...จันทร์จ้าว...บทพิเศษ Christmas…again and again. (๒๔ ธ.ค. ๖๔/หน้าที่ ๖๙)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...จันทร์จ้าว...บทพิเศษ Christmas…again and again. (๒๔ ธ.ค. ๖๔/หน้าที่ ๖๙)  (อ่าน 742517 ครั้ง)

ออฟไลน์ haramoonlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อุปสรรคช่างเยอะเสียจริง รู้ใจตัวเองขนาดนี้แล้ว ใครจะเป็นคนเดินหน้าก่อนกันล่ะนี่

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook

ตอนนี้อยากรู้มากกว่าว่าคุณพงศ์นี่จะมีคู่ตุนาหงันไหม...
เธอน่ารักและให้การช่วยเหลือเพื่อนเป็นอย่างดีเหลือเกิน

ส่วนคุณหมอกับคุณจันทร์...
ป้าก็ลุ้นกันต่อไปว่า ทางออกกับเรื่องทางสังคมและจารีตของทั้งสองจะเป็นยังไง :เฮ้อ:
ขอบคุณมากค่ะ ^^  :กอด1:


ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
คุณพงศ์แย่งซีนนน 55555
แกมาจัดการนิดเดียว พี่อาทิตย์สมหวังเลย 5555
ตอนนี้เริ่มรู้ใจตัวเองกันละ แต่ยังสนนู่นสนนี่อยู่
เอาใจช่วยทั้งสองคนเลย

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
ถ้าไม่ได้คุณพงศ์ไปกระตุ้นอาทิตย์ ป่านนี้ก็ยังไม่กล้าไปขอสาวเป็นแฟน
คนพี่ก็เรียบร้อยแล้ว รอคุณจันทร์คนดีเมื่อไหร่จะดีกับคุณหมอสักที

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มอบรางวัลให้คุณพงษ์ค่ะ
ถูกใจคนอ่านมาก คือปากแข็งกันทุกคู่
กว่าเรื่องราวจะคลี่คลาย ต้องมีคนมาไกล่เกลี่ย
รักคุณพงษ์ จุ๊บๆ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
คุณพงษ์คนดี แกรักเพื่อนดีจริงๆค่ะ

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
คุณพงศ์เป็นพ่อสื่อมือทอง

 :กอด1: :L2: :pig4:

ออฟไลน์ หลิว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณพงน่ะให้อารมณ์พี่ใหญ่ของทุกคนเลย

ออฟไลน์ gimini

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมาก รอลุ้นตอนต่อไปจ้าาา

ออฟไลน์ nonnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ว๊ากกกกก ดีใจมากกับการกลับมาของนักเขียน รอเรื่องใหม่แบบใจจดใจจ่อทุกวันเลยค่ะ
พอเห็นมาเปิดเรื่องใหม่แล้วกรีดร้องไปหลายรอบเลย
พยายามจะดองเอาไว้หลายๆตอนแล้วค่อยกลับมาอ่านทีเดียวจบ
แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องเข้ามาอ่านจนได้ พออ่านแล้วก็ติดเลย
สนุกมากจริงๆค่ะ ที่สำคัญคือ...บวกเป็ดให้ทุกตอนเลยเน้อ

ความรู้สึกแรกและปัจจุบันที่มีให้จันทร์จ้าวคือ...นี่มันจอมขวัญเมื่อครั้งอดีตกาลชัดๆ
แต่เห็นนักเขียนยืนยันอย่างหนักแน่นแล้วว่าเหมือนถ้วยฟูมากกว่าเราก็ไม่ขัดศรัทธา
เพราะไม่ว่าจะถ้วยฟูหรือจอมขวัญก็เอาแต่ใจทั้งคู่ ต้องถูกปราบพยศให้หมด

จริงๆตอนแรกก็นึกเอ็นดูจันทร์นะ คือออกแนวดื้อๆน่าปราบ น่าทำโทษ
แต่ตอนหลังๆที่ช่างปากไม่ตรงกับใจพร้อมด้วยพฤติกรรมกระฟัดกระเฟียดที่ทำให้หมอแล้ว ฮึ่ม
มันน่าจับมาตีก้นให้เข็ดให้จำจะได้ไม่กล้าทำท่าทางแบบนี้อีก
ตอนทำเมินทำไม่สนใจใส่หมอก็ออกจะดูเก่งกล้าดี แต่ไหงพอหมอเค้าหายไปจริงๆ
มาหนนี้กลับซึมไม่พูดไม่จาทำตัวปลีกวิเวกไปได้ แบบนี้ไม่เรียกว่าเก่งจริงนะคะจันทร์จ้าว
คุณแม่ก็อดจะสงสารหนูไม่ได้ อยากเข้าไปปลอบอยู่หรอก
แต่ติดตรงหนูเองก็ควรจะได้รับการลงโทษซะบ้าง คราวหลังจะได้เลิกดื้อเลิกพยศกับหมอเขาสักที
ตั้งแต่ตอนแรกยันตอนล่าสุดก็เห็นแต่จันทร์จ้าวนี่แหละเอาเปรียบหมออยู่ฝ่ายเดียว
หมอก็ยอมลงให้ตลอดทั้งที่บางครั้งแล้วหมอไม่ได้ทำผิดอะไรเลย เมื่อไหร่จะคืนความสุขให้หมอสักที..เรารออยู่

แต่เอาจริงๆแล้วถึงจะได้คุณพงศ์เข้ามาช่วยเบิกเนตรเบิกทางเบิกหัวใจให้
ยังไงทั้งหมอทั้งจันทร์ก็ต้องคิดถึงเรื่องจารีตประเพณีอีก ต้องมองสังคม มองคนรอบข้างอีก
ดูอุปสรรคคราวนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก จะแก้ปัญหากันได้ด้วยวิธีไหน และใครจะเข้ามาช่วย
คุณพงศ์จะเป็นคนมาช่วยเหมือนครั้งของพี่อาทิตย์กับคุณพิมอีกไหม นี่ก็ลุ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

และก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับจริงๆว่าตัวละครช่างครบครันและเยอะมากกว่าเรื่องของจอมขวัญหลายเท่า
แต่ทุกคนก็มีเอกลักษณ์เด่นจนจำได้หมด ไม่มีสับสน ขอยกความดีความชอบให้นักเขียนค่ะ *ปรบมือ

จริงๆยังมีอะไรอีกมากที่อยากพูดอยากบอกกับทุกตัวละครของเรื่องนี้
แต่ก็ไม่รู้จะพูดจะบอกอะไรดี เอาเป็นว่าปลื้มปริ่มกับเรื่องนี้มากจริงๆค่ะ
เราจะรอคอยตอนต่อไปในเร็ววันนะคะ พร้อมเก็บเงินรอรูปเล่มที่สวยงามของเรื่องนี้ด้วยค่ะ ฮ่าๆๆๆ
จุกพลุ  :mc4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ amewa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มารอคอยค่ะ วันพฤหัสแล้วววว อยากให้หมอกับจันทร์คืนดีกันเร็วๆมากๆ :mew2: คือม่ามาหลายตอนแล้ว  เศร้าา  :ling3: :heaven 

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ นางสาวกานาเลส

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
มารอคอยนะค๊าา วันนี้วันพฤหัสแล้ว อยากรู้ว่าเมื่อไหร่คุณหมอกับคุณจันทร์จะยอมเปิดอกคุยกันซักที

ออฟไลน์ monetacaffeine

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5
มารอ ณ วันพฤหัสแห่งชาติ ' ' /
- edit : ไปอ่านซ้ำตอนก่อนมาเลยเจอคำผิดเพิ่มน่ะค่ะ โรงพยบาบาล - โรงพยาบาล ค่า <3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2015 15:24:55 โดย monetacaffeine »

ออฟไลน์ VICTORY

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 787
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
มารอคุณหมอ

ออฟไลน์ praewp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
หมอนัดค่าา :z2:

โล่งใจมากที่จันทร์พูดกับหมอออกไปตรงๆ  เฮ้อลุ้นแทบแย่แหนะค่ะ  :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2015 23:29:48 โดย praewp »

ออฟไลน์ oss_tw

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :impress3:

คุณพงศ์ทำขนาดนี้แล้ว

ผลจะเป็นยังไงต่อ

มานั่งรอคุณจันทร์และคุณหมอค่ะ

  :L2:

ออฟไลน์ Takarajung_TK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-2
วันพฤหัสแล้ว น้องจันทร์คุณหมอไปลอยกระทงยังไม่เสร็จเหรอคะ

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
จันทร์จ้าว
By: Dezair
…………………….
บทที่ ๑๒



   หลายวันหลังจากนั้น มีเสียงเล่าลือไปทั้งกรุงเทพฯเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่สุกงอมของชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายเป็นนายทหารหนุ่มผู้เงียบขรึม ส่วนฝ่ายหญิงคือราชนิกูลแห่งวังเก่าแก่ เภา วิชาญโยธินคงจะรับเรื่องพวกนี้เข้าหูมาแล้วก็ปล่อยให้ผ่านเลยไปเหมือนทุกที หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้...ฝ่ายหญิงที่ว่านั้นคือชื่อที่เขาคุ้นหูเสียเหลือเกิน



   “เมื่อครู่นี้คุณว่าอย่างไรนะ วนิดา? ใครคบกับใคร”



วันนี้เขาแก้เบื่อช่วงเย็นด้วยการออกมารับประทานอาหารกับเพื่อนผู้หญิงที่ชื่อวนิดา แม้จะเคยยอมรับกับพี่ชายไปแล้วว่า ‘ชอบคุณพิม’ แต่เขาก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน หากว่าชอบผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ แล้วจะออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นบ้าง



วนิดาหัวเราะกิ๊กแล้วมองชายหนุ่มด้วยสายตาขันๆ



   “อะไรคะคุณเภา ตกข่าวอยู่ที่ไหนมา ข่าวนี้ออกจะดังไปทั่วเมือง วนิดาไปร้านตัดเสื้อกี่ร้านต่อกี่ร้าน เขาก็พูดเรื่องนี้กันทั้งนั้น คนปล่อยข่าวไม่ใช่ใครที่ไหน แม่ดารารัษมี รักษพิพัฒน์เพื่อนของหม่อมหลวงพิมพัชรา เชื่อขนมกินได้เลยค่ะ แม่น้องสาวนี่ล่ะตัวดี คงจะเป็นแม่สื่อให้พี่ชายกับเพื่อนตัว”



   “คุณหมายความว่า...” เภาทั้งงุนงงและสับสน ตั้งแต่กลับมาจากบ้านรักษพิพัฒน์เมื่อวันอาทิตย์ก่อนนั้นด้วยอาการหงุดหงิดที่ราชนิกูลสาวไม่สนใจใยดีเขา เภาก็ไม่เอาตัวเองเข้าไปข้องแวะกับคนที่วังฉัตรอีกเลย ทั้งที่ใจอยากจะตาย แต่ไม่รู้จะเข้าไปอย่างไร จะไหว้วานพี่ชาย ภวัตก็ไม่กลับบ้านสักวันเพราะอาศัยนอนในบ้านพักแพทย์ของโรงพยาบาล ครั้นเขาจะไปเตร็ดเตร่ที่สโมสรเทนนิสเพียงลำพัง เขาก็ไม่อยาก ระหว่างตีเทนนิสกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ กับออกมาเที่ยวเตร่กับเพื่อนผู้หญิงสักคนอย่างคุณวนิดา อย่างหลังเข้าท่ากว่ากันเยอะ



   “พุทโธ่! คุณเภา เข้าใจยากจริง! วนิดาก็หมายความว่าหม่อมหลวงพิมพัชราคบอยู่กับคุณอาทิตย์ พี่ชายแม่ดารารัษมีน่ะซีคะ!!” เภาถลึงตาโตด้วยความตกใจก่อนจะร้องถามในอึดใจต่อมา



   “คุณไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน?!!”



