บทที่ 14 : ซ้อนแผน (2/2)
************************
ทางด้านของหลิวช่างหลินกับจางเหลียน หลังจากเดินออกมาจากที่แห่งนั้นฝ่ายจางเหลียนก็ประคองนายของตนกลับมายังกระโจมที่พักเงียบๆมิได้เอ่ยถามมากมายเช่นทุกครา เพียงใช้แววตาห่วงใยมองสำรวจเจ้าชีวิตของตนอยู่นานจนคนที่โดนจับจ้องรู้สึกได้ถึงสายตานั้น หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ร่างโปร่งถึงค่อยผ่อนลมหายใจเอาแผ่วจาง เลื่อนมือไปตบที่หลังมือจางเหลียนเบาๆก่อนจะเปิดปากขึ้นเองด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"ระหว่างที่โดยแยกออกไป พวกเขาทำอันตรายเจ้าหรือไม่?" ความเป็นห่วงฉายชัดในน้ำเสียง อย่างไร ผู้ที่เขาสามารถเชื่อใจได้ก็มีเพียงคนผู้นี้... กระแสเสียงนี้เองที่ทำให้จางเหลียนรู้สึกร้อนผ่าวตรงขอบตา ความรู้สึกรุนแรงที่ถูกสะกดเอาไว้ตั้งแต่ได้ยินข่าวบ้าๆข่าวหนึ่งก็เอ่อล้นขึ้นมา วางกาชาลงหยุดยืนนิ่ง สุดท้ายจึงทิ้งตัวลงคุกเข่าโครม
"ข้าน้อยสมควรตาย ช่วงเวลาเช่นนี้กลับมิได้อยู่รับใช้ข้างกาย เปิดโอกาสให้พวกมันทำเรื่องน่าอดสู่เช่นนี้กับฝ่าบาท จางเหลียนไม่กล้ามีชีวิตอีกต่อไปแล้ว!" พูดจบก็โขกหัวลงกับพื้นดังตึง หลิวช่างหลินไม่คิดว่าคนสนิทของตนจะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้เบิกตากว้าง รีบย่อตัวลงไปดึงมิให้โขกหัวอีก ทว่าก็ไม่สมารถต้านทานแรงในตอนนี้ของจางเหลียนได้ เสียงโขกดังเข้าหูอีกครั้งกลิ่นสนิมเหล็กลอยมาแตะจมูกยิ่งทำให้หลิวช่างหลินลนลาน
"อาเหลียน! เจ้าทำอะไรของเจ้า หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่ฟังคำสั่งข้าแล้วหรือ!" อดีตองค์รัชทายาทร้องสั่งเสียงเด็ดขาด บัณฑิตหนุ่มกลับไม่ชะงักการกระทำของตนเลยแม้แต่น้อย โขกหน้าผากลงกับพื้นอีกครั้งจนเกิดเสียงทึบๆฟังดูน่าสะพรึงกลัว หยาดโลหิตสีแดงฉานไหลลงมาจากรอยแตกช้าๆหยดลงพื้นดินทีละหยด ก่อนเพิ่มจำนวนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆจนคนใจแข็งยิ่งกว่าอะไรกังวลขึ้นมาเป็นครั้งแรก ครานี้ทิ้งตัวลงนั่งเบื้องหน้าข้ารับใช้ของตนมือทั้งสองจับไหล่รั้งเอาไว้เท่าที่แรงในตอนนี้จะทำได้
"คนข้างนอก ใครก็ได้เข้ามาในนี้เร็วเข้า!"
"ฝ่าบาท! ผู้น้อยบกพร่องต่อหน้าที่ทำให้ฝ่าบาทถูกเดรัจฉานนั้นทำร้าย ได้โปรดอย่าห้ามจางเหลียนเลยพ่ะย่ะค่ะ!"
