แตกที่ 5
…ใจสั่น...
“สวัสดีครับป๋า...เจอกันอีกแล้วนะ”
น้ำเสียงติดจะออดอ้อนเล็กๆทำให้อิงอรที่ยืนฟังอยู่หน้าร้อนจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้เช่นเดียวกับคณิตที่หน้าแดงไปทั้งแทบแต่เป็นด้วยเหตุผลที่ตรงกันข้าม ร่างสูงที่บอกตัวเองอยู่หลายครั้งว่าอย่าไปคิดจองเวรจองกรรมเด็กมันเลย ลืมความตั้งใจเดิมของตัวเองจนสิ้น เขาก้าวยาวๆพรวดเดียวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายแต่ยังไม่ทันที่จะได้ปรามาสใคร ฝ่ามือที่เล็กกว่าเขามากก็คว้าหมับเข้าที่แขนล่ำแล้วหัวกลมๆที่รับกันได้ดีกับดวงหน้าหวานก็ซุกเข้าที่อกแกร่งทันที
“ไม่เจอกันตั้งหลายวัน คิดถึงจังเลย”
คณิตจำได้ว่าเขาเคยขำเสียจนท้องแข็งตอนที่เห็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยมันพูดอ้ำๆอึ้งๆเวลาต้องสอบโปรเจคกับอาจารย์ทั้งภาควิชา ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคนที่ปกติพูดจ้อเป็นนกแก้วนกขุนทองทำไมเวลาตื่นเต้นถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายเขาต้องมาเข้าใจความรู้สึกนี้ด้วยสถานการณ์ที่ดูไม่ได้เอาเสียเลย
“เธอ!”
“Oh my gosh!!!!”
อิงอรอุทานออกมาเป็นภาษาอังกฤษที่สำเนียงแทบจะไม่ต่างจากเจ้าของภาษา เด็กหนุ่มที่กำลังทำหน้าที่ตัวเองคิดว่าน่าเอ็นดูที่สุดหันไปมองหญิงสาวรุ่นพี่ที่กำลังเอาแฟ้มสีสวยปิดปากของเธอไว้แล้วทำตาเป็นประกายอย่างที่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้ดี
“พี่อิงครับ”
“ค่ะ...คะ!!! ว่ายังไงคะน้องปูน!!!”
สิ่งที่หญิงสาวกำลังรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากตอนที่เธอกำลังเปิดของขวัญกล่องใหญ่ อิงอรเอาแต่มองเจ้านายของตนที่เอาแต่อ้าปากพะงาบๆและหนุ่มน้อยที่ยิ้มหวานมาให้เธอสลับกันไปมา ด้วยความฟินที่พองฟูไปทั้งอก
“คือความจริงแล้วผมกับพี่คณิต...”
“น้องปูนกับคณิต!!??”
“เราเป็น...”
“เป็น!!!!!!”
“เป็นพี่น้องกันน่ะครับ”
“กรี๊ดดดดด พี่น้อง!!!.........ห๊ะ!!!????”
อิงอรหลุดกรี๊ดออกมาเบาๆก่อนจะทำหน้าเหวอเมื่อสิ่งที่ได้ยินผิดกับที่คาดไปมากโข เด็กหนุ่มพยักหน้าขึ้นลงแรงๆด้วยใบหน้าน่ารักราวกับเทวดา แต่ดูเหมือนว่าเทวดาของอิงอรตนนี้จะมีหางแบบซาตานอยู่ด้วย
“ฮ่าๆครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ปูนทำให้เข้าใจผิดไปกันใหญ่”
ปูนหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ถึงจะดูเยอะไปแต่กลับไม่ได้น่าเกลียดเลยสักนิดจากผู้หญิงคนนี้ เขาขยับกายออกห่างจากคณิตที่เหมือนกับลืมวิธีการพูดไปแล้วนิดหน่อย ก่อนจะอธิบายเหตุผลปลอมๆให้อิงอรฟัง
“ก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆอะไรหรอกครับ ปูนแค่นับถือพี่คณิตเขามากๆเท่านั้นเอง เพราะถ้าวันนั้นถ้าปูนไม่ได้พี่คณิตคอยช่วยดูแลให้คงแย่แน่ๆ”
เด็กหนุ่มยิ้มหวานเผื่อแผ่มาถึงคนข้างๆที่กำลังเข้าใจสถานการณ์ที่เขาพยายามสร้างได้ แน่นอนว่าสำหรับปูนแล้วเขาทั้งหมั่นไส้และไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนที่เคยดูถูกเขาไว้สักนิด แต่ในเมื่อทุกอย่างมันบีบคั้นให้พวกเขาสองคนต้องโคจรมาเจอกันอีกครั้ง ปูนก็ขอเลือกที่จะเป็นมิตรปลอมๆดีกว่าเดินหน้าเป็นศัตรูกับคนที่ได้เปรียบเขาหมดทุกด้าน ทั้งเงินตราและอำนาจ...
