เดี๋ยวนะ
วันนี้โจ้ตื่นค่อนข้างสายเพราะเพลียสะสมจากการทำงาน หมอจำได้ว่าเผลอหลับบนโซฟาแต่ตื่นมากลับมีผ้าห่ม หมอนและอะไรมากมายจากห้องนอนกองอยู่บนตัวและข้างๆ โซฟา
หมอบิดขี้เกียจก่อนจะเดินเข้าครัวไปเจอกับไอ้เบ็กและพ่อมันกำลังทำอาหารกันอยู่ โดยที่หมากำลังมองตามน่องไก่พร้อมกับน้ำลายหยดแหมะๆ ส่วนพ่อมันก็เดินถือน่องไก่ต้มอันโตๆ ลอยไปมา ดูก็รู้ว่ากำลังแกล้งหมา
“เบ็ก come on” โจ้เรียกหมาตัวใหญ่มาหาตัวเองแล้วกอดมันแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว ส่วนใบตองดูท่าทางลัลล้ามีความสุขกำลังครางหงิงๆ ดูก็รู้ว่ากำลังฟ้อง
“พ่อมึงแกล้งเหรอ”
“โฮ่ง”
โจ้ชักไม่เชื่อเสียแล้วว่าไอ้หมานี่ฟังออกแค่ไม่กี่คำ เพราะดูจะฉลาดกว่าที่คิดอยู่เยอะ
“แกล้งหมาทำไม” หมอเงยหน้าถามอีกคนที่วันนี้ดูแปลกๆ เพราะตั้งแต่เดินเข้าครัวมาคุณพ.ที่มักจะจ้องหน้าแล้วเล่นมุขทะเล้นน่ารำคาญกลับเงียบเกินไป แถมไม่ยอมสบตากับหมอด้วย คล้ายๆ กับกำลังหลบหน้ากัน
“เอามานี่” โจ้บอกอีกคนก่อนจะเอื้อมมือไปจับน่องไก่ชิ้นโตในมือใหญ่ พายสะดุ้งอย่างกับโดนน้ำร้อนลวก
หมอหรี่ตามองคนตัวโตอย่างจับผิดก่อนจะวางน่องไก่ในชามข้าวไอ้ใบตอง ซึ่งคุณพ.ที่ดูหลุกหลิกหันมามองกันอยู่แค่วูบเดียว แล้วเดินไปล้างมืออย่างเงียบเชียบผิดวิสัย
“เป็นอะไรวะ”
พายยืนเหม่อล้างมืออยู่ที่ซิงค์สะดุ้งเมื่อหมอมายืนข้างๆ กันแล้วล้างมือบ้าง เขาพยายามหันมองทางอื่นก่อนจะรีบถอยออกมา ซึ่งไม่ทันหมอที่คว้าหมับเข้าที่แขน
มือเปียกน้ำของหมอแทนที่จะทำให้แขนข้างที่ถูกจับเย็นกลับทำให้ร้อนวูบจนคุณพ.ทำตัวไม่ถูก
“อะไรของมึง” เจ้าของบ้านว่าพร้อมกับหันมาประจันหน้ากัน พายเหลือบมองผนังมองฝ้าไปเรื่อยเปื่อยหันมาสบตากับหมอในที่สุด แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นริมฝีปากแดงๆ ของเจ้าของบ้าน เขาก็ยิ้มแหยๆ
เมื่อคืนนี้ที่พายบอกว่าจะชิม...เขาไม่ได้แค่ชิม...น่าจะเรียกว่ากินไปนิดนึงแล้วมากกว่า หลังจากที่พายนอนกอดหมอแนบตัวอย่างกับลูกจิงโจ้อยู่นาน ก็เริ่มสำรวจหน้าตาหมอใกล้ๆ
ในความมืดสลัวคุณหมอหลับสนิทน่าตาดูไม่มีพิษมีภัย หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ แพขนตาสีเข้มทอดตัวหนาอย่างน่าอิจฉา คุณพ.แอบไล้จมูกตัวเองลงบนปลายจมูกโด่งๆ ของอีกคนอย่านึกมันเขี้ยว ในตอนนั้นเองหมอคงอึดอัดจึงขยับตัวยุกยิกพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น
คุณพ.ขำกับท่าทางแบบนั้นอยู่หน่อยก่อนจะค่อยๆ ก้มลงแตะริมฝีปากตัวเองลงที่ริมฝีปากสีสด ความรู้สึกแรกคือหยุ่นและนิ่มไม่ต่างจากคนอื่น แต่ที่พายรู้สึกว่ามันต่างออกไป คือการที่ตัวเองก้มลงแตะแล้วผละออกแบบนั้นอยู่หลายครั้งไม่รู้เบื่อ
จนในที่สุดเมื่ออีกคนเริ่มเผยอริมฝีปากเขาก็ทนไม่ไหว
….บัดซบ….
คือสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อปลายลิ้นของเขาแตะที่ความเปียกแฉะด้านใน พายค่อยไล้ลิ้นเข้าไปข้างในริมฝีปากล่างแล้วขบมันไว้เบาๆ อีกคนที่กำลังถูกรบกวนการนอนก็ตอบรับตามปฏิกิริยาของร่างกาย
หมอปล่อยให้อีกคนกวาดลิ้นเข้ามาในโพรงปาก พายผู้สติเต็มร้อนแต่มัวเมาด้วยความอยากค่อยๆ เล็มริมฝีปากหวานของอีกคนด้วยลิ้นของตัวเองอย่างช้าๆ ด้วยกลัวว่าหมอจะตื่นมาฆ่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหยุดตัวเองไม่ได้
เขาค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นมาคร่อมอีกคนไว้แล้วแอบชิมริมฝีปากสีสดนั่นอยู่ซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะไล้จมูกลงมาที่ลำคอขาวๆ ของอีกคน คุณพ. มัวเมาจนเกือบจะต้านพายุอารมณ์ตัวเองไม่ไหว เลยตัดใจลุกออกไปจากตัวหมออย่างหัวเสีย และในที่สุดก็ไปแบกเครื่องนอนชุดใหม่มานอนด้านล่างโซฟา...
พายยอมรับว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับทั้งคืน เขานอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แต่ทุกเรื่องที่คิดพอลองคิดดูอีกทีก็มีแต่เรื่องหมอทั้งนั้น และนั่นเป็นสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้พายไม่กล้าสู้หน้าหมออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ทั้งๆ ที่ตอนแรกก็คิดแค่ว่าหมอน่ารักดีแต่พอนานๆ เข้ากลับสับสน ทำให้ตอนนี้พายหงุดหงิดตัวเองเป็นที่สุด
“หมอ คือผม...”
พายนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างที่หมอยังไม่รู้
“ว่า มีอะไร”
“ผมบินคืนนี้”
โจ้มองผู้ชายตัวใหญ่ที่กำลังหลบหน้าหลบตาแล้วถอนหายใจ ถ้าไม่พูดหมอก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร
“ให้ไปส่งไหม” โจ้ถามพร้อมกับเดินไปให้ข้าวไอ้ใบตอง แต่คุณพ.เงียบไปจนผิดสังเกต
ปกติหมอมักจะไม่ใส่ใจอะไรแต่วันนี้อีกคนกลับทำหน้าเครียดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โจ้เดินมาหยุดที่ข้างกายของอีกคน หมอรู้มาตั้งแต่แรกว่าพายตัวสูงมากกว่าอยู่มากแต่พึ่งจะรู้จริงๆ ก็วันนี้ว่าความสูงนั่นไม่ได้ทำให้การมองใบหน้าคมเข้มนั่นยุ่งยากสักนิด
โจ้เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมคนๆ นี้ถึงยิ้มแย้มแจ่มใสได้ตลอดเวลา จะมีวันไหนบ้างไหมที่เครียด และวันนี้หมอก็ได้เห็นแล้ว...
“ไม่อยากไปเหรอ”
คนที่ถูกถามหันหน้ามาสบตากับหมอ ก่อนจะบอกด้วยท่าทางยิ้มแย้มอย่างเคย
“ผมบอกเหรอครับ”
หมอส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามนั่น
“หน้ามึงบอก”
พายคลี่ยิ้มอีกครั้งพร้อมกับหันหน้าไปจ้องไอ้ใบตองที่กำลังกินข้าวเช้าอยู่อย่างไม่สนใจคนแม้แต่น้อย
พายเชื่อมาตลอดว่าหมาก็เหมือนคน เหมือนตรงที่มีบางคนที่ซื่อสัตย์และบางคนก็ไม่ มีบางคนที่จมจ่อกับความเศร้าได้ไม่นานแต่บางคนก็ไม่ใช่เช่นนั้น มีบางคนที่รักคนได้คนเดียวและก็มีหลายคนที่รักใครอื่นได้หลายคน เพราะฉะนั้นแล้วมันจึงเชื่อว่าใบตองจะปรับตัวเข้ากับหมอได้ในที่สุด
ถึงพายจะเหมือนคนใจร้ายที่ทิ้งใบตองไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพายหวังดีกับไอ้หมาตัวใหญ่ เขาไม่อยากให้ใบตองกลับใบอยู่ในอพาร์ทเมนต์แคบๆ ไม่ได้อยากวางยาสลบให้นอนใต้ท้องเครื่องบินระหว่างขนย้ายที่กินเวลาเกือบสองวัน ไม่ได้อยากเป็นห่วงในยามที่มันไปไหนไกลๆ โดยไม่รู้วันกลับ
พายถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยืดแขนขึ้นสุดตัวเพื่อบิดขี้เกียจ ในตอนนั้นก็ตัดสินใจถามอะไรบางอย่างกับหมอ
“ถ้าให้เลือกระหว่างงานกับความรักหมอเลือกอะไร”
โจ้สังเกตท่าทางของอีกคนไปพลางสลับกับมองหมาไปพลาง ก่อนจะตอบโดยคิดเพียงแค่แป๊ปเดียวเท่านั้น
“คงกลับไปทำงาน” หมอมองหน้าอีกคนที่มีคำถามอยู่ในดวงตา
“ทำไมครับ”
โจ้ยิ้มให้อีกคนน้อยๆ ก่อนจะตอบ
“ก็คนที่กูรักเขาไม่ได้เลือกกู”
คุณพ.รู้สึกหน่วงๆ ในอก เขาใช้ร่างกายที่สูงกว่าอีกคนเป็นข้อได้เปรียบในการยกมือใหญ่ขึ้นมาขยี้ผมสีดำของอีกคนแรงๆ โดยไม่สนใจว่าหมอจะโกรธหรือเปล่า เขามีเวลาอยู่ที่นี่ไม่นานนักหรอก
“หมอไปส่งผมนะ”
วันนี้และพรุ่งนี้หมอหยุดเลยพยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย โดยมีมืออีกคนวางอยู่บนหัวแบบนั้น
โจ้คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ได้เป็นคนคิดเยอะ ไม่ได้เอาเรื่องการกระทำของไอ้บ้าข้างหน้ามาคิดให้ปวดหัว
แม้หมอจะดูเย็นชาและปากร้ายไปบ้าง แต่แต่ลึกๆ แล้วใครๆ ก็รู้ว่าโจ้เป็นพวกละเอียดอ่อนด้านความรู้สึกมาก เพราะฉะนั้นหากเขาจะใจหายที่อีกคนกำลังจะไป....ก็คงไม่แปลกนักเหมือนกัน
.
.
.
.