สำหรับอลันด์แล้วโธมัสคือคนที่เซ้าซี้จนเข้าขั้นน่ารำคาญ บ้าพลัง พูดไม่รู้เรื่องเหมือนสุนัขพันธุ์ใหญ่ขนทองที่เจ้าตัวเลี้ยงไว้เต็มบ้าน ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนที่สนิทที่สุดและรักมากที่สุด
พวกเขารู้จักกันตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาล เรียนประถมที่เดียวกัน ขึ้นมัธยมก็ยังมาอยู่โรงเรียนประจำที่เดียวกัน ซ้ำยังได้อยู่บ้านหลังเดียวกันและเป็นรูมเมทจนขึ้นชั้น sixth form ที่นักเรียนแต่ละคนจะได้ห้องส่วนตัวเป็นของตัวเอง
ตอนที่เขาเดินไปบอกโธมัสว่าจะมาเรียนต่อที่ไทยตามเงื่อนไขที่แด๊ดวางไว้เพื่อเป็นนักร้องในอนาคต หนุ่มผมทองนัยน์ตาฟ้าเข้มทำเพียงฉีกยิ้มกว้างและชูนิ้วโป้งให้เขา อวยพรให้เขาประสบความสำเร็จได้เป็นนักร้องสมใจ ที่สนามบินฮีทโธรว์เจ้าตัวก็มาส่งเขาและจากกันด้วยรอยยิ้ม บอกแค่ให้เขาบินกลับมาลอนดอนบ่อยๆ เท่านั้น แล้วเขาก็ขึ้นเครื่องจากบ้านเกิดมา
อลันด์เป็นลูกคนเดียว ตอนเด็กๆ เลยติดเพื่อนอย่างโธมัสมาก จนบอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนพี่น้องก็พูดได้เต็มปากและบางทีก็
สนิทกันมากเกินไปแต่ตอนนี้...เขาชักอยากถีบเพื่อนรักกล้ามบึ้กสักที
“จะนอนยังไง ที่นี่มีเตียงไม่พอหรอกนะ ขนาดวันนั้นนายยังต้องนอนพื้นเลย” อลันด์โวยวายลั่นห้อง ตาสีฟ้าซีดตวัดมองโธมัสทีเจมส์ทีก่อนกอดอกฉับ
“ฉันนอนพื้นได้” เจมส์ว่าเสียงเรียบ ทำให้โธมัสชอบใจจนต้องตบมือยกใหญ่
“เจมส์บอกว่านอนพื้นได้แน่ะ” หนุ่มตาฟ้ายิ้มพราว ที่เถียงกันจนถูกอัลมองตาเขียวก็เพราะโธมัสเป็นตัวตั้งตัวตีไม่ยอมกลับโรงแรมหลังมื้อเย็นจบและชวนเจมส์นอนที่คอนโดนี่แทน
“ห้องนอนฉันเล็กเท่าแมวดิ้นตาย แต่ถ้าพวกนายนอนอัดกันเป็นกระป๋องได้ก็โอเคนะ”
“นั่นสินะ ฉันไม่อยากนอนกอดกับหนุ่มโปโลด้วยสิ”
“กลับโรงแรมไปซะ”
“แต่พวกเราจะกลับลอนดอนพรุ่งนี้แล้วนี่นา ฉันอยากใช้เวลากับนายให้มากที่สุดนะอัล” โธมัสยิ้มอ้อน ใช้ท่อนแขนล่ำโอบรอบคอเพื่อนตัวเล็กให้เข้ามาซุกตรงอก พออลันด์ดิ้นหนีเขาก็ออกแรงอีกนิดอีกฝ่ายก็หมดปัญญาหนีพ้น “ไม่สิ ต้องเป็นฉันและเจมส์ถึงจะถูก”
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงที่นี่ก็ไม่มีที่ให้พวกนายสองคนนอนโดยเฉพาะเจมส์!”
“อัล เจมส์เขาอุตส่าห์มาหาลูกถึงนี่นะ อย่าใจร้ายกับเจมส์สิ” มาดามโอเนลล์เอ็ดลูกชายตอนเดินผ่านมาได้ยินพวกเด็กๆ เถียงกันพอดี จัดการหยิกแก้มย้วยลูกชายไปที “ถ้าห้องนอนมันแคบนักก็ออกมานอนกันข้างนอกให้หมดนี่แหละจ้ะ เอาฟูกมาปูตรงโซฟาก็ได้ หรือจะใต้บันไดดี ตรงนั้นยังว่างนะ”
“เยี่ยมไปเลยครับ” หนุ่มตาฟ้าชูนิ้วโป้งให้คนมีอำนาจสูงสุดในบ้าน “งั้นเราไปเอาฟูกมาปูกันเถอะ เฮ้ อัลนายเอากีตาร์มาเล่นด้วยสิ จะได้เหมือนมาตั้งแคมป์กันไง”
“ไปตายซะทอม!”
