’ มันว่า และทำให้ผมระลึกชาติได้ ใช่แล้ว เมื่อวันศุกร์ เพราะผมนอนน้อยจากเสียงกรนของทรอยเลยทำให้เบลอ ๆ หน่อย หนักเข้าก็ทำกาแฟหกใส่เสื้อตัวเอง ผมเลยให้ไอ้แจ้เอาไปส่งร้านซักรีดให้ในวันนั้น

ชิบ...ผมเผลอโทษคนอื่นซะงั้น

“เออ ๆ มึงไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม?”

‘มี’

“อะไร?” ผมถาม อีกฝ่ายเว้นวรรคช่วงไปก่อนจะตอบ

‘ช่วงนี้ท่านประธานเรียกกูเข้าไปถามเรื่องมึงบ่อย ๆ ว่าทำไมเข้าประชุมสายบ้าง ทำไมถึงตัดสินใจอะไรบางอย่างผิดพลาดบ้าง ท่านกังวลว่ามึงไป ‘ติดสาว’ ที่ไหนรึเปล่า สบายใจได้ กูตอบไปตามตรงแล้วว่ามึงไม่ได้ไปติดสาวที่ไหน ท่านก็เบาใจลง เพราะกูไม่ได้พูดต่อว่าที่มึงติดนะ ...ไม่ใช่สาว แต่เป็นเสือ’ มันว่า แกมย้ำประโยคลงท้าย

“เออ ขอบคุณมึงด้วย”

‘ยังไงก็ระมัดระวังด้วยแหละกัน มึงก็รู้ว่าพ่อมึงเป็นคนยังไง กูไม่กวนเวลามึงแล้ว บาย’

“บายมึง” ผมตอบกลับก่อนกดวางสายโทรศัพท์

เรื่องครอบครัวของผมก็เป็นอีกเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ผมเองก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะจัดการยังไงต่อไปดี เพราะแบบนั้นตอนแรกผมถึงไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรออกไปมากช่วงที่คุยกับทรอยแรก ๆ แต่ไป ๆ มา ๆ พอเรื่องมันกลับกลายมาเป็นแบบนี้ ผมก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะบอกพวกท่านยังไงเดียว

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนแต่เราไมได้อยู่บนโลกที่มีแต่เราสองคน

หลายครั้งแล้วผมถึงได้บอก เราคิดหลายอย่างได้ แต่เราทำตามใจตัวเองไม่ได้ทั้งหมดหรอก ผมผ่านช่วงชีวิตที่มีหลายอย่างที่อยากจะทำ มีหลายอย่างที่เป็นความต้องการของผมจริง ๆ  แต่ผมกลับไม่สามารถทำมันได้ตามความต้องการเลย

ผมถึงอิจฉาเขานิด ๆ ที่อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้ใช้ทั้งชีวิต วิ่งไล่ตามความปรารถนาของตัวเองไม่ใช่ชีวิตที่สองของใคร

พอผมย้อนกลับเข้าไปในห้อง เจ้าตัวดีก็กำลังเก็บของลงกระเป๋า

“จะกลับแล้วเหรอครับ” ผมถามเสียงหงอย เขาถอนหายใจและเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม

“ถ้าอยู่ต่อแล้วทะเลาะกันอีก ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า ไว้พี่ใจเย็นลงกว่านี้แล้วค่อยมาพูดกัน” เขาว่า เก็บของลงกระเป๋าสะพายไม่สนใจอะไรผมอีก ผมพยักหน้าหงึก ๆ เป็นเชิงเข้าใจกึ่งขอโทษ ปกติแล้วเขาจะอยู่ถึงวันอาทิตย์แล้วค่อยกลับ ช่วงแรก ๆ เราสลับกันคนละวีคให้ต่างฝ่ายต่างเดินทางมาหา แต่พักหลัง ๆ งานผมยุ่งจนเขาจะเป็นฝ่ายมารอผมกลับมาห้องมากกว่า จนบ่อย ๆ  เข้า ผมเลยยกคียการ์ดสำรองให้เขาสำหรับใช้เข้าออกคอนโดนี้เลย

ที่นี้ก็เหมือนบ้านที่เราสองคนอาศัยอยู่ จากห้องที่ไม่ค่อยมีอะไรของผม ห้องที่ไว้ใช้สำหรับหลับนอนแต่ไม่ได้ใช้งานในส่วนอื่น ๆ ก็เริ่มมีข้าวของของเขา มีร่องรอยประสบการณ์และการใช้งานร่วมกันระหว่างเราสองคน

“อาทิตย์หน้าพี่ไปหานะ” ผมบอก เขาพยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ ระหว่างที่กำลังเก็บของเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เจ้าตัวมองเบอร์แล้วกดตัดสายทิ้ง ผมขมวดคิ้วแล้วเอยปากถามต่อ

“ใครโทรมาเหรอ?” ผมถาม

“เพื่อนนะ” เขาว่า พร้อมยักไหล่เป็นเชิงไม่สนใจ

“แล้วทำไมไม่กดรับสาย”

“ก็พี่อยู่ด้วย” เขาตอบกลับ น้ำเสียงเริ่มนิ่งขึ้นอีกนิด

“ทำไมพี่อยู่ด้วยแล้วรับสายไม่ได้?” ผมถามต่อด้วยความไม่เข้าใจ

“นี้ถามคือไม่ได้ประชดเรา ถูกไหม?” เขาว่าเสียงเบา ๆ ถอนหายใจออกมา

“อ้าว พี่แค่อยากรู้ว่าเพื่อนคนไหน ใครโทรมาแล้วทำไมถึงไม่รับสายเขาเฉย ๆ ทำไมมันกลายเป็นประชดเราไปได้ละครับ” ผมให้เหตุผล เจ้าตัวตวัดสายตามอง ก่อนจะก้มหน้าลงไปพิมพ์มือถือตอบกลับอะไรอีกสองสามอย่าง น่าแปลก ตอนคุยกับผมละทำหน้าบูด แต่พอพิมพ์โทรศัพท์กลับมีรอยยิ้มซะแบบนั้น

“ผมกลับก่อนนะ” ทรอยว่าหลังเก็บของเสร็จ

“เดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ทรอยกลับเองได้” เขาพูดตัดบทแล้วเตรียมจะเดินออกจากห้องไป

“ปกติพี่ก็เป็นคนไปส่ง” ผมว่าเสียงเบา ๆ รอบนี้ทรอยถึงกับกุมหัว วางกระเป๋า แล้วเดินมาทางผม

“โอเค ผมว่าเราต้องคุยกันแล้ว พี่เป็นอะไร?” เขานั่งรถบนเตียงแล้วถาม ส่วนผมเงียบ ไม่มีคำตอบอะไรให้เพราะตอบไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร ผมทั้งไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ แล้วก็ไม่ชอบที่ตัวเองดูไม่มีเหตุผลนิด ๆ แบบนี้ด้วย แต่มันก็...

“ถ้าพี่ไม่มีเหตุผลอะไรงั้นเรากลับก่อนแล้วกันนะ” เขากอดอก ว่าอีกครั้งแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องไป ผมเดินออกไปส่งที่หน้าประตู ก่อนจะยืนมองเขากดลิฟต์ลงไปชั้นด้านล่าง

...เมื่อกี้ที่โทรศัพท์เข้ามา นั่นเป็นเพื่อนเขาจริง ๆ ใช่ไหมนะ?

ผมถอนหายใจ เดินไปจะเปิดตู้หาอะไรทานรองท้องก่อนแล้วค่อยสั่งข้าวจากร้านในคอนโดขึ้นมาส่ง ไอ้ที่จะหาอะไรกินตั้งแต่ตื่นนอนก็ลืมไปเลยเพราะทะเลาะกัน พอเปิดเข้าไปก็เจอข้าวจานหนึ่งที่มีพลาสสิกใสห่อหุ้มเอาไว้ บนจานแปะโน้ตด้วยลายมือห่วย ๆ ว่า ‘กดเวฟเบอร์สองก่อนทานนะครับ’

ผมยกจานเข้าไมโครเวฟ กดเบอร์สองตามที่เขาบอกก่อนจะนั่งเงียบ  ๆ คนเดียว

เพิ่งนึกออกเหมือนกันว่าเมื่อวานผมเปรย ๆ เขาไว้ว่าอยากทานข้าวผัดกุ้ง

พอทานเสร็จ ผมจะเดินเอาจานไปล้าง ก็ถึงได้เพิ่งเห็นว่าสก็อตไบท์ที่อยู่ในซิงค์ล้างจาน มันเหลือขนาดแค่นิดเดียวแล้ว ผมตั้งใจว่าจะซื้อของใหม่เข้าห้องอยู่ แต่ก็ลืมไปเลยเพราะมัวแต่ทำงาน แล้วก็เพิ่งนึกได้อีกว่าจริง ๆ แล้วตอนเย็นนี้ผมบอกกับเขาว่าเราจะไปซื้อของเขาบ้านกันที่ห้างสรรพสินค้าแถวนี้

ผมยังไม่ได้ขอโทษน้องในความประสาทรับประทานเมื่อกี้นี้ด้วยซ้ำ พอคิดแบบนั้นแล้วผมวางข้าวของทุกอย่างลงในซิงค์ เปิดน้ำแช่ไว้ลวก ๆ ก่อนจะเช็ดมือ หยิบกระเป๋าสตางค์และกุญแจรถออกมา ก่อนจะโทรศัพท์หาอีกฝ่าย

“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีหลังอีกฝ่ายรับสาย

‘ครับ หาอะไรไม่เจออีกล่ะ? ถ้าเป็นถุงเท้าพี่ เราตากไว้ให้แล้วตรงระเบียง นอกนั้นก็น่าจะอยู่ตรงมุมห้องพี่ละเพราะเราไม่ได้ไปยุ่งอะไร แล้วก็เมื่อเช้าเราออกไปซื้อกุ้งสดมา ทำอะไรทานง่าย ๆ แบบกุ้งชุบแป้งทอดแล้วกันนะ เราซื้อแป้งสาลีมาเผื่อไว้ให้แล้ว รีบทำก่อนจะลืมแล้วปล่อยของเน่าคาตู้อีก ส่วน...’

“ไม่ใช่ครับ” ผมตัดบทอีกฝ่ายหลังจากฝั่งมาประมาณเกือบห้าวินาที

‘...’

“พี่ลืมขอโทษเราครับ”

‘ขอโทษเรื่องอะไรครับ?’

“พี่ขอโทษที่ทำตัวประสาทใส่เราเมื่อกี้ คือเมื่อคืนพี่นอนน้อยแล้วมันเพลีย ๆ เพราะ...”

‘เสียงกรนของเรา?’ ปลายสายต่อเสียงที่ขาดห้วงลงของผม

“ครับ” ผมตอบรับคำอย่างแผ่วเบา รอดูว่าอีกฝ่ายจะว่าอะไรต่อ

‘เราว่ากำลังจะบอกพี่อยู่พอดีเลย ช่วงนี้เราอาจจะไม่ได้มานอนกับพี่แล้วนะ’ เขาว่าตอบกลับมา ผมอ้าปากเหวอเหมือนเพิ่งโดนเขาบอกเลิก

“เราอยู่ไหนครับตอนนี้?” ผมถามต่อ กดปุ่มลิฟต์แบบไม่กลัวมันหัก

‘ป้ายรถเมล์หน้าคอนโดครับ ทำไมเหรอ?’

