พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-08-2015 05:07:56

หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-08-2015 05:07:56
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (เกริ่น) 23-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-08-2015 05:08:29
ในอ้อมกอดของสายลม


เรื่องย่อ : "บารมี" ทันตแพทย์หนุ่มผู้ไม่เคยได้รับความรักที่แท้จริงจากใคร กระนั้นเขาก็ยังไม่หยุดที่จะค้นหา แต่ยิ่งหา ยิ่งห่าง ยิ่งไม่เห็น คนที่ผ่านเข้ามาก็เหมือนกับสายลมที่พัดมาผ่านเลยไป ไม่มีใครที่จะอยู่เป็นลมหายใจของกันและกัน


เรื่องอื่น ๆ (http://bit.ly/2etBTpw)


สารบัญ

เกริ่น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48455.msg3160621#msg3160621)
ตอนที่ 1 คำทำนาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48455.msg3162475#msg3162475)
ตอนที่ 2 อดีตที่หวนคืน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48455.msg3166822#msg3166822)
ตอนที่ 3 กลัว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48455.msg3169072#msg3169072)
ตอนที่ 4 ความจริงที่เจ็บปวด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48455.msg3173524#msg3173524)
ตอนที่ 5 ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48455.msg3181940#msg3181940)
ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48455.msg3182824#msg3182824)

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (เกริ่น) 23-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-08-2015 05:15:55
เกริ่น



ย่านคนจีนใจกลางมหานครใหญ่กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งเมื่อแสงสุดท้ายของวันถูกแทนที่ด้วยความมืด ร้านค้าริมทางที่ทยอยกันตั้งโต๊ะตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นบัดนี้เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวที่เพิ่งกลับจากทำงาน ต่างคนต่างเลือกหาอาหารคาวหวานรับประทานกันตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นผัดไทย หอยทอด ก๋วยเตี๋ยวหรือขนมไทยก็หากินได้ง่าย ๆ อิ่มแปล้กลับบ้านกันถ้วนหน้า นอกจากเสียงตะหลิวกระทบกับผิวกระทะและกลิ่นเครื่องเทศที่ผ่านการคัดสรรแล้ว ลีลาการเรียกลูกค้ายังเป็นอีกกลยุทธ์ที่บรรดาเจ้าของร้านต่างงัดขึ้นมาแข่งกันซึ่งก็ช่วยสร้างความน่าสนใจแก่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี


“กินเสร็จ แล้วไปดูดวงกันนะตี๋” เจ้าของร่างผอมสูงกล่าวพร้อมใช้ปลายนิ้วไล้เหนือริมฝีปากซึ่งครึ้มด้วยไรหนวดพลางมองคนหิวโซที่กำลังเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ย


หน้าจืดซีดจนเห็นเส้นเลือดเงยขึ้นมองตาขุ่น ฝืนกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงคอแต่ก็ดูยากลำบากจนนั่งฝั่งตรงข้ามต้องรีบเลื่อนแก้วน้ำให้ หนุ่มไทยเชื้อสายจีนไม่รอช้ารีบวางช้อนพลางใช้หลอดคนของเหลวในแก้วแสตนเลส จากนั้นจึงยกขึ้นดูดรวดเดียวหมดก่อนจะจัดการพับแขนเสื้อเชิ้ตที่เป็นอุปสรรคต่อการกินในขณะที่ปากก็ถามคำถามซึ่งก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับคำตอบที่จะได้รับนัก


“สองเดือนนี้ดูไปกี่รอบแล้ว ไม่เข้าใจเฮียเลยว่ะว่าจะดูให้มันได้อะไรขึ้นมา”


เขาคือ ‘ปราณ’ นักศึกษาชั้นปีที่สามของคณะมัณฑนศิลป์ ผู้มีความสุขกับการใช้ชีวิตและการจดจำเรื่องราวในแต่ละวัน ส่วนที่นั่งหน้าง้ำอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเพราะโดนจี้ใจดำก็คือ ‘บารมี’ ทันตแพทย์หนุ่มวัยยี่สิบหก ผู้ที่เชื่อเหลือเกินว่าคนเราเกิดมาเพื่อตามหารักแท้ แม้จะยังไม่เจอเลยสักครั้งแต่เขาก็ยังไม่หมดกำลังที่จะตามหา...


“แต่ซินแสคนนี้น่ะ เจ๊กิมลั้งที่ขายดอกไม้อยู่ในตลาดบอกว่าดูดวงแม่นมากนะแก”


“เมื่อต้นปีที่ไปดูตรงถนนมังกรก็เห็นเฮียพูดแบบนี้ ซินแสบอกว่าจะได้เปลี่ยนที่ทำงาน นี่จะปลายปีแล้วเห็นยังไม่เห็นได้ไปไหน” ปราณมองคนอายุมากกว่าพร้อมกับส่ายหัวหน่าย ๆ ดวงตาที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวเรียงเส้นสวยค้อนขวับให้รู้ว่ากำลังไม่ชอบใจในคำที่เขาเพิ่งพูดจบลงไปสักเท่าไร กิริยาท่าทางที่เฉียดใกล้ความเป็นผู้หญิงเช่นนี้ให้นึกอยากจะเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เจ้’ อยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อเผลอหลุดเรียกไปทีไรก็เป็นอันต้องเจ็บตัวทุกที


“ก็แม่นนะโว้ย อย่างน้อยก็เปลี่ยนจากตึกเก่า ๆ ไปอยู่ตึกใหม่”


“ถุย!!! แค่นี้ทำคุย”


แทนที่บารมีจะใส่ใจคำพูดนั้น เขากลับทอดสายตามองไปยังผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่อยู่ริมถนนราวกับหวังว่าจะพบใครสักคนที่รู้จัก “คราวก่อนมัวแต่ถามเรื่องงาน ยังไม่ได้ถามเรื่องความรักเลย”


“โธ่...ของแบบนี้มันต้องใช้เวลานะจ...เจ้...”


“ไอ้ตี๋! ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้!” ปลายนิ้วเรียวชี้ที่หน้าของคนกำลังอ้าปากค้าง “บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกแบบนี้”


“ขอโทษ ๆ” ปราณลากเสียงพร้อมกับยกมือขึ้นตีปากตัวเองซ้ำ ๆ “นี่แน่ะ! ทีหลังอย่าเรียกแบบนี้รู้ไหม เฮียหมี่ไม่ชอบ นี่แน่ะ! ตบให้เลือดกลบปากไปเลย นี่แน่ะ!”


เจ้าของชื่อมุ่นคิ้ว ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ออกจากปากของคนตรงหน้านั้นจะเรียกว่าการสำนึกผิดได้หรือไม่กระนั้นก็ยังรั้งข้อมืออีกฝ่ายให้หยุดพร้อมกับกล่าวเบา ๆ


“พอแล้ว”


“นึกว่าจะปล่อยให้ตบจนเลือดออกเสียอีก”


“ฉันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น” บารมีกล่าวพลางชะเง้อมองอาแปะเจ้าของร้านบะหมี่รถเข็นที่กำลังง่วนอยู่กับการลวกเส้นมือเป็นระวิง รอว่าเมื่อไรจะถึงคิวของตนเองสักที


“ความรักก็เหมือนบะหมี่นะเฮีย ต้องใช้เวลาลวกเส้น ต้องพิถีพิถันในการปรุง มันถึงจะออกมาอร่อยสมกับที่เฮียหิ้วท้องรอ”


“เมื่อกี้ฉันสั่งเกี๊ยวน้ำว่ะ”


เจ้าของทฤษฎีนิ่วหน้า “เออนั่นแหละ เหมือนกัน เกี๊ยวก็ต้องลวก”


“แต่ถ้ารู้ล่วงหน้าได้มันก็ดีไม่ใช่หรือไง” คนพูดดึงสายตากลับไม่รอให้ถูกเถียง “แกไม่ต้องพูดมาก แค่ไปเป็นเพื่อนฉันก็พอ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง กิน ๆ เข้าไป”


“อย่างนี้ทุกที ชอบเอาของฟรีมาล่อ”