   “เอ้า! ก็วนิดาบอกแล้วนี่ว่าได้ยินมาจากร้านตัดเสื้อ ไปร้านไหนเขาก็พูดเรื่องนี้กันทั้งนั้น บางร้านให้ข่าวว่ากำลังจะจัดงานหมั้นด้วยซ้ำแน่ะค่ะ! เห็นว่าคุณพิมมาสั่งตัดชุด ไม่ทราบว่าตัดชุดไปงานไหน สงสัยวนิดาต้องไปถามเอาจากคุณจันทร์ดูบ้างแล้วล่ะ คุณจันทร์คงจะทราบดี เธอเป็นพี่น้องกับคุณอาทิตย์ คุณเภารู้จักไหมคะ”

 

วนิดาออกจะสงสัยที่ชายหนุ่มดูสนอกสนใจกับเรื่องที่หล่อนนำมาเล่าเสียเหลือเกิน ตอนที่ได้ยินข่าวนี้ หล่อนก็แอบเสียดายไม่น้อย เพราะอาทิตย์ รักษพิพัฒน์นั้นเป็นชายหนุ่มที่หล่อนนึกชอบความเคร่งขรึม ติดแต่ว่าเพราะเขาขรึมเสียจนหล่อนเข้าไปทำความรู้จักยากเหลือเกิน จะอาศัยให้จันทร์จ้าวผู้เป็นน้องชายแนะนำก็เห็นจะไม่ได้การ เพราะเขาไม่เคยพาหล่อนไปพบเจอญาติเขาคนใด วนิดาก็เลยไม่คิดจะสนใจนายทหารหนุ่มผู้นั้นอีก จนกระทั่งข่าวนี้เข้าหู หล่อนถึงได้นึกเสียดายตะหงิดๆ แต่พอนึกถึงใบหน้าสวยหวานของหม่อมหลวงพิมพัชราที่หล่อนเคยเห็นกับใบหน้าของอาทิตย์ หล่อนก็ว่าคู่นี้เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก



   “คุณเภา...คุณเภาเป็นอะไรไปคะ...” วนิดาเห็นชายหนุ่มเงียบไปก็ร้องเรียกด้วยความเอะใจ ทว่าใบหน้าติดไปทางหงุดหงิดของเภากลับหันมาจ้องหล่อน



   “ผมเพิ่งนึกออกว่าต้องรีบกลับ วันนี้เรากลับกันเถอะคุณวนิดา”



   “เอ๊ะ อะไรกัน จะรีบกลับแล้วหรือคะ นี่เพิ่งมากัน...อ๊ะ! นั่นคุณอาทิตย์กับคนรักของเขานี่!!” วนิดาไม่ทันจะโวยก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มหญิงสาวผู้ตกอยู่ในบทสนทนาเมื่อครู่ของหล่อนเดินเข้ามาในร้าน ทั้งคู่ไม่ได้มากันเพียงลำพัง แต่จันทร์จ้าว นภาสรวงและดารารัษมีมาด้วย



   เภาหันขวับไปมองโดยพลัน และภาพที่เขาเห็นคืออาทิตย์กำลังเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวที่เขาหมายปองได้นั่ง เพียงเท่านั้นความอดทนก็ขาดผึ่ง ชายหนุ่มลุกขึ้นทันที



   “ผมจะกลับ! ถ้าคุณวนิดาอยากอยู่ที่นี่ต่อก็ตามใจ!!!” เขาพูดเสียงดังแล้ววางเงินลงบนโต๊ะอย่างฉุนเฉียวก่อนจะหมุนตัวจะเดินออกจากร้าน แต่สายตากลับเหลือบไปสบกับดวงตาจันทร์จ้าว และเพียงเท่านั้นความโมโหของเขาก็พุ่งพล่านไปทั้งใจ ชายหนุ่มสะบัดหน้าเดินกระแทกเท้าปึงปังออกจากร้านไปด้วยความคับแค้นสุดหัวใจ!



   ………………………………..



   โต๊ะอาหารของ ๔ พี่น้องรักษพิพัฒน์และหม่อมหลวงพิมพัชราไม่ใคร่จะเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น เพราะวันนี้คนอัธยาศัยดีที่มักจะมีเรื่องสนุกมาเล่าสู่กันฟังกลับรับประทานอาหารเงียบเสียจนคนที่ต้องเป็นจุดศูนย์กลางของวงสนทนาในวันนี้กลายเป็นดารารัษมีแทน



   “นี่แน่ะค่ะ พี่จันทร์จำแหม่มที่ขึ้นเรือมาพร้อมพี่จากสิงคโปร์ได้ไหม เดี๋ยวนี้เธอสนิทกับคุณพิมมาก”



   “อ้อ จำได้” จันทร์จ้าวตอบแล้วยิ้มจางทั้งๆที่เขาไม่รู้สึกอยากจะยิ้มเสียเท่าไร ใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนับตั้งแต่เข้าร้านมาแล้วเห็นว่าในร้านมีลูกค้าที่ชื่อ เภา วิชาญโยธินนั่งอยู่ด้วย แม้จะไม่เห็นพี่ชายของเภาและบัดนี้เภาก็ลุกออกจากร้านไปแล้ว แต่จันทร์จ้าวกลับนึกไปถึงภวัต



   ...เขาไม่ได้เจอภวัตอีกเลย นับตั้งแต่วันที่ภวัตและเภาไปที่บ้านรักษพิพัฒน์ในวันนั้น ยิ่งไม่ได้เจอ ก็ยิ่งพบว่าความรู้สึกในใจเพิ่มพูนและบีบอัดจนหายใจลำบาก จันทร์จ้าวรู้ดีว่าต้นเหตุของความรู้สึกและความคิดถึงที่มีอยู่ตอนนี้คืออะไร แต่...แต่ภวัตเป็นผู้ชาย และเขาก็เป็นผู้ชาย...เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้...



   “พี่จันทร์...พี่จันทร์...” เสียงเรียกของน้องสาวทำให้จันทร์จ้าวได้สติ เขาหันมองดารารัษมีแล้วเสยิ้มทว่าไม่พูดอะไร



   “เรากำลังพูดถึงมิสสจ๊วต ที่พี่จันทร์พบเธอบนเรือจากสิงคโปร์อย่างไรล่ะคะ”



   “อ้อ เธอเป็นอย่างไรบ้างล่ะ สบายดีไหม” จันทร์จ้าวพยายามดึงสติกลับมาสนใจกับบทสนทนาของทุกคน แม้ว่าในใจของเขาจะเอาแต่พะวงถึงใครบางคนก็ตามที



   “สบายดีค่ะ ตอนนี้เธอกำลังหลงใหลผู้ชายไทย เพราะว่าตอนเธอมาเมืองไทยครั้งแรก มีผู้ชายไทยคนหนึ่งมีน้ำใจกับเธอ พาเธอไปส่งถึงโรงเรียนเชียวค่ะ” หม่อมหลวงพิมพัชราพูดแล้วหัวเราะ จันทร์จ้าวยิ้มจาง หากเป็นแต่ก่อนเขาคงจะคุยถมโอ้อวดไปแล้วว่าผู้ชายไทยคนที่หล่อนกำลังกล่าวถึงก็คือจันทร์จ้าว รักษพิพัฒน์คนนี้



   ทว่า...ตอนนี้...จันทร์จ้าวผู้เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นผู้นั้นหายไปเสียแล้ว...



   “แต่ผู้ชายไทยบางคนก็นิสัยไม่ดี ปากหนักเรื่องสำคัญแต่ปากพล่อยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไร้เหตุผล รังแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง...” เขาพูดได้เพียงเท่านั้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างจุกล้นขึ้นมาถึงคอ ชายหนุ่มได้แต่ก้มหน้ารับประทานอาหารเงียบๆ คนทั้งโต๊ะมองหน้ากันด้วยเพราะอุปนิสัยไม่ช่างพูดเช่นนี้ไม่สมกับเป็นจันทร์จ้าวเลยแม้แต่น้อย ทว่าไม่มีใครกล้าถามอะไร และสุดท้ายทั้งโต๊ะก็กลายเป็นการรับประทานอาหารเงียบๆไปจนจบมื้อนั่นเอง



   ..............................................



บ้านพักแพทย์อยู่ในเขตของโรงพยาบาล ดังนั้นมันจึงเงียบสงบ ภวัตอาบน้ำเสร็จแล้ว อยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายและกางเกงแพรสำหรับใส่นอน ช่วงนี้เขาขลุกอยู่แต่ในโรงพยาบาล ทั้งเวลาทำงานและพักผ่อน ช่วงเวลาพักผ่อนของชายหนุ่มหมดไปกับการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือที่ได้มาจากหม่อมหลวงพงศ์ภราธร



   นายแพทย์หนุ่มมองหนังสือในมือแล้วถอนหายใจเบา ลูบหน้าปกมันอย่างเลื่อนลอย เขาอ่านจบไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ยังหยิบขึ้นมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก ราวกับมันจะส่งความรู้สึกบางอย่างไปยังคนที่ฝากราชนิกูลแห่งวังฉัตรมาให้เขา



   ...จันทร์จ้าว...



เวลานี้กำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาไม่ได้พบหน้ากันอีกเลยนับตั้งแต่วันอาทิตย์นั้น กี่วันมาแล้ว กี่สัปดาห์มาแล้ว ที่เขาไม่ได้เห็นแม้แต่เงา ฝ่ายนั้นก็ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร เขาได้ยินสมฤดีพูดว่าจันทร์จ้าวยังคงกลับบ้านทุกสัปดาห์ ใช้ชีวิตกับพี่น้องอย่างสนุกสนานเช่นเคย คงมีแค่เขาเพียงคนเดียว...ที่ใช้ชีวิตเหมือนแล้วๆมาไม่ได้อีก มีแค่เขาเพียงคนเดียว...ที่คิดถึงจันทร์จ้าวอยู่ตรงนี้...



   ภวัตถอนหายใจยาว การไม่ได้พบหน้ากัน แทนที่จะทำให้ความรู้สึกของเขาเบาบางลง มันกลับหนักขึ้นเรื่อยๆจนกดทับหัวใจให้หายใจแทบไม่ออก ทุกครั้งที่เขาว่าง เขามักจะคิดถึงดวงหน้าขาว ดวงตากลมใหญ่ที่แสดงอารมณ์หลากหลาย ริมฝีปากสีสดที่แย้มยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้าย ภาพทั้งหมดนี้ ไม่รู้อีกนานเท่าไรจึงจะได้พบอีก



   “พี่ภวัต!! พี่ภวัต!!!” เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นที่หน้าบ้าน ทำเอานายแพทย์หนุ่มขมวดคิ้วฉับด้วยความสงสัย เสียงนี้เป็นของน้องชายของเขาแน่ แต่กระนั้นเวลาอย่างนี้ เหตุใด เภา วิชาญโยธินจึงมาที่นี่?



   ภวัตวางหนังสือลงกับเก้าอี้ แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตูบ้าน เพียงเท่านั้น น้องชายที่ยืนหน้าหงิกหน้างอก็เดินดุ่มๆเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าหงุดหงิดในทันที และไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งคำถามถึงการแวะมาหาในยามกลางคืน เภาก็แผดเสียงดังลั่น



   “นายอาทิตย์คบกับคุณพิม!!!” ภวัตนิ่งสงบอย่างที่ทำเอาน้องชายยิ่งงุ่นง่านกับอารมณ์โมโหที่พวยพุ่ง



   “พี่ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรือ?!” นายแพทย์หนุ่มรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วจากสมฤดี แต่ทั้งอย่างนั้น เขาก็ยังไม่สามารถจะไปพบจันทร์จ้าวเพื่อยุติสัญญาระหว่างพวกเขาได้



   ...ภวัตไม่กล้า...เขารู้เต็มอกว่าตนเองรู้สึกเช่นไรกับอีกฝ่าย ช่วงเวลาที่ห่างกันบอกให้เขารู้ว่าเขาไม่เคยลืมจันทร์จ้าวได้เลย ซ้ำยังเอาแต่คิดถึง ทุรนทุรายอยากไปพบ แต่สิ่งที่เขาทำได้คือทำตัวนิ่งเฉย ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรต่อหน้าคนอื่น เพราะเขารู้ดี...เขาเป็นผู้ชาย จันทร์จ้าวก็เป็นผู้ชาย...



   “จะให้พูดอะไร คน ๒ คนคบกันก็เป็นเรื่องของเขา ๒ คน” ภวัตพูดเสียงขื่นและแทบจะในทันทีที่เภาร้องลั่น



   “แต่มันเกี่ยวกับผม!!”



   “มันเกี่ยวกับแกเพราะว่าแกชอบคุณพิม แต่เรื่องที่คุณพิมจะไปคบกับใครมันไม่เกี่ยวกับแก เพราะคุณพิมเขาไม่ได้ชอบแก...” คำพูดของภวัตทำเอาคนกำลังโมโหหนักถึงกับนิ่งงันเพราะความจริงที่ภวัตพูดนั้นตีแซกหน้าเขาอย่างจัง



   ชายหนุ่มร่างสูงผู้เจ้าสำราญในวันนี้ไม่ต่างอะไรกับคนอมทุกข์ เขาได้แต่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนล้า ภวัตเห็นแล้วก็อดสงสารน้องชายไม่ได้ เขาเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆแล้วตบไหล่เบาๆโดยไม่พูดอะไร



   “ทำไมผมไม่เป็นคนที่สมหวังนะพี่ภวัต ผมก็มีดีไม่แพ้นายอาทิตย์นั่น ทำไมคุณพิมถึงเลือกนายอาทิตย์” เภาได้แต่ตัดพ้ออย่างอ่อนล้า ทั้งๆที่เขาไม่ได้ลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียสักอย่าง แต่พอแพ้ขึ้นมากลับรู้สึกเจ็บใจแล้วโทษโชคชะตาที่ทำให้หม่อมหลวงพิมพัชราเลือกอาทิตย์และไม่เลือกเขา



   “เรื่องความรัก ไม่ใช่การเลือกสิ่งที่ดีที่สุด แต่เป็นการเลือกสิ่งที่ตรงใจที่สุด แกอาจจะมีดีกว่าคุณอาทิตย์หรือคุณอาทิตย์อาจจะมีดีกว่าแก พี่ไม่ทราบหรอก แต่สิ่งที่ทราบคือคุณอาทิตย์ตรงใจคุณพิมที่สุด เธอจึงเลือกคุณอาทิตย์” ภวัตพูดราวกับจะใช้ประโยคนั้นปลอบใจตัวเองด้วยเช่นกัน



   ...ในชีวิตของเขาพบคนดี คนที่เหมาะสมทุกประการกับเขามามากมาย แต่ภวัตไม่เคยมอบความรู้สึกของตนเองให้ใคร แต่กับคนบางคน...แค่พบหน้า แค่พูดคุยไม่นาน ความรู้สึกที่มีให้กลับพัฒนาจนฉุดไม่อยู่...บางทีคงเป็นเพราะทำบุญร่วมกันมา แต่บุญที่ทำร่วมกันมามีน้อยเกินไปที่จะทำให้ได้เคียงคู่กัน ความรักของเขาจึงไม่สมหวังเหมือนอาทิตย์และหม่อมหลวงพิมพัชรา...



   “ผิดที่ผมไม่ตรงใจคุณพิมอย่างนั้นหรือ?...”



ภวัตได้แต่ยิ้มจางปลอบประโลม



   “คงเป็นบุญกรรมที่ทำมา” คนเป็นน้องหัวเราะเบาๆกับคำปลอบนั้น เขาหันมามองพี่ชายด้วยความรู้สึกที่แม้จะยังเศร้าแต่ก็ไม่อ้างว้างและโดดเดี่ยว อย่างน้อยเขาก็ยังมีภวัตเอาไว้ปรับทุกข์



   “พี่ยังเชื่อเรื่องบุญกรรมอีกหรือ”



   “ก็...มันเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ คนบางคน แค่เห็นหน้าครั้งแรกเราก็รู้สึกถูกชะตา แค่เห็นหน้าครั้งเดียวก็จำได้เหมือนรู้จักกันมาเป็นปี ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ลบหน้าเขาออกจากความทรงจำไม่ได้ แค่ได้คุยกัน ได้ใช้เวลาด้วยกันเพียงไม่นานแต่กลับสนิทสนมได้อย่างง่ายดาย ทั้งๆที่เพิ่งได้พบ ทั้งๆที่เพิ่งรู้จัก แต่กลับรู้สึกว่าเขาคือคนที่เรารอคอยมาตลอด อะไรล่ะที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะบุญกรรมที่ทำร่วมกันมา” 



เภารับฟังและจับจ้องพี่ชายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ภวัตเป็นคนอ่อนโยน เขารู้ดี แต่เวลานี้พี่ชายของเขาไม่ใช่แค่อ่อนโยนแต่กำลังอ่อนแอ...อ่อนแอเพราะความรัก...



   “พี่ภวัตรักใครอยู่หรือ”



ไม่ทราบอะไรดลใจให้เภาตั้งคำถามนี้กับพี่ชาย อาจจะเพราะเขาไม่เคยเห็นภวัตคบหากับผู้หญิงคนไหน พี่ขายของเขาเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี มีเพื่อนมากมายเพราะมักจะมีรอยยิ้มติดหน้าอยู่เป็นนิจ แต่กลับไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่อยู่ในชีวิตพี่ของเขาอย่างจริงจังเลย



   ภวัตนิ่งไป ก่อนจะยิ้มขื่นเมื่อคิดถึงความรู้สึกของตนเอง “...มัน...ไม่มีทางสมหวังมากกว่าแกเสียอีก”



   คนเป็นน้องหันมองหน้า จากความรู้สึกแสนเจ็บปวดของเขากลับกลายเป็นเภาอยากรู้เรื่องของพี่ชาย



   “ทำไมถึงไม่สมหวังล่ะ”



   “ก็...ไม่เหมาะสมกัน...” เภาชะงักค้าง



   “ไม่เหมาะ?! ไม่เหมาะตรงไหน?!! พี่ภวัตเป็นหมอ คุณพ่อเป็นถึงนายพล พวกเรานามสกุลวิชาญโยธิน! ให้ตายเถอะ!! จะมีใครในกรุงเทพฯไม่รู้จักคนสกุลนี้บ้าง!! แล้วพี่ก็เป็นลูกชายคนใหญ่ที่เกิดจากเมียเอกด้วย!! ฝั่งคุณแม่ก็ไม่น้อยหน้า มรดกพัสถานก็มีออกมาก พี่มีทุกอย่างนะพี่ภวัต! อีกฝ่ายเป็นใคร ทำไมพี่ภวัตถึงไม่เหมาะสม หรือเขาไม่เหมาะสมกับพี่ภวัตหรือ” คิดอย่างไรพี่ชายของตนก็สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง เภาไม่คิดว่าจะมีใครที่ภวัตไม่คู่ควร หากจะบอกว่าอีกฝ่ายไม่คู่ควรก็คงพอฟังขึ้น



   “เราต่างไม่เหมาะสมกัน” เภายังงุนงง จากที่เมื่อครู่ตั้งแต่ขับรถออกมาจากร้านอาหารเอาแต่คิดเรื่องของตนเอง กลายเป็นว่าเวลานี้เขากลับคิดถึงเรื่องของภวัตจนลืมเรื่องของตนเองไปแล้ว



   “แล้ว...แล้วทุกวันนี้ได้คุยกันอยู่ไหม”



   “ไม่ได้คุยกันเลย” เภาสะท้อนใจด้วยความสงสาร เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่คิดว่าพี่ชายของตนจะมีชีวิตรักที่น่ารันทดถึงเพียงนี้ นอกจากจะไม่สมหวังในรักแล้ว ยังไม่ได้แม้แต่จะพูดคุยกับคนที่รักด้วยซ้ำ



   “ทำไมพี่ไม่เคยบอกผม” คนพี่ยิ้มจางอย่างเศร้าสร้อย



   “บอกแล้วแกก็คงจะยื่นมือเข้ามาช่วยน่ะสิ”



   “แน่อยู่แล้ว! ไม่ช่วยพี่แล้วจะช่วยใคร?! พี่ช่วยผมมาตั้งมาก กับแค่เรื่องความรักของพี่ ทำไมนายเภาคนนี้จะช่วยไม่ได้”



   “ฉันช่วยอะไรแกมามาก หือ นายเภา” เภามองพี่ชายด้วยสายตาที่รับรู้ในบุญคุณ เรื่องที่ภวัตช่วยเหลือเขามีมากมายอย่างกับหางว่าว เขายังเคยคิดทีเล่นทีจริงว่าหากมีชาติหน้า ก็จะเกิดมาเป็นน้องของภวัตอีก



   “ช่วยตั้งแต่เด็กจนโต สมัยเด็กๆ พี่ภวัตเรียนหนังสือไม่เก่ง ก็ยังพยายามสู้เรียนให้เก่ง เพื่อจะเป็นความหวังให้คุณพ่อคุณแม่ จริงอยู่ว่าการที่พี่ขยันกับผมที่ไม่เอาอ่าว ผมย่อมถูกบ่นมากกว่าเดิม แต่...เพราะคุณพ่อคาดหวังกับพี่ได้ ผมถึงได้ใช้ชีวิตอย่างสบายเช่นนี้ เวลามีขนมหรือของเล่นใหม่ พี่ก็มักจะให้ผมเลือกก่อน ผมรู้ว่าของที่ผมเลือกบางทีพี่ก็อยากได้ แต่พี่ก็ยังให้ผมก่อนเสมอ คนอื่นอาจจะมองว่าเรื่องพวกนี้เป็นการเสียสละเล็กๆน้อยๆของคนเป็นพี่ แต่ถ้าให้ผมเกิดมาเป็นพี่ ผมก็ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก อย่างน้อยๆก็ต้องจับสลากกันล่ะ ว่าใครจะได้เลือกของเล่นก่อน” คำพดของเภาเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากผู้เป็นพี่ได้ดี



   “แต่บางที ฉันก็คิดว่าฉันให้แกมากเกินไป จนถึงตอนนี้ แกก็ยังไม่โตเสียที”



   “เพราะคิดว่าผมไม่โตก็เลยไม่บอกเรื่องความรักต้องห้ามของพี่อย่างนั้นซี?!! พุทโธ่! ไม่รู้หรือว่านายเภา วิชาญโยธินคนนี้น่ะนักรัก รักมาแล้วทุกรูปแบบ!”



   “แต่ความรักของฉันครั้งนี้ ใครก็ช่วยไม่ได้หรอก ฉันกับ...เขา...เราไม่มีทางสมหวัง” คำพูดของภวัตช่างแห้งแล้งและน่าเวทนาจนคนฟังยังอดเศร้าไปด้วยไม่ได้



   “เพราะอย่างนั้น พี่ถึงได้บอกกับผมว่าถ้าคุณพ่อบังคับพี่แต่งงาน พี่ก็จะยินดี...อย่างนั้นใช่ไหม”



   “ไม่ใช่หรอก ที่ฉันเคยพูดครั้งนั้น เพราะไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ฉันรู้สึกเช่นนี้ได้ แต่หลังจากนั้น...ฉันได้รู้จัก ได้คบหาพูดคุย พอรู้ตัวว่ารู้สึกเช่นไร ก็ยิ่งรู้ว่าเรื่องของฉันมันเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงเป็นไปไม่ได้ก็ลืมไม่ได้ ฉันก็เลยไม่คิดจะแต่งงานกับใครอีก ถ้าคุณพ่อเรียกไปคุย ฉันก็จะเรียนกับท่านว่า...จะไม่แต่งงานไปชั่วชีวิต”



   “ชั่วชีวิต?! พี่จะอยู่กับความรักที่ไม่สมหวังนี่ไปชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ?!” เภาผู้ไขว่คว้าหาคู่รักมาแนบกายไม่เว้นแต่ละวันย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกของพี่ชายผู้หมายมั่นจะจมอยู่กับความรักที่ไม่สมหวัง ทว่าภวัตยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าเหลือเกิน



   “ใช่ ฉันจะไม่แต่งงานกับใคร ต่อให้ฉันกับ...กับคนที่ฉันรักไม่มีวันจะได้อยู่ด้วยกัน ฉันก็จะขออยู่ของฉันอย่างนี้ มองเขาจากที่ตรงนี้ ยินดีกับเขาเมื่อเขามีความสุข ช่วยเหลือเขาหากว่าเขาต้องการ ฉันทำได้เท่านี้...” ยิ่งฟังก็ยิ่งสงสาร เภาไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่ชายผู้มีทุกอย่างครบสมบูรณ์ ทั้งชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทั้งความรู้ความสามารถ จนแม้แต่เขาที่เป็นน้องแท้ๆยังนึกอิจฉาในบางคราว จะต้องพบวิบากกรรมในความรักถึงเพียงนี้ ทว่าถึงจะเป็นอย่างนั้น...ภวัตก็ยังนิ่งสงบ ไม่เหมือนเขาที่แค่ผู้หญิงที่เขาถูกใจคบหากับคนอื่น เขาก็ตะบี้ตะบันมาโวยวายกับพี่ถึงที่นี่



   “พี่ไม่คิดจะทำทุกอย่างให้ความรักของพี่สมหวังบ้างหรือ” คำถามของพี่ชายทำให้ภวัตยิ้มจาง



   “เคยสิ บางทีก็คิดแบบเด็กว่าความรักชนะทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริง...มันไม่มีทางเป็นอย่างนั้น ความรักของฉันไม่มีทางสมหวัง เราไม่เหมาะสมกันไม่ว่าจะประการใดก็ตาม และเขา...ควรจะได้แต่งงานกับคนที่เหมาะสมกว่า” การย้ำคำเดิมว่าไม่มีทางสมหวังด้วยท่าทางจริงจังและเหมือนจะปลงตกทำให้เภาพูดไม่ออก เขาได้แต่จ้องมองใบหน้าของพี่ชายด้วยความอาดูร จนเป็นฝ่ายภวัตเองที่ตัดบท



   “เรื่องของฉันช่างมันเถอะ แกน่ะ...วันนี้นอนค้างที่นี่เสียจะดีไหม กลับไปทั้งอย่างนี้ คุณแม่จะเป็นห่วง”



   “ก็ดีครับ ผมไม่อยากตอบคำถามคุณแม่เสียเท่าไร คนอย่างเภา วิชาญโยธินกับคำว่าอกหัก มันช่างไม่คู่ควรกันเสียเลย” เภาทำหน้าระโหยให้พี่ชายเห็น ภวัตจึงยิ้มจางแล้วบีบไหล่น้องชายเป็นการให้กำลังใจอีกครั้ง



   “ของที่ไม่ใช่ของเรา ย่อมไม่ใช่ของเรา คนก็เช่นกัน หากเขาไม่ใช่คู่ของเราแล้ว อย่างไรก็ไม่ใช่ แต่หากเป็นคู่ของเรา วันหนึ่งเขาจะกลับมา” เภามองสบเข้าไปในดวงตาของผู้เป็นพี่ ฟังราวเหมือนภวัตกำลังปลอบใจเขา แต่ความอ่อนล้าที่ฉายแววอยู่ในดวงตาของผู้เป็นพี่ กลับทำให้เภารู้สึเหมือนอีกฝ่ายกำลังปลอบใจตนเองด้วยเช่นกัน



   “เรา ๒ คนพี่น้องตรอมใจอมทุกข์ แต่ ๔ พี่น้องบ้านนั้นมีความสุขหรรษา โลกไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย” คำว่า ‘๔ พี่น้อง’ ทำให้ภวัตชะงัก แต่เภาผู้ยังคงมีความหงุดหงิดตกค้างไม่ทันได้สังเกตบางสิ่งบางอย่างที่ฉายชัดในแววตาของพี่ชาย เขาพูดต่ออย่างคะนองปากเพื่อระบายความอัดอั้น



   “๔ พี่น้องรักษพิพัฒน์กำลังฉลองกันที่ร้านอาหาร พร้อมหน้าพร้อมตาคุณพิม ท่าทางร่าเริงกันทุกคน นายจันทร์จ้าวยังมองผมเลย คงจะเย้ยผมเต็มทน หึ! ผมล่ะขอสาปแช่งให้มันไม่สมหวังในความรักเหมือนผมเถอะ! เห็นแล้วหงุดหงิด!”



   “เภา...” พี่ชายเรียกปราม



   “ผมไม่ได้สาปแช่งนายอาทิตย์หรอก! เกิดความรักของนายอาทิตย์ไม่สมหวังขึ้นมา คุณพิมก็เสียใจแย่ นี่ผมแช่งนายจันทร์จ้าวนั่นคนเดียว มีเพื่อนผู้หญิงเพียบอย่างนี้ คงไม่มีบ้านไหนอยากได้ไปเป็นเขยแน่!” พอได้พูดอย่างที่พอใจแล้ว เภาก็พ่นลมหายใจออกมา “เอาเถอะ! ผมจะไม่พูดเรื่องบ้านนั้นอีก เอาเป็นว่ายกนี้ให้บ้านนั้นชนะไปก่อน ไว้คุณพิมหมดเวรหมดกรรมหมดบุญกับบ้านนั้นเมื่อไร ผมจะพาคุณพิมไปทำบุญร่วมขันกันให้ได้ ชาติหน้าจะได้ครองคู่กันอย่างที่พี่ภวัตบอก ว่าแต่...พี่มีเสื้อผ้าให้ผมยืมไหม ขออาบน้ำหน่อยซี รู้สึกเหนียวตัวชอบกล” คนเป็นน้องเรียกร้องเอาตามความพึงใจ พออารมณ์หงุดหงิดคลายลงแล้ว ก็อยากอาบน้ำอาบท่าให้สบายเสียหน่อย



“จะไปหยิบมาให้” ภวัตพูดเพียงเท่านั้น แล้วเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่ได้ปริปากบอกอะไรแก่น้องชาย



   ...อย่างน้อยๆ วันนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าจันทร์จ้าวสบายดี...อย่างน้อยๆ การที่อยู่ตรงนี้ อยู่ในที่ของเขา ก็ยังพอจะทำให้เขาได้รับรู้ความเป็นไปของคนที่เขา...ไม่มีวันได้มาครอบครอง...



   ...ให้อย่างไร ความรักของเขาก็ไม่มีวันสมหวังจริงๆ...


............................................
   



   ความสัมพันธ์ของอาทิตย์และหม่อมหลวงพิมพัชราเป็นที่เปิดเผย เมื่อทุกอย่างชัดเจนเสียเพียงนั้น หม่อมหลวงพงศ์ภราธรผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดก็ยิ่งอารมณ์ดี ด้วยเพราะคิดว่าเมื่อเรื่องของน้องสาวตนไม่เป็นอุปสรรคใดๆแล้ว จันทร์จ้าวคงจะกลับไปเป็นเหมือนปกติได้ ทว่า...มันไม่ใช่



   “ไม่เห็นจะเป็นจันทร์จ้าวคนเดิมเลย คุณพงศ์” เรย์มอนด์เดินออกมาจากห้องทำงานของเพื่อนรัก หลังจากเมื่อครู่เข้าไปทักทายปราศัยอยู่ครู่ใหญ่ๆซึ่งในอีกนัยหนึ่งคือเข้าไปสำรวจอารมณ์ของเพื่อน จะได้นำมาบอกเล่าให้พนักงานทั้งหลายของสำนักงานเตรียมตัวรับมือ



   ...แต่วันนี้ก็ยังเป็นเหมือนหลายวันที่ผ่านมา จันทร์จ้าวผู้แสนใจร้อน มุทะลุ ปากร้ายและเอาแต่ใจไม่ทราบไปพักร้อนที่ใด เพราะเวลานี้จันทร์จ้าวที่พวกเขากำลังพานพบคือจันทร์จ้าวผู้ใจเย็น อะไรก็ได้ อะไรก็ดี ไม่โวยวาย ไม่ดุด่าอาละวาด...



   “เมื่อกี้นะ ผมพูดภาษาอังกฤษเป็นไฟ คุณพงศ์รู้ไหม จันทร์ว่าอย่างไร จันทร์บอกว่า...” นายฝรั่งพูดแล้วทำกระแอมไอปรับเสียงให้ฟังดูสงบ “...พูดภาษาอังกฤษอีกแล้ว อยู่เมืองไทย ก็หัดพูดภาษาไทย เวลาซื้อข้าวซื้อของขึ้นรถลงเรือจะได้สื่อสารได้ ไม่ลำบาก...อุวะ! มีห่วงเราด้วยแน่ะ!!” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรอยากจะหัวเราะอยู่หรอก แต่เหตุใดเขาถึงหัวเราะไม่ออกชอบกล เรื่องของน้องสาวเขาก็เข้ารูปเข้ารอยแล้ว ความรักของคนทั้งคู่สุกงอมดี นายเภา วิชาญโยธินก็ไม่เห็นจะมากวนใจแต่อย่างใด ได้ยินแว่วๆว่าลอยตามลมเป็นพ่อพวงมาลัยเช่นเคย และอีกคนที่ยังเป็นเหมือนเคยคือจันทร์จ้าว



...ทำไม...ทำไมจันทร์จ้าวยังเป็นเหมือนเดิม...



   ...หรือว่า...ยังไม่ได้คุยกับหมอภวัต?...



   “หรือชวนไปตีเทนนิสอีกดี แต่อารมณ์อย่างนี้ไปตีเทนนิส อาจจะกลายเป็นตีกอล์ฟเอาได้ เพราะเอื่อยเฉื่อยเหลือเกิน เอ?...แต่ดูเหมือนจะป่วยด้วยนะ เห็นไอโคลก” นายฝรั่งพูดตามที่เห็น แต่สุดท้ายก็ส่ายหัวไปมา



   “ไม่คิดแล้ว คุณพงศ์ช่วยไปดูทีเถอะ จะเอาอย่างไรก็มาบอก จันทร์เป็นแบบนี้ผมไม่ชอบเลย” แล้วก็ต้องถึงมือหม่อมหลวงพงศ์ภราธร แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำให้จันทร์จ้าวคนเดิมกลับมาได้หรือไม่



............................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2015 20:00:36 โดย Dezair »

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
   เสียงเคาะประตู ๓ ครั้งดังขึ้นเบาๆ จันทร์จ้าวที่กำลังนั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษอยู่ที่โต๊ะทำงานจึงต้องหันไปมอง บานประตูเปิดเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหนราชนิกูลหนุ่มเพื่อนรักของเขานั่นเอง



   “มีอะไรหรือคุณพงศ์”



   “เห็นเรย์ว่าแกไม่ค่อยสบาย” คนเข้ามาในห้องอ้างไปเรื่อยเปื่อย จันทร์จ้าวโคลงศีรษะน้อยๆ



   “ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่คันคอเท่านั้น”



   “ไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้ว” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรพูดได้เพียงเท่านั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ภายในห้องทำงานเล็กๆของจันทร์จ้าวเงียบกริบทั้งๆที่มีคนอยู่ถึง ๒ คน ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเจ้าของห้องตั้งคำถามขึ้นมา



   “คุณพงศ์คงไม่ได้เข้ามาที่นี่เพื่อถามผมเรื่องไม่สบายอย่างเดียวหรอกใช่ไหม”



   “แกคุยกับคุณหมอบ้างหรือยัง” คำถามนั้นทำเอาจันทร์จ้าวนิ่งงัน เขาลดสายตาลงมองตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นพืดบนหนังสือ



   ...ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือเอาเสียเลย แต่ช่วงนี้กลับขลุกตัวอยู่แต่กับหนังสือและงาน ด้วยหวังว่าวันหนึ่งจะได้ไม่ต้องคิดถึงใครบางคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามานาน...



   “เรื่องของผมกับเขามันเป็นไปไม่ได้” เขายอมรับใจตัวเอง แต่หมอภวัตและสังคมไม่มีวันยอมรับหัวใจของเขา



   หม่อมหลวงพงศ์ภราธรถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาก็พอจะเข้าใจว่าความรู้สึกของจันทร์จ้าวที่มีให้ภวัตเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ แต่...ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว จะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาได้อย่างไร...



   “เรื่องของแกกับคุณหมอ จะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้มันขึ้นอยู่กับแกและคุณหมอ แกตัดสินใจคนเดียวอย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมกับคุณหมอน่ะซี”



   “คุณพงศ์พูดเหมือนกับว่าหมอจะมาร่วมตัดสินใจกับผมอย่างนั้นล่ะ”



   “ก็ลองไปบอกดูก่อนซี”



จันทร์จ้าวส่ายหน้า



“คุณพงศ์คิดว่าถ้าผมไปพบเขาอีกครั้ง ผมจะทำอย่างไร ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องของผมกับเขาเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าผมเห็นหน้าเขาอีกแม้แต่ครั้งเดียว นายจันทร์จ้าวคนนี้จะไม่มีวันปล่อยเขาไปอีก และหากเป็นเช่นนั้น คนที่จะเดือดร้อนคือหมอ เขาเป็นหมอ เป็นลูกชายคนใหญ่ของวิชาญโยธิน หากมีเรื่องเสื่อมเสีย คราวนี้คงได้ย้ายไปอยู่ฮ่องกงเป็นเพื่อนน้องชายนายวินิตแน่ สู้หายจากกันไปเช่นนี้ยังจะดีเสียกว่า”



เป็นอีกครั้งที่ราชนิกูลหนุ่มถอนหายใจอีกเฮือก



   “กันเพิ่งรู้ก็วันนี้ว่าจันทร์จ้าว รักษพิพัฒน์เพื่อนของกันเป็นคนขี้ขลาดตาขาว...”



   “ใจฝ่อด้วย คุณพงศ์จะดุด่าอะไรก็ตามสบายเลย” คนถูกหาว่าขี้ขลาดตาขาวแทรกราวกับยอมรับตัวเอง ทำเอาหม่อมหลวงพงศ์ภราธรพูดไม่ออก และสุดท้ายก็ถอนหายใจอีกหน



   “แกนะแก...บทจะฝ่อก็ฝ่อจนยุไม่ขึ้น เอาเถอะ ตามใจ จะเอาแต่ขลุกตัวอยู่แต่ในสำนักงาน เอาแต่อ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง เอาแต่ระทมอมทุกข์ กันก็จะไม่พูดอีก แต่อยากให้รู้ไว้ว่าสิ่งที่แกเป็นในตอนนี้ คุณหมอก็เป็นไม่ต่างจากแก แต่ก็คงเป็นอีกไม่นาน...ได้ยินว่าคุณหมอจะขอทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ไปครั้งนี้คงอีกนานกว่าจะได้กลับมา บางทีอาจจะตั้งรกรากอยู่ที่นั่นเลย ไม่ต้องกลับมาอยู่กรุงเทพฯแล้วพบเจอคนเดิมๆที่นี่อีก” ประโยคหลังหม่อมหลวงพงศ์ภราธรโกหกไปเต็มคำ ด้วยเพราะคิดไม่ออกอีกแล้วว่าจะใช้วิธีใดให้จันทร์จ้าวลุกขึ้นสู้ แต่การโกหกของราชนิกูลหนุ่มทำเอาดวงตากลมใหญ่ของคนฟังเหลือบมองทันควัน



   “หมอจะไปเรียนต่อหรือ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบแผ่วราวใจหาย



   “อื้อ...ก็ได้ยินมา คุณหมอเธอเก่ง ใครๆก็อยากให้ทุนทั้งนั้น เห็นว่าอีกไม่นานก็จะไป แต่แกก็จะไม่ทำอะไรอยู่แล้วนี่ จะอยู่เฉยๆอย่างนี้ต่อไปก็ไม่เห็นจะเป็นไร ปล่อยคุณหมอเธอไปเรียนต่อสัก ๑๐ ปี หรือ ๒๐ ปี แกก็ทนได้อยู่แล้วใช่ไหม หึ...จันทร์จ้าว รักษพิพัฒน์เป็นคนมีความอดทนดีเยี่ยมซีนะ” วางระเบิดไว้ลูกใหญ่แล้วหม่อมหลวงพงศ์ภราธรก็หมุนตัวเดินไปยังประตู ทิ้งให้จันทร์จ้าวได้แต่มองตามแล้วหัวใจที่เคยรู้สึกว่ามันตายด้านไปแล้วก็เหมือนจะแหลกสลายเป็นผุยผง



   ...หมอ...จะไปแล้วหรือ...



   ราชนิกูลหนุ่มแอบเหลือบกลับไปมองจันทร์จ้าวอีกครั้ง แล้วภาวนาให้คำโกหกของเขาสัมฤทธิ์ผลด้วยเถิด



..........................................



   ภวัตผู้ซึ่งถูกใส่ไฟว่าจะไปเรียนต่อเป็น ๑๐ ปี ยังคงทำงานที่โรงพยาบาลและพักที่บ้านพักแพทย์ แต่ละวันผ่านไปโดยที่ชายหนุ่มแทบไม่ได้ออกไปไหน หากออกจากโรงพยาบาล จุดหมายปลายทางมีที่เดียวคือบ้านวิชาญโยธิน แต่กระนั้น เรื่องของใครบางคนก็ยังผ่านหูเขาอยู่เสมอ โดยเฉพาะจากนางพยาบาลสมฤดีผู้มีฐานะเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกับพวกรักษพิพัฒน์ เพราะฉะนั้นแม้จะอยู่ในโรงพยาบาล แต่ภวัตก็ยังรับรู้ว่าจันทร์จ้าวสบายดี จันทร์จ้าวมีความสุข และจันทร์จ้าวไม่จำเป็นต้องมีเขาก็ได้...