“รอพี่อยู่ตรงนั้นแปปนึง” ผมว่า พร้อมรีบแทรกตัวเข้าไปในลิฟต์ ผมอยู่ชั้นยี่สิบกว่า ๆ ใช้เวลาเกือบครึ่งนาทีกว่าจะลงมาถึงข้างล่าง ก่อนจะรีบออกไปหาน้องมักที่นั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์คนเดียว

“พี่ขอโทษครับ” ผมบอกกับเขาอีกครั้ง

“พี่จะรีบวิ่งมาทำไมเนี้ย เหงื่อออกเต็มไปหมดแล้วเห็นไหม เดี๋ยวผืนก็ขึ้นอีกรอบหรอก” เขาเอ็ดผม พร้อมควักผ้าเช็ดหน้ายื่นมาให้ อย่างว่าแหละ ทรอยไม่ใช่เด็กโรแมนติก ไอ้เรื่องจะซับเหงื่อให้ผมก็คือลืมไปได้เลย

“ก็พี่กลัวเรากลับไปก่อน” ผมบอกไป เจ้าตัวทำเสียงหึเบา ๆ ก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง

“อย่าเพิ่งกลับเลยนะครับ ค้างเถอะนะ เดี๋ยวเย็นพรุ่งนี้ค่อยกลับก็ได้ครับ” ผมง้อเขากลาย ๆ เขาถึงได้หันหน้ามาพูดตอบกลับด้วย

“เราไม่ได้งอนพี่นะ แต่พรุ่งนี้เรามีธุระต้องไปทำจริง ๆ ” เขาบอก

“ก็ไม่เป็นไรครับ แค่คืนนี้นอนด้วยกันต่อก็แล้วกันนะ” ผมง้อเขา เจ้าตัวทำท่าคิดไปแปปนึงก่อนจะพยักหน้าตอบกลับ

“งั้นกลับห้องเรากันครับ” ผมบอก จงใจเน้นน้ำเสียงตรงคำว่า ‘ห้องเรา’ อย่างมีนัยสำคัญ เขาเผลอยิ้มออกมานิดหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าประชด

“ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว ไปห้างฯ ซื้อของเขาห้องกันก่อนแล้วกันนะครับ จะได้ซื้อที่อุดหูด้วย” เขาบอก เน้นประโยคท้าย

“โถ่ ไหนบอกไม่งอนพี่แล้วไง” ผมเอ็ดเบา ๆ

“ไม่ได้งอน นี่เราพูดจริงจังนะ เพราะเราไม่เคยได้ยินเสียงตัวเองกรน ที่เราบอกว่าเราอาจจะไม่ได้มานอนแล้วช่วงนี้ก็เหมือนกัน เรามีสอบ เที่ยวไป ๆ มา ๆ แล้วเราจะได้อ่านหนังสือตอนไหน? ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เป็นอย่างช่วงแรก ๆ ที่เราโทรศัพท์หากันเอาก็ได้ครับ ที่เรามาหาเนี้ยเพราะเรารู้ว่าพี่ยุ่ง...” เขาร่ายยาว

“ครับ”

“...และเราก็คิดถึงพี่ด้วย ถึงได้มาหา”

พูดจบเจ้าตัวก็หน้าแดงไป ผมยิ้มออกมาอย่างยินดี คุณไม่รู้หรอกว่าทรอยนะปากแข็งขนาดไหน ไอ้ท่าทางนุ่มนิ่มที่เห็นวันนั้น หลังจากผ่านพ้นเรื่องราวนั้นไปผมแทบไม่ได้เห็นด้านนั้นของเขาอีกเลย เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองขาดความโรแมนติกมากขนาดไหน และเพราะแบบนั้นแหละที่พอเวลามันมีสักทีผมถึงได้ยินดีขนาดนี้

“เดี๋ยวพี่ไปหาก็ได้” ผมว่า เจ้าตัวส่ายหน้า

“ถ้าทำแบบนั้นผมก็ไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี” เขาตอบ ก็อาจจะจริงก็ได้ เพราะเวลาผมไปหออีกฝ่าย ก็จะเป็นผมเองเนี้ยแหละที่ทำตัวเป็นของเหลว เข้าไปเกะกะวุ่นวายกับเขา

“แต่พี่อยากอยู่กับเรานิหน่า” ผมว่าเสียงเบาหวิว

“ก็อยู่ด้วยแล้วนี้ไงครับ” เขาตอบ จับมือผมไว้เบา ๆ ข้างหนึ่ง ผมยิ้มรับและจับมือตอบกลับกับเขา

“โอเค แต่หลังสอบเสร็จต้องมาหาพี่นะ” ผมว่า เขาพยักหน้าให้สัญญา

“งั้นไปซื้อของกัน” ทรอยว่า ผมพยักหน้าตอบรับและบอกให้เขาเดินกลับเข้าไปในคอนโดก่อน อย่างน้อยก็ฝากกระเป๋าของเขาไว้หน้าเค้าท์เตอร์คอนโดก่อนก็ได้ จะได้ไม่ต้องแบกโน้ตบุ้คไป ๆ มา ๆ

หลังจากนั้นผมก็ขับรถพาเขาไปห้างสรรพสินค้าใกล้คอนโด ก่อนเราจะมานั่งลิสต์กันว่าเราจะซื้ออะไรเข้าห้องบ้าง และก็เป็นอีกฝ่ายที่เปิดโน้ตออกให้ผมฟังว่าห้องของผมอะไรเหลือเท่าไหร่บ้าง อะไรกำลังใกล้จะหมดบ้าง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่เลยที่ไปกล่าวหาเขาเรื่องชุดสูทเมื่อเช้า

“พี่ขอโทษอีกครั้งนะครับ เราจดไว้ตลอดนิเอง ถึงได้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ย้ายเสื้อพี่ไปไหน” ผมว่าเสียงอ่อย ๆ เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับ

“ก็พี่เองไม่ใช่เหรอ ที่บอกกับทรอยว่าถ้าอะไรที่มันสำคัญแล้วกลัวว่าจะจำไม่ได้ ก็จดบันทึกเอาไว้ให้มันคงอยู่ต่อไปไงครับ”

เขาบอก ผมอมยิ้ม เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยบอกอะไรกับเขาไว้แบบนั้น

ไม่ใช่ผมคนเดียวสินะที่เปลี่ยนไปหลังจากเราได้เจอกัน

หลังจากนั้นผมก็ให้เขาเป็นคนนำทัพตลอดทั้งรายการที่จะเลือกซื้อ แล้วก็พบว่าของทั้งหมด เกินกว่าครึ่งหนึ่ง เป็นของใช้ภายในห้องที่กำลังจะหมด นอกนั้นของกินก็เป็นพวกของกินเล่นแบบที่ผมชอบ กินแล้วไม่หกเลอะเทอะอะไรทำนองนั้น ทั้งหมดนี้มาจากการสังเกตของเขาที่มองผมตลอดเวลางั้นสินะ

เรากลับห้องกันด้วยความสุข ผมแอบโขกหัวตัวเองนิดหนึ่งเหมือนกันที่แอบคิดไปว่าเขาอาจจะแอบนอกใจผมในสักวันใดวันหนึ่ง จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นแอคเค่อ แต่การเป็นแอคเค่อก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะหยุดไม่ได้ หรือจะต้องแอบไปทำอะไรลับหลังผมนิหน่า ถึงแม้ผมจะพูดอย่างใจกว้าง ๆ ก็เถอะ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ

 มือเย็นของเรา เจ้าทรอยทำกุ้งที่เหลือจากเมื่อเช้าเป็นกุ้งชุบแป้งทอด พร้อมต้มข่าไก่และทอดไข่เจียวหมูสับเสริมขึ้นมา จริง ๆ ผมเคยทานอาหารที่อร่อยกว่ารสชาติฝีมือเข้ามามาก แต่ไม่มีมื้อไหน ๆ เลยที่ผมจะมีความสุขเท่ากับตอนได้กินข้าวกับคนที่ผมรัก นั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด ที่เผลอหวาดระแวงเขาไปแบบนั้น

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ทรอยก็เตรียมตัวไปอาบน้ำ ผมนั่งดูทีวีเล่นก่อนเสียงไลน์จะเด้งขึ้นมา

‘ไลน์’

ไม่ใช่เครื่องของผม? ผมหันไปหาต้นเสียงก่อนจะพบว่ามันดังมาจากของทรอย ใจหนึ่งผมบอกตัวเองให้นิ่ง ๆ ไว้ อย่าไปยุ่งกับของใช้ส่วนตัวของคนอื่น แต่อีกใจผมก็ตอบกลับตัวเองไปว่าคนอื่นที่ว่านั้นก็แฟนเราไม่ใช่เหรอ เหมือนเสียงสองความคิดตีกันในหัว สุดท้ายแล้วผมลากโทรศัพท์ของเขามาอยู่ใกล้ ๆ ตัวผมเอง

ในที่สุดผมก็พ่ายแพ้ให้กับความอยากรู้ของตัวเอง ผมเม้มปาก กดเปิดโทรศัพท์ พยายามกรอกพาสเวิร์ดที่จดจำได้ เพราะอีกฝ่ายนอนหนุนผมบ่อย ๆ ทำให้ผมเห็นทุกครั้งเวลาที่เขาจะกรอกรหัสผ่านเข้าไปนโทรศัพท์ ผมเลือนปลดล็อก เพราะกดดูพรีวิวของความที่ส่งที่ไลน์ของเขาแต่ไม่กดเข้าไปอ่าน

‘พรุ่งนี้เช้าเจอกันช่วง 11 โมงเช้านะครับ อย่ามาสายละ , P’gavin’

ผมชาวาบทั้งตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นมา มือสั่นจนเกือบทำโทรศัพท์ตก นึกขึ้นมาได้ที่เขาบอกกับผมว่ามี ‘ธุระส่วนตัว’ ที่ต้องไปทำ หรือการไปหาผู้ชายคนนี้จะเป็นธุระที่เขางั้นเหรอ?

ทรอย...นี่คุณไม่ได้นอกใจเราใช่ไหม?

 










Pre-order Acker I&II | 3 วันสุดท้าย ตอนพิเศษลงในเว็บหลักแค่ 3 ตอนนะครับ

รายละเอียด/ลิงก์สั่งจอง : https://1th.me/ZBRt

ขอบคุณครับ

 

 

 

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: [End] Acker | [Sp.1] After acker | Close Pre-order 5 Apri | P7 |03/04/02
«ตอบ #181 เมื่อ03-04-2019 23:20:35 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


Ep.37 Believer Us





ผมเม้มปากเบา ๆ พยายามบอกตัวเองว่าผมแค่เข้าใจผิดไปเฉย ๆ ไม่หรอก ก็น้องแคร์ผมซะขนาดนี้ น้องจะแอบไปมีคนอื่นลับหลังผมได้ยังไงกัน? มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ ๆ

ผมคิดแบบนั้นแล้วก็นั่งนิ่งไปเลย มันเหมือนน็อตหลุด ผมพยายามจะควบคุมอารมณ์ตัวเอง พยายามแสดงออกว่าไม่ได้รู้สึกอะไร แต่คำถามในใจนะ พอลองได้ตั้งคำถามขึ้นมาสักครั้งหนึ่งแล้ว มันยากมาก ๆ ครับที่จะหยุดถามตัวเองว่าตกลงตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากันแน่

“พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ไม่รู้ว่าเขาออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็มานั่งข้าง ๆ ละถามผมแล้ว ผมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่เหมือนมันจะยังไม่รอดพ้นความสงสัยของเขา

“เอาล่ะ รอบนี้ผมว่าผมต้องถามจริง ๆ จัง ๆ อีกครั้งแล้วละ พี่แชมป์เป็นอะไรครับ?” เจ้าตัวผูกผ้าเช็ดตัวหลวม ๆ ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าผมแล้วถาม ผมหุบตาลง ไม่กล้าสบตากับเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาถอนหายใจแล้วนั่งมองผมไปเฉย ๆ แบบนั้น

“พี่ เราเคยบอกแล้วใช่ไหม เราอ่านใจใครไม่ได้ และการให้เรารับรู้เองมันยากเกินไปด้วยซ้ำกับคนแบบเรา” ทรอยว่าแบบนั้น ผมยิ่งหุบสายตามองลงพื้น

ยากเกินไปงั้นเหลือ หมายถึงเรื่องที่ไม่เข้าใจพี่

...หรือเรื่องที่ยังมีคนอื่นกันแน่?