“หรือแกจะจ่ายเองแล้วไม่ต้องไปด้วยกันก็ได้นะ” ทันตแพทย์หนุ่มวางหน้านิ่งเทน้ำสีดำที่เหลืออยู่ครึ่งขวดลงในแก้วของคู่สนทนาก่อนจะหยิบกาอะลูมิเนียมรินน้ำชาลงในแก้วของตนเองบ้าง


“อ้าว...อะไรวะ เฮียไปลากผมมาจากบ้านนะเนี่ย กระเป๋าตงกระเป๋าตังค์ก็ไม่ได้เอามา จะให้เอาเงินที่ไหนจ่ายค่าข้าวล่ะ”


น้ำเสียงค่อนขอดทำเอาคนฟังอดยิ้มไม่ได้ ยกมือขาวขึ้นเท้าคางมองก่อนจะอาศัยความได้เปรียบถามกลับ “แล้วจะเอายังไง”


ปราณขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด พองแก้มซ้ายทีขวาทีในที่สุดก็ถอนใจเฮือก เมื่อถึงคราวต้องเลือกก็คงต้องเลือก ศักดิ์ศรีมีกันทุกคน


แต่เงิน...วันนี้ไม่มี!


“เห็นว่าเป็นพี่หรอกนะ จะยอมไปเป็นเพื่อนอีกสักครั้งก็แล้วกัน” ชายหนุ่มพึมพำขณะตักข้าวเข้าปาก


“ก็แค่นั้น ทำลีลาอยู่ได้”


แม้อยากจะเถียงสักเพียงไหนแต่ปราณก็ต้องทำสงบเสงี่ยมเจียมตัวเพราะไม่มีเงินติดตัว จำต้องยอมรับชะตากรรมก้มหน้าก้มตาจัดการกับกะเพราไข่ดาวของโปรดต่อไป


“มาเลี้ยว ๆ” ชายชราร่างผอมสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นสีเข้มร้องขึ้นขณะยกเกี๊ยวน้ำชามใหญ่มาวางลงบนโต๊ะ “โทษทีนะอาหมอ ปล่อยให้ลื้อรอนานเลย”


“ไม่เป็นไรครับแปะ” บารมีกล่าวพร้อมกับส่งยิ้มให้เจ้าของร้านบะหมี่รถเข็นที่เขากินมาตั้งแต่สมัยที่ย้ายเข้ามาเรียนชั้นมัธยมในกรุงเทพฯ ใหม่ ๆ กระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยได้งานทำเป็นหลักเป็นแหล่งแล้วก็ยังติดใจฝีมืออาแปะจนไม่ยอมเปลี่ยนไปกินร้านอื่น 


“ทีหลังก็มาตรง ๆ สิแปะ มาเลี้ยว ๆ ก็ไม่ถึงกันสักที อาคุณหมออีรอเหงือกแห้งกันพอลี”   


“ไอ้ตี๋!!!” สิ้นเสียงนั้นมือที่มักจะนุ่มนวลยามเมื่อจับอุปกรณ์ทำฟันก็ฟาดเข้าตรงกลางหน้าผากเนียนแบบเน้น ๆ จนคนเจ็บร้องโวยวาย


“ลามปามใหญ่แล้ว” บารมีส่งสายตาดุ ๆ ก่อนจะหันไปถามคนยืนรอ “เท่าไรครับแปะ”


“สี่สิบบาทเหมือนเดิมอาหมอ”


“นี่ครับ” พูดจบก็ส่งเงินจำนวนพอดีให้ รอกระทั่งอาแปะหันหลังให้จึงก้มลงมองเกี๊ยวน้ำในชามที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุยเตะจมูก ควันสีขาวจาง ๆ ที่ลอยอวลอยู่เหนือน้ำซุปใสชวนให้อดคิดไม่ได้ว่ามันน่าจะร้อนเอาเรื่อง แต่อาแปะกลับยกมาด้วยมือเปล่า วันเวลาคงทำให้ความอดทนคงกลายเป็นความเคยชินไปแล้วกระมัง   


“ดูแปะซิ ยังไม่ว่าอะไรสักคำ แปะน่ะใจดีจะตาย” ปราณเอ่ยขึ้นขณะที่สายตายังคงตามติดร่างผอมที่กำลังเดินกลับไปประจำหน้าหม้อก๋วยเตี๋ยว ไม่วายตะโกนตามหลังเพื่อขอกำลังเสริม “จริงไหมแปะ!”


เมื่อฟังชายชราก็หันมายิ้มให้ตามประสาคนอารมณ์ดีพร้อมกับร้องตอบ “ลื้อสิตาย! รอเดี๋ยว ๆ อาลี้น้อย อั๊วะกลับมาเอามีด!!!”
สิ้นเสียงเจ้าของรถเข็นบารมีก็หัวเราะพรืด มองชายหนุ่มที่ยิ้มกว้างอยู่ได้เพียงไม่กี่อึดใจแล้วแสร้งส่ายหน้าหน่าย ๆ พอถูกสวนกลับเข้าหน่อยก็ถึงกับทำหน้ายู่


“สมน้ำหน้า ปากหมาจนได้เรื่อง”


“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเต็ม แปะนี่จำไม่ได้สักที”พูดพลางขยี้หัวตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์  นั่นเพราะ ‘ลี้น้อย’ คือชื่อที่อาป๊าใช้เรียกเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วยความที่ชอบอ่านนิยายจีนกำลังภายในโดยเฉพาะฤทธิ์มีดสั้น ผู้เป็นพ่อก็เลยเอาชื่อพระเอกมาตั้งเป็นชื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมันเสียเลย โชคยังดีที่ได้แม่ช่วยห้ามไม่เช่นนั้นคงได้ชื่อลี้คิมฮวงตามต้นฉบับแน่ ๆ ดังนั้นชื่อ ‘ลี้น้อย’ นี้จึงมีเพียงคนในครอบครัวและอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาเต็มใจให้เรียก ส่วนเพื่อนฝูงหรือคนที่รู้จักก็มักจะเรียก ‘ปราณ’ กันทั้งนั้น 


“ทำไมล่ะ ชื่อนี้ก็น่ารักดีออก เหมาะกับแกนะตี๋”


“น่ารักแล้วทำไมเฮียไม่เรียกล่ะ เรียกตี๋อยู่ได้ บอกว่าชื่อลี้...ชื่อลี้”


“หน้าตี๋ขนาดนี้ เรียกตี๋ผิดตรงไหน”


“เออ ๆ จะเรียกอะไรก็แล้วแต่เฮียเถอะ ผมขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว”


พูดจบปราณก็ตักข้าวส่งข้าวปาก ได้ยินเสียงช้อนกระทบฟันดังสนั่นจนหมอฟันต้องเอ่ยปากปราม บารมีมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู ท่าทางแบบเด็ก ๆ เช่นนี้มักจะเรียกรอยยิ้มได้เสมอ


“ขำอะไรเล่า”


“เปล๊า!” คนถูกถามหุบยิ้มแทบไม่ทัน ก้มหน้าก้มตาตักเกี๊ยวคำโตเข้าปากหวังจะใช้สกัดเสียงหัวเราะของตนเอง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ความร้อนระอุจากไส้ในแผ่ซ่านไปทั่วกระพุ้งแก้มยามเมื่อกัดลงไปคำแรก จะคายก็เสียดาย จะกลืนมันก็ใหญ่และร้อนเกินกว่าจะทำได้ สุดท้ายก็จำต้องอมตุ่ยอยู่อย่างนั้น


ใบหน้าบูดเบี้ยวกับสองมือที่โบกไล่ความร้อนทำให้ปราณต้องรีบส่งน้ำชาให้ ทันทีที่คว้าได้แก้วจากมือหนาบารมีก็จัดการกระดกดื่มเพื่อลดอุณหภูมิก่อนจะกลืนทุกอย่างลงคอไปในที่สุด


