ตอนที่ ๒๙.๑หลังจากที่กลับมาจากบ้านพี่พิสแล้ว ไอ้ภูก็เข้าไปคุยธุระกับพ่อมันตามนัด ผมไม่ได้ไปด้วยหรอกเพราะอยากให้มันคุยกับคนในครอบครัวเองมากกว่า ดังนั้นผมกับไอ้ตินเลยรอฟังข่าวจากมันอยู่ที่หอ ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่บนเตียง ส่วนไอ้ตินกำลังทำความสะอาดใบพัดลม ทิ้งไว้นานจนฝุ่นเขรอะ แล้วก็วนมาที่เรื่องของผมกับพวกมัน
“มองหน้าทำไม”ไอ้ตินถามหลังจากที่หันมาเจอสายตาของผมที่จ้องอยู่นานแล้ว
“กำลังคิดอยู่ว่าช่วงที่ผ่านมากูกับพวกมึงทะเลาะกันบ่อย”ไอ้ตินละจากงานตรงหน้าก่อนจะบิดไหล่ถอนหายใจเสียงดัง
“แต่มันก็ไม่ได้แย่ไม่ใช่เหรอ”
“ก็คงงั้น”เคยมีคนบอกไว้ว่ายิ่งทะเลาะกันบ่อย ก็ยิ่งเข้าใจกัน แต่ถ้าไม่แก้ไขมันก็อยู่ไม่ยืด
“อย่างน้อย เวลาที่มีเรื่องทะเลาะกับมึงก็ทำให้รู้ว่ามึงสำคัญกับกูมากแค่ไหน"
“น้ำเน่า”
“พูดจากใจเลยนะ”มันหัวเราะอยู่คนเดียวก่อนจะกลับไปสนใจพัดลมต่อ
ก็อก ก็อก
ผมกับไอ้ตินมองหน้ากันเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่ใช่ไอ้ภูแน่นอนเพราะคนอย่างมันไม่เคาะให้เสียเวลาหรอก
“กูไปดูเอง”มันรีบพูดเมื่อเห็นผมตั้งท่าจะลุกไปเปิดประตู ผมยังนึกไม่ออกว่าใครจะมาหาตอนนี้ ถ้าเป็นเพื่อนไอ้พวกนั้นก็ต้องโทรมาบอกก่อนแล้ว ไอ้ตินส่องที่ตาแมวก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เมื่อประตูเปิดออกผมก็เห็นไอ้เน็ตยืนอยู่หน้าห้อง กล้าโผล่มาถึงห้องเชียว ผมไม่รู้ว่าไอ้ตินมีสีหน้าแบบไหน เพราะมันยืนบังกรอบประตูอยู่
“มาทำไม”ไอ้ตินถามเสียงนิ่ง ไอ้เน็ตมีท่าทางเกรงๆเมื่อเจอน้ำเสียงไม่ต้อนรับของไอ้ติน
“แค่อยากมาผูกมิตร”มันตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก ก่อนจะยกถุงบรรจุแอปเปิ้ลเขียวโชว์เป็นหลักฐาน
“เอาเก็บไว้กินเองเถอะ”ผมได้ยินเสียงผิวปากและควงกุญแจดังมาแว่วๆ ก่อนที่เจ้าของเสียงจะโผล่มาที่ทางเดิน มันหยุดแกว่ง
กุญแจเมื่อเห็นว่าใครอยู่หน้าห้อง ก่อนที่มันจะยกยิ้มเยาะ
“นึกว่าใคร มึงมีอะไรไม่ทราบถึงได้มายืนเกะกะแถวนี้”ไอ้ภูก้าวเข้ามาใกล้ไอ้เน็ตมากขึ้น เห็นได้ชัดว่ามันกลัวไอ้ภูมากกว่าไอ้ติน
และคงไม่กล้าตอบแบบที่ตอบไปเมื่อครู่แน่
“มีแขกมาเยี่ยมทั้งที เราก็ควรต้อนรับเสียหน่อย จริงไหมพี่ภู”ไอ้ตินหันไปหาลูกพี่ใหญ่ ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดแบบนี้ ไอ้เน็ตอึกอักขึ้นมาทันที
“ดีเหมือนกัน เดี๋ยวจะเอาไปพูดว่ากูมารยาททราม”มันไม่รอช้าดันหลังไอ้เน็ตเข้ามาในห้อง ไอ้ตินคว้าถุงแอปเปิ้ลเขียวมาจากมือไอ้เน็ตด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล ...แบบนี้แหละที่เรียกว่าอันตรายของจริง
“มึงคงไม่ฆ่ามันหมกห้องใช่ไหม”ผมกระซิบกับไอ้ภูเบาๆ
“บ้าเหรอไง กูไม่ใช่คนโหดร้ายขนาดนั้น”มันหัวเราะก่อนจะไปร่วมวงกับไอ้ตินและไอ้เน็ตที่โซฟา ไอ้สองคนนี้คิดจะทำอะไรอีกวะเนี่ย
“มึงย้ายมาอยู่นานหรือยัง”ไอ้ภูถามเสียงเข้มแต่ผมมองออกว่ามันกำลังนึกสนุก
“ก็....ประมาณเดือนกว่าๆได้”ไอ้เน็ตตอบเสียงดัง
“เหรอ...แล้วจะย้ายออกตอนไหน”ไอ้ตินแทรกถามบ้าง
“อะไรนะ”มันถึงกับเหวอ
“ล่อเล่นน่า แค่นี้ทำเป็นตกใจไปได้”ไอ้ตินหัวเราะเหมือนมีอารมณ์ขัน แต่สำหรับผมมันดูร้ายกาจจริงๆ
“คือ..พอดี ผมรีบ...”ไอ้เน็ตพูดติดๆขัดๆ
“เฮ้ย ไม่เอาน่า อยู่เป็นเพื่อนคุยเล่นก่อน”ไอ้ภูทำเสียงเป็นมิตรแบบไม่สมจริงนัก ผมได้แต่ดูอยู่ห่างๆว่ามันสองคนจะเล่นอะไรต่อ
“แต่...”