“ก็เข้าใจอยู่หรอกค่ะ แต่ว่า...”
อิงอรยังไม่อยากปักใจเชื่อ เพราะถึงแม้คณิตจะเป็นผู้บริหารที่ดีแค่ไหนแต่การเทคแคร์ลูกค้าขนาดที่ว่าแบกกันไปถึงบนห้องนั้นไม่ใช่นิสัยของร่างสักนิด ชายหนุ่มที่ภายนอกดูอ่อนโยนขี้เล่นแต่แท้จริงแล้วยังมีมุมถือตัวอยู่ไม่น้อย แม้จะมีเพื่อนมากมายแต่คนที่เชื่อใจกันมากพอที่จะเรียกว่าเพื่อนแท้ได้กลับมีแค่หยิบมือ
“ปูนผิดเองแหละครับที่ทำเป็นเล่นมากไปหน่อยจนคนเข้าใจผิดไปกันหมด ทั้งพี่อิง ทั้งคุณเมษ แต่ก็นะครับ พี่คณิตเขาไม่ใช่เกย์สักหน่อย...เนอะ”
ปูนว่าก่อนจะหันไปเนอะใส่คณิตที่ทำหน้าบูดไม่หาย จนคนอายุน้อยกว่าทนหมั่นไส้ไม่ไหวเลยยกมือไปหยิกแก้มขาวที่นุ่มกว่าที่คิดนั้นเบาๆ
“ฝากดูงานทางนี้แปปนึงนะอิง ขอผมไปคุยกับ...น้องชายหน่อย”
คณิตที่เงียบอยู่นานหันไปบอกเพื่อนร่วมงานสาวที่ปกปิดความผิดหวังไว้ไม่มิด ฝ่ามือใหญ่ที่แข็งราวกับคีมเหล็กคว้าเข้าที่ข้อมือเล็กอย่างไม่คิดออมแรงแต่ปูนก็ไม่ได้ยี่หระอะไรกับอาการเจ็บที่ได้รับ ร่างสูงลากเขาไปยังด้านหลังของบูธที่มีพนักงานจากโรงแรมต่างๆหลบมานั่งพักกันมากมายรวมถึงบอยที่เพิ่งได้พักทานข้าวกลางวัน ชายหนุ่มกำลังจะตะโกนเรียกบาร์เทนเดอร์เจ้าปัญหาที่หายหัวไปไม่ยอมกลับมาสักที แต่พอเห็นว่าปูนมากับใครเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง
“เจอกันทีไรก็สร้างปัญหาให้ฉันตลอดเลยนะ”
คณิตเปิดฉากพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงที่ไม่รุนแรงแต่กลับทำให้ปูนรู้สึกกดดันอย่างประหลาด จนเด็กหนุ่มที่ในใจนึกหวั่นเล็กๆต้องทำใจดีสู้เสือตอบกลับไปด้วยท่าทางร่าเริงเหมือนเช่นทุกครั้ง
“แต่ผมว่าเมื่อกี้ผมเพิ่งแก้ปัญหาให้พี่ไปนะ”
“ฉันควรจะขอบคุณเธอรึไงทั้งที่เรื่องทั้งหมดเธอเป็นคนก่อ แล้วก็ไม่ต้องมาตีสนิทเรียกพี่เลย...ไอ้เด็กบ้า”
ว่าแล้วเขาก็ดีดหน้าผากมนนั้นคืนเป็นการแก้แค้นที่ถูกเจ้าเด็กอวดดีลามปามมาหยิกแก้มเขาต่อหน้าลูกน้องมากมายรวมถึงอิงอรที่ยังยืนหาสติตัวเองไม่เจออยู่ตรงนั้น ปูนทำแสร้งทำหน้ามุ่ยทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้เจ็บอะไรนักหนา
“จะมาโทษผมคนเดียวก็ไม่ได้นะ ในเมื่อคืนนั้นเราเองก็มีความสุขกันทั้งคู่”
ปูนพยายามขุดเรื่องเก่ามาพูดหวังให้อีกฝ่ายเถียงไม่ออก
“มีความสุขน่ะใช่ แต่มันแค่ทางกายแล้วฉันก็ไม่ได้หวังให้มันเป็นแบบนั้น”
“ก็ทำไปแล้วนี่เนอะ จะพูดให้สวยหรูยังไงก็พูดได้”
ร่างเล็กว่าอย่างไม่ยอมกันจนคณิตคิดว่าต่อให้เขาพยายามอธิบายมากแค่ไหนคนตรงหน้าก็คงจะยืนกรานความคิดของตัวเองอยู่แบบนั้น แม้ใจหนึ่งจะอยากเอาเรื่องมากขนาดไหนแต่สุดท้ายถ้ามันเสียเปล่าเขาก็ไม่อยากเสียเวลาด้วย
“แล้วมาทำอะไรที่นี่ ทำไมอิงถึงบอกว่าเธอจะมาช่วย”
“ก็อย่างที่พี่อิงว่า คุณเมษาบอกให้ผมมา”
“ไอ้เมษงั้นหรอ นายทำงานอยู่ที่นั่นจริงๆสินะ”
คณิตนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดทิ้งไว้ครั้งก่อนก็เข้าใจขึ้นมาแจ่มแจ้ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาฉงนมากกว่าในยามนี้คือเมษากำลังคิดอะไรอยู่ถึงส่งเจ้าเด็กนี่ให้มาช่วยงานเขา ทั้งที่ก็น่าจะรู้อยู่ว่าเขาไม่อยากเจอมัน หรือนั่นอาจจะคือเหตุผลก็ได้
“ก็ตามนั้น แล้วหน้าที่ผมตอนนี้ก็คือช่วยคุณดูแลบูธตามที่คุณเมษาสั่ง ถ้าจะกรุณาก็ช่วยปล่อยให้ผมกลับไปทำงานตามเดิมเถอะนะครับ”
ปูนว่าพลางยิ้มหวานๆให้แล้วหมุนตัวกลับไปเพื่อทำอย่างที่ปากว่า แต่เขากลับโดนคณิตหยุดไว้อีกครั้งด้วยมือที่ไม่คิดจะออมแรงเลย
“เดี๋ยวก่อน นายมีเรื่องที่สมควรทำอยู่ไม่ใช่รึไง”
“?...ก็มีสิครับ งานผมไง แต่ตอนนี้ผมไปทำมันไม่ได้ก็เพราะคุณ”
“นั่นก็ใช่ แต่ฉันหมายถึงสิ่งที่เธอทำกับฉันไว้ในลิฟต์นั่นต่างหาก”
สีหน้าของคณิตดูเคร่งขรึมขึ้นมาเหมือนกับผู้ใหญ่ที่กำลังไล่ต้อนเด็กน้อยให้ยอมรับผิดกับสิ่งที่ทำ แต่คณิตคงไม่รู้ว่าเด็กที่เขากำลังไล่ต้อนอยู่นั้นไม่ใช่เด็กแสนซื่อที่จะยอมสิโรราบง่ายๆ
“อ่อ นึกว่าเรื่องอะไร ก็ได้ครับ ผมยอมขอโทษคุณก็ได้ แต่ว่า...คุณก็ต้องขอโทษเรื่องที่ดูถูกผมไว้เหมือนกัน”
ดวงตากลมโตของปูนแข็งขึ้นทันทีที่พูดออกไปแบบนั้น เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดอย่างไม่ปิดบังเพราะอยากให้คนตรงหน้ารู้ว่าตัวมันไม่ใช่คนเดียวที่มีอารมณ์ความรู้สึก คณิตมองตาของคนที่อายุน้อยกว่าแล้วก็เข้าใจความต้องการของปูนได้เป็นอย่างดี เขาถอนหายใจเบาๆแบบที่ปูนคิดว่าร่างสูงทำไปเพราะอึดอัดใจ แต่หาใช่แบบนั้นไม่เมื่อคณิตกลับพูดคำนั้นออกมาอย่างง่ายดาย
“ขอโทษที่ดูถูกเธอแล้วก็ที่ล่วงเกินเธอไปแบบนั้น”
ร่างเล็กนิ่งอึ้ง เขาไม่คิดว่าชายที่มีศักดิ์ศรีสูงท่วมหัวจะยอมขอโทษเด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าได้อย่างง่ายดาย ปูนอยากจะคิดว่ามันเป็นเพียงละครฉากหนึ่งแต่ความจริงจังในดวงตาหรี่เล็กคู่นั้นกลับยืนยันคำพูดของร่างสูงได้เป็นอย่างดี
“สำหรับฉันการทำผิดแล้วขอโทษไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่การกระทำที่ควรอายจริงๆ คือคนที่รู้ตัวว่าผิดแต่ไม่ยอมขอโทษมากกว่า”
คณิตพูดหวังให้คนอายุน้อยกว่าได้คิด จริงอยู่ที่เขาไม่ชอบหน้าเด็กนี่เท่าไหร่แต่ก็อดพูดตักเตือนตามประสาคนที่ผ่านโลกมามากกว่าไม่ได้ ปูนพอได้ฟังอย่างนั้นก็สะอึกไป แต่ด้วยนิสัยดื้อรั้นจึงไม่ยอมแสดงท่าทางอ่อนลงให้เลย
“ก็ดี...ส่วนผมก็ขอโทษด้วย แค่นี้พอใจแล้วใช่ไหม”
ร่างสูงถอนหายใจเมื่อต้องทนฟังคำขอโทษที่ไม่มีความจริงใจเจืออยู่เลยสักนิด ทั้งที่เพิ่งบอกไปหยกๆแต่ดูเหมือนมารยาทบางอย่างก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสั่งสอนกันได้ง่ายๆ คณิตยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมสีเข้มของปูนแรงๆจนคนตัวเล็กร้องฮือออกมาอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะเงียบไปเพราะดวงตาที่เป็นประกายคู่นั้น
“ถือซะว่าทำบุญแล้วกัน แต่ครั้งหน้าอย่าไปทำแบบนี้กับคนอื่น ไม่ใช่ทุกคนที่จะใจดีอย่างฉันหรอกนะ เข้าใจไหม”
“ใจดีตายล่ะ...”