   ...คิดได้อย่างนี้ หัวใจก็เจ็บหนึบไปหมด รู้ทั้งรู้ว่าความรู้สึกพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นเลยระหว่างเขาและจันทร์จ้าว แต่เมื่อรู้ตัวอีกที มันก็อัดแน่นล้นใจจนไม่มีพื้นที่เหลือให้ใครอีก ภวัตได้แต่ภาวนาให้เวลาและความห่างเหินช่วยลดขนาดของความรู้สึกลง แม้ว่ามันจะดูไม่มีทางเอาเสียเลย เพราะกระทั่งวันนี้ เขาก็ยังคิดถึงจันทร์จ้าวอยู่นั่นเอง...



   “คุณหมอคะ...” เสียงของพยาบาลดังขึ้น ปลุกสตินายแพทย์หนุ่ม ช่วงเวลาแค่ชั่วครู่ที่คนไข้คนก่อนลุกออกไป และพยาบาลไปตามคนไข้คนใหม่เข้าห้องตรวจ ภวัตก็ยังคิดถึงจันทร์จ้าวจนได้ เขาถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ แล้วพยายามตั้งสติกับงาน



   “ครับ” เขาขานรับ นางพยาบาลจึงหันไปเรียกคนไข้ให้มาเข้าห้องตรวจ บานประตูเปิดออกกว้างขึ้นอีกหน่อย แล้วนายฝรั่งคุ้นตาหมอภวัตก็เดินเข้ามา



   “มิสเตอร์อดัมส์...” นายแพทย์หนุ่มครางเสียงแผ่วอย่างคาดไม่ถึง เรย์มอนด์ อดัมส์ยกมือไหว้สวัสดีอย่างรู้มารยาทแล้วจึงนั่งลงที่เก้าอี้สำหรับคนไข้



   “สวัสดีครับคุณหมอ วันนี้ผมป่วย เป็นหวัด น้ำมูกไหลด้วย ปวดหัวนิดหน่อย”



   “ขอผมตรวจหน่อยนะครับ” เห็นหน้านายฝรั่งผู้นี้ ภวัตก็หวนคิดถึงจันทร์จ้าวอีกหน เขาต้องตั้งสติและสมาธิอย่างหนักเพื่อให้สนใจอยู่แต่อาการป่วยของเรย์มอนด์เท่านั้น



   “มิสเตอร์อดัมส์พักอยู่แถวนี้หรือครับ ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณที่นี่มาก่อน” ภวัตถามตามประสาคนรู้จักคุ้นเคยเพราะเคยตีเทนนิสด้วยกันหลายหน



   โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลใหญ่ก็จริง มีคนไข้จากทั่วทุกสารทิศ แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในละแวกนี้คงไม่ดั้นด้นมาถึงนี่เพราะเป็นไข้หวัด



   “เรียกผมว่าเรย์ก็ได้ครับคุณหมอ ผมไม่ได้พักแถวนี้หรอก แต่...เอ่อ...มาทำธุระแถวนี้ แล้วพอดีคุณพงศ์แนะนำว่าคุณหมอเป็นหมออยู่ที่นี่ ประจวบเหมาะก็เลยแวะมาหาน่ะครับ” นายฝรั่งทำหน้าเขินเล็กน้อย ภวัตยิ้มจาง แล้วจึงเริ่มต้นเขียนใบสั่งยาให้



   “เป็นได้สักกี่วันแล้วครับ”



   “เพิ่งเริ่มเป็นวันนี้ครับ แต่เมื่อ ๒ วันก่อน ผมคุยงานกับจันทร์ แล้วจันทร์ไอตลอดเวลา สงสัยผมจะติดจากจันทร์” คำพูดประโยคนั้นของนายฝรั่ง ทำเอาภวัตถึงกับชะงักกึก เขาเงยหน้ามองคนพูดในทันที



   “คุณจันทร์ก็ไม่สบายหรือครับ”



   “ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะป่วยหรอกครับคุณหมอ จันทร์แข็งแรงออกจะตายไป สมัยอยู่อเมริกา คนทั้งหอเป็นไข้กันหมด ก็มีแต่จันทร์คนเดียวที่ยังออกไปวิ่งข้างนอกได้อยู่เลย” เรย์มอนด์พูดแล้วสูดน้ำมูกชุดใหญ่



   “แล้ว...วันนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง” นายฝรั่งทำหน้านึกก่อนจะตอบ



   “เอ?...ไม่ทราบซีครับ แต่เมื่อวาน...วันศุกร์ก็ยังมาทำงานอยู่” คำพูดนั้นไม่อาจทำให้ภวัตสบายใจได้เลย เมื่อวานยังไปทำงานไหว วันนี้อาจจะนอนซมก็เป็นได้...แต่วันนี้เป็นวันเสาร์ บางทีจันทร์จ้าวอาจจะกลับไปนอนที่บ้านรักษพิพัฒน์...



   “คงไม่เป็นไร วันนี้เขาคงกลับไปนอนที่บ้าน” นายแพทย์หนุ่มเปรย แม้ในใจจะห่วง แต่เมื่อคิดเอาว่าจันทร์จ้าวกลับไปนอนที่บ้านรักษพิพัฒน์คงมีคนดูแลมากมาย เขาที่ไม่ใช่คนคุ้นเคย ไม่ใช่คนสนิท จะดันทุรังไปหาก็คงถูกอีกฝ่ายเมินเฉยใส่แบบคราวก่อนอีก



   “ไม่นะครับ เขาไม่ได้กลับบ้านหรอก ก็ผมไปหาคุณสกาย...เอ่อ...น้องสาวของจันทร์เมื่อครู่นี้เอง คุณสกายบอกว่าจันทร์ไม่กลับมานอนที่บ้าน เพราะติดงาน ผมล่ะไม่อยากจะบอกเอาเสียเลยว่าหมู่นี้จันทร์บ้างานออกปานนั้น จะมีงานอะไรให้ติดอีกเล่า...” ประโยคท้ายๆ ภวัตแทบไม่ได้ฟังเพราะเขานึกห่วงจันทร์จ้าวตั้งแต่ที่เรย์มอนด์บอกว่าฝ่ายนั้นไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านรักษพิพัฒน์



   ...จันทร์จ้าวไม่ได้กลับบ้าน แล้วตอนนี้อยู่ที่ใด? ที่บ้านเช่าเพียงลำพังน่ะหรือ?...



   “คุณหมอ เป็นอะไรหรือครับ” กลายเป็นคนป่วยต้องตั้งคำถามกับหมอ ภวัตเหมือนจะรู้สติ เขายิ้มจางทว่าเป็นยิ้มที่อ่อนล้าเต็มทน



   “เปล่าครับ คุณเรย์รอเรียกรับยานะครับ”



   “ขอบคุณมากครับหมอ...” เรย์มอนด์ลุกขึ้นจะเดินออกจากห้องตรวจ ทว่าอะไรบางอย่างทำให้เขาหันกลับมามองภวัต



   นายฝรั่งจับจ้องนายแพทย์หนุ่มที่ก้มหน้าก้มตาเขียนใบสั่งยา ใจหนึ่งเขาคิดว่าที่เพื่อนของเขาตกอยู่ในสภาพ ‘จันทร์จ้าวคนเงียบ’ ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับภวัต แต่อีกใจ...เรย์มอนด์ อดัมส์กลับคิดว่าหากไม่ใช่เพราะหมอภวัต เพื่อนรักของเขาก็คงไม่อยู่ในสภาพเช่นนั้น ก่อนหน้านี้จันทร์จ้าวสนิทกับนายแพทย์ผู้นี้  จากนั้นก็ไม่พูดถึงชื่อนี้เลย แล้วก็กลายเป็นเซื่องซึมอย่างทุกวันนี้ในที่สุด



   “หมอครับ...” เรย์มอนด์เรียก ทำเอาภวัตที่พยายามตั้งสติในการทำงานต้องเงยหน้ามอง



   “...ถ้าเพื่อนผมทำให้หมอไม่สบายใจ ผมขอโทษแทนเพื่อนผมด้วย อ่า...คนไทยพูดว่าอะไร...เวรกรรมตามทันใช่ไหม ผมว่าเขาคงทำเรื่องไม่ดีไว้กับคุณหมอ คือ...ระหว่างคุณหมอกับเพื่อนของผม ผมว่าเพื่อนของผมนิสัยเลวกว่า อาจจะเป็นคนก่อเรื่อง ดังนั้น เขาคงก่อเรื่องเอาไว้กับคุณหมอ แต่เวลานี้เขาก็กำลังรับโทษทัณฑ์นั้นแล้ว ถ้าคุณหมอให้อภัยเขาได้ ก็ให้อภัยเขาเถอะครับ จันทร์...จะได้ยิ้มได้เสียที...” เขาพูดแล้วส่งยิ้มระโหยเพราะไข้หวัดก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจไป



ภวัตมองตามแล้วได้แต่พิงหลังกับพนักเก้าอี้ หัวใจกำลังคิดถึงใครบางคนที่เขาได้รับรู้สารทุกข์สุขดิบ รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรไปพบหน้าอีก แต่กระนั้น สุดท้ายเขาก็ลุกจากโต๊ะออกไปพูดกับพยาบาลสมฤดีผู้ดูแลตารางคนไข้ของเขา



“วันนี้ผมต้องไปเยี่ยมเพื่อน ตรวจคนไข้เสร็จแล้วจะขอกลับเลยนะครับ”


.................................




   บ้านเช่าสีเขียวอ่อนใกล้วังฉัตรปิดไฟเงียบ ภวัตดับเครื่องจอดที่หน้าประตูรั้วเตี้ยแล้วลงจากรถมองเข้าไปข้างใน นี่ค่ำมากแล้วและฝนกำลังตกปรอยๆ ทั้งๆที่อยากมาหาตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าไม่สบายและไม่ได้กลับบ้าน แต่เพราะคนไข้ในความดูแลของเขาเกิดอาการหนักขึ้นมา กว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาล ดวงอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว ชายหนุ่มชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน แต่ไม่มีวี่แววว่าจันทร์จ้าวจะอยู่ที่นี่เลย



   ...ไม่สบายแล้วไปไหน ฝนก็ตกอย่างนี้ ทำไมไม่กลับบ้าน...



   “หมอ...” เสียงติดแหบดังขึ้นแผ่วเบา ทว่าก็ดังเพียงพอที่จะทำให้คนกำลังเป็นกังวลต้องหันมอง



   ร่างสูงโปร่งเจ้าของเสียงยืนอยู่ถัดไปจากเขาไม่ไกล แสงไฟจากเสาข้างถนนสว่างเพียงพอที่จะทำให้ภวัตเห็นใบหน้าขาวที่ซูบเซียว ดวงตากลมใหญ่ไม่ได้เต็มไปด้วยแววถือดีและดื้อดึงเหมือนเคย มันดูอ่อนระโหยเสียจนเขาใจหาย



   “มาทำอะไรที่นี่...” จันทร์จ้าวเอ่ยปากถามเมื่อภวัตยังเอาแต่จ้องเขานิ่ง ทว่าเป็นฝ่ายเขาเองที่หลบสายตาหนีไปทางอื่นแล้วเดินไปที่ประตูรั้ว เอื้อมมือไปปลดกลอน



   ...เขาไม่กล้ามองหน้าภวัต ไม่กล้าเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการความรู้สึกของตนเองได้อย่างไร ความรู้สึกที่เขาเคยคิดว่าเวลาจะเยียวยา หากไม่พบหน้ากัน หากเขาไม่ดิ้นรนเป็นฝ่ายไปหา ความรู้สึกทั้งหมดของเขาจะต้องจืดจางลงวันใดก็วันหนึ่ง ทว่าวันนี้ที่อีกฝ่ายมาปรากฏตัวที่นี่ มันบอกให้เขารู้ว่าความรู้สึกพวกนั้นยังไม่ทุเลาเสียที...



   “ผมได้ยินว่าคุณไม่สบาย”



   “ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก” ประตูรั้วถูกปลดกลอนเสร็จนานแล้ว แต่จันทร์จ้าวยังยืนอยู่ที่เดิม ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแบ่งออกเป็นฝักฝ่าย ฝ่ายหนึ่งว่าอย่ารั้งภวัตเอาไว้อีก ภวัตกำลังจะไปเรียนต่อ และอาจจะได้พบผู้หญิงสักคนที่ถูกใจ คงจะได้แต่งงานมีครอบครัวที่มีความสุข ทว่าอีกใจหนึ่งกลับเรียกร้องให้ยื้อภวัตเอาไว้ เพราะภวัตเป็นฝ่ายมาหาเขาเอง ในเมื่อมาถึงนี่เพื่อพบหน้าเขา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้เสือกไสไล่ส่ง



   จันทร์จ้าวกำประตูรั้วแน่น และเอาแต่หันหลังให้กับนายแพทย์หนุ่มเพราะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าตนควรจะทำเช่นไรดี เสียงของภวัตก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเขาอีกครั้ง



   “แล้วคุณไปไหนมา วันนี้ไม่ต้องไปทำงานไม่ใช่หรือ”



   “ไปซื้อข้าว” ภวัตก้มลงมองห่อข้าวที่อยู่ในมือจันทร์จ้าวแล้วจึงเอ่ยปากถามต่อ



   “ทานยาหรือยังครับ”



   “ยัง” จันทร์จ้าวได้ยินเสียงถอนหายใจเบาจากคนที่เขายืนหันหลังให้ แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับไปที่รถ เสียงไขกุญแจรถ หัวใจของเขาหล่นสู่พื้น



...ภวัตกำลังจะกลับไปแล้ว...ภวัตกำลังจะไป...กำลังจะไปจากเขาตลอดกาล...



   ราวกับมันเป็นคำสั่งให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง จันทร์จ้าวจึงหันกลับไปที่รถของภวัตที่จอดอยู่ อ้าปากจะเรียกร้องให้อยู่ก่อน ทว่าคนที่เขาคิดว่ากำลังจะจากไป กลับหยิบกระเป๋าหนังสีดำลงจากรถแล้วปิดประตู



   จันทร์จ้าวกะพริบตาปริบๆ เพราะภวัตที่เขาคิดว่ากำลังจะกลับแล้ว เดินกลับมาหาเขาและเป็นฝ่ายเปิดประตูรั้วแทนเจ้าบ้าน



   “แล้วจะยืนอยู่ตรงนี้หรือครับ ฝนตกอย่างนี้ ทำไมไม่ถือร่ม ขึ้นไปบนบ้าน ผมจะเช็ดตัวให้ กินข้าว กินยาเสร็จแล้วจะได้นอน”



เสียงทุ้มนั้นเข้มงวดกว่าทุกครั้งที่พวกเขาเคยคุยกัน ร่างโปร่งยังปรับตัวไม่ทันเพราะเมื่อครู่พวกเขายังเหมือนคนห่างเหินอยู่เลย ทว่าตอนนี้กลายเป็นว่าอีกฝ่ายดุเขาเหมือนลูกก็ไม่ปาน



   “ยังจะยืนอยู่อีก ผมบอกให้คุณขึ้นบ้าน หรือเดินไม่ไหว? เดินไม่ไหวแล้วยังจะเดินออกไปซื้อข้าวอีก แล้วซื้ออะไรมาครับ”



“เอ่อ...ข้าว...ข้าวผัด...” ไม่ใช่ว่ากลัวเสียงดุและท่าทางเคร่งครัดของภวัต แต่จันทร์จ้าวกำลังงุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้าจนเลิ่กลั่กไปหมด ทว่าสำหรับนายแพทย์หนุ่มนั้น คำตอบอันแสนตะกุกตะกักของคนป่วยไม่ได้สร้างความรื่นรมย์ให้เขาเสียเท่าไร



“ข้าวผัด?! คนไม่สบายต้องทานข้าวต้มไม่ใช่ข้าวผัด”



“ก็...มัน...มันไม่มีขาย...”



“ไม่มีขายแล้วทำไมไม่ไปทานที่วังฉัตร ผมเชื่อแน่ว่าถ้าคุณขอให้ครัวที่นั่นทำข้าวต้มให้ ไม่มีใครใจไม้ไส้ระกำไม่ทำให้หรอก หรือไม่อย่างนั้น คุณก็ควรจะกลับไปนอนที่บ้าน ไม่ควรจะดื้ออยู่คนเดียวที่นี่เลย คุณอยู่คนเดียวแล้วดูแลตัวเองเสียที่ไหน เดินตากฝนอย่างนี้ ทานข้าวผัดอย่างนี้ ยาก็ไม่ทาน ต้องให้ดูแลกันทุกเรื่อง มาครับ ผมพยุง” หลังจากบ่นอีกชุดใหญ่ๆ มือของนายแพทย์หนุ่มก็คว้าแขนคนกำลังป่วยลากเข้าบ้านทันที แต่อย่าคิดว่าภวัตจะหยุดบ่นแค่นั้น เขายังบ่นอีกหลายชุดจนกระทั่งพาร่างโปร่งหายลับขึ้นบ้านไป



....................................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8


คนป่วยได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงหลังจากถูกบังคับเช็ดตัว ถูกบังคับให้ทานข้าวต้มที่หมอภวัตรีบออกไปซื้อ โชคดีว่าบ้านนี้พอจะมีกระติกใส่ข้าวต้มเก็บเอาไว้ เจ้าของบ้านจึงไม่ถูกบ่นมากนัก หลังจากนั้นก็ถูกบังคับให้ทานยา ซึ่งหมอภวัตจับจ้องแม้กระทั่งตอนที่จันทร์จ้าวกลืนยาว่าลงคอหรือไม่ด้วยซ้ำ ตอนนี้คนปากเก่งเลยยังคงพักร้อนอยู่ที่ไหนสักที่ในโลกใบนี้ เพราะจันทร์จ้าวไม่มีปากเสียงสักคำ ส่วนหมอภวัตที่เคยใจดีอ่อนโยนและมีเมตตากับสัตว์โลกทั้งหลายก็ลาไปพักร้อนเช่นกัน เพราะภวัตคนที่เดินวนไปวนมาอยู่ที่ข้างเตียงนั้นเป็นภวัตคนจู้จี้ ขี้บ่นและเข้มงวดเป็นที่สุด



   “คุณไม่มีเสื้อแขนยาวบ้างหรือ ใส่เสื้อบางๆนอนตลอดแล้วจะหายไข้ได้อย่างไร” จันทร์จ้าวนอนมองผ่านมุ้ง ทำท่าจะไม่ตอบจนคนที่เดินวนไปวนมาต้องหันมามองเพ่ง



   “ว่าอย่างไรครับ”



   “เอ่อ...ไม่ได้เอามา...” นายแพทย์หนุ่มหันกลับไปมองคนตอบที่นอนอยู่ในมุ้งด้วยสายตาเชิงตำหนิ แม้มุ้งตาถี่จะพลางสายตาของภวัตได้เป็นอย่างดี แต่กระนั้นจันทร์จ้าวก็พอจะรับรู้อารมณ์ของอีกฝ่ายในประโยคต่อมา



   “กลับไปหนหน้า รบกวนช่วยเตรียมเสื้อแขนยาวมาให้มากๆด้วยนะครับ แล้วผ้าห่มล่ะครับ มีผืนเดียวหรือ ไม่ได้เตรียมมาจากบ้านอีกไหม”



   “มีอีกผืนในตู้นั้น” นิ้วชี้ไปที่ตู้ไม้ตู้หนึ่งริมผนัง ภวัตไม่รอช้าเดินไปเปิดทันที ในนั้นมีเสื้อผ้าพับเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเก็บผ้าห่ม ปลอกหมอนและผ้าปูที่นอน นายแพทย์หนุ่มหยิบผ้าห่มมาอีกผืน มันเป็นแค่ผ้าแพรผวย ดูแล้วไม่น่าจะอุ่นขึ้นเสียเท่าไร แต่ก็ยังดีกว่าให้คนป่วยห่มแค่ผ้าผืนเดียว



   เขาเดินกลับมาที่เตียงตลบมุ้งขึ้นเล็กน้อยแล้วยื่นผ้าห่มเข้าไปให้คนที่นอนอยู่ข้างใน จากนั้นก็สอดชายมุ้งกลับเข้าที่เดิม



   “ห่มด้วยนะครับ” คนเป็นหมอกำชับเสียงเข้มแล้วยืนจ้องราวกับว่าถ้าจันทร์จ้าวจะไม่ทำตาม เขาจะดุเสียวินาทีนั้น คนป่วยเริ่มหงุดหงิดที่ถูกจ้องจับผิด แม้จะยอมคลี่ผ้าออกมาห่มทับอีกชั้นแต่ก็ไม่วายบ่น



   “ดุอย่างกับว่าผมจะไม่ทำตามอย่างนั้นล่ะ!” แน่นอนว่าเสียงบ่นของเขาเข้าหูนายแพทย์ภวัตที่ยืนอยู่ข้างเตียง



   “ถ้าไม่ดุ คุณจะทำหรือครับ ผมทราบมาว่าคุณไอตั้งแต่ ๒ วันก่อน วันนี้ไข้ขึ้นสูงก็ไม่ไปหาหมอ แล้วยังดื้ออยู่ที่นี่คนเดียวแทนที่จะกลับไปนอนที่บ้าน ออกไปเดินตากฝนไม่พกร่ม ไหนจะซื้อข้าวผัดกลับมาทานทั้งๆที่ยังคันคอ ถ้าผมไม่มาที่นี่ ผมคงไม่รู้ว่าคุณปล่อยปละละเลยตัวเองถึงเพียงนี้”



   “ผมไม่ได้ปล่อยปละละเลยตัวเอง...” คนป่วยเถียงเสียงเบา



   “แต่ก็ไม่ดูแลตัวเองอยู่ดี! คุณคือคนป่วย แต่มีคนป่วยที่ไหน ประพฤติตัวอย่างที่คุณกำลังทำอยู่? บ้านก็มีให้กลับ ก็ไม่กลับ ดื้อแพ่งอยุ่ที่นี่คนเดียว เลือกกินแต่ของที่อยาก ยาก็ไม่มี คุณไม่สมควรอยู่คนเดียวเลย!!”



   “หมอ! หมอจะบ่นอะไรผมนักหนา! ที่ผมไม่กลับไปนอนที่บ้านเพราะไม่อยากให้ใครมานั่งบ่นว่าผมไม่ดูแลตัวเองเลยป่วย หมอก็ยังจะมาบ่นแทนอีกหรือ?!!” คราวนี้คนป่วยเริ่มหงุดหงิด



   “ที่บ่นก็เพราะว่าเป็นห่วง ถ้าผมไม่เป็นห่วงคุณ ผมจะมาที่นี่ทำไม” ฝ่ายภวัตเองก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน จันทร์จ้าวไม่ดูแลตัวเองเลย วัดไข้ออกมาสูงถึง ๓๘ องศา แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน เกิดอาการหนักกว่านี้แล้วไม่มีใครเอะใจแวะมาดูจะเป็นอย่างไร



   คำว่า ‘เป็นห่วง’ จากปากร่างสูงที่ยืนอยู่นอกมุ้งทำเอาคนป่วยชะงัก ดวงตากลมใหญ่หันไปมองคนที่ยังยืนอยู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่เพราะมุ้งที่ขวางกั้น ทำให้เขามองไม่เห็นว่าภวัตมองเขาด้วยความรู้สึกเช่นไร



   “หมอ...จะมาเป็นห่วงผมทำไม...”



...จะทิ้งผมไปเรียนต่อแท้ๆ...



ประโยคหลังเขาไม่ได้ถามออกไป เพราะแค่ประโยคแรกประโยคเดียวก็เหมือนจะทำให้รู้สึกหนาวไปทั้งร่าง เขาขยับผ้าขึ้นห่มถึงคอ ไม่รู้หนาวเพราะพิษไข้หรือหนาวเพราะรอคอยคำตอบกันแน่



   ภวัตมองร่างคนป่วยที่อยู่ในมุ้ง คำถามของจันทร์จ้าวเขาได้ยินชัดเจน และเขาเองก็อยากตอบให้ชัดเจนเช่นเดียวกัน แต่...เวลานี้จันทร์จ้าวกำลังป่วย เขาไม่อยากคาดหวังไปเองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเรียกร้องจากเขาในเวลานี้มาจากความรู้สึกที่แท้จริงหรือแค่ว้าเหว่เพราะร่างกายทรุดด้วยพิษไข้



   “เอาไว้คุณหายดีแล้วเราค่อยคุยกันเรื่องนี้ หลับได้แล้วครับ ผมจะเอาน้ำไปเปลี่ยน” ภวัตพูดเพียงเท่านั้นก็หันไปหยิบถ้วยใบใหญ่ที่ใส่ผ้าชุบน้ำบิดหมาดก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไป จันทร์จ้าวได้แต่มองตามหลังก่อนที่เปลือกตาจะเลื่อนลงปิดด้วยหัวใจที่ผ่อนคลาย คำพูดประโยคเดียวของหมอภวัตทำให้หัวใจของเขาสงบลงอย่างน่าประหลาด



   ...ถ้าหายดี...ผมก็จะไม่ยอมให้หมอหนีผมไปอีกแล้ว...



..........................................



   จันทร์จ้าวตื่นแต่เช้าเพราะเมื่อคืนได้นอนอย่างเต็มที่ ตื่นมาก็พบภวัตเป็นคนแรก ดูเหมือนอีกฝ่ายจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาแล้วรอบหนึ่งเพราะชุดที่สวมไม่ใช่ชุดเดียวกับเมื่อวาน พอตื่นมาคนเป็นหมอก็จัดการเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วบังคับให้ลุกขึ้นนั่งรับประทานข้าวต้มร้อนๆบนเตียง โดยมีหมอภวัตนั่งเบียดอยู่บนเตียงด้วยแล้วจับจ้องทุกวินาที



   “ผมว่าหมอไม่ต้องนั่งจ้องอย่างนี้ก็ได้ ผมไม่เทข้าวต้มของหมอทิ้งหรอก” คนถูกจ้องเอ่ยปาก รู้สึกประดักประเดิดชอบกลที่อีกฝ่ายนั่งจ้องเขาอย่างนี้



   “ไม่เททิ้งก็รีบกินซีครับ จะพิรี้พิไรอยู่ทำไม”



   “ก็คนมันไม่ชอบทานข้าวต้ม!”



   “ไม่ชอบก็ต้องทาน คุณไข้ขึ้น ต้องทานอาหารอ่อนและร้อนเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น” จันทร์จ้าวมองคนดุด้วยความไม่ชอบใจ แต่เพราะอีกฝ่ายเอาแต่นั่งจ้อง และเขาก็ไม่มีแรงแผลงฤทธิ์เหมือนก่อน จึงทำได้เพียงตักข้าวต้มเข้าปากทั้งๆที่ไม่ชอบเอาเสียเลย



   “เคยมีคนบอกไหม ว่าเวลาหมอเป็นหมอนี่ดุกว่าเดิมเยอะ!” จันทร์จ้าวบ่น



   “ผมจะไม่ดุถ้าคนไข้ไม่ดื้อไม่เถียง”



   “นี่หมอจะหาว่าผมดื้อและเถียงหรือ?!!!” คนถูกหาว่าดื้อและเถียงวางช้อนดังเคร้งแล้วเงยหน้ามองเอาเรื่อง



   “อย่าถามผมทั้งๆที่คุณก็รู้แก่ใจว่าดื้อและเถียงแค่ไหน อิ่มแล้วใช่ไหมครับ จะได้รับยาต่อ” หมอภวัตกำลังจะดึงข้าวต้มถ้วยเล็กๆมาจากมือขาว แต่อีกฝ่ายยื้อเอาไว้แล้วแยกเขี้ยวใส่



   “ยัง!”



   “ถ้าอย่างนั้นก็รีบกินเสียที มัวแต่โยกโย้ข้าวต้มก็จะหายร้อนเสียเปล่า นี่ผมจัดยาเอาไว้ให้แล้ว ตัวยังร้อนอยู่ คุณต้องรับยาให้ครบทุกมื้อ” ไม่พูดอย่างเดียวแต่หมอภวัตแนบหลังมือกับหน้าผากและแก้มของคนป่วย จันทร์จ้าวไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายมือเย็นหรือไร หัวใจของเขาถึงได้สั่นวูบวาบถึงเพียงนี้ ดวงตากลมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ใกล้กันแล้วตั้งคำถาม



   “ถ้าผมหาย หมอจะมาที่นี่อีกไหม”



   เป็นคำถามที่ภวัตเองก็ไม่คิดว่าจะได้ยิน เขาสบตากับดวงตากลมใหญ่คู่นั้น แล้วเป็นฝ่ายเบี่ยงสายตาหนีไปอีกทาง



   “จะให้ผมมาที่นี่ทำไมล่ะครับ เราไม่ถูกกันไม่ใช่หรือ”



   “แล้วหมออยากถูกกับผมไหม” ภวัตหันมองเมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง จันทร์จ้าวกำลังจับจ้องเขาอยู่ เป็นดวงตากลมที่มองเขาอย่างดื้อดึงและจริงจัง



   “หมอบอกว่าเราไม่ถูกกัน แล้วหมออยากถูกกับผมไหม ว่าอย่างไร คำถามนี้หาคำตอบยากหรือ แค่ตอบในสิ่งที่หมอกำลังคิดอยู่น่ะ”



จันทร์จ้าวคิดว่าเขาไม่ควรอดทนอีกต่อไปแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยลบภวัตออกไปจากใจได้เลย ไม่ว่าอย่างไรก็คิดถึง ไม่ว่าอย่างไรก็ห่วงหา ยิ่งล้มป่วยก็ยิ่งแน่ใจ ยิ่งภวัตมาดูแลเขาก็ยิ่งรู้ ชีวิตที่ไม่มีความสุขเช่นนั้นเขาไม่ต้องการอีกแล้ว ชีวิตที่ไม่มีภวัต เขาก็ไม่ต้องการอีกแล้วเช่นกัน



“ถ้าคุณอาทิตย์ไม่สมหวังกับคุณพิม แล้วเป็นน้องชายผมที่สมหวัง คุณจะถามคำถามนี้กับผมไหมครับ” ภวัตตั้งใจรวนอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยและคำถามที่รู้ดีว่าจันทร์จ้าวจะต้องโมโห เขาเห็นดวงตากลมใหญ่มีแววไม่พอใจ แต่ก็ดูเหมือนจันทร์จ้าวจะพยายามระงับอารมณ์ได้ดี



“ถ้าพี่อาทิตย์ไม่สมหวัง ผมก็คงเอาเวลาไปปลอบใจพี่อาทิตย์ ไม่ต้องมานั่งปลอบใจตัวเองเพราะเรื่องของหมอหรอก ตอนแรก ผมยอมรับว่าผมโกรธที่หมอไม่ยอมบอกเรื่องน้องชายหมอชอบคุณพิม แต่...แต่หลังจากนั้น...ผมก็รู้...รู้ว่าทำไมผมถึงโกรธหมอ ทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหมอเลย...” ดวงตากลมใหญ่จับจ้องใบหน้าของนายแพทย์หนุ่มราวกับต้องการจะบอกความรู้สึกที่เขาไม่ยอมพูดออกไป



“...แล้วยิ่งผมรู้ ผมก็ยิ่งไปพบหน้าหมอไม่ได้ ผมคิดเอาเองว่าถ้าผมกับหมอห่างกันไป ผมคงลืมหมอได้สักวัน ทั้งๆที่ผมอยากเจอหมอ อยากคุยด้วย อยากไปตีเทนนิสด้วย อยากทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำด้วยกัน แต่ถ้าผมไปหา...ผมจะไม่มีวันตัดใจจากหมอได้อีก...” หัวใจบีบรัดหนักหน่วงจนจันทร์จ้าวได้แต่กัดริมฝีปาก เขาเคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะขาดภวัตได้อย่างถาวร แต่ยิ่งนานวันเข้า เขากลับพบว่าไม่มีทางที่หัวใจของเขาจะลืมเลือนนายแพทย์หนุ่มผู้นี้ไปได้เลย



“เรื่องของเราเป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ภวัตตัดบท ทั้งๆที่ใจเขาก็ไม่ต่างจากสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่เลย เขาก็อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากลับไปเป็นเช่นเดิม แต่...ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ ในไม่ช้าทุกอย่างจะต้องยุติลงด้วยความเจ็บปวดมหาศาลเพราะให้อย่างไรพวกเขาก็ต้องสร้างครอบครัวของตนเองตามความต้องการของบิดามารดา...เรื่องของพวกเขาเป็นไปไม่ได้...



ทว่าคำพูดของนายแพทย์หนุ่มราวกับตัดเส้นความอดทนของคนฟัง จันทร์จ้าวเงยหน้ามองโดยพลัน



“เป็นไปไม่ได้แล้วหมอมาดูแลผมทำไม?!” เขาเองก็เคยคิดว่าเรื่องของพวกเขาไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นจันทร์จ้าวจึงไม่เคยพาตัวเองเข้าไปให้ภวัตเห็นหน้าอีก แต่...แต่หมอเอง ในเมื่อคิดเช่นเดียวกับเขาแล้วทำไมถึงยังมา? มาทำไมถ้าหากว่าคิดว่าเรื่องของเราไม่มีทางเป็นไปได้?!!!



คำถามของจันทร์จ้าวทำให้ภวัตชะงัก เขาสบตากับดวงตากลมใหญ่อีกครั้ง แล้วก็เหมือนจะล่วงรู้ว่าตนเองได้ปลุกเสือหลับเข้าเสียแล้ว



“เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่ได้พบหน้ากันหลายสัปดาห์ ถ้าหมอคิดว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้แล้วหมอมาหาผมทำไม?! คนอะไรอำมหิต!”



“ผมไม่ได้อำมหิตอย่างที่คุณว่า”



“ไม่เรียกอำมหิตได้หรือ?!! หมอมาหาผม ทั้งๆที่ผมไม่ได้ขอร้อง แต่มาที่นี่เพื่อมาบอกว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้! แล้วหมอมาทำไมตั้งแต่แรก! อย่างนี้เขาเรียกว่าให้ความหวังไม่ใช่หรือ?!”



“ผมไม่ได้ให้ความหวัง แต่เพราะคุณป่วย และเพราะผมเป็นหมอ”



“อ้อ!! นู่นแน่ะ! ยายข้างบ้านก็ป่วยพอดี บ้านฝั่งตรงข้ามก็ป่วย คนที่อยู่ท้ายซอยก็ป่วย หมอก็ไปดูด้วยซี! เจาะจงมาดูแลแต่ผมทำไม?!” จันทร์จ้าวประชดอย่างหงุดหงิด ภวัตพูดยากกว่าที่เขาคิดเยอะ นึกว่าจะทำความเข้าใจกันโดยง่าย อย่างน้อยเขาก็ป่วยอยู่ ภวัตเป็นหมอก็น่าจะลงให้คนไข้บ้าง นี่อะไร...ทำตัวขึงขังปฏิเสธอยู่ได้! น่าหงุดหงิดสิ้นดี!!...



ภวัตไม่โต้ตอบกระไร เขาลุกขึ้นหมายจะเดินออกจากห้องนอน แต่เสียงของคนบนเตียงดังไล่หลังมาเสียก่อน



“ถ้าหมอออกจากบ้านผม ผมจะทำทุกวิถีทางให้หมอเป็นของผมแน่!” นายแพทย์หนุ่มหันกลับมามองด้วยความตะลึงงัน แต่จันทร์จ้าวผู้มุ่งมั่นและดื้อดึงกลับมาแล้ว ดวงตากลมใหญ่วาวโรจน์อย่างหมายมั่นเหมือนประกาศก้องว่าเขาจะทำเช่นนั้นจริง หากว่าภวัตก้าวเท้าออกจากบ้านนี้



ชายหนุ่มร่างสูงจับจ้องดวงตาคู่นั้น เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยพบเจอใครอย่างนี้มาก่อน จันทร์จ้าวเป็นคนเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาทั้งสุขทั้งเศร้า และเวลานี้เจ้าตัวกำลังทำให้หัวใจของเขาที่เคยแห้งแล้งกลับชุ่มช่ำขึ้นมาได้โดยง่ายด้วยคำพูดที่แข็งขันประโยคนั้น



‘...ผมจะทำทุกวิถีทางให้หมอเป็นของผมแน่’



“คุณ...พูดอะไร...”



“ก็พูดว่าจะทำให้หมอเป็นของผม! ไม่ใช่แค่เป็นเพื่อนเหมือนเก่าด้วย! ลองดูซี! ถ้าหมอก้าวเท้าออกจากบ้านผมแม้แต่ก้าวเดียว ผมจะทำให้หมอเป็นของผมจริงๆ!”



“คุณ...พูดเป็นเล่น...”



“คิดว่าผมพูดเล่นรึ?!” จันทร์จ้าวคนป่วยแต่ไม่ทราบฉวยแรงมาจากที่ใด ลุกพรวดพราดจะลงจากเตียงเอาจริงๆ คนเป็นหมอจึงต้องรีบถลากลับมาคว้าร่างเอาไว้ เพราะเกรงว่าคนกำลังไม่สบายแต่ลุกว่องไวจะหน้ามืดเป็นลมไปเสียก่อน



“ทำอะไรน่ะครับ?!!”



“ก็จะทำให้หมอดูน่ะซี! ว่าผมเอาจริง! ผมพูดจริง! ผมไม่ได้พูดเล่น! ผมจะทำให้หมอเป็นของผมจริงๆ! หมอต้องเลือก ว่าหมอจะอยู่ดูแลผมต่อแล้วเป็นเพื่อนผมเหมือนเดิม หรือออกจากบ้านผมวันนี้ไปตรวจรักษาบ้านอื่นแล้วถูกผมทำให้กลายเป็นมากกว่าเพื่อนผมในวันหน้า!” ภวัตพูดไม่ออก เพราะอีกฝ่ายช่างตรงไปตรงมาเสียเหลือเกิน ดวงตากลมใหญ่ที่ยังคงมีแววอ่อนระโหยเพราะพิษไข้แต่กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตามคำพูดเมื่อครู่ แค่มองสบเข้าไปในดวงตาคู่นี้ก็เหมือนหัวใจของเขาจะเต้นถี่เสียจนจะทะลุออกมานอกอก



“คุณ...แน่ใจแล้วหรือครับ ที่พูดออกมาเช่นนั้น”



“ไม่เคยแน่ใจเท่านี้มาก่อนด้วยซ้ำ! ผมไม่ยอมให้หมอไปจากผมอีกแล้ว! จะอยู่กันอย่างเพื่อนเหมือนเดิมก็ได้ หมอจะไม่ยอมรับความรู้สึกของผมก็ได้ แต่ผมจะไม่ยอมให้เราต้องห่างกันอีก ไม่ว่าจะห่างกันเพราะเราทะเลาะกันหรือห่างกันเพราะหมอไปเรียนต่อก็ตาม!”



“เรียนต่อ?” ภวัตทวนถามด้วยความฉงน



“ใช่ ก็หมอจะไปเรียนนี่?! เห็นว่าไปเป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปี ถ้าต้องห่างกันนานขนาดนั้น ผมคงตายก่อนพอดี! ไม่รู้ล่ะ! หมอต้องเลือก จะอยู่กันอย่างเพื่อนต่อไปหรือทู่ซี้ดันทุรังไปจากผม ทำให้ผมฮึดจะทำให้หมอเป็นของผมจริงๆ!” จันทร์จ้าวประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน ทว่าภวัตยังคงงุนงง



“อะไรนะครับ เรื่องเรียนต่อ...ผมไม่ได้จะไปเรียนต่อครับ คุณไปได้ยินมาจากใคร”



“อ้าว!! ก็คุณพงศ์บอกผม!!”



“คุณพงศ์บอก? คุณพงศ์ไปได้ยินมาจากใคร ผมไม่ได้จะไปเรียนต่อครับ ยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำ”



“...หนอย!!! นี่หรือว่าคุณพงศ์หลอกผม!!!” ปล่อยไก่ไปเล้าใหญ่ จันทร์จ้าวก็เพิ่งมารู้ตัวว่าที่กังวลว่าภวัตจะไปเรียนต่อกลายเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้น เขาได้แต่เข่นเขี้ยวเพื่อนรักผู้โกหกพกลม ภวัตมองดวงหน้าซีดเซียวเพราะพิษไข้แต่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งขุ่นเคืองเพื่อนสนิท ทั้งดื้อดึงและอวดดี และที่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือความมุ่งมั่นและจริงจังที่จะรั้งเขาเอาไว้



“ถ้าหากว่าผมไม่ไปเรียนต่อ คุณจะยังอยากให้ผมเป็นของคุณไหม” เขาตั้งคำถาม ดวงตาคมดุอ่อนแสงอย่างน่าเวทนาเหมือนรอคอยความหวังที่ริบหรี่เต็มทน



...เรื่องของพวกเขาเป็นไปไม่ได้ ให้อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ แต่...ทั้งอย่างนั้นจันทร์จ้าวก็ยังดื้อดึงเพื่อแสดงความต้องการชัดเจนที่จะทำให้เรื่องของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา...



“อยากสิ...”



“แต่เราทั้งคู่เป็นผู้ชาย...” ภวัตครวญเสียงแผ่ว ให้อย่างไรความจริงข้อนี้ก็เปลี่ยนไม่ได้ พวกเขาต่างเป็นชาย วันใดวันหนึ่งต้องสร้างครอบครัว วันใดวันหนึ่งก็ย่อมอยู่ด้วยกันไม่ได้



“ถ้าหมอกังวลเรื่องนั้น ผมก็จะไม่บังคับหมอ ผมไม่ได้ต้องการให้หมอรู้สึกเช่นเดียวกับผม แต่ผมขอแค่หมออย่าจากผมไป ขอแค่ให้เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เจอหน้ากัน ทักทายกัน อย่าหมางเมินใส่เหมือนที่แล้วมา แต่หมอจะห้ามไม่ให้ผมรู้สึกกับหมออย่างที่ผมกำลังรู้สึก หมอห้ามผมไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น...ต่อให้หมอเป็นเพื่อนกับผม หมอก็ต้องรับรู้ว่าผมคิดกับหมอมากกว่านั้น”



ความมุ่งมั่นในน้ำเสียงและสายตานั้นบอกให้ภวัตรู้ว่าจันทร์จ้าวตั้งใจจริงตามที่พูด นายแพทย์หนุ่มได้แต่ถอนหายใจ



“คุณน่ะดื้อ...”



“ถ้าผมดื้อแล้วผมได้ในสิ่งที่อยากได้ ผมก็ดื้อ” ภวัตจับจ้องคนที่ยังมีสีหน้ามุ่งมั่น แม้จะยังหวั่นใจกับความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ไม่ถูกต้องตามครรลอง แต่ความมุ่งมั่นที่อีกฝ่ายแสดงออกทำให้เขายอมแพ้ ชายหนุ่มถอนหายใจยาวราวกับปลดปล่อยห่วงโซ่ที่รัดกุมหัวใจเอาไว้



“หมอไม่ต้องดื้อกับผมก็ได้ ให้ผมดื้อของผมคนเดียว ขอแค่หมอกลับมาเป็นเหมือนเดิม ขอแค่หมออยู่ข้างๆผม เท่านั้นผมก็ดีใจแล้ว” จันทร์จ้าวรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีนิสัยเช่นเขา การทำลายกฎของสังคมย่อมไม่อยู่ในความคิดของนายแพทย์ผู้นี้ แต่เขาทนอยู่ในกรอบของกฎที่ว่าต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว



“แล้วถ้าวันหนึ่งผมต้องแต่งงาน” ภวัตตั้งคำถาม และนั่นทำเอาจันทร์จ้าวนิ่งไป ทว่าชั่วอึดใจต่อมา ดวงตากลมใหญ่ก็กลับมาถือดีและมุ่งมั่นเช่นเก่า



“ผมคงไม่ไปร่วมยินดีในงานแต่งของหมอ แต่ผมก็จะเป็น...เพื่อน...ของหมอต่อไป”



“แล้วคุณล่ะครับ ถ้าวันหนึ่ง ท่านนายพลหรือคุณหญิงต้องการให้คุณแต่งงาน...”



“ผมก็ไม่แต่ง ไม่เห็นจะยาก ถ้ายังบังคับกันมากๆ ผมก็จะไปอยู่เมืองนอกเสียเลย ถ้าถึงวันนั้นจริง ผมจะทุบหัวหมอลากลงหีบขนลงเรือไปเมืองนอกกับผมด้วย” แม้จะฟังเหมือนพูดเล่น แต่หน้าตาจริงจังของจันทร์จ้าวทำให้ภวัตหัวเราะไม่ออก เขายังจับจ้องดวงหน้าขาว ดวงหน้านี้ไม่ได้เห็นมานาน แต่ยิ่งนานเท่าไรที่ไม่เห็น ก็ยิ่งทำให้หัวใจบีบรัดหนักขึ้นทุกที พอได้มาพบกัน เขาถึงได้รู้ว่าต่อให้เวลาที่จากกันจะยาวนานถึงเพียงไร จันทร์จ้าวก็ยังอยู่ในใจเขาอยู่ดี



...และถ้าถึงวันที่จันทร์จ้าวจะหนีไปอยู่ต่างประเทศจริง เขาก็คงยินดีให้อีกฝ่ายทุบหัวเขาลากลงหีบใส่เรือไปด้วยกันอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง...



ภวัตปลดมือของตนที่พยุงแขนทั้ง ๒ ข้างของร่างโปร่งออก จันทร์จ้าวไม่ทราบว่าอีกฝ่ายตัดสินใจเช่นไร จึงได้แต่จับจ้องใบหน้าของนายแพทย์หนุ่ม จวบจนมือหนาข้างหนึ่งแตะที่แก้มซีดแผ่วเบา



“ถ้าคุณยืนยันเช่นนั้น ผมคิดว่าเราก็คงกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว...”



“...ผมไม่อยากเป็นแค่เพื่อนตีเทนนิส เพื่อนทานข้าว หรือเพื่อนคุย ความรู้สึกของผมมีมากกว่านั้น...”



“แล้วถ้าผมขอความรู้สึกทั้งหมดของหมอ หมอจะยกให้ผมไหม”



“ความรู้สึกของผมมีค่าถึงเพียงนั้นหรือครับ”



“มีสิ...ความรู้สึกของหมอมีค่าสำหรับผมมากที่สุด...”



ดวงตา ๒ คู่สบกัน ก่อนที่ใบหน้าจะเลื่อนเข้าชิด ริมฝีปากของภวัตแตะเข้ากับริมฝีปากอุ่นจัดของอีกฝ่ายแผ่วเบาและเนิ่นนาน ก่อนจะถอยห่างออกมาเล็กน้อย



“คุณพงศ์บอกว่าเพื่อนของคุณพงศ์คนหนึ่งเป็นคนปากหนัก...”



“ถ้าผมปากหนักแล้วเสียหมอไป ผมก็จะไม่ปากหนักอีก...” และหลังจากประโยคนั้น ริมฝีปากของจันทร์จ้าวก็ขยับเข้าคลอเคลียริมฝีปากของนายแพทย์หนุ่มพร้อมกับคำพูดประโยคหนึ่งที่เปล่งออกมาบนริมฝีปากของอีกฝ่าย



“...ผมรักหมอ...”



ไม่มีคำพูดจากภวัต นอกจากริมฝีปากของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันอีกครั้ง และก่อนที่ครั้งนี้มันจะประกบกันแนบแน่นยิ่งกว่าเมื่อครู่ เสียงของจันทร์จ้าวก็ดังประท้วงเบาๆ



“หมอ...ผมป่วยอยู่...”



รอยยิ้มจางจุดขึ้นที่ริมฝีปากของภวัต



“ไม่เป็นไรครับ...ผมเป็นหมอ...”



หลังประโยคนั้น คนป่วยก็หมดสิทธิ์ประท้วงใดๆอีก เพราะหากยังอ้างสิทธิ์ความเป็นคนป่วย อีกฝ่ายก็คงอ้างสิทธิ์ความเป็นหมอ แล้วทำทุกอย่างตามอำเภอใจอยู่นั่นเอง



ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้า)

จริงๆว่าวันนี้จะมาบอกว่าขอยกยอดไปลงศุกร์หรือเสาร์แทน เพราะเพิ่งเป็นไข้หวัดเมื่อวันอังคาร วันนี้ยังไม่หายดีเลย แต่เห็นคนมารอกัน เลยนั่งซูดน้ำมูกไป อ่านทวนไป หากมีคำผิดอะไรยังไง ขอโทษล่วงหน้าค่ะ

ว่าจะไม่เม้าส์ ก็ขอเม้าส์สักหน่อย ตอนที่แล้วมีแต่คนให้เครดิตคุณพงศ์ คือคุณพงศ์แกเป็นฮีโร่ในเวลาที่ถูกก็จริง แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อจันทร์ของอิฉันทั้งผลักทั้งดันพี่อาทิตย์ให้ได้ใกล้ชิดคุณพิมนะคะ ฮา

ป.ล. ตอนนี้เราคืนความสุขให้แล้วนะ ตอนหน้าเอาไงดี? คิคิ
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ กำลังใจและพื้นที่บอร์ดเช่นเคยค่ะ


ออฟไลน์ monetacaffeine

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5
มาแล้ววววววววว  :z13: :z13:
---------
ไม่เอามาม่านะคะะะะ พลีสสสสสส ขอหวานๆเถอะค่ะ หัวใจไม่ชุ่มชื้นมาหลายตอนมากแล้วจริงๆ 5555555
ได้อ่านตอนนี้เหมือนต้นไม้ได้น้ำเลย รู้ความรู้สึกของต้นไม้ที่เราลืมรดน้ำไปหลายวันแล้วกลับมารดจนมันฟูเหมือนเดิมจริงๆ
คืออารมณ์ของเราตอนนี้เลยค่ะ ยิ่งตอนที่คุณจันทร์บอกว่าจะตีหัวหมอลงเรือนะ น้ำตาซึมเลย แง ; ___ ;
คิดอยู่แล้วว่าคนเอาแต่ใจอย่างจันทร์น่ะ กับเรื่องหัวใจของตัวเอง มีหรือจะไม่เอาแต่ใจได้ ? ทุกคำของเธอนี่น่ารักน่าชังจริงๆค่ะ
รอจังหวะหมอรวบมากอดอยู่หลายช็อตทีเดียว 555555555 คุณหมอก็ซึมซะจนสงสารตามเลย
ดีใจมากเลยค่ะที่ได้อ่านวันนี้ >____< ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ทั้งๆที่ป่วยอยู่แท้ๆ ขอให้หายไวๆนะคะคุณบัว รักษาสุขภาพนะคะ

สำหรับคำผิดตอนนี้ค่ะ
ตีแซกหน้า - แสก
พี่ขายของเขา - ชาย
คำพด - พูด
รู้สึเหมือน - รู้สึก
ปราศัย - ปราศรัย
ไอโคลก - โขลก
อยุ่ - อยู่
พลางสายตา - พราง (คิดว่าน่าจะใช้ พราง เดียวกับ พรางตัวนะคะ ตามบริบทแล้ว)

จะรอวันพฤหัสต่อไปนะคะ ~ เป็นกำลังใจให้เสมอและหายไวๆนะคะคุณบัว :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2015 20:38:18 โดย monetacaffeine »

ออฟไลน์ punthipha

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-0
เข้าใจกัน บอกรักกันแล้ว :mew3: :mew3: :L1: :L1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
ในที่สุด  :impress3: ลุ้นมาก กว่าจะเข้าใจตรงกันได้


ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3862
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13
ก็ต่อให้จบขั้นตอนสิคะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
“ไม่เป็นไรครับ...ผมเป็นหมอ...”


เยี่ยมไปเลย 555+

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
โอ๊บบบ ดีอ่ะะะะะะ แมนๆคุยกัน

ออฟไลน์ ï_Kiss_U♥

  • รักไม่ได้
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
โอ้ยยยย ปริ่ม ยิ้มจนแก้มจะฉีก  ชอบหมอภวัตที่สุด  :-[

ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ตอนหน้าไม่เอาไงนะ ตอนหน้าเอากัน 5555555
ช่วงแรกๆ ปวดใจสุด สงสารทั้งคู่เลย
ช่วงท้ายๆนี่ฟินสุด แหกปากขำนังจันทร์นานมาก เขินกับฉากจูบด้วยอะ กิ้บก๊าวมากกกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด