หมากับหมอคงรู้สึกเหมือนกัน
หลายวันแล้วที่โจ้ไม่ได้กลับบ้าน และนั่นหมายความว่าหมอไม่ได้เจอกับคนข้างบ้านและหมาข้างบ้านตัวโตตัวนั้นด้วย
“โจ้ ถึงแล้ว” หมอนายที่ช่วงนี้ได้มีโอกาสไปไหนมาไหนกับโจ้อยู่บ่อย ทักเมื่ออีกคนนั่งเหม่อ ทั้งๆ ที่รถจอดนิ่งสนิทที่หน้าบ้านของโจ้แล้ว
“อ้าว เหรอครับ”
นายมองรุ่นน้องตัวเองที่พักนี้ดูไม่อยู่กับร่องกับรอยเสียเท่าไหร่ คุณหมอตัวเล็กแตะที่ไหล่ของอีกคนเพื่อให้กำลังใจ แม้จะไม่รู้ว่าสาเหตุจะมาจากเรื่องที่ตัวเองคิดหรือไม่ก็ตาม
“อยากไปนั่งรถเล่นไหม” เขาถามอย่างหวังดี
อีกคนปฏิเสธด้วยการส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะถามในสิ่งที่นายไม่เคยคิดว่าจะออกมาจากปากของหมอโจ้
“ผมมีเรื่องจะปรึกษา”
ถ้าเป็นคนอื่นนายคงไม่แปลกใจเสียเท่าไหร่ แต่นี้เป็นโจ้...เพราะเป็นโจ้ผู้เข้มแข็งมาตลอด
“เอาสิ” คุณหมอรุ่นพี่บอกก่อนจะจอดรถที่หน้าบ้านของอีกคน
เจ้าของบ้านเปิดประตูเดินนำเข้าไปในบ้านของตัวเอง... บ้านที่มีสนามหญ้าสีเขียวสดและบรรยากาศร่มรื่น
หมอนายรู้ว่าบ้านหลังนี้ถูกซื้อด้วยจุดประสงค์อะไร...และเพื่อใคร ถ้าเดาไม่ผิดการปรึกษานี้คงจะเป็นเรื่องหัวใจและน่าจะกินเวลามากพอดู
“หมอ...”
นายหันไปตามเสียงเรียก แต่ก็รู้ในที่สุดว่าไม่ใช่ตัวเองที่ถูกเรียก เมื่อหันไปเจอกับผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคล้ายๆ พวกนายแบบในทีวียืนอยู่ข้างบ้าน ดูเหมือนผู้ชายคนนั้นกำลังฝืนยิ้มให้หมอโจ้
หมอโจ้ไม่ได้หันไปมองคนข้างบ้านและไอ้หมาตัวใหญ่ที่กำลังมองมาทางนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่ก่อนหมอนายเป็นคนหนึ่งที่เข้าหน้าหมอโจ้ไม่ติด เพราะอีกคนเป็นคนที่นิ่งจนเกินไป นิ่งจนไม่รู้ว่าเข้าหายังไง แต่พอทำงานด้วยกันนายเข้าถึงพอรู้ว่าโจ้ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิด
นายว่าพ่อหนุ่มข้างบ้านนี่ความอดทนน่าจะสูงทีเดียว ดูจากการกล้าทักทายแม้ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าโจ้คงไม่สนใจ
“โฮ่ง! ”
นายมองหมาตัวใหญ่ที่กระโดดเอาขาหน้าเกาะไว้กับรั้ว และมองตามหลังของโจ้ที่กำลังเดินเข้าบ้านไป
“โฮ่ง!!! ”
หมอนายรู้สึกเหมือนหมาตัวนี้กำลังรอโจ้อยู่ยังไงอย่างนั้น นายหันไปยิ้มให้เพื่อนบ้านของรุ่นน้องตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะก้าวตามเจ้าของบ้านเข้าบ้านไปในที่สุด
“หมาตัวเมื่อกี้น่ารักดีนะหมอโจ้” นายว่าก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่สีครีม
เขามาที่นี่หลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่บ้านจะรกขนาดนี้มาก่อน ตรงที่เขานั่งอยู่มีหนังสือจำพวกประวัติศาสตร์จำนวนมากวางเกลื่อนไม่เป็นที่ ข้างๆ กันมีเสื้อเชิ๊ตหลายตัวที่ถูกพาดไว้
บางทีมันคงจะรกแฟนสาวของโจ้ไม่อยู่แล้วก็ได้ แต่ก่อนหมอนายมักจะเจอแฟนของโจ้อยู่ตลอด แต่หลายเดือนที่ผ่านมาได้ยินข่าวว่าคนทั้งคู่เลิกกันไป ด้วยสาเหตุที่ไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่
“หมอว่าผมเลี้ยงหมาบ้างดีไหม” เจ้าของบ้านถาม เขาเดินออกมาพร้อมกับน้ำสองขวด หนึ่งในนั้นเป็นน้ำเปล่าแต่อีกอันเป็นเบียร์ผลไม้ขวดเล็กสีใส
“เอาสิ ผมว่าดีนะ” หมอนายตอบพร้อมกับหันมายิ้มกว้างให้
หากโจ้เป็นผู้ชายที่ดูดุที่สุดในโรงพยาบาล หมอนายคงเป็นคนที่ใจดีและอ่อนโยนที่สุด
“แต่ผมว่าพวกเราไม่ค่อยมีเวลา” เจ้าของบ้านหลังสีครีมนั่งลงข้างๆ กับรุ่นพี่ก่อนจะเอนหลังลงกับเบาะอย่างที่ดูก็รู้ว่าเหนื่อย เหนื่อยทั้งกายและใจ...