“อัล อย่าพูดหยาบคายในบ้านนะ!”
สุดท้ายเมื่อสู้มารดาบังเกิดเกล้าไม่ได้อลันด์ก็ต้องมาช่วยเพื่อนตัวใหญ่ทั้งคู่ปูฟูกตรงที่ว่างใต้บันไดแทน เขากะไว้ว่าพอแด๊ดซื้อกลองชุดให้เขาจะเอามันมาไว้ตรงนี้ แต่ตอนนี้คงต้องกลายเป็นที่นอนชั่วคราวไปก่อน
มาดามโอเนลล์ช่วยขนหมอนกับผ้าห่มมาให้ แต่เพราะไม่เคยคิดจะใช้ที่นี่ต้อนรับแขกผ้าห่มที่มีอยู่แค่สองผืนจึงต้องแบ่งกันสามคน หลังจัดเตรียมที่นอนเรียบร้อยเธอก็ขอตัวไปพักผ่อน ไม่ลืมเตือนให้เด็กๆ เสียงเบาและรีบเข้านอนเพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวกลับลอนดอนกัน
ผ้าม่านถูกรวบเก็บให้แสงไฟจากด้านนอกเข้ามา เปิดไฟในห้องเพียงแสงสลัวสีเหลืองนวลๆ ให้เห็นหน้าค่าตากันได้ชัดเจน
“อยากชวนด็อกมานั่งเล่นด้วยจัง” คนเจ้าความคิดเสนอก่อนถูกอลันด์จับล็อคคอ โธมัสแกล้งร้องโหยหวนเหมือนเจ็บเต็มทีทั้งๆ ที่เพื่อนซี้ตัวเล็กแทบไม่ได้ออกแรงด้วยซ้ำ
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”
“ทำไมเล่า ด็อกเขาออกจะเป็นคนสนุก”
“ปล่อยเขาไปสักวันเถอะ นายชักจะตัวติดกับหมอนั่นมากไปแล้วนะ”
“หวงเหรอ หวงฉันหรือหวงด็อกล่ะ” ตีหน้าทะเล้นก่อนถูกแขนอวบรัดคออีกที คราวนี้ลงแรงจริงหนุ่มรักบี้สำลักค่อกแค่กทีเดียว
“เขาบอกว่าจะไปปาร์ตี้ไม่ใช่หรือไง นายอย่าไปรบกวนด็อกเตอร์เขาเลยน่าทอม ยังไงพรุ่งนี้เราก็ได้เจอเขาที่สนามบินอยู่ดี” เจมส์ที่นั่งฟังสองเพื่อนซี้ทะเลาะกันอยู่นานว่า อลันด์ทำปากขมุบขมิบบ่นถึงนายแพทย์ที่ทำตัวไม่สมกับเป็นแพทย์ไปหนึ่งยก
“จะว่าไปด็อกเป็นหมอที่จะว่ายังไงดีล่ะ... เขาไม่มีลักษณะของคนเป็นหมอเลยแต่ว่าเวลาเขาพูดหรือทำอะไรมันน่าดูน่าเชื่อให้ทำตามมาก มีเสน่ห์มากๆ เลยล่ะ หน้าตาเขาก็ดีจะมองว่าหล่อก็ได้จะสวยก็ได้ ตัวก็สูง”
“ตรงไหนกันทอม นายเมาหรือเปล่า” อลันด์ขมวดคิ้ว เขาเห็นทิวากานต์เป็นแค่ผู้ใหญ่ตัวโตขี้โวยวายคนหนึ่งเท่านั้นเอง
“ฉันไม่ใช่พวกไร้เดียงสาแบบนายนี่อัล นายไม่สังเกตทั้งสองวันที่เราไปเล่นน้ำกันเหรอ มีแต่คนมองด็อกเตอร์วา”
“เขาก็แค่พวกเจ้าชู้เล่นหูเล่นตาไปเรื่อย ไม่ว่ากับใครฉันเห็นเขาก็ยิ้มใจดีให้ด้วยทั้งนั้น” คนตัวเล็กสุดให้ความเห็น “ทอม นายชมด็อกแบบนั้นนายคงไม่ได้ชอบหมอนั่นหรอกนะ”
“จะบ้าเหรอ ฉันยังชอบสาวอกตู้มอยู่เว้ย ฉันแค่อยากเป็นแบบด็อกเท่านั้นแหละ ดีออกมีแต่คนมองด้วยสายตาชื่นชม”