ปูนพูดกับตัวเองเบาๆแต่คนตัวสูงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนอยู่ดี เขาส่ายหน้าอย่างเอือมระอาในความรั้นและนึกเสียดายหน้าตาน่ารักที่ถ้าหากนิสัยไปในทางเดียวกันได้สักนิด คณิตก็อยากจะยอมรับว่าเขาสนใจในคนคนนี้ไม่น้อย
“ปากดีอย่างนี้ก็ช่วยทำงานให้ดีอย่างปากด้วยก็แล้วกัน ต่อให้เป็นลูกน้องไอ้เมษฉันก็ไม่ปราณีหรอกนะ”
คณิตว่าก่อนจะเดินนำไปทิ้งให้ปูนมองแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มที่ทำให้เขานึกขัดใจอยู่เสมอ พอร่างสูงเดินห่างไปแล้วปูนถึงเพิ่งได้สังเกตเห็นว่าพวกเขาเป็นจุดสนใจของผู้คนแถวนั้นมากแค่ไหน คนตัวเล็กจึงนึกสนุกขึ้นมาอีก ร่างบอบบางของปูนรีบวิ่งเข้าไปหาจนไปหยุดอยู่ข้างๆคณิตที่หันมามองพร้อมเลิ่กคิ้วขึ้น
“ความจริงแล้วป๋าก็น่าจะรู้นะครับ...ว่าผมไม่ได้มีดีแค่ปาก หรือถ้าป๋าติดใจปากของผมจริงๆ...ก็บอกได้นะ เดี๋ยวผมจัดเด็ดๆให้”
ปูนพูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก แต่ดวงตาแพรวพราวที่มองไปยังใบหน้าหล่อเหลาและเป้ากางเกงของคณิตกลับทำให้ผู้คนที่แอบยืนมองอยู่โดยรอบหันไปซุบซิบกันเป็นแถบ ร่างสูงที่พอจะรู้ทันความคิดของเด็กหนุ่มบ้างจึงคว้าไหล่บางของปูนเข้ามาโอบไว้ก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหู
“อย่าท้ากันแบบนี้เลยเด็กน้อย ถ้าฉันทำขึ้นมาจริงๆ...เธอคงไม่ได้ปากดีไปอีกนานแน่ๆ”
.
.
.
.
.
.
.
อิงอรเอาแต่มองไปยังสองหนุ่มที่หมายปองให้ดองกันไว้ด้วยความเสียดาย แต่ลึกๆในใจเธอก็ยังแอบหวังเพราะหลังจากกลับมาจากคุยกันเพื่อนชายของเธอนั้นก็อาแต่หันไปยิ้มหยอกๆใส่ร่างบางที่ทำหน้างอตลอดยกเว้นตอนที่มีลูกค้าเข้ามาขอให้ชงเครื่องดื่มให้
นึกถึงตรงนี้อิงอรก็รีบโทรไปขอบคุณเมษาที่ยอมส่งบาร์เทนเดอร์ฝีมือดีอย่างปูนมาให้ The Next ยืมตัว เพราะดูเหมือนลูกค้าที่ได้ชิมม็อกเทลที่ทำจากน้ำสมุนไพรแบบไทยๆเข้าไปต่างก็ติดใจกันทั้งนั้น ตอนแรกอิงอรก็นึกห่วงอยู่เหมือนกันเพราะปูนไม่เคยทำเครื่องดื่มชนิดนี้มาก่อน แต่เด็กคนนั้นกลับเรียนรู้ได้เร็วเกินคาด แค่ได้ชิมเครื่องดื่มบางส่วนกับได้อ่านสูตรที่ที่พนักงานประจำจดไว้ ปูนก็สามารถสร้างสรรค์มันออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ
“น้ำครับพี่อิง ดื่มสักหน่อยนะครับ ผมชงให้พิเศษเลย”
หญิงสาวที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยสะดุ้งน้อยๆก่อนจะยื่นมือไปรับเครื่องดื่มสีสวยมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ
“ขอบใจนะจ๊ะ น้องปูนเหนื่อยไหม ขอโทษด้วยนะที่ต้องรบกวน”
“ไม่เป็นไรครับ งานก็ไม่ได้หนักหนาอะไร”
ปูนว่าไปตามจริง เพราะถ้าเทียบกับบูธของ The Pilot ก็ยังถือว่าห่างชั้น แต่หนึ่งสิ่งที่ปูนเห็นว่าต่างกัน คือลูกค้าของ The Next ส่วนมากจะเป็นพวกลูกค้าเก่าที่กลับมาใช้บริการอยู่เสมอซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่บอกเล่าความประทับใจในบริการให้บาร์เทนเดอร์จำเป็นอย่างเขาฟังอย่างสนุกปาก