"เจ้ากำลังทำบ้าอะไร!" เสียงทุ้มเหี้ยมกดตวาดเสียงลั่นจากด้านหลัง ลู่ซือเหยียนที่เดินตามมากับเฉินฟู่หลิงพลิกผ้าเดินเข้ามาในกระโจมด้วยสีหน้าถมึงทึงตรงเข้ามากระชากจางเหลียนออกจากอดีตองค์ชายที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดไปแล้ว เสียงเหล็กร้องบาดหูแว่วเข้ามาในโสตประสาท ดาบเหล็กเยียบเย็นก็พาดอยู่บนของบัณฑิตหนุ่มแล้ว
ดวงตาคมเข้มเบิกกว้างมองอย่างดุดัน กดปลายดาบลงบนลำคอขาวจนคมบาดเรียกเลือดออกมา "เจ้า...ทำบ้าอะไรอยู่!"
ถูกดาบทาบอยู่บนคอเยี่ยงนี้จางเหลียนหาได้มีทีท่าหวาดกลัวแม้เพียงเสี้ยว ถลึงตาจ้องกลับแข็งกร้าวไม่ยอมจำนน ถ่มน้ำลายใส่หน้าอย่างรังเกียจเดียจฉันท์
"เจ้าสิทำอะไรฝ่าบาทของข้า! เจ้ากล้าทำได้ลงคอ ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็เป็นเชื้อพระวงศ์ของต้าซาง หาใช่คนที่เจ้าจะเอามาทำให้แปดเปื้อนเยี่ยงนี้ได้! เจ้ากล้ากุข่าวขึ้นมาทำร้ายฝ่าบาท เจ้ามันสมควรตาย!"
ลู่ซือเหยียนหรี่ตาลงด้วยทั่วร่างกายเต็มไปด้วยประกายสังหาร กดเสียงเค้นถามลอดไรฟัน "เจ้าอยากตายใช่หรือไม่..." ใบดาบกดลึกมากกว่าเดิม จางเหลียนก็ยังเชิดหน้าท้าอย่างไม่กลัวความตาย
"อยากฆ่าก็ฆ่า ถึงตายเป็นผี ข้าแซ่จางก็จะไม่มีหยุดสาปแช่งเจ้า!"
"จางเหลียน! อย่าได้เสียมารยาทกับท่านแม่ทัพลู่!" คราวนี้หลิวช่างหลินตวาดมาจากด้านหลังด้วยตนเอง น้ำเสียงจริงจังจนมิอาจจริงจังได้มากกว่านี้ หยุดคำผรุสวาทที่กำลังจะหลุดออกมาได้ทันควัน จางเหลียนชะงักคำงับริมฝีปากลงอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดฝ่าบาทจึงได้ไม่มีท่าทางโกรธขึงบ้างเล่า
"ฝ่าบาท..." จางเหลียนครางเสียงแหบแห้งในคออย่างไม่เข้าใจ ทว่าหลิวช่างหลินมิเปิดโอกาสให้คนสนิทตนพูดอะไรออกมาอีก เข้ามารั้งบ่าให้คุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรงต่อหน้าร่างสูงใหญ่ของลู่ซือเหยียนที่ผละดาบไปตั้งแต่ร่างโปร่งก้าวเข้ามา คนถูกบังคับให้คุกเข่ามีสีหน้าไม่ยินยอมแต่จะสะบัดมือของนายเหนือหัวลุกขึ้น เขาก็ทำไม่ได้
"ขอขมาท่านแม่ทัพเดี๋ยวนี้..." หลิวช่างหลินเอ่ยเสียงเยียบเย็น
ประโยคเดียวดังสายฟ้าฟาดลงที่กลางใจของคนฟังอย่างแรง จางเหยียนกระตุกสีหน้ากราดเกรี้ยวปะปนไปด้วยความไม่อยากเชื่อขึ้นมา มิคิดว่านายเหนือหัวของตนจะยอมลงให้กับสุนัขรับใช้ของต้าเสียงมากถึงเพียงนี้ "ฝ่าบาท!"
