ในอีกด้านของความรัก
☼ ♥
'เพื่อน'
ผมเชื่อว่าชีวิตของเราทุกคนก็เปรียบเสมือนการเดินทาง
ซึ่งผมเป็นคนคนหนึ่งที่เดินทางด้วยรถยนต์เก่า ๆ คันหนึ่งที่มีอายุใกล้จะยี่สิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว รถคันนี้มันแล่นผ่านเส้นทางที่หลากหลาย พบเจอผู้คนและประสบการณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงกิโลเมตร บางครั้งผมก็เปิดประตูเพื่อให้ใครบางคนร่วมทางมาด้วย บางคนเข้ากันได้และไปด้วยกันต่อ แต่บางคนก็เหมือนจะไม่เหมาะกับรถของผม และสุดท้ายเขาก็เปิดประตูเดินจากไป เหลือไว้เพียงไออุ่นที่ยังอยู่ติดเบาะและร่องรอยความทรงจำ
ในบางครั้งผมก็มองกระจกหลัง และเฝ้ามองคนบางคนยืนอยู่ข้างทาง ใครบางคนที่ขึ้นรถผมมาแล้วตัดสินใจขอลงและรอคันต่อไป หรือเขาอาจจะกำลังคิดที่จะเดินกลับไปขับรถของตัวเอง เพื่อออกเดินทางไปยังถนนอีกเส้นที่ตรงข้ามกันกับผม สักวันผมอาจจะไปเจอกับเขาที่จุดตัดหนึ่งของถนน หรือเราอาจจะจบลงที่เส้นขนานและไม่มีวันบรรจบกันได้อีก
แต่นอกเหนือจากเรื่องราวของคนหลายคนที่เคยร่วมทางกันมาในช่วงเวลาหนึ่งก่อนจะแยกจากกันไป ผมยังมีอีกคนหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำระหว่างการเดินทาง
นั่นคือคนที่ผมไม่กล้าเปิดประตูเพื่อเชิญเขาขึ้นรถมาตลอดหลายปีที่ผ่าน ผมในตอนนี้กำลังยืนมองรูปเด็กผู้ชายวัยมัธยมปลายสองคนยืนกอดคอกันที่ถูกใส่อยู่ในกรอบไม้สีดำและวางไว้อย่างดีบนหัวเตียง รอยยิ้มเล็ก ๆ ถูกจุดขึ้นตรงมุมปากอย่างไม่ทันได้รู้ตัว
พลันความทรงจำที่หลบลึกอยู่ภายในก็ถูกบางสิ่งในใจตีให้ฟุ้งกระจายขึ้นมาจนขุ่นคลักไปด้วยความคิดถึง ผมยังจำเรื่องราวในสมัยนั้นได้ดี ช่วงมัธยมปลายปีที่ห้า ช่วงเวลาก่อนที่ผมจะโตเป็นผู้ใหญ่…
และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมได้เจอ ‘มัน’ ในเวลาหลังเลิกเรียนของช่วงกีฬาสีผมมักจะมานั่งตากลมเย็น ๆ อยู่บนแสตนเชียร์ที่ถูกสร้างไว้รอวันกีฬาสีในปลายปี ซึ่งผมชอบช่วงเดือนกีฬาสีมาก ๆ อยู่โรงเรียนซ้อมกันจนฟ้ามืด ได้นั่งมองฟ้าสีส้มอมชมพูในตอนพระอาทิตย์กำลังจะลับตา สูดกลิ่นหญ้า และเคล้าไปด้วยเสียงซ้อมเชียร์
“เฮ้ย!”
ผมสะดุ้งเมื่อเสียงตะโกนเรียกดังขึ้นด้านล่างแสตนที่ผมนั่งอยู่ พอมองลอดหว่างขาตัวเองลงไปก็เจอเด็กผู้ชายวัยเดียวกันกำลังมองลอดซี่ไม้ขึ้นมาอยู่
“หะ?”
