อยาก
"จิงโจ้"
"จิงโจ้ เบ็กมันนั่งรอนานแล้ว" เจ้าของชื่อที่รู้ตัวว่ามีคนกำลังเรียกอยู่ยันกายขึ้นมาด้วยสติไม่ค่อยจะครบ เพราะหมอเองเพิ่งจะได้นอนไม่ถึงสองชั่วโมง
เมื่อคืนนี้หลังจากเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยน่าจำ หมอจ้ำอ้าวไปที่ถนนหน้าร้านอาหารร้านนั้นแล้วโบกแท็กซี่กลับบ้านในตอนตี 2 ด้วยสภาพอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนัก
พี่นนท์คนดูแลบ้านวิ่งมาเปิดประตูหน้าบ้านให้ด้วยความงงงวย เพราะตอนไปหมอไปด้วยใบหน้าสดใสพร้อมกับรถหรูที่บอกว่าอาจจะไม่กลับ แต่ว่าดันกลับมาด้วยแท็กซี่สีชมพูสดและสภาพหน้าตาบูดบึ้งยิ่งกว่าตอนไป
"จิงโจ้! " นอกจากนาฬิกาปลุกก็มีเสียงพี่กวางนี่เองที่ดังพอฟัดพอเหวี่ยงกันได้
โจ้ลึกขึ้นบิดขี้เกียจ ทั้งๆ ที่ปกติเข้าเวรเหนื่อยกว่านี้หลายเท่าตัว เขายังมีเวลาตื่นมาเล่นกับหมา อ่านหนังสือที่ชอบ แต่ความเหนื่อยของเมื่อคืนนี้กลับทำให้หมดเรี่ยวแรงเอาง่ายๆ เมื่อคืนหมอนอนไม่หลับและปล่อยให้สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อย่างจับใจความไม่ได้
"จิงโจ้ หมารออยู่ข้างนอก! "
"ครับๆ " โจ้ลุกยืนพร้อมกับตอบรับพี่สาวผู้เริ่มเสียงดังขึ้นทุกที เขาเดินไปเปิดประตูแล้วนั่งลงลูบหัวไอ้หมาตัวใหญ่สองตัวแบบที่ทำประจำในยามเช้า
"ไปทำอะไรมาเมื่อคืน"
ปกติแล้วหมอกับทั้งพี่เสือและพี่กวางเองมักจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องส่วนตัวกันนัก แต่วันนี้พี่กวางกลับเห็นว่าน้องชายแปลกไป
"ไปรับเพื่อนที่สนามบิน" หมอตอบตามความเป็นจริง
"แล้วทำไมถึงนอนด้วยชุดนั้น"
หมอก้มลงมองเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนของตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจอีกรอบ
"อาหารหมาที่ซื้อมาเมื่อวานอยู่ในครัวใช่ไหมครับ" โจ้เปลี่ยนเรื่อง ดูจากนาฬิกาข้อมือแล้วมันเลยเวลาอาหารเช้าของไอ้พวกนี้มาเกือบชั่วโมง
หมอว่าจะเดินลงไปชั้นล่างของบ้าน แต่พี่สาวคนสวยก็ดึงไว้ก่อน
"พี่ให้ข้าวหมาไปแล้ว มันคงแค่อยากมาหา"
โจ้พยักหน้ารับรู้ เขาเปิดประตูกว้างเพื่อให้หมาสองตัวเข้ามาในห้อง
“ตาเธอช้ำนะ ไปอาบน้ำก่อนเถอะ เสร็จแล้วค่อยลงไปทานข้าว” พี่สาวคนสวยชี้ที่ใต้ตาตัวเองเพื่อบอกเป็นนัย ก่อนจะจูงไอ้หมาตัวโตทั้งสองที่ยอมเดินตามอย่างว่าง่ายลงไปที่ชั้นล่างของบ้าน
"ดูไม่ได้เลยกู" เขาว่าในตอนที่ยืนมองสภาพตัวเองผ่านกระจกหน้าตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่
หมอขยี้ตาที่ช้ำโดยไม่ได้สนใจว่ามันจะช้ำมากกว่าเดิม ในตอนนั้นเพิ่งนึกออกว่าควรจะชาร์ตแบ็ตโทรศัพท์หลังจากที่ดับไปเพราะสายเรียกเข้าทั้งคืน บางทีอาจจะมากกว่าร้อยสาย
"ถึงไหนแล้ว" โจ้กรอกเสียงลงไปเมื่อเปิดเครื่อง ชาร์ตแบตเตอรี่เสร็จก็ลองโทรหาเพื่อนตัวเองแล้วพบว่ามีคนรับ ทั้งๆ ที่ตอนนี้น่าจะอยู่บนเครื่องบิน
"โดฮา แวะต่อเครื่อง 5 ชั่วโมงเลยมานั่งกินข้าว เปิดเครื่องมามีเบอร์แปลกๆ โทรหาเพียบเลย" เสียงรื่นเริงของเพื่อนทำให้หมอเบาใจขึ้นมาบ้างว่าการเดินทางนั้นปลอดภัยไม่ได้ติดขัดอะไร
"อย่าไปรับเบอร์แปลกๆ ล่ะ แล้วก็อย่าตามคนแปลกหน้าไปด้วย"
"ไม่ใช่เด็กสามขวบครับพ่อ"
โจ้หัวเราะน้อยๆ ให้กับเพื่อนตนก่อนจะวางสายไป จะว่าไปหมอก็ทำตัวเหมือนพ่อจริงๆ อย่างที่เขาว่า
'Trrr'
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งในเวลาไม่ถึงนาทีหลังจากสายที่แล้วถูกวางไป โจ้มองหน้าจอที่แสดงเบอร์ที่ไม่รู้จัก
เขาเบือนหน้าหนีจากมันและเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปอาบน้ำอย่างที่ควรจะทำ เพราะรู้ว่าเบอร์นั้นเป็นของใคร
.