“ฟิกมึงเอาน้ำมาต้อนรับเพื่อนเก่ามึงหน่อยสิ”ไอ้ภูส่งเสียงเรียกเหมือนกำลังเรียกเด็กชงเหล้า เอ๊ะ หรือว่าไปบ่อย ผมทำหน้าเอือมใส่พวกมันสองคน แต่ก็ทำตามที่มันสั่งอยู่ดี ผมวางแก้วน้ำลงตรงหน้าไอ้เน็ต ทิ้งตัวนั่งข้างๆไอ้ภู ยิ่งเห็นไอ้เน็ตนั่งตัวลีบแบบนี้ยิ่งให้อารมณ์เหมือนสาวน้อยในดงชายโฉดเข้าไปใหญ่
“ว่าแต่มึงพักอยู่กับใคร”ไอ้ตินถามต่อ
“แฟน”มันตอบชัดเจน เหมือนต้องการให้รู้ว่าไม่ได้สนใจผมแล้ว
“คนเก่าเหรอ”ไอ้ภูถามพร้อมยิ้มเยาะ ผมขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด อย่าวนมาเรื่องเก่าๆนะเฮ้ย ผมขี้เกียจฟัง มันจั้กจี้ใจแปลกๆ ไอ้เน็ตหน้าตึงเหมือนกันเมื่อได้ยินไอ้ภูพูด
“เปล่า”เกิดความเงียบขึ้น ไอ้ภูกับไอ้ตินนั่งจ้องหน้าไอ้เน็ตเหมือนมันเป็นตัวประหลาด ผมจิบน้ำแก้อาการคอแห้งฉับพลัน
“มึงรู้ใช่ไหม...ถ้าหากคิดอะไรไม่ซื่อล่ะก็...มึงโดนดีแน่”ไอ้ภูเริ่มข่มขู่
“ผมมีคนของผมแล้ว ไม่คิดอะไรหรอก”มันพยายามไม่ออกอาการหงุดหงิด
“เหรอ คราวก่อนกูก็จำได้นะว่ามึงก็มีแฟนอยู่แล้ว”ไอ้ตินพูดเสียงนุ่มตามสไตล์เชือดนิ่ม ผมถูจมูกไปมาเมื่อเข้าใกล้เรื่องเก่าเข้าไปทุกที
“สมาธิสั้นเหรอ ยุกยิกอยู่ได้”ไอ้ภูกระซิบเบาๆ
“เปล่า”กูร้อนตัวเว้ย
“เรื่องเก่าๆ...ก็ให้มันจบไปเถอะ ผมไม่อยากรื้อฟื้น”พูดเหมือนนางเอกเข้าไปทุกที จริตจกร้านเยอะจริงๆ
“คิดได้แบบนั้นก็ดี หวังว่ามึงคงจำได้ว่าหมัดกูหนักแค่ไหน”ไอ้ตินส่งยิ้มให้ไอ้เน็ต
“ผมบริสุทธิ์ใจจริงๆ”ไอ้เน็ตรีบตอบ มันเหลือบมองผมแวบเดียวเหมือนจะขอให้ช่วย ผมก็เห็นใจมันหน่อยๆ แต่เรื่องนี้ผมขอไม่ยุ่ง
ดีกว่า
“ก็ดี กูไม่อยากใจร้าย”ไอ้ภูตอบเสียงระรื่น ผมทำเสียงเหอะในลำคอเบาๆ
“ผมมีนัด ขอตัวก่อนนะครับ”ไอ้เน็ตไม่รอให้พวกผมตอบ มันรีบผลุนผลันออกไปจากห้องทันที
“นิสัยเสีย”ผมดุพวกมันสองคนเมื่อไอ้เน็ตออกไปจากห้องแล้ว
“ต้องเล่นแบบนี้แหละ เดี๋ยวมันจะมาก่อกวน”ไอ้ตินตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมว่างั้น”
“อืม เราไม่มีทางรู้หรอกว่าคนอื่นคิดอะไรอยู่”ไอ้ภูพูดจามีสาระ
“แต่สำหรับกูแล้ว คิดเรื่องมึงคนเดียวนี่ล่ะ”มันปล่อยมุกเสี่ยวต่อ
“แหวะ”หมู่นี้เริ่มน้ำเน่าด้วยกันทั้งคู่เลย ไม่รู้ไปติดมาจากไหน
“แล้วไปคุยกับทางบ้านมาเป็นยังไงบ้าง”ไอ้ตินถามอย่างสนใจ