“ว่างอยู่ปะ ช่วยยกฉากการแสดงหน่อยดิ”
ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “กู”
“มึงแหละ” มันยิ้ม
“ว่าง ๆ ” ผมรีบตอบรับแล้วขยับลุกขึ้นยืนแล้วก้าวขายาว ๆ ลงจากสแตนไม้ทันที
พอก้าวลงที่นั่งขั้นสุดท้ายแล้วอีกคนที่ยืนอยู่ด้านในแสตนก็อ้อมมารอข้างล่างด้านหน้า มองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็เลิกคิ้วอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าหล่อที่กำลังส่งยิ้มเป็นมิตรอยู่ตรงหน้า
“มึงอยู่สีเขียว แต่ตอนนี้มึงไม่ได้ทำไรใช่ปะ พอดีเพื่อนกูหายไปไหนไม่รู้ ฉากมันเพิ่งขนมาจากบ้านกูอะ หาคนช่วยไม่ได้เลย”
“อ้อ ช่วยได้ ไม่มีปัญหา ให้ไปขนตรงไหนอะ?”
“ตรงประตูหน้าเลยอะ ตอนนี้ประตูข้างมันปิดไปแล้ว โคตรลำบาก” อีกคนบ่นอุบแล้วขยับมือปาดเหงื่อบริเวณขมับ ทั้งที่ลมตรงนี้แรงอย่างกับอะไร คงไม่พ้นวิ่งมาจากหน้าโรงเรียน
“นำไปเลยเดี๋ยวไปช่วย”
ซึ่งการช่วยครั้งนั้น มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความทรมาณตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ในรั้วมัธยม…
“อ่านหนังสือยังวะไทม์”
ผมเงยหน้าจากจานข้าวของตัวเองเมื่อเสียงของแสงดังขึ้นพร้อมหนังสือเล่มหนาหลายเล่มถูกวางลงแรง ๆ แล้วเจ้าตัวก็นั่งลงตรงข้าม
“อ่านไปแล้วเมื่อคืน”
“กูยังไม่ได้อ่านเลยอะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วมึงติวให้กูหน่อยดิ”
ผมยิ้ม “ก็เมื่อคืนมึงมัวแต่ทำอะไรไม่นอนล่ะ”
“คุยกับน้องบีอะดิ งอแงไม่ยอมให้กูอ่านหนังสือ บอกช่วงนี้ไม่มีเวลาให้ พอคบเด็กแล้วก็เด็กจริง ๆ ว่ะ”
“ไหนบอกน่ารักขี้อ้อนไม่ใช่เหรอไง”
แสงเบะปากแล้วเริ่มก้มหน้าเปิดหนังสือเรียน ผมถือช้อนส้อมค้างเอาไว้หลวม ๆ แล้วจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าหนังสือ…
ใบหน้าของคนที่ผมหลงรัก ใบหน้าเดียวกับที่ผมพบตอนมองลอดซี่ไม้แสตนลงไปในตอนเย็นของช่วงซ้อมกีฬาสีเมื่อสองปีที่แล้ว
“แสง”
“หืม?”
“กูอิ่มแล้วล่ะ มาเดี๋ยวติวให้”
“ยังเหลืออีกตั้งครึ่ง แดกก่อนได้นะ ไม่รีบ ๆ ”
ผมส่ายหน้า แล้วดันจานข้าวที่ยังเหลืออยู่ปริมาณหนึ่งออกห่าง “ไม่รีบห่าไรล่ะ อีกครึ่งช่วงโมงก็เข้าแถวแล้ว ไปดูห้องสอบมาแล้วใช่ไหม?”