นายมองอีกคนอยู่หน่อยก่อนจะตอบตามประสาคนช่างพูด...และนั่นก็น่าฟังมากเสียด้วย
“วิธีเลี้ยงมีตั้งเยอะโจ้ หมามันกินข้าวหนักมื้อเดียว ระหว่างวันเทอาหารเม็ดไว้ กลับมาก็เล่นกับมัน วันหยุดพาออกไปเที่ยวบ้าง ถ้ากลัวเหงาก็หาเพื่อนให้ อย่างผมเลี้ยงห้าตัว ติดกล้องไว้ดูตอนกลางวันก็ร่าเริงกันดี บ้านพังเป็นแถบ” คนพูดบอกพร้อมกับหัวเราะในตอนท้าย
โจ้มองดูคนที่ท่าทางมีความสุขกับการเล่าเรื่อง
“อือ...ทำไมผมคิดไม่ออกวะ” เขาว่าพร้อมกับกระดกแอลกอฮอล์ลงคอไปอึกใหญ่
“มีเรื่องอื่นกวนใจรึเปล่า” นายดื่มน้ำเปล่าของตัวเองบ้างก่อนจะถามอีกคน
ซึ่งคำตอบได้มาเพียงความเงียบและแววตาสงบนิ่ง
“โรงพยาบาลสะอาด มีมาตรฐาน หมอทำงานยิ้มแย้ม”
โจ้มองรุ่นพี่ที่จู่ๆ ก็พูดถึงสโลแกนสดใจของโรงพยาบาล อีกคนยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะค่อยๆ พูดแบบที่เคยทำอยู่เสมอ
“สโลแกนนี้โจ้รู้ใช่ไหมว่าผอ.ตั้งให้โจ้”
เจ้าของบ้านที่กำลังกระดกเบียร์เข้าปากพยักหน้าให้แต่กระนั้นก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่อีกคนกำลังจะสื่ออยู่ดี
“ผมว่าตอนที่โจ้ทำงานแล้วโหดๆ นั่นเท่ห์มากเลยนะ จะว่ายังไงดี…มันเด็ดขาดมั้ง”
โจ้มองใบหน้ายิ้มแย้มของอีกคน หมอไม่ใช่คนโหดหรือดุอย่างที่คนอื่นเขาว่าหรอก เขาก็แค่ชัดเจนและตรงไปตรงมาเท่านั้นเอง
หมอนายพูดต่อทั้งยิ้ม “ผมว่าช่วงนี้โจ้ดูไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมไม่มีสิทธิ์บอกโจ้หรอกว่าอย่างไหนมันดี แต่ผมชอบหมอโหดแบบเดิมมากกว่า”
โจ้แค่นยิ้มให้กับทั้งรุ่นพี่และตัวเอง เขารู้ตัวดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเสียศูนย์ไปมาก ตั้งแต่วันที่คนที่มันรักตีจากไปหมอก็อยู่กับตัวเอง เฝ้าคิดแต่ว่าต้องทำใจได้ ต้องเข้าใจเธอ ต้องอยู่ได้ หลากหลายเหตุผลที่หมอยกขึ้นมาปลอบใจตัวเอง แต่ที่สุดแล้วมันก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น…รังแต่จะแย่ลง และดูเหมือนว่ากำลังจะจมลงไปเรื่อยๆ เสียด้วยซ้ำ
โจ้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองในทางที่แย่ลง แต่แทนที่จะใส่ใจกลับเมินเฉยให้มันกัดกินตัวเองอยู่แบบนั้น
“ผมชอบตอนโจ้กระโดดเข้าฟัดกับเด็กช่างกลมากกว่านะ”
เขาหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ หมอโจ้มองอีกคนที่กำลังปลอบใจเขาอย่างกับว่ารู้เรื่องทุกอย่างดี และโจ้ก็ยอมรับว่าทุกอย่างที่หมอนายพูดมันจริง จริงเสียจนไม่รู้จะต้องพูดอะไรต่อ
เขาเดินไปหยิบเบียร์รสหวานอีกหลายขวดในตู้เย็นพลางคิดบางสิ่งบางอย่างไปด้วย
“ผมว่าจะเอาหมาข้างบ้านมาเลี้ยง” โจ้โพล่งออกมาในที่สุดและในเวลาเดียวกันก็ยื่นเบียร์ขวดเล็กให้รุ่นพี่ด้วย
หมอนายยื่นมือไปรับและล้มเลิกการขับรถกลับบ้านในที่สุด...คืนนี้คงต้องค้างที่นี่
“ตัวใหญ่ๆ นั่นเหรอ”
“ครับ เจ้าของจะไปต่างประเทศ”
“อ๋อ ดูมันก็ชอบโจ้อยู่” อีกคนพูดเมื่อนึกถึงภาพที่เห็นตอนเดินเข้ามา แต่ก็แอบฉงนต่อท่าทีของรุ่นน้องตัวเองที่แสดงออกมาเมื่อเจอกับคนข้างบ้านอยู่ไม่น้อย
“คุยกันกับเจ้าของแล้วใช่ไหม” นายถามเป็นพิธี
ส่วนอีกคนก็ตอบออกมาหน้าตาเฉย “ยังไม่ได้คุยครับ”
นายขำกับหน้าตึงๆ ของหมอโจ้ ก่อนจะกระดกแอลกอฮอล์เข้าปากตัวเองบ้าง
“เหมือนโจ้จะมีปัญหาอะไรกับเขานะ”
นอกจากไอ้เอ้เพื่อนยากของหมอโจ้ที่แต่งงานมีลูกและสามีไปแล้วก็มีหมอนายนี่แหละที่โจ้กล้าคุยด้วยหลายๆ เรื่อง เขาถอนหายใจอีกรอบก่อนจะตอบ
“เรื่องหมานี่แหละครับ”
โจ้ไม่ได้โทษคุณพ.คนข้างบ้านไปเสียหมด เพราะเข้าใจว่าเราคงคิดไม่เหมือนกัน แต่ที่เป็นเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนั้นเพราะเห็นไอ้เบ็กมันเหมือนตัวเอง ทั้งๆ ที่รัก ทั้งๆ ที่ซื่อสัตย์ แต่กลับต้องถูกทิ้ง ไม่ได้อะไรคืนมาแม้แต่น้อย
“เขาไม่ยอมยกให้โจ้เหรอ” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ กันถามออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“เขาจะทิ้งมันต่างหากครับ” โจ้ตอบก่อนจะยิ้มให้อีกคนบ้าง
.
.
.
.
“โฮ่ง! ”
โจ้ตื่นมาเพราะเสียงที่ดังเกินมนุษย์และแก้มที่เปียกแฉะของตัวเอง...
“ไอ้เบ็ก มาได้ไงวะ”
“โฮ่ง! ”
หมอที่ไม่ค่อยมีสติเพราะเมื่อคืนดื่มเยอะเกินไปพยายามยกหัวหนักๆ ของตัวเอง แล้วมองกวาดรอบบริเวณห้องรับแขกที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ
บนโซฟาแบบเตียงข้างหนึ่งมีไอ้หมาตัวใหญ่กำลังนั่งหน้าตาบ้องแบ๊วเลียหน้าหมออยู่ ส่วนอีกฝั่งข้างกันมีหมอนายผู้เมาจนไร้สตินอนซุกอยู่เพราะหนาว
โจ้เริ่มระลึกชาติได้ว่าเมื่อคืนเมาหนักมาก หมอนายพอเมาแล้วพูดไม่หยุด ส่วนเขาก็นึกคึกเก็บกวาดบ้านกับซักผ้าตอนตีสาม แล้วเอาขยะออกไปทิ้งข้างนอก ตอนเข้ามาคงลืมปิดเพราะประตูหน้าบ้านยังเปิดอ้าซ่าอยู่
“เดี๋ยวนะเบ็ก” โจ้บอกหมาที่เลียไม่หยุดเพราะรู้ว่ามันคงอยากเล่นด้วย
ในตอนที่หมอกำลังงัดเอาหัวและแขนหมอนายออกจากอกตัวเอง เขาได้ยินเสียงมาจากข้างนอกแว่วๆ และก็ใกล้เข้ามาในที่สุด
“ใบตอง หมอไปไหน ทำไมขยะเต็มหน้าบ...”
โจ้เงยหน้ามองคนที่เดินเข้ามาในบ้านโดยไม่ได้ขออนุญาต ใครคนนั้นอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไปนาน ก่อนจะค่อยๆ ขอโทษออกมา
“ขอโทษ ผมนึกว่ามีใครมารื้อบ้านหมอ”
โจ้เพิ่งจะลุกขึ้นได้ครึ่งตัวเพราะมีมือรุ่นพี่พาดอยู่บนตักตัวเองส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะลูบหัวไอ้หมาตัวใหญ่ที่ส่ายหางอย่างกับกำลังกวาดพื้นให้
“มึงจะมากินขนมเหรอเบ็ก” โจ้ถามหมาตัวใหญ่ที่ดูเหมือนจะฟังภาษาไทยออกบ้างและคำนั้นน่าจะเป็นขนมเสียด้วย
ใบตองมันเดินวนไปมาพลางใช้จมูกชื้นๆ ดุนมือของโจ้ หมอหัวเราะทั้งๆ ที่เสียงแหบเพราะคอแห้ง
“ผมว่าผมพาใบตองกลับก่อนดีกว่า”
หมอเงยหน้ามองเพื่อนบ้านที่เคยญาติดีอยู่บ่อยและก็ตีกันอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน ใครคนนั้นปกติเคยยิ้มกว้างและกวนตีนอยู่แทบจะทุกคำพูด วันนี้กลับดูเงียบไป สาเหตุคงเพราะเรื่องที่ทะเลาะกันวันนั้นหมอรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
“ไม่เป็นไร มีเรื่องอยากคุยอยู่พอดี” โจ้ค่อยๆ ยกแขนของหมอนายออกจากตัวแล้วจัดท่าทางการนอนให้ใหม่ เพราะพี่แกมาที่บ้านแล้วเมาทีไรไชอบนอนตกเตียงหรือโซฟาทุกที น้องเนยมักจะแอบตั้งกล้องไว้ทุกครั้งที่หมอนายมาบ้าน เพราะเวลาเมาแล้วตลกดี โจ้สะบัดหัวเมื่อใครบางคนโผล่มาในความคิด จนป่านนี้ความทรงจำนั่นก็ยังวนเวียนอยู่รอบๆ ตัว
หมอเดินนำอีกคนเข้าไปในครัวแล้วหยิบขนมหมาให้ไอ้เบ็กมัน ส่วนตัวเองรินน้ำเปล่าแล้วดื่มโดยไม่ลืมเผื่อแผ่ให้คนข้างๆ กัน แต่ใครคนนั้นกลับบอกปฏิเสธ โจ้สูดหายใจเข้าปอดก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนา แม้บรรยากาศจะไม่ค่อยสู้ดีนัก
“จะกลับไปทำงานเมื่อไหร่นะ”
พายมองเจ้าของบ้านที่ยืนพิงกับขอบโต๊ะ ใครคนนั้นสวมบ็อกเซอร์ขาสั้นกับเสื้อกล้ามตัวหลวมดูแปลกตา เพราะปกติแม้จะอยู่บ้านหมอก็มักจะแต่งตัวเรียบร้อยและมิดชิดอยู่เสมอ
พายพยายามที่จะตอบคำถามของหมอให้ร่าเริงอย่างเก่าแต่กลับพบว่าเสียงที่เปล่งออกมาได้ได้ใกล้เคียงกับคำว่าร่างเริงเพียงนิด
“เดือนหน้าครับ” เขาบอกพร้อมกับประสานตากับนัยน์ตาสีเข้มของอีกคน
“กูขอเลี้ยงไอ้เบ็กเองนะ”
พายไม่ได้คิดมาก่อนว่าหมอจะเรียกมาคุยเรื่องนี้ แต่นั่นก็ชัดเจนสมกับเป็นหมอโจ้ พายมองไอ้ใบตองที่คลอเคลียกับขาของหมอแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ทุกครั้งที่ใบตองกินอะไรจากมือหมอมักจะเกือบอมมือขาวๆ นั่นเข้าไปด้วยเสมอ
พายว่ามันตลกดี…
“ทำไมหมอถึงชอบใบตองมันขนาดนั้น” พายตัดสินใจถามคนที่ก้มหน้าก้มตาเล่นกับไอ้หมาตัวใหญ่
“ยังไง? ”
“ผมไม่เข้าใจ” พายบอกตามจริง
“มันน่ารัก ก็พอแล้วนี่”
พายทำหน้าไม่เข้าใจ
“น่ารักก็คือเห็นแล้วอยากจะรัก” หมอตอบอย่างกับกำลังเข้ามานั่งในความคิดของพาย
พายมองคนที่กำลังฟัดกับหมาอย่างสนุกไปด้วยแล้วครุ่นคิดอะไรหลายอย่างไปด้วย…เพิ่งจะเข้าใจคำว่าน่ารักจริงๆ ในวันนี้เอง
“ต่อไปนี้จะทำอะไรก็คิดถึงใจคนอื่นบ้างนะ มึงไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของโลก” หมอบอกออกมาหลังจากเงียบไปนาน
พายเป็นนักเรียกร้องความสนใจ เห็นได้จากการมีน้องสาวและน้องชายรอบกาย พอเขาหันมามองก็คิดว่าเองชนะ พอเขาเริ่มโหยหาก็เขี่ยทิ้งอย่างไม่ใยดีเพราะไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว ทั้งชอบหลอกตัวเองไปวันๆ ว่าไม่อยากได้รับความห่วงใยหรือความรักจากใครทั้งนั้น
แม้ความจริงจะโหยหาสิ่งเหล่านั้นมาทั้งชีวิต...เพียงแต่กลัวก็เท่านั้น
พายกลัวว่าเมื่อเริ่มผูกพันธ์แล้วจะเจ็บ กลัวว่าถ้าได้รักมาแล้วจะเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก เหมือนที่เขาเองโกหกทุกคนว่ารักและเอาใส่ใจ
พายยอมรับว่าตัวเองเป็นคนไม่สนใจอะไรจนกระทั่งมาเจอหมอ พายเคยคิดว่าที่ตัวเองอยากแซว อยากเล่นกับหมอเพราะแค่อยากเอาชนะหมอจอมหยิ่งให้ได้ แต่ในที่สุดก็รู้แล้วว่าตัวเขาเองแพ้มาโดยตลอด แพ้ให้กับความรู้สึกโง่ๆ ของตัวเอง
“หมอไม่เกลียดผมใช่ไหม” พายถามใครอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันแต่เหมือนอยู่ไกลกันแสนไกล
“ไม่หรอก” โจ้เงยหน้าตอบอย่างจริงใจ
“แต่ก็ไม่ได้ชอบใช่ไหมครับ…” พายถาม…แม้จะเจ็บใจมากก็ตาม
“มึงรู้ไหมพาย อยากได้อะไรต้องให้ก่อนนะ” เป็นไม่กี่ครั้งที่พายจะถูกหมอเรียกชื่อ เจ้าของบ้านเว้นไปแค่ชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ
“ก่อนที่จะใช้คนมาชอบตัวเองต้องทำตัวเองให้ดีก่อน แต่ถ้ามึงยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่กูหรอก …จะเป็นใครก็ไม่ชอบทั้งนั้น”
พายรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ ไหล่ที่เคยหยัดตรงอย่างมั่นใจในตัวเองห่อลง เขาถอนหายใจพร้อมกับมองตาอีกคนที่กำลังจ้องกลับมาอย่างไม่วางตา ในดวงตาสีเข้มกำลังบอกอะไรบางอย่าง
“มาอยู่กับกูนะเบ็ก” โจ้ปล่อยให้อีกคนเงียบไปอย่างนั้นแต่หันมาขย้ำขนหนาของไอ้ใบตองแทน
ไอ้หมาตัวใหญ่มองหน้าของเจ้านายใหม่อย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ก็ตอบรับอย่างแข็งขันแม้จะไม่เข้าใจก็ตาม
“โฮ่ง! ”
.
.
.
.