"ถ้ายังเห็นข้าเป็นนายของเจ้า ขอขมาท่านแม่ทัพลู่เดี๋ยวนี้ ได้ยินหรือไม่" อดีตรัชทายาทสั่งซ้ำด้วยน้ำเสียงเย็นชา นี่อาจจะเรียกว่าเคราะห์ดีกระมังที่ดวงตาทั้งสองข้างของตนสูญเสียการมองเห็นไปแล้ว จึงไม่ต้องทนเห็นสีหน้าผิดหวังของข้ารับใช้ที่จงรักภักดีที่สุดของตน สามารถแข็งใจพูดต่อไปได้ด้วยน้ำเสียงมั่นคงดุจเดิม "เรื่องของข้ากับท่านแม่ทัพลู่ทุกอย่างหาได้มีการป้ายสีใส่ร้ายอันใดไม่ ทุกอย่างเป็นความจริง ข้ามิได้โดนบังคับ เป็นข้าเองที่เต็มใจให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้"
น้ำเสียงเรียบเฉย สีหน้าราบเรียบ ไร้วี่แววของความฝืนใจบนใบหน้า ไร้ความรู้สึกผิดแม้เพียงเศษเสี้ยว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏแก่สายตาทำให้จางเหลียนรู้สึกราวกับโดนหักหลังอย่างแรง ร่างผอมของบุคคลคงแก่เรียนสั่นสะท้าน "ไม่มีทาง...ไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะทำเยี่ยงนี้แน่ ฝ่าบาทไม่มีทางทรยศต้าซางแน่นอน ต้าซางเป็นชีวิตของฝ่าบาทไม่มีทางยอมให้เรื่องอัปยศเช่นนี้มาแปดเปื้อนชื่อเสียงของต้าซางแน่นอนมิใช่หรือ... ฝ่าบาท...ไม่ใช่เยี่ยงนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ..."
ถ้อยคำของบุคคลที่เป็นทั้งสหายแหละข้ารับใช้ที่คบหาสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กราวกับเป็นลูกธนูที่เล็งยิงได้ตรงเป้าแม่นยำ ใบหน้าของหลิวช่างหลินแม้ไม่เปลี่ยนสีแต่ก็มิอาจเอ่ยอะไรออกมาได้อีก ความเปลี่ยนแปลงนี้เอง ลู่ซือเหยียนไม่ยินยอมยืนนิ่งอีกต่อไป เดินผ่านร่างที่สั่นสะท้านบนพื้นไปคว้าร่างของคนที่นิ่งงันมาไว้ในอ้อมกอด สั่งเฉินฟู่หลิงให้พาจางเหลียนออกไป
เฉินฟู่หลิงได้รับคำสั่งก็ได้สติในที่สุด รีบรุดเข้ามาคว้าตัวข้ารับใช้ชาวต้าซางขึ้นจากพื้น จางเหลียนไม่ได้ดิ้นรนอีกแล้ว ยอมถูกกระชากออกไปแต่โดยดี รอจนเหลือเพียงสองคนแล้ว ลู่ซือเหยียนจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ร่างสูงโปร่งไม่ขัดขืนแม้เพียงนิด ยิ่งทำให้ลู่ซือเหยียนรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคงของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงสอดแขนกอดแน่น ก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของร่างในอ้อมแขนด้วยน้ำเสียงทุ้มเบา ปลอบประโลม..
"มันไม่ใช่ความผิดของท่าน..."
ใช่แล้ว มิใช่ความผิดของหลิวช่างหลินเลยแม้แต่น้อย ว่ากันตามความจริงแล้ว เขาต่างหากที่ลากอีกฝ่ายมาจมโคลนปลักนี้
"เป็นความผิดของข้าเอง ท่านอย่าได้โทษตัวเอง" เพียงเริ่มต้นเขาก็มิอาจทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองได้ ทั้งยังเป็นคนส่งความเจ็บปวดชนิดนี้มาให้อีกฝ่ายด้วยตนเอง ยิ่งพูด เสียงก็ยิ่งมีความรู้สึกผิดปะปนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายจึงตัดใจ...
"ท่านสามารถยกเลิกคำสัญญาของเร..."
ไม่รอให้ลู่ซือเหยียนพูดจนจบ หลิวช่างหลินก็ยกนิ้วขึ้นมาแตะปิดที่ริมฝีปากหนามิให้พูดต่อ ขยับออกจากอ้อมแขนอบอุ่นที่สวมกอดตนเองช้าๆ มายืนเผชิญหน้าด้วยสีหน้ามั่นคงดุจเดิม เขาส่ายหน้าแผ่วเบาในระหว่างที่ดึงนิ้วของตนเองกลับไป "ไม่...ข้าไม่ได้เป็นอะไร ท่านอย่าได้กังวล"
"แต่ว่า..."ลู่ซือเหยียนอยากจะค้าน ติดที่ว่าคนตรงหน้ายกมือขึ้นห้ามอีกครั้ง ดวงตาสีนิลไร้ภาพสะท้อนคู่นั้นคล้ายกำลังจับจ้องมองมา เขาจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยขัดอะไร
"ท่านบอกว่าท่านเป็นคนรักษาสัญญา ข้าสามารถเชื่อท่านได้หรือไม่" หลิวช่างหลินถามด้วยท่าทีสงบนิ่ง
"แน่นอนว่าได้"
"เช่นนั้น ท่านต้องไม่พูดว่าจะยกเลิกสัญญาระหว่างเรา เพียงจดจำคำพูดของท่านเอาไว้ให้ดีก็เพียงพอแล้ว"
"แต่ท่าน..." ลู่ซือเหยียนทำท่าจะคัดค้านอีกครั้ง คราวนี้มือเรียวของอีกฝ่ายเลื่อนมาปิดปากของเขาอย่างแม่นยำจนไม่อาจฝืนกล่าวได้อีก ยินยอมนิ่งฟังแต่โดยดี
"สามปี...แค่สามปีเท่านั้น" อดีตรัชทายาทแห่งต้าซางกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวลนัก "สามปีที่ท่านและข้าจะเป็นคนรักกัน แม้จะเป็นเพียงการเสแสร้ง แต่ข้าจะทำหน้าที่คนรักให้เต็มความสามารถ ขอแค่ท่านรักษาคำสัญญาที่มีให้กับต้าซาง...เมื่อครบกำหนดสามปี พวกเราก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก"
คำกล่าวที่มีหลักการ ทั้งยังมั่นคงไม่หวั่นไหวเช่นนี้ช่างสมกับฐานะในอดีตของอีกฝ่ายเหลือเกิน ทว่าไม่รู้ทำไมในอกของเขาถึงได้เจ็บลึกเช่นนี้ รู้สึกราวกับถูกสาดน้ำใส่จนตื่นจากภวังค์ความฝันอันแสนนุ่มนวลอย่างโหดร้าย
ใช่แล้ว...เพียงสามปีเท่านั้น ที่คนตรงหน้าจะเป็นของเขา...
เพียงแค่สามปี...เวลาไม่สั้นไม่ยาวสำหรับการรอคอยให้มันจบลง แต่ทำไมกันหนอ...
ทำไมเขาถึงได้หวังว่าให้สามปีข้างหน้านั้นไม่มีวันมาถึง
**********
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นราวกับลู่ซือเหยียนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาพบความจริงอีกครั้ง เขามิได้แวะเวียนไปคอยกวนหลิวช่างหลินทุกวันอีกแล้ว ตลอดสองเดือนเขาคร่ำเคร่งกับการสับเปลี่ยนกองกำลังทั้งหมดให้เข้าที่เข้าทาง ดึงคนของตนมาอยู่ในตำแหน่งที่จะถูกเรียกกลับไปพร้อมกับตนในตอนที่พระราชโองการมาถึง ข่าวจากพิราบสื่อสารส่งมาได้สามวันแล้ว ฝ่าบาทมีบัญชาตามตัวเขาและคนสนิททั้งหมดให้กลับต้าเสียงจริงๆดังที่คาดการณ์เอาไว้ อีกครึ่งเดือน แม่ทัพชุดใหม่จะมาถึงค่ายแห่งนี้ และเป็นผู้ควบคุมการบุกเองทั้งหมด
ในช่วงแรกที่คนของลู่ซือเหยียนรู้ข่าวนี้ แต่ละคนล้วนกัดฟันอย่างโกรธแค้นทั้งสิ้น ความดีความชอบที่สั่งสมมาราชสำนักหาได้เห็นคุณค่า อย่างนี้จะไม่ให้พวกเขาแค้นใจจนอยากจะกระอักโลหิตได้อย่างไร กว่าลู่ซือเหยียนจะกล่อมคนของตนให้สงบลงแล้วกลับไปทำงานต่อได้ก็เสียเวลาไปไม่น้อย วันนี้เขาเพิ่งละจากงานได้ไม่ถึงชั่วยาม ก็เดินมายังกระโจมของใครบางคนซึ่งไม่ได้เห็นมาหลายวันหยุดยืนอยู่ด้านนอกอย่างช่างใจ
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะหลับอยู่หรือไม่ อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้วก็จริง แต่ได้ข่าวจากท่านหมอโจวว่าหลิวช่างหลินร่างกายไม่แข็งแรงเท่าไหร่ เขาให้คนส่งยามาให้หลายครั้ง อาการถึงได้ทรงตัวขึ้นมา ถ้าเข้าไปตอนนี้ไม่รู้จะเป็นการรบกวนหรือไม่
ถึงอีกฝ่ายจะเน้นย้ำระยะเวลาอันแสนสั้น เขาก็หาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ที่สองเดือนนี้ทิ้งระยะห่างก็เพื่อให้อีกฝ่ายได้มีจังหวะเตรียมใจก่อนจะลงสู่สนามรบของจริงเท่านั้น
อีกไม่นานก็ต้องเดินทางกลับต้าเสียงแล้ว
ท่านแม่ทัพใหญ่ยืนลังเลอยู่ได้พักใหญ่ ในกระโจมก็มีคนพลิกผ้าผืนหนาเดินออกมาด้วยสีหน้าเฉยชา จางเหลียนนั่นเอง อีกฝ่ายไม่ได้ชักสีหน้าที่ราวกับจะฆ่าแกงใส่เขาอีกหลังจากเขาส่งจั๋วเจียหานไปอธิบายทุกอย่างให้ฟัง แต่ความไม่เป็นมิตรก็ยังคงฉายชัดบนสีหน้าของบัณฑิตหนุ่มไม่เปลี่ยนแปลง
ดีที่อีกฝ่ายรับใช้หลิวช่างหลินอย่างใส่ใจยิ่งกว่าเดิม เขาจึงไม่ได้ลากอีกฝ่ายไปบั่นคอเสีย ปล่อยกลับมาให้เป็นคนดูแลความเป็นอยู่ของอดีตรัชทายาทแห่งต้าซางอีกครั้ง
"ฝ่าบาทให้มาเชิญท่านเข้าไปด้านใน" จางเหลียนเดินมาหยุดตรงหน้าด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง เพียงประสานมือค้อมกายลงเล็กน้อยแล้วผายมือไปยังกระโจมโดยไม่รอคำตอบ ท่าทางหยิ่งทระนงเช่นนี้ลู่ซือเหยียนเคยชินเสียแล้ว เห็นแก่หลิวช่างหลิน เขามิได้เก็บเอาท่าทางยโสนั้นมาใส่ใจ เพียงพยักหน้าให้ เดินเข้าไปด้านในตามคำเชื้อเชิญ
ทันทีที่เข้ามาในกระโจม กลิ่นกำยานสมุนไพรที่ช่วยให้หายใจสะดวกก็โชยเข้าจมูกเป็นสิ่งแรก ด้านในอากาศอุ่นกว่าด้านนอกไม่น้อย ลู่ซือเหยียนจึงปลดผ้าคลุมลงส่งให้จางเหลียนที่รอรับอยู่ถึงค่อยเดินเข้าไปหาคนบนเตียงเพื่อไม่ให้ตนเองเอาไอเย็นเข้าไปกระทบคนเพิ่งหายป่วย
"ท่านไม่ได้มาเสียนาน" หลิวช่างหลินในชุดคลุมบุขนสัตว์สีขาวสะอาดตาทักขึ้น ขยับมือชี้ไปยังเก้าอี้ข้างเตียงให้แขกนั่งลง หันไปสั่งให้จางเหลียนรินชามารับรองก่อนหันมาขยับยิ้มส่งให้เล็กน้อย "งานยุ่งมากหรือ ดื่มชาก่อนสักจอกเถิด"
ลู่ซือเหยียนไม่ปฏิเสธรับชามาดื่มอย่างว่าง่าย ชาร้อนช่วยให้ร่างกายอุ่นซ่านขึ้นมาได้เป็นอย่างดี เจ้าของใบหน้าคมคายขยับยิ้ม ชมว่าชาดีคำหนึ่ง ถึงยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของอีกฝ่ายเบาๆ
"ไม่มีไข้แล้วใช่หรือไม่ หลายวันมานี้ไม่ได้มาเยี่ยมท่านเลย ต้องขออภัยด้วย"
ท่าทางเอาใจใส่เช่นนี้หลิวช่างหลินไม่ได้ปัดป้อง ทั้งยังส่ายหน้าเล็กน้อย "ข้าไม่ถือสา งานในกองทัพมีมากมาย ท่านไม่มีเวลามาหาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร"
ถ้อยคำนุ่มหูพวกนี้ทำให้แม่ทัพใหญ่ขยับยิ้มจาง ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้จางเหลียนและข้ารับใช้เดินออกไปจากกระโจม เมื่อลับสายตาคนนอกแล้ว ลู่ซือเหยียนก็ขยับมืออีกฝ่ายมากุมไว้เบาๆพลางนำโส่วลู่มายัดใส่มืออีกฝ่าย ตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก
"ท่านปล่อยให้มือตัวเองเย็นอีกแล้ว อย่างนี้ถึงได้ไม่หายป่วยเสียที" ถึงตรงนี้ก็ลดเสียงตัวเองลงแค่พอให้ได้ยินกันสองคน "ท่านไม่ส่งจดหมายถึงน้องชายจริงหรือ"
"ว่าข้ามือเย็น ท่านเองเย็นกว่าข้าเสียอีกยังไม่เห็นป่วยเป็นอะไร เช่นนี้เย็นหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่" คนโดนตำหนิตอบกลับอย่างผ่อนคลายเช่นกัน มีเพียงมือที่กุมโส่วลู่เท่านั้นที่ขยับกุมแน่นขึ้นเล็กน้อยในขณะที่ส่ายหน้า
ไม่ยินดีส่งจดหมายไปเล่า ยินดีให้ทุกคนเข้าใจผิดไปเช่นนั้นจะดีกว่า อิ่นเอ๋อร์จะได้ไม่ทำอะไรบ้าๆเพื่อช่วยเขาอีก
ลู่ซือเหยียนถอนหายใจเบา ขยับเข้าไปจับผ้าห่มให้ห่มแนบสนิทดีขึ้นกว่าเดิมหน่อย ค่อยกล่าวต่อไป "ท่านช่างดื้อดึงนัก" ทั้งเรื่องสุขภาพ และเรื่องหัวแข็งไม่ยอมงอนั่นก็ใช่
"ข้าไม่อยากเป็นจุดอ่อนของท่าน" ประโยคนี้ถูกเอ่ยขึ้นมีนัยถึงเรื่องจดหมาย หากตกไปอยู่ในมือขอผู้ไม่หวังดี ทุกอย่างที่ทำมานี้ก็จบกัน ลู่ซือเหยียนไม่ใช่ไม่รู้ แต่ก็อดยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีไม่ได้
"ท่านจะเป็นตัวถ่วงได้อย่างไร อย่าได้คิดมากไป กลับไปต้าเสียงเมื่อไหร่ ข้าจะให้หมอที่ดีที่สุดมารักษาท่านด้วยตัวเอง เท่านี้ท่านก็ไม่ต้องกังวลแล้ว"
หลิวช่างหลินชะงักไปเล็กน้อย พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายอยากจะบอก...
การแสดงของจริง ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว
"ท่านพร้อมหรือไม่" ลู่ซือเหยียนยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายไว้ไปทัดหูให้อย่างอ่อนโยนนัก เป็นการถามย้ำอีกครั้ง...โอกาสสุดท้ายที่จะกลับลำมีเพียงตอนนี้เท่านั้น
เมื่อเดินทางถึงต้าเสียง จากข่าวลือจะเป็นความจริง ทุกคนจะรับรู้ว่าองค์ชายตรงหน้ามีฐานะเป็นคนรักของเขา แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมนำความเสื่อมเสียมาให้อีกฝ่าย อย่างมิอาจกอบกู้คืนมาได้อีก...
หากอยากหยุด ก็ให้หยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้
อดีตรัชทายาทแห่งต้าซางขยับยิ้มบางๆบนใบหน้า ลืมดวงตามืดบอดที่เขาชอบจ้องมองมาทางเขาอีกครั้ง ท่าทางเป็นธรรมชาติจนยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายมิอาจมองเห็นความสวยงามและความโหดร้ายของโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว มือเรียวยาวสะอาดตาเลื่อนขึ้นมาคว้ามือหนาหยาบจากการจับดาบมาจับเอาไว้
"ท่านจะรักษาสัญญาใช่หรือไม่" ทุกคำสัญญาที่ท่านมอบให้ข้าและต้าซาง...
ลู่ซือเหยียนมองบุคคลตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนลง เขาชอบความมั่นคงนี้นัก...หรือควรจะเรียกว่าหลงใหลดีเล่า
"ข้าลู่ซือเหยียนจะไม่มีวันผิดคำสัญญา ขอสาบานต่อฟ้าดิน ชาตินี้มิมีวันผิดคำสัญญาต่อท่าน ช่างหลินท่านพร้อมจะก้าวเดินไปกับข้าหรือไม่"
ก้าวเดินไปในทางที่เต็มไปด้วยโคลนสายนี้
"ข้าพร้อม" มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่เคยคิดจะหันหลังกลับแม้แต่น้อย
"เช่นนั้น ข้าก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว" ลู่ซือเหยียนมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่อีกฝ่ายคงไม่มีวันได้รับรู้ ถือโอกาสที่หลิวช่างหลินไม่ทันตั้งตัว ยื่นใบหน้าเข้าไปหา ประทับจุมพิตลงที่แก้มเบาๆ
"ข้าจะไม่มีวันให้ท่านเป็นอะไรไปแน่นอน"
นี่เป็นคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับตนเองอีกครั้ง และจะไม่มีวันผิดคำสัญญา
*******************
มาต่อจนจบแล้วค่าาาาาาาาาาาาาาา ใกล้จะจบภาคแรกแล้ว น่าจะอีกตอนไม่ก็สองตอน จะรีบเข็นมาให้อ่านกันนะคะ!
พอจบภาคแรกก็จะไปต่อกันที่ต้าเสียงแล้วค่ะ ความสงบแบบนี้คงหาได้ยากแล้ว ขอเชิญนักอ่านทุกท่านไว้อาลัยให้ช่างหลินและซือเหยียนกันสักสิบวินะคะ--- //โดนตี
ชอบไม่ชอบยังไงก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้นะคะ ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทั้งที่เม้นและท่านที่หลงเข้ามาอ่านจนถึงตอนนี้ทุกคนเลยค่ะ เห็นยอดวิวก็ชื่นใจแล้ว
แล้วพบกันค่า