“พรุ่งนี้เราจะไปทำธุระที่ไหนเหรอครับ” ผมถามออกไปเสียงสั่น ตัวก็สั่นขึ้นมานิด ๆ เพราะกลัวคำตอบจากปากเขา

“...นี่พี่เปิดโทรศัพท์เราดูเหรอ?” เขาถาม อาจจะเพิ่งสังเกตว่ามันไม่ได้อยู่ที่เดิม

“เปล่า...คือ....พี่ หมายถึงมันแค่ส่งเสียงดัง พี่ก็เลย...” ผมพูดตะกุกตะกักแก้ตัวไม่ถูก เพราะผิดจริง ๆ ที่ไปรุกล้ำพื้นที่อีกฝ่าย ทรอยยิ่งเป็นพวกประเภทที่ไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่งยากเรื่องของตัวเองมากไป

ผมได้ยินเสียงถอนหายใจยาวมาก ๆ จากเขา ได้ยินเสียงเขาเกาหัวอย่างแรง แต่ไม่มีคำตอบอะไรตอบกลับมา

“เราไม่ได้นอกใจพี่”

“พี่ก็..ไม่ได้คิดว่า..” ผมพยายามจะตอบอีกฝ่ายกลับไป

“พี่คิด” เขาตัดบท

“พี่ขอโทษนะครับที่พี่ทำแบบนั้น คือพี่..” ผมแก้ตัวไม่ออก ในหัวมันตีบตันไปหมด ผมนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันจะมีทางออกตรงไหนบ้างของเรื่องราวพวกนี้ ทรอยลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ ผมอีกครั้งแล้วถามเรียบ ๆ

“พรุ่งนี้ไม่ได้ไปไหนใช่ไหมครับ?” เขาถาม

“ก็ไม่ได้ไปครับ ทำไมเหรอ?” ผมตอบพร้อมถามกลับ ทรอยทำหน้าคิดหนักก่อนจะบอกผมต่อ

“งั้นไปทำธุระกับผมแล้วกันนะ” เขาบอกมาแบบนั้น ผมเงยหน้ามองเขาแล้วถามตอบกลับไป

“ที่ไหนครับ?”

“พรุ่งนี้ผมจะไปทำธุระที่โรงพยาบาลภัทรธิดาเวชครับ”

...

เช้าของอีกวัน ผมตื่นมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าตามเสียงนาฬิกาปลุก เพราะเมื่อคืนมีที่อุดหู ผมถึงได้นอนหลับสะดวกหน่อย มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น ถ้าเขายอมบอกกับผมว่าไปทำธุระอะไร แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าเอยปากชวนไปด้วย ผมก็จะไป อย่างน้อย ๆ ผมไม่อยากตกอยู่ในสภาพที่ต้องหวาดระแวงเขาไปตลอดเวลาแบบนี้

“เลี้ยวซ้ายตรงถนนด้านหน้านะครับ” เขาบอกกับผมแบบนั้น ตอนนี้แปดโมงกว่าแล้ว เจ้าตัวดูนาฬิกาข้อมูลไปด้วย ก่อนจะบ่นอะไรพึมพำคนเดียวไปมาว่า ‘ได้เวลาแล้วนะ’ หรือ ‘ ใกล้จะหมดเวลารึยังนะ’ ผมสงสัยแต่ไม่การถามอะไรกับเขามาก เจ้าคนปากหนักดูจะไม่ยอมพูดอะไรเลยจริง ๆ

ผมเลี้ยวซ้ายตามที่เขาบอก ก่อนจะเห็นป้ายรถพยาบาลขนาดใหญ่อยู่ในระยะสายตา พอเลี้ยวเข้าไปอีกทีเจ้าตัวก็บอกทางวนขึ้นไปจอดรถให้ผมอย่างชำนาญ ถ้าผมจำไม่ผิด เหมือนที่นี้จะเป็นโรงพยาบาลที่แม่ของคนที่ชื่อหยกเป็นเจ้าของ หรือจะเกี่ยวข้องอะไรกับหยกรึเปล่า?

ผมเดาไปเรื่อยเปื่อย ขับรถไปจอด ก่อนจะเดินลงตามเข้าไปข้างล่าง โรงพยาบาลแบ่งสัดส่วนออกตามแผนกต่าง ๆ ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของทางโรงพยาบาลนี้มาบ้าง แต่ไม่เคยได้มาใช้บริการอะไรกับเขาหรอกนะครับ ปกติแล้วครอบครัวของผมจะไปใช้บริการกับโรงพยาบาลที่ครอบคลุมกับประกันส่วนบุคคลที่บ้านเราทำกันทั้งบ้าน กับมีคุณหมอมาคอยตรวจเช็กให้มากกว่า ที่นี้นอกเหนือจากเครือข่ายของผมนะ

เจ้าทรอยเดินนำผมมาลิ่ว ๆ ยกมือขึ้นดูนาฬิกาเป็นระยะ ๆ ทำให้ผมยกตามขึ้นมาดูบ้าง ตอนนี้ประมาณเกือบเก้าโมงกว่า ๆ แล้ว เพราะออกมาแต่เช้า เราเลยรองท้องด้วยอาหารง่าย ๆ ที่อยู่ในตู้เย็น ทำให้ผมไม่ได้หิวอะไรมากหรอก แต่ในใจก็แอบคิดว่าเสร็จธุระจากตรงนี้แล้วจะพาเขาไปหาอะไรกันในเมืองกันสักหน่อย

“สวัสดีครับพี่กวิน” พอเดินมาถึงแผนก ๆ หนึ่ง เจ้าตัวแสบก็ยกมือไหว้สวัสดีพี่ที่หน้าเค้าท์เตอร์ ทำให้ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายตาม คนชื่อกวินดูจะมีอายุกว่าผมอยู่หน่อย ๆ เจ้าตัวไหว้เขาเสร็จก็หันมาทางผมแล้วบอกว่า

“นี้ชื่อพี่แชมป์ครับ แฟนทรอยเอง”

ผมสะดุ้งนิดหน่อยกับการเปิดเผยตรงไปตรงมาของทรอย ปกติแล้วผมกับทรอยเราไม่ได้ผูกมัดเรื่องนี้อะไรกันนัก อารมณ์เหมือนกับแบบว่า เราไม่ได้เที่ยวประกาศบอกใครต่อใครว่าเราเป็นอะไรกันไปทั่ว แต่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร เพียงแต่ทรอยจะไม่ค่อยชอบพูดถึงมันมากกว่า ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ช่วงแรก ๆ ผมแอบงอแงเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป

ผู้ชายตรงหน้าผมร้องอ๋อ ก่อนจะยื่นมือมาทักทายกับผมแล้วกล่าว “สวัสดีครับ ผมกวินนะครับ เป็นประชาสัมพันธ์ของแผนกจิตเวชของโรงพยาบาลนี้นะครับ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับคำอย่างยินดีแล้วทักทายกลับ

“สวัสดีครับ”

“รบกวนช่วยสอบถามให้หน่อยได้ไหมครับว่าตอนนี้ผมเยี่ยมแม่ได้ไหมครับ?”

ทรอยพูดขึ้นหลังผมพูดจบลง ผมหันไปมองน้อง เพราะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ในใจรู้สึกหลาย ๆ อย่างรวมกัน ทั้งรู้สึกผิด ทั้งรู้สึกละล้าบละล่วงกับคำว่าธุระของอีกฝ่าย แต่เหมือนอีกฝ่ายอ่านสีหน้าผมออก

“ไม่เป็นไรหรอก ทรอยอยากพาพี่มาเจอแม่อยู่แล้ว” เขาว่า ผมพยักหน้าเงียบ ๆ

“งั้นเดี๋ยวพี่ขออนุญาตสอบถามคนไข้ก่อนนะครับว่าต้องการให้เราเขาเยี่ยมไหม” คนชื่อกวินว่า

“ครับพี่ รบกวนหน่อยนะครับ” เจ้าตัวยิ้มรับก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านในแผนก ผมหันหน้าไปพูดกับน้องมันทันที

“พี่ขอโทษนะครับ พี่...”

“ไว้คุยกันที่ห้องนะครับ” ทรอยตัดผมเรียบ ๆ ผมพยักหน้ารับคำ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ถามอะไร แต่ก็อดจะสงสัยขึ้นมาไม่ได้

“พี่อยากรู้ว่าเราไม่มีสิทธิ์เข้าไปเยี่ยมเลยเหรอครับ? หมายถึง ก็แบบเราต้องขออนุญาตคนไข้ก่อนแบบนี้ ถึงแม้เราจะเป็นลูกก็ตาม?” ผมถามเขา เจ้าตัวพยักหน้ารับและอธิบาย

“ไม่ได้ครับ คนทั่วไปหรือต่อให้เป็นลูกแบบผม หากจะทำการเยี่ยมผู้ป่วยจิตเวช ต้องถามความสมัครใจของผู้ป่วยทุกครั้งก่อนว่าเขาพร้อมหรือยินยอมจะให้เราเข้าเยี่ยมไหม ถ้าวันไหนเขารู้สึกไม่โอเค หรือไม่อยากให้ใครรบกวน เจ้าตัวมีสิทธิ์ขาดทุกประการในการไม่ให้เข้าเยี่ยมครับ” ทรอยบอก ผมพยักหน้ารับทราบเงียบ ๆ

“ดูยุ่งยากเหมือนกันนะ” ผมว่าต่อ

“แต่ผมชอบนะ สำหรับผมแล้วโรงพยาบาลจิตเวชหลายแห่ง ให้ความสำคัญกับความต้องการของคนไข้เป็นหลักก่อน ซึ่งผมว่านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ยุ่งยากหน่อยก็ไม่เป็นไร เขาสบายใจ ผมโอเค” เขาบอกออกมาแบบนั้น พร้อมยิ้มออกมานิด ๆ ผมเอื้อมมือไปบีบไหล่เขาเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ

เรายืนคุยอะไรกันอีกนิดหน่อยเป็นการฆ่าเวลา ไม่ถึงห้านาทีต่อมา เจ้าหน้าที่กวินก็ยิ้มแฉ่งออกมา ก็จะกดเปิดล็อกประตู เชิญให้พวกผมเดินเข้าไปข้างใน

“คุณฟ้าอยู่ที่สวนนะครับ” เขาว่า ทรอยพยักหน้ารับทราบกึ่งขอบคุณ และเดินนำผมไปอย่างชำนาญ ระหว่างผมเดินทาง ผมสำรวจรอบ ๆ ตัวไปด้วย เหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจความคิดของผม เข้าเริ่มพูดออกมาเสียงเบา ๆ พอให้ได้ยินกันสองคน

“ข้างในจะแบ่งเป็นผู้ป่วยชายและผู้ป่วยหญิงครับ ฝั่งซ้ายจะเป็นห้องพักของผู้ป่วยชาย ห้องหนึ่งจะมีคนอยู่ 4 คน ฝั่งขวาก็ตรงกันข้าม เป็นห้องโซนผู้หญิง ห้องถัดไปตรงนั้นเป็นห้องสันทนาการใหญ่ ไว้ให้ผู้ป่วยรวมตัวทำกิจกรรมตามที่คุณหมอบอก แล้วแต่วันครับ บางวันก็แค่ปลุกมาออกกำลังกาย บางวันก็มีกิจกรรมง่าย ๆ ให้ได้ลองทำกัน” ทรอยอธิบายไปด้วย พูดไปด้วย

“ละเอียดจังเลยเนาะ” ผมบอก เสียดายที่หาอะไรมาจดไม่ได้ แต่ก็ไว้ค่อยไปถามเขาที่หลังแล้วกันนะ

“ก็ผมเคยอยู่ที่นี้ไงครับ...”

ทรอยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ผมเงียบไปเพราะเพิ่งนึกได้ว่าน้องเคยบอกเรื่องนี้ให้ผมฟังเหมือนกัน แต่ผมแค่ไม่รู้ว่าเป็นที่นี้เท่านั้นเอง

พอเดินผ่านโถงทางเดินใหญ่ เราก็ตัดออกทางประตูกลางด้านหลังไปที่สวนข้างโรงพยาบาล ทรอยเดินนำผมออกไป ก่อนผมจะเห็นผู้ป่วยในชุดสีเขียวอ่อนนั่ง นอนตามต้นไม้ หรือตามโต๊ะหิน ม้านั่งต่าง ๆ ที่ต่างโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ ทรอยเดินนำไปเรื่อยๆ  ก่อนจะไปหยุดที่โต๊ะหินอ่อนตัวหนึ่ง

“สวัสดีครับแม่” เขาพูดขึ้นมา ก่อนผู้หญิงตรงหน้าจะหันมายิ้มรับให้กับทรอย ผมยกมือไหว้ตาม ก่อนน้องจะชวนผมนั่งลงไปฝั่งตรงข้ามกับคุณแม่

“แม่ครับ อันนี้พี่แชมป์นะครับ ...แฟนน้องทรอยเองครับแม่” ทรอยบอก และเป็นอีกครั้งที่แม่ของเขาพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้รับอะไรกลับออกมานอกจากรอยยิ้ม

“แม่กินอะไรรึยังครับ?” เขาชวนคุยต่อ

“กินแล้ว ...วันนี้แม่กินต้มจืดหมูสับ” คุณแม่ตอบกลับ ทรอยพยักหน้ารับทราบอีกครั้ง

“วันนี้หมอให้ทำอะไรบ้างไหมครับ?”