“ก็...ผ่านไปด้วยดี พ่ออนุญาตให้มึงสองคนไปกับกูได้ แต่แลกกับการเชื่อฟังคำสั่งของญาติที่ทำงานอยู่ที่นู่น ต้องพักอยู่บ้านเดียวกันกับญาติกู โทษทีว่ะ พวกมึงคงอึดอัดแย่”ไอ้ภูดูเป็นกังวลน่าจะมีเรื่องกวนใจมันอยู่
“ไม่ต้องห่วงหรอก กูอยู่ได้”ถ้าไปกับพวกมึง...น้ำเน่าอีกแล้ว สงสัยติดเชื้อในกระแสเลือด
“กูเครียดว่ะ กูไม่รู้อะไรสักอย่างเรื่องงาน ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรที่ไหน ขนาดโรงงานกูยังไม่รู้เลยว่าอยู่ตรงไหน แล้วทำอย่างกับว่ากูพูดอังกฤษคล่อง”ไอ้ภูถอนหายใจ พลางเอนพิงไหล่ผม
“ค่อยเป็นค่อยไปน่า มึงออกจะเก่ง”ปลอบมันไปก่อน มันจะมาใจฝ่อตอนนี้ไม่ได้
“พี่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวซะหน่อย ญาติพี่ก็อยู่ที่นู่นเขาคงไม่ปล่อยให้พี่ลำบากหรอก”
“คราวก่อน กูมีพ่อไปด้วยก็เลยอุ่นใจได้ กูเคยคิดว่ากูยืนด้วยตัวเองได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆกูก็กลัว”ผมมองหน้าไอ้ตินว่าจะทำยังไงกับมนุษย์จิตตกดี มันแค่ส่ายหน้าอย่างอับจนคำพูดเช่นกัน ผมใช้สมองอย่างหนักเพื่อหาคำพูดดีๆ ไอ้เรื่องดีๆไม่ค่อยอยู่ในหัวด้วย
สิ
“มึงรู้เปล่ามนุษย์จะเป็นผู้นำก็ต่อเมื่อถึงเวลาคับขัน”วิเคราะห์โดยไอ้ฟิกเอง
“อะไรนะ”ไอ้ภูทำหน้างง
“เหมือนอย่าง...เวลาเจอหน้าลูกเป็นครั้งแรกสัญชาตญาณคนเป็นพ่อก็จะทำงานอะไรแบบนี้ คือกูจะหมายถึงว่า...เมื่อถึงเวลาที่
เรามีหน้าที่ของตัวเอง เอ่อ..."ไอ้ฟิกหาทางลงแบบสวยหรูไม่ได้จริงๆไอ้ตินเริ่มยิ้ม
“เราก็มีหน้าที่ต้องทำให้ดี...หน้าที่คือหน้าที่”ผมพูดอะไรออกไปวะ ไอ้ภูกับไอ้ตินทำหน้าเหมือนพยายามเข้าใจ
“อะไรก็ช่างเถอะ ตั้งใจทำให้ดีที่สุดก็พอ โชว์ให้พ่อมึงเห็นว่ามึงเองก็มีดี ให้พ่อมึงภูมิใจที่มึงเป็นลูกชายท่าน”ผมเทศน์ใส่
“มันติดเชื้อมึงมาแน่ๆ”ไอ้ภูหันไปพูดกับไอ้ติน
“กูแค่พูดความจริงต่างหากไอ้ภู มึงต้องโตเสียที ยิ่งมึงแข็งข้อใส่ ท่านก็ยิ่งบงการมึงหนักกว่าเดิมแน่ เพราะอะไรมึงรู้ไหม”ผมมองหน้าไอ้ภูเพื่อบังคับให้มันตอบ ไอ้ตินกระแอมเบาๆก่อนจะลุกจากโซฟา ไอ้ภูพยายามเตะขาไม่ให้มันขยับไปไหนได้ แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะไอ้ตินเดินหลบฉากหายเข้าไปในครัวแล้ว
“ทำไมวันนี้บ่นมากจัง”มันทำหน้าตาน่าสงสาร แต่ผมไม่หลงกลมันแน่
“ตอบกูมาก่อน”ผมยังไม่ลืมประเด็นเก่า
“ไม่รู้โว้ย”
“ตอบใหม่ ตอบดีๆ”ผมกลั้นขำเมื่อเห็นว่ามันเริ่มหงุดหงิด
“ไม่รู้...บอกมาก็สิ้นเรื่อง”มันหันมาผลักศีรษะผมอย่างหมั่นเขี้ยว
“เพราะมึงกับพ่อมีนิสัยเหมือนกัน อยากเอาชนะเหมือนๆกัน”พ่อลูกคู่นี้ไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเลย ไม่รู้เป็นโรคอะไร
“รู้ดีจริงๆ”มันโยกหัวผมเบาๆ
“กูพูดจริงๆนะ ถ้ามึงทำตัวดีๆ เข้าหาเขาหน่อย ประจบเนียนๆ รับรองขออะไรก็ให้”มันหัวเราะเสียงดัง
“ขำไร กูจริงจังอยู่”
“ที่พูดมาเมื่อกี้นิสัยมึงเลยนี่ ไหนลองมาอ้อนกูบ้างซิ มีอะไรกูให้หมดทุกอย่างเลย เทหมดหน้าตัก”มันเบี่ยงประเด็น
“รอชาติหน้าเถอะ”ผมชิงลุกหนีมันได้ก่อนจะแว๊บเข้าไปหาไอ้ตินในครัวแทน
“ไม่ลองไม่รู้นะหนูฟิก”มันส่งเสียงตามมา ผมจึงส่งนิ้วกลางไปแทน ไอ้เรื่องกวนประสาทนี่ถนัดจริงๆ
“ทำไร”ผมเลื่อนของบนโต๊ะออกก่อนจะนั่งมองไอ้ตินเอาผักออกมาจากตู้เย็น
“ไม่น่าถามนะ”มันตอบเสียงกวน เปิดน้ำล้างผักเสียงดัง
“มึงอยากโดนบ่นอีกคนไหม หืม”ผมขู่ นาทีนี้ผมเชื่อว่ามันไม่กล้าหือแน่
“เป็นเมนส์เหรอไอ้ฟิก”ไอ้ตินพูดได้ร้ายกาจมาก
“แสดงว่ามึงเป็นบ่อยแน่ๆ”ทันทีที่ผมพูดฟองน้ำก็ลอยมาโดนหน้าผมเต็มๆ
“สกปรก กูเป็นสิวขึ้นมานี่หมดหล่อเลยนะ”ไอ้ตินแค่นเสียงหัวเราะเหมือนดูถูก จะว่าไปไม่ได้กินข้าวฝีมือไอ้ตินนานแล้วเหมือนกัน
“กูช่วย”ผมขยับเข้าไปใกล้ มันกำลังหั่นบล็อกโคลี่ด้วยท่าทางตั้งใจอยู่
“อยู่เฉยๆเถอะ มาช่วยทีไร เกะกะทุกที”โหย ไอ้ตินนี่แม่งพูดจาทำร้ายจิตใจอันบอบบางของผมเหลือเกิน ผมยืนมองมันอยู่สักพัก
ก่อนจะออกมานั่งรอที่โซฟาตามเดิม ไอ้ภูเหลียวมองผมก่อนจะหันไปมองไอ้ติน
“โดนมันไล่ออกมาล่ะสิ โอ๋ อย่าร้องไห้น้า”ไอ้ภูกวนประสาทผมอีกแล้ว
“กูไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อนน่ะเว้ย”ผมเหลียวมองไอ้ตินอีกรอบ มันไม่สนใจผมจริงๆด้วยว่ะ อุตส่าห์ทำเหมือนงอนแล้วนะเนี่ย หรือมัน
รู้ทัน
“หิวว่ะ”ไอ้ภูบ่นพึมพำเบาๆก่อนจะตบหน้าท้องตัวเอง
“ก็เข้าไปหาอะไรกินสิ”ไอ้ภูทำหน้าหน่าย เวลาที่ไอ้ตินกำลังวุ่นวายในครัว มันไม่ค่อยอยากให้ผมกับไอ้ภูเข้าไปใกล้เท่าไหร่ มันเคยบอกว่ามันรำคาญ!
“กูขี้เกียจมีเรื่องกับมัน”มันสองคนเคยมีปัญหาด้วยเรื่องนี้มาแล้วตามประสาคนอารมณ์ร้อน
“มึงเคยคิดไหมถ้ามีเรื่องกับไอ้ตินจริงๆ มึงจะชนะมันรึเปล่า”แบบว่าถ้าไอ้ตินเอาจริง และไอ้ภูก็เอาจริง ผมนึกภาพไม่ออกเลย แต่ไอ้ตินคงชนะยากเพราะไอ้ภูดูมีภาษีเรื่องใช้กำลังมากกว่า
“มึงได้หลั่งน้ำตาแน่ เพราะสามีแสนดีหน้าหล่อจิตใจดีของมึงเข้าโรงบาลพร้อมกัน”คำว่า ‘สามี’ของมันแทงหูผมมากกว่าคำพูดตรงๆซะอีก ผมกับไอ้ภูนั่งกร่อยรอให้มันทำกับข้าวให้เสร็จ รอจนได้กลิ่นหอมๆ ลอยมา กลิ่นแบบนี้ต้มยำปลาทับทิมแน่ๆ
“ไม่หิวข้าวกันเหรอ”ไอ้ตินเดินเนือยมาหา ฟังจากน้ำเสียงเดาได้ว่ามันกำลังกลั้นขำอยู่
“กูงอนอยู่”ผมแกล้งทำเสียงตึงจนไอ้ภูมองแปลกๆ
“อย่ามา กูรู้ว่ามึงแกล้ง”มันเดินเข้ามาใกล้ จนผมได้กลิ่นตะไคร้มาจากมัน
“กูไม่ได้แกล้ง กูงอนจริงๆ”ผมทำมึนต่อ ไอ้ภูทำท่าขนลุกขนพอง
“กูไปกินข้าวดีกว่า ก่อนที่จะกลืนไม่ลงเพราะหมาแถวนี้”มันเด้งตัวจากโซฟาเข้าไปในครัว
“มึงนี่นะ…”ได้ยินมันถอนหายใจ
“งอนพี่เหรอ”มันก้มมากระซิบชิดใบหู มันมาไม้นี้อีกแล้วว่ะครับ ผมเขินจนหายเขินไปหลายรอบแล้วกับไม้นี้ของมันเนี่ย ผมมองหน้าอีกฝ่ายในระยะประชิด
“เปลี่ยนมุกบ้างดิ กูอยากได้ยินอะไรที่แปลกใหม่”ไอ้ตินแค่ยกยิ้มก่อนจะยืดตัวเต็มความสูง
“ไปแดกข้าว”จบเลย คำนี้ผมได้ยินบ๊อยบ่อย
ช่วงสองสามวันนี้คือช่วงเวลาเตรียมเอกสารเตรียมของเพื่อไปลอนดอน ส่วนมากทางพ่อไอ้ภูจัดการให้ ผมเกรงใจท่านมากๆ วันก่อนโทรไปขอบคุณ แต่ฝ่ายนั้นแค่บอกว่าให้ผมไปเป็น ‘ยาแก้เหนื่อย’ ให้ไอ้ภูเฉยๆ แต่อย่างผมต้องเป็นยาชูกำลังเท่านั้น คึๆ ส่วนไอ้ตินพ่อไอ้ภูถึงกับบอกว่าไว้ใจมากที่สุด อยากให้มันช่วยดึงๆไอ้ภูไม่ให้เหลวไหล เรื่องที่ผมจะไปลอนดอนกับพวกมันแพร่กระจายไวเหมือนเชื้อโรค ยิ่งไอ้ชายไอ้คนที่มักจะล้อผมบ่อยๆมันยิ่งเหิมเกริมจนน่ากลัว ถึงกับบอกว่า
‘มีสามีดีเหมือนถูกหวย’
เกลียดมันว่ะแต่มันคือความจริง อ่ะ ยอมรับก็ได้ ทุกวันนี้ผมก็ยอมรับสถานภาพอันต่ำต้อยของตัวเองได้แล้ว และพยายามทำใจให้ชินกับคำพูดแสลงหูเวลาถูกแซว แต่ก็ทำไม่ได้เสียทีโดยเฉพาะเรื่องใต้สะดือ หน้าของผมไหม้เป็นแถบมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ดังนั้นคำแซวของพวกมันเป็นตัวแปรทำให้ความตื่นเต้นลดไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แถมไอ้ภูกับไอ้ตินยังชอบพูดทำนองว่าไปฮันนีมูนอีก…
บ้าชัดๆ
*********************************************************
เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าๆที่ผมกับพวกมันมาถึงสนามบินลอนดอน เห็นว่าลูกพี่ลูกน้องไอ้ภูที่ทำงานอยู่ที่นี่จะมารับ ระหว่างนั้นผมกับพวกมันก็แวะหาอะไรรองท้องที่ร้านอาหารใกล้ๆ ฟังจากที่ไอภูเล่า ญาติคนนี้ชื่อภักดี เป็นคนขยัน ทำงานเก่งทำงานอยู่ที่นี่ได้ห้าปีแล้ว
และเท่าที่ผมพอจะทราบมาพ่อมันมีหุ้นอยู่ในโรงงานประกอบรถยนต์ แต่ก็ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อะไร ถึงจะมาฝึกงานที่นี่ก็คงไม่ใช่ตำแหน่งใหญ่อะไร และคงทำเรื่องยุ่งมากไม่ได้ ซึ่งมันเองก็รูดีถึงได้ออกอาการเครียดขนาดนี้ ส่วนญาติมันก็เคยฝึกงานอยู่ที่โรงงานอยู่สามปี ก่อนจะแยกออกมาตั้งบริษัทลูก เป็นตัวแทนจำหน่ายรถในเครือไป ผมยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตา แต่เดาว่าคงเป็นคนเคร่งเครียดแน่ๆ ผมเข้ากับคนประเภทนี้ไม่ค่อยได้ด้วยสิ
“ญาติมึงดุรึเปล่า”ผมถามเพื่อไขความข้องใจ
“เท่าที่จำได้…ไม่น่าจะดุ กูเจอเขาครั้งหลังสุดก็เมื่อสามปีก่อนนู้น”มันไหวไหล่
“หล่อไหม”ผมลองแย้มถามเล่นๆ และก็ได้รับรังสีอำมหิตมาจากทั้งสองคน
“น้อยกว่ากู”มันตอบอย่างมั่นใจ ผมกวาดสายตาไปรอบๆร้านระหว่างที่รออาหาร ผมบอกไปรึยังว่าหนุ่มเมืองนอกสูงยาวทั้งนั้น พนักงานเสิร์ฟที่เพิ่งมารับออเดอร์เมื่อครู่ก็เช่นกัน ดูจากหน้าแล้วไม่น่าจะใช่คนอังกฤษ
“ชอบเหรอ”เสียงนุ่มๆส่อแววอันตรายของไอ้ตินดังอยู่ใกล้ๆ
“ห๊ะ เปล่า”ผมละสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว ไอ้ตินระบายยิ้มกว้าง เดาไม่ออกว่าคิดอะไร จู่ๆมันก็ยกมือเรียกพนักงานคนเดิม
“ทำเหี้ยอะไรของมึง”ผมกระซิบถามอย่างร้อนรน ไอ้ภูก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ไม่สนใจชะตากรรมของผมสักนิด ตายแน่ๆไอ้ฟิกเอ้ย
“ชอบไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวบอกให้ไง”มันทำหน้ากวน ไม่รู้ว่ามันจะทำจริงไหม แต่ตอนนี้ผมลุกลี้ลุกลนเหมือนมีไฟลนก้นเพราะ
พนักงานหน้าหล่อหนวดครึ้มเดินมาใกล้แล้ว
“เฮ้ย อย่านะมึง”ผมรีบคว้าเมนูมาปิดหน้า ใจเต้นตึกๆเมื่อได้ยินไอ้ตินเริ่มพูดบางอย่าง…
“Excuse me. Can I have a napkin please?”สัดเอ้ย ทำผมใจหายใจคว่ำหมด ถึงจะดูไม่ฉลาดแต่ก็ฟังออกนะเว้ย
“เชี่ย กูตกใจหมด”ผมด่ามันทันทีเมื่อพนักงานเดินหายไปแล้ว
“กูแค่กวนประสาทมึงเล่นเฉยๆ ใครจะไปกล้าพูดล่ะ”มันหัวเราะร่วนท่าทางมีความสุขที่ได้แกล้งผม
“ก็แค่มองเอง”
“มองเบ้าหน้าเฉยๆก็ไม่น่าเกลียดอะไรหรอกนะ แต่มึงมองอย่างอื่นนี่สิ ทุเรศ”ไอ้ภูออกความเห็นเป็นครั้งแรก
“มึงก็บ้า ปรักปรำกู”ใครจะไปมอง ไอ้ภูนี่…หาเรื่องกวนประสาทผมอีกแล้ว กว่าจะได้กินมื้อเช้ารอไปเกือบๆครึ่งชั่วโมง ไหนจะต้อง
รอพี่ภักดีคนขยันของไอ้ภูมารับอีก รวมๆแล้วก็เกือบสองชั่วโมงที่นั่งแกร่วอยู่ที่สนามบิน
“โทษที พี่ไม่คิดว่าธุระจะกินเวลานาน แถมรถติดอีก”ผมหันไปมองเจ้าของเสียงเพลียๆ คนตรงหน้ามีเค้าโครงหน้าคล้ายกับไอ้ภู แต่ดูนุ่มนวลกว่า เครื่องหน้าดูธรรมแต่ดูดี คงเพราะบุคลิกนุ่มนวลด้วยล่ะมั้ง เดาจากหน้าตาคงยังไม่แตะสามสิบหรือไม่ก็สามสิบต้นๆ
“นี่ฟิกกับตินเพื่อนผมครับ”ไอ้ภูแนะนำให้อีกฝ่ายรู้จักเมื่อสายตาสงสัยจับจ้องมาที่ผมกับไอ้ติน
“สวัสดีครับ”ผมกับไอ้ตินยกมือไหว้อีกฝ่าย
“เอ้อ สวัสดี ไม่ต้องมากพิธีอะไรหรอก พี่ชื่อภักนะ โทษทีมาช้าไปหน่อย แปลกใจเหมือนกันนะเนี่ย ลุงไม่เห็นบอกว่าภูพาเพื่อนมาด้วย”เจ้าตัวออกอาการมึนงงเล็กน้อย
“คงอยากให้พี่แปลกใจเล่นล่ะมั้ง”ไอ้ภูไหวไหล่
“ที่แปลกใจกว่าคือไม่คิดว่าแกจะยอมมา”อีกฝ่ายหัวเราะ เดินนำออกไปที่ลานจอดรถ อากาศด้านนอกค่อนข้างเย็น ท้องฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก ทำผมง่วงนอนมากกว่าเดิมอีก
“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวเด็กแถวนี้จะงอแง”ไอ้ภูเหลือบมองมาทางผม จะหาว่าผมงอแงล่ะสิ ไม่ได้งอแงสักหน่อย แค่หน้าบูดเพราะเหนื่อยๆเพลียๆอยากนอน ไอ้ตินก็ไม่อยู่ในอารมณ์สดชื่นเท่าไหร่ ระหว่างทางที่ไปบ้านพักย่านเมย์เฟร์ มันก็งีบหลับ หัวพิงไหล่ผมไปตลอดทาง ผมมองทิวทัศน์แปลกตานอกหน้าต่างไปเรื่อยๆ การจราจรค่อนข้างพลุกพล่าน เงียหูฟังบทสนทนาของไอ้ภูกับญาติมันไปด้วย ไม่พ้นเรื่องงานและแหล่งเที่ยวกลางคืน
“ภูมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วหรือยัง”
“มีแล้วครับ อยากจะขอแต่งงานเหมือนกัน แต่ฝ่ายนั้นคงไม่ยอม”ไอ้ภูเริ่มเพ้อเจ้อ
“หือ มีคนกล้าปฏิเสธแกด้วยเหรอ”จากที่ฟังการสนทนาของทั้งคู่ สองคนนี้คงไม่สนิทกันเท่าไหร่
“สงสัยผมยังดีไม่พอล่ะมั้ง”มันหัวเราะชื่นมื่น อารมณ์ดีอยู่คนเดียว ไอ้ตินขยับศีรษะไปมา ก่อนจะยืดตัวพิงเบาะรถ
“แกก็หัดทำตัวดีๆบ้างสิ อย่าสร้างเรื่องปวดหัวให้ลุงมาก”และไอ้ภูก็โดนบ่นยาวจนถึงอพาร์ทเม้นท์ที่หมาย ตามตรอกซอยไม่ค่อย
มีรถพลุกพล่านเท่าไหร่ สองข้างท้างเป็นอพาร์ทเม้นท์สามชั้นสไตล์อังกฤษทั่วไป ลักษณะเหมือนกันทั้งซอย ผมช่วยพวกมันขนกระเป๋าลงมาจากรถ ห้องของพี่ภักอยู่ที่ชั้นสอง เป็นห้องขนาดใหญ่ แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน ใช้โทนสีขาวทั้งหมด จากข้าวของเป็นระเบียบภายในห้อง ก็พอจะบอกนิสัยของผู้อยู่ได้ มองแต่ภายนอกไม่ได้จริงๆ ผมว่าไอ้พี่ภักนี่คงเจ้ากี้เจ้าการน่าดู
ผมเกลียดการวางข้าวของแบบเป๊ะเป็นสัดส่วนแบบนี้จริงๆครับ มันยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดชอบกล ไม่ใช่เพราะอยู่กับคนที่เพิ่งรู้จัก แต่เพราะห้องกว้างแต่เพดานเตี้ย ทำให้รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ดูไม่ปลอดโปร่งเท่าไหร่ ระเบียงหลังห้องมีพื้นที่เท่าแมวดิ้นตาย ปลูกต้นไม้เลื้อยๆที่ผมไม่รู้จัก แถมยังไปติดกับกำแพงของอพาร์ทเม้นท์หลังข้างๆอีก เหมือนถูกล้อมหน้าล้อมหลังไปด้วยกล่องอิฐ จู่ๆผมก็รู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมาตงิดๆ คิดถึงธรรมชาติบรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย อากาศที่นี่ก็ดี แต่เย็นจนผมปวดจมูกตุบๆ
“นอนห้องเดียวกันคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม คือพอดี--”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ สบายมาก”ไอ้ภูริบชิงพูดก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดยืดยาวกว่านี้ ผมเข้าเอาของไปเก็บ เป็นห้องนอนขนาดพอดี สังเกตุจากขวดน้ำหอมที่โต๊ะเครื่องแป้ง ห้องนี้ต้องเคยมีสาวมานอนก่อนแน่ๆ
“กูว่าแล้วเชียว พี่ภักของมึงเป็นแบบที่กูคิดจริงๆด้วย”ผมพูดเบาๆเมื่อไอ้ภูกับไอ้ตินเข้ามากันหมดแล้ว ทิ้งตัวบนเตียงสีครีมกลิ้งไปมาเหมือนคนบ้า ถึงบุคลิกจะดูสบายๆ แต่ข้าวของในการใช้ชีวิตประจำวันเป็นระเบียบขนาดนี้ก็บอกอะไรได้หลายอย่างแล้ว
“สองอาทิตย์ ทนๆไปเถอะ”ไอ้ภูทำหน้าเบื่อหน่ายเช่นกัน
“ผมมีเรื่องสงสัย…ตอนที่พูดเรื่องแฟน…คือพี่เขารู้ไหมว่าพี่ชอบ…”ไอ้ตินละไว้ในฐานที่รู้กันดีสามคน ไอ้ภูย่นคิ้วอย่างคิดหนัก
“กูไม่แน่ใจว่ะ ตอนแรกครอบครัวพี่ภักอยู่ที่เชียงใหม่ เพิ่งมารู้จักกันก็เมื่อหกปีก่อน ยังไม่ทันได้สนิทพี่เขาก็มาอยู่ที่ลอนดอนแล้ว
แถมนานๆทีจะกลับมาเยี่ยมบ้านอีก แต่ไม่แน่…อาจจะรู้ก็ได้ ญาติกูเขาชอบเม้าท์เรื่องนี้จะตาย”ไอ้ภูดูไม่ใส่ใจนัก
“แต่ถ้ายังไม่รู้ สงสัยงานนี้ได้สนุกแน่”ไอ้ตินหัวเราะอย่างนึกขำเมื่อนึกภาพว่าอีกฝ่ายจะทำสีหน้ายังไงถ้าหากรู้เรื่องนี้
“แล้วมึงจะเริ่มทำงานตอนไหน”
“ก็…คงอีกสองวันมั้ง”มันรื้อเสื้อไหมพรมแขนยาวออกมาเก็บเข้าตู้
“วันแรกพวกมึงต้องไปเพื่อนกู”มันทำเสียงบังคับ
“ไปได้ด้วยเหรอ”ไอ้ตินนั่งขัดสมาธิที่ปลายเตียง
“ได้…”มันตอบเสียงไม่แน่ใจนัก
“เหมือนเด็กเลยว่ะ ต้องมีคนไปเป็นเพื่อน”หาเรื่องล้อไอ้ภูเล่น ไอ้ภูอาจจะไม่ชินเพราะโรงงานประกอบรถยนต์ไม่ได้อยู่ในลอนดอน ต้องเดินทางไปเอง ไอ้ภูไม่ได้โต้ตอบอะไร มันจัดการเอาเสื้อของผมเก็บเข้าตู้ให้ด้วย ผมมองมันงงๆ อารมณ์ไหนของมันอีกเนี่ย
“มันเป็นอะไรของมันวะ”ผมกระซิบเบาๆกับไอ้ติน ท่าทางมันดูเงียบๆแปลกๆ
“คำพูดจี้ใจดำล่ะมั้ง”มันตอบกลับมาเบาๆ
“…ตอนที่กูมาคราวก่อน กูโคตรเหงาเลยว่ะ”จู่ๆมันก็พูดออกมาทำผมกับไอ้ตินเหวอเพราะตั้งตัวไม่ติด
“กูแค่พูดถึงเฉยๆ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น”มันส่ายหน้าไปมา ผมปรับอารมณ์ตามไอ้ภูไม่ทันเลย
ก็อก ก๊อก
“พี่เข้าไปนะ”พี่ภักส่งเสียงเข้ามาก่อนที่บานประตูจะเปิดออก ผ้าห่มกองโตอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่าย
“พี่กลัวว่าจะไม่พอ ไม่ลำบากแน่นะ ห้องออกจะแคบ ภูมานอนกับพี่ก็ได้นะ จะได้ไม่เบียดกัน”พี่ภักเสนอ
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ ห้องแคบกว่านี้ก็เคยนอนมาแล้ว นอนเบียดกันทุกวันนั่นแหละ”ไอ้ภูรีบตอบ
“นอนด้วยกันบ่อยเหรอ”พี่ภักทำหน้าแปลกใจ
“คือพวกเราไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆน่ะครับ”ไอ้ตินขยายความ
“อ้อ...พวกเราคงสนิทกันมากเลยล่ะสิ ดีแล้วล่ะ...”
“แล้ววันนี้พี่จะไปไหนต่อไหมครับ”ไอ้ภูแทรกก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอีกยืดยาว
“ก็กะจะเข้าไปที่โชว์รูมน่ะ ไปเช็คงานสักหน่อย”
“อ้อ…”
“จะแวะไปนั่งเล่นก็ได้นะ ถ้ายังไหวกัน แถวนั้นใกล้จุดเที่ยวเยอะเลย ขาดเหลืออะไรบอกพี่ได้ตลอด ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเราก็พี่น้องกัน พวกเราด้วยนะ”อีกฝ่ายหันมาหาผมกับไอ้ติน ก่อนจะออกไปจากห้อง ปิดประตูตามหลังเบาๆ พวกผมถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“อีกแค่สองอาทิตย์”ไอ้ภูพูดออกมาเหมือนย้ำกับตัวเอง เจอคนแบบพี่ภัก ไม่รู้ว่าผมหรือไอ้ภูจะสติแตกก่อนกัน
TBC.
มาแบบสั้นๆน้า พรุ่งนี้มีสอบ

คงว่างหลังวันที่10 อีกนิดเดียวเองงงง
ขอบคุณที่ติดตามค่าาา แล้วเจอกันใหม่