“อ่า!!! ร้อนจะแย่” คนพูดอ้าปากหวอ


“ไม่ระวังเลย” ปราณกล่าวพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้


“ขอบใจนะ” พูดจบก็รับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำที่เกาะพราวอยู่เหนือริมฝีปากและข้างแก้มก่อนจะเก็บลงในกระเป๋ากางเกง “เดี๋ยวซักคืนให้นะ”


เจ้าของผ้าเช็ดหน้าทำเพียงพยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะมองสำรวจใบหน้าที่ซึมไปด้วยเหงื่อ “แล้วเมื่อไรจะโกนหนวดโกนเคราสักที ดูสิ หน้าตารกรุงรังยังกับป่าดงดิบ ไหนดูซิมีหมูป่ามาทำรังหรือยัง” กำลังจะยกมือขึ้นคว้าเข้าที่ปลายคางมนก็โดนปัดออก


“หมูป่าบ้านแกสิ ไว้อย่างนี้แหละ เหี้ยมดี”


“เหี้ยมอะไรกัน ไม่เหมาะกับเฮียเลยสักนิด แวะไปให้ป๊าโกนให้สิ เดี๋ยวผมบอกป๊าให้แถมตัดผมให้ด้วย ตอบแทนที่เฮียเลี้ยงข้าวหลายครั้งแล้ว ปล่อยให้ยาวละลูกตาไม่รำคาญบ้างหรือไง”


“ไม่เอาหรอก เข้าร้านป๊าแกทีไร วันรุ่งขึ้นได้เรื่องทุกที”


“ได้เรื่องยังไง”


“ก็...” บารมีกดตาลงต่ำมองปลายช้อนสแตนเลสในมือที่กำลังแบ่งครึ่งเกี๊ยวเนื้อแน่นออกเป็นสองชิ้น


“หืม? ได้เรื่องยังไงเฮีย หรือว่ามีใครมารังแก เดี๋ยวผมไปจัดการมันให้ จับมันตีเข่า ฟันศอก หนุมานถวายแหวน ลิงถือยาหม่อง...”


“พอ ๆๆ เก่งจริง ๆ เลยนะแก โดยเฉพาะกับคนแก่เด็กและสตรีมีครรภ์น่ะ”


“โธ่...เฮีย ตกลงมันยังไง บอกมาสิ”


เมื่อถูกรบเร้าหนักเข้า บารมีจึงจำใจต้องตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้ม “ก็พวก extern น่ะสิ ม...มัน มันชอบแซวตอนเดินสวนกันในโรงพยาบาล”


“แซว? แซวว่าอะไร”


“มันบอกว่าเห็นหน้าอ่อนแล้วอยากเห็นขาอ่อนด้วย”


“อื้อหือ! ฟังแล้วขึ้นเลยเฮีย”


“เออสิ ฉันถึงต้องไว้หนวดเคราปล่อยผมเผ้ายาวรุงรังแบบนี้ไง”


ปราณมองคนตรงหน้าพลางยกมือขึ้นถูกคางตัวเอง “อืม...แต่จะว่าไป เฮียก็มองหาเนื้อคู่อยู่นี่นา แล้วไอ้ที่มาแซวน่ะไม่มีเข้าตาบ้างเลยเหรอ ผมเห็นหมอสมัยนี้มีแต่หน้าตาดีทั้งนั้น”


“ไม่เอาหรอก ไม่อยากได้ที่อาชีพเดียวกัน”


“อ้าว...หล่อเลือกได้อีก”


“ไม่ใช่อย่างนั้นโว้ย ก...ก็แค่...”





‘เข็ด’




...


สวัสดีค่ะ พบกันอีกแล้ว ก่อนจะหมดเดือนพิเศษ ๆ (ของเรา) เดือนนี้ มีเรื่องสั้นมาฝาก 1 เรื่องค่ะ

ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามนะคะ


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (เกริ่น) 23-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 23-08-2015 06:34:14
ว้าววว อ่านตอนแรกก็น่าติดตามแล้ว คุณเขียนแบบเห็นภาพจนอยากไปเยาวราชเลย 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (เกริ่น) 23-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 23-08-2015 08:06:33
แน่ะ ตัวเองไปเข็ดใครมาาาา
ช่วงนี้ขะไหว้พระจันทร์แล้ว
มียัง โมเม้นกินขนมไหว้พระจันทร์กับใครคนนั้น
ถ้ายังหาไม่เจอ รีบหานะ ถ้าเจอแล้วก็รีบชวนกันไปมุ้งมิ้งนะ
เดี๋ยวไม่อินเทรนนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (เกริ่น) 23-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-08-2015 10:02:00
เฮียหมี่เคยช้ำรักจากหมอด้วยกันเหรอ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (เกริ่น) 23-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-08-2015 13:49:45
เปิดเรื่องมาน่าสนใจอีกแล้ววววววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (เกริ่น) 23-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 23-08-2015 15:48:44
 :mc4: มีรักจำฝังใจหรือไงน้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (เกริ่น) 23-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 23-08-2015 20:56:11
หนามยอกต้องเอาหนามบ่งค่ะหมอหมี่~ :m3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (เกริ่น) 23-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 23-08-2015 23:17:58
ลี้น้อยน่ารัก กวนดี   ส่วนเฮียหมี่น่ารัก  น่าแกล้ง
เราอยากรู้อดีตของสองคนนี้เลย  น่ารักทั้งคู่  ชอบมากๆ ค่ะ

เฮียหมี่ตามหารักแท้  ที่จริงไม่ต้องชะเง้อหาไกลๆเนอะ  อาจอยู่ใกล้ๆตัวเราก็ได้เนอะ ว่าไหมลี้น้อย

ไม่รู้ว่าบทเกริ่นพระนายออกมาหรือยัง  ไม่อยากจะเดาเท่าไร ขอรอลุ้นติดตามดีกว่า
เพราะจากประสบการณ์เรื่องปลายทางคิดถึง เราก็เลยกลัวการคาดเดาค่ะ555
คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าบรรยายได้เห็นภาพมากๆ ค่ะ เราอยากกินเกี๊ยวนำ้ชามใหญ่รอบดึกมากเลยจริงๆ :ling1:
เรื่องสนุกน่าติดตามอีกเช่นเคย  บทเกริ่นเฮฮา ชอบมากๆ ค่ะ  ขอบคุณมากๆนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (เกริ่น) 23-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 24-08-2015 19:31:11
อ่านแล้วยังเดาเรื่องอะไรไม่ได้เลย

รู้แต่อยากกินเกี๊ยวน้ำ  :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-08-2015 03:04:39
ตอนที่ 1 คำทำนาย


ในซอยมีเพียงแสงจากเสาไฟต้นสูงเพียงต้นเดียวที่ยังคงยืนหยัดให้ความสว่างอย่างแข็งขัน ส่วนนอกนั้นพร้อมใจกันติด ๆ ดับ ๆ ส่งให้บรรยากาศยามค่ำวังเวงไม่ต่างอะไรกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์เขย่าขวัญ กลิ่นธูปควันเทียนลอยคลุ้งมาพร้อมกับกระแสลมกระโชกที่พัดกิ่งไม้ไหวเอน ใบไม้เสียดสีกันเกิดเป็นเสียงสวบสาบฟังดูน่ากลัวปราณต้องรีบสาวเท้าก้าวให้ทันร่างผอมบางที่เดินนำหน้า     

“เฮีย” คนเดินตามเอ่ยขึ้นเมื่อกำลังจะพากันเลี้ยวเข้าตรอกแคบ ๆ ข้างศาลเจ้าซึ่งเป็นทางลัดไปสู่อีกซอย

“อะไร”

“บรรยากาศมันชวนขนลุกพิลึก ไว้ค่อยไปตอนเช้าไม่ดีกว่าเหรอเฮีย”

บารมีถอนใจเฮือกขณะก้าวข้ามท่อนเหล็กกั้นปิดช่องทางเดิน มีไว้ป้องกันไม่ให้รถจักรยานยนต์ผ่าน เนื่องจากช่องทางนี้มีไว้สำหรับคนเดินเท้าเท่านั้น ปากยังคงยืนยันเจตนารมณ์และอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมน้องชายบ้านตรงข้ามที่ตัวใหญ่กว่าเขาตั้งเยอะ