“ว่าแต่น้องปูนเก่งมากเลยนะ มีแต่ลูกค้าชมว่าเครื่องดื่มที่เราทำอร่อยมาก ไม่เสียแรงเลยที่คุณเมษาแนะนำมา”
เด็กหนุ่มยิ้มแหยรับคำชมนั้นเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าสาเหตุที่เมษาจงใจเลือกเขามาช่วยเป็นเพราะอะไร ใบหน้าที่พอยิ้มออกได้บ้างกลับไปบูดบึ้งอีกครั้งเมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาแต่ติดจะกวนประสาทของผู้จัดการที่ชอบหันมาแกล้งเขาทางสายตาตลอดการทำงาน
“ได้ทำงานกับ The Next ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากเหมือนกันครับ อีกอย่างผมก็ได้สูตรทำม็อกเทลใหม่ๆกลับไปเพียบเลย”
“อยากได้มากกว่านี้ไหมล่ะจ๊ะ ย้ายมาทำงานกับพี่สิ”
อิงอรแกล้งหยอดไปโดยที่ใจจริงก็คาดหวังไปตามนั้น เด็กหนุ่มพอได้ฟังก็ยิ้มอ่อนๆ เอาตามตรงเขาก็ชอบบรรยากาศการทำงานเรื่อยๆของที่นี่อยู่เหมือนกันแต่ติดอยู่ที่ผู้จัดการจอมกวนประสาทนั่นรวมไปถึงความจริงข้อสำคัญเกี่ยวกับเจ้าของโรงแรมผู้เป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกับคนที่เขาไม่อยากเวียนไปเจอมากที่สุด
“เดี๋ยวน้องปูนไปพักก่อนก็ได้นะจ๊ะ งานก็ใกล้จะเลิกแล้ว แต่อย่าเพิ่งรีบกลับล่ะ ไปกินข้าวด้วยกันก่อนพี่โทรไปขอคุณเมษาไว้ให้แล้วไม่ต้องห่วง”
“เอ่อ แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่จ๊ะ ไปเถอะนะอย่าให้พี่เสียน้ำใจเลย”
หญิงสาวพูดชวนแต่เนื้อความนั้นเหมือนกันการกึ่งบังคับ ปูนพยายามส่ายหน้าปฏิเสธแต่ก็เจอสายตาอ้อนวอนของคนที่อายุมากกว่าเข้าไปเขาก็ถึงกับไปต่อไม่เป็น ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันเขาถึงได้รู้สึกถูกชะตากับคนคนนี้อยู่มาก อาจจะเพราะบรรยากาศรอบๆตัวที่ชวนให้สบายใจเหมือนใครบางคนที่เขารู้จัก
“ก็ได้ครับ...”
ร่างเล็กรับปากจะขอตัวไปบอกหัวหน้าของตัวเองอย่างบอยก่อนเรื่องที่จะขอกลับแยกกัน บอยที่รับรู้เรื่องทุกอย่างจากเมษาแล้วก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพียงแค่ย้ำเตือนว่าอย่าเข้ามาทำงานในวันพรุ่งนี้สายซึ่งพวกเขายังคงต้องประจำอยู่ที่นี่จนกว่างานจะจบ ปูนก็ยอมรับตามนั้นเพราะเอาเข้าจริงเขาก็ไม่อยากอยู่ใกล้ชิดคณิตมากไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนความต้องการของเขามักจะได้ผลที่ตรงกันข้ามเสมอ
“ปูนนั่งรถไปกับคุณคณิตนะจ๊ะ เดี๋ยวเจอกันที่ร้านเลย”
“อะไรนะครับ?!”
เด็กหนุ่มถามออกมาเสียงดังเมื่อจู่ๆหญิงสาวที่ชวนเขากลับพยักพเยิดให้ปูนไปขึ้นรถซึ่งมีคณิตยืนพิงคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล
“พอดีรถตู้มันเต็มน่ะจ๊ะ ไหนจะสัมภาระอีก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งได้ เกรงใจคุณคณิตเขาเปล่าๆ”
“คุณคณิต?”
“อ่ะ ผมหมายถึงพี่คณิตน่ะครับ ผมเกรงใจพี่เขา...”