“เออดิ ไลน์ถามไอ้นิคละ”
“อือฮึ งั้นมา”
ผมนั่งทวนสิ่งที่ตัวเองอ่านสรุปไปเมื่อคืนให้มันฟังไปเรื่อย ๆ อย่างไม่เร่งรีบ แต่พยายามจับประเด็นให้มันจำได้ง่ายที่สุด
สองปีที่ผ่านมาเราสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน สนิทกันในระดับที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ อาจเพราะคุยกันรู้เรื่อง แล้วอีกฝ่ายก็เข้ากับคนง่าย ผมก็เป็นคนสบาย ๆ พอมาอยู่ด้วยกันก็จูนกันได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
แสงมันเป็นเด็กกิจกรรม ชอบหานั่นหานี่ทำเสมอ คนเลยรู้จักมันเยอะ แล้วรุ่นน้องผู้หญิงก็มาตามกรี๊ดเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับหน้าที่การงานที่มันทำ อย่างล่าสุดเมื่อตอนขึ้นม.6 เจ้าตัวก็ไปสอยตำแหน่งประธานสีแดงมาเพิ่มอีกหนึ่ง อะเลิร์ทจนบางทีผมก็ยอมใจ
ถึงจะมีผู้หญิงมาชอบมันเยอะ แต่มันไม่ใช่คนเจ้าชู้ มันคบกับน้องบีตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็เกือบจะหกเดือนเข้าไปแล้ว แม้ว่าจะชอบเอานั่นเอานี่มาบ่นกับผมอยู่เรื่อย แต่ผมก็ดูออกว่ามันมีความสุขดี และดูแลน้องเขาดีมากแค่ไหน
ผมรักมันนั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้ดี แต่สิ่งที่ผมเองก็เข้าใจดีไม่ต่างกันก็คือ…มันเห็นผมเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น
แอบรักเพื่อนหรือคนใกล้ตัวที่บอกไม่ได้มันก็ยากแล้ว แต่การรักเพื่อนที่เป็นผู้ชายเหมือนตัวเองมันคงยากกว่า ผมไม่ใช่เกย์ และไม่ได้เป็นไบ
ผมเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เป็นเด็กอายุสิบเจ็ดปีที่เรียนอยู่โรงเรียนรัฐบาลและกำลังเตรียมสอบเข้ามหาลัย
เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เพียงแค่มีความรักกับคนที่ตัวเองอยู่ด้วยแล้วสบายใจ
เป็นคนธรรมดาที่ขอแค่ได้นั่งคุยนั่งยิ้มและเป็นหนึ่งในวงโคจรของอีกคนตรงนี้ก็พอใจแล้ว
ผมเพียงแค่อยากนั่งมองแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นเหมือนเวลาที่แสงเหลืองอ่อนกำลังแปรเปลี่ยนเป็นส้มเข้มแล้วลอยต่ำลับหายไปในตอนเย็นย่ำ แสงแบบเดียวกับที่ผมหลงรักมาตลอด
แสงแบบเดียวกับที่ผมรู้สึกได้จากคนข้างกายตอนนี้…
“ว่าแล้วว่ามึงต้องมาอยู่ตรงนี้”
เสียงคุ้นหูของใครสักคนที่มักจะแวะเวียนมาเคาะกระจกรถให้ผมได้เปิดเลื่อนลงจนเกิดช่องว่าง หากแต่ไม่เคยกล้าที่จะปลดล็อคแล้วเปิดประตูออกกว้างเพื่อเชิญเขาให้ขึ้นมานั่งร่วมทางไปด้วย
ผมยิ้มให้อีกฝ่ายที่กำลังก้าวเท้ายาว ๆ ขึ้นขั้นแสตนมาทิ้งตัวลงข้างผม “ซ้อมเชียร์ปล่อยน้องแล้วเหรอ?”
แสงมันพยักหน้า “ปล่อยแล้ว” เสียงที่แหบลงจากการตะโกนนำเชียร์เด็กมัธยมต้นเอ่ยตอบ
“เสียงมึงหายหมดแล้ว”
เจ้าตัวหัวเราะ แล้วนั่นยิ่งทำให้เสียงมันแห้งลงกว่าเดิมอีก “เออ วันนี้ตะโกนโคตรเจ็บคอ แม่งติดกันหลายวันเกินไป พลังหมดเลย”
“งั้นพรุ่งนี้-”
“พี่แสง!”
กูเอาน้ำมะนาวมาให้ไหม… ผมเอ่ยคำต่อในใจให้จบโดยไม่ได้พูด เมื่อเสียงแฟนของอีกคนดังมาจากข้างล่างไกล ๆ คนข้างกายผมยิ้มกว้างด้วยรอยยิ้มแบบที่ผมมักจะแอบมองอยู่เสมอ แล้วหันมาหาจนเกือบหลุดสะดุ้ง
“กูไปก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ เอ้อ แข่งวิ่งพยายามเข้านะคัดตัวพรุ่งนี้ใช่ปะ?”
