ตอนที่ 21
..ไฟ..
ร้านอาแปะยิ้ม ข้าวต้มกุ๊ย"ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เหมือนมีคนตามเรา..อยู่เลยนะ" พายุพูดเว้นวรรคด้วยน้ำเสียงปกติ ผมฉีกยิ้มทันทีที่ได้ยินคำพูดที่แอบคิดไว้ในใจอยู่ได้สักพักหนึ่งแล้ว ซึ่งตอนแรกปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่าอาจจะคิดไปเองเพราะยังจับตัวตนใครไม่ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พายุพูดออกมาแบบนี้ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ผมเชื่อในประสาทสัมผัสของพายุน่ะนะ
"ตามมาถึงนี่ สงสัยเราคงถูกให้ความสำคัญน่าดู..รู้สึกพิเศษจัง ต่อมเสียวกูเต้นตุบ ๆ เลย" ผมฉีกยิ้มกว้างเหมือนมีใครมาสะกิดต่อมเสียวที่นอนสงบนิ่งอยู่ในตัวอย่างนั้น..
“ตอนนี้น่ะ นอกจากน้องชายคนรองของมึงที่อยู่ใต้กางเกงในกู..กูก็ไม่มีอาวุธอะไรที่จะทำร้ายใครได้เลย” ผมพูดติดตลกถึงของรักของหวงเพื่อกวนพายุ วันนี้อากาศดีจนรู้สึกดีมากจริง ๆ พายุพ่นลมหายใจทิ้ง
“เฮียช่วยพูดภาษาคนปกติบ้างจะได้ไหม” มันบ่นหน้าเครียด
“มึงสอนกูได้เหรอ” ผมย้อนถามตาใส มันนั่นละตัวดี พายุจ้องผมเขม็ง ผมจึงอมยิ้มมุมปากให้นิดหน่อย
"แยกกันไป ..ทำอะไรก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน" ผมพูดแกมสั่ง พายุพยักหน้ารับ เข้าใจง่ายและหัวไวในเรื่องที่ผมต้องการความร่วมมือเสมอ ผมนั่งรอ พายุลุกขึ้นยืนทำให้กังฟูลุกตามในทันที มันเลือกที่จะปลดสายจูงออกอย่างตั้งใจให้เป็นทั้งทีปกติเราจะไม่ทำ กังฟูยังคงนิ่งสงบ บางทีผมก็รู้สึกว่ามันเป็นหมาที่ฉลาดจนผมยอมใจ ทำให้ไม่รู้สึกเสียดายเงินที่ได้ให้ไป เมื่อพายุเดินเข้าซอยไปจนลับตาแล้ว ผมกวาดตามองรอบตัวอย่างรักษาท่าที ไม่มีใครในที่นี้ที่ผิดสังเกต
"แปะครับ" ผมเรียกพร้อมกับลุกขึ้นยืน อาแปะที่กำลังทำอาหารอยู่อย่างวุ่น ๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าผม
"เดี๋ยวผมกลับมานะ..นี่ค่าอาหาร แต่ถ้าสามสิบนาทีผมไม่กลับมา..แปะเก็บโต๊ะได้เลย" ผมสั่งเป็นนัยยะพร้อมกับวางเงินแบงก์พันลงบนโต๊ะ อาแปะขมวดคิ้วเล็กน้อย แกส่ายหน้า
"เอาอีกแล้วนะอาไฟ ไป ๆ กลับมาแล้วค่อยจ่าย!" อาแปะปัดมือส่ง ๆ ไปทีอย่างเหนื่อยหน่ายคล้ายกับรู้จักงานของครอบครัวผมเป็นอย่างดี
“รอพวกลื้อ อาหารจะเย็นซะเปล่า อั๊วไม่ทำรอ” ผมยิ้มกว้างให้เพราะรักที่แกเป็นคนหัวไวอีกคน
"แปะเป็นซะอย่างนี้ พ่อผมถึงได้รักแปะไง ..ผมเองก็ด้วย" ผมยิ้มบอก อาแปะส่ายหัวยิ้ม ๆ คล้ายดีใจที่ได้ยิน ผมจงใจเดินออกไปคนละทางกับที่พายุเดินไป เราทั้งคู่รู้จักตรอกซอกซอยแถวนี้เป็นอย่างดีไปจนถึงดีมากด้วย เรามาละแวกนี้บ่อย ๆ เพราะพ่อพามาปล่อยวิ่งแถวนี้ตั้งแต่จำความได้แล้ว ไม่ว่าจะมาเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว มาจนคุ้นชินแถวนี้อย่างกับวิ่งอยู่ในบ้านตัวเองอย่างนั้น
..ยิ่งผมเดินเข้าไปในซอยลึกและเปลี่ยวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแน่ใจว่ามีคนตั้งใจตามผมมาจริง ๆ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้พายุถูกตามด้วยรึเปล่า เสียงฝีเท้ามามากกว่าสองคน ผมเดินผิวปากฮึมฮัมยิ้ม ๆ อย่างสบายอารมณ์
"หึ..ชอบจริง ๆ อารมณ์ถูกต้อนนี่นะ" ผมส่ายหัวบ่นกับตัวเอง ฝีเท้าเดินด้วยความเร็วปกติบ้าง ชะลอฝีเท้าเบาลงบ้างเพื่อแกล้งหยอกคนด้านหลัง การที่ได้เห็นพวกนั้นปฏิบัติตามมันสนุกดี เมื่อมาถึงที่ ๆ ปลอดคน ผมจึงตัดสินใจหยุดเดินพร้อมหันตัวกลับไป
"ไงครับพี่ชาย" ผมอมยิ้ม ทักผู้ชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมสี่คน
"พอมีลูกอมไหมครับ?" ผมถาม ทุกคนมองหน้ากันเหรอหรา
"คนคุมความประพฤติผมเขาอนุญาตให้กินได้วันละสองเม็ดน่ะ แล้ววันนี้เขาดันไม่มา ผมติด..เลยอยากได้อีกสักเม็ด" ผมฉีกยิ้มกว้างอธิบาย
"กูไม่ตลก" อีกฝั่งตอบมา น้ำเสียงห้วนแข็งกร้าวผสมอยู่ในลูกตาที่ค่อนข้างระแวง
“ใจเย็น ๆ น่า พวกพี่ตั้งสี่คน ผมสิควรโมโห” ผมขยับมือขำ ๆ
"ไม่ยักรู้ว่าคนแถวนี้เขาตอนรับแขกกันแบบนี้นะครับ" ผมแซวไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกมันไม่ใช่คนแถวนี้แน่ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว หน้าตาหรือสำเนียงการพูดก็ตาม
“น้องชายผมละครับ” ผมถาม ใช้น้ำเสียงชวนคุยสบาย ๆ
“หึ ไม่ต้องห่วงน้องมึงหรอก คิดว่าหมาจะช่วยได้รึไง” มันแสยะยิ้มตอบ ผมมองต่ำลงพลางเบะปากให้
“ก็นะ..ผมก็ว่างั้น พี่นี่ฉลาดจัง ฮ่า ๆ ๆ ๆ” ผมหัวเราะกว้าง
“วันเกิดปีก่อน น้องชายผมสั่งเนื้อจากภัตตาคารมาโลนึง มันน่ะ..กินดีอยู่ดีสุด ๆ” ผมเล่าให้ฟัง ฟังดูตอแหลแต่กลับเป็นความจริงเสียด้วย พายุสั่งเนื้อจากภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น เป็นเนื้อคุณภาพดีที่จัดให้กังฟูได้กินดีสุด ๆ พายุมีวิธีการเลี้ยงหมาโดยให้อาหารสดบ้าง สุก ๆ ดิบ ๆ บ้าง สลับกับอาหารเม็ดที่นาน ๆ ครั้งจะเกิดขึ้น ได้ผลตรงที่ว่ากังฟูเติบโตอย่างแข็งแรงมากทีเดียว
"มาทายกันไหมว่าน้องผมหรือคนของพวกมึงใครจะล้มก่อน" ผมยักคิ้ว เปลี่ยนน้ำเสียงในการใช้ทำให้ฝั่งตรงข้ามแสยะยิ้มออกมาคล้ายเหนือกว่า
"หึ สี่นาที" ผมวิเคราะห์ ไม่น่าเกินนี้ พวกมันยืนมองผมนิ่ง ไร้คำพูดจนน่าแปลกใจ ผมมองสำรวจมันหัวจรดเท้า เมื่อผมเริ่มก้าวขาขยับตัว มันสี่คนก็ตั้งกาดพร้อมสู้ทันที
"อู้~ จุ ๆ ๆ" ผมอุทานด้วยน้ำเสียงหยอก ๆ พลางเดอะลิ้นเล็กน้อย รู้สึกเสียวบอกไม่ถูก พวกมันมองผมอย่างไม่ไว้ใจ สายตาดูหลอกแหลก ผมตั้งกาดบ้างแต่ไม่จริงจังนัก เมื่อบุกเข้าหา หนึ่งในนั้นที่ถูกผมจ้องมองก็สลับกาดไปมาคล้ายไม่แน่ใจว่าผมจะทำอะไรกับมันกันแน่
"หึ ๆ" ผมหัวเราะ พร้อมกับเปลี่ยนท่าตั้งกาดเลียนแบบท่าทางลังเลของมันเมื่อครู่เพื่อล้อเลียนกวน ๆ พอมันเห็นอย่างนั้น สีหน้าที่ลังเลเมื่อครู่นี้ก็เปลี่ยนเป็นถอดสี อาการของผมคงไปยั่วโมโหอีกฝ่ายเสียแล้ว ผมยักคิ้วแสยะยิ้มกว้างท้าทาย ชี้นิ้วเข้าที่ตาตัวเอง ก่อนชี้ไปที่มันทั้งหมดครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการบอกให้มันมองไว้ให้ดีและควรตั้งสติให้มากกว่านี้ ถ้าพวกมันเป็นนักมวยที่ค่ายผม อาการแบบนี้ผมไม่เลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวเปลืองน้ำเด็ดขาด
..การต่อสู้เริ่มขึ้นเมื่อฝั่งนั้นเป็นฝั่งพุ่งเข้าหาผมก่อน ผมล้มมันทีละคนอย่างใจเย็น บางครั้งสองคนได้ภายในไม่กี่นาที แม่ไม้มวยไทยไม่ที่งัดมาใช้ ส่วนใหญ่ผมจะตั้งรับและปัดป้องซะมาก แทบไม่ได้ลงแรงจนถึงกับต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวอย่างที่ควร ฝีมือของพวกมันถือว่าไม่เลวร้ายแต่ก็ไม่ได้ดี ถ้าตามภาษาของพายุก็คือ "ห่วยแตก" นั่นแหละ ถ้าพวกลูกน้องผมอยู่ก็คงสามารถจัดการได้ง่าย ๆ ภายในไม่กี่นาทีเช่นกัน
"ไม่ว่างคุยด้วยนะครับ ไว้เจอกันโอกาสหน้า" ผมบอกทิ้งท้ายและไม่คิดจะเค้นขอคำตอบด้วยว่าพวกมันเป็นคนของใคร ศัตรูผมค่อนข้างมาก ถามไปก็คงมีแต่จะใส่ความกันเปล่า ๆ
พวกมันไม่มีอาวุธติดตัวมาซึ่งน่าแปลกมาก ถ้าพวกนี้ตั้งใจจะเอาชีวิตผมพวกมันคงไม่มามือเปล่าแบบนี้ คงมีใครกำลังเล่นตลกกับผมอยู่แน่ ผมเดินย้อนกลับไปทางที่พายุไปโดยใช้ทางลัด คิดว่าถ้ามันโดนรูปแบบเดียวกันกับผม เส้นทางที่จะไปประจบกันได้ก็มีไม่เกินสามทางนี้ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพราะจริง ๆ แล้วก็ยังไม่ไว้ใจเท่าไหร่ ถ้าได้เห็นพายุอยู่ในสายตาค่อยว่ากันอีกที ผมใช้เวลาเดินหาพายุอยู่เกือบสามนาที จนมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ กับโกดังเก็บข้าวที่หลังตลาด พบพายุยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับกังฟูที่ขนาบข้างและบุคคลแปลกหน้าจำนวนสี่คนที่ล้อมรอบมันอยู่ในอีหรอบเดียวกันกับผม ผมยืนมองอยู่ห่าง ๆ ก้มหน้าหัวเราะ สังเกตเห็นชายอีกคนยืนมองดูสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ ฝั่งตรงข้ามกันกับผม ฝ่ายนั้นเองก็ไม่ทันสังเกตเห็นผมเช่นกัน
"จัดว่าเป็นมหรสพชั้นดี" ผมยิ้มกว้าง หยิบเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ที่วางอยู่ใกล้มือติดกับอาคารมานั่งลงอย่างสบายใจ
"เอาเลยยาหยี โชว์ของให้พวกเฮีย ๆ เขาดูหน่อย" ผมยิ้มบ่นอย่างชอบใจและไม่คิดจะเข้าไปช่วยด้วย ถ้าพี่ธานอยู่หรือแม้กระทั่งลูกน้องผมทุกคน มันคงตื่นตาตื่นใจกันเป็นแน่ที่ผมเลือกที่จะทำเช่นนี้ ก็นาน ๆ ครั้งจะได้เห็นเป็นขวัญตาสักทีนี่นะ ปกติพายุมันเก็บตัวจะตายไป
พายุสั่งให้กังฟูที่กำลังขู่คำรามจนไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้พายุเกินกว่านั้นสักคน พอสิ้นคำสั่งจากเจ้านาย กังฟูก็ถอยห่างออกไปสองสามก้าว ลำตัวมันยังคงยืดตรงเตรียมพร้อมสู้อยู่ไม่ถอย ตอนนี้พายุถูกล้อมรอบไปด้วยผู้ชายตัวขนาดเท่า ๆ กับมัน บางคนใหญ่กว่านิดหน่อย น้องชายผมยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่และสีหน้าไม่เปลี่ยนไปในทางใดเลยแม้แต่น้อย หน้าตายมึน ๆ ยังไงก็ยังคงตายอยู่อย่างนั้นเสมอต้นเสมอปลาย
เสียงเพลงลูกทุ่งดังก้องมาจากทางต้นซอยซึ่งค่อนข้างดังมากจนหลังซอยนี้ได้ยินแว่ว ๆ ถนัดหู แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความเงียบที่มีอยู่ตรงนี้ดีขึ้นนัก ผู้ชายสี่คนตั้งกาดเตรียมพร้อมสู้ หนึ่งในนั้นพุ่งเข้าหาพายุก่อนแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เมื่อพายุปัดป้องและสู้กลับได้จึงทำให้อีกสองคนที่มองสถานการณ์อยู่เข้าไปช่วยรับมือในทันที วิชากังฟูของมันยังว่องไวและปราดเปรียวเหมือนเคย ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้เห็นมันในสถานการณ์เช่นนี้มาได้สักพักใหญ่แล้ว น่าจะสามสี่เดือนแล้วละมังที่ไม่ได้พามันไปออกงานลงไม้ลงมือกับใคร
เมื่อฝั่งตรงข้ามเห็นว่าแม้จะเข้าไปแล้วถึงสามคนแต่ก็ยังไม่สะเทือนฝีมือของพายุ สีหน้าของพวกมันเริ่มลังเล เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่ว ดูเหมือนน้องชายผมมันจะเอาจริงผิดจากที่ผมแค่หยอกล้อไอ้สี่ตัวเมื่อครู่นี้เล่นซะแล้ว หนึ่งในนั้นถูกชกจนเกือบสลบล้มไป ดูท่าแล้วคงลุกไม่ขึ้นอีกพัก
"อ้าก!" เสียงคำรามจากพายุดังโผงขึ้น มันปล่อยหมัดชกหนึ่งในสามคนที่เหลือ จับล็อกแขนของอีกสองคนดึงทั้งคู่เข้าหากันสุดกำลังจนตัวของพวกมันกระแทกเข้าหากันด้วยความแรงอย่างหนักหน่วง เป็นผลทำให้ทั้งคู่กระเด็นออกคนละทิศละทาง
"อู้" ผมร้องแกมหัวเราะไปพลาง สองคนที่เหลือตั้งกาดมองพายุอย่างระแวดระวัง พายุยืนนิ่ง มันก้มหน้าลง เอียงคอไปทางซ้ายเล็กน้อยสองครั้ง ก่อนเอียงคอไปทางขวาสองครั้งพร้อมกับกวาดปลายเท้าขวาออกไปทางด้านหลังอย่างช้า ๆ เสียงปลายเท้าที่ลากพื้นไปดัง
"ฟืดดดด" จนผมได้ยินชัดเจน ครั้งนี้พายุพุ่งเข้าสู้ก่อนเหมือนอยากให้รีบจบการต่อสู้นี้ลงเสียที หนึ่งในนั้นถูกเล่นจนน่วม เลือดสาด ตัวกระเด็นไปปะทะกับรถยนต์เก่า ๆ ผุ ๆ ที่จอดอยู่ คนสุดท้ายที่เหลือ ทีแรกมันทำท่าจะหนีถอย ทันทีนั้นกังฟูก็วิ่งกระโจนตาม
“ชู่!” เสียงปรามดังลอดไรฟันของพายุทำให้กังฟูชะงัก ผู้ชายฝั่งตรงข้ามที่ถูกกังฟูต้อนอยู่หน้าถอดสีจนแทบหดเหลือเพียงสองนิ้ว ปากของกังฟูสั่นคำรามตลอดเวลา มันเผยอปากจนเห็นเขี้ยวขาวสะอาด เจ้าตัวคงกำลังอึดอัดจะแย่แล้วที่ไม่ได้ออกแรงเสียที
“เลือกเอา ว่าจะจบกับใคร” พายุยอมพูดเสนอออกมา ทั้งที่ปกติมักจะไม่พูดกับคนแปลกหน้าในสถานการณ์เช่นนี้
"อึก!" อีกฝั่งกัดฟันเลือกที่จะพุ่งตัวเข้าสู้กับพายุต่อแทนที่จะเป็นกับกังฟู
"เฮือก!" พายุคำรามในลำคออีกครั้งที่คงต้องใช้แรงอย่างมาก มันชกซ้ายสลับขวาอย่างเร็วและแรงจนคู่ต่อสู้ตั้งตัวไม่ทัน
ตึง !!!! ...ฝ่ายที่เสียเปรียบตัวกระเด็นไปจนหลังกระแทกเข้ากับประตูทางเข้าโกดัง พายุวิ่งต้อนเข้าไปอย่างไม่ลดละทั้งที่สภาพอีกฝ่ายจนมุม หมดกำลังที่จะสู้ต่อแล้ว มันใช้ปลายเท้าถีบดันคอหอยของอีกฝ่ายไว้เหมือนไม่ยอมให้คู่ต่อสู้ล้มลงไปทั้งอย่างนี้ ผมยิ้มมอง เลือดของผู้ชายคนนั้นไหลออกมาทางจมูกจนเปื้อนรองเท้าของน้องชายผู้รักความสะอาด ตามันเหลือกด้วยเพราะหายใจไม่ออก มันจับข้อเท้าของพายุไว้เหมือนเป็นการบอกว่ามันทรมานและขอยอมแพ้ ถ้าพายุยังดึงดันที่จะทำเช่นนั้นต่อไป อีกฝ่ายได้ขาดอากาศหายใจตายในที่สุดแน่ พายุผ่อนเท้าออกเล็กน้อยคล้ายยอมความ แต่แล้วมันก็แกล้งเหยียบกลับเข้าไปอีกครั้ง
"หึ ๆ" ผมหัวเราะ ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปหา
แปะ ๆ ๆ ๆ ...ผมยิ้มกว้าง ปรบมือขึ้นอย่างดังสามสี่ทีทำให้ผู้ชายคนที่ยืนมองดูสถานการณ์อยู่เหลือบมามองผม เขาเป็นคนเดียวที่มีสติดีครบทุกอย่าง การที่เห็นผมและสีหน้ายังไม่เปลี่ยนไปแสดงว่าทำใจไว้ก่อนแล้ว
"........." ผมหันหน้าไปยิ้มกว้างให้พายุ มันมองผมตาขวางพร้อมกับนำมือขึ้นชูนิ้วกลางให้พี่ชายอย่างผมในทันที นิ้วกลางจากน้องชายที่น่าจะหมายความว่าทำไมเห็นแล้วไม่เข้าไปช่วย ผมพยักหน้าสั่งให้พายุรีบจัดการส่วนที่เหลือ ทันทีนั้นมันก็ตวัดตัวเตะเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายจนร่วงลงสลบภายในไม่กี่วินาที ผมหัวเราะ ฉีกยิ้มเดินตรงเข้าไปหาหนึ่งเดียวที่รออยู่ สำรวจมองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า หน้าตาไม่เหมาะที่จะเป็นคนเลวจริง ๆ นั่นละ เพราะอย่างน้อยน่าจะมีกลิ่นเชื้อของคนนิสัยแบบผมอยู่บ้างน่ะนะ
..สายตาของผมกวาดไปจนทั่วร่างกายก่อนหยุดอยู่ที่เป้ากางเกงของอีกฝ่ายอย่างจงใจ มันยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ผมแสยะยิ้ม เข้าประชิดตัวและนำมือจับชายเสื้อของมันเลิกขึ้นจนเห็นหน้าท้องได้ชัดเจน
"อู้~ ซิกแพค" ผมถลึงตาชมด้วยน้ำเสียงหยอก ๆ
"หุ่นสวยดีนี่ครับ" ผมบอก อีกฝ่ายทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่านั่นตกใจหรืออะไรแน่ พายุกลับเข้ามาแต่ยืนทิ้งระยะห่างเอาไว้
"แนะนำก่อน นั่นน้องชายผมเองครับ ความภูมิใจของตระกูลเลยนะครับนั่น" ผมไม่พูดเปล่า เข้าไปกอดไหล่มันอย่างสนิทสนิมจนอีกฝ่ายชะงักด้วยความระแวง พายุยังคงมองเราทั้งคู่สีหน้าปกติเช่นเคย
"ใครส่งมางั้นเหรอครับ" ผมกระซิบถามที่ข้างหู ปลายจมูกเลื่อนแตะลงที่ข้างแก้มของอีกฝ่ายจนตัวมันสั่น ปฏิกิริยาที่ทำให้ผมอดอมยิ้มออกมาไม่ได้
“นั่งก่อนสิ” ผมผละตัวออก อนุญาตให้นั่งเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ที่ยังคงใช้งานได้อยู่วางอยู่ใกล้ ๆ กับเราทั้งคู่ อีกฝ่ายก็นั่งลง ผมจึงหยิบเก้าอี้ไปตั้งประชันหน้าและนั่งลงด้วยเช่นเดียวกัน
"ไอ้ตัวนั้นชื่อกังฟู น่าเสียดายที่พี่ไม่ได้เห็นฝีมือ..ค่าตัวมันน่ะ คงแพงกว่ารถพี่ซะอีก" ผมหัวเราะบอก
"ชื่ออะไรครับ" ผมเปลี่ยนเรื่องพูดกะหันหัน
"ทิว" อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ..แต่ ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยมีศัตรูที่หน้าตาแบบพี่ด้วย" ผมพูด ทิวเบนหน้าไม่ยอมสบตา ผมเห็นด้วยหางตาว่าพายุยืนหันหลังให้ผมอย่างรู้หน้าที่ว่าควรระวังฝั่งนั้นเอาไว้ให้
"พี่คง..ไม่ได้ทำงานให้วงการผมหรอกใช่ไหม สัญชาตญาณน่ะ ดูเป็นคนปกติ" ผมจับผิดมองแต่ไม่วายส่งตาหวานเยิ้มไปให้
"..ผมดันชอบคนดีซะด้วย" ผมแสยะยิ้มมุมปากพลางเดาะลิ้นเบา ๆ
ตืด ๆ ๆ ...เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่จากผม มันมาจากในกระเป๋ากางเกงของอีกฝ่าย ผมนำขาไขว่ห้างนั่งมองอย่างสบาย ๆ
"รับเลยครับ ตามสบาย" ผมปัดมือบอก แต่อีกฝ่ายยังมองผมด้วยสายตาไม่ไว้ใจอยู่ดี
"เร็วหน่อยครับ ผมหิวน่ะ" ผมบ่นเซ็ง ๆ ทำให้ทิวยอมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า ผมแบมือไปตรงหน้า อีกฝ่ายวางโทรศัพท์ลงบนมือผม ผมยิ้มให้เล็กน้อยแทนคำขอบคุณที่เขาทำตัวว่าง่ายดี เมื่อเห็นชื่อที่โชว์บนหน้าจอโทรศัพท์ถึงกับต้องสูดหายใจเข้าลึกยาว
"สวัสดีครับ" ผมกดรับทักปลายสาย
"........." ปลายสายเงียบไปตามที่คาด
"ไม่มีอะไรจะพูดหน่อยเหรอครับ คุณสารวัต" ผมเปิดประเด็น ปลายสายคือพี่ทัพไม่ผิดแน่ ชอบเล่นอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้ มีไม่กี่คนในชีวิตของผมหรอกครับ ก็ปกติผมมักจะเป็นฝ่ายชอบเล่นไม่เข้าท่ามากกว่า
"หึ..รับสายแทนคนของกูได้ คนของกูคงไม่ได้ตายไปหมดแล้วหรอกนะ" พี่ทัพตอบ น้ำเสียงคุ้นหูที่ต่างฝ่ายต่างจำได้ดีขึ้นใจ
"หึ..ตายเตยอะไร บ้านเมืองมีขื่อมีแป" ผมพูดห้วน ๆ ระหว่างพูดตาก็มองตรงข้ามตลอดเวลา สำรวจมองตั้งแต่หัวจรดเท้า อีกฝ่ายหุ่นดีไม่ธรรมดาจนแทบทำให้เสียสมาธิทีเดียว
"พี่ทิวนี่เขามีลูกมีเมียรึยัง? ผมว่าผมตกหลุมรักพี่เขาแล้วน่ะ” ผมพูดโต้ง ๆ คนที่ถูกพูดถึงหน้าถอดสี
“เฮียก็รู้..ว่าเวลาที่ผมเหงื่อออกไม่หมด มักมีอารมณ์ผิดที่ผิดทาง ขอเอาพี่เขาสักทีคงไม่ว่ากันหรอกใช่ไหม แล้วผมจะถือว่าเรื่องวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..แบบนี้ดีไหม" ผมถามออกไปตรง ๆ พูดเล่นติดตลกไปงั้น แต่กลับทำเอาทิวตาโตแทบถลน ปลายลิ้นถูไปตามไรฟันอย่างนึกหมันเขี้ยวขึ้นมา
"ไอ้ไฟ มึงหยุดระยำสักห้านาทีจะตายไหม!" พี่ทัพขึ้นเสียงคล้ายสุดทน
"หึ ๆ ๆ" ผมหัวเราะ
"พี่ทำแบบนี้ทำไม" ผมหยุดขำดื้อ ๆ ถามออกไปด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง พี่ทัพเงียบลงทันที ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้คำตอบง่าย ๆ
ผมนำขาขวาที่ไขว่ห้างอยู่ตวัดเหยียบลงไปที่ปลายเก้าอี้ระหว่างขาของทิวที่นั่งอยู่ ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นผมเหยียบไปอย่างนั้น มันก็อ้าขาออกกว้างอย่างระแวดระวังตัวเอง ผมช้อนตาพลางยิ้มให้ ปลายสายยังคงรักษาความเงียบเอาไว้ ผมจึงเลื่อนเท้าไปเชื่องช้าจนคนที่นั่งอยู่ถอยก้นออกหนีเท้าผมไปเท่าที่จะทำได้ เมื่อจนหนทางแล้วมันกลืนน้ำลายลงคอ มองหน้าผมอย่างระแวง ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และหยุดเท้าไว้แค่นั้นเพื่อให้คนตรงข้ามตายใจ สายตาที่จับจ้องมองของผมเปลี่ยนอารมณ์ เท้าขยับเหยียบเข้าไปที่เป้ากางเกงของทิวในทันที
“สารวัตร!” ทิวอุทานหน้าเสีย ผมฉีกยิ้มด้วยความพอใจกับปฏิกิริยาที่ได้รับ
“ไอ้ไฟ..” พี่ทัพถอนหายใจเฮือกใหญ่ปรามเหมือนรู้ว่ามีเหตุเกิดขึ้นกับลูกน้องตน ผมแลบลิ้นออกมากัดเล็กน้อย ปลายเท้าขยับย้ำไปที่ส่วนสำคัญของคนตรงหน้าอย่างใจเย็นจนอีกฝ่ายอึกอักหายใจลำบาก แกมเริ่มแดงให้เห็น
“ทั้งที่มึงบอกว่าวางมือแล้ว ที่จริงมันไม่ใช่” พี่ทัพเอ่ย
“ถอดกางเกงซะ..” ผมสั่งห้วน ๆ ทิวก้มหน้าลง
“ไอ้ไฟ!” พี่ทัพขึ้นเสียงดังกว่าเดิม
“ไม่โทษคนอื่นสิครับ” ผมเตือนพี่แก ย้ำเท้ากดเข้าไปที่เป้าแรงมากขึ้นเดิม อีกฝ่ายสะดุ้งนำมือจับข้อเท้าผมไว้หน้าเสีย
“ก็ได้..กูแค่อยากให้มึงช่วย" พี่ทัพทำท่าจะตอบ แต่การขึ้นต้นประโยคแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกไม่อยากรับฟังคำตอบขึ้นมา
"ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร" ผมตัดบนขึ้นโต้ง ๆ พี่ทัพเงียบลงในทันที อีกฝ่ายคงรู้ดีว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เราเคยทำงานร่วมกันมานาน อยู่กันในฐานะของพี่น้อง ครอบครัวและเพื่อนร่วมงานมานานจนรู้ตื้นลึกหนาบางกันหมด
"อย่าทำแบบนี้อีก..” ผมพูด
“ผมคิดว่าพายุไม่น่าจะชอบ พี่ก็รู้ว่ามันไม่ชอบให้เหงื่อออกเวลาที่ไม่มีก๊อกน้ำอยู่ใกล้ ๆ ตี๋เล็กไม่ชอบ อั๊วก็ไม่ชอบด้วยเหมือนกัน" ผมพูดเรียบ ๆ อย่างไม่จริงจังนัก เพราะถ้าจะให้ผมโกรธเรื่องแค่นี้กับพี่ทัพ ตามจริงแล้วผมก็ไม่โกรธ ผมชักเท้าออกจากเป้าของทิวแล้วลุกขึ้นยืน ทิวถอนหายใจแรงคล้ายโล่งอก
"ลื้อฟังอั๊วอธิบายก่อนได้ไหมวะ" พี่ทัพรีบพูด
"ถ้าพี่ไม่ฟังที่ผมบอก ผมก็ไม่รับประกันคนของพี่นะครับ" ผมบอก พร้อมนำมืออีกมือที่ว่างอยู่ลูบเข้าไปที่ต้นคอของทิวพลางเกลี่ยนิ้วไปมา เหงื่อของอีกฝ่ายเปื้อนมือผมนิดหน่อย เจ้าของร่างกายไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองมาเลย
"เชิญครับ ขอบคุณ" ผมไม่ฟังเสียงปลายสาย ยื่นโทรศัพท์คืนทั้งที่ยังไม่ตัดสายกลับไปให้ ทิวรับคืนกลับไปแนบหู พูดอยู่สองสามประโยคก่อนวางสายไป
"ทำงานกับคนแบบนั้น เหนื่อยหน่อยนะครับ" ผมพูดบอกพร้อมตบบ่าอีกฝ่ายสองสามทีอย่างให้กำลังใจแล้วเดินออกมา
"ทำงานกับคนแบบเฮียก็เหนื่อยเหมือนกัน" พายุพูดตามหลัง
"หึ" ผมหัวเราะชอบใจ หยุดเดินแล้วหันกลับไปคว้าคอมันเข้ามากอด
ผมกับพายุเดินกลับไปกินข้าวต้มที่ร้านอาแปะ แปะทำอาหารเตรียมให้ผมสองพี่น้องใหม่แบบสด ๆ ร้อน ๆ และพายุก็ไม่ลืมที่จะสั่งเป็ดสำหรับกังฟูกลับบ้านไปด้วย ครั้งนี้พายุเป็นคนขับกลับเพราะผมหมดอารมณ์แล้ว
"เฮีย..จะทำงานให้ตำรวจอีกเหรอ" พายุถามตะกุกตะกักขึ้นระหว่างทาง น้ำเสียงเหมือนเกรงที่จะถามออกมา ผมเอนเบาะรถลงเพื่อให้นอนได้สบายมากขึ้นและเท้าแขนไว้บนหัวทั้งสองข้าง
"ไม่หรอก" ผมตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มเบาเพื่อให้มันสบายใจ พายุเป็นห่วง ผมทราบดี มากไปกว่านั้นตอนนี้ที่ผมไม่อยากทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างเมื่อสมัยที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ก็เพราะผมเป็นห่วงพวกมันมากกว่า
"งั้นฟังเพลงนะ" มันเปลี่ยนเสียงใสขึ้นมาเลย ผมไม่ตอบ อยากทำอะไรก็ทำไป สายตาเหลือบมองโทรศัพท์มือถือของพายุ มันวางอยู่ตรงใกล้กับคันเร่งและมีสายเข้า พายุหยิบไปกดรับ ผมหลับตาลง
"ขับรถอยู่ เดี๋ยวค่อยโทรมาใหม่นะ" พายุพูดบอกปลายสาย
"มากับเฮียครับ" มันตอบ ผมตงิดใจด้วยสัญชาตญาณของความเป็นพี่อย่างเร็วสูง
"ครับ ๆ" พายุขานรับแล้ววางสายไป
"ใคร" ผมถามทันที
"เพื่อน" มันตอบ
"เพื่อนท้องชนกัน?" ผมพูด ลืมตาขึ้นมอง พายุยังคงนิ่ง
"กูถามว่าใคร" ผมย้ำถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงคงเดิม
"ยุตอบว่าเพื่อนไปแล้วไง เฮียนี่ซักเป็นอาป๊าเลย" มันขมวดคิ้วบ่น ส่วนตัวผมค่อนข้างขี้บ่นเหมือนพ่อเพราะแม่ผมเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด ผมก็ยอมรับนะครับว่าผมขี้บ่น แต่ผมจะบ่นเฉพาะคนในครอบครัวและคนสำคัญเท่านั้น ใครที่ไม่สำคัญในชีวิตเรา ๆ จำเป็นต้องใส่ใจด้วยงั้นเหรอครับ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง ซึ่งเพื่อนสนิทผมจะรู้ดีว่าผมชอบบ่นจุกจิก พวกมันมักส่ายหัวเสมอเมื่อไหร่ที่คนนอกที่ไม่รู้จักมาคลั่งไคล้หลงใหลผม พวกมันมักจะทำเสียงรับไม่ได้ใส่คนที่มาชอบผมว่า
"โธ่ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย" ประมาณว่าถ้าได้รู้จักตัวจริงของผมแล้วละก็คงเบือนหน้าหนีกันเป็นแน่
"กูรู้แล้วว่าเพื่อน แต่เพื่อนชื่อเหี้ยอะไรล่ะ..เสือ สิงห์ กระทิง แรด..กูขอชื่อ" ผมว่า
"ชื่อพี่ม่าน" พายุกระแทกเสียงตอบอย่างยอมความ
"ไอ้เหี้ยนี่เป็นคนรึเปล่า หรือเป็นผี..ชื่อม่าน คนเหี้ยไรชื่อม่าน" ผมแสยะปากบ่น
“แล้วไหนมึงบอกเพื่อน"
"เพื่อนรุ่นพี่ไง" มันย้อนตอบ ทำปากยื่นปากยาว
"มันจีบมึงเหรอ" ผมถาม
"ยุไม่รู้" พายุเสียงกระแทกไม่เลิก
"มึงดูไม่ออกเลยรึไงว่าใครจีบมึง หรือไม่จีบมึง"
"อ๋อใช่..กูลืมไป มึงซื่อบื้อ" ผมว่า พายุนั่งหน้างอหงิกเป็นกระบวยไปแล้ว
"พี่เขาชอบหมาเหมือนกัน ที่บ้านน้าพี่เขาเพาะหมาขายด้วย..ก็เลยคุยกัน" พายุอธิบาย
"หึ..หึ ๆ ชอบหมา มันเคยเจอกังฟูแล้วเหรอ" ผมถาม พายุเงียบ เจ้าของชื่อครวญครางในลำคอ
"ลูกไม้ตื้น ๆ จะจีบคนอื่นแล้วบอกชอบหมา แสดงว่ามันรู้ว่ามึงรักหมา" ผมเบะปากและเอื้อมมือหยิบขวดน้ำที่วางอยู่ด้านซ้ายมือมาเปิดดื่มไปบ่นไป คิดว่าที่เดาอยู่นี่ไม่ผิดอีกด้วย
"เฮียอย่าเอาพื้นฐานตัวเองไปตัดสินใครสิ"
"โทษครับ อย่าเอากูไปเปรียบกับมัน เพราะกูไม่เคยจีบใครเพราะใช้ลูกไม้..ผมชอบหมาครับ ไม่ทราบว่าคุณชอบหมารึเปล่า โอ๊ะโอ..พอดีเลย ผมก็เลี้ยงหมาเหมือนกัน ยังไงมาดูหมาที่บ้านผมสิ แล้วก็พกถุงยางไปด้วยนะครับ หึ! ปัญญาอ่อน" ผมเล่นน้ำเสียงขึ้น ๆ ลง ๆ ตอบกลับ
"ยุไม่คุยกับเฮียแล้ว" มันย้อนด้วยน้ำเสียงเคือง ๆ
"คร้าบ ๆ" ผมยกมือขึ้นยอมแพ้มันเช่นกัน
"อ๋อ..กูขอบอกไว้อย่าง จุดจบส่วนใหญ่ หลังจากดูหมาแล้วก็มักจะจบที่การปี้กันน่ะนะ" ผมพูดจบก็เมินหน้าหนีทั้งที่กลั้นหัวเราะไว้สุดชีวิต ในใจนึกและจำ
"ไอ้ม่าน" - - - - - - - - - - - - - - -