“นายควรเลิกเล่นรักบี้ได้แล้วนะ ฉันว่าสมองนายคงได้รับการกระทบกระเทือนมากไป” อลันด์พูดพลางหัวเราะคิก โน้มตัวหลบการโจมตีจากเพื่อนซี้พัลวัน ก่อนหยุดลงเมื่อเจมส์กระแอมเสียงดัง เขาพับหนังสือในมือลงวางข้างหมอนใบเขื่องก่อนเงยหน้าขึ้นใช้ดวงตาสีเขียวเข้มมองหน้าอลันด์
“ฉันอยากฟังนายร้องเพลง ไปหยิบกีตาร์มาสิอัล”
“เล่นน้ำมากไปจนสมองกลับเหรอเจมส์ นายเนี่ยนะอยากฟังฉันร้องเพลง ไม่บอกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระอีกล่ะ” ตาสีซีดเหลือบมองศัตรูคู่แค้น เขายังจำที่เจมส์เคยดูถูกเขาได้ว่าเพลงแบบเขามันห่วย
“ฉันแค่อยากฟัง แต่ถ้านายไม่อยากเล่นก็นอน” พูดจบร่างสูงหกฟุตนิดๆ ก็ทำท่าเอนตัวลงกับฟูก เท่านั้นอลันด์รีบกระโดดจากหลังโธมัสไปหยิบกีตาร์โปร่งตัวโปรดมาถือทันที เรื่องอะไรจะปล่อยไปง่ายๆ เจมส์กลืนน้ำลายตัวเองขอร้องให้เขาเล่นดนตรีทั้งที
“อยากฟังใช่ไหมเจมส์ คืนนี้ฉันจะให้นายฟังทั้งคืนไม่ต้องเลย”
เจมส์คลี่ยิ้มบางพอใจที่ยั่วให้คนตัวเล็กกว่ายอมเล่นดนตรีได้ “เอาเลยสิ ฉันรอฟังอยู่”
“แล้วอย่ามาขอให้ฉันหยุดล่ะ”
“งั้นอัลร้องเพลงที่ร้องเมื่อวันก่อนบนเวทีให้ฟังอีกสิ ฉันชอบ” หนุ่มรักบี้ได้ทีไถหัวกับไหล่เล็กอ้อนเพื่อนซี้เหมือนหมาตัวโต
อลันด์ยิ้มชอบใจ นิ้วเรียวจัดการปรับสายกีตาร์ก่อนเริ่มสัมผัสสายทั้งห้าเป็นเสียงดนตรีเบาๆ ในขณะที่ริมฝีปากหยักสีสดขยับเปล่งน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบห้าวเป็นเอกลักษณ์ลอยคลอ เปลือกตาบางหลับพริ้มให้ขนตาสีอ่อนทาบแก้มใส แสงไฟเหลืองนวลกระทบใบหน้าให้ชวนฝัน
สองหนุ่มตัวใหญ่นัยน์ตาต่างสีลอบมอง young minstrel โดยไม่ได้นัดกัน เหมือนพวกเขาตกลงไปในท้วงทำนองที่ปลายนิ้วสวยทั้งสิบรังสรรค์ขึ้น พาให้จิตวิญญาณล่องลอยสูงขึ้นฟ้า
“อัล...” เจมส์เรียกชื่อคนตัวเล็กกว่าเสียงอ่อน นัยน์ตาชวนฝันสีเข้มจับจ้องใบหน้าเฉยชาของนักดนตรีหนุ่มก่อนเอ่ยขออะไรบางอย่างเป็นคำขอสุดท้ายสำหรับคืนนี้ “ช่วยร้องเพลงที่นายร้องเป็นเพลงสุดท้ายก่อนมาที่นี่อีกครั้งได้ไหม”
เพลงที่เหมือนกับคำขอในใจฉันก่อนที่จะต้องจากนายอีกครั้ง...“I hope someday you'll be mine;
I hope someday you'll be by my side,
I wanna hold you and kiss you goodnight
But, oh baby, I'll be on the next flight
A thousand miles away from here
Don't you go and don't you disappear
I wanna feel your skin against mine
And hold you in my arms dear, all on through the night
But you know I love you, love me the way you do