ผมพยักหน้า “อืม”
“เดี๋ยวเลิกเรียนกูมาเชียร์ สู้ ๆ ”
“ใจว่ะ มึงไปเถอะ เดี๋ยวน้องรอ”
แสงตบบ่าผมเบา ๆ แล้วก้าวลงจากแสตนไปหาแฟนตัวเอง แบบที่ผมก็ได้แต่นั่งมองเจ้าตัวเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าจากมือของแฟนสาวมาถือให้ แล้วเดินเคียงข้างกันออกจากสนามไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ
ผมไม่ได้อิจฉา ไม่ได้ไม่ชอบน้องบี และไม่ได้อยากทำให้เธอเสียใจ เพียงแต่ผมทำอะไรไม่ได้จริง ๆ
ผมเลิกรักแฟนของเธอไม่ได้จริง ๆ RRrrRrrrrr
RRrrrrrrrrr
ผมที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จรีบคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ตรงราวมาพันรอบเอวแล้ววิ่งออกมาหยิบโทรศัพท์ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องริงโทนคุ้นหู โดยปกติแล้วผมจะปิดเสียงเวลาอยู่โรงเรียน แต่พอกลับมาบ้านผมก็จะเปิดเสียงไว้เสมอ เผื่อว่าเจ้าของเสียงเรียกเข้าที่แปลกหูกว่าคนอื่นจะโทรเข้ามา
“ว่าไง” ผมพยายามคุมลมหายใจที่ถี่กระชั้นจากการวิ่งให้เป็นปกติแล้วกดรับสาย
[นอนหรือยัง?] เสียงแหบทุ้มที่เกิดจากการตะเบ็งเสียงดังมาตามสาย ให้ต้องเผลออมยิ้ม
“ยัง มึงมีอะไรรึเปล่า?”
[มีมั้ง]
“หืม? มีไรวะ” ผมเอ่ยถามไป มือก็ขยับสวมกางเกงไปด้วย
[กูทะเลาะกับน้องเขานิดหน่อย]
“…”
[กูก็รู้นะว่าช่วงนี้กูไม่มีเวลาให้น้อง แต่กูก็พยายามที่สุดแล้วจริง ๆ นะเว้ย]
“กูรู้”
[กูเสียใจว่ะ]
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า เสียงมึงดูไม่ดีเลยว่ะ ให้กูไปหาไหม อยู่ไหน?”
[มาหากูก็ดีนะ]
“อยู่ไหนล่ะ” ผมขมวดคิ้วแล้วถามเสียงเครียดหยิบเสื้อยืดมาสวมเร็ว ๆ ไม่ให้โทรศัพท์ห่างจากหูนาน
[หน้าบ้านมึงอะ ลงมาเปิดให้หน่อยดิ ย่ามึงหลับยัง กูมารบกวนรึเปล่า]
หะ? “มึงอยู่หน้าบ้านกู??” ผมรีบเดินไปที่หน้าต่างห้องนอนแล้วเปิดม่านดู ก็พบอีกฝ่ายในชุดนักเรียนกำลังมองขึ้นมาแล้วโบกมือด้วยอาการเหนื่อยล้า “เชี่ยแสง มึงมาอยู่นานแค่ไหนแล้วเนี่ย”
[ไม่นานหรอก]
“เดี๋ยวกูลงไปเปิดให้ มึงรอตรงนั้นนะ”
รอยยิ้มที่เหมือนจะร้องไห้ของอีกฝ่ายทำให้ผมไม่ได้วางสาย แต่ทำแค่ปิดม่านแล้วรีบวิ่งลงไปหาคนที่ยืนรออยู่หน้ารั้วของบ้านตัวเองโดยมือยังถือโทรศัพท์แนบหูฟังเสียงลมหายใจของมันไปแบบนั้น
“เสร็จแล้วเหรอ” ผมเอ่ยทักเมื่อคนที่หายเข้าไปอาบน้ำตั้งแต่ขึ้นห้องมาแล้ว เดินออกมาในชุดนอนของผม
“อืม ใจมากนะที่ให้ยืมชุด”
“เออ มานั่งนี่มา กูลงไปคั้นน้ำมะนาวให้”
“ไม่เอาอะ เปรี้ยวว่ะ”
“เสียงจะได้กลับมาหน่อย พรุ่งนี้ยังต้องใช้อีกเยอะ อย่ามาทำตัวกากน่า กะอีแค่น้ำมะนาว”
มันหัวเราะเบา ๆ “เออ แดกก็แดก” แล้วก็เดินมานั่งที่เตียงข้างผม รับน้ำมะนาวไปจิบแล้วหลับตาปี๋
“ค่อย ๆ จิบไป ไม่ต้องรีบหรอก”
“อืม”
ผมมองอีกฝ่ายนั่งจิบน้ำมะนาวไปเรื่อย ๆ รู้สึกว่าดวงตามันมีน้ำคลอ ๆ ไม่รู้เพราะเปรี้ยวหรือเพราะอะไรกันแน่
“ไทม์”
“หืม?” ผมเลิกคิ้วเมื่อคนข้าง ๆ เรียกชื่อผมขึ้นมาดื้อ ๆ
“กูรักน้องบี”
“…อืม กูรู้”
“กูรักน้องเขามากนะ”