อิงอรทวงคำพูดของปูนงงๆ เพราะก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเรียกเพื่อนของเธอว่าพี่จนปูนต้องรีบเปลี่ยนคำพูดแทบไม่ทันแม้ว่ามันจะกระดากปากไม่น้อย
“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกจ้า พี่น้องกันไม่ใช่หรอ อีกอย่างคุณคณิตเขาก็ใจดีกับปูนจะตาย ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆด้วยนะแบบนี้”
หญิงสาวยิ้มพรายแต่กลายเป็นปูนที่ไม่อยากเชื่อคำพูดนั้น คนใจดีที่ไหนจะไล่ต้อนเขาจะเป็นจะตาย แถมเคยทำมารยาทไม่ดีกับเขาไว้อีก ต่อให้ภายนอกจะหล่อสุภาพขนาดไหนสำหรับร่างเล็กคนอย่างคณิตน่ะ...หน้าเนื้อใจเสือชัดๆ
“จะไปกันได้รึยัง”
คณิตที่คุยโทรศัพท์เสร็จเดินเข้ามาขัดบทสนทนาที่เกี่ยวกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว อิงอรเองพอเห็นดังนั้นก็รีบส่งตัวเทวดาน้อยของเธอถึงราชรถของซาตานหนุ่มแล้วรีบชิ่งขึ้นรถตู้ของโรงแรมไปเพราะกลัวปูนจะเปลี่ยนใจ ร่างเล็กที่ยังไม่ทันตั้งสติได้มองตามรถคันนั้นไปพร้อมกับโอดครวญในใจซึ่งคณิตที่ยืนอยู่ข้างๆก็ดูออก
“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่า เข้ามานั่งเถอะ”
“...ผมไม่ได้กลัวว่าคุณจะทำอะไรสักหน่อย”
“นั่นสินะ คนที่กลัวควรจะเป็นฉันมากกว่า”
ร่างสูงยิ้มทะเล้นใส่ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งก่อนโดยที่ปูนจำใจต้องพาร่างของตัวเองไปนั่งตรงที่ข้างคนขับอย่างเสียไม่ได้ ภายในห้องโดยสารที่ใหญ่โอ่อ่าสมราคามีเพียงเสียงเพลงที่เจ้าของมันเปิดไว้ดังคลอเท่านั้น ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันสักคำแม้ว่าก่อนหน้านี้จะพูดกัดกันมามากมาย
“วันนี้ขอบใจมาก เธอช่วยเราไว้จริงๆ”
ท่ามกลางรถที่ติดและไฟท้ายรถที่ส่องเป็นทางสีแดงยาว คณิตที่เงียบมานานก็เปิดปากพูดขึ้นโดยไม่มองหน้าคนข้างกาย
“ไม่เป็นไร แค่จ่ายทิปพิเศษให้ผมเยอะๆหน่อยแล้วกัน”
ปูนตอบกลับไปแบบนั้นเพราะไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองมีบุญคุณกับใคร แต่คนฟังกลับตีความไปอีกอย่าง
“...เดือดร้อนเรื่องเงินขนาดนั้นเลยหรอ”
“...?”
“เธอถึงได้มาทำงานแบบนี้”
ร่างเล็กรู้ได้ทันทีว่างานที่คณิตว่าคงไม่ใช่งานบาร์เทนเดอร์ที่เขาทำอยู่แน่ๆ ปูนไม่รู้สึกกดดันกับสิ่งที่คนคนนี้ถามแต่อย่างใดเพราะตั้งแต่เริ่มทำมันมา มีคนถามมันกับเขานับครั้งไม่ถ้วน จนความอับอายเปลี่ยนเป็นชินชา...
“ไม่หรอก ผมแค่พอใจที่จะทำ”
“พอใจที่จะทำ?”
“ใช่ คนพวกนั้นมีความสุข ส่วนผมได้เงิน...ตรรกะง่ายๆของการบริการ ผมพูดผิดที่ไหนกันล่ะ”
ปูนตั้งใจพูดกระทบอาชีพที่ร่างสูงทำอยู่ แม้เนื้อในแล้วมันจะต่างกันมาก คณิตที่ได้ฟังอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาจนปูนต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“เด็กจริงๆเลยนะเธอน่ะ ไม่รู้ว่าจะขำหรือว่าจะอะไรดี”
คณิตเหล่มองปูนนิดๆก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวทุยนั้นจนคนที่ตามความคิดของคนโตกว่าไม่ทันทำหน้ามุ่ย
“อย่ามาขำนะ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความตามที่พูด”
ร่างสูงยักไหล่ด้วยท่าทางที่กวนประสาท ก่อนจะลอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของคนข้างๆที่เขาคิดว่ามันน่ารักดี
“กวนตีน”
“ก็ไม่ปฏิเสธ”
“ทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงต้องทำตัวเหมือนว่ารู้ทุกอย่าง...อวดดีชะมัด”
“คนที่พูดแบบนั้นมันก็อวดดีพอๆกันนั่นแหละ”
คณิตว่าขำๆก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถของร้านอาหารกึ่งบาร์ที่เขาโทรมาจองที่นั่งไว้ให้พนักงานที่เหนื่อยมาทั้งวันได้พักผ่อน เขาเลือกจอดรถไว้ข้างๆรถตู้ของโรงแรมที่บัดนี้ไร้ผู้คนแล้วปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยของตัวเองผิดกับคนข้างๆที่ยังคงนั่งเฉยจนเขาต้องหันไปบอก
"”ลงสิ รีบกินจะได้รีบกลับไปพัก”
“...ผมอยากกลับห้อง”
“กลับทำไม? หรือว่าโกรธที่ฉันว่าเธอแบบนั้น”
“เปล่า...ผมอยากกลับห้องจริงๆ ขอตัวก่อนได้ไหม”
ปูนเอาแต่มองป้ายหน้าร้านไม่กระพริบตา คนตัวสูงกว่าลอบสังเกตอาการที่เปลี่ยนไปของคนที่เมื่อครู่ยังเถียงเขาฉอดๆอย่างไม่ยอมแพ้ด้วยความไม่เข้าใจ
“มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
ร่างเล็กส่ายหน้าแทนคำตอบแต่ว่ามือของตัวเองกลับกำเข็มขัดนิรภัยที่พาดคาดตัวไว้แน่นจนคณิตสงสัย
“ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ลงมาเถอะ ทุกคนรออยู่”
“แต่ผมไม่อยากไป...จริงๆนะ”
เสียงของปูนสั่นโดยที่เจ้าของมันไม่อาจควบคุมได้ ซึ่งหลังจากที่ได้ยินอย่างนั้นคณิตก็เงียบไปพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนที่ร่างสูงจะลุกออกไปจากที่นั่งของตัวเองแล้วทิ้งให้เด็กหนุ่มที่ตัวสั่นเทาอยู่ในรถของเขาแต่เพียงลำพัง ปูนมองแผ่นหลังของคนที่โตกว่ากำลังเล็กลงไปเรื่อยๆด้วยความใจหาย เพราะเขาคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทิ้งเขาไปโดยไม่รู้ตัว...
“เราต้อง...ไปจากที่นี่”
“...”
“...แต่จะไปที่ไหนล่ะ”
ปูนพูดแล้วหัวเราะออกมาราวกับจะเยาะเย้ยตัวเองที่ไม่มีที่ไป สองมือที่ยังคงสั่นไหวพยายามปลดเข็มขัดนิรภัยออกแต่มันกลับทำได้ยากยิ่ง ภาพในอดีตและเสียงหัวเราะของผู้คนมากมายดังก้องอยู่ในหูจนร่างเล็กไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้วินาทีเดียว แต่ยังไม่ทันที่น้ำตาจะได้ไหล ประตูที่ปิดไปเมื่อครู่ก็เปิดออกอีกครั้ง
“แถวนี้มีร้านไหนแนะนำบ้าง”
“...???”
คณิตที่กลับเข้ามานั่งในรถบ่นเบาๆก่อนจะเข้าเกียร์ถอยหลังแล้วขับออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไม...”
ร่างเล็กถามเสียงอ่อยเพราะไม่อาจเรียบเรียงความคิดของตัวเองได้
“ทำไม?”