.
.
"พ่อครับ ผมยืมรถกลับบ้านหน่อย" ลุงที่กำลังนั่งเล่นกับหมาอยู่มองที่หมอทีแล้วหันกลับมามองที่หมาที จะว่าไปแล้วเมื่อเช้าก็ไม่เห็นปอร์เช่สีดำคันนั้นแล้วเหมือนกัน
"แล้วเมื่อวานรถใคร"
"รถคนรู้จักครับ เอาไปคืนเมื่อคืนนี้"
ด้วยรู้ว่าลักษณะนิสัยของลูกชายตนเป็นพวกคบคนอยากไม่ค่อยมีเพื่อน พ่อของโจ้ถึงได้แต่เก็บคำถามไว้ในใจว่าเพื่อนคนไหนมีรถหรูขนาดนั้น และพราะรู้อีกว่าลูกชายตัวเองนิสัยเป็นยังไงจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
"เอามาคืนด้วย" คุณไพศาลที่หวงรถยิ่งกว่าลูกเห็นแก่หมาตัวโตสองตัว เลยยอมให้หมอยืมรถไปง่ายๆ
ในบรรดาลูกทั้งสามคน ลูกชายคนเล็กอย่างจิงโจ้ก็เหมือนลูกคนสุดท้องของคนอื่นๆ ที่พ่อแม่มักจะตามใจกว่าพี่น้อง และนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมหมอถึงเอาแต่ใจและเผด็จการแบบไม่รู้ตัว
"ขอบคุณครับ" นอกจากจะเอาแต่ใจแล้วยังปากแข็งมากอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นแล้วคุณพ่อที่นิสัยพอๆ กันถึงได้แค่มองอยู่เงียบๆ
"กลับเร็วไอ้เบ็ก พาย..." พอเรียกชื่อนั้นออกมามันกลับกระดากปากอยู่นิดหน่อย
ไอ้พายที่เริ่มตัวโตขึ้นนิดหน่อยมองหน้าโจ้อย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเดินเอาหัวมาไถขาแล้วมองด้วยสายตาอ้อนจนหมออดไม่ได้ที่จะก้มลงไปลูบหัวแล้วกอดแรงๆ อย่างเคย
"กลับบ้านๆ " ว่าแล้วคุณหมอลูกสองก็หอบหิ้วลูกชายกลับบ้านด้วยเมอซิเดสเบนซ์คลาส 300 ซึ่งน่าจะเป็นคันที่ถูกที่สุดของคุณไพศาล
วันนี้เป็นวันจันทร์ยามเกือบแปดโมง การจราจรถึงได้ติดขนัด หมอที่ปกติวางแผนเรื่องการเดินทางและเรื่องอื่นๆ ในชีวิตเป็นอย่างดี ถึงกับกุมขมับให้กับถนนเส้นเลียบรถไฟฟ้ากลางเมือง
"โฮ่ง! "
"โฮ่ง!! "
"โฮ่ง! "
"โฮ่ง!! "
ถ้าไอ้พายเห่าไอ้เบ็กก็ต้องเห่ารับเป็นเรื่องธรรมดา
โจ้มองตามสายตาของหมาตัวโตก็พบกับหมาข้างถนนตัวนึงที่คุ้ยขยะหาของกินยามเช้า หมอไม่ใช่พ่อพระที่เห็นสิ่งแบบนี้แล้วกระตือรือร้นเข้าไปหาเพื่อช่วยเหลือ
เขาเป็นแค่คนธรรมดาที่ได้เพียงมอง คิดสงสาร และจากไป หมอโคลงหัวไปมา เขามองโทรศัพท์ที่สั่นมาตั้งแต่เช้า ก่อนจะละสายตาออกไปข้างนอกดังเดิมแล้วเหยียบคันเร่งเมื่อรถคันข้างหน้าเริ่มขยับ
.
.
.
ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงถึงกลับมาถึงบ้าน หมอลงไปเปิดรั้วก่อนจะเอารถเข้ามาจอดในบ้าน เขาเห็นคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อคืนนั่งอยู่หน้าบ้านตัวเอง
"โฮ่ง! "
"โฮ่ง! " เสียงของไอ้เบ็กตัวใหญ่ที่เห่าหลายต่อหลายครั้งเมื่อวิ่งลงจากรถได้ ทำเอาหมอที่พึ่งจะจอดรถเสร็จหันไปมองตาม
"อย่าเลียหน้าสิวะ" เสียงทุ้มนั่นหัวเราะน้อยๆ
โจ้ก้าวเท้าลงจากรถพร้อมกับมองแผ่นหลังหนาและกว้างของใครอีกคนที่นั่งอยู่บริเวณพื้นหญ้าหน้าบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หมอที่บอกตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไรมากนักมองเสื้อลายสก็อตกับกางเกงยีนชุดเมื่อวาน ใบหน้าทะเล้นของอีกคนที่มักจะเห็นได้อยู่เสมอ ในยามที่หันมาสบตากันนั้นประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
"ผมขอโทษ" เสียงนั่นบอกออกมาเบาๆ หมอไม่ได้หวังว่าจะได้ยินอะไรที่มากกว่านี้ แต่หมอก็ยังนึกไม่ออกว่าพวกเขาจะต้องเริ่มต้นบทสนทนากันอย่างไร
"เรื่องอะไรล่ะ" โจ้ว่าก่อนที่จะเดินไปหาไอ้หมาพายที่ยืนหันรีหันขวางอยู่ใกล้ๆ ไอ้เบ็กอย่างที่ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ควรจะเห่าผู้มาใหม่หรือควรจะเข้าไปเล่นด้วยเหมือนที่หมาอีกตัวทำ
"ผม..." เจ้าของร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาใกล้ โจ้ก้าวถอยหลัง นั่นทำให้ระยะห่างของพวกเขาไกลกว่าทุกๆ ครั้งที่เคยเป็น
"ช่วงนี้ว่างเหรอ ได้ยินว่างานยุ่ง"
โจ้ไม่สบตาคนข้างหน้า เขานั่งลงลูบขนไอ้หมาลาบาดอร์สีน้ำตาลเข้มอย่างเบามือ ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าสบตากับคนที่จ้องอยู่ก่อน
“ผมแค่อยากกลับมาเจอหมอ ผมคิดถึง...”
พายเองทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเองไม่มีเวลา รู้ว่าต้องทำงาน รู้เกือบทุกอย่าง แต่เหตุผลจริงๆ ที่มาก็แค่อยากเจอหน้า อยากได้ยินเสียง อยากให้หมอบ่น คิดถึงแบบที่ไม่เคยคิดถึงใครมาก่อน....
“ถามว่างานยุ่งหรือเปล่า?” โจ้ทวนคำถามเดิม
"ยุ่งครับ แต่..."
“อย่าใช้กูเป็นข้ออ้างเลย ถ้าจะกลับมาหาแฟนตัวเอง” โจ้แค่นยิ้มให้กับคนตรงหน้า
พายไม่เข้าใจ
“ผมไม่ได้มีใคร” คนตัวใหญ่ว่า...แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็รู้ว่าตัวเองผิดจริงๆ
"ผมขอโทษ"
"มึงจะขอโทษทำไมนักหนา! " โจ้รู้สึกว่าคำถามและคำตอบเช่นนี้เวียนกลับมาอีกครา
"แล้วหมอโกรธอะไร"
นั่นสิ... โจ้ลุกขึ้นแล้วยืดตัวให้ตรงอย่างที่เคยเป็น เขาไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน เพราะผิดหวังไปเสียทุกอย่าง ผิดหวังกับความรักเก่า คนรักเก่า ผิดหวังกับคนตรงหน้า แต่ท้ายที่สุดแล้วก็คือผิดหวังกับตัวเอง...ที่เผลอไปหวังอะไรเสียมากมาย
หมอโจ้ยอมรับว่าตัวเองข้างอีโก้สูง ชอบทำเรื่องง่ายให้ยาก แต่เขาก็พยายามเข้าใจทุกอย่างมาตลอด พยายามเข้าใจคนตรงหน้า แต่สุดท้ายแล้วถึงจะเข้าใจ...แต่ก็ไม่กล้าเชื่อใจอีกแล้ว
"โกรธตัวเอง" หมอบอก โกรธตัวเองที่จัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ทั้งเจ็บใจและหงุดหงิดเพราะเผลอใจให้กับคนตรงหน้ามากเกินไป
"ผมไม่เข้าใจ" พายขยับเข้ามาใกล้ มองดวงตาที่บวมช้ำของอีกคน
“ผมรู้ว่าผมเคยนิสัยไม่ดี ผมรู้ แต่ผมแค่อยากเริ่มใหม่”