“ก็เหมือนเดิม วัดความดันเอย ตรวจปัสสาวะเอย แล้วก็ทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ แหละ ...แต่ก็มีความสุขดีนะ” คุณแม่พูดอย่างช้า ๆ เสียงเนิบ ๆ

“แม่อยากกินอะไรอีกไหม เผื่อทรอยบอกเขาให้”

“..ไม่เป็นไรหรอก เป็นภาระเขาเปล่า ๆ ”

“ไม่หรอกแม่ อยากทานอะไรบอกได้เลยนะครับ เขาเต็มใจดูแลแม่อยู่แล้วครับ”

แม่ของทรอยเป็นผู้หญิงตัวเล็กครับ ผมคะเนแล้วน่าจะสูงไม่เกิน 165 เซนฯ คิ้วหนา ดวงตาคล้ายกับเจ้าทรอย เหมือนจะได้หน้าทางแม่มาเต็ม ๆ หน้าดูคล้ายเป็นลูกครึ่งมากกว่าจะเป็นคนไทยแท้ ผมตรงสีดำขลับ พอรวม ๆ แล้วเลยดูหน้าเด็กกว่าอายุประมาณหนึ่ง และดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างจากคนทั่วไปเลยแม้แต่น้อย

ผมนั่งฟังทรอยชวนคุณแม่คุยไปเรื่อย ๆ บางคำถามก็มีการตอบกลับมา บางคำถามก็นั่งนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอาการตอบสนองอะไร ไม่แสดงความยินดียินร้าย แต่ใบหน้าเปรอะไปด้วยรอยยิ้มอยู่เนื่อง ๆ พอ ๆ กับเจ้าตัวแสบข้างๆ  ผมที่ยิ้มไม่หุบตั้งแต่คำถามแรกยันตอนนี้ พอเวลาผ่านไปได้เกือบประมาณ 45 นาที ดูเหมือนคุณแม่จะเริ่มตอบสนองได้ช้าลงมาก ๆ เจ้าทรอยเลยชวนผมเตรียมตัวกลับกัน

“งั้นผมกับพี่เขากลับก่อนนะครับ” ทรอยว่า

“สวัสดีครับแม่ / กลับก่อนนะครับแม่ สวัสดีครับ” เราสองคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน พร้อมเตรียมจะหันหลังเดินกลับไป

“เดี๋ยวก่อนทรอย..” และเพราะเสียงเรียกดังกล่าวนั่นแหละครับที่ทำให้เราทั้งคู่หันหลังกลับมา

“คุณคนนี้..ชื่ออะไรนะ” คุณแม่พูดและชี้มาทางผม

“แชมป์ครับ ผมชื่อแชมป์ครับแม่” ผมว่า พร้อมเรียกเขาว่าแม่เหมือนน้องมัน

คุณน้ายิ้มแย้มออกมาอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับคำและพูดต่อไป

“แชมป์ ฝากแชมป์ดูแลทรอยด้วยนะ ดูแลน้องเขาด้วยนะคะ” คุณแม่เขาว่าอย่างสุภาพ ผมยิ้มรับและพูดตอบกลับไป

“สัญญาครับ ผมจะดูแลลูกแม่เป็นอย่างดีเลยครับ”

ไม่มีคำพูดอะไรตอบกลับมาอีก ผมยิ้มให้กับเขา ก่อนจะเดินตามน้องมันออกมาเรื่อย ๆ ปล่อยให้คุณแม่นั่งยิ้มกับตัวเองและเหม่อมองอากาศรอบตัวเหมือนเดิม สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือความสุขจากคนข้าง ๆ ตัว ผมเห็นนะว่าทรอยแอบน้ำตาซึมตอนประโยคสุดท้าย ผมบีบไหล่เขาอีกครั้งเป็นการให้กำลังใจ ก่อนเราจะจูงมือกันกลับออกไปจากที่แห่งนี้

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
หลังจากกลับออกมาจากโรงพยาบาล ผมพาทรอยไปทานข้าวที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เป็นอีกมื้อที่เจ้าตัวดูจะมีความสุขมากกับการทานอาหาร เจ้าตัวเคี้ยวข้าวจนแก้มกลมเป็นลูก ๆ ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะ ผมจะเอื้อมมือไปบีบเล่นสักทีสองที เขาน่ารักในแบบของเขาเสมอ

จริง ๆ แล้วทรอยห่างไกลจาก ‘คนที่คิดว่าน่าจะชอบ’ ของผมไปเยอะมาก ๆ ครับ เอาจริง ๆ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายหุ่นแบบทรอยเลย คือน้องมันไม่ได้อ้วนนะ แต่เป็นคนโครงสร้างใหญ่ พอสูงไม่มากแล้วน้ำหนักขึ้นนิดหน่อยมันก็เลยดูตัน ๆ ไป ผมถึงยังสงสัยไงว่าแบบนี้ทำไมถึงได้ฮอตนัก แต่พอมาลองเจอด้วยตัวเองก็ต้องยอมรับว่าผมมองข้ามไปหมดทุกอย่างจริง ๆ กลายเป็นว่านอนกอดหุ่นเขาอุ่นไปซะแบบนั้น มีความสุขที่ได้ดึงแก้มย้วย ๆ ได้เล่นพุงเขาเล่น

“มองไรครับ” เขาว่า หลังผมเผลอจ้องเขานานไปหน่อย

“มองแฟนตัวเองครับ”

“เหรอครับ รักแฟนตัวเองไหมครับ?” เขาถามอย่างกวน ๆ กลับ

“รักสิครับ รักมากจนแทบจะคลั่งตอนเห็นข้อความ...”

“..ที่มโนไปเอง?” เขาต่อบท ผมหัวเราะแห้ง ๆ ในความคิดไปเอง เข้าใจผิดเอง ทั้งหลายทั้งปวงของผม

ทรอยตักข้าวเข้าปากอีกคำ ก่อนจะควักมือถือขึ้นมาหยิบมือถือแล้วกดพิมพ์อะไรบางอย่างก่อนเสียงไลน์โทรศัพท์ของผมจะดังขึ้น ผมหยิบไอโฟนขึ้นมาเลื่อนดูก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นโน้ตที่เขาตั้งไว้ในไลน์

“ไม่เห็นต้องให้พี่ก็ได้นะ พวกพาสเวิร์สอะไรพวกนั้น พี่คงไม่ได้เข้าไปยุ่งยากอะไรแล้วละ พี่จะไม่คิดมากแล้วครับ ขอโทษจริง ๆ ที่พี่เคยเผลอคิดว่าเราจะทำแบบนั้นกับพี่ไป” ผมว่า เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วพูดต่อ

“เอาไปเถอะช่วงนี้เป็นช่วงชดใช้กรรมของผม ผมเข้าใจน่า” เขาว่า พอเห็นผมขมวดคิ้วก็เลยพูดต่อ

“พี่รู้ตัวรึเปล่าว่าช่วงนี้พี่นอนน้อยมาก ๆ พี่กลับถึงตีสองตีสาม หกโมงเช้าพี่ต้องออกไปทำงานแล้ว นอนก็นอนหลับไม่พอ เสาร์อาทิตย์บางทียังมีประชุมอีก เราเห็นแบบนั้น เราถึงมาหาพี่ที่นี้ คิดว่าอย่างน้อยก็อยากทำให้พี่ได้อยู่กับเราในส่วนเวลาสั้น ๆ ก็ยังดี อยากเป็นกำลังใจให้พี่ แต่เราก็ลืมว่าเรานอนกรนเสียงดัง

คนเครียดนะ ไม่ค่อยรู้ตัวเองหรอกว่าเครียด เราก็เลยไม่รู้ว่าจะบ่นจะว่าอะไรพี่ทำไม เพราะเข้าใจว่าสาเหตุมันมาจากตรงไหน คือเรานึกแทนตัเราเองไง สมมติถ้าเราไปคบกับคนเคยมีประวัติมาแบบเรา โอเค ปัจจุบับกับอนาคตมันไม่มีใครรู้อะไรไง แล้วเราก็เพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือน จะให้เชื่อใจร้อยเปอร์เซ็นมันคงเป็นไปไม่ได้ เราถึงได้บอกไงว่าเนี้ย ช่วงชดใช้กรรมที่ผ่าน ๆ มาของเรา

ส่วนเรื่องแม่ ทรอยไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรหรอก แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเล่ายังไงดี ก็เลยคิดว่า งั้นพาพี่มาเจอเลยดีกว่า จะได้เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างไปในตัวเลย ซึ่งทรอบว่าทรอยก็คิดถูก อย่างน้อย ๆ พี่ก็รู้จักทรอยมากกว่าใคร ๆ หลายคนในชีวิตทรอยมาก ๆ แล้วนะครับ”

“อ่า” ผมครางรับ จะว่าไปแล้วช่วงนี้ผมก็นอนน้อยจริง ๆ นั่นแหละครับ เพราะช่วงก่อนหน้าผมโดดงานไปหาน้องบ้างบางที เลยพยายามชดเชยให้กับเรื่องราวที่ผ่าน ๆ มา

“...แต่เราก็หวังนะ ว่าสักวันเราจะทำให้พี่มั่นใจได้จริง ๆ ว่าเราชอบพี่แล้ว และเราเลือกแล้วว่าจะอยู่กับพี่” ทรอยพูดออกมาด้วยรอยยิ้มจนตาหยี้ แก้มบุ๋มลึกลงไปจนเห็นลักยิ้มข้างซ้ายของเจ้าตัว ผมอมยิ้มตามและพยักหน้าเบาบางสายหนึ่งนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ว้าวุ่นใจกับคน ๆ นี้

ก็เพราะทรอยเป็นทรอยแบบทุกวันนี้ไม่ใช่เหรอ ผมถึงได้เลือกที่จะชอบและพัฒนาความสัมพันธ์กับเขาต่อ

เพราะเขาเป็นคนน่ารักแบบที่คุณมักจะคาดไม่ถึงเสมอ ๆ ไม่มีทางเชื่อเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับคุณ จนกว่าวันและเวลานั้น ๆ จะมาถึงจริง ๆ

หลังจากกินข้าวและแวะดูหนังเสร็จ เรากลับมาถึงห้องกันในอีกสามชั่วโมงถัดมา ทรอยนั่งทำโครงงานของตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ส่วนผมนั่งปรับปรุงต้นฉบับ ‘แอคเค่อ’ ไว้ในรูปแบบที่มันควรจะเป็นกับอีกรูปแบบหนึ่ง โดยยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้รูปแบบใดดีในการเป็นตัวหลักที่จะใช้เขียนงาน นั่งทำงานไปสักพักเจ้าตัวแสบก็เอานมอุ่น ๆ อีกแก้วมาวางไว้ให้ผม

นึก ๆ ย้อนดูแล้ว ช่วงโหมงานที่ผ่านมาที่น้องมันมาอยู่ด้วย ก็เจ้าตัวไม่ใช่เหรอครับที่คอยดูแลผมมาตลอดจนถึงตอนนี้ แต่เพราะความกลัวที่มากเกินไปของผมนั่นแหละ ที่เอาแต่โฟกัสอย่างอื่น มากกว่าสิ่งที่เขากระทำให้กัน จนเกือบจะพลาดอะไรสำคัญ ๆ แบบนี้ไป ดีแค่ไหนแล้วที่ทรอยเข้าใจและให้โอกาสผม

ตกเย็น เพราะน้องมันขี้เกียจทำกับข้าว เราเลยสั่งอาหารจานด่วนมากินง่าย ๆ ก่อนจะดูเนทฟลิกอีกเรื่องแล้วผลัดกันไปอาบน้ำ ผมนั่งรอน้องมันอาบน้ำ ในหัวมีความคิดหลายอย่างตีกันไปมา พอน้องมันออกมาเสร็จผมก็เข้าไปอาบน้ำ พลางจัดการธุระที่ควรจะทำ พอเนื้อตัวสะอาดสะอ้านก็ออกมาจากห้องน้ำ

“วันนี้อาบน้ำนานจัง” ทรอยว่า เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อกล้ามพร้อมกางเกงบ็อกเซอร์ ผมยิ้มแห้ง ๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ไม่ได้หันไปให้เขาเห็นด้วยว่าผมหน้าแดงแค่ไหนกับคำพูดของเจ้าตัว พอเช็ดเนื้อเช็ดตัวเสร็จผมก็มาทิ้งตัวนอนลงข้าง ๆ เขา จริง ๆ แล้วพรุ่งนี้ผมต้องไปทำงานแต่เช้าด้วยเถอะ แต่ว่า..

“นี่ทรอย”

“ครับ”

“คือว่า...” ผมเว้นวรรค มองหน้าเขาแล้วก็หุบตาลง ทรอยนิ่งเงียบเหมือนรอให้ผมพูดต่อ

“...ทำไหม?” ผมหลุดออกมาแค่นั้น เจ้าตัวทำหน้างงเพราะปกติแล้วเราก็ทำกันประจำ แต่แค่ภายนอกเท่านั่นแหละครับ และเหมือนเขาเห็นผมหน้าแดงขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าตัวร้องอ่อออกมาหนึ่งคำก่อนจะทำสีหน้าปกติ

“ไม่ต้องก็ได้นะครับ ทรอยไม่ได้รีบแล้ว แค่ภายนอกก็ดี ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรด้วยนะ ทรอยเข้าใจความรู้สึกพี่” น้องมันว่า พลางลูบหัวผม

“...ไม่ใช่ คือ พี่ไม่ได้อยาก ‘ทำ’ เพราะรู้สึกผิด แต่พี่อยากทำเพราะ ‘อยากทำ’” ผมว่า มองหน้าเขาให้เจ้าตัวแน่ใจว่าผมไม่ได้อยากทำเพราะแค่ต้องการขอโทษเขาจริง ๆ

“นี่ เริ่มแล้วผมหยุดไม่ได้นะ?” เจ้าตัวถามเป็นครั้งสุดท้าย ผมพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงตกลง ก่อนจะพูดคำพูดสุดท้ายออกมา

“ก็..ถนอมพี่หน่อยแล้วกันนะครับ” ผมว่า เจ้าตัวยิ้มรับและพยักหน้า ก่อนจะพลิกตัวขึ้นมาอยู่ข้างบนตัวผม

ทรอยเป็นคนที่สายตามีอำนาจมาก ๆ ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ หรือไม่งั้นก็แปลว่าผมต้องหลงเจ้าเด็กนี้มากแน่ ๆ  ผมรู้แค่ว่า ทุกครั้งเวลาเขาคร่อมอยู่บนตัวผมและมองลงมา สายตาของเขามันร้อนมาก ๆ เหมือนเสือที่กำลังจ้องเสืออยู่ตลอดเวลา จนทำเอาผมหวิวท้องน้อยไปทั้งตัวได้ง่าย ๆ  ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าออก ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ปากนุ่ม ๆ กัดลงมาที่หัวไหล่ของผมอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วไหล่วนไปก่อนจะขบงับลงมาพอให้ผมรู้สึก เจ้าตัวไล่ตั้งแต่หัวไหล่เข้ามาถึงลำคอ ก่อนจะใช้ลิ้นตวัดไปมาพร้อมพ่นลมหายใจร้อน ๆ รดเข้าที่ซอกคอของผม มือข้างหนึ่งลูบหัวผมเบา ๆ เป็นการปลอบประโลม มืออีกข้างสอดเข้ามาด้านในเสื้อ ก่อนจะสะกิดที่ปลายหัวนมของผมอย่างแผ่วเบา

พอไล่มาถึงต้นคอก็เลือนมาจูบที่ปากของผม เหมือนจะยอกเย้ากัน ปกติแล้วเขาจะเป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้ามาซะมากกว่า แต่เป็นเขาที่พยายามดึงลิ้นผมออกไป เราสัมผัสกันแผ่วเบา ก่อนจะเริ่มค่อย ๆ แรงขึ้นเรื่อย ๆ พอให้อารมณ์กระเจิดกระเจิง ผมพยายามหายใจเข้าออกให้ตรงจังหวะ แต่เหมือนคนตรงหน้าสูดเอาลมหายใจในปอดออกไปจนหมด

รู้ตัวอีกทีกระดุกเม็ดสุดท้ายก็ถูกปลดออก ทรอยค้างและมองภาพบนจากด้านบนจนผมต้องเบื้อนหน้าหนี ไม่กล้าสบตากับเขา ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเบา ๆ เขาก้มหน้าลงมาหอมที่หน้าผากผมและกระซิบบอก

“ขอบคุณนะครับ ทรอยจะพยายามถนอมพี่ให้มากที่สุดนะครับ”

ถ้าต้นคอเป็นส่วนที่โดนลมร้อนของเขาแล้วผมรู้สึกมากที่สุด จะบอกว่าหน้าอกทั้งสองข้างก็ให้สัมผัสที่ได้ต่างกันเลย เหมือนเงยหน้ามองเพดานห้อง มือทั้งสองข้างกุมที่หัวของเขาอย่างไม่รู้ว่าควรจะวางมือไว้ตรงไหนดี แต่ทรอยรู้ดีว่าควรทำยังไง มิอข้างหนึ่งเลือนไปดึงขอบกางเกงของผมให้ต่ำลง มืออีกข้างจัดการกับหน้าอกอีกด้านที่ไม่ได้ถูกครอบครองไว้ด้วยปลายลิ้น

มันจะชำนาญเกินไปแล้วนะเจ้าเด็กนี้ ! ผมคิดในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ไม่สิ ผมไม่มีสมาธิมากพอจะคิดอะไรได้ในตอนนี้หรอก มันกระเจิงไปตั้งแต่ลมร้อน ๆ รดลงมาบนต้นคอผมแล้ว พอปลดกางเกงผมออกจากตัวไปได้ ทรอยก็ถอดเสื้อกล้ามของตัวเองออก ก่อนจะเคลื่อนตัวลงไปข้างล่าง

เหมือนแกล้งกัน ปลายจมูกของเขาไล่ผ่านท้องน้อยผม ก่อนจะหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางของร่างกาย ผมยอมรับเลยว่าเขาใช้ลมหายใจร้อน ๆ นั่นได้เป็นประโยชน์เป็นผ้า ปากนุ่ม ๆ ถูไถไปมากับกางเกงในของผมก่อนปลายลิ้นจะแนบสัมผัสกับเนื้อผ้า แบ่งปันความร้อนลงมาตรงจุด ๆ นั้นจนผมรู้สึกไปหมดทั้งร่างกาย

และทั้งตัวผมก็ไม่เหลืออะไรปิดบัง มือทั้งสองข้างได้แต่ขยับหัวของเขาตามจังหวะขึ้นลงที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้กับกึ่งกลางของผม ปลายนิ้วไล่วนตั้งแต่ส่วนบนของตรงนั้น ไปถึงจุดใต้ล่างทั้งสองข้าง ผมหวิวจนหายใจตามแทบไม่ทัน ทรอยช้อนขาผมขึ้นพาดบ่าก่อนจะไล่จมูกไปมากับขาทั้งสองข้างจนผมดิ้นไม่หยุด

“อ๊ะ...อย่า” ผมร้องห้ามหลังเขาก้มต่ำลงไปอีกกับอีกจุดบอบบางของร่างกาย ปลายลิ้นร้อน ๆ ลากผ่านและตวัดขึ้นลง ผมเสียวท้องน้อยและจุดที่โดนกระทำจนขยำผ้าปูที่นอนจนเสียทรง เหมือนมีพายุลูกหนึ่งพัดผ่าน ในหัวของผมนึกอะไรไม่ออก จนกระทั้งเขาขยับขึ้นมาคร่อมตรงหน้า ก่อนจะบอกความปรารถนาของตัวเอง

“ทำให้ทรอยหน่อยครับ” เขาว่า หลังจากที่ตัวเขาเองก็ไม่มีอะไรปกปิดร่างกายแล้วเช่นกัน ผมเริ่มจากการใช้นิ้วมือลูบไปมา ใจก็แอบหวิวกับขนาดห้าสิบหกที่เขาบอกกันว่าเป็นไซซ์เกินค่ามาตรฐานของชายไทยทั่วไป พอมันพองโตแล้วถึงได้พยายามใช้ปลายลิ้นเลียไปมาตั้งแต่ยอดปลายก่อนจะค่อย ๆ ครอบลงไปทั้งหมด

ทรอยเคยสอนผมว่าการทำออรัลเซ็กซ์ที่ดี คือการทานไอศกรีมด้วยริมฝีปาก เพราะถ้าเราไม่เก็บ ฟันมันจะครูดจนอีกฝ่ายอาจจะหมดอารมณ์ได้ง่าย  ๆ เพราะการเกร็งริมฝีปาก ทำให้เมือยได้ง่าย ๆ แต่มันก็เป็นวิธีที่อีกฝ่ายใช้ทำให้กับผม และมันสร้างความรู้สึกที่สุดยอดมาก ๆ จากที่ตัวผมสัมผัสมาด้วยตัวเอง

ทำไปสักพักทรอยก็ดึงออกมา ก่อนจะฟาดลงมาเบา ๆ ที่ใบหน้าของผม เป็นนิสัยอีกอย่างที่เขาชอบทำ ผมไม่ได้รู้สึกแย่นะ กลับกัน มันกลับกระตุ้นอารมณ์ดิบของผมอย่างน่าประหลาด หัวใจผมเริ่มสูบฉีดแรงขึ้นเรื่อย ๆ หลังเจ้าตัวคว้านหยิบกล้องถุงยางอนามัยกับเจลล่อลื่นออกมาจากตู้ข้างหัวเตียง

ปลายลิ้นของเรากลับมาประกอบกันอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่เขาเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้ามา เราเกี่ยวลิ้นตวัดไปมาเหมือนหยอกเย้ากันและกัน ขาทั้งสองข้างของผมถูกยกพาดบ่า ทรอยถอนปลายลิ้นออกไป ก่อนจะซอกไซร้ไปมากกับขาอ่อนของผมทั้งสองข้าง มืออีกข้างจับซองถุงยางอนามัยก่อนจะฉีกอย่างแผ่วเบา

ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนจากเจลที่ป้ายลงบริเวณจุดบอบบางของร่างกาย ปลายนิ้วค่อย ๆ สอดแทรกเข้ามา ก่อนจะหยุดชะงักเป็นพัก ๆ เหมือนให้ร่างกายของผมได้ปรับตัวกับสิ่งที่แทรกเข้ามา ผมสูดลมหายใจเข้าออกมา พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่เกร็งเวลาที่เขาค่อย ๆ สอดนิ้วเข้ามาตรงจุดนั้น

พอผมเริ่มจะหายเกร็งแล้ว เขาถึงได้ค่อย ๆ ถอนปลายนิ้วออกมา ทรอยสอดหมอนข้างเข้ามาที่บริเวณสะโพกของผม ก่อนจะจับขาพาดบ่าอีกครั้ง พออะไรตรงตำแหน่งแล้วก็ค่อย ๆ สอดเข้ามา

“อย่าเกร็งนะครับพี่แชมป์” เขาว่า หลังจากส่วนหนึ่งของเขาขยับผ่านเข้ามาจากบริเวณปากทาง มันใหญ่กว่านิ้วไปมาก ๆ ผมน้ำตาเล็ดออกมานิดหน่อยแต่ไม่ได้ส่งเสียงร้องอะไรออกมา มือข้างที่เหลือของทรอยจับที่บริเวณมือของผม ก่อนจะดึงให้จับไหล่ของเขาเอาไว้