“ทำไม...ถึงกลับมา”
“ก็เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่จะให้ทุกคนเปลี่ยนร้านด้วยก็คงทำไม่ได้ฉันเลยเข้าฝากเงินไว้กับอิงแล้วออกมานี่ไง ว่าแต่จะบอกได้รึยังว่าจะไปกินร้านไหน ขออิ่มๆอร่อยๆนะ หิวไส้จะขาดแล้ว”
ร่างสูงพูดออกมายาวเยียดก่อนจะขับรถไปตามทางที่ปูนบอก โดยที่ทำเป็นไม่ใส่ใจกับเสียงที่ยังคงสั่นของคนตัวเล็ก ปูนลอบมองใบหน้าด้านข้างของคณิตเป็นระยะก่อนพวกเขาจะมาหยุดอยู่ตรงร้านผัดไทหอยทอดที่ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตแต่กลับมีคนมาต่อคิวรอเป็นจำนวนมาก
“คนเยอะชะมัด”
“ขอโทษ...จะเปลี่ยนร้านไหม”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เอาร้านนี้แหละ”
คราวนี้ไม่ต้องรอให้เสียเวลา พวกเขาทั้งคู่ลงไปจากรถโดยมีคณิตที่หิวโซตรงเข้าไปต่อแถวอย่างไม่ถือตัวแม้ว่าเสื้อผ้าราคาแพงที่เขาใส่อยู่จะไม่เข้ากับบรรยากาศแถวนี้เลยแม้แต่น้อย ปูนที่เดินตามมาวิ่งไปเอากระดาษจดจากเจ้าของร้านมาเขียนรายการอาหารที่ตัวเองต้องการสั่งไปก่อนจะเดินไปถามคณิตซึ่งสั่งทั้งหอยทอดและผัดไทมาอย่างละหนึ่งจานโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
“ถ้าไม่อร่อยรับรองว่าฉันเล่นงานเธอแน่ๆ ให้ตายสิ อยากกินคาโบนาล่าของร้านนั้นชะมัด”
คณิตบ่นอย่างไม่จริงจังนักแต่ก็นึกเสียดายที่ไม่ได้ลิ้มรสคาโบนาล่าของร้านโปรดที่ไม่ได้มีโอกาสมากินนานแล้ว แต่คนที่เป็นต้นเหตุทำให้พวกเขาต้องมายืนต่อแถวเพื่อกินอาหารจากข้างทางแบบนี้กลับรู้สึกผิดอย่างช่วยไม่ได้
“คุณปล่อยผมไว้ตรงนี้ก็ได้นะ กลับไปหาพี่อิงเถอะ”
“แน่ใจนะว่าอยากให้ฉันทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียว”
“...”
“เอาเถอะจะสปาเก็ตตี้หรือผัดไทยคงไม่ต่างกันหรอก”
ร่างสูงยิ้มให้คนที่ทำหน้าสลดกว่าทุกครั้งก่อนจะพากันเดินเข้าไปยังโต๊ะเมื่อถึงคิวของพวกเขาทันที รอเพียงไม่นานผัดไทและหอยทอดทั้งสามจานก็ถูกวางลงตรงหน้าของทั้งคู่ คณิตพับแขนเสื้อของตัวเองลวกๆแล้วทานอาหารตรงหน้าโดยไม่ปรุงรสใดๆ ปูนมองคนที่ดูเหมือนจะพอใจกับรสชาติของอาหารข้างทางมื้อนี้อยู่ไม่น้อยด้วยสายตาเหม่อลอย โดยผัดไทของตนไม่ได้พร่องลงเลย
“มองหน้าฉันทำไมล่ะ กินเข้าไปสิ กำลังร้อนๆเลย”
คณิตว่าพร้อมกับคีบหอยแมลงภู่ของตัวเองใส่ลงในจานของคนที่เด็กกว่า ปูนมองเนื้อสัตว์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเงยหน้าขึ้นเพื่อหนีมันเขาก็เจอเข้ากับดวงตาเป็นประกายของคนที่ทั้งทำตัวร้ายกาจและกวนประสาทอย่างถึงที่สุด
แต่ทันทีที่เขาคีบหอยแมลงภู่ตัวนั้นเข้าปากไป
ก็พบว่ามันทั้งอุ่นและอร่อยกว่าที่เคย...
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ไม่มีไรมาก...อยากกินหอยทอด 5555555
สวัสดีคับบบบบบบบบบ หายไปนานมากกกกก ลืมกันไปรึยัง นี่แอบหนีงานมาเขียนให้หน่อยนึง ไม่ยาวมากแต่น่าจะฟินเนอะ เช่ว่าหลายคนอาจจะคิดเหมือนเช่ว่าน้องปูนดูหลงพี่คณิตเร็วไปป่าว คือเอาจริงๆสองคนนี้ชอบหน้าตาของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกแล้วคับ แต่ดันเกิดเรื่องซะก่อน บวกกับน้องมันใจง่าย (นี่แหละประเด็นหลัก) เลยออกมาเป็นงี้ แต่เชื่อเถอะว่าถึงจะชอบกันเร็วก็ใช่ว่าจะราบรื่น ยังมีอะไรที่คู่นี้ต้องฝ่าฟันกันไปอีกเยอะ มีคนถามหาดราม่าหนักๆด้วย กลางๆท้ายๆเรื่องเลยคับบบบ ไม่ม่ามาก แค่ปวดตับนิดหน่อย ^^
เรื่องนี้อาจจะต่างจากไนท์แมร์มากไปหน่อย แต่ถือว่าเปลี่ยนรสชาตินะคับ เช่อาจจะแต่งแนวนี้ได้ไม่ดีมาก แต่ก็จะพยายาม ส่วนเรื่องงานยังยุ่งไปอีกอาทิตย์ แต่หลังจากนี้จะกลับมาอัพให้ถี่เหมือนเดิมแล้ว รอกันหน่อยนะ^^
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นท์ทุกโหวตที่ถามถึง ใครยังไม่ได้จับจองพี่กาลรีบกันนะคับ เหลือเวลาไม่มากแล้ว