พายแตะที่มืออีกคน นึกเกลียดอดีตของตัวเองที่ทำทุกอย่างพัง...ทั้งๆ ที่มันกำลังจะไปได้ดี
“ผมถึงอยากขอโทษ แต่ผมไม่ได้คบกับใคร หมอก็รู้ว่าผมรอหมออยู่” คนตัวใหญ่บีบมืออีกคนไว้แน่น
พายนั่งอยู่ที่หน้าบ้านของอีกคนทั้งคืน เพราะกลัวว่าถ้าหมอกลับมาแล้วจะไม่เจอกัน อย่างน้อยก็อยากจะคุยก่อนที่จะต้องกลับไปทำงาน
“ผมไม้ได้คบกับเธอ ผมเลิกกับทุกคนหมดแล้ว”
“แล้วแต่ละคนเขารู้หรือเปล่าว่ามึงเลิกแล้ว”
พายนิ่งไป
โจ้ที่เคยบอกให้คนอื่นทำอะไรให้ชัดเจนแต่ตัวเองกลับไม่ชัดเจนเสียเองจ้องใบหน้าหล่อเหลานั่น มองเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน
"เมื่อคืนที่จูบ... มึงรู้สึกยังไงบ้าง" หมอถามตรงๆ
พายเชื่อว่าถ้าไม่ใช่หมอคงไม่มีใครถามออกมาหน้าตาเฉยแบบนี้แน่นอน
"ผม..." พายที่มองหน้าเฉยชาของอีกคนเก็บคำพูดลงในคออีกครั้ง
พายเคยเชื่อว่าตัวเองเป็นคนมั่นใจ มุทะลุ แต่กับหมอเขากลับไม่กล้าพอ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาในบางที และในตอนนี้คือไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกไป ด้วยกลัวเหลือเกินว่าเขาจะเดินหนีอย่างเมื่อคืน
ที่เคยบอกว่าอยากจะชนะหมอ...ตอนนี้กลับแพ้จนหมดรูป
“ที่จูบ เพราะอยากรู้ว่ารู้สึกยังไง” หมอบอก
"ผมชอบหมอโจ้" พายบอกเหมือนอย่างที่เคยบอกมาตลอด
“กูว่า...กูก็อาจจะชอบมึง” เจ้าของบ้านบอกพร้อมกับมองมือที่จับกันไว้แน่น
“แล้วทำไม…” พายไม่ได้ดีใจเลยกับสิ่งที่คนตรงหน้าบอก เขามองใบหน้าที่ชอบ มองด้วยความกลัว..
“มึงชอบกูแบบไหน”
"ผมชอบหมอที่เป็นหมอ" หมอไม่เหมือนกับทุกๆ คนที่พายเคยเจอ
โจ้ยิ้มให้อีกคน เขามองข้ามเสียงหนักแน่นและแววตามุ่งมั่นของอีกคนไปอย่างสิ้นเชิง ...ไม่รู้ว่าตรงไหนบ้างที่เชื่อได้…
คำว่า 'ชอบ' ที่พูดออกมาง่ายๆ นั่นไม่รู้เลยว่าพูดออกมาจากใจหรือเปล่า
โจ้สบตากับนัยน์ตาสีอ่อนที่มองกัน จริงอยู่ว่าเคยรำคาญพายในช่วงแรก แต่กลับมาเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกันในภายหลัง ในตอนนั้นเขาได้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของคนข้างบ้าน หมอไม่ได้ใส่ใจนักกับการคั่วหญิงหรือชายของคนข้างหน้านักเพราะเขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่พูดอะไรได้ แต่ก็พยายามเข้าใจ
แต่พอได้รู้ตัวว่าชอบแล้ว...เขากลับทำความเข้าใจกับความเจ้าชู้นั่นไม่ได้เลย
"แล้วกับอย่างคนเมื่อวานก็ชอบเหรอ"
ผู้ชายตัวใหญ่ที่ทั้งคืนจมอยู่กับความสับสนทั้งยังจับต้นชนปลายไม่ถูกส่ายหน้าอยู่ซ้ำๆ พายมองใบหน้าขาวแบบที่ชอบ พายเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถอธิบายคำว่า ชอบ ให้อีกคนรู้ได้
"ผมอาจจะเคยชอบเขา..." คนพูดเสียงสั่น
พายพูดยังไม่จบด้วยซ้ำ คำพูดเหล่านั้นก็ถูกกลืนหายไปด้วยอีกเสียงที่ฟังดูแล้วสั่นไม่แพ้กัน
"มึงอยากได้ทุกคนที่มึงชอบไว้ข้างตัว ทั้งๆ ที่คนๆ นั้นมึงอาจจะชอบแค่ช่วงเวลาหนึ่ง มึงเห็นแก่ตัวนะพาย เห็นแก่ตัวจนลืมมองเห็นว่าคนที่ถูกมึงดึงเข้าหาด้วยความอยากเวลาที่เขาถูกผลักออกมันเจ็บแค่ไหน มึงคงไม่ทันมองเห็น"
“ไม่ใช่…ผมสาบาน” พายสาบาน สาบานด้วยใจจริงว่ากับหมอมันจะไม่ใช่แบบนั้น
"บางทีมึงอาจจะชอบกูเพราะมึงแค่อยากเอาชนะความอยากของตัวเอง"
น้ำตาหนึ่งหยดไหลลงจากตาแดงก่ำ
“สักพักก็คงหายไปแบบที่ทำกับทุกคนใช่ไหม”
