แพ้หรือชนะ
วันนี้หมอออกเวรตอนเกือบเจ็ดโมงเช้าแต่ก็ต้องรีบกลับบ้านเพื่ออาบน้ำแต่งตัว เพราะวันนี้มีเวรกรรมที่จะต้องไปสะสางต่อ เวรกรรมที่ว่านั่นก็คือกลับไปที่บ้านพ่อนั่นเอง
“ใบตองดูลูก นั่นหมอหรือยางพารา ตัวซีดเชียว”
ระหว่างที่โจ้กำลังเดินออกมาที่โรงรถก็ได้ยินเสียงแว่วๆมาจากข้างบ้าน หมอเหลือบไปมองภาพเดิมที่เห็นอยู่แทบทุกวัน คุณพ.ผู้กำลังเปลือยท่อนบนโชว์ซิคแพคและผิวสีแทนสุขภาพดีโบกมือทักทาย ข้างๆกันนั้นมีหมาตัวใหญ่ ที่หมอสืบว่ามันคือพันธุ์ Kuvasz อะไรสักอย่างนั่งลิ้นห้อยมองอยู่
“ใบตองดูคุณหมอทำหน้าโหดใส่พ่อ”
“โฮ่ง!” สดับรับขับขานกันดีเหลือเกิน
หมอตัวซีดอย่างที่เขาว่าสบตาหมาแล้วเกือบเผลอตัวเดินเข้าไปหา แต่พอหันไปสบตาพ่อหมาโจ้ก็เลือกที่จะเดินไปที่โรงรถแทน แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่วายโดนเรียกไว้อีก
“เดี๋ยวสิหมอ อย่างเพิ่งเมินกัน ผมมีอะไรจะถาม”
“ว่า” โจ้หันกลับไปยังข้างบ้านดังเดิม และในที่สุดก็เลือกสาวเท้าเข้าไปหาไอ้เบ็ก ลูบหัวมันแล้วให้มันเลียมืออย่างสนุกหมาแต่หมอไม่ค่อยสนุก
“อะไรเอ่ยบินได้” พอได้ยินคำถามนั่น โจ้ก็เงยหน้ามองผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า ที่หมอไม่เคยโกรธคนข้างบ้านได้นอกจากจะเหตุผลเพราะมันไร้สาระแล้ว แต่เพราะคุณพ.ข้างบ้านดูไม่มีพิษมีภัยอะไรต่างหาก
โจ้คิดว่าเขาอาจจะกำลังผูกมิตรแบบเด็กๆ หรืออาจจะกำลังเรียกร้องความสนใจอยู่ก็ได้ คนแบบนี้ไม่สนใจไปเสียก็จบ ถึงจะน่ารำคาญในบางทีแต่ถ้าไม่เอามาใส่ใจแล้วก็ไม่ใช่เรื่องน่าปวดกบาลแต่อย่างใด
แต่เอาจริงๆเวลาเจอสถานการณ์กวนตีนเฉพาะหน้าแบบนี้โจ้ก็อดไม่ได้เสียที…ที่จะหยาบคาย
“พ่อกูไงบินได้” พอว่าไปแบบนั้นคุณพ.ก็หัวเราะท่าทางสนุกสนาน โจ้ส่ายหัวก่อนจะละมืออกจากไอ้เบ็กแล้วเดินกลับไปในทางเดิมก่อนที่จะได้ตีปากเจ้าของหมาแทน
“ผมว่าจะชวนหมอกินข้าว” พายบอกพร้อมกับยักคิ้วให้ด้วยท่าทางยียวน คุณพ.หวังว่าหมอจะทำหน้าบึ้งแล้วเดินหนีไป แต่วันนี้ได้กลับมาแค่ปฏิกิริยาเหมือนคนธรรมดาเท่านั้นเอง
“ไม่ว่าง” หมอบอกแล้วหันหลังกลับ ก่อนจะสตาร์ทรถมินิคูเปอร์คู่ใจโฉบออกถนนไป โจ้แอบแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่สามารถขับรถคันนี้ได้เหมือนปกติทั้งๆที่เดือนที่ผ่านมายังติดๆดับๆอยู่เลย
พอๆกับแปลกใจที่ตัวเองดูจะไม่ฉุนเฉียวเวลาเจอกับคนข้างบ้านแล้ว…แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะเจอบ่อยนักหรอก
โจ้ขับรถไปฟังเพลงไปด้วยรู้ว่าความสุขแบบนี้อาจจะไม่ได้อยู่นานนัก...เมื่อได้เจอที่บ้าน หมอขับรถผ่านเส้นเลียบทางด่วนทะลุมาถึงใจกลางเมือง ก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยบ้านอย่างคุ้นเคย เขาจอดรถอยู่หน้ารั้วบ้านเพียงชั่วครู่ก่อนที่ประตูสูงเกือบสี่เมตรจะเปิดออก โจ้ขับรถวนไปจอดตรงที่จอดรถข้างบ้านในช่องที่ยังว่างอยู่พลางมองรถหรูสองคันที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หมออยากจะแอบไปจับอยู่เหมือนกันถ้าพ่อมันจะไม่เดินมาเตะแล้วตัดออกจากกองมรดก
ก่อนจะเดินเข้าบ้าน หมอมองสระว่ายน้ำข้างบ้านที่ถูกเปลี่ยนเป็นอ่างน้ำวนด้วยสายตาทึ่ง…คนรวยนี่มันดีจริงๆ แล้วคนรวยที่ว่าก็คือพ่อต่างหาก ทั้งเนื้อทั้งตัวโจ้ริงๆก็มีแค่รถคันเล็กๆกับบ้านที่กู้มาด้วยกองทุนข้าราชการ บอกได้เลยว่าถ้าไม่ได้เกิดด้วยไข่เจ้าของบ้านหลังนี้หมอก็คงเป็นแค่คนธรรมดาที่เป็นหมอแค่นั้นเอง
โจ้เป็นแค่หมอกินเงินเดือนธรรมดา เพราะไม่ยอมรับงานในโรงพยาบาลของพ่อต่อ พ่อของโจ้เหมือนจะโหดแต่จริงๆเป็นลุงนิสัยดี ลุงเลี้ยงลูกเองตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ เพราะเมียหนี เลี้ยงลูกแบบบุฟเฟ่ต์ ให้ลูกเลือกกินเลือกใช้เอง ลุงถือคติว่าคนเราก็มักจะหยิบสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเข้าปากอยู่ดี แม้จะหยิบพลาดบ้างแต่ถ้าไม่อร่อยก็คงคาย โจ้ถึงได้มีนิสัยโหดเหมือนกับพ่อตัวเอง
“จิงโจ้มาแล้ว” หมอเบื่อเวลากลับมาที่บ้านแล้วโดนเรียกชื่อเล่นติงต๊อง
“พ่อสวัสดี พี่กวางหวัดดี พี่เสือดี” หมอยกมือไหว้ทุกคนที่นานๆทีได้เจอกันนั่งพร้อมหน้าพร้อมตาบนโต๊ะกินข้าวตัวยาวเหมือนในละครหลังข่าว จิงโจ้ลูกคนเล็กเหลือบมองลุงอายุเยอะสุดตรงอยู่หัวโต๊ะผู้ไม่สนใจใครเพราะช่วงนี้ติดเกมส์ซอมบี้บนมือถืออยู่ ถ้ามีประกวดพ่อดีเด่นเรื่องอินดี้ล้ำยุคล้ำสมัยโจ้ว่าพ่อคงจะเป็นที่หนึ่งแน่นอน
“พ่อ สวัสดีครับ” ลุงเจ้าของบ้านเงยหน้าขึ้นมา มองลูกชายคนเล็กด้วยสายตารำคาญเพราะกวนใจ ก่อนที่จะตัดสินใจวางมือถือลงข้างตัว
“อ้าวจิงโจ้ มาแล้วเหรอ”
พี่เสือเคยเล่าว่าที่หมอชื่อจิงโจ้เพราะเป็นน้องคนสุดท้องแล้วพ่อแม่อยากให้ฟังดูน่ารัก เลยดูน่ารักไปหมด...
ในเมื่อประธานวของครอบครัวเลิกเล่นเกมส์แล้ว การประชุมใหญ่ของบ้านก็เริ่มต้นขึ้น และหัวข้อการประชุมในวันนี้ก็คือ ทุกคนต้องมารายงานความคืบหน้าของชีวิตให้พ่อได้ฟังเรียงตามลำดับอายุเช่นเคย
“ของผมปกติ ไม่ปกติหน่อยก็ตรงที่ทหารแถวชายแดนเริ่มเยอะ เวลาชาวบ้านมีเรื่องกับทหารชอบเอาผมไปบังหน้า ผมกับหัวหน้าทหารเลยทะเลาะกันแทบทุกวัน” พี่เลือผู้ไปทำงานเป็นหมออาสาอยู่ชายแดนทางเหนือของประเทศมาหลายปีเปิดปาก
พี่เสือเป็นคนที่หน้าตาเหมือนแม่ที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง คือหน้าตาดี ผิวดี และก็ชอบความท้าทายเป็นที่สุด คาดเดาอะไรไม่ค่อยได้ เหมือนกับแม่ที่อยู่กับพ่อแล้วไร้ความท้าทายเลยทิ้งไปหาหนุ่มนักปีนเขาชาวต่างชาติ ได้ยินข่าวว่าช่วงนี้กำลังทำสวนบลูเบอรี่อยู่แถวๆต่างจังหวัดของฝรั่งเศษ
…เหมือนพี่เสือไม่มีผิด….
ตอนแรกพ่อส่งให้พี่เสือไปเรียนหมอเฉพาะด้านที่อเมริกา แต่มารู้อีกทีก็อยู่แถวชายแดนบ้านเราแล้ว พี่แกบอกว่าเพื่อนชวนมาทำค่ายอาสาเลยมาด้วย แต่พอเพื่อนๆกลับไปเรียนต่อพี่เสือไม่กลับไปกับเขา อยู่ยาวจนถึงตอนนี้ โดนมีเหตุผลแค่ว่า…ขี้เกียจเรียน
“อย่าไปกวนเขามาก เดี๋ยวจะโดนยิงไส้แตก” พ่อบอกออกมาหน้านิ่ง คำพูดแบบนั้นคงไม่ใช่จากพ่อคนธรรมดาแน่นอน
“ทะเลาะกันมากๆเดี๋ยวก็ได้กัน” และนั่นเป็นเสียงจากพี่กวาง มีใครหลายคนบอกว่าโจ้โหดและเถื่อนแต่หมอรู้สึกว่าเขาเป็นคนธรรมดาที่สุดแล้วถ้าเทียบกับคนในบ้าน
“เดือนนี้กวางทำโรงพยาบาลขาดทุนไป 10 ล้านมั้ง” ถึงคราวที่สาวคนเดียวของบ้านต้องรายงานตัวเองบ้าง เธอบอกออกมาพลางหยิบผลไม้ในจานเข้าปาก
“เดี๋ยวเดือนหน้าหาคืนให้เนอะ” เธอว่าง่ายๆแล้วมองหน้าพ่อ คนเป็นพ่อพยักหน้าเล็กน้อย
“เอาน่า ขาดทุนมากกว่านี้พ่อก็ทำมาแล้ว”
โจ้ผู้มีเงินเดือนหลักหมื่นพยายามคำนวนเงินสิบล้านในใจ แต่ในระหว่างที่ยังไม่ถึงล้านแรกหมอก็ถูกพ่อเรียกก่อน
“จิงโจ้ล่ะ”
“สบายดีครับ เรื่อยๆ” หมอตอบพลางหยิบลูกพลับเข้าปาก
“แล้วน้องเนยเป็นไงบ้าง” พ่อถามคำถามที่หมอไม่อยากจะมาตอบ โจ้มองหน้าทุกคนรอบโต๊ะ เพราะจริงๆแล้วไม่ใช่แค่เขาที่ผิดหวังกับความรักครั้งนี้ แต่หมอกำลังทำให้ทุกคนผิดหวังกันหมด
เพราะครอบครัวหมออินดี้เกินไป ในบรรดาพี่น้องไม่มีใครมีแฟน พ่อโจ้ผู้กำลังเริ่มวางมือจากการบริหารงาน ไม่อยากได้อะไรเลยนอกจากหลานตัวเล็กๆ มาวิ่งเล่นในบ้านกว้างๆ โจ้เลยกลายเป็นความหวังเดียวของพี่ๆ ผู้ยังโสดเกาะคานกันเหนียวแน่น
“เลิกกันแล้วครับ” หมอตอบหนักแน่น ทำเอาคนในโต๊ะถอนหายใจกันยาวเหยียด
“เจ็บไหม” พี่กวางถามพร้อมกับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าน้องชายเธอเมื่อเลือกเขาแล้วไม่มีทางที่จะบอกเลิกเขาก่อนอย่างแน่นอน
“ไม่เท่าไหร่ครับ” โจ้ตอบ แต่ทุกคนก็รู้ว่านั่นไม่จริงเลย…ไม่เลยสักนิด ทุกคนในบ้านรู้จักนิสัยหมอดี
“แต่กวางเจ็บ พ่ออออ” พี่สาวที่เริ่มจะงอแงตามประสาลูกสาวคนเดียวหันไปหาพ่อ ส่วนพี่เสือที่ดูเหมือนจะช็อคหันมาถาม
“ทำไมถึงเลิก” หมอมองหน้าพี่ชายที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลยพลางตอบเนิบๆ
“น้องเขาบอกเลิก”
“อะไรวะ จิงโจ้น้องกู!!” ดูเหมือนพี่ชายคนโตจะฟิวส์ขาดไปแล้ว
“เอาน่า ก็น้องเขาบอกเลิกก็ต้องเลิกถูกแล้ว” พ่อปรามออกมาในที่สุด
บนโต๊ะรวบรวมคุณหมอผู้มีความรู้ไว้ถึงสี่คนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ทุกคนรู้ว่าคนที่หวังกับความสัมพันธ์ของลูกชายคนเล็กกับแฟนมากที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าของบ้านคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั่นเอง
.
.
.