ชิม
“เบ็ก ซิตดาวน์”
พายนั่งกดมือถือไปพลางมองคุณหมอที่เล่นอยู่กับหมาในบ้านของอีกคนไปพลาง
“เบ็ก ซิงอะซอง”
“โฮ่ง! ”
ดูเหมือนการแกล้งหมาจะเป็นความสุขที่สุดของหมอในตอนนี้
พายมองอีกคนยิ้มก็พาลยิ้มไปด้วย เขาเคยคิดว่าหมอดูเข้าถึงยาก ดูเหมือนจะดุ และดูเหมือนคนที่เครียดอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ใช่เสียทีเดียว หมอหัวเราะง่าย อ่อนโยน และเป็นคนง่ายๆ
ง่ายในที่นี้ก็คือหมอยอมให้ไอ้พายมานอนที่ห้องของตัวเองที่บ้านสองคืนแล้ว เหตุผลเพราะไอ้ใบตองมีนิสัยชอบเอาเท้าตะกุยประตูห้องเรียกคนตอนเช้า และสองวันที่ผ่านมาหมอไปเข้าเวร ใบตองจึงหาคนปลุกไม่ได้
หมอถึงไปขอร้องและไหว้วานคนข้างบ้านมาช่วยนอนที่ห้อง ตอนแรกที่ได้ยินพายตอบตกลงอย่างไม่คิด วาดฝันไว้ว่าจะได้อยู่ใกล้หมอมากขึ้นอีกนิด ได้นอนเตียงเดียวกัน
จริงๆ แล้วหมอทำงานทั้งวันทั้งคืน เข้าเวรนั่นนู่นี่ ตอนเย็นพี่แกแวะมาให้ข้าวหมาแล้วก็ไปทำงานต่อ ปล่อยให้คุณพ. มองตามตาละห้อย
มือกีตาร์ชื่อดังเลยกลายเป็นยามเฝ้าบ้านอย่างช่วยไม่ได้
“วันนี้หมอไม่เข้าเวรเหรอครับ” คุณพ.ถามอย่างมีความหวัง
“ไม่เข้า เมื่อวานเข้าแทนหมอนายเฉยๆ ” โจ้พูดถึงรุ่นพี่ของตน
พายได้ยินแบบนั้นก็ตาลุกวาวเหมือนพวกเสือเวลาเจอน้องกวาง เขาว่าคืนนี้พื้นที่เตียงกว้างๆ ของหมอจะต้องแคบลงแน่นอน
“งั้นนอนด้วยกันเหรอครับ” พายถามกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างเคย
“ไม่ต้องๆ มึงกลับบ้านเลยก็ได้ ขอบใจ” หมอโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
พายที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นเสือ รู้ตัวแล้วว่าตัวเองเป็นแค่แมวชัดๆ คล้ายๆ วันวันที่หมอลืมกุญแจบ้าน พายคิดว่ายังไงวันนั้นต้องมีอะไรคืบหน้าบ้าง อาจจะได้กอดหมอนหนุบหนับ แต่เอาจริงๆ หมอกลับเดินไปนอนที่โซฟา ก่อนจะหลับสนิทยันเช้าโดยที่เจ้าของบ้านได้แต่ยืนมองเขาตาปริบๆ แล้วล่าถอยขึ้นไปนอนที่ห้องตัวเองอย่างอนาถใจ
“แต่ผมว่าใบตองมันยังดูไม่ชินกับกลิ่นหมอนะ” คุณพ.บอกอีกคนอย่างจริงจัง
โจ้คิดอยู่หน่อยก่อนจะพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ เพราะหมอคิดว่าการที่จะทำให้ใบตองอยู่ในบ้านหลังนี้ได้โดยไม่เครียดหรือเอาแต่นอนหน้าบ้านอย่างเคยสำคัญกว่าความน่ารำคาญของคนข้างบ้านเยอะ
“เย้” ผู้ชายตัวใหญ่ร้องออกมาอย่างน่าหมั่นไส้
โจ้มองคนที่ยิ้มมีเลศนัยอยู่ข้างๆ ใครคนนั้นยิ้มร่าก่อนจะเอ่ยปากถาม
“งั้นวันนี้หมอจะกินอะไรดี”
“ไม่รู้ว่ะ” หมอตอบแล้วถอดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนพาดกับโซฟาอย่างเคยชินโดยไม่ได้ใส่ใจสายตาของอีกคนเลย
“กินผมไหม” คนตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลชี้มือเข้าหาตัวเอง
หมอว่าถ้าเป็นสาวๆ หน้าตาน่ารักมาถามในตอนที่เปลี่ยวๆ แบบนี้คงไม่รอด แต่นี่ดันเป็นคุณพ.คนข้างบ้าน โจ้ถึงเลือกที่จะเมินเสีย
“ไข่เจียวหมูสับใส่หอมใหญ่” โจ้บอกอีกคนพลางถอดถุงเท้าแล้วพาดไว้ข้างๆ กันกับเสื้อ ก่อนจะเดินไปรื้อหนังสือที่ถูกจัดไว้อย่างดิบดี เอนตัวลงโซฟาอ่านหนังสือเล่มหนาไปพร้อมกับการใช้มือหนึ่งลูบขนหมาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันไปมาสบายใจเฉิบ
พายจ้องหมอที่สวมเสื้อกล้ามตัวเดียว คุณพ.จำได้ว่าก่อนหน้านี้แค่ 10 นาทีบ้านหลังนี้ยังสะอาดอยู่เลย พอคุณหมอเดินเข้ามามหกรรมความรกก็เริ่มขึ้นทันที
เขาลอบยิ้มก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อกับถุงเท้าของอีกคนทิ้งลงในตะกร้าผ้าที่ไม่ได้ไกลจากตรงนั้นมากนัก
“ทำอะไรวะ? ” โจ้ถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองอกคนที่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้
ผมว่ามันรก”
เจ้าของบ้านถอนหายใจก่อนจะกวาดสายตามองบ้านตัวเองที่เป็นระเบียบอย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน บางทีเพื่อนบ้านคนนี้คงเป็นคนจัดการให้
โจ้ที่พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้วเอ่ยขอบคุณเขา
“ขอบใจ” หมอว่าแบบนั้นแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออีกครั้ง
แต่เดิมหมอโจ้ไม่ใช่คนที่มีระเบียบนัก แต่ก็ไม่ได้รกรุงรังหรือสกปรกจนเกินควร เขาไม่รู้จักคำว่างานบ้านตั้งแต่เด็กเพราะที่บ้านมีแม่บ้าน จนกระทั่งย้ายออกมาอยู่หอกับเพื่อน โจ้ถึงเริ่มหยิบจับทุกอย่างเองบ้าง
พอมีแฟนและซื้อบ้านหมอถึงได้รู้จักว่างานบ้านจริงๆ แล้วแสนหฤโหด แต่หมอยอมทำเพราะอยากแบ่งเบาภาระของเธอบ้าง เว้นแต่กับข้าวนี่แหละที่พยายามยังไงก็ไม่เคยสำเร็จเสียที
ส่วนที่เห็นรกๆ แบบนี้เพราะโจ้ขี้เกียจนั่นเอง ในเมื่อไม่มีใครอยู่ด้วยแล้วก็ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร...
บางทีหมอก็แอบคิดว่าตัวเองยังอยู่ที่บ้านหลังนี้เพื่ออะไร?
“จะกินอย่างอื่นไหมครับ” พายถามเพราะเมนูไข่เจียวหอมใหญ่ของพี่แกวนมาเป็นรอบที่สิบแล้ว...เขาเบื่อ
“ไม่ต้องหรอก”
พายยิ้มให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ
“รับทราบครับ”
.
.
.
.
คุณพ. กำลังเจียวไข่อย่างชำนาญ หยิบจับทุกอย่างคล่องมือ แล้วก็พาลคิดถึงอะไรเรื่อยเปื่อย อย่างเช่น...ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้พายจะกำลังทำกับข้าวอยู่บ้านหมอ และมัวแต่คิดเลยพึ่งรู้ว่ามีหนึ่งหมอและหนึ่งหมามายืนอยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ไปเรียนทำอาหารมาจากไหน” โจ้ถามคุณเพื่อนบ้านที่ทำกับข้าวคล่องแคล่ว
พักหลังๆ พวกเขาสนิทกันมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างรู้จักภูมิหลังกันอยู่แล้วก็เป็นได้ เลยไม่ได้กังวลว่าคุณเพื่อนบ้านจะจริงใจไหม จะเข้ามาขโมยของหรือเปล่า ตอนนี้หมอกังวลอยู่อย่างเดียวคือกังวลว่าคนข้างบ้านจะเปลี่ยนใจยึดหมาคืน
“ไม่ได้เรียนครับ ทำเองมาตั้งแต่เด็กเลยชินมั้ง”
โจ้มองใบหน้ายิ้มแย้มของอีกคน โจ้พอรู้เรื่องราวเบื้องหลังของคนข้างบ้านหลายอย่างจากทั้งข่าวบ้าง และเพื่อนของตัวเองบ้าง ถึงได้เข้าใจว่าบางทีที่พายเป็นแบบนี้คงเป็นเพราะอดีต เลยไม่ได้ถือสาอะไร
“แล้วหมอไม่ทำกับข้าวทำไมถึงมีเครื่องครัว”
โจ้เลิกคิ้วอยู่หน่อยก่อนจะตอบทั้งๆ ที่ใจจริงไม่อยากจะพูดถึงนัก
“แฟนเก่าทำ” หมอตอบน้ำเสียงติดจะเศร้า ทำให้พายรู้ได้ทันทีว่าไม่ควรจะอยากรู้อยากเห็น เลยกลบเกลื่อนแทน
“นี่แฟนใหม่หมอก็กำลังทำกับข้าวให้อยู่ไง” คุณพ.เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย
พายว่าถ้าได้หมอเป็นแฟนจริงๆ ก็คงดีเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยก็มีคนช่วยเลี้ยงหมาแถมอยู่ด้วยแล้วสบายใจอีกต่างหาก ถ้าเทียบกับบรรดาน้องชายและน้องสาวหลายๆ คน พายกล้าพูดว่าเขาชอบคนแบบหมอมากที่สุด
ตอนแรกคิดว่าตัวเองชอบหมอเพราะหน้าตาและดูเอาชนะยากดี แต่ตอนนี้พายรู้แล้วว่าเพราะหมอเป็นหมอต่างหาก
หมอเป็นคนเดียวที่พายให้เวลาด้วยเยอะที่สุดในฮอลิเดย์รอบนี้ ตลอดเกือบห้าเดือนที่ผ่านมา พวกเขากินข้าวด้วยกันบ่อย ทำเรื่องไร้สาระ ดูหนังที่บ้าน เลี้ยงหมาโดยที่คนเบื่อง่ายแบบพายยังไม่มีท่าทีว่าจะเบื่อด้วยซ้ำ
“เมื่อไหร่จะเลิกเล่นวะ” โจ้พูดพลางส่ายหัว
หมอผู้ไม่เคยใส่ใจกับการเล่นไร้สาระของคุณพ. บอกออกไป
หมอคิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีกันแล้ว...ไม่อยากให้มาแหย่แบบนี้ เพราะเดี๋ยววันไหนโมโหขึ้นมา กลัวพายจะโดนตีเข้าสักวัน
“ผมไม่ได้เล่นนะ” พายบอกอีกคนพร้อมกับฉีกยิ้มให้
การที่หมอเห็นพายเป็นเพื่อนบ้านหรือว่าเพื่อนกัน
ก็ไม่ได้หมายความว่าพายคิดแบบนั้นเหมือนกันเสียเมื่อไหร่ พายชัดเจนว่าตัวเองไม่อยากได้หมอเป็นเพื่อนมานานแล้ว
“ทำไมคนเราถึงต้องมีเพื่อนเยอะแยะหมอ”
คนฟังกลอกตา ก่อนจะหันไปเล่นกับหมาแทน
“เบ็กดูพ่อมึง กวนไม่เว้นแต่ละวัน”
“โฮ่ง”
พายมองคุณหมอผู้เฉไฉคุยกับหมาแทน
“ผมว่าผมชอบหมอนะ” พายโพล่งออกมาในที่สุด เขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือหวาดกลัวคำตอบที่ได้มาแม้อย่างใด
...แค่อยากจะบอกกันไว้…
พายรู้ว่าในอีกไม่กี่วันก็จะต้องกลับไปทำงานแล้ว เขาไม่ได้หวัง พอรู้ด้วยว่าหมอคงจะไม่ได้รู้สึกตกใจหรือตื่นเต้นกับคำพูดของเขาเช่นกัน
และก็จริง... เจ้าของบ้านแค่เลิกคิ้วมองอยู่หน่อยก่อนจะยืดตัวขึ้นให้ตรงหลังจากค้อมตัวเล่นกับไอ้ใบตองอยู่นาน
“เคยชอบใครมาก่อนไหม”
พายมองหน้าของคนถามที่เรียบเฉยอย่างเดิม
พายนึกอยู่หน่อยก่อนจะตอบคำถามด้วยคำถามพร้อมกับตักไข่เจียวฟูฟ่องวางบนจาน
“ยังไงครับ? ”
“เคยชอบใครหรือเปล่า นักดนตรีในดวงใจหรือใครก็ได้” หมอถามเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดของอีกคน พายละมือจากการทำครัวแล้วค่อยๆ ตอบ
“มีอยู่คนสองคนมั้งครับ”
“แล้วอยากได้เขาเป็นแฟนไหมล่ะ”
พายที่ลองคิดตามคำพูดของอีกคนส่ายหน้าหวืออย่างไม่กลัวคอจะหลุด ก็ลุงหนวดที่เป็นไอดอลทางด้านดนตรีน่าจับมาเป็นแฟนที่ไหนล่ะ
“ก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ บางทีมึงอาจจะไม่ได้ชอบกูแบบนั้นหรอก” หมอกำลังพยายามอธิบายถึงความชอบอันหลากหลายของมนุษย์ให้มนุษย์ตัวใหญ่ข้างหน้าฟัง
โจ้ว่าแค่มีความชอบหรือความรักไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเราจะต้องได้เป็นแฟนกับคนๆ นั้นเสียเมื่อไหร่ บางทีนอกจากความชอบก็ต้องดูความเป็นไปได้ ดูกาลเทศะ ดูว่ามันถูกที่ ถูกเวลาหรือไม่ ไม่ใช่สักเอาแต่ถูกใจอย่างเดียว
หมอจ้องตาอีกคน นึกเบาใจอยู่หน่อยเพราะดูเหมือนว่าคุณพ.จะเป็นคนที่คิดอะไรมากขึ้น ดูจากคิ้วที่ขมวดเป็นปมนั่นก็ได้ หมอว่าการมีคุณพ.เป็นคนข้างบ้านก็เหมือนมีน้องชายโผล่มาอีกคน
ระหว่างที่กำลังภูมิอกภูมิใจกับการที่เห็นอีกคนเริ่มคิดได้หมอก็ถูกรวบหมับ แขนถึกๆ ของข้างนั้นโอบแผ่นหลังให้เข้าไปปะทะกับอกของอีกคน
“เฮ้ย กอดกูทำไม! ” หมอตวาดลั่น
โจ้ที่เตี้ยและตัวเล็กกว่าอีกคนอยู่หน่อยถูกกอดไว้แน่น เขากำลังเริ่มจะโมโหเงยหน้ามองอีกคนอย่างคาดโทษ
พายที่อยู่ดีๆ รวบเขาเข้ามากอดไว้กับตัวแน่น มองใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของหมอ เขาสบสายตากับนัยต์ตาสีเข้มที่ดูจะเอาเรื่อง ใจจริงอยากจะลองก้มลงไปเอาปากแตะปลายจมูกเรียวๆ นั่น แต่เกรงว่าจะโดนฆ่าแล้วไม่ได้เจอกันอีก ถึงได้ยิ้มให้แล้วก้มหน้าลงไปซบกับไหล่ของอีกคนพร้อมกับกระชับตัวของอีกคนให้แน่นขึ้น
พายเป็นพวกไม่ค่อยชอบคิดอะไรเยอะ เขาใช้ความมุทะลุและสัญชาตญาณในการดำเนินชีวิต แต่ในตอนนี้สัญชาตญาณกำลังบอกว่า...
“ก็ยังอยากได้หมออยู่ดี” พ่อไอ้เบ็กบอกก่อนผละตัวออก ผิวปากหวือ แล้วเดินถือจานกับข้าวออกไปข้างนอกอย่างอารมณ์ดี
ส่วนเจ้าของบ้านยืนหน้าเป็นตูด ก่นด่าตามหลัง
“มึงแม่ง กวนตีนฉิบหาย! ”
.
.
.
.