พายรวบอีกคนเข้ามากอดแน่น
“ไม่ใช่…” เขากอดคนตัวเล็กกว่าไว้แนบอก เคยคิดว่าหมอจะต้องเข้าใจ คิดว่าเรื่องของเราในอนาคตจะเป็นไปได้ด้วยดี จนลืมคิดไปว่า
แต่เมื่ออดีตไม่สวยงาม...ทางข้างหน้าจะราบเรียบได้ยังไง
"น้องเนยคนเมื่อวานคือแฟนเก่ากูเอง" โจ้ใช้แรงที่มีน้อยนิดผลักอีกคนออก
ดวงตาสีสวยของพายเบิกกว้างขึ้นมาทันที เขาคิดย้อนไปเมื่อเกือบครึ่งปีที่แล้ว เนยเข้ามาหาเขาทั้งๆ ที่ตัวเธอมีแฟนอยู่แล้ว พายไม่ได้นิยมคนมีเจ้าของแล้ว เขาบอกเธอว่าไม่อยากคบคนมีแฟนแล้ว
ไม่นานเนยก็กลับมาใหม่...พร้อมกับบอกพายว่าเธอเลิกกับแฟนแล้ว
เขาไม่เคยสนใจว่าใครจะรู้สึกยังไง รู้แค่ว่าเขาและเธอทำข้อตกลงกันได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแฟนที่ว่าเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน
ถึงจะคิดอะไรได้มากมาย สุดท้ายก็พูดออกมาได้แค่ประโยคโง่ๆ ดังเดิม
"หมอขอโทษ...หมอจะโกรธผมก็ได้ แต่อย่าไล่ผมไป"
โจ้มองไอ้เบ็กที่วิ่งวนไปรอบขา มองคนตัวใหญ่ผิวแทนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะยิ้มให้
"อาจจะโกรธ แต่กูไม่ได้พูดเรื่องทั้งหมดนั่นเพราะแค่กูโกรธมึงหรอก" หมออยากให้อีกคนคิดเยอะกว่าที่เป็น
หลังจากนี้พวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเพื่อนกัน แต่หมอก็อยากให้เราจบลงด้วยดี เผื่อครั้งหน้า เผื่อได้เจอกันอีก อาจจะยิ้มให้กันในฐานะคนรู้จักกันได้...
"ผมแค่อยากอยู่กับหมอ" พายบอกอีกคน...ท้ายที่สุดแล้วมันก็คงเป็นความอยากอยู่ดี
เขารู้ว่าหมอคงโกรธและเกลียดกันไปแล้ว แต่ก็ยังเชื่ออีกเหมือนกันว่าอีกคนคงยังแคร์กันอยู่ ถึงได้ร้องไห้เสียมากมาย
"อยู่แค่วันนี้หรือเปล่า แล้วพรุ่งนี้ก็หาคนใหม่"
“ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“อืม…”
หมอถอยจากคนตรงหน้าหนึ่งก้าว ย้ำสถานะของเราให้พายและตัวเองได้รู้
“เราสองคนก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน”
"มึงไม่ได้ชอบกูจริงๆ หรอก...มึงแค่ถอยไม่เป็นพาย"
ผู้ชายตัวใหญ่มองมือตัวเองที่ยังจับมืออีกคนไว้ รู้ตัวดีว่าตัวเองเห็นแก่ได้ อยากได้ทุกอย่างที่ชอบใจ มักง่ายกับทุกความสัมพันธ์ ในตอนนี้เพิ่งรู้ความสัมพันธ์ของเรานั้นกว่าจะสร้างมันขึ้นมายากขนาดไหน พอตอนจะจบกลับง่ายดายเหลือเกิน
แต่เดิมพายโตมาด้วยตัวคนเดียว ใช้ชีวิตด้วยความเจ็บปวดนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เป็นแบบนี้ เขาเจ็บจนชาไปทั้งตัว ทั้งจะก้าวออกไปจากตรงนี้ยังทำไม่ได้
หมออาจจะพูดถูกว่าเขาถอยไม่เป็น แต่ที่หมอไม่รู้คือตอนนี้เขาเองนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะก้าวไปข้างหน้าได้ยังไง พายมองคนที่บอกว่าชอบ อยากจะบอกอีกสักพันรอบ แต่ก็คงสื่อไปไม่ถึงเขา
เขาปล่อยให้น้ำตาไหลลงเงียบๆ พายคิดตื้นๆ อยู่เป็นประจำ จนลืมไปว่าเมื่อได้ถลำลึกลงไปจริงๆ มันจะแย่ขนาดไหน
“ไปเถอะ”
เขามองเจ้าของบ้านที่คอยแต่จะไล่กัน พายดึงอีกคนเข้ามากอด กอดไว้ให้เขารู้ว่าคำว่าชอบที่มันอธิบายไม่ได้เป็นยังไง
"ผมจะกลับมา หมอเคยบอกว่าหมอจะอยู่ตรงนี้" พายรวบอีกคนเข้าหาตัวแน่น กดจมูกโด่งลงบนกลุ่มผมสีเข้ม
"โชคดี" เสียงของอีกคนอู้อี้อยู่ตรงอก
ท้ายที่สุดแล้วคนโง่อย่างเขาก็ทำได้แค่ยิ้มกว้างโง่ๆ อย่างเคย แม้ยิ้มนั้นจะฝืนมากก็ตามที
.