Love me the way you do2”ท่ามกลางแสงสลัวจาไฟติดผนังตรงชานพักบันได ตาสีเขียวเข้มยังคงเปิดเพื่อจับจ้องเสี้ยวหน้าของอลันด์ ตอนแรกเจมส์คิดว่าจะไม่ได้นอนมองหน้าอีกคนแบบนี้เสียแล้วเพราะเจ้าตัวเล่นตะแคงข้างหันหลังให้ตั้งแต่กิจกรรมสันทนาการจบลง แต่พอหลับไปได้ไม่เท่าไหร่เจ้าของส่วนสูงห้าฟุตหกนิ้วก็พลิกกลับมาทางเขา
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาเอาแต่คอยมองอลันด์ เด็กลูกครึ่งตัวเล็กตาสีซีดที่ชอบทำหน้าตายตลอดเวลา ไหนจะสายตาที่ชอบมองเหมือนคนอื่นอยู่ใต้เท้าตัวเองนั่นอีกล่ะ แรกๆ ก็ไม่ชอบหน้าอยู่หรอก แต่พอได้เห็นอีกฝ่ายทำหน้าแบบต่างๆ เวลาที่มีเรื่องกระทบกัน สายตาเขาก็เผลอแต่มองอีกคนแล้ว มันเลยกลายเป็นความคุ้นชินไปเสียที่ต้องคอยแกล้งอีกคนให้ตีหน้าบูดบ้าง โกรธบ้าง เขินบ้าง และถ้าเกิดเขาไม่พลาดทำอลันด์แขนหักจนเกลียดขึ้นมาจริงๆ มันคงดีกว่านี้ เขาคงได้เข้าใกล้อีกฝ่ายเหมือนที่โธมัสได้เข้าใกล้ ได้จับมือ ได้กอด โดยที่อลันด์ไม่ต้องฝืนใจ
ปลายนิ้วหยาบจากการเล่นกีฬาแตะบนข้างแก้มใสเบาๆ ลากผ่านจนถึงมุมปากกดลึก ไม่รู้ว่าฝันอะไรอยู่ถึงได้อมยิ้มน่ารักเสียจนเขาอยากขโมยจูบ
ตอนนี้ให้รักอลันด์ข้างเดียวก่อนก็ได้ ส่วนอีกคนก็แค่คิดกับเขาอย่างที่ใจต้องการก็พอ แล้วสักวันหนึ่งเขาจะทำให้เจ้าตัวรักให้ได้ในแบบของอลันด์เอง แม้มันจะเป็นทั้งรักทั้งเกลียดก็ตามเถอะ เจมส์ยอมทั้งนั้นแหละ
.
.
.
มัน - เอา - อีก - แล้ว
ทิวากานต์โงหัวขึ้นจากเตียงสภาพหัวฟูหน้าตาหงุดหงิดเต็มทน ผู้หญิงข้างตัวเขายังคงหลับสนิทแม้เสียงกริ่งจะดังลั่นห้อง ให้ตายเถอะเมื่อคืนเขาได้นอนตอนตีสี่ แต่ต้องมาแหกขี้ตาเพราะไอ้เด็กลูกครึ่งตัวแสบตอนหกโมงครึ่งแบบนี้ไม่ตลกนะเว้ยเฮ้ย
ร่างสูงลงจากเตียงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบกางเกงวอร์มขายาวมาสวมก่อนเดินไปเปิดประตูหาตัวสร้างปัญหา เขาตีหน้าดุใช้ตาคมๆ ที่ไว้ขู่พวกนักศึกษาแพทย์กับคนไข้เรื่องมากมองเด็กฝรั่งสองคนอย่างไม่สงสัย
“มี - อะ - ไร - ห๊ะ! ไหนว่านัดจะไปสนามบินกันตอนสิบโมงไง”
“มัมให้ชวนไปกินข้าว” อลันด์ยังคงคอนเซ็ปต์หน้าตายเช่นเดิม หากวันนี้ตาสีซีดกลับไม่กล้าสบสายตากับทิวากานต์ตรงๆ
“ตอนนี้?” คิ้วเข้มขมวดฉับ ทำเป็นไม่สนใจสายตาซุกซนของโธมัสที่มองร่างกายเปลือยท่อนบนของเขา
“เจ็ดโมงครึ่ง แค่มาบอกให้เตรียมตัวก่อน”
“ให้ตายเถอะไอ้แสบ ฉันเพิ่งได้นอนไปแค่สองชั่วโมง จะกินค่อยมาเรียกก็ได้” คุณหมอตีหน้าดุก่อนปรายตามองคนตัวสูงเท่าไหล่ที่ยังคงมองไปทางอื่น ใบหูขาวใต้ผมยุ่งๆ ขึ้นสีแดง