“อืม”
“ช่วงนี้กูไม่มีเวลา”
“กูเห็นแล้ว”
“กูไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์กับน้องเขาเท่าไหร่ แล้วกูก็ไม่ค่อยได้ไปไหนกับเขาด้วย วันก่อนเขาต้องไปซื้อของหลังเลิกเรียนกูก็ไม่ว่างไปด้วย อาทิตย์ที่ผ่านมาเขาไม่สบายกูก็ติดทำคัทเอาท์”
“…”
แสงพูดไปมือก็บีบแก้วน้ำมะนาวแน่น แล้วขยับวางลงที่โต๊ะข้างเตียง ให้ผมกำหมัดอย่างบอกอารมณ์ไม่ถูก
“กูดูแลแสตนเชียร์ กูดูแลฝ่ายอาร์ท กูดูแลสวัสดิการ กูดูแลภาพรวมสี กูดูแลทั้งหมดได้…แต่กูดูแลแฟนคนเดียวของกูไม่ได้” มันแค่นยิ้ม “วันนี้กูเห็นในมือถือน้อง…ส่งข้อความคุยอยู่กับเด็กม.5คนนึง”
“…”
“น้องร้องไห้แล้วก็ขอโทษกู น้องบอกว่ามันส่งมาหาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ส่งมาบ่อยขึ้นเลยได้คุยกันเยอะ แต่ไม่เคยโทรหาหรือไปไหนด้วยกัน”
“…”
“กูไม่ได้โทษอะไรเขาหรอก กูบอกกูเข้าใจ กูไปส่งน้องที่บ้าน แล้วกูก็กลับมา กูทำเหมือนก็ไม่เป็นอะไร แต่กู…”
ผมเงียบแล้วนั่งมองแสงซบหน้าลงกับมือตัวเองนิ่งไป ไหล่ของมันสั่นแบบที่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ผมเอื้อมมือไปใกล้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แตะตัวมันและค้างมือไว้อย่างนั้น รู้สึกเหมือนมือโซ่เส้นใหญ่พันอยู่รอบแขนแล้วออกแรงรั้งดึงไว้ไม่ให้ขยับ
อยากดึงตัวมันเข้ามากอด อยากช่วยแบกความทุกข์ความเสียใจทั้งหมดไว้ อยากบอกให้มันรู้ว่าผมห่วงและรู้สึกแย่แทนมันมากแค่ไหน ผมขมวดคิ้วแล้วกำมือที่ยื่นออกไปจนแทบถึงตัวมันไว้แน่นจนสั่นไปทั้งแขน รู้สึกปวดในอกอย่างบรรยายออกมาไม่ถูก
ความรักของผมกำลังแย่ ความรักของผมกำลังร้องไห้…
แต่ผมทำอะไรไม่ได้เลย .
.
.
.
.
“ไทม์!”
เสียงที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็คุ้นหูส่งเสียงเรียกชื่อผมมาแต่ไกล เอี้ยวตัวกลับไปมองก็เจอเจ้าของเสียงที่อยู่ในชุดนักเรียนแปะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีแดงสะท้อนแสงแดดวิบวับกระจายเต็มตัว อีกทั้งรอยปากกาขีดเขียนเป็นข้อความจนเนื้อผ้าแทบไร้ช่องว่าง ในแขนหอบดอกกุหลาบหลายสิบดอกไว้ในมือ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นมีอยู่ในตัวผมตอนนี้ทุกข้อเช่นกัน
“ว่าไงมึง”
“วันนี้ยังแทบไม่ได้คุยกับมึงเลย”
ผมยิ้ม “เออ กูก็มัววุ่นอยู่ ทั้งเพื่อนในห้อง ทั้งรุ่นน้องเต็มไปหมด”
“เรียนจบจนได้เนอะ”
“อืม จบจนได้”
มันหัวเราะแล้วยื่นปากกาสีน้ำเงินแท่งใหญ่มาให้ผม พลางหันหลัง “เขียนเสื้อให้กูหน่อย”
“เออ” ผมว่าแล้วขยับเข้าไปใกล้ เปิดปอกปากกาแล้วนิ่งค้างไปนิด ลังเลตัดสินใจกับตัวอักษรที่ตัวเองกำลังจะเขียนลงไป…
“เสร็จยังวะ?” คนที่ยืนนิ่งหันแผ่นหลังกว้างให้ผมเอ่ยขึ้นมา “นานจัง มึงหลับปะเนี่ย”
“เอ้า เสร็จแล้ว”
แสงหันกลับมามองผมแล้วยิ้มกว้าง “มากูเขียนให้มึงมั่ง” ก่อนจะจับไหล่ให้ผมหันหลัง
ผมยิ้มแล้วมองไปข้างหน้า กวาดสายตามองบรรยากาศแสดงความยินดีกับเด็กม.6ที่สำเร็จการศึกษา รุ่นน้องมาช่วยกันบูมรุ่นพี่ฟังแล้วครึกครื้นดี
“แสง”
“หืม?”
“มึงจะไปเชียงใหม่แล้วสิ?”
“อืมมม…น่าจะอาทิตย์หน้าแหละ พ่อกูอยากให้ไปอยู่เลยหลังจบมัธยม”
“เหรอ” ผมก้มหน้าลงมองมือตัวเอง “อย่าลืมไปดูแพนด้าด้วยล่ะ”
อีกฝ่ายหัวเราะ ผมรู้สึกถึงปลายปากกาที่จรดอยู่ตรงหลังตัวเอง “ไปดูมันนอนน่ะเหรอ”
“ถ่ายรูปมาฝากกูไง”
“ไว้มึงว่างไปเชียงใหม่แล้วกูพาไปดีกว่ามั้ง”
“หึ” ผมหัวเราะเบา ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงปอกปากกาปิดลง
“เสร็จ!”
ผมหันหน้ากลับมามองอีกฝ่าย บันทึกภาพสีหน้าแววตารอยยิ้มและน้ำเสียงของเจ้าตัวไว้ในความทรงจำให้ลงลึกและแน่นหนาที่สุด จนมั่นใจว่าจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน…
“ยินดีที่เรียนจบนะมึง”
มันพยักหน้า “เหมือนกัน”
“แล้วไว้เจอกัน”
แสงยิ้มกว้างแล้วยกมือมาตบบ่าผมสองสามครั้ง “ไม่ได้เจอกันทุกวันแล้ว มึงก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
“มึงก็เหมือนกัน อย่ามัวแต่ห่วงกิจกรรมจนลืมใส่ใจตัวเอง”
“รู้แล้วน่า”
“ทำมาเป็นรู้แล้ว” ผมยิ้มล้อเลียน “มึงอะชอบดูแลคนอื่น แต่ลืมที่จะดูแลตัวเองเสมอ”
“กูเท่ไง”
ผมส่ายหน้ายิ้ม ๆ “เวลาเจ็บคอก็อย่ากินน้ำเย็น น้ำมะนาวน่ะกินเข้าไปเถอะดีต่อสุขภาพทั้งนั้น ถ้ามันเปรี้ยวนักก็ผสมน้ำผึ้ง”
“เออน่า”
“หัดนอนให้มันเร็ว ๆ บ้าง ใช้ร่างกายมาทั้งวันควรพักผ่อนให้เยอะ ๆ ”
“รู้แล้ววว”
“แล้วทำกิจกรรมดึก ๆ อะหัดพกยาหรือสเปรย์กันยุงบ้าง ไม่ใช่เอาแต่อดทน ไม่มีมีกูอยู่จะมีใครพกให้มึงบ้าง”
แสงยิ้มมุมปาก แล้วสบตาผมด้วยแววตาที่ทำเอารู้สึกร้อน ๆ ในอก “ขอบคุณนะไทม์”
“อะไรของมึง?”
“ขอบคุณที่คอยอยู่ช่วยกูตลอดตั้งแต่เมื่อตอนเย็นวันนั้นเมื่อสามปีที่แล้ว”
“ยังจำได้อีกเหรอวะ”
“มึงเป็นเพื่อนคนสำคัญที่สุดของกู ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาดี ๆ ในโรงเรียนนี้ว่ะ”
“…ขอบคุณมึงเหมือนกัน”
“ต่อให้ปีนี้ ปีหน้า อีกสองปีสามปี หรือกี่ปีก็ตามกูจะยังเป็นเพื่อนมึงตลอดนะ”
ผมพยักหน้า “กูรู้”
“อย่าทิ้งกูนะสัด”
“กูไม่มีวันทิ้งมึงหรอก”
“สัญญา” คนตรงหน้าเลิกคิ้วถาม แล้วกำหมัดยกขึ้นมารอ ให้ต้องยิ้มแล้วยกมือขึ้นกำแล้วชนหมัดกับมันเบา ๆ
“สัญญา”
มันหัวเราะแล้วพยักหน้าขึ้นลงอย่างพอใจ “งั้นเดี๋ยวกูไปก่อนนะ”
“อืม”
“แล้วไว้เจอกันใหม่นะมึง”
“อืม”
“บาย”
ผมโบกมือ “บาย” ทั้งที่ในใจวูบโหวงเต็มที
คนตรงหน้าส่งยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วหมุนตัวหันหลังก้าวเท้าเดิน จนเผลอออกปากเรียกชื่อไป
“แสง!”
“หืม?”
เจ้าของชื่อชะงักเท้าแล้วเอี้ยวตัวมาเลิกคิ้วขานรับ ผมเองก็นิ่งไปเพราะไม่รู้ว่าตัวเองเอ่ยเรียกชื่อมันออกมาทำไม ไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไรกันแน่ รู้เพียงแค่กลัวเหลือเกิน…กลัวว่าหากมันหายลับจากสายตาไปแล้วเราจะไม่ได้เจอกันอีก
“ดูแลตัวเองดี ๆ ” แล้วสุดท้ายสิ่งที่หลุดออกจากปากผมก็มีเพียงแค่ “โชคดี”
มันยิ้ม ยกมือขึ้นสูงแล้วโบกไปมา “มึงก็เหมือนกัน”
แล้วผมก็ทำแค่ยิ้มให้กับมัน แล้วยืนมองอีกฝ่ายวิ่งออกห่างไปไกลเรื่อย ๆ ก่อนที่จะก้มลงมองดอกกุหลาบในมือ แล้วเม้มปากเก็บรอยยิ้มที่เหลือไว้ให้ตัวเอง
RRrrRrrrrr
RRrrrrrrrrr
เฮือก!
เสียงโทรศัพท์ปลุกผมออกจากความทรงจำเก่าเมื่อสิบปีก่อนที่กรังไปด้วยฝุ่น
ผมถอนหายใจยาว ขยับวางกรอบรูปที่ถือค้างไว้ในมือนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ลงที่เดิม มองนาฬิกาแล้วก็คิดว่าตัวเองคงกำลังจะสาย แต่ไม่วายเหลือบตามองรูปใบเก่าที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีอีกครั้ง
ตอนนี้ผมก็ยังคงขับรถคันเดิมอยู่บนถนนของตัวเอง รถคันเก่าที่กำลังมีอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของผมมันก็เคลื่อนตัวออกไปไม่ได้หยุด บางครั้งล้อมันก็หมุนช้าลง หรือบางทีมันก็หยุดเพื่อจอดพัก แต่ไม่นานมันก็จะหมุนต่อ และผ่านช่วงถนนที่ขรุขระและยากลำบากไปได้
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงเดินทางต่อไป เพราะในใจลึก ๆ แล้วผมยังแอบคาดหวัง ว่าสักวันรถคันนี้ของผมจะวิ่งไปไกล
ไกลจนได้วนกลับไป ณ ช่วงถนนเส้นเดิม...
เส้นที่ผมได้เคยขับผ่านมาแล้ว…- End -
เอาเรื่องสั้นตอนเดียวจบมาให้อ่านกันค่ะ
เรื่องสั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกเหงาคิดถึงและโหยหา แบบที่อธิบายออกมาไม่ได้
ความรู้สึกที่กล่าวมาคือแรงบรรดาลใจในการเขียนเรื่องราวของไทม์และแสงค่ะ
เรื่องนี้จบลงที่ตรงนี้ ความจริงแล้วจะมีต่อหรือไม่ยังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าแบบนี้สมบูรณ์แล้วสำหรับ ณ ตอนนี้
อยากให้คนที่ได้อ่านรับรู้อีกด้านนึงที่ต่างจากการตัดสินว่าจบแบบมีความสุขหรือไม่มีความสุข
เรื่องราวของไทม์และแสงยังไม่จบลง เพราะจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงเดินทางอยู่บนถนนของตัวเอง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และหวังว่าจะชอบในอีกด้านของความรักเรื่องนี้นะคะ กอดแน่น <3