Lucky! ดีกว่านี้ไม่มีแล้ว (ตอนที่ 4)
ตอนที่ 4 ความประทับใจแรก
ผมไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบ
มันฟังดูการ์ตูนผู้หญิงมากๆ ยิ่งยัยหวานน้องสาวตัวดีของผมเฝ้าพร่ำเพ้อ ผมยิ่งหน่าย
“Love at first sight มันไม่มีหรอกเจ้าหวาน ความรักมันต้องเกิดจากการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ค่อยๆ เข้าใจกัน รักกันเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เหมือนหยอดกระปุกออมสินอะ แกเข้าใจปะ มีอย่างที่ไหน เห็นหน้าแล้วชอบเลยอะนะ แม่งมันก็รักแค่หน้าตาเปลือกภายนอก”
ผมเฝ้าบอกมันอยู่เป็นประจำ แหย่จนมันเกิดโมโหขึ้นมาและชี้หน้าว่าผม
“เฮีย คอยดูนะ สักวันเฮียจะล้มทฤษฎีของเฮียด้วยตัวเอง แล้วอีกอย่างนะ รักแรกพบน่ะ มันไม่จำเป็นต้องเกิดจากหน้าตาหรอก มันรวมไปถึงความประทับใจในสิ่งที่เค้าทำด้วยเหอะ เฮียอะ ไม่โรแมนติกเลย ให้ตายสิ”
มันสะบัดหน้า เดินหนีผมไป ปล่อยให้ผมหัวเราะขำกับท่าทางมันคนเดียว
เสียงคุยจอกแจกของเหล่านักศึกษาดังขึ้นเล็กน้อยเมื่อแสงไฟที่ถูกหรี่ไว้สว่างขึ้น ทั้งที่เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ยังคงชุมนุมอยู่ในห้องประชุมใหญ่ของคณะอย่างคึกคัก เนื่องด้วยวันนี้มีการพรีเซ็นท์ไฟนอลโปรเจ็คของนักศึกษาสถาปัตย์ ชั้นปีที่สี่ หรือที่เรียกกันว่า จูรี่
นักศึกษาบางคนเดินหน้าซึม ตาเศร้าออกมาจากห้อง แต่จากที่เห็นส่วนมากจะทำหน้ามึนๆ และง่วงๆ กันมากกว่า เพราะคืนที่ผ่านมาทุกคนก็นั่งทำงาน อดหลับอดนอนกันทุกคน กำหนดเส้นตายส่งงานเวลา 9 โมงตรง อาจารย์นั่งอยู่ตรงช่องหน้าต่างเล็กๆ ให้นักศึกษายื่นงานผ่านช่องเล็กๆ นั้นเข้าไป ทุกคนต้องเซ็นชื่อพร้อมลงเวลา เคยมีเพื่อนบางคนที่มาไม่ทันเวลา แต่ละคนได้ทานปลา (F) จากงานชิ้นนั้นไปเลยก็มี
ปกติวันส่งงานและวันนำเสนอผลงานหรือที่เรียกกันว่า จูรี่ จะมีในวันถัดไป แต่คราวนี้มาแปลก อาจารย์ให้ส่งงานเช้าและตอนบ่ายเป็นจูรี่ แทนที่ทุกคนจะได้กลับไปนอนตายที่ห้อง แต่ละคนก็นอนตายกันเกลื่อนแถวๆ ใต้อาคารแทน
จูรี่คราวนี้เป็นจูรี่รวมซึ่งหมายถึงนักศึกษาทุกคนในแต่ละกลุ่มเล็ก (เซ็คชั่น) พร้อมอาจารย์และพี่ปีแก่ (อาจารย์เด็กๆ ที่เป็นรุ่นพี่ของพวกเราหรือรุ่นพี่ที่จบไปเป็นเจ้าของกิจการแล้วเข้ามาดูแววรุ่นน้องซึ่งบางคนอาจโดนจองตัวตั้งแต่เรียนปีสี่เลยก็มี) จะนั่งฟัง โดยนักศึกษาแต่ละคนออกมานำเสนอ ผลงานของตนเอง อธิบายแนวคิด วัตถุประสงค์ของการออกแบบงานของเรา และตอบคำถามจากผู้ฟังทุกท่านเท่านั้นเอง ฟังดูง่ายใช่ไหมครับ มันยากตรงที่ฟังคอมเม้นท์อาจารย์แต่ละคนเนี่ยแหละ ตอนปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่ๆ คนไหนไม่ร้องไห้ก็ไม่ใช่เด็กสถาปัตย์แล้วละครับ จนถึงตอนนี้เพื่อนบางคนยังแอบน้ำตาซึมเมื่อโดนอาจารย์ซักถามและชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา (ที่สุด) อยู่เลย
ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยครับ แต่มันเป็นสิ่งที่ชอบ ผมก็มีความสุขดีนะ งานคราวนี้ผมได้ B+ อาจารย์ติเรื่อง Master Plan ที่ไม่ลงรายละเอียดของต้นไม้รอบอาคารกับ ภาพตัด section ที่เล็กไปหน่อย โดยรวมก็ถือว่าดีครับ
ผมขับรถกลับถึงคอนโดเกือบๆ จะเที่ยงคืน ยัยหวานยังคงนั่งตาแป๋ว จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่อยู่
“ทำอะไรทำไมยังไม่นอน” ผมเดินเข้าไปดื่มน้ำในห้องครัว
“รอเฮียแหละ.... อิอิ พระเอกแม่งฮ่าอะ ทำได้ไงเนี่ย” อันหน้าตอบผม ส่วนอันหลังพูดกับตัวเองครับ ชินละ น้องสาวบ้าการ์ตูน อ่านนิยาย พูดเองเออเองเป็นเรื่องปกติ ไม่น่าจะมาเป็นครูได้นะครับ แต่มันก็เป็นไปแล้ว เอากับมันสิ คิดภาพเวลามันไปสอนหนังสือ คงคุยเรื่องการ์ตูนกับนักเรียนกันสนุก
“เฮีย พรุ่งนี้ ไปกินข้าวบ้านซีนะ”
“อืม เอาสิ ให้ไปรับกี่โมง” พรุ่งนี้ผมนอนยาวทั้งวันแน่ ถามมันก่อนจะได้ตั้งนาฬิกากะเวลาไปรับถูก
“อะไร นี่ชวนไปกินข้าวบ้านซีด้วยนะ ไม่ได้ให้ไปรับเฉยๆ”
“ทำไม อยากอยู่บ้าน นี่ไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว” ผมทำหน้ายุ่ง
“เฮียยยยยยยย” ยัยหวานลากเสียงมาขนาดนี้ อ้อนครับ
“ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แบบรู้ว่าเฮียจะพักผ่อนไง เลยชวนไปกินข้าวด้วยกัน ไม่ต้องทำกับข้าวไง ไปนะๆ” ปกติพวกผมทำกับข้าวทานกันเองครับ ไม่ซื้ออาหารถุงเพราะผมแพ้ผงชูรส
“อีกอย่างจะได้รู้จักเพื่อนหวานมากขึ้นด้วยไง ยัยซีมีพี่ชื่อพี่ดี จะได้รู้จักกันไว้ เผื่อฉุกเฉินจะได้ติดต่อกันได้”
คงเห็นว่าผมยังไม่ค่อยเต็มใจ หวานเลยยกเหตุผลมาอีกข้อ อืม ก็จริง ถ้าติดต่อยัยหวานไม่ได้ ก็ติดต่อซี ถ้าติดต่อซีไม่ได้ก็ติดต่อพี่ดี พี่ชายซี สาวๆ สองคนนี้ยิ่งไม่ชอบรับโทรศัพท์ด้วย ทำให้มีหลายครั้งที่ต้องเป็นห่วงกันวุ่นวายไปหมด
“เออๆ ไปก็ได้ กี่โมงล่ะ”
“เย้! ห้าโมง มารับที่คณะด้วยนะ” ยัยหวานทำเสียงดีใจ ก่อนจะหันไปรัวแป้นพิมพ์ หัวเราะคิกคัก ปิดคอมพ์และเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไป
ผมเดินช้าๆ มารอยัยหวานที่คณะ มานั่งใต้ถุนอาคารมีนักศึกษานั่งอยู่ประปราย บางคนนั่งสอนพิเศษกับเด็กส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
ผมนั่งมองไปรอบบริเวณ ที่มุมตึกใกล้สวนหย่อมขนาดเล็กเห็นสุนัขตัวพันทางสีขาวแต้มสีดำ ทำท่าลับๆล่อๆ ค่อยขยับออกมาจากสวนหย่อมข้างตึก มันดูหวาดระแวง ไม่กล้าจะสู้คนนัก ลูกตัวเล็กหลากสีทั้งขาว น้ำตาล ดำ และลายจุดวิ่งตามออกมาเป็นพรวน ต่างมะรุมมะตุ้มใช้ขาเล็กเกาะดูนมมันพะรุงพะรัง
“มามะ แต้ม พ่อเอาขาไก่มาฝากด้วยนะวันนี้” ระหว่างที่กำลังมองภาพครอบครัวหมาเพลินๆ มีเสียงไม่ทุ้มไม่ห้าวกล่าวขึ้น สรรพนามที่แทนตนเองว่า ‘พ่อ’ ทำให้ผมหันไปมองเจ้าของเสียง
“นี่ดูๆ มีกระดูกหมูด้วยนะ ไปขอแม่ค้ามา” มือผอมล้วงถุง ยืนกระดูกหมูชิ้นใหญ่ให้ ‘แต้ม’ อย่างไม่มีท่าทีรังเกียจ แต้มเองก็ดูคุ้นเคยกับคนนี้ดีเพราะมันกระดิกหางและเลียมือนั้นอย่างดีใจ
“ค่อยๆ กินก็ได้ ไม่มีใครกัดหรอกน่า ช้าๆ ใครมายุ่งเดี๋ยวพ่อตีมันเอง”
“เจ้าตัวเล็กๆ พวกนี้น่าจะกินข้าวได้แล้วนะ อยู่นี่ก่อนเดี๋ยวมา” พูดจบชายคนนั้นก็เดินเข้าไปในโรงอาหารที่อยู่ไม่ไกล สักพักก็เดินออกมาพร้อมกับแม่ครัวที่ถือเศษอาหารถุงใหญ่
“ป้า ดูสิวันนี้ออกมาหมดเลย เมื่อวันก่อนยังดูกลัวๆ อยู่เลย”
“นั่นสิ วันแรกมันกลัวทุกคนเลย ผอมโซเชียว ป้าเลยเอาข้าวมาให้ ตอนแรกนี่ต้องเอามาแอบวางไว้ใกล้ๆ และเดินไปแอบก่อนนะ มันไม่กล้ากิน ตอนนี้เป็นไงเชื่องแล้ว นะแต้มนะ” ป้าวางถุงลงข้างตรงหน้าแต้มและลูกหมา
ป้าแม่ครัวกลับไปแล้วเหลือแต่ชายหนุ่มร่างผอมคนนั้น และผมยังคงมองเขาอยู่
“กินเก่งจังเน้อ พรุ่งนี้จะเอามาให้ใหม่นะแต้มนะ บ้ายบายตัวเล็กๆ” เขาหยิบถุงพลาสติกเปล่าที่ตอนแรกเต็มไปด้วยเศษอาหารขึ้นมา ก่อนจะนำไปทิ้งที่ถังขยะโดยระหว่างทางก็ก้มเก็บเศษขยะเล็กๆ ไปด้วย
โห ประทับใจครับ ประทับใจโคตรพ่อโคตรแม่ คนอะไรจะดีได้ขนาดนี้
นั่นเป็นความคิดทั้งหมดของผมที่มีต่อผู้ชายคนนั้นจากการแอบมองทุกพฤติกรรมของเขา คนดีคนนั้นเดินหายไปทางห้องน้ำและกลับออกมานั่งใกล้ๆ กับผมที่ยังคงนั่งรอน้องสาวตนเอง
ผมมองเขา
เขาเป็นชายรูปร่างผอม แต่ก็มีแก้ม ตากลม ผิวสีเนื้อนวล ออกไปทางขาว ไม่สูงแล้วก็ไม่เตี้ย มาตรฐานชายไทยทั่วไป กางเกงขาเดฟสีดำ เสื้อนักศึกษาปล่อยชาย ไม่ผูกไทด์ สวมรองเท้าผ้าใบที่ใครก็ใส่กันดาษดื่น
เขาเป็นคนธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปซึ่งหากเดินสวนกันหลายคนคงมองไม่เห็นเขาด้วยซ้ำ แต่เพราะจากกระทำของเขาที่ผมได้เห็นเมื่อครู่ มันทำให้ใจคนมองเต็มตื้น ไม่น่าเชื่อว่าการทำความดีแบบที่เราเคยเขียนลงในสมุดตอนประถมอย่างช่วยคนแก่ข้ามถนน เก็บเศษขยะ หรือให้ข้าวสุนขจรจัดจะมีคนทำจริงๆ
มันน่าประทับใจจริงๆ นะ
ผมคงจ้องเขานานเกินไปจนรู้ตัว มองกลับมาที่ผมด้วยใบหน้านิ่งๆ รอยยิ้มที่มีให้แต้มและป้าแม่ค้าไม่มีอีกแล้ว เห็นเพียงคิ้วขมวดและปากที่เม้มแน่น ดวงตาที่เปล่งประกายความสุขจากการแทนตัวเองว่า ‘พ่อ’ กับหมาจรจัดนั้นหายไปแทนที่ด้วยสายตาว่างเปล่าเฉยชาเสียจนผมรู้สึกแย่เมื่อรู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ความอบอุ่นบนใบหน้านั้นหายไป
ผมยิ้มให้เขานิดๆ พยายามเป็นมิตรกับเขาเต็มที่ แต่เขายังคงนิ่ง สบตาผมเพียงเล็กน้อยทำราวกับผมเป็นธาตุอากาศ มองผ่านไปข้างหลัง
“พี่ดี รอนานไหมอะ อาจารย์ปล่อยเลทเกือบยี่สิบนาทีได้ โทษทีน้า” หญิงสาวผมยาวคนหนึ่งวิ่งผ่านผมตรงเข้าไปกอดแขนออดอ้อนเขา
“โคตรช้าอะ คราวหลังไม่รอละนะ กลับเองเลย ยุงกัด คันไปหมดแล้วเนี่ย” เขาบ่นงึมงำ ยกมือขึ้นโยกศีรษะเล็ก แล้วเอื้อมมือไปช่วยหญิงสาวถือตำราเรียน “ขนอะไรมาเยอะแยะ โคตรหนัก แม่ง หิวแล้วเนี่ย”
“จุ๊ เบาๆ หน่อย มาบ่นไรเนี่ย เอาขนมไหม” หญิงสาวค้นกระเป๋าหยิบคุกกี้แกะส่งให้ทาน พอเขาได้ขนมแล้วก็เงียบไปเลย น่ารักดี
“เฮียยยยยย” ไม่ถึงนาทียัยหวานส่งเสียงร้องเรียกมาแต่ไกล ยิ้มแฉ่งอวดฟันทุกซี่ ทำหน้าอ้อนเพราะทราบดีว่าตนเองมาช้ากว่าเวลาที่นัดไว้เกือบยี่สิบนาที
“ซี พี่ดี นี่ๆ เฮียน้ำพี่ชายหวานเอง” หวานเรียกหญิงสาวคนที่เข้าไปอ้อนออดคนดีคนนั้น ‘ซี’ ยิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้ ผู้ชายคนนั้นหันมามองผม คิ้วยังขมวดอยู่นิดๆ
“เฮีย นี่คนนี้ซี เพื่อนหวานแล้วก็ พี่ดี พี่ชายซี” หวานแนะนำ ‘สองพี่น้องซีดี’ ที่เจ้าตัวพูดถึงบ่อยๆ ให้ผมรู้จัก
“พี่ดี หิวแล้วละซิ ไปๆ เดี๋ยวหวานแสดงฝีมือเอง แล้วจะรู้ว่าความอร่อยเป็นยังไง ฮ่าๆ” หวานเห็นดีทานขนมจึงไล่ต้อนทุกคนไปที่รถและเป็นหน้าที่ผมขับรถไปบ้านพี่น้องดีซีโดยมียัยหวานทำตัวราวกับเป็นเจ้าของบ้านบอกทางที่ผมเองก็เคยขับรถรับส่งสองสาวหลายหนแล้ว
“พี่ดี เรียนวิศวะปีสาม เฮียน้ำปีสี่ เฮียเรียนสถาปัตย์นะ” เจ้าหวานพูดขึ้นตอนอยู่ในรถ
“หวาน จะทำอะไรกิน ซื้อของแล้วหรือ” ผมเอ่ยขึ้นขัดคนช่างจ้อก่อนที่มันจะพูดมากกว่านี้
“ทำแกงเขียวหวานค่ะพี่น้ำ พี่ดีอยากกิน” ซีซึ่งนั่งอยู่ตอนหลังเอ่ยตอบแทน
“อะไร ไม่ได้อยากกินเหอะ มึงแหละอยากกินอะ” คนที่นั่งเงียบมาตลอดทางพูดกับน้องสาว
“หรอ งั้นทำแกงเลียงละกัน แกงเขียวหวานไม่ใช่ของโปรดสักหน่อย” ซีทำหน้าซื่อใส่พี่ชายแล้วหันไปหัวเราะคิกคักกับหวาน
“ไม่เอาๆ จะทำแกงเขียวหวานกันไม่ใช่หรือไงล่ะ ถึงได้มารอเนี่ย ฮึ่ย ซี เดี๋ยวจะโดน” คนถูกแกล้งโวยวายใหญ่ จับน้องสาวเขย่าไปมา
“เจ้าค่ะๆ คุณชาย ยังไงก็ต้องแกงเขียวหวานอยู่แล้ว ซื้อของมาแล้วน่า” ซีตอบหัวเราะกับหวานยกใหญ่
“ขนมจีนซื้อมาหรือยัง” ผมถามขึ้นมา แอบสังเกตพฤติกรรมของสองพี่น้องนี้แล้ว รู้สึกไม่แน่ใจว่าซีเป็นน้องสาวจริงหรือเปล่า เมื่อคนเป็นพี่ชายทำตัวเหมือนเป็นเด็กๆ
“ยังไม่ได้ซื้อเลยเฮีย เดี๋ยวแวะตลาดหน่อยน้า” หวานขอโทษขอโพย แล้วให้ซีบอกทางไปตลาด
ผมเปิดไฟเลี้ยว แวะจอดที่ตลาดใกล้บ้านสองพี่น้อง รถจอดสนิทสองสาวจึงลงไปซื้อของทิ้งพี่ชายทั้งคู่อยู่บนรถ
“มองอะไร”
เสียงเพลงนักร้องเกาหลีถูกปรับเบาลงเมื่อคนที่นั่งอยู่ตอนหลังถามขึ้นมา ตวัดดวงตาสีน้ำตาลเข้มสบกันในกระจกรถมองหลัง ...ตาดุเว้ย
“อยากรู้จัก” ผมตอบยิ้มๆ อารมณ์ดีขึ้นมาเมื่อคนที่แอบมองสนใจ เห็นทำหน้าเฉยนึกว่าไม่รู้ตัวซะอีกที่โดนมอง
“รู้จักทำไม”
“ชอบ ดูเป็นคนดี” ในเมื่อถามมาตรงๆ ก็ตอบตรงๆ ดีขมวดคิ้ว มองหน้าผม
“อืม รู้จักกันแล้วไง” ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่แปลกใจกับคำว่า ‘ชอบ’ ที่ออกมาจากปากของผู้ชายด้วยกันสักนิด หรือไม่อย่างนั้นอาจจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ
“ไม่รู้ว่าเป็นพี่ซี ไปคอนโด มาส่งซีหลายครั้งไม่เคยเห็น” สองสาวซี้กันมาตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง ต้องทำกิจกรรมรับน้องหลายงาน บางครั้งที่กิจกรรมเลิกดึกผมและหวานมาส่งซีถึงบ้านไม่เคยเจอพี่ชายของซีที่พูดถึงเลยสักครั้ง
“อืม” ตอบมาแค่นี้ ไปไม่เป็นเลยครับ เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่อยากรู้จักผมเหมือนที่ผมอยากรู้จักเขาเลยสักนิด
“ชอบแกงเขียวหวานหรือ” พยายามอีกสักรอบ บางทีดีอาจจะอยากคุยเรื่องอาหาร
“อืม” สายตาว่างเปล่าและคำตอบรับในคือที่เป็นไปอย่างเสียไม่ได้ทำให้ผมยอมแพ้ โอเค ไม่พูดแล้วครับ
แล้วผมกับดีก็นั่งเงียบ รอสองสาวกลับมา
ยัยหวานและซีหายไปทำกับข้าวกันสองคนในครัวเล็กหลังบ้าน อยากเข้าไปช่วยนะ แต่ครัวเล็กมากจริงๆ สองสาวยืนคุยกันงุ้งงิ้งก็เต็มแล้วละครับ เลยต้องมานั่งดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น พร้อมกับดี ที่ตอนนี้เอาแต่นั่งจ้องโทรทัศน์ ไม่สนใจกันเลย ผมกลายเป็นธาตุอากาศไปแล้ว
เจ้าของบ้านอยู่บนโซฟา นอนเหยียดยาว มือถือรีโมทแน่นราวกับกลัวว่าจะโดนแย่ง ตาจ้องโทรทัศน์ไม่กะพริบ ใบหน้าเคร่งครึมนั้นผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
“ฮา ฮ่าๆๆ ฮะ ฮะ ฮ่าๆ”
ผมเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์เมื่อได้ยินคนที่นั่งนิ่งๆ ดูโทรทัศน์หัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะเต็มเสียง ท่าทางมีความสุข ราวกับเป็นคนละคนกับคนที่พูดแต่คำว่า ‘อืม’ ในรถเมื่อครู่
เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกมอง เสียงหัวเราะจึงหยุดไปเสียเฉยๆ เจ้าของเสียงมองผมตาขุ่น ก่อนจะกลับไปจ้องโทรทัศน์ต่อ
“พี่น้ำ พี่ดี ทานข้าวกัน” เมื่ออาหารพร้อมซีเดินมาบอก แล้วกางโต๊ะญี่ปุ่นตรงช่องว่างระหว่างหน้าโทรทัศน์และโซฟา วางขวดน้ำปลาและจานชาม หวานยกหม้อแกงเขียวหวานหอมฉุยวางไว้ตรงกลาง
“เฮีย ราดขนมจีนหรือราดข้าว” หวานถามผม และจัดจานให้อย่างรวดเร็วเมื่อตอบว่าราดขนมจีน ผมขยับตัวลงมานั่งล้อมโต๊ะบนพื้นกับสองสาว
“พี่ดี ขนมจีน” ซียกจานไปให้ดี ราดน้ำปลาและจัดช้อนส้อมเรียบร้อย
“ไม่นึกว่าจะกินได้นะ” คนที่นั่งกินเงียบๆ คนเดียวบนโซฟาพูดขึ้นมาหลังจากทานไปสักพัก
“โห พี่ดี แค่กินได้หรอ หวานทำเองเลยนะ น้อยใจจังอะ” ยัยหวานทำเสียงเล็กเสียงน้อย
“อืม ก็ว่า ถ้าซีทำ หมายังไม่แดกเลย เอาจริง” ดีพูดหน้าตาย ทำเอาทุกคนหัวเราะออกมาไม่เว้นแม้แต่คนโดยว่า
“ก็นั่งกินกันอยู่สี่คนอะ คิดว่าใครเป็นหมาพี่ดี” หยุดหัวเราะได้ ซีก็โต้ตอบพี่ชายทันที
“แกมั้ง” ดีสวนทันควัน ท่าทางรีบเคี้ยวรีบกลืนนั่นน่ารักชะมัด
“พี่ดี!!” ซีตะโกน ตาขวาง จากที่เล่นๆ กันเมื่อครู่น้องสาวดูท่าจะโกรธพี่ชายขึ้นมาซะแล้ว
“ฮ่าๆ ฮะ ฮะ อะไรโกรธหรอ ไอ้เหยินเอ้ยยย” คนที่กำลังจะโดนโกรธดันหัวเราะออกมา แกล้งแหย่งน้องตัวเองเสร็จหันกลับไปมองโทรทัศน์แล้วกินต่อไป
“เฮียน้ำยิ้มอะไร”
ยัยหวานหันมาเห็นผมอมยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ผมไม่ตอบนั่งตักขนมจีนต่อไป อาหารในจานเพิ่งพร่องไปเพียงเล็กน้อยเพราะคอยแต่จะฟังดีพูด ต่างกับอีกคนที่ตอนนี้ทานหมดแล้วยื่นจานกลับมาให้น้องสาวเติม ทั้งๆ ที่เหมือนจะทะเลาะกันแต่ซีก็ตักข้าวเพิ่มให้พี่ชาย
“พี่ดีรอบนี้ราดข้าวนะ ขนมจีนหมดแล้ว” ซีส่งจานให้มือผอม สองตายังคงจ้องโทรทัศน์ไม่เลิก
“อะไรเนี่ยแก ทำไมมีแต่น้ำกับมะเขืออะ” พอเห็นจานของตัวเองก็โวยวายใหญ่
“ก็เหลือเท่านี้แล้วอะ กินไปบ่นจัง” ดีมองหน้าซี หรี่ตา หันไปคว้าหม้อมาดู วางหม้อลง เหลือบมองไปในจานของคนอื่น หยุดสายตาที่จานของผมสามวินาทีก่อนจะสะบัดหน้าค้อนใส่ซีและมองโทรทัศน์ มือเขี่ยๆ จาน แอบเห็นทำปากยื่นๆ ด้วยนะ
เจออาการอย่างนี้เข้าไป ผมจึงตักหมูเด้งชิ้นสุดท้ายของแกงหม้อนี้ที่อยู่ในจานของผมให้ ยัยหวานและซีที่กำลังแอบบ่นดีเบาๆ ชะงัก มองผม ก่อนจะหันหน้าไปซุบซิบกัน และส่งเสียงหัวเราะประหลาดกันสองคน
คนหน้างอไม่พูดอะไรสักคำ แต่เห็นแววตาพึงพอใจ ก่อนจะก้มลงกินข้าวในจานของตนเองจนหมด
เกือบสามทุ่มเราถึงได้ออกจากบ้านพี่น้องดีซี เมื่อมาถึงคอนโด ยัยหวานมาเคาะประตูห้องผม หัวเราะหึหึในคอ
“เป็นไงเฮียวันนี้ ข้าวอร่อยชิมิละ” ทำเสียงล้อเลียนกวนอารมณ์ได้อีก
“ก็งั้นๆ อะ” อร่อยเหมือนทุกครั้งที่ทานกันแหละ ผมคิดว่าผมรู้เหตุผลที่น้องสาวมายืนหน้าตาแป้นแล้นหน้าห้องผมตอนนี้นะ
“หรอ แล้วถูกใจมะ” ยัยหวานลากเสียงยาว พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้าง เป็นพี่น้องกันมามองตาก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ถามไม่ใช่อาหารแน่นอน ผมเงียบไปสักพัก ทบทวนคำตอบของตนเองให้ดีแล้วจึงบอกว่า
“หวาน บางทีนะ ความรัก อาจเกิดขึ้นจากทฤษฎีของแกกับของเฮียรวมกันก็ได้นะ”
ยัยหวานระเบิดเสียงหัวเราะลั่นและกระโดดกอดผมทันที
“เฮีย งานนี้สู้ๆ นะ หวานกับซีช่วยเต็มที่เลย”
-----------------------------
ย้อนกลับไปตอนเฮียน้ำเจอดีครั้งแรกค่ะ
หนูดีอะไรจะเป็นคนดีน่ารักได้ขนาดนั้น คิคิ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
Lavender's blue : )