“ถ้าเจ็บจิกไหล่ผมได้เลยนะครับ” ทรอยบอกกับผมแบบนั้น ก่อนจะกดเข้ามาที่ละนิด ๆ ผมเจ็บจนแทบไม่กล้าจะขยับตัว มันจุกไปหมดจนผมน้ำตาไหลออกมา พอเขาเห็นแบบนั้นก็หยุดขยับก่อนจะจูบซับลงมาแผ่วเบาที่เปลือกตาของผม ปากก็พยายามปลอบผมไปด้วยว่าให้อดทนรออีกนิด มืออีกข้างก็ปรนเปรอส่วนหน้าของผมไม่หยุด

หลังจากเข้าไปได้ช่วงหนึ่ง ทรอยหยุดขยับตัวและก้มลงมากอดพร้อมหอมแก้มผม เขาบอกว่าต้องรออีกนิดถึงจะค่อยทำต่อได้ ความเจ็บปวดจากความจุกของผมเริ่มค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็กลายเป็นความรู้สึกหวิวท้องน้อยอย่างประหลาด พอเขาเข้ามาจนสุดทั้งหมด ผมทั้งเจ็บ ทั้งจุก ทั้งเสียวจนนึกไม่ออกว่าควรทำอะไรต่อไปดี

อย่างช้า ๆ สะโพกของเขาดันเข้าออกไปมา ผมครางหวิวรับอย่างเก้กัง บางครั้งเจ้าตัวก็ก้มหน้าลงมาจูบกับผมไปด้วย จากช้าไปเร็ว ความถี่ของจังหวะค่อย ๆ เพิ่มตามเวลา ยิ่งออกไปใกล้สุดมากเท่าไหร่ เวลาที่เขาถาโถมเอวเข้ามายิ่งหนักมากขึ้นเท่านั้น ทรอยกดเอวลงมาหนัก ๆ จนผมครางรับไม่เป็นภาษา

เขาพลิกตัวผมขึ้นไปอยู่ด้านบนในท่านั่งคร่อมเขา ก่อนจะค่อย ๆ สอนให้ผมขึ้นลงอย่างไม่เกร็งและเป็นฝ่ายคุมเกมบ้าง ทรอยทิ้งตัวลงไปนอนหลังสอนให้ผมค้ำพื้นแล้วค่อย ๆ กะจังหวะขึ้นลง บางครั้งก็เหมือนจะแกล้งกัน เขาเด้งเอวสวนขึ้นมาจนผมเผลอร้องออกมาเป็นคำ ๆ ความรู้สึกของผมเริ่มใกล้เข้าไปแตะถึงฝั่ง

“พี่...พี่ใกล้แล้วนะครับ” ผมครางบอก เขาพลิกตัวผมลงไปนอนอีกครั้ง ก่อนจะจับผมงอขาลง ก้มลงมาจูบแล้วใช้มือให้กับผมอีกครั้ง ปลายนิ้วก็ไล่ไปมาตามซอกคอ ปากก็พึมพำบอกรักจนผมหวิวไปทั้งตัวและหัวใจ ความถี่ของเอวเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเสียงร้องประสานของเราสองคนที่ดังลั่นห้อง

ทรอยครางออกมาเป็นชื่อผมก่อนจะกระแทกลงมาเป็นครั้งสุดท้ายพร้อม ๆ กับของเหลวเหนียว ๆ ของผมที่พ่นออกมาพร้อม ๆ กัน ทุกอย่างสิ้นสุดลงหลงเหลือแต่เสียงหอบของเราสองคน ยังกับไปวิ่งมาราธอน ผมรู้สึกได้เลยว่าเหงื่อผมออก ทั้ง ๆ ที่ห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำขนาดนี้

ทรอยทิ้งตัวลงมานอนกอดอย่างไม่กลัวเลอะก่อนจะค่อย ๆ ดึงส่วนต่อของเขาออกไปจากร่างกาย ใบหน้าซบลงกับหน้าของผมก่อนจะพูดออกมาว่า

“รู้ไหม ผมหลงพี่โคตร ๆ แล้วนะ” เขาบอกออกมาแบบนั้น โดยที่เขาก็คงไม่รู้ว่าผมรู้สึกไม่ต่างอะไรจากเขาเลย ผมโอบกอดเขาด้วยแขนทั้งสองข้าง แม้จะมีอาการเจ็บหลงเหลืออยู่บ้าง แต่สิ่งที่มีความกว่าคือความสุขที่ได้ทำอะไรแบบนี้ร่วมกันกับเขา พอหายเหนื่อยแล้วเจ้าตัวก็ฟัดจมูกลงมาแกล้งผมอีกเป็นระลอก ก่อนเราจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“ผมรักพี่แชมป์นะครับ”

ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินคำว่ารัก แต่มันไม่เคยมีครั้งไหน ๆ เลยที่หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะเท่าครั้งนี้ น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง พยักหน้าบอกกับตัวเองว่าผมต้องมั่นใจในตัวเองและคนที่ผมรักมาก ๆ กว่านี้ ก็เพราะทรอยเป็นทรอยแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ผมถึงหลงรักเขาทั้งหัวใจแบบนี้

“พี่ก็รักทรอยมาก  ๆ ครับ”

ผมบอกกับเขาแบบนั้น ก่อนเราจะไปจัดการล้างเนื้อล้างตัว ทำความสะอาดและทิ้งอุปกรณ์ที่ใช้แล้ว ก่อนจะมานอนกอดกันเป็นกอดกลม ๆ แน่นอน ผมไม่ลืมที่จะใส่ที่อุดหูก่อนนอน ตอนนี้เกือบ ๆ จะเที่ยงคืนกว่าแล้ว พรุ่งนี้เช้าพอเราแยกย้ายกันไปก็คงอีกหลายวันกว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก ผมต้องกอดน้องมันให้คุ้มก่อน

ผมมีความสุขจนแทบอยากจะหยุดเวลานี้ไว้ตลอดไป

นั่นคือความคิดสุดท้ายของผม ก่อนเปลือกตาทั้งสองข้างจะหนักลงไปเรื่อย ๆ และหลับไปในที่สุด

 

....





“พี่แชมป์”

“....”

“พี่แชมป์ครับ ตื่นก่อนนะ”

ผมงัวเงียลืมตา เห็นเจ้าทรอยดึงที่อุดหูและปลุกผมลุกขึ้นมา เหม่อมองดูนาฬิกาแล้วก็เพิ่งจะหกโมงเช้าเองไม่ใช่เหรอ? ผมหันไปหาเขาที่กำลังทำหน้าตื่น ๆ และก่อนที่ผมจะได้ตั้งทั้งสติถามว่าทำไมถึงปลุกก่อนเวลาตื่น เจ้าตัวก็ชิงพูดถึงสาเหตุออกมาก่อน

“คือทรอยนอน ๆ อยู่แล้วได้ยินเสียงเคาะประตู ก็เลยออกไปส่องตาแมวดู” ทรอยอธิบาย

“...”

“...ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขาบอกว่าเขาเป็นพ่อพี่อ่ะครับ” เจ้าตัวพูดจบก็ชี้นิ้วโป้งไปทางหน้าประตู ผมฟุบลงไปบนที่นอนอีกครั้งหนึ่ง

...ผมขอนอนต่ออีกสักห้าสิบปีค่อยตื่นมาใหม่จะได้ไหมนะ?



Time talk : ผมสั่งพิมพ์หนังสือไปตามยอดพิมพ์ขั้นต่ำ ตอนนี้หนังสือยังว่างอีกสองชุด รายละเอียดตามรูปภาพด้านล่างเลยนะครับ สนใจสามารถกรอกข้อมูลและรับเลขบัญชีสำหรับโอนสั่งจองได้เลยนะครับ ขออนุญาตให้คนที่โอนก่อนนะครับ ส่วนรีปริ้นท์คิดว่าคงอีกนานมาก ๆ หรืออาจจะไม่มีอีกแล้วครับ

จิ้มจองได้เลยนะครับ : 1th.me/ZBRt           


ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


[SP3] Ep.38 Letter to my beloved man By YOKE


สวัสดีคุณคนในโปสเตอร์

จริง ๆ เรารู้จักชื่อกันอยู่แล้ว แต่ผมขอเรียกคุณแบบนี้แล้วกันนะ หวังว่าคุณจะไม่โกรธผมกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบการไม่เรียกชื่อกันหรอกน่ะ

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ผมก็มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะสารภาพกับคุณ .....ผมไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วนะ

หวังว่าคุณจะยังอ่านจดหมายฉบับนี้ต่อไปเรื่อย ๆ และหวังว่าคุณจะเข้าใจ ให้อภัย และเคารพการตัดสินใจของผม

ผมติดยาเสพติด เรื่องนั้นคุณรู้ดีอยู่แล้ว แต่ที่คุณไม่รู้คือผมมีอายุขัยเหลือไม่มากเท่าไหร่อยู่แล้ว ต่อให้ผมเลือกจะไม่ตายวันนี้ อย่างเก่งผมก็มีพรุ่งนี้เช้าไม่เกินสามปีหลังจากนี้ ผมไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ และก็คงไม่สะดวกใจที่จะพูดถึงความผิดพลาดมากมายของตัวเองตั้งแต่ในอดีตจนถึงตอนนี้ เอาเป็นว่าผมพาชีวิตไปเจอกับทุกสิ่งที่บรรทัดฐานของคนดีมองว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก ๆ แล้วกันนะ

มีเรื่องเดียวในชีวิตตั้งแต่เกิดมาที่ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำพลาดไปคือการได้ทำความรู้จักกับคุณอีกครั้ง

ใช่ อีกครั้ง นั่นหมายความว่าเราไม่ได้เพิ่งเจอกันที่ป่าไผ่เป็นครั้งแรก

คุณอาจจะจำผมไม่ได้หรอก แต่ผมจำได้ดีเลยแหละ เด็กผู้ชายในชุดสีฟ้าที่สายตาเหม่อลอย บอกกับผมว่า ‘โหดร้าย’ ซ้ำไปซ้ำมากับสิ่งที่ตัวเองต้องได้เจอ คุณมองผมตลอดเวลา แต่มองผ่านเลยไปเสมอ เหมือนทุกครั้ง เหมือนทุกคน ผมคือคนที่ใคร ๆ ก็มองผ่านและมองข้ามไปตลอด วันนั้นเองก็เหมือนกัน ผมขอโทษด้วยที่อุตริอยากจะทดลองจูบคุณดู

น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมไม่โดนมองข้ามไป

คุณคิดถูกมาก ๆ เลยนะที่วันนั้นเป็นคนขับรถให้ผม สารภาพตามตรง วันนั้นผมไฮหนักมากจริง ๆ มากถึงขนาดที่ว่าผมไปจอดอยู่หน้ามอยังไงยังจำไม่ได้ ต้องค่อย ๆ มานั่งไล่ทบทวนที่ละนิด ๆ ผมถึงจำได้ว่าใครซื้อโจ๊กร้อน ๆ และผ้าเย็นมาซับหน้าให้ผม รวมไปถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นบนรถยนต์นั้นก็ด้วย

ผมเซอร์ไพรส์ ไม่คิดว่าคุณจะกลับมาเข็มแข็งได้มากขนาดนี้

ใจหนึ่งก็ดีใจที่เห็นคุณกลับไปมีความสุขได้มากขนาดนี้ อีกใจหนึ่งก็เสียใจ ผมคิดว่าถ้าคุณเป็นเหมือนตอนนั้น คุณอาจจะเข้าใจความรู้สึกของผมมากกว่าใคร ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมรึเปล่า

..เพราะเราทั้งสองคนล้วน ‘แตกสลาย’ จากน้ำมือคนที่เรารักด้วยกันทั้งคู่

ความทรมานในทุก ๆ วันของผม คือการตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองยังมีลมหายใจ  พูดตามตรง ไม่เคยมีสักนาทีเลยบนโลกใบนี้ที่ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ความสุขของผมคือการพึ่งยาเสพติด การใช้ชีวิตแบบละลายชีวิตไปวัน ๆ ไม่มีความฝัน ไม่มีความต้องการ ไม่มีความปรารถนาใด ๆ ในการมีชีวิตอยู่ต่อไป

