22
วางมือจากแก้วเครื่องดื่มเงยหน้ามองรุ่นพี่ทั้งสอง
แววตาที่ทอดส่งไป คงมีแต่ความร้าวรานฉายชัดอยู่ในนั้น
ใจรุ่นพี่กระตุกไหวคลอน คนที่เจ็บที่สุด คงจะเป็นรุ่นน้องสองคนตรงหน้านี้มากกว่าเพื่อนเขา
สายหมอกอยากจะปลอบ คนตรงหน้าขนาดไหนเขาก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่เวลาอย่างนี้
ที่อีกคนทั้งอ่อนแอแล้วก็ทั้งอ่อนไหวอีกด้วยอย่างนี้
“ แต่ยังไงพี่ก็ยังยืนยันนะเว้ยอิง ว่าไอ้เกียร์มันมีแค่อิงคนเดียวในใจตอนนี้จริงๆ”
แม้จะเข้าใจความรู้สึกของรุ่นน้อง แต่ไฟก็เข้าใจและรู้ใจเพื่อนเขาเช่นกัน
“ จะให้อิงเชื่อพี่ทั้งที่ๆพี่เกียร์ไม่ปฏิเสธ ตอนที่คนชื่อเกรชอะไรนั่น บอกว่าคบกันมานานแล้วอย่างนั้นเหรอครับ?”
หมอกกับไฟมองหน้ากันอย่างหนักใจ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นบ้าง
“ เรื่องเกรชพี่ว่าให้ไอ้เกียร์มันคุยกับอิงเองดีกว่า เว้นแต่ว่าอิงจะฟังมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง”
นั่นสินะ เขายังอยากจะฟังเรื่องของผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกหรือไง
พวกพี่เขาก็เหมือนจะรู้จักผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำ นั่นยิ่งแสดงว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้โกหก..ไม่ใช่เหรอ?
“ ยังไงก็ตามแต่ใจของทั้งสองคนล่ะนะ พี่ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายอะไรทั้งนั้น ที่มานี่ก็ในฐานะคนคุ้นเคยกัน
แต่ถึงจะเลิกกับพวกมันจริงๆแล้ว ยังไงพวกพี่ก็ยังถือว่าอิงกับฟ้าเป็นน้องเป็นนุ่งอยู่นะ
มีอะไรให้ช่วยก็บอกพวกพี่ได้”
ไฟเห็นว่าเท่าที่จะต้องพูดต้องทำก็พูดก็ทำไปหมดแล้ว ก็อย่างที่บอกเขามันคนนอก
รุ่นพี่ทั้งสองล่ำลารุ่นน้องอีกสองคนที่ยังนั่งอยู่ แล้วเดินจากไป
ปล่อยให้ทั้งคู่ได้คิดไตร่ตรองอีกครั้ง...
“ไม่ใช่ว่ากูอยากจะเล่นตัวหรือทิฐิอะไรหรอกนะอิง แต่ที่กูยังไม่อยากคุยกับพี่เขื่อนตอนนี้
เพราะกูยังลืม ความเจ็บปวดในหัวอกตอนที่มันยืนทึ่มให้เขาด่ากูกับมึง เห็นมันเต็มใจยืนให้เขากอดอยู่อย่างนั้นไม่ได้
กูยังรับไม่ได้ที่มันยอมให้คนอื่นซ้อนท้ายมันในแบบนั้น กูคิดไปอีกว่าถ้าคืนนั้น กูไม่เห็นเขา เขาก็ไม่เห็นกู
เขากับผู้หญิงคนนั้นจะไปถึงไหนต่อไหนกัน”
เขาไม่ใช่แค่ยังดูใจกันอย่างอิง หากแต่มันลึกซึ้ง ถึงขั้นที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าเมียยามอยู่ด้วยกันตามลำพัง
แม้ไม่ได้ป่าวประกาศ แต่ใครๆก็รู้กันดีในหมู่เพื่อนฝูง ว่าพวกเขาคบกันอยู่
ตั้งแต่พี่มันไปแนะแนวตอนม.หก จนขึ้นปี2จะปี3แล้ว ที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
เพราะพี่มันเป็นคนตรงๆทื่อๆ เขาถึงได้เชื่อทุกคำพูดของอีกฝ่ายเรื่อยมา
หากแต่ครั้งนี้มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น ใจเขามันไม่ยอมเชื่อเลยสักนิด
แม้สมองมันจะพยายามสั่งให้เชื่อมากเท่าไหร่ก็ตาม
ดูเหมือนอิงจะเข้าใจเพื่อนดี ยังไงก็แล้วแต่การตัดสินใจเพื่อนเขา
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะแค่ดูๆกัน แต่หากอีกคนมีคนอื่นอยู่อย่างนี้จะให้เขาทำอย่างไร
เช้าวันนี้ก็เหมือนเช่นหลายวันที่ผ่านมา ที่สายฟ้าขับรถมารับเพื่อนสนิทอย่างเคย
ออร์ดี้คันงามจอดเทียบข้างนินจาสีดำเมี่ยมที่จอดอยู่ก่อนหน้า มีร่างสูงของเกียร์ยืนพิงรถตัวเองอยู่
ต่างคนต่างแค่ปรายตามองกันเท่านั้น ไม่มีคำกล่าวทักทายใดๆจากรุ่นน้อง
ที่ไม่ยอมแม้กระทั่งลดกระจกลงมากล่าวคำว่าสวัสดี
สายฟ้ายอมรับกับตัวเองว่าเสียมารยาทจริงๆ แต่จะให้ฝืนใจทำมันก็ไม่ใช่อีก
“ บรื๊น..”
ไม่อีกกี่อึดใจต่อมา เสียงนินจาอีกคันที่ขับตามเขามาก็จอดเทียบเขาอีกข้าง.. อย่างทุกวัน
อิงชะงักปลายเท้าเมื่อมองเห็น คนที่ยืนพิงเจ้าสีนิลตรงด้านหน้าทางเข้า
อิงเพิ่งกลับมานอนห้องพักตัวเองได้ไม่กี่วัน อีกคนก็มานั่งเฝ้าเขาที่หน้าประตูห้อง
เขาเลยบอกอีกคนว่าอย่าทำให้เขาลำบากใจไปมากกว่านี้เลย
เกียร์เลยเปลี่ยนมารอข้างล่างแทนอย่างตอนที่เขานอนอยู่ที่ห้องสายฟ้า
ในมือใหญ่นั้น มีเจ้าหมีดุตัวจิ๋วสวมช็อปอยู่
ใบหน้าคมคายที่หนวดเครารกครึ้ม ก้มลงต่ำมองของในมืออยู่อย่างนั้น
ขาที่เริ่มสั่นก็เริ่มก้าวออกเดินตรงไปที่รถเพื่อนอย่างที่เคยทำได้
เมื่อเห็นคนที่ตัวเองมาคอยมาเฝ้า ร่างสูงใหญ่รีบเดินมาหาอีกคนทันที
ยังไงคราวนี้ก็ต้องบอกก็ต้องแก้ตัวกับอีกคนให้เข้าใจเขาให้ได้ ปรี่เข้าคว้าคนที่กำลังจะเดินผ่านไป
“ อิงคุยกันหน่อยได้ไหม? นะ...ขอร้องล่ะ...”
พี่กำลังจะเป็นบ้าแล้วอิง รู้แล้วว่าผิด แต่ช่วยคุยกันสักหน่อยได้ไหม
สายฟ้านั่งมองเพื่อนที่ถูกมือใหญ่คว้าต้นแขนรั้งไว้ จากในรถยนต์ที่เพิ่งสตาร์ทอีกครั้ง
หลังจากเห็นเพื่อนเดินออกมา เขาเคารพการตัดสินใจของเพื่อนเสมอ
ถือคติว่าเรื่องหัวใจ ไม่มีใครตัดสินใจแทนกันได้ก็เท่านั้น...
อชิรวิชณ์ไม่ได้สะบัดแขนให้หลุด หรือกระทำการต่อต้านแต่อย่างใดในครั้งนี้ อย่างเมื่อหลายวันก่อน
ที่ไม่ยอมให้อีกคนแม้แต่จะเข้าใกล้หรือแตะต้องตัว เพียงแค่หยุดยืนนิ่งแล้วหันไปสบตาร่างสูงใหญ่กว่าตัวเอง
แล้วเปิดปากพูดกับเจ้าของมือที่เขายอมให้รั้งไว้
“ ผมมีเรียนครับ ตอนนี้ก็รีบมากด้วย ถ้าจะคุยไว้ทีหลังได้ไหม?”
เกียร์ปล่อยมือตัวเองลงอย่างช้าๆ เมื่ออีกคนว่าอย่างนั้น สะท้อนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อมองอย่างใกล้ชิดแล้ว ก็ยิ่งเห็นความล้าในแววตากับสีหน้า
ที่ถูกแต่งแต้มเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยต่างๆบนใบหน้าสวยหากแต่ซีดเซียวนั้น
“ ถ้าอย่างนั้นเลิกเรียนแล้ว พี่ไปรับ โทรไปรับสายด้วย”
จำยอมต้องปล่อย คนที่อยากกอดให้จมไปกับอกแทบขาดใจ
ถ้ายังฝืนดันทุรังจะไปส่งทั้งที่อิงยังไม่พร้อม มันคงไม่เป็นผลดีเท่าไหร่
อีกคนยอมพูดกับเขาก็ดีเท่าไหร่แล้ว...
ตอนนี้เลยได้แต่ยืนมองแผ่นหลังอีกฝ่าย ที่ขึ้นรถไปกับเพื่อนสนิทเพียงเท่านั้น
ก่อนดวงตาคมจะมองเพื่อนร่วมชะตา ที่มองตามท้ายรถตาละห้อยอย่างน่าสงสารพอๆกับเขา
วันนี้เขาคงไม่ขับตามอย่างทุกวัน ขอไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัวเพื่อจะได้มารับอีกคนไปคุยกันให้รู้เรื่อง
ยังไงคราวนี้เขาต้องได้พูดได้บอกกับอีกคน จะเอาอะไรยังไงเขายอมหมดแล้ว
ส่วนอีกคันก็ตามท้ายรถคันหรูไปติดๆ
ทั้งที่ระยะทางจากหอพักไม่ไกลเท่าไหร่นักจากมหาลัย แต่ต้องใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็นเพราะรถติด
คนที่นั่งข้างคนขับจึงมีเวลาจมลึกกับความคิดความทรงจำ
“ เข้ามาก่อนครับ”
เขาเชื้อเชิญคนที่เพิ่งได้เข้ามาในห้องเขาเป็นครั้งแรก
หลังจากย้ายออกมาจากหอในที่คนนอกห้ามเข้า
ส่วนมากเมื่อก่อนเลยเป็นเขาที่ต้องไปที่ห้องของร่างสูงแทน
“ หึๆ..”
กลับออกมาหลังจากเข้าไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าให้อยู่ในชุดสบายๆแล้ว
กลับต้องหยุดชะงักมองคนที่ถือวิสาสะนอนเอนบนเตียงเขา
ที่บนหน้าตักเจ้าตัวนั้นมีเจ้าหมีดุทั้งสองตัวนั่งซ้อนตักกันอยู่
เสียงหัวเราะในลำคอที่คล้ายจะพออกพอใจนักหนา ทำเอาเขารู้สึกเขินขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“ ทำเองหรือเปล่า?”
ถามทั้งที่ไม่ละสายตาจากเจ้าพวกหน้าดุ ที่มีต้นแบบมาจากเจ้าตัว
“ ครับ”
เดินไปนั่งลงข้างกัน ที่มืออีกฝ่ายก็รวบกอดเอวเขาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
อีกข้างยังไม่ละจากเจ้าพวกตัวเล็ก ที่ถูกพลิกไปพลิกมา
ดูรหัสกับชื่อตัวเอง ที่ถูกปักลงบนคล้ายตำแหน่งในของจริง ที่เขาสวมมันบ่อยๆ
“ ที่แม่มึงพูดถึงวันที่ไปที่บ้านมึงวันแรก ก็เจ้าพวกนี้หรือเปล่า?”
“ ครับ..”
มือใหญ่กดตัวเขาให้เอนพิงกับอกหนาของตัวเอง กระซิบลงข้างหูเบาๆว่า
“ หมีดุอย่างนั้นเหรอ..เข้าใจตั้งชื่อนี่ อชิรวิชณ์”
ไม่มีคำพูดใดอีก เมื่อทั้งสองร่างต่างเฝ้าคลอเคลียบดจูบกันอย่างดูดดื่ม อยู่อย่างนั้น
หลังจากนั้น เจ้าหมีดุตัวจิ๋วก็ห้อยติดกับกุญแจรถ ที่อีกฝ่ายรักยิ่งกว่าข้าวของสิ่งใด
เพราะเป็นของสำคัญ... พวกมันจึงสมควรต้องอยู่ด้วยกัน อีกคนบอกเขาอย่างนั้น
ส่วนเจ้าตัวใหญ่ก็คงยังอยู่กับเขาอย่างเดิม... คอยซับน้ำตาเขาอย่างที่มันเคยทำมาเช่นกัน