.
.
โจ้เป็นมนุษย์จำพวกแข็งนอกอ่อนใน ปฏิเสธคนไม่เป็น ถึงจะบอกว่าไม่ชอบแต่จริงๆ ก็ใจอ่อน แม้มันจะดูไม่เป็นมิตรแต่ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่มีคนมาขออะไรจากเขาแล้วจะไม่ได้ เรื่องของพายก็เช่นกัน
หมอรู้ว่าตัวเองหวั่นไหว เพียงแต่ตอนนี้กลับกลัว… เขาไม่ได้เกลียดพาย ไม่ได้โกรธ แต่กลัวว่าถลำลึกเกินไปจะเป็นตัวเองที่เจ็บอีกครั้ง เพราะรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้มีอะไรดีใช้พายมาหลงรักขนาดนั้น
พายอาจจะชอบเขามากในตอนนี้แต่เมื่อใดที่พายเลิกชอบ เขาก็คงจะเป็นคนที่ถอยออกมาไม่ได้เสียเอง
สิ่งที่หงุดหงิดมากกว่านั้นคือหมอยังนึกไม่ออกเสียทีว่าทำไมถึงไปใจอ่อนกับเรื่องของผู้ชายตัวใหญ่ข้างบ้านได้
.
.
.
“ผมกับน้องเนยเคยคบกันแค่เดือนเดียว หลังจากนั้นก็ห่างกัน ผมผิดเอง”
“ผมรู้ว่าหมอคงไม่เชื่อ แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้มีใคร…”
“ตอนนี้ ผมบอกทุกคนไปชัดเจนแล้วว่าผมไม่ได้รักใครเลย”
“ผมรอแค่หมอ”
.
.
.
“ใจร้ายฉิบหาย”
หมอเปิดอ่านข้อความจากต่างประเทศ ก่อนจะกดลบมันทิ้ง
“โจ้นอนไม่พอเหรอ” หมอนายเดินเข้ามาหาที่โต๊ะในร้านอาหารแถวโรงพยาบาลพร้อมกับยื่นแก้วกาแฟเย็นรสชาติหวานจัดให้ นายพอรู้ว่ารุ่นน้องตัวเองมีเรื่องให้คิด แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“หมอ ผมมีเรื่องปรึกษา” หมอนายยิ้มอีกครั้งเมื่อฉุกคิดได้ว่าโจ้ก็เป็นคนธรรมดาเหมือนหลายๆ คน ที่มีเรื่องที่ไม่สบายใจบ้าง แต่หมอก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องทำนองนี้
“หมอนายมีแฟนยัง” รุ่นพี่ตัวเล็กยิ้มให้ก่อนจะตอบ
“เหมือนจะมีมั้ง” เขาตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้เพราะคนที่อยู่ด้วยกันในตอนนี้มีความสัมพันธ์แบบอธิบายไม่ได้อยู่
“ใครครับ ทำไมผมไม่เคยเจอ”
ทำไมกลายมาเป็นการซักเรื่องส่วนตัวของรุ่นพี่ไปได้
“เคยสิ” โจ้มองหน้าตายิ้มแย้มของรุ่นพี่ก่อนจะถามออกมา
“พี่แบมเหรอ”
โจ้นั่งลงบนเก้าอี้ในร้านอาหารร้านแห่งหนึ่งในตอนเย็นที่แสนวุ่นวาย
หมอนายหัวเราะก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกัน นายไม่ได้คิดจะปิดบังโจ้ในเรื่องของตัวเองกับเพื่อนชายร่วมบ้าน แต่กระนั้นก็ไม่ได้บอกออกไปตรงๆ เพราะรู้ว่าโจ้คงดูออกว่าตนเองไม่มีทางที่จะชอบผู้หญิงอยู่แล้ว
“อือ กลัวไหมทีนี้ เรานอนด้วยกันออกจะบ่อย”
สำหรับหมอนายแล้วโจ้เป็นแค่น้องชายจริงๆ
“หมอไม่ได้คิดอะไรกับผมนี่” โจ้ตอบรุ่นพี่ต่อด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะถามต่อเมื่ออีกคนหันไปสั่งกาแฟร้อนกับเด็กเสริฟ
“ดื่มกาแฟตอนหกโมงแล้วจะได้นอนตอนไหนหมอ วันนี้ไม่ได้เข้าเวรนี่”
“กาแฟทำอะไรเราไม่ได้แล้ว”
พวกเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกันเพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าด้วยความที่เหนื่อยมาทั้งวันต่อให้ดื่มกาแฟเข้มแค่ไหนยังไงก็หลับอยู่ดี
“ผมว่าจะไปเรียนต่อ”
คนตัวเล็กกว่าพยักหน้า
“เห็นผอ.บอกแล้ว ทางไหนดีกว่าก็ไปเถอะโจ้ เป็นผมนะนอนกินเงินพ่อเล่นที่บ้านไปแล้ว” เขาบอกติดตลก
โจ้ยิ้มตามคำที่หมอหนุ่มบอก ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ มีหวังถูกตัดออกจากกองมรดกเป็นแน่
“เรื่องที่จะปรึกษาไม่ใช่เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอโจ้”
โจ้ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปรับข้าวและกับข้าวที่มาถึงแล้ว
นายรู้เรื่องที่หมอโจ้จะไปเรียนต่อได้พักนึงแล้ว ไม่ใช่แค่เขาหรอกจริงๆ แล้วรู้กันทั้งโรงพยาบาลเพียงแต่เจ้าตัวยังไม่ได้ออกปากบอกกับเขาเองต่างหาก พักนี้เขาสังเกตเห็นว่าหมอโจ้คิดอะไรอยู่หลายอย่าง หน้าตาที่เคยนิ่งและเข้าหายากอยู่แล้วยิ่งเย็นชาเข้าไปใหญ่ ทำเอาหลายๆ คนที่ไม่สนิทกันไม่กล้าเข้าใกล้หมอมือหนึ่งของโรงพยาบาลเสียอย่างนั้น
“กินข้าวก่อนนะหมอ”
“กินไปด้วยฟังไปด้วยได้ไหมโจ้ จะได้ไม่เครียด” อีกคนต่อรองไปพลางเขี่ยผักออกจากจานไปพลาง
“ไม่ดีหมอ เดี๋ยวสำลัก” รุ่นน้องบอกรุ่นพี่ที่รอฟังการปรึกษา นายพยักหน้าก่อนจะเริ่มกินข้าวผัดทะเลจานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
โจ้ลอบมองหมอนายอยู่พักใหญ่ พวกเขารู้จักกันครั้งแรกเมื่อเกือบสามปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่ต่างดูออกจากรูปร่างเล็กบางใบหน้าขาวใสและกิริยาเรียบร้อยว่าหมอนายนั้นคงมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน ซึ่งนั่นก็จริง หมอนายเป็นคนที่เข้าหาเขาก่อนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เป็นรุ่นพี่ที่สอนงานให้อย่างดี ทั้งยังปรึกษาได้ทุกเรื่อง แต่หมอนายมักจะเว้นระยะที่พอดีจากเขาเสมอ เว้นระยะห่างให้รู้ว่าหมอนายจะเป็นเพียงพี่ชายที่ดีเท่านั้น
“ว่ามา”
โจ้รู้สึกว่าวันนี้หมอนายจะกินเร็วผิดปกติ เขาหัวเราะก่อนจะเริ่มเรื่องช้าๆ
“หมอนายกับพี่แบมรักกันได้ยังไง”
คนที่กำลังตั้งใจฟังถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง ด้วยไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะวนมาหาตนอีกรอบ
“เอางี้นะ ผมเล่าก่อนเพราะไม่งั้นโจ้คงไม่เล่า”
โจ้ขำเพราะรุ่นพี่พูดความจริง อย่างกับเขารู้ว่าตัวมันเองกำลังประหม่าเป็นอย่างมาก
“ผมเจอแบมตอนเรียนม.ปลายเป็นเพื่อนกันปกตินี่แหละ คบกันจนมหาลัยเรียนที่เดียวกัน อยู่หออยู่ห้องเดียวกัน แล้วอยู่ดีๆ ก็ได้กัน”
ถึงยังไงหมอนายก็ยังเป็นผู้ชาย การจะพูดจาตรงๆ หรือโผงผางถึงไม่เป็นเรื่องที่แปลกนัก
“แต่ก็ไม่ได้คบกันหรอกนะ อยู่กันแบบนี้ไปเรื่อยๆ แบมมันไม่ได้ชอบผู้ชายแบบผมสักวันมันคงเปลี่ยนไป” หมอนายยิ้มให้กับคำพูดตัวเอง แม้คำบอกเล่านั่นจะดูเศร้าแต่เขากลับยิ้มได้สว่างสดใสเท่าที่เคย
“เห็นถึกๆ แบบไอ้แบมมันชอบอะไรมุ้งมิ้งนะ ชอบคิตตี้ ชอบคุมะมงอะไรของมัน จริงๆ สเป็คมันชอบผู้หญิงน่ารักๆ แต่มันก็ยังอยู่กับผม”
โจ้ขำกับท่าทางการเล่าสบายๆ แต่กระนั้นก็ตั้งใจฟัง
“หมอนายชอบพี่แบมเหรอ” รุ่นพี่หัวเราะให้กับคำถามนั่นบ้าง
“ถ้าไม่ชอบมันผมจะอยู่อย่างนี้ทำไมล่ะ หมอเอกนี่ตามจีบผมทุกวัน” คนตัวเล็กอ้างถึงคุณหมอจากโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่มารับเวรที่โรงพยาบาลมันบ้างบางวัน แต่แวะมาตอนกลางวันเกือบทุกวันเพื่อซื้อกาแฟมาให้