มันเหมือนกับผมเป็นแค่เศษซากมนุษย์ที่ผุ ๆ พัง ๆ แค่ยังมีชีวิตอยู่เพราะแค่ยังมีลมหายใจ แต่ปราศจากหัวใจ ปราศจากความสุขใด ๆ ให้ตัวผมเองยังอยากอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป

ผมตายไปนานแล้ว ตายไปจากความต้องการของคนทุกคน

ผมที่ยังอยู่ตรงนี้เพราะแค่ผมยังหาวิธีที่ดีที่สุดในจากจบชีวิตตัวเองไม่ได้

พ่อนะ พูดเสมอ ผมเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องมากที่สุด ไม่สิ เขาอาจจะไม่ได้นับผมเป็นลูกเลยก็ได้มั้ง? แน่นอนสิ วัน ๆ ผมเอาแต่สร้างปัญหา ล้างผลาญเงินทองในบ้านโดยไม่มีอะไรตอบแทนกลับไป ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกเขาหรอกนะ แค่อยากจะบอกว่า ผมเลือกเกิดไม่ได้ แต่พวกเขาเลือกได้นะว่าจะให้ผมเกิดมารึเปล่า

ช่างหัวมันเถอะ ชีวิตดราม่าครอบครัวของผมนะ มันไม่มีตอนจบที่ดีที่สุดหรอก ก็แค่ประคับประครองรอวันลูก  ๆ โตแล้วก็แยกย้ายกันไป ถ้ามันจะพังก็พังเพราะความต้องการของคนเราไม่มีจุดสิ้นสุด ยิ่งเราเติบโตมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีความต้องการ เรายิ่งปรารถนาที่จะคอบครองหลายสิ่งหลายอย่าง เราวิ่งไล่ตามทุกอย่างที่อยากจะได้จนลืมหยุดพักหายใจ

ผมเวิ่นเว้อไปไหมนะ? ขอโทษด้วยนะ ผมไม่เคยเขียนจดหมายลาตาย

ถ้าเผื่อคุณจะเป็นห่วง ไม่ต้องกลัวนะ นาทีสุดท้ายของชีวิตผม ผมไปด้วยความสบายอย่างถึงที่สุด (ผมคิดแบบนั้นนะ และคุณเอ้ย อย่าให้ผมพูดเลย ในโรงพยาบาลนะ มีทุกอย่างที่คุณอยากได้ แต่เขาไม่บอกคุณหรอกว่าอะไรทำอะไรได้บ้าง ผมแค่อยากให้คุณสบายใจว่าผมไม่มีความทรมานอะไรเลยในการจากไปครั้งนี้)

ผมอิจฉาคุณจังเลย พูดตามตรงนะ ผมอยากเป็นได้แบบคุณจังเลย ทำไมผมถึงไม่เข้มแข็งให้ได้สักส่วนหนึ่งเหมือนที่คุณเข้มแข็งนะ คุณรู้ไหมว่าภาพที่คุณเป็น คือสิ่งที่ผมฝันเห็นว่าตัวเองอยากจะเป็นในทุก ๆ วันเลย ผมอิจฉาในชีวิตที่คุณเลือกทุกอย่างให้กับตัวเองได้ ยิ้มรับความเจ็บปวด โอบกอดความแตกสลายทั้งหมดนั้นไว้

คุณยังไม่เป็นไร คุณยังมุ่งมั่นที่จะมีลมหายใจต่อไปเผื่อวันข้างหน้า

ไม่ว่าคุณจะมองเห็นภาพชีวิตตัวเองเป็นแบบไหน อยากบอกไว้ว่านั้นคือภาพชีวิตที่ดีที่สุด เท่าที่คน ๆ หนึ่งปรารถนาอยากจะเป็นมันบ้างแค่ชั่วคราวก็ยังดี

ขอผมตั้งสติหน่อยนะ ระหว่างที่กำลังเขียน ผมเผลอสติแตกไปหลายรอบแล้ว ดังนั้นแล้วนี้ไม่ใช่จดหมายเวอร์ชันแรกที่ผมเขียนให้คุณ แต่เป็นอีกหนึ่งเวอร์ชันที่ผมตั้งใจจะบอก จะเล่าทุกอย่าง คุณจะได้ไม่ค้างคาใจกับการจากไปของผม

ว่าแต่ว่า จดหมายฉบับนี้จะไปถึงคุณไหมนะ?

แม่ครับ ถ้าแม่ได้มาอ่าน หยกรักแม่นะ แม่ไม่ต้องเถียงกับเขาหรอกว่าหยกเป็นแบบนี้เพราะอะไร หยกขอโทษด้วยที่หยกไม่เข็มแข็งพอมากจะเอาชนะมันได้ ขอโทษด้วยที่หยกไม่เคยเป็นลูกที่ดีเลย แต่ถ้าจะมีอะไรที่หยกอยากจะขอแม่เป็นครั้งสุดท้าย ได้โปรดให้อภัยกับความเห็นแก่ตัวของหยก และได้โปรดนำจดหมายฉบับนี้ส่งให้เด็กคนนั้นที

เขาเป็นเด็กผู้ชายน่ารักคนหนึ่ง ชื่อเล่นชื่อว่าทรอย เด็กผู้ชายที่เคยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของแม่ ช่วงที่เราเพิ่งเริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า คิดว่าแม่น่าจะยังพอมีประวัติเขา เขาเรียนสังคมสงเคราะห์ ไปฝากจดหมายไว้ที่นั้นก็ได้ครับ

ถ้าแม่ได้ทำตามนี้แล้ว หยกขอบคุณแม่มาก ๆ นะครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ

หยกรักแม่ที่สุดในโลกเลย แม่เป็นม้ามี๊ที่ดีมาก ๆ เท่าที่หยกเคยได้รับมากจากโลกใบนี้เลยนะครับ

ต่อนะ ... แป๊ป ผมขอนึกก่อนว่าจะเขียนถึงคุณว่าอะไรต่อดี 

ผมอยากบอกคุณว่า ความบังเอิญที่คุณเจอกันกับผม มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือที่โรงพยาบาลตอนคุณเข้ารักษาอาการ นอกเหนือจากนั้นทั้งหมด มันไม่ใช่ความบังเอิญ มันคือความตั้งใจของผมเอง

ได้โปรด อย่าหวาดกลัวผมเลยนะที่ติดตามคุณไปแบบนั้น ผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั่งมองหรอก แบบ ผมขี้อายกว่าที่คุณคิดนะ หวังว่าคุณคงจะไม่ตลกผมหรอกใช่ไหม? แต่ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีจริง ๆ นะ ผมแค่แบบ อยากไปนั่งมองคุณไปเรื่อย ๆ พอเห็นคุณใช้ชีวิตแล้วก็รู้สึกว่านี้เป็นอีกสิ่งที่ค้ำจุนผมเอาไว้

ผมตามไปดูคุณที่ทำงานบ่อย ๆ แต่ก็เท่านั้น แค่นั่งมองว่าคุณทำอะไรบ้าง เฝ้ามองชีวิตที่ดำเนินไปช้า ๆ แต่เดินหน้าอย่างมั่นคง

วันนั้นที่ป่าไผ่ ผมขับรถตามคุณไป จริง ๆ ผมก็ตามคุณห่าง ๆ แบบนี้มาตลอด ผมแค่อยากดูว่าคุณเป็นยังไงบ้าง แต่ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งยากอะไรในชีวิตของคุณ ไม่สิ ต้องบอกว่าผมนะ ไม่กล้ามากกว่า ผมกลัวว่าเริ่มต้นแล้วมันจะจบไม่สวย ผมกลัวว่าผมจะทำคุณหล่นหายไปจากชีวิตที่ได้เฝ้ามองคุณเสมอมา

ผมคิดว่าตัวเองมีความสุขมากพอแล้วกับการได้เฝ้ามองคุณ

ผมคิดแบบนั้นเสมอมา จนกระทั่งพอได้ลองคุยกับคุณแล้ว คุณเชื่อไหม ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเพิ่งเข้าใจว่าความสุขมันเป็นยังไง ผมเพิ่งเข้าใจว่าเวลาที่เราเขินใครสักคนมาก ๆ มันเป็นแบบไหน พอยิ่งได้ลองกอดคุณแล้ว มันอบอุ่นมากจนผมแทบไม่อยากคลายอ้อมกอดแบบนั้นออกไปเลย

ผมแม่งโคตรติดสัมผัสจากคุณ โดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

คุณรู้ตัวไหม คุณเป็นคนที่ทำให้คนเสพติดได้ง่ายมาก ๆ เลยนะ ถึงแม้คุณจะพยายามกันตัวเองออกมาจากผู้คนมากมาย แต่คุณไม่รู้หรอกว่าตัวตนของคุณมันกลบไม่ได้จริง ๆ คุณไม่สอด ไม่ยุ่ง ไม่สนใจเรื่องของผม ผมไม่รู้หรอกว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ผมสบายใจมาก ๆ ที่ได้อยู่ใกล้ ๆ คุณโดยที่คุณไม่ว่าอะไร (หรือคุณว่าแล้วผมเองไม่ทราบเองก็ไม่รู้)

หลังจากวันนั้น ที่เราบังเอิญเจอที่ดาดฟ้า คุณรู้ไหมว่าเสื้อฮู้ดตัวนั้นเป็นสมบัติอีกอย่างของผมเลยนะ ผมอยากฝากมันไว้กับคุณ เพราะไม่รู้ว่าต่อจากตรงนั้นแล้วเราจะได้เจอกันอีกไหม จะได้มานั่งคุยกันดี ๆ แบบนี้อีกรึเปล่า? อ๋อ ที่ผมตกใจวันนั้น ไม่ใช่เพราะตกใจที่คุณเดาถูกว่าผมเป็นโรคซึมเศร้า แต่ผมนึกว่าคุณจำได้แล้วว่าเราเคยเจอกันมาก่อน

‘ผมอยากมีความสุขจัง’ ที่ผมพูดออกไป ผมหมายถึงว่าผมอยากมีคุณ

คุณเป็นอีกคนที่ทำให้ผมหายกลัวกับความตาย ไม่รู้สิ ตั้งแต่วันนั้นผมก็คิดว่ายังไงผมก็จะตาย แต่ผมจะตายแบบไม่มีความกลัวอะไรอีกแล้ว เพราะผมมั่นใจว่าผมจะตายไปจากโลกใบนี้ แต่ไม่ได้ตายไปจากความทรงจำของเราสองคน ยิ่งคุณไม่พยายามห้ามเรื่องที่ผมจะฆ่าตัวตาย ผมยิ่งสบายใจที่จะจากไป

ขอบคุณนะ ที่ให้ผมร้องไห้ให้กับคุณได้เต็มปอด มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ ที่ครั้งหนึ่งชีวิตของผมเคยได้รับการปลอบโยนที่อบอุ่นมากขนาดนี้ ผมถึงได้เข้าใจในตอนนั้นว่าคุณเข้มแข็งขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเข้าใจทุกบาดแผลและความเจ็บปวดของผม เขียนไปเขียนมา ผมมันดูขี้แพ้ไปหมดเลยตั้งแต่โรคประจำตัวยันหัวใจของตัวเอง

วันนั้นที่โรงหนัง ผมตั้งใจว่าจะไปดูหนังเป็นครั้งสุดท้าย ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอคุณพอดี ใจผมกำลังสับสนว่าจะเอายังไงต่อไปดี จะเข้าไปทักทายคุณดีไหม แบบนั้นคุณจะหนีผมรึเปล่า หรือผมควรจะต้องทำยังไงไม่ให้มันดูประเจิดประเจ้อมากเกินไปในการเข้าหาคุณ มันเป็นความกลัวไปหมด ผมยืนดูคุณแบบนั้นจนเห็นคุณเริ่มผิดปกติ

เขาคนนั้นใช่ไหม ที่มอบความเจ็บปวดมากมายให้คุณถึงขนาดยืนร้องไห้ไม่รู้สึกตัวได้ขนาดนี้

ก่อนอื่นเลย คุณควรลดน้ำหนัก ผมไม่ได้แซวนะ แต่แบบ ถ้าคุณลดน้ำหนัก ผมว่ามันจะดีกับสุขภาพและบุคลิกของคุณ แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่เสือกกับความสุขของคุณแล้วกัน วันนั้นหนักหน่อย แต่ผมโอเค เอาจริง ๆ ผมทึ่งตัวเองมาก ๆ ด้วยซ้ำที่สามารถแบกคุณหนีออกไปจากที่เกิดเหตุได้

คุณตาไว ขนาดเศร้าเบอร์นั้นคุณยังสังเกตเห็นรอยสักของผมบนต้นคอได้ จริง ๆ แล้วผมไปได้ไอเดียมาจากโอเปร่าที่ผมเคยได้ฟังนะ มันชื่อ ‘Javert Releases Prisoner 24601 On Parole’  คุณอาจจะงงว่ามันคืออะไร ผมขอนึกแป๊ปว่าจะอธิบายยังไงดี เอาแบบนี้แล้วกัน ในคุกนะคุณ เขาจะไม่มีชื่อเรียก แต่จะเรียกนักโทษด้วยรหัสประจำตัว คุณเกทนะ?

ที่นี้เสร็จเนี้ย เจ้าคนที่ชื่อ Jean Valjean เนี้ย เขาเป็นนักโทษในคุกนั่นแหละ และผู้คุมก็เรียกเขาว่า ‘24601’ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ เขาเองก็มีชื่อของเขา เขาไม่ได้ชื่อ 24601 แต่เขาคือ Jean Valjean มันอารมณ์เหมือนเราประท้วงนะคุณ เหมือนกับว่าแม้เราจะเป็นนักโทษของคุณ แต่เราก็มีเกียรติ มีศรีของเราเช่นเดียวกัน

ผมติดอยู่ในคุกที่โดนคุมขังด้วยร่างกายและจิตวิญญาณ ‘24601’ คือการประท้วงในสิ่งที่ผมพยายามจะเป็นมันด้วยตัวผมเอง

ผมไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจทั้งหมดที่ผมพูดรึเปล่า เพราะผมก็พูดงง ๆ หวังว่าคุณจะอ่านและเข้าใจว่ามันสำคัญสำหรับผมมาก ๆ ก็พอ (มากถึงขนาดผมโดนเขาทำร้ายร่างกายเพราะไปสักมา ผมยังไม่ร้องสักคำด้วยซ้ำ แม้คนในครอบครัวของผมจะร้องก็เถอะ ผมว่าพวกเขาก็คงร้องไห้พอเป็นพิธี หรือไม่ก็ตกใจกับการที่ผมเลือดตกยางออกนิดหน่อยละมั้ง?)

แต่สุดท้ายวันนั้นเราก็ไม่ได้จูบกัน

ผมรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธความรักของผม มีคำถามมากมายในหัวว่า ‘ทำไม’ เต็มไปหมด แต่สุดท้ายแล้วผมก็ได้แต่ยอมรับว่าผมไม่ใช่ แย่จังเลยนะ ทั้ง ๆ ที่ผมอยากจะใช่ขนาดนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมโดนคุณดีดออกจากโลกใบนั้นอย่างเต็มแรง คุณปลอบโยนผมด้วยความรู้สึกของความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ แต่ไม่ใช่ในรูปแบบของคนรัก

แน่นอน คนแบบผมใครมันจะมารักได้ลงคอ ถูกไหม?

แต่ผมเองก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมเองก็ยังอยากได้รับความรัก ความเมตตาจากใครสักคน แม้แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิตผมเองก็ยังดี

ผมกลับบ้านไปทำตามที่คุณบอก ผมพยายามดูแลตัวเองเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมกินข้าวสองจานแหนะ แม่ของผมเองก็ดูจะมีความสุขมาก ๆ เช่นเดียวกัน แม้เขาจะยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาทำอะไรพร้อมหน้าพร้อมตากันก็เถอะ เขาประหลาดใจถึงขนาดออกปากถามด้วยซ้ำว่าอยากกินของแบบนี้ทุกวันเลยไหม (แม่ครับ ใครจะทนกินอะไรซ้ำ ๆ กันได้ทุกวัน)

ผมตั้งใจมาก ๆ ว่า ถ้าเจอกันอีกครั้งหนึ่ง ผมอยากบอกความรู้สึกทุกอย่างให้คุณฟังเป็นครั้งสุดท้าย

และมันก็คือโอกาสสุดท้ายของผมจริงๆ

เป็นอีกครั้งที่ผมประหลาดใจ ทุกครั้งที่เราได้คุยกัน แววตาของคุณค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปที่ละเล็กที่ละน้อย จากสายตาที่ไม่เป็นมิตร ความคิดที่พยายามปิดกั่นผม คุณดูพยายามเข้าใจและเข้าหาผู้คนมากขึ้น เปิดโอกาสให้ผมได้เข้าไปใกล้ ๆ คุณอีกครั้ง แต่ใกล้ก็ส่วนใกล้ ยังห่างจากหัวใจคุณอีกเยอะมากนัก

ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ถ้าวันนั้นผมสารภาพความรู้สึกไปก่อนเขา ผมจะได้ใจคุณมารึเปล่านะ?

คุณรู้อะไรไหมทรอย ผมรู้คำตอบตั้งแต่ก่อนเวลา 24 ชมสุดท้ายของผมจะเริ่มต้นและจบลงด้วยซ้ำ แววตาของคุณมันบอกทุกอย่าง ทุกอย่างเลยจริง ๆ ผมรับรู้ความรัก ความห่วงใย ความปรารถนาดี แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความรักแบบที่ผมอยากจะได้ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะให้มันดำเนินแบบนั้นต่อไป เลือกที่จะไปเก็บความทรงจำพกนั้นเป็นครั้งสุดท้ายกับคุณ

ในบรรดาลิสต์รายการสิ่งที่ต้องทำก่อนตาย ผมได้ทำทุกอย่างแล้วในวันนั้น

ผมได้โอบกอดคุณตอนคุณนอนหลับ ได้เฝ้ามองคุณใกล้ ๆ ได้ดูแล ทนุถนอม แบ่งปันความสุขและมอบหลายความรู้สึกให้กับคุณ ผมได้ตื่นมาเจอคุณในตอนเช้า ได้นั่งกินอาหารอร่อย ๆ กับคุณ ได้ไปเที่ยวน้ำตก ดำน้ำ ขึ้นไปไหว้พระ และกลับมาดูพระอาทิตย์ตก ทั้งหมดนั้นมันวิเศษยิ่งกว่าพรใด ๆ บนโลกใบนี้จะบันดาลให้ได้กับผม

คุณถามผมใช่ไหมว่าผมจะเอายังไงกับชีวิตต่อจากนั้น? ขอโทษด้วยที่สุดท้ายพอทำทุกอย่างสำเร็จ ผมก็คิดวางแผนมาตลอดว่าจะต้องพอสักทีกับความทรมานในทุก ๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมาไม่เจอคุณ

ผมลืมไปอีกอย่าง ที่คุณถามผมอีกข้อว่าผมขอพรว่าอะไรไป

ผมอธิษฐานว่า ‘ขอให้คุณได้มีความสุขกับคนที่คุณรัก ขอให้เขาคนนั้นรักและเห็นคุณในสิ่งที่ผมเห็น ขออย่าให้มีอะไรมาทำให้คุณเสียใจ เสียน้ำตา หรือกลับกลายไปเป็นคนที่หัวใจแตกสลายอีกครั้ง’

ผมรักคุณมาก จนผมกลัวว่าสักวันคุณจะใจสลายเพราะความรักอีก

ผมไม่รู้ว่าจะไปเรียกว่าความรักได้ไหม แต่ทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้น มันมากกว่าความสุขตลอดทั้งชีวิตของผมมากองรวมกันอีก ผมรู้แค่วาผมพยายามทนุถนอมและประคับประครองทุกความทรงจำให้โลดแล่นในความรู้สึกและจิตวิญญาณก่อนวาระสุดท้ายชองผมด้วยซ้ำไป

อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าคุณกำลังคิดจะโทษตัวเอง ก็ขอให้หยุด

อย่าทำให้ผมผิดหวังในตัวคุณ ได้โปรด ผมอธิษฐานไปแล้วว่าไม่อยากให้คุณร้องไห้ ดังนั้นแล้วผมเองก็ไม่ควรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณร้องไห้เช่นกัน คุณไม่ได้ผิดอะไร และผมเองที่เป็นคนเห็นแก่ตัว ผมเห็นแก่ตัวที่จะไม่รับความทรมานใด ๆ ต่อจากนี้ไป ผมเห็นแก่ตัวที่จะเลือกจากไปพร้อมความทรงจำที่มีความสุขมากมายขนาดนี้

ผมไม่ได้ตายจากคุณไปไหน ผมจะยังอยู่ในหัวใจ ในความคิดและความทรงจำของคุณเสมอ

ตอนนี้ตัวผมเริ่มชาขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ผมเริ่มรู้สึกง่วง ๆ แหละ เปลือกตาก็เริ่มหนักมาก ๆ แล้ว คิดว่าคงใกล้ ๆ จะได้เวลาแล้ว ผมคงต้องขอตัวไปนอนงีบบนโซฟาตัวโปรดของผมก่อน ดังนั้นแล้วผมจะเขียนถึงคุณอีกแค่สามบรรทัด

ทรอยครับ ผมรักคุณนะ

ขอให้คุณมีรอยยิ้มที่สดใสแบบนั้นตลอดไป



แด่ผู้ชายอันเป็นที่รักของผม

,หยก





Time Talk ตอนพิเศษตอนสุดท้ายที่จะลงในเว็บแล้วนะครับ หวังว่าอ่านแล้วจะพอเข้าใจน้องมากขึ้นไม่มากก็น้อย และก็ หนังสือเหลือชุดสุดท้ายแล้วนะครับ หมดจากนี้คงไม่มีรีปริ้นท์แล้วละนะ ส่วน E-book อาจจะต้องรอไปอีกพักใหญ่ ๆ มาก ๆ ดังนั้นแล้วถ้าสะดวกจับจองได้นะครับ

รายละเอียดหนังสือ/ลิงก์จอง : https://1th.me/ZBRt 

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เราขอโทษ เรามา ๆ หาย ๆ

ขอบคุณในความมุ่งมั่นทุ่มเทกับนิยายเรื่องนี้ ถ่ายทอดมุมที่เราไม่เคยได้สัมผัสหรือรับรู้มาก่อน

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ abc_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นอีกเรื่องที่ดีมากๆๆๆในขีวิตเราเลยค่ะคุณคนเขียน เรามีมหาลัยนึงแอบคิดอยู่ในใจนะว่าใช่ที่เรียนของน้องทรอยรึเปล่า ชอบภาษาจิกกัดและการบอกเล่าโลกใบนี้ของคุณผ่านตัวอักษรที่ตรงใจเรา(เราเห็นด้วยแต่เราไม่เคยมีความกล้าจะพูดมันออกมา ทั้งที่ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาตัวเองขนาดนี้แล้วแท้ๆ) คุณทำให้เรานึกถึงเพื่อนสนิทของเราที่เขาทำให้เราเครียดน้อยลงแค่คำว่า “ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ”

ไม่ได้อ่านนิยายดีๆที่ทุกตัวละครมีมิติ มีความคิด และมีตัวตนของตัวเองอยู่ติดมาในทุกตัวอักษรตั้งแต่ต้นจนถึงตอนสุดท้ายนานแล้ว (แอบมีขัดใจกับพี่โชนิดหน่อยที่เขาดูจะต่างจากช่วงกลางเรื่องค่อนข้างเยอะทีเดียวเมื่อมาอ่านตอนพิเศษ) เราอยากอ่านตอนพิเศษต่อง่ะ แต่เรามาช้าไปตั้งเป็นปี ไม่รู้จะไปตามอ่านที่ไหนจริงๆ หลังจากกดส่งคอมเม้นเสร็จก็ว่าจะไปเสี่ยงดวงดูว่าจะเจอนิยายของคุณวางขายในที่อื่นอีกบ้างมั้ย แอบหวังถึงebookแต่มันดูจะยากไปนิด เอาเป็นว่าเราชอบนิยายของคุณมาก และหวังว่าคุณจะกลับมาเขียนชิ้นงานอีกนะคะ :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด