[ตัวอย่าง] Alien's Honeymoon
ตัวอย่างตอนแรกมาแล้วค่ะ จะอัพตัวอย่างตอนที่ 2 ให้อ่านชิมลางกันอีกครึ่งตอนนะคะ ที่เหลือไปตามหนังสือเอาเน้อเพราะเล่มนี้ค่อนข้างสั้นนิดนึง เล่มนี้คือคีธกับกวินทร์คนเดิม เพิ่มเติมคือความเกรียนและหื่น 555
---------------------------------------------
[Sample]Episode 01: Failed honeymoon[1][Kawin’s Part]ผมว่าผมคิดผิดอย่างแรงเลยที่เสนอหน้าไปถามไอ้คีธมันว่าอยากไปฮันนีมูนที่ไหน ยังไม่ทันได้ตกลงด้วยซ้ำว่าจะไปที่กาแล็กซี่แอนดรอมิดากับมันมั้ย มันก็จัดการติดต่อเจเนซิส ขอยืมยานขนาดเล็ก ยืมชุดบอดี้สูทสำหรับปฏิบัติการในยาน รวมถึงขอร้องให้เจเนซิสผลิตยาสำหรับปรับสภาพร่างกายผมให้เหมาะสมกับการออกนอกโลกไปกับมันด้วย
ตอนแรกผมก็หวังในใจว่าเจเนซิสคงจะทำไม่สำเร็จ เพราะสิ่งที่คีธขอนั้นจำเป็นต้องทำใหม่หมด ทั้งชุดบอดี้สูท ทั้งยาอะไรนั่นที่ไม่มีตั้งแต่แรก ด้วยของพวกนั้นล้วนทำมาเพื่อให้ชาวยูนิกมาใช้เท่านั้น ทว่าผมกลับคิดผิด แค่ใช้เวลาเพียงสองอาทิตย์ ของที่คีธอยากได้ก็ถูกส่งตรงจากเซนไทน์มาที่นาซาเป็นที่เรียบร้อย แถมยังกำชับให้เจโรว์ พ่อของเจเนซิสที่ยังอยู่ที่นี่ช่วยดูแลเตรียมความพร้อมให้ผมอีก กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเลยปฏิเสธคีธไม่ได้เลย
พวกมึงไม่ต้องสนับสนุนให้มันไปมีอะไรกับกูที่กาแล็กซี่อื่นกันได้มั้ยเล่า!
ผมล่ะอยากจะด่าพวกมันฉิบ แต่พอได้ยินเจเนซิสมันโทรทางไกลด้วยแผ่นชิปโทรจิต พร้อมอวยพรขอให้มีช่วงเวลาดีๆ ผมก็ด่าไม่ออก ยิ่งได้เห็นสีหน้าคีธซึ่งปกติจะนิ่งเรียบตลอดเวลายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเป็นบ้าเป็นหลัง นับวันรอคอยที่จะได้ไปฮันนีมูนกับผม ผมก็ยิ่งด่าไม่ลงใหญ่
สุดท้ายก็ต้องไปกับมันล่ะ...
แต่ก่อนถึงวันเดินทางอาทิตย์นึง ผมต้องไปที่นาซาเพื่อฝึกการใช้ชีวิตบนยานขณะเดินทางภายใต้การดูแลของเจโรว์ เหตุผลที่ต้องฝึกก็คือผมเป็นมนุษย์โลกคนแรกที่ได้ขึ้นยานเซนไทน์ที่มีการเคลื่อนที่รวดเร็วพอๆ กับความเร็วแสง จึงมีความเป็นไปได้ที่ร่างกายผมอาจได้รับผลกระทบหากไม่ปรับให้ชินล่วงหน้าเสียก่อน แม้ว่าจะมีชุดบอดี้สูทช่วยปรับสมดุลร่างกายให้เป็นปกติแล้วก็ตาม แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่มีมนุษย์โลกใส่ชุดนี้ ดังนั้นจึงไม่มีการรับรองผลใดๆ ทั้งสิ้นว่าจะไม่มีผลข้างเคียงหรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผมเลยต้องเอาคีตากับคินน์ไปฝากไว้ที่บ้านริชาร์ดตั้งแต่ก่อนไปฝึก แล้วแทนที่ริชาร์ดกับแอสตันมันจะปฏิเสธ อ้างว่ายุ่งหรืออะไรก็ได้ ผมจะได้เอาไปเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธคีธว่าไม่ไปฮันนีมูนกับมันที่นั่น แล้วหาที่ฮันนีมูนที่อื่นบนโลกแทน ทว่าไอ้เพื่อนเวรกับผัวมันดันไม่ห้ามสักแอะ ส่งเสริมอีกต่างหาก โดยเฉพาะริชาร์ดที่พร่ำบอกผมไม่หยุดว่ากลับมาเมื่อไหร่ ให้มาเล่าประสบการณ์การมีเซ็กส์ในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงให้ฟังด้วย
บ้านมึงเถอะ! มึงคิดเหรอว่ากูจะทำอย่างนั้นน่ะ!
...บอกเลยว่ามีความเสี่ยง
ถึงผมจะคิดว่าไม่มีทางทำ แต่แค่ไปฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงภายในศูนย์ปฏิบัติการการบินพร้อมกับคีธ ไอ้บ้าคีธก็ตั้งท่าจะปล้ำผมทุกทีที่พ้นสายตาคนอื่น ดีนะที่ฝึกกับพวกยูนิกมา ไอ้พวกนี้มันประสาทสัมผัสดี แค่ได้ยินผมโวยวายนิดเดียว เจโรว์ซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ก็ปรามคีธไว้แล้วด้วยไม่ต้องการให้การฝึกเสียเรื่อง ผมเลยรอดตัวจากการโดนไอ้เวรคีธทำการหื่นกามในขณะที่ตัวลอยเคว้งอยู่ในอากาศไป
และโชคดียิ่งกว่าที่พอถึงวันเดินทางจริง ผมไม่ต้องลอยเคว้งอยู่ในยานอย่างที่ฝึกมาตลอดอาทิตย์ ไอ้การฝึกนั่นเป็นไปเพื่อหากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นบางส่วนของยานไม่ทำงานแล้วมีการเปิดระบบให้ทุกอย่างอยู่ใต้ภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ผมจะได้ไม่มีปัญหา แต่ผมก็ไม่ได้กังวลอะไรเพราะตอนเดินทางจริง มันเป็นการนั่งเก้าอี้ประจำการ รัดเข็มขัดล็อคกับเก้าอี้เหมือนกับนั่งรถยนต์เด๊ะๆ ก่อนที่ยานจะออกเดินทางด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และแน่นอนว่าผมก็ไม่ได้กลัวเท่าไหร่กับการต้องออกไปนอกโลกอย่างนี้ ด้วยตระหนักดีกว่าชุดบอดี้สูทกับยาที่เจเนซิสคิดค้นมาให้ผมกินช่วยปรับสภาพร่างกายของผมในระดับที่เรียกว่าปลอดภัยไร้ห่วงแล้ว
แม้จะยังไม่รู้ถึงผลข้างเคียงกับประสิทธิภาพการทำงานของมัน แต่ก็นับว่าทำงานได้ดีเพราะตอนที่ยานออกเดินทางด้วยความไวแสง ผมไม่มีอาการอะไรเลย ออกจะปรับตัวได้เร็วกับการเคลื่อนที่ชนิดวาร์ปแบบนี้ด้วยซ้ำ
ทว่าพอผ่านไปสักพักเท่านั้นแหละ ของที่กินเข้าไปก่อนขึ้นยานก็ตีดันกระเพาะขึ้นมาจนเกือบจะอ้วกเกลื่อนยานไปหลายรอบ
ไม่เกือบล่ะ... อ้วกเลยเถอะ โคตรวิกฤตเลยเนี่ย!
รู้เลยว่านี่คือผลจากการทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพของยา
ไหนมึงกับพ่อมึงบอกว่าปลอดภัยไร้ห่วงไงวะไอ้เจเนซิส! กูว่าแล้วเชียวว่าเมียเก่าอย่างมึงมันไว้ใจไม่ได้ กะจะขัดขวางการฮันนีมูนของกูกับคีธแบบเนียนๆ ล่ะสินะ!
อาการของผมไม่ค่อยดี คีธเลยต้องคอยดูแลตลอดการเดินทางไปยังกาแล็กซี่แอนโดรมิดา ผมไม่รู้เลยว่าเราใช้เวลาเดินทางกันนานแค่ไหนด้วยเอาแต่หลับตลอดทางเพราะมึนหัว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถึงยังเอเลี่ยนพอร์ท ดาวซึ่งเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในกาแล็กซี่แอนโดรเมดา
ผมสงสัยเล็กน้อยที่เห็นดาวดวงนี้อึมครึมคล้ายกับช่วงโพล้เพล้บนโลกทั้งที่คีธบอกว่ามันเพิ่งจะเป็นเวลาเที่ยงของที่นี่ มารู้อีกทีก็ตอนคีธอธิบายว่าเพราะดาวดวงนี้อยู่ห่างไกลจากส่วนที่สว่างที่สุดของกาแล็กซี่พอสมควร เลยทำให้ดาวดวงนี้มืดครึ้มตลอดเวลา แต่ถือว่าเป็นดาวที่มีสภาวะทางชั้นบรรยากาศปลอดภัยที่สุดแล้วหากเทียบกับดาวดวงอื่นๆ ในละแวกนี้ ถึงได้ถูกเลือกให้เป็นดาวเมืองท่า
กระนั้นก็ไม่ได้มีความปลอดภัยสำหรับมนุษย์โลกอย่างผม ออกมาสัมผัสอากาศของดาวดวงนี้แล้ว ผมก็ยิ่งมึนหัวเข้าไปใหญ่ คีธบอกว่าอาจเป็นเพราะความกดอากาศของดาวดวงนี้ต่ำ ผมที่ยังไม่หายมึนจากการถูกวาร์ปเลยมีปฏิกิริยาอ่อนแอ แต่ก็ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก ไม่ถึงขั้นน่าเป็นห่วง พักสักหน่อยคงจะดีขึ้น
...ดีขึ้นบ้านมึงเถอะไอ้คีธ กูหันไปอ้วกอีกรอบแล้วเนี่ย!
ทั้งหงุดหงิดไอ้เจเนซิสที่เหมือนจงใจแกล้งให้ผมตกอยู่ในอาการแสนจะทรมาน ทั้งหงุดหงิดไอ้คีธที่นึกบ้าอะไรไม่รู้ถึงได้อยากมาฮันนีมูนที่นี่ ถึงจะรู้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วก็เถอะว่ามันต้องการให้ผมได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นอะไรใหม่ๆ และหลากหลายอย่างที่ไม่เคยเห็น ที่สำคัญ มันอยากมีช่วงเวลาดีๆ กับผมในช่วงฝนดาวตกที่กำลังจะมาถึงในวันมะรืนก็ตาม
และใช่... มันเลือกมาที่นี่เพราะได้ยินข่าวมาว่าที่กาแล็กซี่นี้จะมีปรากฏการณ์ฝนดาวตกครั้งใหญ่ในรอบหลายศตวรรษ มันก็เลยอยากให้ผมได้เห็นน่ะ มันบอกว่าโรแมนติกดี
พอตระหนักถึงเหตุผลนี้ ผมก็เลยกลืนคำด่าลงไป ผมเองก็อยากจะมีช่วงเวลาดีๆ กับมันเหมือนกันแม้จะคิดว่าการหลวมตัวมากับมันที่นี่โคตรจะเป็นเรื่องงี่เง่าเลย
เอาเถอะ แค่สามวันเอง อดทนหน่อยก็แล้วกัน
ส่วนไอ้เรื่องชื่อดาวเอเลี่ยนพอร์ทนี่ ตอนแรกที่คีธบอก ผมก็แปลกใจเหมือนกันนะว่าทำไมถึงมีชื่อนี้ พอได้มาเห็นกับตาตัวเองก็ไม่แปลกใจละ แม่งมีมนุษย์ต่างดาวมากหน้าหลายตามาก ถึงจะเป็นสปีชีส์ฮิวมานอยด์ที่มีสองมือสองขาเหมือนกับมนุษย์โลก แต่ขนาดตัว สี และรูปร่างหน้าตาก็แตกต่างกันออกไป จนผมเกือบจะหายมึนหัวฉับพลัน แปรเปลี่ยนเป็นกังวลขึ้นมาแทน
จะไม่ให้กังวลได้ไงวะ เป็นมนุษย์โลกคนเดียวท่ามกลางมวลหมู่มนุษย์ต่างดาวสารพัดสายพันธุ์ แถมยังได้ชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ที่ล้าหลังโคตรๆ อีก ถูกพวกมันมองมาแบบแปลกๆ ประหนึ่งอยากจะถามว่ามนุษย์โลกอย่างผมมาโผล่หัวอยู่ที่นี่ได้ยังไง ผมก็ต้องกังวลอยู่แล้ว
“ไม่ต้องกังวลนะกวินทร์ มากับฉัน ไม่มีอะไรต้องให้กังวลทั้งนั้น”
เพราะผมแสดงอาการผ่านสีหน้าออกมาชัดเจน คีธที่เดินขนาบข้างพาผมไปขึ้นยานเคลื่อนที่ทางบกที่ทางโรงแรมซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเรียกเป็นภาษาเอเลี่ยนว่าอะไรส่งมารับก็ว่าขึ้น
ผมพยักหน้าให้มันแล้วเบนความสนใจไปที่ยานนั่นแทน มันก็คล้ายๆ กับรถสปอร์ตเปิดประทุนน่ะนะ เพียงแต่ไม่มีล้อ และขับเคลื่อนไปบนอากาศได้เท่านั้น ได้ยินคีธบอกว่าที่ดาวนี่มีกฎหมายควบคุมการบินห้ามบินสูงเกินกี่เมตรๆ ด้วย แล้วที่มันบอกว่าไม่ต้องกังวลก็เป็นเพราะทั้งผม ทั้งมันได้รับการต้อนรับจากพนักงานโรงแรมเป็นอย่างดีราวกับเป็นคนสำคัญ
เกือบจะลืมไปแล้วว่ามันเป็นผู้พิทักษ์คนดังของจักรวาล แถมยังเป็นชาวยูนิกมาที่มนุษย์ต่างดาวยกย่องให้เป็นชนชาติชั้นสูงและเกรงอกเกรงใจกันถ้วนหน้าอีก จะต้องไปกังวลเรื่องอะไรล่ะ
ผมก็เลยวางตัวตามสบาย หากแต่วางตัวสบายได้ไม่นาน อาการมึนหัวก็ทำให้ผมหมดความตื่นเต้นด้วยมันทำให้ร่างกายผมเหนื่อยล้ามากกว่าเดิม หัวนี่อยากจะเอาลงไปแนบกับหมอนให้ได้ทั้งที่ผมควรจะตื่นเต้นเมื่อเรามาถึงยังห้องพักและพบกับความอลังการของห้องนี้
จะว่ายังไงดีล่ะ มันเป็นห้องพักแบบที่ไม่มีในโลกมนุษย์น่ะ แบบว่าพอเดินเข้ามาในห้องปุ๊บ ปิดประตูปั๊บ ไอ้ห้องทรงกลมคล้ายลูกบอลก็ยื่นออกไปจากตัวอาคารคล้ายกับกิ่งก้านของต้นไม้โดยอัตโนมัติ บานหน้าต่างที่มองเห็นได้จากด้านในเพียงด้านเดียวก็ทำให้มองวิวทิวทัศน์ได้รอบทิศ ส่วนเพดานด้านบนก็เป็นกระจกแบบมองเห็นด้านเดียวเช่นกัน เงยหน้าขึ้นไปก็จะเห็นแสงสีของดวงดาวสารพัดเปล่งประกาย
ทว่าผมมองได้ครู่เดียวก็กระโจนขึ้นเตียงทันที ขณะที่คีธติดต่อหาเจเนซิสเพื่อถามว่าควรทำยังไงกับผมดี เจเนซิสให้คีธป้อนยาปรับสมดุลร่างกายอีกเม็ดแล้วให้นอนพักก่อน ผ่านไปหลายชั่วโมงทีเดียว ผมถึงมีอาการดีขึ้น
“เป็นไงบ้างกวินทร์ หายมึนหัวหรือยัง” คีธที่นอนอยู่ข้างๆ บนเตียงถามขึ้นทันทีที่ผมเปิดเปลือกตาขึ้นหลังจากงีบหลับไปครู่ใหญ่เมื่อกี้
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว มึนหัวอยู่นิดหน่อย แต่น่าจะออกไปเดินเที่ยวกับนายได้” ผมพยักหน้ารับ
“นึกว่ากวินทร์จะไม่ไหวซะแล้ว” คีธยิ้มบางๆ สีหน้าดูดีใจที่แผนการฮันนีมูนที่มันเตรียมไว้เป็นอย่างดีไม่ล่มเพราะผม
ผมเห็นมันมีสีหน้าระรื่นทันตาก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ แกล้งถามยียวน
“ถ้าฉันไม่ไหว นายจะทำยังไงฮะ”
“ก็คงต้องพากวินทร์กลับดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ขืนให้กวินทร์อยู่ต่อ มันจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย”
ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าคำตอบของมันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ถึงจะยังไม่กลับมาเต็มร้อย ทว่าผมก็ไม่ยอมให้ทุกอย่างล่มเพราะผมหรอก ก็มันตั้งใจเตรียมการทุกอย่างขนาดนี้ ผมจะมาป่วยให้มันใจเสียได้ยังไง
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า” ผมเลยบอกให้มันคลายกังวล
มันทำสีหน้านิ่งเรียบ หากแต่ดูแววตาก็รู้ว่าเป็นห่วงอยู่ ผมเลยดันตัวขึ้นนั่ง โน้มหน้าไปจูบมันเบาๆ
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่เป็นไร อย่ามากังวลไม่เข้าเรื่อง เดี๋ยวฉันก็หมดสนุกพอดี นี่ฮันนีมูนนะ ฉันจะมาป่วยให้นายอดทำเรื่องที่อยากทำกับฉันได้ไง” จูบเสร็จก็แกล้งดุมันนิดๆ คีธก็เลยยิ้มออก
แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดที่พูดอย่างนั้น พอสิ้นเสียง ใบหน้ามันก็มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์โผล่ขึ้นมาทันที
“นั่นสินะ ฮันนีมูน...ก็ต้องทำเรื่องที่อยากทำกับกวินทร์สิเนอะ”
เรื่องที่มึงอยากทำก็เรื่องอย่างว่าล่ะสิ กูรู้หรอก!
ไม่ต้องถามก็รู้คำตอบเลย แค่สิ้นเสียงมันเท่านั้น มันก็ลุกขึ้นมาคร่อมตัวผมเอาไว้ ดันผมแนบลงไปบนเตียงด้วยความเร็วแสงชนิดผมตั้งตัวไม่ทัน แถมยังไม่ทันจะได้ร้องห้ามด้วย มันก็ประทับจูบลงมาบนเรียวปากผมแล้ว บดจูบแผ่วเบาก่อนเพิ่มระดับความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนผมแทบหายใจไม่ทัน มือไม้ก็จัดการกดปุ่มอะไรสักอย่างบนชุดบอดี้สูทที่ผมสวมอยู่ให้คลายตัวออกเพื่อง่ายต่อการถอด
พริบตาเดียว บอดี้สูทช่วงบนก็ถูกแหวกออกจากกัน เผยให้เห็นหน้าอกของผมแล้ว ฝ่ามืออุ่นร้อนวางนาบลงมาบนแผ่นอกก่อนลูบไล้ไปยังตุ่มไตจนกระทั่งมันชูชันขึ้นมา และคีธก็ทำให้มันชูชันยิ่งกว่าเดิมด้วยการบดเบียดปลายนิ้วกระตุ้นจนผมหลุดปากคราง
“อา...คีธ...”
เป็นประโยคเดิมๆ ที่ติดปากผมเวลาเรามีอะไรกัน คีธไม่เคยบ่นว่าเบื่อ มีแต่บอกว่าชอบฟัง และดูท่าทางเสียงของผมเมื่อครู่จะไปกระตุ้นความกำหนัดของมันให้มากขึ้น เพราะมันเริ่มจูบผมอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ผมรู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ดีที่มันถอยออกห่าง ไล่จูบลงไปยังกกหูและลำคอก่อน ไม่งั้นผมคงได้เป็นลมแน่
ปลายลิ้นร้อนไล้โลมลงต่ำไปยังไหปลาร้า และลากยาวไปยังยอดอกทั้งสองข้าง ความซาบซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่างผมให้ได้เกร็งตัวแข็ง สองมือกำเส้นผมนุ่มของคนตัวใหญ่ผมร่างตัวเองแน่น ตามมาด้วยเสียงหายใจหอบหนักราวกับจะตายให้ได้
ทะ...ทำไมวันนี้มันดุเดือดจังวะ หรือว่าเพราะเป็นฮันนีมูน บรรยากาศได้ มันเลยหื่นกว่าปกติ?
คงจะเป็นอย่างนั้นแหละผมว่า ทั้งจูบ ทั้งขบเม้มอย่างหื่นกระหายราวกับไม่เคยได้เสียกันมาก่อนทั้งที่ทำกันจนลูกๆ เรียนประถมหมดแล้ว แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนดุดันและรุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย
ดุดันและรุนแรงจริงๆ ยิ่งตอนมันเลื่อนมือไปสัมผัสยังแก่นกายของผม กระตุ้นเร้าให้น้ำสีใสซึมออกมา ผมก็รู้เลยว่าหลังจากนี้อีกไม่นาน ผมคงได้เอวเดาะ สะโพกครากกันไปข้างแน่
“อื้อ...คีธ...จะ...ใจเย็นๆ” ผมถึงกับต้องร้องบอกมันเมื่อมันจัดการทุกอย่างรวดเร็วเกินไป
เสี้ยววินาทีเดียว จากที่สัมผัสด้วยมืออยู่ ตอนนี้ส่วนกลางลำตัวของผมหายเข้าไปในปากมันแล้ว ทว่าคีธไม่ฟังสักนิด เงยหน้าฉ่ำปรือไปด้วยแรงพิศวาสขึ้นมองผมเล็กน้อย ก่อนจะกดปุ่มบนบอดี้สูทให้คลายตัวแล้วจัดการดึงเสื้อผ้าออกจากตัวบ้าง ผมมองมันได้แป๊บเดียวก็มาอยู่ในท่วงท่าพร้อมจะถูกเผด็จศึกเรียบร้อย
“ฉันว่านายจะรีบร้อนเกินไปแล้วนะ” ผมว่า
ไม่ใช่ว่าผมไม่พร้อม ร่างกายพร้อมสำหรับการเป็นหนึ่งเดียวกับมันแล้วล่ะ แต่กลัวว่ามันจะจัดหนักให้ผมตั้งแต่วันแรกจนผมไม่มีเรี่ยวแรงไปเที่ยวกับมันต่อต่างหากน่ะ ก็ตอนนี้ยังมึนหัวไม่หายเลย เริ่มวิ้งขึ้นมาอีกแล้วด้วยเนี่ย สงสัยคงจะเป็นเพราะหายใจถี่จนขาดออกซิเจนเมื่อกี้นี้
“ฉันรอจะกอดกวินทร์ไม่ไหวแล้ว”
มันดุเดือดเลือดพล่านจริงๆ ด้วยแฮะ ผมก็ไม่อยากจะห้ามมันหรอกนะ เห็นมันส่งสายตาอ้อนวอนเป็นลูกหมาพร้อมเสียงกระเส่ามาแบบนี้ ใจผมก็อ่อนยวบ ยิ่งร่างกายพร้อมจะรวมร่างกับมันแล้ว ยิ่งไม่ต้องถามว่าพร้อมแค่ไหน
มาเลย มึงมา เอวจะเดาะ สะโพกจะครากก็ให้มันเป็นไป!
หากแต่พอคีธโถมตัวเข้ามาในร่างกายผมและเริ่มเคลื่อนไหว ความมึนหัวก็ก่อตัวมากขึ้น กอปรกับการหายใจหอบถี่ที่ทำให้รับออกซิเจนไม่พอก็จู่โจมจนอารมณ์กลัดมันของผมค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นผมต้องเบ้หน้าเหยเกออกมา ปากก็ไม่พูดให้มันหยุดหรอกด้วยไม่อยากจะขัดใจมัน ทว่ามันดันสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของผมได้เสียก่อน มันก็เลยหยุดเคลื่อนไหวโดยที่ผมไม่ได้ขอ
“เป็นอะไรหรือเปล่ากวินทร์ สีหน้าไม่ค่อยดี” ถามขึ้นมาด้วย
“ไม่...ไม่เป็นไร ทำต่อเถอะ” ผมรีบปั้นหน้าให้เป็นปกติทั้งที่จะเป็นลมให้ได้อยู่รอมร่อ เหงื่อกาฬไหลอาบชุ่มไปทั่วตัว
ทว่าถึงผมจะแสร้งทำสีหน้าให้เป็นปกติได้ แต่ก็ไม่สามารถปรับสีของใบหน้าที่ซีดขาวให้เป็นปกติได้ คีธมองผมอยู่ครู่หนึ่งก็เป็นฝ่ายถอนตัวออก ขณะที่ผมเลิกคิ้วสูง
“เอ้า หยุดทำไม”
“กวินทร์ไม่สบายขนาดนี้ จะให้ฉันฝืนกวินทร์ได้ยังไง” มันว่า ยื่นมือมาดันไหล่ผมที่พยายามจะลุกขึ้นนั่งให้ลงไปนอนเหมือนเดิม ดันอย่างเดียวไม่พอ จัดท่าทางให้ได้นอนสบายๆ อีก ผมนี่มองมันอย่างสำนึกผิดเลย
“คีธ...”
“กวินทร์ พักซะ” คีธตัดบทก่อนที่ผมจะได้พูดจบด้วยซ้ำ ผมเลยต้องพูดขึ้นมาอีก
“คีธ ฉันไม่เป็นอะไร ทำเถอะ เดี๋ยวฮันนีมูนจะกร่อยเอา”
“มันจะกร่อยกว่าถ้าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้กวินทร์ไม่สบาย พักก่อน ไว้อาการดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน”
พูดมาอย่างนี้ ผมก็จะโวยวายว่ามาแค่สามวัน ถ้าหากผมไม่หาย ก็เท่ากับว่าเสียเวลาไปฟรีๆ หากแต่พอถูกมันโน้มหน้าลงมาจูบหน้าผาก คำโวยวายที่ตั้งใจจะโพล่งไปเมื่อครู่ก็อันตรธานหายไปหมดเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้า
“นอนซะกวินทร์ ตื่นมาแล้ว ฉันจะพาออกไปเดินเล่น”
เนี่ย! ก็มันเป็นซะแบบนี้ ใจดีกับผมเกินไป ตามใจผมเกินไปด้วย แล้วจะไม่ให้ผมรู้สึกผิดได้ยังไง อุตส่าห์ตั้งใจมาฮันนีมูนเพื่อสร้างช่วงเวลาดีๆ กับมันและตั้งใจให้มันได้พักแท้ๆ ไหงกลายเป็นแบบนี้ได้วะ!