สวัสดีค่ะ แวะเอาตอนที่ 3 มาฝากค่ะ ช่วงนี้งานยุ่ง ๆ แต่พยายามจะไม่ทิ้งไว้นานค่ะ
ขอบคุณมาก ๆ สำหรับความคิดเห็นนะคะ อ่านสนุกมาก ๆ ค่ะ ชอบจัง
ตอนที่แล้วชื่อตอนว่าอดีตที่หวนคืนก็จะรวมเรื่องราวในอดีตหลายเรื่องเอาไว้ไม่ใช่เฉพาะกับคุณหมอวรรษวรคนเดียว
ซึ่งถ้ายึดตามคำทำนายของซินแส อดีตที่หวนคืนก็ตีความได้หลายแบบค่ะ
ส่วนตอนที่ 3 นี้ก็จะเป็นความกลัวในหลายรูปแบบเหมือนกัน ลองอ่านดูนะคะ
ปล. ตอบคำถามเรื่องร้านไอติมลอยฟ้ากับหอยทอดค่ะ อยู่ที่ตลาดโต้รุ่งหน้าองค์พระปฐมเจดีย์นะคะ
ตอนที่ 3 กลัว
บ่ายวันอาทิตย์ของสัปดาห์ถัดมาอากู๋ขจรมีนัดกับลูกค้าคุยเรื่องแบบบ้านที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แทนที่บารมีจะติดสอยไปด้วยเหมือนเคยครั้งนี้เขากลับเลือกที่นอนเอกเขนกอ่านหลังสืออยู่กับบ้าน นั่นเพราะรู้ว่าหลังจากเสร็จธุระแล้วกู๋ขจรจะแวะไปดูเรือนหอที่กำลังสร้างกับว่าที่เจ้าสาวหลานชายตัวอย่างจึงไม่อยากตามไปขัดคอ
แดดยามบ่ายที่แผดแสงผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องทำให้ทันตแพทย์หนุ่มต้องลากเอาพัดลมทุกตัวที่มีอยู่ในบ้านมาเปิดเพื่อไล่ความร้อน ผมยาวละต้นคอถูกรวบตึงด้วยหนังยางเผยต้นคอขาวที่พราวไปด้วยเม็ดเหงื่อ พลิกตำราเล่มหนาออกอ่านได้ไม่กี่หน้าก็ต้องใช้หลังมือปาดหยาดน้ำที่ย้อยอยู่ข้างแก้ม กระทั่งไม่อาจทนต่ออุณหภูมิได้อีกต่อไปจึงลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์มือถือเดินไปหยุดยังริมหน้าต่าง ทอดตามองไปยังห้องแถวฝั่งตรงข้ามที่ดูเงียบเชียบ ตัดสินใจลากนิ้วเรียวลงบนหน้าจอสัมผัสก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูพลันเสียงรอสายของหมายเลขปลายทางก็ดังขึ้น
...ในบางเวลาที่เธอนั้นยิ้มเป็นสุข ฉันแอบเก็บความหวังไว้
เผื่อในวันนึงที่เธอนั้นพร้อมเข้าใจ ฉันอยากอธิบาย
ความทรงจำดี ๆ ที่ฉันมีอยู่ ล้วนมีเธอประกอบไว้
แต่ความเป็นจริงที่ฉันไม่พร้อมจะไป เริ่มสิ่งใหม่กับเธอ...‘เพลงโบราณจัง’
ทันตแพทย์หนุ่มอมยิ้มแต่ก็ยังเงี่ยหูฟังอยู่อย่างนั้น กระทั่งจบคนที่ปลายสายก็ยังไม่กดรับสักที บารมีจึงกดวางหย่อนโทรศัพท์คืนลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกจากห้องนอน จุดหมายคือร้านตัดผมบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เจ้าของตาสวยมองซ้ายมองขวาเห็นไม่มีรถผ่านมาจึงพาร่างผอมบางข้ามมาหยุดหน้าห้องแถวสองชั้นที่วันนี้ประตูเหล็กด้านหน้าถูกลากเข้าหากันแง้มช่องขนาดพอดีสำหรับคนเดินเข้าออกได้เท่านั้น ชายหนุ่มอาศัยความคุ้นเคยแทรกตัวผ่านช่องประตูเข้าไปด้านในกล่าวสวัสดีช่างปริญญาผู้เป็นเจ้าของร้านที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้ตัดผมจากนั้นจึงขอตัวเข้าไปทักทายภรรยาของเขาซึ่งกำลังง่วนอยู่กับงานในครัว
“มาหาลี้น้อยเหรอบะหมี่” เจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนเอ่ยขึ้น
“หมี่แวะมาให้ป๊าช่วยตัดผมให้น่ะครับ เมื่อกี้จะโทร.มาถามลี้น้อยว่าป๊าอยู่หรือเปล่าแต่ไม่เห็นรับสายหรือว่ากลับนครปฐมไปแล้วครับ”
“แม่ถามบอกจะกลับวันอังคารนะ เห็นว่าพรุ่งนี้ไม่มีเรียน เมื่อคืนก็นั่งทำงานส่งอาจารย์จนดึก สงสัยจะหลับละมั้ง ว่าแต่บะหมี่เถอะทานอะไรมาหรือยัง แม่ต้มจับฉ่ายเพิ่งเสร็จ ทานเสียหน่อยไหม”
“ไม่เป็นไรครับแม่ หมี่ทานข้าวกลางวันแล้ว เดี๋ยว...” ยังพูดไม่ทันจบเสียงหาวยาวเหยียดก็ทำเอาคนที่กำลังคุยกันอยู่พากันอมยิ้ม
“แม่คร้าบบบบ มีอะไรกินบ้าง” ชายหนุ่มผมเผ้ายุ่งเหยิงเอ่ยขึ้นทันทีที่โผล่หน้าเข้ามาในครัว
“มีต้มจับฉ่าย” พูดจบผู้เป็นแม่ก็หันไปเปิดฝาหม้อสแตนเลสใบใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเตา ตักต้มสารพัดผักที่ทำไว้ร้อน ๆ ใส่ลงในชาม เท่านั้นกลิ่นหอมก็คลุ้งไปทั่วบ้านจนคนเพิ่งตื่นนอนท้องร้องโครก
“เอาไข่เจียวด้วยไหม แม่จะทอดให้”
“เอาครับ” ปราณกล่าว เห็นว่าในครัวไม่ได้มีเฉพาะตนเองกับแม่ก็แปลกใจ “อ้าวเฮีย มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“จะมาให้ป๊าตัดผมให้น่ะ”
ลูกชายเจ้าของบ้านพยักหน้าก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำดื่มพลางมองดูแม่ที่กำลังตอกไข่ใส่ชาม
“ลี้น้อยไปสระผมให้เฮียหมี่สิ เดี๋ยวแม่จะทอดไข่ให้”
เจ้าของชื่อผงกหัวหงึก อาการง่วงเหงาหาวนอนที่ยังไม่อาจสลัดทิ้งได้ทำให้เขาเหมือนคนไม่ได้สติ ชายหนุ่มวางแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะเดินโงนเงนไปออกจากครัวเพื่อเตรียมผ้าขนหนูและน้ำยาสระผมรอลูกค้าคนสำคัญ ครู่หนึ่งเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังมาจากหลังบ้าน
“เฮีย! มาเร็ว ให้ว่อง ฮ้าวววววว!!!”
“อ้าปากกว้างะวังแมลงวันจะเข้าปาก” บารมีกล่าวขณะเดินมาหยุดที่เตียงสระผม “ตื่นหรือยังเนี่ย โทร.มาก็ไม่รับ ปล่อยให้ฟังเพลงอยู่ได้”
“ก็มันง่วงนี่เฮีย เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ตั้งตีสาม” พูดพลางจัดการสวมผ้ายางรองไหล่ให้ร่างเล็กที่กำลังเอนหลังลงมา
“งานเยอะเหรอ” บารมีเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาทอดมองที่ปลายเท้าของตนเอง ได้ยินเสียงเปิดฝักบัวพลันความเย็นของน้ำไหลรดลงบนศีรษะกระนั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงปลายนิ้วอุ่นที่แทรกลงมาในกลุ่มผม เพียงมือหนาออกแรงบวดนวดเบา ๆ กลิ่นน้ำยาสระผมก็ลอยวนอยู่ที่ปลายจมูก สบายเสียจนอยากจะวางเรื่องราวที่ทำให้ต้องหนักใจแล้วหลับตาลงปล่อยให้มือนั้นพาไปที่ไหนก็ได้แล้วแต่เขาจะพาไป
“อือ เยอะมากเลยเฮียปลายเทอมก็แบบนี้แหละ เดี๋ยวพอขึ้นปีสี่ก็ต้องหาที่ฝึกงานอีก”
“เร็วเหมือนกันเนอะ เผลอเดี๋ยวเดียวก็จะเรียนจบแล้ว” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวก่อนเงยหน้าขึ้นประสานดวงตาที่กำลังมองลงมาเช่นกัน
“ขอบคุณนะเฮีย”
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ช่วยพูดกับป๊าให้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมคงต้องไปเรียนวิศวะแน่ ๆ” พูดจบก็เปิดน้ำจากฝักบัวล้างฟองออกจากเส้นผมหนานุ่มมือ “หลับตานะเฮีย เดี๋ยวฟองเข้าตา”
บารมีหลับตาลงอย่างว่าง่าย จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่อีกฝ่ายสระผมให้มันเมื่อไรกัน แต่ที่รู้ก็คือไม่ว่าครั้งไหนปราณก็ยังคงทำด้วยความเบามือไม่มีเปลี่ยน ได้ยินเสียงผิวปากดังหวีดหวิวอยู่ไม่ห่างหูซึ่งก็เป็นทำนองเพลงเดียวกันกับที่เขาได้ฟังจากโทรศัพท์เมื่อสักพักใหญ่ ๆ ที่ผ่านมา
...
หลังจากสระผมให้บารมีแล้วปราณก็เดินกลับเข้ามาในครัว มองไปยังโต๊ะอาหารเล็ก ๆ ที่ปกติจะนั่งกันสามคนพ่อแม่ลูกก็เห็นมีกับข้าวที่เขาชอบและข้าวสวยร้อน ๆ ซึ่งแม่ตักไว้รอ ชายหนุ่มนั่งลงรีบหยิบช้อนแบ่งไข่เจียวสีเหลืองทองใส่ในจานของตัวเองจากนั้นก็ใช้ส้อมเขี่ยข้าวขึ้นโปะแล้วจึงส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ จนแม่ที่ยืนดูอยู่ตั้งแต่แรกอดห่วงไม่ได้ว่าจะติดคอจนต้องรินน้ำเตรียมไว้ใกล้มือ
“กินช้า ๆ สิลูก เดี๋ยวติดคอกันพอดี ทำอะไรไม่เรียบร้อยเลย” เธอกล่าวก่อนจะละสายตาจากลูกชายมองผ่อนช่องประตูไปยังคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไฮดรอลิกหน้ากระจกบานใหญ่ “ทำไมไม่เอาอย่างเฮียบะหมี่เขาบ้างนะลูกนี่”
“โธ่...มันคนละคนกันนะแม่ ให้ลี้ทำตัวนิ่ง ๆ แบบเฮีย ใครทำอะไรก็ไม่โกรธ เอาแต่ยิ้มรับ วัน ๆ เอาแต่อ่านหนังสือ พอดีหลับ ลิงหลับน่ะแม่เคยได้ยินไหม” ปราณพูดขึ้นทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก นึกขำในใจที่ใคร ๆ ก็พากันพูดถึงพี่ชายบ้านตรงข้ามของเขาว่าเป็นคนสุขุมบ้างละ เรียบร้อยบ้างละ จริง ๆ แล้วบารมีคนนี้ก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ ที่มีหลากหลายความรู้สึก ชอบกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด ขี้บ่นยังกับผู้หญิง เวลาทำผิดทีไรก็มักจะบ่นจนหูชายิ่งกว่าแม่เสียอีก เกิดโมโหจัด ๆ ขึ้นมาเมื่อไรละก็หน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ที่ไหนไม่มีเกรงใจทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้เห็นง่าย ๆ นักหรอกเวลาเฮียหมี่โกรธ เพราะถ้าใครทำให้เฮียแกโกรธได้แสดงว่าคนนั้นดวงซวยจริง ๆ
กินฝีมือแม่จนพุงกางปราณก็จัดการล้างจานชามเก็บคว่ำจนเสร็จ เมื่อหันกลับมาก็พบว่าดวงตาแสนอ่อนโยนยังคงจับจ้องไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งนิ่งให้ป๊าของเขาช่วยเสริมหล่อให้ ไม่นานผมที่เคยละลูกตาและเคลียอยู่กับต้นคอก็ถูกตัดออกปล่อยลงกองกับพื้น ที่ยังดูขัดกับบุคลิกก็คงเป็นหนวดเคราที่ขึ้นครึ้มอยู่เหนือริมฝีปาก เห็นแล้วก็อดหวนนึกถึงหนุ่มน้อยที่ได้พบกันครั้งแรกไม่ได้
“นี่ถ้าโกนหนวดเสียหน่อยจะน่ารักลูกว่าไหม”
ผู้เป็นแม่หันมาถามความเห็นแต่ลูกชายกลับเสมองไปทางอื่นพลางเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเร็วรัวจนเกือบจะเท่าจังหวะการเต้นของหัวใจในขณะนี้ ในที่สุดคำพูดชื่นชมที่ยังดังไม่ขาดปากก็ทำให้ปราณอดรนทนไม่ไหวต้องแอบช้อนตาขึ้นมองข้ามบ่าเล็กไปยังเงาสะท้อนบนกระจกบานใหญ่ เห็นผมเผ้ารกรุงรังถูกตัดแต่งเป็นรองทรงสูงเปิดหน้าผากเผยแผงคิ้วหนา และป๊าก็กำลังใช้แปรงขนสัตว์แตะครีมโกนหนวดป้ายที่เหนือริมฝีปากสีเรื่อก่อนจะย้ายมาละเลงบนสันกรามข้างหนึ่งแล้วลากไปยังอีกข้างหนึ่ง จากนั้นจึงใช้ใบมีดอย่างดีค่อย ๆ โกนออก ไม่กี่อึดใจหนวดครึ้มที่บดบังใบหน้าก็ถูกกำจัดจนหมด มองปากนิดจมูกหน่อยแล้วรู้สึกว่า ‘น่ารัก’ ไม่ผิดจากที่แม่พูดเลยสักนิด จู่ ๆ ไอร้อนก็เห่อขึ้นที่ข้างแก้มอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยจนต้องหันกลับมาก้มมองแม่ที่ลุกขึ้นเดินไปยกตะกร้าผลไม้มาวางบนโต๊ะ
“ป๊าเขาชอบเด็กผู้หญิง” ผู้เป็นแม่เริ่มพูดถึงความหลังพร้อมกับจรดคมมีดลงบนเปลือกหนาของส้มผลโต “เจอบะหมี่ครั้งแรกตอนที่แม่เขาพามาเยี่ยมอากู๋ขจร ตอนนั้นแม่กำลังตั้งท้องลูก ป๊าแกบอกว่าเห็นบะหมี่แล้วชอบ เป็นเด็กผู้ชายแต่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักยังกับเด็กผู้หญิง”
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าป๊าอยากได้ลูกสาวน่ะสิแม่”
คนเป็นแม่ดึงสายตากลับพลางพยักหน้า ทำเอาความหม่นหมองปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้เป็นลูกชายทันที
“แล้วผิดหวังไหมตอนที่รู้ว่าได้ลูกชาย”
“ไม่เลย ป๊าบอกว่าจะลูกสาวหรือลูกชายก็รักทั้งนั้น”
คนฟังกำมือแน่นรู้ดีว่าสิ่งที่ผู้ให้กำเนิดกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริง แม้ครอบครัวจะไม่ได้ร่ำรวยนักแต่ที่ผ่านมาพ่อกับแม่ดูแลเอาใจใส่จนเขาไม่รู้สึกว่าขาดอะไร มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ยังคงค้างคาใจ ลูกชายเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นแม่อีกครั้งก่อนจะตัดสินใจถามคำถามที่เขาเก็บงำเอาไว้ภายในใจมาหลายปี
“แล้วที่ลี้เรียนวาดรูปล่ะแม่ ป๊ากับแม่ผิดหวังไหม”
แม่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอื้อมมือแตะที่ข้างแก้มลูกชาย “ก็อย่างที่ลูกรู้ ตอนแรกป๊าไม่ค่อยชอบใจเท่าไร แต่พอได้คุยกับบะหมี่ป๊าก็เปลี่ยนความคิดไปเลย ลูกรู้ไหมว่าบะหมี่บอกป๊าว่ายังไง”
ปราณมองผู้หญิงที่เขารักที่สุดอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก สิ่งที่เขารู้ก็คือบารมีช่วยพูดกับป๊าให้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยเล่าให้ฟังเลยว่าพูดอะไรกันบ้าง
“บะหมี่บอกว่าจริง ๆ เขาอยากเรียนจิตวิทยา อยากเข้าใจคนอื่น อยากช่วยคนที่มีปัญหาทางจิตใจ แต่ที่เลือกเรียนทันตแพทย์บะหมี่บอกว่าถ้าเป็นหมอฟันได้เหมือนกับพ่อ พ่อก็คงจะภูมิใจ แต่ลูกก็เห็นแล้วว่าคุณหมอบวรเขารู้สึกกับบะหมี่ยังไง” ผู้เป็นแม่เลือกที่จะกล่าวเพียงแค่นั้นก่อนจะวกกลับมาเรื่องเดิม “บะหมี่เล่าให้ป๊าฟังว่าพอเข้าไปเรียนถึงรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายเลย บางครั้งก็เหนื่อยจนอยากจะร้องไห้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ล้มเพราะทำในสิ่งที่ตัวเองรักมันยังพอจะมีกำลังใจให้ลุกขึ้นก้าวต่ออยู่บ้าง”
คนฟังน้ำตาแทบร่วง ไม่ใช่เพราะได้ยินว่าอีกฝ่ายทำอะไรให้ตนบ้างหากแต่เป็นเพราะสะเทือนใจที่ได้รับรู้ว่าคนที่มักยิ้มให้กับทุกสถานการณ์ก็มีเรื่องราวสาหัสเก็บซ่อนไว้ในภายใจเหมือนกัน ชายหนุ่มเดินออกครัวมองไปยังผนังด้านหนึ่งที่ป๊าของเขาเพิ่งปลดรูปลงมาเช็ดทำความสะอาดเมื่อสัปดาห์ก่อน และเขาก็เป็นคนอาสาปีนขึ้นไปติดมันไว้เหมือนเดิม ตอนนั้นนึกสงสัยว่าทำไมป๊าจึงให้ติดเบียด ๆ กันเพื่อจะได้มีพื้นที่เหลือ กระทั่งถามไปถามมาผู้เป็นพ่อก็อ้อมแอ้มตอบว่าเว้นเอาไว้รอรูปลูกชายในวันรับพระราชทานปริญญาบัตรทั้งที่อีกเป็นปีกว่าเวลานั้นจะมาถึง ปราณฟังแล้วยังอดหัวเราะในอาการขี้เห่อของช่างตัดผมประจำตัวของเขาไม่ได้
ในจำนวนภาพที่เรียงรายอยู่บนผนังสีหม่นนั้นมีภาพในวันรับพระราชทานปริญญาบัตรของบารมีรวมอยู่ด้วย ภาพนั้นประกอบด้วยญาติ ๆ ที่ไปร่วมแสดงความยินดีซึ่งก็คืออากู๋ขจร ป๊ากับแม่และตัวเขาเอง แม้จะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแต่มันกลับเป็นภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นที่สุดจนป๊าต้องเอามาใส่กรอบแล้วติดโชว์ หลายต่อหลายครั้งที่ลูกค้าหน้าใหม่มักเข้าใจผิดว่านั่นคือภาพของลูกชายคนโตของป๊า ซึ่งป๊าก็ทำเออออห่อหมกไปกับเขาด้วย
ปราณกัดปากแน่นหวังจะกลั้นไม่ให้น้ำใสล้นออกจากสองตา แต่ทว่ามันยากเหลือเกิน ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาเดินเงียบ ๆ ขึ้นบันไดพลางนึกถึงคำที่แม่พูด
‘ถ้าเป็นหมอฟันเหมือนพ่อแล้วพ่อจะภูมิใจ’ อยากจะหัวเราะดัง ๆ ให้กับประโยคนั้น ไม่รู้ว่าทันตแพทย์บวรจะรู้สึกภูมิใจขนาดไหนกัน ในงานสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกชายคนเดียวถึงได้ไร้ซึ่งเงาของเขา
เจ้าของร่างสูงผลักประตูเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง นึกถึงชายวัยกลางคนที่ไม่ยอมให้ลูกชายใช้นามสกุลเดียวกันซ้ำยังบังคับให้เรียกตนเองต่อหน้าคนอื่นว่าอาจารย์หมอแล้วรู้สึกเจ็บใจแทนนัก
‘ฉันอายที่แกเป็นแบบนี้ เป็นผู้ชายแต่กลับทำตัวตุ้งติ้งอ่อนแอเหมือนผู้หญิง’ นั่นคือคำพูดที่ออกจากปากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้าในวันที่บารมีหอบเอาชุดครุยไปยืนรอขอถ่ายรูปด้วยที่หน้าตึกคณะในมหาวิทยาลัยที่คุณหมอบวรเป็นอาจารย์พิเศษอยู่
มือหนาที่กำผู้ปูที่นอนแน่นคลายออกก่อนจะยกขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง วินาทีนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนจะแง้มออกตามด้วยใบหน้ากลี้ยงเกลาของใครบางคนที่โผล่เข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม
“เข้าไปได้ไหม”
“ด...ได้ ได้สิ” ปราณกล่าวเสียงขึ้นจมูก คว้าหนังสือที่วางอยู่หัวเตียงมาเปิดอ่าน “เฮียมีอะไรหรือเปล่า”
“เมื่อกี้เห็นหน้าเครียด ๆ ก็เลยขึ้นมาดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า” พูดจบบารมีก็นั่งลงข้าง ๆ และถามคำเดิมซ้ำ “ว่าไง เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่านี่”
“จะเชื่อได้ไหม หน้าตามันฟ้องออกอย่างนี้” กล่าวพลางดึงหนังสือจากมือคนที่พยายามปิดบังคราบน้ำตามาวางไว้บนตัก ทำเหมือนที่เคยทำเมื่อครั้งที่สองคนยังเป็นเด็ก “ไหน...บอกเฮียซิ ลี้น้อยเป็นอะไร”
ปราณเงยหน้าขึ้นสบตา ในวินาทีที่คำพูดแฝงความห่วงใยนั้นหลุดออกจากปากของคนตรงหน้าก็รู้ว่าตนเองไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป ร่างใหญ่โผเข้าหาพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่เล็กจนบารมีเองแทบตั้งตัวไม่ทัน แต่สุดท้ายมือบางยกขึ้นก่อนจะลูบลงเบา ๆ บนแผ่นหลังกว้าง
“เป็นอะไรไป เล่าให้ฟังได้ไหม”
คำถามนั้นทำคนฟังต้องพยายามกลั้นสะอื้นจนร่างไหวสั่นสะท้าน อดคิดไม่ได้ว่าทำไมคนในอ้อมแขนนี้จึงได้เก่งเหลือเกินที่สามารถสะกดความรู้สึกของตัวเองได้ทั้งที่ในใจทุกข์หนักแต่กลับห่วงใจใส่ใจคนอื่นไปเสียหมด
“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“คิดอะไรถึงทำให้ต้องร้องไห้แบบนี้บอกซิ”
“ค...คิด คิดว่าป๊ากับแม่จะอายคนอื่นไหมเวลาที่ต้องตอบคำถามใคร ๆ ว่าลี้เรียนอะไร เรียนจบแล้วจะไปทำงานอะไร” ปราณกล่าว แต่ในใจกลับพูดคำ ‘ขอโทษ’ เป็นร้อยหนที่ต้องโกหก
“โธ่...เรื่องแค่นี้เองทำร้องไห้เป็นเด็ก ๆ ไปได้”
“ม...ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” คนพูดผละออกรีบเช็ดน้ำหูน้ำตา ปากก็ยังโต้เถียง “โตแล้ว”
บารมียิ้มพลางโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อได้ฟัง เห็นมีแต่เขาอยากจะหวนวันเวลาเพื่อคืนสู่วัยเด็กกันทั้งนั้น แต่น้องชายบ้านตรงข้ามคนนี้กลับอยากโตเป็นผู้ใหญ่ จะรู้ไหมหนอว่าการเป็นผู้ใหญ่นั้นมันยากและเหนื่อยขนาดไหน
“ทำไมถึงอยากโตเป็นผู้ใหญ่นัก มันไม่ได้สนุกอย่างที่คิดหรอกนะ แกรู้ไหมว่าฉันน่ะอยากให้แกตัวเล็ก ๆ เป็นเด็กผู้ชายแก้มยุ้ยเหมือนกับที่เราพบกันครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ ไม่อยากให้โตเลย”
“เป็นผู้ใหญ่จะได้ไม่ถูกใครรังแก”
“หรืออาจจะโดนรังแกจนไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นมาวิ่งเล่น ยิ้ม หรือหัวเราะเลยก็ได้นะ” บารมีกล่าวพร้อมกับแตะมือลงข้างแก้มที่ยังคงชื้นด้วยคราบของความเสียใจ ใช้นิ้วหัวแม่มือซับหยาดน้ำที่ยังคงค้างอยู่ใต้ดวงตาให้
ปราณสบตาคู่สวยที่กำลังมองมาก่อนจะรั้งข้อมือเล็กวางบนตัก ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะต้องพูดมันออกไป “โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะได้ปกป้องคนที่เรา...ร...รัก” ท้ายประโยคนั้นราวกับสายลมในความเวิ้งว้างว่างเปล่าแผ่วเบาจนแทบไม่มีเสียง
“ถ้าป๊ากับแม่ได้ยินคงชื่นใจนะที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคิดได้แบบนี้” เจ้าของร่างเล็กกล่าวพลางยกมือขึ้นวางบนบ่ากว้าของคนตรงหน้าพร้อมกับบีบเบา ๆ “ฉันเชื่อว่าเขาต้องภูมิใจในตัวแก ไม่ว่าแกจะเป็นอะไร”
‘ม...ไม่ใช่ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น’
นึกอยากจะเถียง แต่ที่สุดแล้วก็จำต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอเพราะ...กลัว
...
...ก็เป็นเพราะกลัวไม่เป็นเหมือนวันก่อน กลัวไม่เป็นอย่างใจหวัง
เก็บส่วนลึกของใจไว้ห่าง ไม่คู่ควรกับใคร
มันคงจะดีที่เราก็ยังได้เจอ แลกเปลี่ยนผ่านความห่วงใย
ส่วนใจตัวเองก็ยังไม่เคยเข้าใจ เริ่มอะไรไม่เป็น...นิ้วหนากดแป้นพิมพ์เพิ่มความดังจนเสียงเพลงรอดผ่านหูฟังแบบครอบศีรษะ ปล่อยให้คำร้องและทำนองก้องอยู่ในโสตประสาทดีกว่าต้องฟังเสียงก่นด่าตัวเองที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะเผยความรู้สึกภายในใจออกมาได้
‘คงจริง...ที่เขาว่ากันว่า เพลงมักจะบอกอารมณ์ของคนฟัง ณ ขณะนั้น’ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังประโยคหนึ่งซึ่งถูกพิมพ์ค้างไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ความกลัวทำให้เขาต้องอาศัยไดอารี่เป็นเพื่อนคุยยามที่ไม่สามารถระบายความรู้สึกให้ใครฟังได้ แม้แต่ชายหนุ่มบ้านตรงข้ามที่เขายกให้เป็นพี่ชายที่สนิทที่สุด แต่นั่นมันเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันเปลี่ยนไปแล้ว
ปราณดึงหูฟังออกจากหูก่อนจะผุดลุกขึ้นเดินออกจากห้องนอน คว้ากุญแจเปิดประตูบ้านก่อนจะเดินไปตามถนนสายเล็ก ๆ ที่วิ่งเล่นมาแต่เด็ก อาศัยแสงจากเสาไฟฟ้าเป็นเพื่อนเดินทางในยามที่เพื่อนบ้านต่างก็พากันปิดไฟเข้านอนกันหมด ในใจยังคงครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ลูกชายเจ้าของร้านตัดผมหายไปจากบ้านพักใหญ่ก็กลับมาพร้อมกับถุงปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้ในมือ หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากดส่งข้อความขณะหยุดที่กลางถนนมองขึ้นไปยังห้องนอนบ้านฝั่งตรงข้ามที่ยังคงเปิดไฟสว่าง
ไม่นานก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ด้านใน เสียงไขกุญแจดังขึ้นก่อนที่ประตูบานเฟี้ยมจะแง้มออก ปราณเลื่อนตาขึ้นจากถุงในมือสบตาหลานชายเจ้าของบ้าน เพิ่งได้เห็นหน้าเขาชัด ๆ แบบที่ไม่มีม่านน้ำตามาบดบัง ใบหน้าที่มองที่ไรก็ไม่เบื่อสักที ดวงตาคู่งามใต้แผงคิ้วเรียงเส้นกำลังมองประสานมา แสดงออกชัดเจนว่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่พบตนเองยืนอยู่ตรงนี้ในเวลานี้
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาฝาก”
“ขอบใจนะ” บารมียิ้ม รับถุงที่อีกฝ่ายส่งให้ “แล้วทำไมไม่ใส่ถังมา”
“พอดียังไม่ได้เข้าบ้าน เห็นไฟห้องเฮียเปิดอยู่ก็เลยแวะให้”
เจ้าของคำถามพยักหน้าพลางมองคนตัวสูงที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าด้วยแววตาสงสัย “มีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีฉันจะเข้าบ้านแล้ว”
“ค...คือว่า...”
“หืม? มีอะไร”
“คือ...”
“ว่าไง มีอะไรก็พูดมาสิ อ้ำอึ้งอยู่ได้”
“คือ...ผ...ผม...” ปราณถอนใจเฮือกก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “อยากจะขอบคุณน่ะ”
“เรื่องอะไร”
“หลาย ๆ เรื่อง แล้วก็...ขอโทษนะที่คงเป็นน้องชาย...ตัวเล็ก ๆ ของเฮียไม่ได้” ประโยคหลังเร็วรัวจนแทบจะฟังไม่ทัน ซ้ำทำเอาคนฟังข้องใจหนัก
“หมายความว่ายังไง”
“ก็เพราะ...เพราะผมตัวใหญ่แล้วน่ะสิ จะให้เป็นน้องชายตัวเล็ก ๆ ของเฮียได้ยังไงกัน” ปราณหัวเราะแห้ง ๆ สุดท้ายก็ต้องทำตลกกลบเกลื่อน
...
(มีต่อค่ะ)