“จะให้บอกมัมว่าคุณไม่พร้อมก็ได้นะ”
“ไม่ ฉันจะไป กลับไปได้ล่ะ เดี๋ยวถึงเวลาฉันไปกดกริ่งเรียกเอง แล้วนี่เป็นอะไรทำไมหน้าแดง”
“เปล่า” อลันด์ส่ายหัวจนผมกระจาย ร่างเล็กค่อนไปทางเจ้าเนื้อถอยเท้าไปด้านหลังก่อนวิ่งปรู๊ดกลับห้องตัวเองไปทิ้งความสงสัยไว้ให้สองหนุ่มต่างวัยขบคิดเล่น
“เป็นอะไรของเขา ปวดขี้หรือไง รีบวิ่งเชียว”
“สงสัยเขินด็อกมั้งเล่นเซ็กซี่ขนาดนี้ เมื่อคืนด็อกเจอศึกหนักสินะรอยเต็มตัวเลย ด็อกมีเคล็ดลับอะไรพอจะแบ่งปันได้บ้างไหมอ่ะ” คนถามตาเป็นประกายยามมองรอยเล็บแดงๆ บนร่างกายของทิวากานต์ เลยถูกคุณหมอกระแอมเตือนไปหนึ่งที
“ไม่ใช่เรื่องของเด็กโดยเฉพาะพวกเวอร์จิ้น”
“โหย! ด็อก! โคตรดูถูกกันเลย รู้ได้ไงว่าเวอร์จิ้น”
“จี้ใจดำล่ะสิ หึ พวกหนุ่มเวอร์จิ้นก็งี้แหละ”
“ว่าแต่ด็อกใช้น้ำหอมอะไรอ่ะ กลิ่นโคตรยั่วเลย แนะนำบ้างดิ”
ทิวากานต์ก้มหน้าทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นตัวเอง ถ้าจำไม่ผิดเขาฉีดน้ำหอมตอนสามทุ่มก่อนออกไปร่อน ไม่น่าเชื่อว่าจนตอนนี้กลิ่นมันจะยังติดตัวอยู่ “กลิ่นมันขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มาก” โธมัสยืนยันคำพูดด้วยการพยักหน้าแรงๆ “เซ็กซี่สุดๆ”
“ดี งั้นจะได้ซื้อมาใช้ต่อ” ริมฝีปากบางกดยิ้มลึกจนเห็นลักยิ้มสองข้าง ใครจะไปคิดว่าน้ำหอมที่นุ่นซื้อมาฝากจะได้ผลดีขนาดนี้ เมื่อกี้ไอ้เด็กแสบมันต้องรู้สึกเหมือนกับผู้หญิงที่ผับเมื่อคืนแน่ถึงได้หน้าแดงขนาดนั้น
“ด็อกบอกหน่อยสิว่าน้ำหอมอะไร จะไปซื้อมาใช้บ้าง”
“หึหึ ไม่เหมาะกับเด็กน้อยแบบนายหรอกทอม กลับไปใช้ Gucci pour Homme เหมือนเดิมเถอะ”
“โอ๊ะ ด็อกรู้ได้ไง”
“ฉันรู้แล้วกันน่า ไปๆ ฉันจะไปนอนต่อแล้ว แล้วเจอกันตอนมื้อเช้า” คุณหมอวัยเฉียดสามสิบโบกมือให้หนุ่มน้อยนักกีฬาก่อนปิดประตูลง ทิ้งเพียงโธมัสยืนทำหน้าบูดไว้ข้างนอกคนเดียว
คุณหมอขับซีรีส์ไฟว์คันเดิมมาส่งมาดามโอเนลล์ที่สนามบินตอนสิบโมงครึ่งพอดี เหมือนว่ากลับไปรอบนี้กว่าเธอจะมาหาอลันด์อีกก็คงสักสองสามเดือน ส่วนคนลูกถึงจะหน้านิ่งเหมือนเคยหากตาสีซีดกลับหม่นจนจับสังเกตได้
สองหนุ่มจากเกาะอังกฤษก็มาถึงสนามบินแล้ว ทั้งคู่สวมสูทเต็มยศต่างกันเพียงเสื้อตัวในที่เจมส์เป็นสีขาวและโธมัสเป็นสีดำตัดกับผมสีบลอนด์ชวนให้สาวๆ แถวนั้นจ้องตามัน
“แม่ฝากเราไว้กับคุณหมอเขาแล้วลูกก็อย่าดื้อกับพี่เขาล่ะรู้ไหม”
“ไม่เห็นต้องฝากเลย ผมอยู่คนเดียวได้น่า” มาดามโอเนลล์ส่ายหัวกับอาการดื้อของลูกชาย เธอเดินไปคุยกับทิวากานต์ฝากฝังอีกครั้งให้ช่วยดูแลลูกชายสุดที่รักของเธอให้หน่อยในช่วงที่เธอไม่อยู่ โธมัสกับเจมส์จึงอาศัยช่วงนี้เข้ามาลาเพื่อนตัวเล็ก
กัปตันรักบี้กางแขนออกกว้างเพื่อรวบเด็กหน้ามึนเข้ามาในอ้อมแขน ทั้งที่ตีสีหน้าเหมือนไม่พอใจแต่กลับไม่ขัดขืนแถมสองแขนยังโอบกอดตอบคนตัวใหญ่กว่าด้วย
“คราวนี้คงไม่ได้เจอกันอีกนานจริงๆ ล่ะ รู้สึกใจหายยังไงไม่รู้สิ” โธมัสบ่นงุ้งงิ้งพลางกดปลายจมูกลงบนกลุ่มผมดกหนา “ไม่อยากจากกันเลย”
คนตัวเล็กกว่าไม่ได้พูดอะไรนอกจากเกยคางบนไหล่หนาและกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น ขอบคุณโธมัสที่ยอมย่อตัวย่นระยะห่างเกือบยี่สิบเซ็นให้เหลือแค่ห้าเซ็นไม่งั้นคงไม่ได้เห็นภาพแบบนี้
“พูดอะไรหน่อยสิอัล”
“อะไร”
“ฉันไม่ควรคาดหวังโมเม้นต์ซึ้งๆ จากนายสินะ” เขาถอนหายใจ ดันตัวอลันด์ออกพลางส่ายหัว ให้ตายเถอะเขาเป็นเพื่อนรักมันไม่ใช่เหรอ ช่วยอาลัยอาวรณ์หน่อยได้ไหม แบบนี้มันน่าน้อยใจชะมัด
ดูเหมือนอลันด์จะชอบใจที่ทำให้เพื่อนหัวเสียได้ ริมฝีปากสวยหยักยิ้มบางๆ ก่อนโถมตัวกระโดดกอดคอโธมัสจนเกือบหงายหลังไปด้วยกัน “จะให้ซึ้งอะไรล่ะ นายเล่นเฟซบุ๊คมาทุกวัน ฉันไม่รู้สึกเหมือนขาดนายเลยนะทอม”
หนุ่มผมทองกลั้นยิ้มแก้มแทบปริ สีเลือดกระจายทั่วใบหน้าและหูสองข้าง พวกเพื่อนที่โรงเรียนชอบบอกว่าอลันด์โลกส่วนตัวสูง หยิ่ง เย็นชาเพราะพวกนั้นไม่เคยสัมผัสตัวตนของอลันด์จริงๆ เลยสักครั้งต่างหาก เพื่อนตัวเล็กของเขาออกจะน่ารักขนาดนี้จะไม่ให้ชอบได้ยังไง น่ารักเสียจนโธมัสอดใจไม่ให้ฟัดแก้มอิ่มตรงหน้าไม่ได้
“แหวะ น้ำลาย” อลันด์ใช้มือหลังมือถูแก้มเช็ดคราบน้ำลายจากหมาโธมัสตัวโตพลางทำหน้าอี๋ ก่อนเตะใส่หน้าแข้งเพื่อนรักไปหนึ่งที “เป็นหมาหรือไง”
“อย่าทำเป็นโมโหกลบเกลื่อนเลยอัล ฉันรู้ว่านายชอบจูบจากฉันน่า”
“ให้จูบกับมาร์ตินยังดีกว่าจูบกับนาย ทอม”
“ใจร้ายชะมัด” โธมัสทำหน้ากระเง้ากระงอด ก็อลันด์เล่นบอกว่าจูบกับหมาที่เขาเลี้ยงยังดีกว่าเจ้าของรูปหล่อแบบเขาอ่ะ “ฉันไปรอข้างในดีกว่า รู้สึกหิวอีกรอบแล้วด้วยสิ”
“จะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันเบื่อหน้านายเต็มทนแล้วทอม”
“เออ แล้วอย่ามาบอกว่าคิดถึงทีหลังล่ะอลันด์” เพราะรู้ว่าโธมัสแกล้งงอนเรียกร้องความสนใจไปงั้นอลันด์เลยไม่คิดจะเถียงอะไร คนตัวเล็กกว่าคืบยักไหล่กวนๆ พอให้กัปตันรักบี้เซ็งจนเบะปากหันหลังเดินหนีเข้าไปด้านในทันที
ตาสีซีดมองส่งตามแผ่นหลังกว้างจนหายลับไปก่อนหันกลับกะไปหาแม่ หากภาพแผ่นอกกว้างใต้เชิ้ตราคาแพงสีขาวจ่ออยู่ตรงหน้าให้ชะงักเท้าตามสัญชาตญาณจนเกือบล้มถ้าไม่มีมือใหญ่จับเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก็ล้มหรอก” เจมส์เอ็ดไม่จริงจังนัก เขาปล่อยมือออกทันทีที่อลันด์สะบัดตัวออก ตาสีมรกตลอบมองเจ้าของกลุ่มผมสีช็อกโกแลตนมเงียบๆ เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรแต่ก็ไม่เดินหนีไปไหน เจ้าตัวคงกระดากเกินกว่าจะเอ่ยลากับเขาแม้กระทั่งพูดตามมารยาทก็เถอะ สุดท้ายเป็นเขาที่ยอมแพ้ทำลายความเงียบก่อน “ฉันคงคิดถึงนายแย่”
“ถ้าพูดตามมารยาทก็ขอบคุณ ตอนนี้นายคงดีใจจนเนื้อเต้นเลยล่ะสิที่คุณชายตกยากอย่างฉันจะไม่อยู่ให้เกะกะสายตาแล้วน่ะ”
เจ้าของส่วนสูงหกฟุตกับอีกสองนิ้วแค่นยิ้มอ่อน ก้มหน้ามองปลายเท้าตนเองด้วยความประหม่าหลังถูกอีกคนพูดตัดรอนกันต่อหน้า ไม่รู้จะแก้ไขความคิดอลันด์ยังไงเหมือนกันเพราะทั้งหมดที่เป็นแบบนี้เขาทำตัวเองทั้งนั้น
“อัล ฉัน...”
“อะไ...”
พยางค์สุดท้ายหายไปในลำคอเมื่อเด็กหนุ่มถูกรวบจนจมเข้าไปในอ้อมกอดกว้าง ท่อนแขนแข็งแรงประคองอลันด์ไว้เบามือที่สุดเท่าที่ผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งจะทำได้
“พะ เพี้ยนไปแล้วหรือไง” เด็กลูกครึ่งโวยวายตะกุกตะกัก กลิ่นหวานสะอาดชวนฟัดของน้ำหอม The One for Men by Dolce & Gabbana อวลอยู่ในโพรงจมูกจนหน้าขึ้นสีแดง
“ฉัน...”
ไม่อยากปล่อยมือเลยเจมส์เลือกเก็บประโยคสุดท้ายไว้ในใจอย่างที่เคยทำมาตลอดเวลาหลายปี เขายอมปล่อยอลันด์ให้หลุดจากอ้อมกอดตัวเองเพื่อมองเด็กลูกครึ่งนั่นวิ่งหนีไปหาแม่ นี่นอกจากจะทำให้อีกฝ่ายเกลียดขี้หน้าแล้วเขายังเพิ่มความกลัวลงไปอีกสินะ ทำไมจีบผู้ชายสักคนมันถึงได้ยากขนาดนี้ ทีกับพวกผู้หญิงแค่เดินผ่านก็เหลียวมองเขาตาเชื่อมแล้ว
“อะไรของเราน่ะ จู่ๆ ก็วิ่งมากอด เห็นไหมว่าแม่กำลังคุยกับคุณหมออยู่ เสียมารยาทจริงๆ” มาดามโอเนลล์หยิกแก้มอิ่มลูกชายเบาๆ เป็นการทำโทษ หากลูกชายที่มักเถียงคำตอบคำกลับเบี่ยงสายตาไปทางอื่นไม่ยอมพูดจาซะงั้น “แน่ะ เป็นอะไรอีกล่ะหือ”
“สงสัยคงไม่อยากให้คุณน้าไปล่ะมั้งครับ” ทิวากานต์แซวเจ้าเด็กแสบสักที ความจริงเห็นอยู่หรอกว่าเมื่อกี้ไอ้เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมันจะจัดการรวบหัวรวบหางเด็กนี่แล้วแต่หนีมาหาแม่ทันก่อน ไม่งั้นมาดามโอเนลล์ได้ลูกเขยกลับลอนดอนด้วยก็งานนี้
“ถ้าคิดถึงแม่ก็กลับลอนดอนกับแม่”
“NO WAY!”
“งั้นก็เลิกอ้อนจ้ะ เดี๋ยวแม่จะบินมาหาบ่อยๆ ให้เราเบื่อหน้าไปเลย โอเคไหม”
“ตามใจมาดามเถอะ” พอพ้นรัศมีอันตรายความกวนประสาทก็กลับมาเหมือนเดิม มาดามโอเนลล์เลยหยิกแก้มลูกชายอีกครั้งเป็นการส่งท้าย
“แม่ไปล่ะจ๊ะ นี่สงสัยทอมคงจะหิวรีบเข้าไปก่อนเลย ยังไงแม่ฝากน้องด้วยนะคะคุณหมอ ถ้ามีอะไรโทรสายตรงมาได้เลย”
“ครับ เดินทางดีๆ นะครับคุณน้า”
“ส่วนเราก็อย่าดื้อกับพี่เขาให้มากนักนะรู้ไหม คุณหมอเขาอุตส่าห์ช่วยหาห้องซ้อมดีๆ ให้แล้วก็ตั้งใจซ้อมดนตรีด้วยล่ะ แล้วอย่าลืมเรื่องเรียน ถ้ามัวแต่เล่นคะแนนออกมาไม่ดีกลับลอนดอนทันที เข้าใจนะ”
“คร้าบๆ เข้าใจแล้วคร้าบ”
“จ้า รักลูกนะ”
มาดามโอเนลล์จูบปากลูกชายหนึ่งทีก่อนเดินไปหาเจมส์ที่ยืนรออยู่หน้าทางเข้า หนุ่มผมน้ำตาลเข้มนัยน์ตาดุชวนหลงมองเพื่อนวัยเดียวกันหงอยๆ จนเจ้าของความสูงเท่าคางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าถึงได้มีสีหน้าดีขึ้นมานิด
“ฝากดูแลมัมด้วยล่ะ”
“อืม”
“แล้วก็...ขอบคุณนะ เดินทางดีๆ”
เจมส์ยิ้มออกได้อีกครั้งเมื่อคนตัวเล็กกว่าโบกมือให้ แค่น้ำใจเพียงน้อยนิดก็ถือว่าเป็นการลาจากที่ดี
.
.
.
บีเอ็มดับบริวซีรีส์ไฟว์สีขาวปลอดทั้งคันแล่นรักษาความเร็วที่แปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงตั้งแต่ออกจากสนามบินผ่านทางหลวงพิเศษหมายเลขเจ็ดมุ่งหน้าถนนพระรามเก้าเพื่อกลับที่พัก ผู้โดยสารด้านข้างนั่งเงียบตั้งแต่ก้นแตะเบาะไม่หือไม่อือไม่กวนประสาทเหมือนเคย
ทิวากานต์พอเข้าใจอาการแบบนี้ เขาเองก็เคยเป็นตอนที่ต้องจากกับแม่ แต่อลันด์โชคดีกว่าเขาที่แม่ยังอยู่ให้เจอได้อีก ส่วนเขาต่อให้คิดถึงแทบขาดใจแค่ไหนก็ไม่โอกาสนั้นอีกแล้ว
“สิบเอ็ดโมงแล้วนิ หิวข้าวหรือยัง”
ตาสีซีดเหลือบมองคนถามแวบเดียวก่อนส่ายหัว “ยัง”
“งั้นไปกินข้าวกันเถอะ วันหยุดยาวก็ใกล้หมดแล้วรีบไปเที่ยวห้างก่อนคนจะกลับมาเยอะดีกว่า”
เด็กลูกครึ่งหมดคำพูดกับการมัดมือชก อลันด์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนปล่อยให้คุณหมอจอมเผด็จการขับรถพาไปหาข้าวกินที่ห้าง นี่เขาต้องอยู่เมืองไทยไปอีกเกือบห้าปีโดยมีเพื่อนบ้านแบบนี้เหรอเนี่ย แย่ชะมัด...แต่อย่าเอ็ดไปล่ะว่าเวลาแกล้งด็อกเถื่อนน่ะสนุกจะตาย :^)
TBCขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
เราก็พูดไม่ค่อยเก่งไม่รู้จะเม้าท์อะไรดี
เอาเป็นว่าฝากพี่วากะน้องอัลอีกหนึ่งตอนด้วยค่ะ
สปอยล์นิดนึงว่าคู่นี้เขาทะเลาะและกวนตีนกันแบบนี้ตั้งแต่ยังไม่รักกันจนตอนสวีทเลยล่ะค่ะ หุหุ
เจอกันตอนหน้าเร็วๆ นี้นะคะ
------------------
1 Pumped up Kicks - Foster the People
2 Love Me the Way You Do - Jake Bugg