“ผมว่าหมอนายกับหมอเอกเหมาะสมกันดีนะ” เขาพูดถึงคุณหมอขาวตี๋กล้ามโตที่เทียวไล้เทียวขื่อหมอนายมาได้หลายเดือนแล้ว แต่อีกคนก็ไม่มีท่าทีว่าจะหันไปสนใจ
“คนที่ใช่ถึงเข้ามาในเวลาที่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่อยูดีนะโจ้ ผมหมายถึงผมตัดสินใจชอบไอ้แบมไปแล้ว ต้องเคารพการตัดสินใจของตัวเอง มันไม่มีกฏตายตัวหรอโจ้ว่าอันไหนดีกว่า คนไหนดีกว่า คนไหนเหมาะกว่าอยู่ที่ว่าเรารักใครมากกว่าก็เท่านั้น”
โจ้ยิ้มให้กับคำตอบปนอมยิ้มของหมออีกคน แต่กระนั้นก็ยังคิดไม่ตกว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่
“ก่อนหน้านี้ผมพึ่งทะเลาะกับคนๆ นึงมา” โจ้เริ่มเปิดปาก
“ครับ” หมอนายตอบรับ ทั้งๆ ที่ในหัวกำลังคิดตาม
“ทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรไม่รู้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำไมต้องโกรธเขา” โจ้พูดวกไปวนมา
หมอนายพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะถาม
“แฟนเหรอโจ้”
“ไม่ใช่ครับ” คุณหมอตัวเล็กถลกเสื้อเชิ้ตแขนยาวขึ้นไว้เหนือศอกก่อนจะอมยิ้มอย่างเคย
“ถ้าไม่ใช่แฟนจะทะเลาะกันเรื่องไร้สาระได้เหรอโจ้”
หมอนายขำแต่อีกคนเถียงไม่ออก
“เขาบอกว่าเขาชอบผม แล้ว...ผมว่าผมก็ชอบเขา” เขาบอกก่อนจะเงียบไปนาน
“แต่เมื่อก่อนเขาเจ้าชู้ ตอนนี้ก็ยังคาราคาซัง ผมไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้มันจะเป็นยังไง”
หมอนายพยักหน้าหงึกหงักแล้วสบตาอีกคนตรงๆ
“ไม่เชื่อใจเขาเพราะเรื่องเก่าๆ เหรอ”
หมอโจ้พยักหน้ารับ เขาเก็บเรื่องของน้องเนยไว้เพียงคนเดียว เล่าเฉพาะฝั่งความรู้สึกของตัวเองที่ยังติดค้าง
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องทั้งหมอมันเป็นยังไง แต่ไม่ลองให้โอกาสดูล่ะโจ้”
โจ้ยิ้มให้รุ่นพี่ที่ดูท่าทางกำลังสนุกก่อนจะตอบ
“ผมไม่ได้ใจดีขนาดนั้น” เขาว่ากันว่าคนบางคนรอบรู้ไปเสียทุกเรื่องมีแต่เรื่องตัวเองนั่นแหละที่ไม่รู้ หมอนายส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะบอกออกมา
“ผมหมายถึงให้โอกาสตัวเอง” หมอนายเป็นอีกหนึ่งคนที่รู้เรื่องของตอนโจ้เลิกกับเนยและก็เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ เลยตอนที่หมอโจ้เลิกไป เขาแค่ชวนรุ่นน้องไปเมาแล้วก็หลับ โดยให้เหตุผลว่า...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...
“แต่มันก็ขึ้นอยู่กับโจ้ด้วยนะว่าโจ้จะทำยังไงต่อไป จะเดินเข้าไปหามันใหม่หรือจะเดินหนี หรือไม่งั้นจะทำอะไรก็ทำ จะเกิดอะไรก็เกิด”
แม้ใครหลายคนจะบอกว่าหมอนายน่ารักแต่สำหรับโจ้แล้วเขาว่าหมอนายออกจะเทห์
“โจ้ว่าไง” โจ้ยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะบอกในเรื่องที่ตัวเองคิดอยู่
“ผมว่าไม่รอดหรอกหมอ”
หมอนายก็พูดในเรื่องที่ตนกำลังคิดเช่นกัน
“ไปกันไม่รอดหรือหนีกันไม่รอด”
ในที่สุดแล้วก็นั่งหัวเราะกันอยู่สองคน ให้เวลาค่อยๆ ไหลไปเรื่อยๆ อย่างที่หมอนายบอก ...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป…
.
.
.