ตอนที่ 3
เวลาสาย ๆ ในห้องนอนกว้าง ร่างผอมเพรียวกำลังยืนอยู่หน้ากระจก มือติดกระดุมเสื้อ สีหน้าดูติดจะเบื่อหน่าย วันนี้เป็นวันที่คุณอานัดดูสถานที่ ตัวเขาน่ะพร้อมจะทำงานเต็มที่ เรื่องงานเขาให้เต็มร้อย แต่ว่า…
ผู้ชายปากร้ายนิสัยเสแสร้งคนนั้นแหละที่ทำให้เขาไม่อยากจะไปเจอหน้ามันเลย
คราวที่แล้วมันก็ทำให้เขาปั่นป่วนไปหมด เดินออกจากห้องด้วยร่างกายที่รู้สึกร้อนวูบวาบ เพียงแค่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายสัมผัสโดน มันก็ทำให้ขนทั้งตัวลุกซู่
ไม่อยากยอมรับ แต่ใช่…เขาจำสัมผัสของผู้ชายคนนั้นได้ และจำได้ดีเสียด้วย
“เฮ้อ…” เสียงถอนหายใจดังลอดออกมาจากริมฝีปาก โมเดลเช็คความเรียบร้อยของตัวเองอีกนิด ก่อนจะคว้าของใช้ที่จำเป็นติดมือออกมา
มันทำใจได้ยากจริง ๆ โดยส่วนตัวแล้วโมเดลเองก็ใช่ว่าจะมีความอดทนสูงซะเท่าไหร่ กลัวเหลือเกินว่าถ้าไปเจอหน้าไอ้เวรนั่นอีกแล้วเขาจะซัดหน้ามันต่อหน้าคุณอา ถ้าเป็นแบบนั้นชีวิตเขาจบแน่ๆ
โมเดลขับรถไปยังสถานที่ที่นัดหมายกันเอาไว้ คุณอาจะย้ำกับเขาเรื่อย ๆ ว่าไม่ต้องเกร็งอะไรมาก รู้ว่ามันเป็นงานแรก และยังไงก็รู้จักกัน แต่ตัวเขาไม่คิดแบบนั้น กับการทำงาน ไม่ว่าทำให้ใครมันก็ต้องเต็มที่ทุกครั้ง
ที่ ๆ คุณอาบอก ต้องขับรถออกจากเมืองไปไกลพอสมควร เป็นที่ ๆ เงียบเหมาะแก่การพักผ่อน ต้นไม้เยอะ ล้อมรอบ มันโอเคอยู่นะกับบรรยากาศ แต่ต้องขับรถออกมาไกลเนี่ยแหละที่ตัวเขาไม่ชอบเอาเสียเลย
และพอมาถึงที่ โมเดลก็เจอคุณอาปิยะกับไอ้บ้านิสัยเลวอยู่ก่อนแล้ว ร่างเพรียวเดินเข้าไปยกมือไหว้คุณอา แล้วหันไปก้มหัวทักทายร่างหนานิด ๆ ก่อนเมินหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ หงุดหงิดในใจกับรอยยิ้มอ่อนโยนของอีกฝ่าย
เฮอะ! เสแสร้งได้ก็ทำไป อย่าให้มีโอกาส เพราะเขาจะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันนิสัยยังไง
“ขอโทษครับที่ผมมาช้า”
“ไม่ ๆ ไม่ได้ช้าอะไร อากับพรรดิก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน”
“รีบมาแบบนี้ทานอะไรมาหรือยังครับ หาอะไรทานก่อนได้นะ เดี๋ยวตรงนี้พี่คุยกับคุณอาแล้วเดี๋ยวสรุปให้เราฟังก็ได้” จักรพรรดิเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ที่ใครต่อใครฟังแล้วก็ต่างหลงใหลกับความอ่อนโยน ริมฝีปากสวยขยับยิ้มใจดีให้ แต่ของพวกนี้มันใช้กับโมเดลไม่ได้ผล ต่อให้ดีกว่านี้อีกสักกี่สิบเท่า ผู้ชายคนนี้ก็ยังคงเป็นคนที่น่ารังเกียจและไม่น่าเข้าใกล้สำหรับโมเดลอยู่ดี
“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไม่หิว”
“ระวังเป็นลมเอานะ” เอ่ยเหมือนจะห่วงใย แต่โมเดลรู้ มันก็แค่การเสแสร้ง และแววตาที่เขารับรู้ได้ก็คือ…แววตาดูถูก
“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นครับ” ร่างบางกัดฟันตอบ ในใจอยากจะรีบ ๆ ทำงานให้เสร็จแล้วรีบกลับบ้าน ไม่อยากจะยืนหายใจร่วมกับผู้ชายคนนี้นานเท่าไหร่นัก มันเสียทั้งอารมณ์และสุขภาพจิต
“อ่า ครับ พี่รู้ว่าเราแข็งแรง”
กึก!
และในจังหวะที่คุณอาหันไปมองอีกด้าน จักรพรรดิก็กระตุกยิ้มร้ายให้กับโมเดล สบตาเป็นการสื่อให้รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแรง โมเดลสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ มือเรียวกำแน่น อยากจะเดินเข้าไปซัดหน้าอีกฝ่ายให้คว่ำ พร้อมกับตะโกนใส่หน้าว่าเลิกกวนประสาทเขาได้แล้ว
เขารู้ อีกฝ่ายจงใจจะสื่อให้เขาคิดถึงคืนนั้น และตัวเขาก็ฝืนเดินออกมาทั้ง ๆ ที่ขามันปวดร้าวไปหมด และไหนจะคำพูดในตอนที่เจอกันครั้งที่แล้วอีก
อีกฝ่ายจงใจย้ำกับเขาถึงเรื่องนั้น ย้ำให้เขาไม่มีวันลืมมัน!
“แล้วนี่วันนั้นเราสองคนคุยรายละเอียดคร่าว ๆ เอาไว้หรือยัง พรรดิ เราเข้าใจที่เดลบอกหรือเปล่า”
เสียงของคุณอาเป็นตัวทำให้สองสายตาที่จ้องมองกันเขม็งละออกจากกัน โมเดลสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว อีกนิดเขาต้องบ้าแน่ ๆ
“เข้าใจครับ น้องอธิบายได้เข้าใจง่าย ไม่ได้ทำให้ผมงงตรงไหนเลย น้องเขาเก่งนะครับ ไม่เหมือนกับคนที่ทำงานเป็นครั้งแรกเลย” เสียงเอ่ยชมของร่างแกร่งทำเอาโมเดลถึงกับเบ้ปาก
“เฮอะ! เสแสร้ง”
“เดล”
อึก!
โมเดลถึงกับชะงักเมื่อคุณอาหันมาเรียกด้วยน้ำเสียงดุ ๆ ร่างบางกัดปากแน่นหันหน้าไปอีกทาง เมื่อกี้อุตส่าห์พึมพำเบา ๆ แล้วนะ ยังจะได้ยินอีก สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการถูกดุถูกว่าต่อหน้าคนอื่นนี่แหละ
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ น้องเขาคงแค่แซวผมเล่นน่ะครับ”
จักรพรรดิยิ้มไม่ถือสา แถมด้วยการพูดแก้ตัวให้เขาอีก โมเดลฮึดฮัด อึดอัดอยู่ในอก มันแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ทำแบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ว่า…ทำให้ตัวเองดูดีในสายตาคนอื่น ดูเป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจ และตัวเขากลับกลายเป็นคนที่ถูกมองว่าปากไม่ดี นิสัยก็ไม่ดี เอาอารมณ์มาก่อน
ผู้ชายคนนี้…ไม่น่าอยู่ใกล้เลยสักนิด
“งี้อาก็เลือกคนไม่ผิดสินะ ฮ่าๆ”
โมเดลยิ้มรับ พยายามมองผ่านร่างสูงไป ทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ ก่อนจะขยับเข้าไปยืนข้างกายคุณอาแล้วเริ่มเอ่ยถึงรายละเอียดให้คุณอาได้ทราบ
“อาอยากได้แบบต้นไม้เยอะ ๆ หน่อย”
“พื้นที่พอที่จะลงได้อยู่หลายต้นนะครับ แต่ผมก็ไม่อยากให้ตัดของเก่าออกไปเยอะ ยังไงเดี๋ยวได้แบบบ้านที่คุณอาโอเคเราค่อยมาดูตรงส่วนนี้กันอีกที” พูดไปด้วย มือก็หยิบสมุดขึ้นมาจดรายละเอียดสำคัญ ๆ ไว้กันลืม
“ได้ๆ”
“ผมขอเดินไปดูทางนู้นหน่อยนะครับ” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นมา โมเดลร้องตะโกนอยู่ในใจเลยว่ารีบๆ ไปซะ ยืนอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้แล้วมันทำให้เขาหายใจลำบาก ทั้งอึดอัดไม่อยากอยู่ใกล้ และ…มันรู้สึกแปลก ๆ เวลาที่ดวงตาคมคู่นั้นจ้องมองมา
“เอาสิ”
พอจักรพรรดิเดินแยกออกไป โมเดลก็รู้สึกโอเคขึ้นมาก คุยงานกับคุณอาได้ไหลลื่น ภาวนาในใจว่าอย่าให้ผู้ชายคนนั้นเดินกลับมาเร็วนักเลย หรือถ้าเดินกลับมา ก็อย่าให้มันปากมากพูดไม่เข้าหูเขาอีกก็แล้วกัน
“อารู้สึกว่าพื้นที่บริเวณรอบ ๆ น่าจะมีเยอะนะ หลานอาคงชอบ เจ้านั่นเอะอะก็ปาร์ตี้ ๆ ตลอด” คุณอาว่าขำ ๆ โมเดลเพียงแค่ยิ้มรับ ดวงตาเรียวกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดมองไปที่ร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงต้นไม้อยู่
มือหนาถือโทรศัพท์ ก้มหน้าก้มตาไม่สนใจสิ่งรอบข้าง โมเดลเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ คน ๆ นี้ดูดีในทุก ๆ มุม เพียงแค่ยืนเฉย ๆ แบบนี้ยังน่ามอง แต่…เฮอะ!
“มาทำงาน มันใช่เวลามาเล่นโทรศัพท์มั้ย” ร่างบางพึมพำ จำได้ว่าคุณอาเคยพูดเปรย ๆ ไว้ว่าคน ๆ นี้เก่งมาก ทำงานออกมาได้ดีเยี่ยมสุด ๆ เห็นทีคุณอาคงจะชมเกินไปแล้ว
“ไม่เอาน่า เช็กงานทำทางโทรศัพท์ก็ได้นะเดล มองเขาในแง่ร้ายเกินไปแล้ว”
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่พอเขาพูดถึงผู้ชายคนนั้นในทางที่ไม่ดีนิดหน่อย เขาก็โดนดุกลับมาอีกแล้ว โมเดลกัดฟันกรอด อยากจะพูดออกไปให้หมดว่าไอ้เวรนั่นมันทำอะไรกับเขาไว้บ้าง มันทำให้เขาเจ็บใจแค่ไหน แต่เพราะสิ่งที่มันทำไว้น่าอายเกินกว่าจะพูดออกมาได้
และตอนนี้เขาก็ดูเป็นเด็กนิสัยแย่อีกแล้ว
“ขอโทษครับ” จำใจต้องเอ่ยออกมา
“ไม่เป็นไร ๆ อีกอย่างเจ้าพรรดิมันก็ไม่ถือสาหรอก เขาใจดีมาก เราก็อย่ามองเขาในแง่ร้ายมากเกินไปล่ะ เดี๋ยวอาขอตัวแป๊บหนึ่ง” พูดเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินแยกออกไป โมเดลมองตามก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ท่าทางไม่ว่าจะยังไง คุณอาก็มองจักรพรรดิเป็นผู้ชายที่แสนดีตลอด และเขาก็เอ่ยแขวะไม่ได้เสียด้วย เพียงเท่านี้คุณอาก็คงมองเขาไม่ดีแล้ว
งานน่ะไม่ยากหรอก แต่มันยากตรงที่ต้องคอยควบคุมอารมณ์และปากของตัวเองนี่แหละ
โมเดลเดินหลบมุมออกมา อากาศเริ่มร้อนอบอ้าวเหมือนฝนจะตก ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม หยิบสมุดขึ้นมาก้มอ่านรายละเอียดอีกครั้ง มันมีบางส่วนที่เขาต้องถามความเห็นจากจักรพรรดิ แต่…ให้ตายเถอะ ไม่อยากจะเข้าไปคุยด้วยเลย
“ที่นี่บรรยากาศดีนะ”
เฮือก!
โมเดลสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ คนที่เขาเห็นว่ายืนอยู่อีกฝั่งก็โผล่มายืนอยู่ข้างหลัง แถมยืนซะชิดกับแผ่นหลังของเขา โน้มลงมากระซิบที่ข้างหู กระซิบน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมต้องทำเสียงเหมือนกับในคืนนั้นด้วย
น้ำเสียงติดจะแหบพร่า และลมหายใจอุ่น ๆ ที่รดริน
อึก!
“คิดถึงคืนนั้นอยู่เหรอไง หน้านายแดงนะ”
“เรื่องที่มันไม่ควรจะจำแบบนั้น ผมไม่คิดถึงมันให้รกสมองหรอกครับ” โมเดลแสยะยิ้มตอบกลับไป สายตาบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้จำมันเลยสักนิด แต่จักรพรรดิเพียงแค่เลิกคิ้ว ขยับเข้าไปชิดกับร่างผอมเพรียวที่ขยับหนีไปเมื่อสักครู่ ดวงตาคมวาววับอย่างร้ายกาจ กระซิบคำที่ทำให้โมเดลต้องกัดฟันกรอด
“ถ้านายไม่จำมัน แล้วนายรู้ได้ยังไง ว่าฉันหมายถึงคืนไหน และฉันหมายถึงเรื่องอะไร”
“มึง!”
“โวยวาย น่ารำคาญ” ว่าเขาด้วยรอยยิ้มเยาะ
“ก็ดีกว่ามึงก็แล้วกัน เสแสร้งแบบนี้ไม่เหนื่อยบ้างเหรอวะ เกลียดจริง ๆ ไอ้พวกสองหน้า” ตอกกลับไปอย่างเจ็บแสบไม่แพ้กัน แต่ร่างแกร่งไม่มีท่าทีโมโหกับคำพูดของโมเดลเลยแม้แต่น้อย มีเพียงดวงตาคมกริบที่จ้องมองไป และมันก็ทำให้คนที่เพิ่งปากเก่งไปเมื่อสักครู่รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ
หมับ!
“เฮ้ย! ไอ้เหี้ย!”
และก็เป็นอีกครั้งที่ต้องร้องออกมาอย่างตกใจ ผู้ชายคนนี้ชอบทำอะไรตามใจตัวเองตลอด จู่ ๆ ก็เกี่ยวเอวเขาเข้าไปกอดแน่น สะบัดตัวยังไงก็ไม่หลุด อ้อมแขนแข็งแรงมันกำลังทำให้เขานึกถึงคืนนั้นอีกแล้ว
“ดิ้นทำไม ยังไงก็คุ้นเคย”
“คุ้นเคยบ้านมึงสิ! ปล่อยกู!!”
“เฮ้ ๆ มีอะไรกันหรือเปล่า”
กึก
เสียงของคุณอาดังขึ้นด้านหลัง โมเดลชะงักอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย อยากจะดีดตัวออกไปให้ห่างจากผู้ชายคนนี้ แต่ติดตรงที่ว่ามือหนาไม่ยอมปล่อยเขาออกสักที แถมมีการใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผิวของเขาเล่นผ่านเนื้อผ้าโดยไม่ให้คุณอาเห็นอีกต่างหาก
“เปล่าครับ น้องเขาจะล้ม ผมเลยช่วยไว้น่ะครับ” หน้ากากผู้ชายที่แสนดีถูกยกขึ้นมาใส่ทันที รอยยิ้มอ่อนโยนมันทำให้โมเดลยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม ดันแผ่นอกหนาออก และคราวนี้จักรพรรดิก็ยอมปล่อยโดยง่าย
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว”
“ครับ”
“อาฝากตรงนี้ด้วยนะพรรดิ อามีงานต้องรีบไปอีกที่”
“ได้ครับ เดินทางดี ๆ นะครับ” บอกลาคุณอาเสร็จก็เหลือพวกเขายืนอยู่ด้วยกันสองคน โมเดลขยับออกห่างเหมือนรังเกียจทันที ร่างสูงยิ้มเยาะก่อนจะกอดอกแล้วมองไปรอบ ๆ
“สำรวจและจดรายละเอียดให้หมดล่ะ ผมไม่อยากให้งานออกมาเสีย”
“…”
“และถ้ามีส่วนไหนที่ควรจะปรึกษาหรือถามฉันนายก็ควรพูดมันออกมา เงียบไว้แบบนี้และถ้างานมันออกมาไม่ดี มันความผิดนายนะ” เสียงของร่างสูงยังคงรบกวนเขาอยู่ตลอด โมเดลพยายามทำเป็นไม่สนใจ คิดซะว่าเสียงฟ้าเสียงฝนก็แล้วกัน
และอย่างน้อยจักรพรรดิก็ยังพอมีหัวคิดอยู่บ้าง ไม่เข้ามารบกวนเวลางานของเขา เพียงแค่ยืนอยู่ห่าง ๆ และจ้องมองมาตลอดแค่นั้นเอง
หึ! แค่นั้นเอง!
“โมเดล” เวลาผ่านไปจักรพรรดิก็เดินเข้ามาเรียก โมเดลเพียงแค่ปลายตามองอย่างไม่สนใจ จักรพรรดิเห็นแบบนั้นก็ร้องหึในลำคอ ยังไงก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าโมเดลไม่มีทางยอมคุยกับเขาดี ๆ แน่
“วันนี้พอแค่นี้แหละ ฝนจะตกแล้ว ถ้าเกิดมันตกหนักจะขับรถกลับลำบากนะ”
พออีกฝ่ายบอกแบบนั้นโมเดลก็เงยหน้ามองฟ้า ใช่อยู่ที่ตอนนี้มันเป็นเวลาช่วงเย็น แต่ท้องฟ้ามันมืดเกินเวลาไปแล้ว และดูท่ายังไงฝนก็ตกแน่ ๆ และเขาก็คิดอย่างที่อีกคนบอก ถ้ามันตกหนักขับรถกลับลำบากแน่และที่สำคัญ ตอนที่ขับรถมา แถวนี้แทบจะไม่มีบ้านคนเลย รถที่วิ่งสวนกันก็มีน้อยจนแทบจนนับคันได้
เมื่อคิดได้แบบนั้นขาเรียวก็ก้าวเดินออกมา ไม่แม้แต่จะร่ำลาคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ จักรพรรดิมองตามแผ่นหลังบางไป และจงใจเอ่ยให้เจ้าตัวได้ยิน
“ไร้มารยาท”
ขาเรียวชะงักกึก มือกำหมัดแน่น ปากแบบนี้น่ะเหรอ สันดานแบบนี้น่ะเหรอที่คุณอาบอกว่ามันเป็นคนดี งั้นก็ขอเลยแล้วกัน ไอ้คนดี ๆ แบบนี้อย่าเข้ามาในชีวิตเลย น่ารังเกลียด
โมเดลเมินเสียงนั่นแล้วเดินมาที่รถ เพิ่งสังเกตว่าเขาจอดรถอยู่ใกล้ ๆ กับรถของอีกฝ่าย บีเอ็มไอสามของอีกฝ่ายมันทำให้รถของเขาดูด้อยไปเลย แล้วอีกอย่างนะ…
“ทั้งรถทั้งคน หน้าตาน่าหมั่นไส้พอกัน”
โมเดลฮึดฮัดแล้วรีบขึ้นรถตัวเอง ไม่อยากจะเห็นหน้าไอ้คนที่เดิมตามมาข้างหลังอีกครั้ง ไม่สนใจด้วยว่าอีกฝ่ายจะมองมาด้วยสายตาแบบไหน และไม่ว่าสายตาแบบไหนเขาก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ
และก็เป็นอย่างที่คิด ขับรถออกไปได้เพียงนิด ฟ้าก็แลบอย่างน่ากลัว และอีกไม่นานฝนก็คงตก ถ้าตกหนักมากเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าจะขับกลับได้ไหวมั้ย มันอันตรายพอตัวเลยขับรถท่ามกลางสายฝน
แต่แล้วโมเดลก็รู้สึกถึงความผิดปกติของรถที่ขับ ก้อนเนื้อในอกเต้นตึกตัก และในที่สุดรถของเขาก็นิ่งสนิท และในตอนนั้นเองที่โมเดลเข้าใจทุกอย่างในทันที
“เหี้ย! น้ำมันหมด!”
มือเรียวยกขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองอย่างแรง โง่ถึงขนาดลืมเรื่องแบบนี้ได้ แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ เส้นทางแบบนี้หาปั๊มน้ำมันไม่ได้ง่าย ๆ ซะด้วย อย่าว่าแต่ปั๊มน้ำมันเลย เอาแค่รถวิ่งผ่านมาให้ได้ซะก่อนเหอะ
จะโทรไปที่บ้านให้มาช่วย แล้วใครจะมาล่ะ พ่อกับแม่ก็ไม่ว่างชัวร์ ๆ พวกเพื่อนก็อย่าหวังเลย ไกลขนาดนี้พวกมันไม่มาแน่ ๆ
ร่างบางเปิดประตูออกมายืนด้วยท่าทางหงุดหงิดสุด ๆ และต้องหงุดหงิดหนักกว่าเดิมเมื่อไอ้รถหน้าตากวนเบื้องล่างมันมาจอดอยู่ข้างหลัง เจ้าของรถร่างสูงใหญ่เปิดประตูลงมา หรี่ตามองเขาก่อนจะหัวเราะเยาะ
“รถเป็นอะไรล่ะ”
“เสือก!” ตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิดเลย ใครจะให้อยากไอ้เวรนี่มันรู้กันล่ะว่าเขาลืมเติมน้ำมัน ถ้ามันรู้ล่ะก็ มันได้หัวเราะเยาะเขามากกว่านี้แน่
“ท่าทางไม่ดีเลยนะ จะกลับบ้านได้มั้ยเนี่ย” จักรพรรดิกอดอกมองประเมินสถานการณ์ ถามเหมือนจะเป็นห่วง แต่แววตาของเขานั้นไม่ใช่เลย มันเหมือนกับว่าเรื่องตรงหน้านี้เป็นเรื่องสนุกให้เขาชมก่อนกลับบ้านก็แค่นั้น
“บอกว่าอย่าเสือกไงวะ”
โมเดลสวนกลับอีกครั้ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาไล่หาเบอร์คนที่พอจะช่วยเขาได้บ้าง กดโทรออกหาหลาย ๆ คน แต่ก็ไม่มีใครว่างเลยสักคน แม้แต่เพื่อนสนิทมันก็ยังไม่ว่าง
“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวไปส่ง”
“กูไม่ไป!”
โมเดลเสียงแข็งใส่ ตอบกลับแบบไม่ต้องคิด ใครจะอยากไปกับไอ้เวรนี่กัน ถ้าต้องไปกับมัน เขายอมอยู่ที่นี่ทั้งคืนยังจะดีซะกว่า
“มันก็เรื่องของนาย นายจะอยู่ที่นี่ทั้งคืนหรือว่ายังไงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันฉันอยู่แล้ว ถ้างั้นก็ขอให้โชคดี ฉันรู้ว่านายคงจะกลัว หึ ๆ” จักรพรรดิยักไหล่ไม่แคร์ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากไปเขาก็ไม่บังคับ จะลำบากแค่ไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาอยู่แล้ว และดูเหมือนว่าคำว่ากลัวจะกระแทกใจอีกฝ่ายอย่างแรง
“ใครกลัวมึงวะ!”
“ถ้าไม่กลัวก็ขึ้นรถสิ และช่วยหุบปากมาก ๆ ของนายด้วย ฉันรำคาญ”
พูดจบก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ โมเดลกัดฟันอย่างหงุดหงิด แต่พอเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีทางเลือก ขยี้ศีรษะอย่างแรงก่อนจะฮึดฮัดขึ้นมานั่งข้างร่างสูงในรถ
และดูเหมือนว่ากวางน้อยจะตกลงไปในหลุมของราชาเข้าซะแล้ว จักรพรรดิกระตุกยิ้มโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็น เหลือบมองใบหน้าสวย ๆ ของคนข้างตัวด้วยแววตาวาววับพร้อมจะขย้ำเหยื่อ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้มีทางเลือกให้โมเดลนะ เขาก็ให้เลือกแล้ว ว่าจะไปกับเขา หรือจะอยู่ตรงนี้ต่อไป เพียงแต่ว่า…ทางเลือกมันบังคับมาแล้ว ว่ายังไงโมเดลก็ต้องเลือกอย่างแรก
เดลขึ้นมานั่งก็ไม่ได้หันไปมองคนข้างตัวเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวมองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงแม้ว่ารอบข้างจะเต็มไปด้วยต้นไม้ทั้งนั้นก็เถอะ แต่ยังไงก็น่ามองกว่าผู้ชายข้าง ๆ เขาแน่
และเพียงขับรถออกมาได้อีกนิดเดียวก็เป็นอย่างที่คาดไว้ สายฝนเทกระหน่ำลงมาทันที ตกหนักแบบชนิดที่ว่ามองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น โมเดลถอนหายใจ พอมีอะไรให้สนใจมากกว่าคนข้างตัว แต่ก็ดันมีฝนมาบดบังซะได้
“ถอนหายใจบ่อยไปนะ”
“ก็เพราะต้องมาอยู่กับคนที่ไม่อยากจะอยู่ใกล้ไง”
“อืม ไม่ต้องคิดอะไรให้มากหรอก เพราะยังไงนายก็หนีไปจากตรงนี้ไม่ได้ นอกจากว่านายจะเก่งขนาดที่ว่าเดินเท้ากลับบ้านล่ะนะ” จักรพรรดิสวนกลับนิ่ม ๆ แต่เจ็บแสบ โมเดลร้องเฮอะเบา ๆ ก่อนจะเมินหน้าหนี
แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้ว เมื่อจักรพรรดิขับรถเข้าข้างทาง ร่างผอมเพรียวหันขวับกลับไปหา หน้าตาหาเรื่อง ไม่สบอารมณ์ที่จู่ ๆ จักรพรรดิก็จอดรถซะงั้น
“จอดทำไม เป็นบ้าอะไรอีก”
“มีตาก็หัดมองซะบ้าง เห็นมั้ยว่าฝนมันตกหนักน่ะ” ร่างสูงใหญ่ปลายตามองด้วยความรำคาญ เหมือนกับจะด่าว่าเรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ได้ โมเดลหน้าชา ก่อนจะตะคอกกลับไป
“ฝนแค่นี้มันจะอะไรนักหนาวะ!!” หงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว เพราะถ้าเกิดว่ารอให้ฝนมันซาลง นั่นก็หมายความว่าเขาต้องอยู่กับผู้ชายคนนี้นานขึ้นน่ะสิ ให้ตายก็ไม่เอาหรอก
“ก็ถ้าอยากตายก็มาขับ แต่ฉันไม่ไปกับนายด้วยหรอกนะ ชีวิตฉันมีค่า และไม่อยากจะอายใครเขาถ้าต้องมาตายเพราะฝนตกมองไม่เห็นทาง มันดูไม่มีสมองเกินไป” จักรพรรดิยักไหล่ตอบ โมเดลถึงกับหน้าชาอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าจะโดนหลอกด่าว่าไม่มีสมอง
ร่างบางฮึดฮัด กอดอกด้วยความเซ็งและมองออกไปนอกกระจกอีกครั้ง พยายามทำใจรอให้ฝนซาลง แต่แล้วความรู้สึกอุ่นวาบที่ข้างแก้มก็ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ หันกลับไปก็เจอเข้ากับดวงตาแสนดึงดูดภายใต้กรอบแว่นสวย มันกำลังทำให้เขานิ่งค้าง และยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไร ริมฝีปากของคนตรงหน้าก็กดลงมาทันที
“อื้อ!”
โมเดลร้องในลำคอ มือเรียวดันหน้าอกแกร่งเพื่อหวังจะให้ผละออกไป แต่แรงนั้นสู้แรงของจักรพรรดิไม่ได้เลย มือหนารวบข้อมือของอีกคนเอาไว้ แล้วดูดดึงริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเอาแต่ใจ
ความหอมหวานที่ได้ทำให้เขายิ่งกดริมฝีปากลงไปหนัก ๆ ขบเม้มจนรู้สึกได้ว่าโมเดลเกร็งตัวขึ้นมา ลิ้นร้อนสอดเข้าไปยิ่งทำให้ร่างบางตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
สัมผัสเดิม และความรู้สึกในคืนนั้นมันกำลังวิ่งเข้ามาในหัว
แค่เพียงจูบของผู้ชายคนนี้ก็ทำให้ร่างกายของเขาร้อนวูบวาบ โมเดลพยายามจะดิ้น แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะไม่มีแรงขึ้นมาดื้อ ๆ
พรึ่บ
“อะ…เฮ้ย!”
ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ ๆ จักรพรรดิก็จับตัวขึ้นพาปีนข้ามมาที่เบาะหลังที่กว้างกว่า และดูเหมือนว่าจะทำอะไรได้สะดวกขึ้น
“ระหว่างรอฝนหยุด เรามาดูกันดีกว่า…ว่านายลืมสัมผัสของฉันอย่างที่ปากว่า หรือว่านายจะจำมันได้และไม่มีทางลืมแบบที่ฉันพูดกัน”