“ตัวใหญ่เสียเปล่า กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง”

คำพูดห้วน ๆ ทำให้เอาคนตัวโตรู้ได้โดยทันทีว่าควรจะปิดปากให้สนิทแล้วเดินตามอย่างเดียวก็พอ ปราณหรี่ตามองแผ่นหลังเล็กที่กำลังเลือนหายไปในความมืด ทั้งที่อยู่ห่างกันไม่กี่ช่วงแขนแต่กลับเหมือนอยู่ไกลกันเหลือเกิน ในหัวตอนนี้จินตนาการไปถึงฉากในหนังที่ตัวละครกำลังเดินตามกันเข้าไปในอุโมงค์แล้วจู่ ๆ ก็มีคนหนึ่งหายไป นึกถึงสีหน้าของคนที่เหลือแล้วให้คิดว่ามันคงเป็นความรู้สึกสับสนระคนหวาดกลัวอย่างที่สุด

เจ้าของร่างสูงใหญ่หยุดความคิดพร้อมกับยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อแสงสว่างอันน้อยนิดจากเสาไฟริมทางพร้อมใจกันดับลง ดวงตาที่ยังไม่สามารถปรับให้ชินต่อสภาพแสงทำให้ภาพที่เห็นตรงหน้าคือความมืดมิด 

“หมาฉี่รดโคนเสาหรือไงวะ มาดับอะไรตอนนี้” ปากบ่นในขณะที่ตาก็มองไปรอบ ๆ นึกถึงคำของอาจารย์สอนวิชาวาดเส้นที่บอกว่าหากเราหรี่ตามองเราจะเห็นรายละเอียดแสงเงาของวัตถุชัดเจนขึ้น แต่ตอนนี้ข้างหน้าไร้ซึ่งวัตถุใด ไร้ซึ่งเงาของคนมาด้วยกัน ซ้ำยังมืดไปหมด

“ฮ...เฮีย...” ได้ยินเสียงของตัวเองที่หลุดออกจากริมฝีปากแห้งผาก มันแผ่วเบาพอ ๆ กับสายลมที่พัดเอากลิ่นหอมที่คุ้นเคยมากระทบจมูกพอให้อุ่นใจได้บ้าง “ย...อยู่ไหน”

คนกลัวถอนใจเมื่อสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ

“เฮีย...ลี้ไม่ขำนะ”

แม้จะพูดเช่นนี้ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับอยู่ดี คิดจะควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงหวังจะเอาขึ้นมาเปิดเพื่อให้แสงสว่าง แต่ก็นึกได้ว่าทันทีที่วางเป้ ก็ถูกคุณหมอตัวดีลากออกมาจากบ้านเสียแล้ว

“ไหนเคยบอกว่าจะไม่ทิ้งไปไหนไง”

“อยู่นี่” เสียงนั้นดังพร้อมกับแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่สว่างขึ้น “อะไรวะ แกล้งเล่นแค่นี้ทำเป็นปากคอสั่น” เจ้าของเสียงกล่าวอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินเข้ามาใกล้

“ก็รู้อยู่ว่ากลัวความมืดยังจะแกล้งอีก”

บารมีไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงเพียงแต่จับข้อมือของน้องชายตัวโตเอาไว้ “มาด้วยกันแล้วจะทิ้งได้ยังไง” พูดจบก็รั้งเบา ๆ ให้อีกฝ่ายเดินตามโดยมีแสงจากโทรศัพท์เป็นเครื่องนำทาง เมื่อหลุดตรอกมาได้หน่อย ทั้งคู่ก็มาหยุดยืนที่กลางถนนคอนกรีตซึ่งขั้นกลางระหว่างตึกแถวอายุเก่าแก่ คงเพราะไฟที่ดับแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย บรรดาอาแปะอาอึ้มจึงพากันปิดบ้านเงียบ มีเพียงแสงจากเปลวเทียนที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างออกมา

“แล้วทีนี้จะรู้ได้ยังไงว่าอันไหนบ้านซินแส” ปราณมุ่นคิ้วพลางกวาดตาไปรอบ ๆ มองหาใครสักคนที่พอจะอาศัยถามทางได้แต่ก็ไม่มี

“เจ๊กิมลั้งบอกว่าซินแสแกอยู่กับลูกชายชื่อเถ้าแก่เฮงเจ้าของร้านขายของเก่า”

“ไฟก็ดันมาดับ จะได้ดูบอลไหมเนี่ย คู่หยุดโลกเสียด้วย อุตส่าห์นัดไอ้ซ้งไว้”

“เดี๋ยวก็มาเชื่อสิ ดับไม่นานหรอก” สิ้นเสียงบารมีไฟฟ้าก็กลับสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง

“โหเฮีย ถ้าจะแม่นขนาดนี้เปิดสำนักเองเถอะ” ปราณพูดล้อ ๆ

“มันบังเอิญโว้ย” พูดจบคนตาไวก็คลายมืออกจากข้อมือใหญ่ เดินดิ่งไปยังห้องแถวสองคูหาสุดท้ายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาคารทรงโบราณ พลันหูก็ได้ยินทำนองเพลงสวดบูชาเจ้าแม่กวนอิมดังแว่วมาจากด้านหลังบานเฟี้ยมลายลูกฟักที่ปิดสนิท โคมไฟที่ห้อยลงมาจากหลังคากันสาดเพิ่งจะถูกเปิดขึ้นก่อนหน้าที่บารมีจะเดินมาถึงได้เพียงไม่นาน นั่นแสดงว่าเจ้าของบ้านยังไม่ได้เข้านอน ชายหนุ่มเงยหน้ามองป้ายไม้เหนือกรอบประตูอาศัยแสงสีนวลอ่านตัวอักษรสีทองที่เขียนด้วยพู่กันจีนบนพื้นสีแดง

“ไถ่เส็งฮวดค้าของเก่า ที่นี่ละมั้ง”

“แน่เหรอเฮีย”

“ก็ไม่น่าผิดนะ”

“แต่เขาปิดร้านแล้วนะ เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาใหม่ดีกว่า” ปราณทำท่าจะหันหลังกลับแต่ก็ต้องชะงักเพราะอีกคนไม่ทิ้งความมุ่งมั่น

“เฮ่ย...ไหน ๆ ก็มาแล้วลองเรียกดูก็ไม่เสียหายนี่ คงยังไม่นอนหรอก”

“เออ ๆ ตามใจเฮีย” คนอายุน้อยกว่าเกาหัวแกรกพลางมองร่างผอมบางที่สืบเท้าเข้าไปจด ๆ จ้อง ๆ อยู่หน้าประตูเตรียมจะเคาะเรียกคนข้างใน แม้เมื่อครู่ปากจะบอกไม่ขัดใจ แต่พอเห็นท่าทางจริงจังของพี่ชายบ้านใกล้แล้วมันอดพูดไม่ได้จริง ๆ

“คนเรานี่ก็แปลก อดีตก็รู้ ปัจจุบันก็อยู่ในมือตัวเองแท้ แต่ดันเอาอนาคตไปฝากไว้กับการคาดเดาของคนอื่น”

คำพูดที่ดูจะไม่แยแสกับความรู้สึกของใครทำให้ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของบารมีเจื่อนลงในทันที ชายหนุ่มชักมือกลับพร้อมผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “ถามจริงเถอะตี๋ แกไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าอนาคตจะเป็นยังไง”
ตาสองคู่สบกันนิ่ง แต่ยังไม่ทันที่ปราณจะมีโอกาสได้เรียบเรียงคำตอบ ประตูเจ้ากรรมก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วตามด้วยเสียงแห้งแหบของใครคนหนึ่ง

“เข้ามาสิ”

สองหนุ่มจ้องมองไปยังร่างสูงที่อยู่ในเงามืดเป็นตาเดียว พลันมือเหี่ยวย่นก็เกี่ยวม่านลูกปัดซึ่งทำจากไม้ก่อนจะโผล่หน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยซึ่งเป็นผลพวงจากการเดินทางผ่านวันเวลาออกมา

“เข้ามาสิ จะมาดูดวงไม่ใช่รึ”

“อะ...เอ้อ...ค...ครับ” เป็นบารมีที่เอ่ยขึ้นก่อนจะขยับเข้าใกล้ กำลังจะแทรกตัวผ่านช่องประตูก็นึกขึ้นได้จึงหันมารั้งแขนอีกคนให้เข้าไปพร้อมกัน

ชายชราในชุดกี่เพ้าแขนยาวสีกรมท่าตัดเย็บจากผ้าฝ้ายเนื้อดีปักลายมังกรที่ด้านหน้าพาผู้มาเยือนเดินหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ทั้งตู้เตียง แจกันไม้แกะสลัก ถ้วยชามรามไหที่วาดลายด้วยพู่กันจีนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าหากแต่ถูกวางระเกะระกะอย่างไม่กลัวว่าใครจะเดินชนจนเสียหาย กระทั่งเข้าสู่ห้องที่ใช้สำหรับเก็บรวบรวมภาพเขียนพู่กันจีน เจ้าของบ้านเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งลงที่โต๊ะไม้ฝังมุกตรงกลางห้อง จากนั้นจึงเดินไปดับเทียนที่จุดเอาไว้เมื่อตอนไฟดับแล้วกลับมานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามกับสองหนุ่มพร้อมกับตำราภาษาจีนเล่มหนึ่ง

“พวกลื้ออยากรู้อะไร” ชายชราถามขณะที่มือก็พลิกหน้ากระดาษที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

“ซ...ซิน ซิน ซินแส รู้ได้ยังไงครับว่าพวกผมมา” บารมีแทบอยากตบปากตัวเอง มาติดอ่างอะไรกันตอนนี้

คนถูกถามยกมือขึ้นลูบเครางามดุจเส้นไหมสีเงินก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้ม “รอบ ๆ ตึกแถวนี้น่ะอั๊วะรู้หมดว่าใครทำอะไร”

“ซินแสมีตาทิพย์เหรอครับ”

“อั๊วะมียิ่งกว่าตาทิพย์อีกอาตี๋”

ปราณมองชายชราที่พูดจาเป็นปริศนาก่อนจะกระซิบข้างหูคนที่ยังคงตกตะลึงพรึงเพริดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “หูทิพย์ กายทิพย์ หรือว่าพันทิปวะเฮีย” ซึ่งผลลัพธ์ก็คือสายตาดุ ๆ ที่ส่งกลับมา

“ลื้อจะไปอ่านกระทู้หรือไงอาตี๋” เจ้าของผมสีดอกเลาส่ายหน้า “สงสัยลื้อจะดูหนังจีนมากไป หัดใช้อินเทอร์เน็ตหาความรู้บ้างไม่ใช่เอาไว้เล่นเกมอย่างเดียว ตาทิพย์หูทิพย์อะไรอั๊วะไม่มีหรอก อั๊วะมีแต่กล้องวงจรปิด สมัยนี้ขโมยขโจรมันชุกชุม อาเฮงลูกชายอั๊วะอีเลยจ้างช่างมาติดกล้องน่ะ เมื่อกี้กำลังจะขึ้นนอนเห็นพวกลื้อมายืนด้อม ๆ มอง ๆ ก็คงไม่พ้นจะมาดูดวงแน่”

ฟังแล้วปราณก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ สัญญากับตัวเองว่านับจากนาทีนี้จะนั่งฟังเงียบ ๆ จะได้กลับเสียที

“ว่ายังไง พวกลื้ออยากรู้เรื่องอะไร”

“เอ่อ...” บารมีอ้ำอึ้งหันไปสบตาคนข้าง ๆ ก่อนจะตอบคำถามชายชรา “ผมอยากให้ซินแสช่วยดูให้หน่อยครับว่าชาตินี้ผมจะมีเนื้อคู่กับเขาบ้างไหม”

ผู้อาวุโสพยักหน้าพร้อมกับผายมือออก เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มที่ต้องการรู้อนาคตจึงหงายมือลงบนมือกร้านอย่างรู้งานพลางจ้องหน้าเจ้าของดวงตาพร่าหม่นสลับกับใบหน้าของคนที่มาด้วยกัน ไม่นานสีหน้าเรียบเฉยของซินแสก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ยิ่งหัวคิ้วขยับเข้าใกล้กันก็ยิ่งพาให้คนมองเริ่มใจคอไม่ดี

“ลื้อมันอาภัพ ร่างกายเป็นผู้ชายดูภายนอกเข้มแข็งแต่ข้างในอ่อนแอไม่ต่างกับผู้หญิง คนที่เข้ามาในชีวิตก็มาเพียงเพื่อทดสอบจิตใจของลื้อเท่านั้นแหละอาตี๋ ไม่มีใครคิดจะอยู่กับลื้อจนชั่วชีวิต เหมือนสายลมที่พัดมาแล้วก็พัดผ่านไป แต่ก็ใช่ว่าจะอับโชคเรื่องความรักเสียทีเดียว จากนี้จะมีเรื่องให้ลื้อต้องเลือก” ผู้ทำนายอนาคตกล่าวพลางยกมือข้างที่เหลือขึ้นลูบเครางาม “เลือกระหว่างอดีตที่หวนคืนกับปัจจุบันที่กำลังจะจากไป”

บารมีขมวดคิ้วไม่เข้าใจ อะไรคืออดีตที่หวนคืนกับปัจจุบันที่กำลังจะจากไป ซินแสหมายความว่าอย่างไรกันแน่และมันจะตรงกับที่เขาคิดได้อยู่ในตอนนี้หรือไม่ ด้วยความสงสัยจึงตัดสินใจถาม “ซินแส ม...หมายถึง...คนในอดีตจะกลับมาอย่างนั้นหรือเปล่าครับ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเป็นคำตอบก็ไม่ลืมที่จะถามว่าแล้วอะไรกันคือปัจจุบันที่กำลังจะจากไป

“เมื่อเจอก็จะได้รู้ เมื่อเปิดตาก็จะได้เห็น” ชายชรากล่าวก่อนจะดึงมือกลับ จากนั้นจึงพลิกเปิดตำราภาษาจีนหยิบซองกระดาษสีขาวขึ้นมาวางบนโต๊ะเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าการทำนายทายทักได้สิ้นสุดลงแล้ว 

สองคนที่ยังอยู่ในอาการงุนงงต่างก็มองตากันปริบ ๆ กระทั่งเสียงใครคนหนึ่งวิ่งลงบันไดมา ไม่นานร่างตุ้ยนุ้ยของเด็กชายวัยเก้าขวบก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู

“อากง!!! อากงขนของขึ้นเรือให้อั๊วะหรือยัง”

คำถามเล่นเอาผู้ใหญ่ที่อยู่ในอาการสงบถึงกับสะดุ้งโหยง รีบหยิบสมาร์ทโฟนจอใหญ่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ใช้นิ้วเขี่ย ๆ อยู่ไม่กี่ทีก็ร้องโวยวาย

“ซี้เลี้ยว อั๊วะลืมไปเลยอาตี๋น้อย มัวแต่ดูดวงให้ลูกค้าอยู่”

เมื่อได้ยินดังนั้นหลานชายแก้มยุ้ยก็ทำหน้าหงิกก่อนจะเดินมาเขย่าแขนผู้เป็นปู่ ปากก็เร่งให้รีบขนของขึ้นเรือสักที

‘ไหนบอกให้ใช้อินเทอร์เน็ตหาความรู้ไงวะ’ ปราณนึกในใจพลางสบตาชายชราที่กำลังปั้นหน้าไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะเย้าคนแก่ “เลเวลไหนแล้วครับ” ชายหนุ่มกดยิ้มก่อนจะหันไปสะกิดบารมีที่ยังคงนั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ข้าง ๆ

“รีบใส่ซองแล้วกลับกันเถอะเฮีย ซินแสอีจะได้ขนของขึ้นเรือสำเภาต่อ”

คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ  ก่อนจะควักเงินในกระเป๋าเสื้อใส่ลงในซองแล้วเลื่อนคืนพร้อมกับกล่าวคำอำลาผู้อาวุโส เวลาเดียวกันนั้นเถ้าแก่เฮงโผล่หน้าเข้ามาภายในห้อง ซินแสจึงสั่งให้ลูกชายช่วยส่งแขกให้ แต่ก่อนที่สองหนุ่มแปลกหน้าจะจากไป ชายชราก็เอ่ยขึ้น

“เดี๋ยว...อาตี๋"

คำพูดนั้นสร้างความประหลาดใจให้บารมีไม่น้อย แต่นั่นก็ยังไม่เท่าปลายนิ้วที่ชี้มายังร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกัน ไม่ผิดแน่ ๆ ซินแสกำลังชี้มาที่ปราณ

"การเดินทางจะทำให้ลื้อได้พบกับสิ่งดี ๆ นะ” พูดจบก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ จากนั้นจึงลดมือลงแตะปลายนิ้วบนหน้าจอสัมผัสและเริ่มไถไปมาอย่างเมามัน ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มอันเป็นปริศนานั้นได้สร้างความสงสัยให้เกิดแก่ชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อในโหราศาสตร์เข้าแล้ว


...


“เมื่อเจอก็จะได้รู้ เมื่อเปิดตาก็จะได้เห็น”  ปราณพูดกลั้วหัวเราะเมื่อประตูบานเฟี้ยมร้านขายของเก่าปิดลง

“มีอะไรน่าขำ” บารมีมุ่นคิ้วก่อนจะเดินหนีให้พ้นรัศมีของกล้องวงจรปิด

“ไม่ขำได้ยังไงเฮีย อย่างนี้ไม่ต้องถึงซินแสหรอก ผมก็ดูให้ได้” เจ้าของร่างสูงที่เดินตามมาทันกันยังคงหัวเราะชอบใจ

“ไอ้บ้า ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะโว้ย” บารมีกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังเดินเคียงข้างกัน “ว่าแต่แกเถอะ จะเดินทางไปไหน”

“เปล่านี่ ช่วงนี้ก็ไม่มีแผนจะไปเที่ยวไหนนะ” ปราณกล่าวพร้อมกับนึกถึงคำพูดของหมอดูชรา แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะปล่อยมันผ่านไปไม่เก็บเอามาคิดให้รกสมอง “มาพูดเรื่องเฮียดีกว่า อดีตที่หวนคืน ผมนึกไม่ออกเลยว่าใคร ตั้งแต่รู้จักเฮียมา ยังไม่เห็นเฮียคบใคร หรือว่าแอบไปคบตอนไหนแล้วไม่บอกให้ผมรู้”

“สำคัญมากหรือไง ฉันถึงบอกให้แกรู้น่ะ” คนตัวเล็กหัวเราะขื่น ๆ

“พูดแบบนี้แสดงว่าเรื่องจริง ตกลงไปแอบคบกับใครมา” เจ้าของคำถามกล่าวพร้อมกับเดินมาดักหน้ารอฟังคำตอบ

“ไม่ได้แอบ แต่แกไม่รู้เอง” บารมีกล่าวก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางในขณะที่จอมตื๊อก็ยังไม่ละความพยายามที่จะรู้ให้ได้

“เขาเป็นใคร ผมเคยเจอหรือเปล่า”

“เป็นรุ่นพี่ที่คณะ แกไม่เคยเจอเขาหรอก”

“แล้วคบกันตอนไหน ทำไมผมไม่รู้” ถามไปอย่างนั้นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองก็ไม่ได้สำคัญจนอีกฝ่ายต้องเล่าให้ฟังทุกเรื่อง

“ตอนแกกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เห็นแกเครียดเรื่องป๊าก็เลยไม่ได้เล่าให้ฟัง อีกอย่าง...” คนพูดกดตาลงมองปลายเท้าตัวเองพลางกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ “คบกันได้ไม่นานก็เลิก”

“ทำไมล่ะ”

บารมีถอนใจพรืดไม่คิดว่าจะต้องขุดเรื่องราวที่จบลงไปนานแล้วขึ้นมาพูดซ้ำ แต่ก็ยังคงเลาถึงมันด้วยเสียงและสีหน้าที่เป็นปกติ “เขาบอกว่าอาชีพของเรามันทำให้ต่างคนต่างก็ไม่มีเวลาให้กัน เขาอยากทุ่มเทให้งานโดยไม่ต้องพะวงเรื่องของฉัน”

เหตุผลที่ดูไม่ค่อยจะเป็นเหตุผลนั้นทำเอาคนฟังโคลงหัวไปมา “ตอนนี้ล่ะ เจอกันบ้างหรือเปล่า”

“ไม่” ทันตแพทย์หนุ่มตอบเสียงแผ่ว “เขาไม่มาให้เจอ”

“แสดงว่าอยากเจอ” พูดไปแล้วถึงได้นึกได้ว่าไม่ควรพูด ปราณแทบอยากจะตบปากตัวเองเหมือนกับที่บารมีมักจะสั่งลงโทษเขาบ่อย ๆ ยามเมื่อพูดจาไม่เข้าหู ชายหนุ่มลอบถอนใจก่อนจะตัดสินใจกล่าวขอโทษในที่สุด

“เฮ้ย...ขอโทษทำไม แกไม่ได้ทำอะไรผิด” พูดพลางตบที่ต้นแขนของคนตัวสูงกว่าเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายลดความกังวลลง “เลิกพูดเรื่องนี้แล้วตอบที่ฉันถามดีกว่า เมื่อกี้แกยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลย”

“ถามว่าอะไร เฮียถามผมตอนไหน” ปราณเลิกคิ้วพลางมองใบหน้าต้องแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ปรากฏแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า เห็นรอยยิ้มในแววตาคู่นั้นแล้วก็พอจะคลายใจได้บ้าง โชคดีเหลือเกินที่การถามละลาบละล้วงของเขาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกขุ่นข้องหมองหมาง

“ก็ที่ฉันถามแกว่า แกไม่อยากรู้อนาคตบ้างหรือไง” บารมีทวนคำถาม

“อืม...ก็ไม่นะ”

“สักนิดก็ไม่อยากรู้เลยเหรอ ถามจริง”

ปราณส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะพูดในสิ่งที่เขากำลังคิด “รู้ไปก็เท่านั้น จะรู้ให้มันได้อะไรขึ้นมา มีความสุขกับในแต่ละวันก็พอเพราะที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว” กล่าวจบเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็คลี่ยิ้มอย่างสบายใจ

“แกนี่นะ” คนอายุมากกว่าส่ายหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะเริ่มเดินอีกครั้ง

“ผมพูดจริงนะเฮีย ไม่ได้ตอบเอาโล่” ชายหนุ่มที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาด้านหลังกล่าว

“เออ จริงก็จริง” บารมีพูดตัดรำคาญก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่จะไปไหนต่อ ถ้าแกจะไปดูบอลกับซ้งก็ไปเถอะ ฉันกลับเองได้ บ้านซ้งน่ะ ถ้าเดินไปจากซอยนี้จะใกล้กว่าใช่ไหม”

ปราณพยักหน้าแทนคำตอบ ดังนั้นทั้งคู่จึงแยกกันที่ทางเข้าตรอกซึ่งเชื่อมระหว่างสองซอย บารมีเดินย้อนกลับไปในเส้นทางเดียวกับเมื่อตอนขามา ไม่นานก็เข้าสู่ย่านพักอาศัยซึ่งเป็นตึกแถวที่อายุอานามน่าจะพอ ๆ กับตึกแถวโบราณซอยข้าง ๆ คั่นกลางด้วยถนนซึ่งกว้างพอดีให้รถสวนกันได้ เมื่อเดินมาถึงกลางซอยหูก็ได้ยินทำนองเพลงจีนดังแว่วมาจากเครื่องเล่นซีดีเครื่องเก่าภายในร้านตัดผมบุรุษซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องแถวขนาดหนึ่งคูหาซึ่งกู๋ของเขาซื้อเอาไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน

หญิงวัยกลางคนที่นั่งหลับตาพริ้มอยู่ที่เก้าอี้โยกหน้าร้านเธอคือภรรยาและแม่ผู้แสนจะใจดี ส่วนที่กำลังยืนใช้กรรไกรเล็มปลายผมให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไฮดรอลิกบุนวมสีแดงก็คือสามีของเธอและพ่อของปราณนั่นเอง เวลาเห็นป๊ากับแม่ของปราณทีไรก็ให้อดนึกถึงพ่อกับแม่ของตนเองไม่ได้ ทั้งคู่เป็นทันตแพทย์แต่งงานอยู่กินกันจนกระทั่งเขาเรียนชั้นถมปลายก็ต้องมีอันเลิกรากันด้วยเหตุผลบางประการ แม่พาเขาย้ายออกมาอยู่ที่หอพักบุคลากรของโรงพยาบาล หลังจากนั้นไม่กี่ปีแม่ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ส่วนพ่อก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ อากู๋ซึ่งเป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวทางฝั่งแม่จึงรับเขามาอยู่ด้วยกันและส่งเสียให้เรียนนับตั้งแต่นั้น เพราะเป็นช่วงชีวิตที่ไม่น่าจดจำนักบารมีจึงก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ในซอกลึกที่สุด เพื่อให้กล่องความทรงจำของเขามีพื้นที่เหลือพอสำหรับเรื่องราวดี ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-08-2015 09:04:47
(ต่อค่ะ)


ชายหนุ่มอมยิ้มจาง ๆ มองเลยขึ้นไปยังหน้าต่างห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งตรงกันกับห้องนอนของเขา หน้าต่างทั้งสองบานถูกเชื่อมกันไว้เชือกปอเส้นหนา ลมเย็น ๆ พัดมาทำให้โมบายเปลือกหอยที่ผูกติดกับถังพลาสติกซึ่งคล้องอยู่กับเชือกกวัดแกว่งกระทบกันเกิดเป็นเสียงดนตรีที่แม้จะไม่มีคำร้องแต่ก็เป็นท่วงทำนองที่ฟังไม่เบื่อ


“ลี้ไปบางแสนมา ซื้อนี่มาฝากเฮียด้วย”


ยังคงจำรอยยิ้มและคำพูดในวันนั้นของเด็กชายชื่อแปลกที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่กี่วันได้ดี เด็กชายวัยหกขวบเจ้าของพวงแก้มที่มักจะขึ้นสีแดงยามอากาศร้อนจัด เห็นทีไรก็นึกมันเขี้ยวอยากจะบีบเสียให้ช้ำทุกครั้งไป ร่างตุ้ยนุ้ยวิ่งหลุน ๆ ข้ามถนนมาหยุดตรงหน้าพร้อมกับส่งโมบายเปลือกหอยให้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าของไม่มีมูลค่าที่เคยให้กันในวันนั้นจะทำให้เด็กสองคนที่อายุห่างกันถึงหกปีกลายมาเป็นเพื่อนกันในวันนี้

“เฮียอยู่ไหน” เสียงเครือดังแว่วมาในขณะที่กำลังควานหาเทียนไขที่เจ้าของบ้านบอกว่าแม่ของเขาน่าจะเก็บไว้ในลิ้นชัก บารมีในวัยสิบหกปียิ้มกับตัวเองเมื่อพบสิ่งที่ต้องการ ไม่นานไฟก็ถูกจุดติดขึ้นที่ปลายไส้เทียนไข จัดการหยดน้ำตาเทียนลงบนฝากระป๋องนมข้นแล้วรีบกดปลายอีกด้านลงไปขณะน้ำตาเทียนยังร้อนพยายามทำให้ลำเทียนตั้งตรง เมื่อเห็นว่าเทียนไม่ล้มจึงคลายมือออกแล้วยกกระป๋องนมขึ้น ใช้มือที่เหลือป้องเปลวไฟค่อย ๆ หันไปหาน้องชายที่ยึดเอาบันไดเป็นที่พึ่ง สองแขนเล็กกอดรัดลูกกรงไม้กลึงเอาไว้แน่นในขณะที่แววตาแสดงออกว่ากำลังมีความกลัวเกิดขึ้นภายในใจ

“เฮียอยู่นี่ ลี้น้อยไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเฮียจะตั้งเทียนเอาไว้ตรงนี้ บ้านจะได้สว่าง ๆ อีกไม่นานไฟก็มาแล้ว” คนพี่กล่าวพลางวางกระป๋องนมลงที่หน้าจกบานใหญ่

“เฮียอย่าเพิ่งกลับนะ อยู่เป็นเพื่อนลี้ก่อน” หนุ่มน้อยละล่ำละลักพร้อมกับค่อย ๆ ก้าวลงมาหย่อนตัวลงนั่งที่ปลายบันได

“ได้สิ เฮียจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าอาป๊ากับแม่ของลี้น้อยจะกลับมาดีไหม” พูดจบเด็กหนุ่มก็เดินมานั่งลงข้างกันคิดแต่เพียงว่าเมื่อสัญญาแล้วก็ต้องรักษาสัญญา


บางครั้งบารมีนึกอยากให้เด็กชายลี้น้อยเป็นน้องชายตัวเล็ก ๆ อยากจะหยุดเวลาไว้ให้เขาเป็นเพียงเด็กชายจ้ำม่ำน่ารักน่าหยิก ไม่อยากให้โตเลย...

“เฮีย! แวะมาเอาหนังสือหน่อยนะ” เสียงตะโกนที่ดังจากหน้าต่างห้องนอนซึ่งอยู่บนชั้นสองของตึกแถวฝั่งตรงข้ามทำเอาหัวคิ้วของคนที่กำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือเคลื่อนเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

“เฮีย! ได้ยินไหมเนี่ย”

นักศึกษาทันตแพทย์วางปากกาลงก่อนจะผุดลุกขึ้นเปิดประตูออกจากห้องอย่างหงุดหงิด หูได้ยินเสียงช่างตัดผมตะโกนบ่นลูกชายดังเป็นระยะ แต่ก็คงไม่ระคายผิวหนังของไอ้เด็กมัธยมปลายคิ้วหนานั่นอยู่แล้ว

“อาลี้น้อย ทำไมลื้อไม่เดินเอาไปให้อาบะหมี่อีเอง ลื้อเป็นคนยืมมายังต้องให้อีลำบากเดินมาเอาอีก”

“โหป๊า เดินมาแค่นี้ไม่ลำบากหรอก ดูเฮียหมี่สิไม่เห็นบ่นสักคำ” เด็กหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นร้องบอกผู้เป็นพ่อก่อนจะหันกลับมายักคิ้วให้คนหน้านิ่วที่เดินข้ามฝั่งมาหยุดต่อหน้า

“จริงไหม” พูดจบปราณก็ยื่นหนังสือตะลุยโจทย์คณิตศาสตร์ที่อีกฝ่ายให้ยืมมาอ่านตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนคืนให้

“ยิ่งโตยิ่งน่าเตะ” บารมีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับรั้งตำราเล่มหนามากอดไว้ จ้องหน้าน้องชายจอมกวนตาเขม็ง เพิ่งสังเกตว่าเด็กชายตัวน้อยที่ความสูงแค่ระดับอกของเขาบัดนี้เติบโตขึ้นเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ อีกไม่นานก็คงจะสูงกว่าเขาแล้ว แม้หน้าตาจะดูจืดชืดตามลักษณะคนไทยเชื้อสายจีน หากแต่โดยรวมก็ถือว่าดูดีใช่ย่อย 

“อ่ะนี่ แม่บอกว่าช่วงนี้เฮียอ่านหนังสือดึก ๆ ดื่น ๆ ทุกคืน เมื่อเช้าแม่ไปตลอดก็เลยซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาฝาก”

“แล้วนี่แม่อยู่ไหม” พูดพลางรับถุงพลาสติกใสใส่ของโปรดจากมือเด็กจอมกวน

“ไม่อยู่ เห็นว่าจะไปซื้อผ้าที่พาหุรัด”

“ถ้าอย่างนั้นฝากขอบคุณแม่ด้วยนะ”

“อือ เดี๋ยวบอกให้”

บารมีพยักหน้า กำลังจะหันหลังกลับก็ต้องชะงัก

“ส่วนอันนี้ของผม”

คำว่า ‘ของผม’ ในความรู้สึกของคนฟังนั้นมันช่างห่างเหินและไม่น่ารักเอาเสียเลย ใช่สิ! โตเป็นหนุ่มแล้ว คำพูดคำจาก็ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลาไม่ใช่เรื่องแปลก

“เอามาทำไม” คนอายุมากกว่ามุ่นหัวคิ้วจ้องมองสิ่งของที่อยู่ในมือหนา มันคือถังพลาสติกกับเชือกปอขดใหญ่ เดาไม่ถูกเลยว่าอีกฝ่ายเอามันมาทำอะไรกันแน่

ปราณตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกวน ๆ ก่อนจะถือวิสาสะบุกขึ้นไปถึงห้องนอนของบารมี วิ่งไปวิ่งมาอยู่ระหว่างสองฟากของห้องแถวจนเหงื่อชุ่มเสื้อ พอป๊าถามว่าจะทำอะไรก็ไม่ยอมบอก  บอกแต่เพียงให้รอดูผลงานชิ้นเอก

“ผูกเชือกเชื่อมหน้าต่างแล้วก็เอาถังคล้องไว้แบบนี้เฮียก็ไม่ต้องเดินไปเอาของที่บ้าน จะได้ไม่เสียเวลาอ่านหนังสือ” คนอายุอ่อนกว่ากล่าวในขณะที่มือก็ทำอย่างที่ปากอธิบาย

“เรื่องขี้เกียจละยกให้เลย หัวใสจริง ๆ” ว่าที่หมอฟันที่ยืนกอดอกสังเกตการณ์อยู่นานเอ่ยขึ้น

“ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ” เจ้าของความคิดบ่นก่อนจะลุกขึ้นยืนมองซ้ายมองขวา ในที่สุดก็รั้งโมบายเปลือกหอยที่แขวนอยู่ลงมา

“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ รั้งลงมาทำไม”

“เอาโมบายนี่ผูกไว้กับถังนี่ เวลาจะส่งของกันอีกฝั่งจะได้ได้ยินเสียงไง”

“ไม่ขี้เกียจจริงคิดไม่ได้ว่ะ” บารมีถอนใจเฮือกเมื่อจนต่อเหตุผล ยอมยืนนิ่ง ๆ มองดูคนเจ้าความคิดจัดการกับสิ่งประดิษฐ์ของเขาต่อไป

“เสร็จเรียบร้อย” ร่างสูงยืดตัวขึ้น ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก มองผลงานของตนเองพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับมันคือสิ่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษยชาติ

“ช่างประดิษฐ์แบบนี้เรียนวิศวะดีไหม”

คนฟังทำหน้าเบ้รีบยกมือห้าม “อย่าไปพูดให้ป๊าได้ยินนะเฮีย ป๊ายิ่งอยากให้เรียนอยู่”

“แล้วตัวเราเองอยากเรียนอะไรคิดไว้หรือยัง”

“อยากเข้ามัณฑนศิลป์"

"ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ ฝึกฝนเยอะ ๆ ดูเหมือนนานแต่จริง ๆ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ"

"ก็อยากจะทำหรอกเฮีย" คนพูดผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย "แต่ป๊าไม่ชอบพวกวาดรูป”

“ให้ช่วยพูดไหม”

ปราณถึงกับตาโตเมื่อได้ฟัง เต็มใจเหลือเกินที่จะยอมรับข้อเสนอนั้น ก็เฮียเป็นคนโปรดของป๊านี่ ถ้าเฮียช่วยพูดให้ป๊าต้องฟังแน่ ๆ

“จริงนะเฮีย”

“อือ ไม่รับรองผลนะ แต่สัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด” และผลของคำสัญญาในวันนั้นก็ทำให้โลกกำลังจะมีว่าที่มัณฑนากรที่กวนประสาทที่สุด



นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ทีไรก็เผลอยิ้มออกมาทุกที...

บารมีเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ชายหนุ่มเอื้อมหยิบหนังยางที่วางอยู่หัวเตียง จัดการรวบเก็บผมยาวละต้นคอเอาไว้ลวก ๆ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเอาผ้าขนหนูและชุดนอนออกมา มองตามเชือกเส้นโตที่โยงไปยังหน้าต่างของตึกแถวฝั่งตรงข้ามเห็นว่ายังปิดไฟมืด ป่านนี้เจ้าของห้องคงจะไปนั่งลุ้นผลบอลอยู่กับบรรดาเพื่อน ๆ สมัยมัธยมที่บ้านหลังใหญ่ท้ายซอยแน่ ๆ คิดได้ดังนั้นจึงเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ พักใหญ่ ๆ ก็เดินกลับออกมาในชุดพร้อมจะนอน

ทันตแพทย์หนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะกางหนังสือที่คว้าติดมือมาจากชั้นวางออกอ่าน ค่อย ๆ พลิกหน้ากระดาษอย่างทะนุถนอมตามประสาคนรักหนังสือ ผ่านไปหน้าแล้วหน้าเล่ากระทั่งเกือบครึ่งเล่มก็ต้องละสายตาเมื่อได้ยินเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าในโทรศัพท์มือถือ ชายหนุ่มจึงยันร่างลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ห่างตัวขึ้นมาเปิดอ่าน

“ซื้อน้ำเต้าหู้มาฝาก”

บารมีชะเง้อมองผ่านช่องหน้าต่างเห็นว่าไฟห้องนอนฝั่งตรงข้ามสว่างอยู่ และเมื่อเดินไปที่ริมหน้าต่างก็พบว่าชายหนุ่มบ้านตรงข้ามกำลังส่งยิ้มมาให้ มือใหญ่ชูถุงใส่น้ำนมถั่วเหลืองขึ้นจากนั้นจึงหย่อนมันลงในถังพลาสติกก่อนจะสาวเชือกให้ถังเคลื่อนข้ามมายังฝั่งที่เขายืนอยู่

“นี่แกจะขุนให้ฉันอ้วนเลยใช่ไหม” เป็นข้อความที่บารมีส่งกลับไปก่อนจะหยิบถุงน้ำเต้าหู้อุ่น ๆ ขึ้นมาจากสิ่งประดิษฐ์ที่เขามักจะพูดกับเจ้าของผลงานเสมอว่ามันคือสิ่งอำนวยความสะดวกของคนขี้เกียจ 

“แล้วกินไหม”

“กิน” บารมีร้องบอกแทนที่จะเสียเวลาพิมพ์

“ก็แค่นั้นแหละ” ปราณส่ายหน้ายิ้ม ๆ มองคนบ้านตรงข้ามที่เปิดประตูเดินออกไปจากห้อง จากนั้นตัวเขาเองก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินหายไปในห้องน้ำ เมื่อกลับออกมาก็พบว่าไฟในห้องนอนอีกฝั่งมืดลงแล้ว ชายหนุ่มเดินมานั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง เปิดโน้ตบุ๊กพี่ป๊าและแม่ซื้อเป็นของขวัญที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ขึ้น ขณะรอเครื่องทำงานอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นว่าถังพลาสติกใบนั้นถูกสาวกลับมาห้อยต่องแต่งอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องของตน ซึ่งข้างในมีกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ติดมาด้วย


“ขอบใจนะแก”


เป็นข้อความสั้น ๆ ถ้าคนรับไม่ง่วงเสียก่อนก็คงจะนั่งยิ้มยาวไปถึงเช้าแน่


....


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 25-08-2015 10:55:17
อ้างถึง
"การเดินทางจะทำให้ลื้อได้พบกับสิ่งดี ๆ นะ"

เหมือนกับเป็นประโยคที่ซินแสต้องการสื่อเป็นนัยๆ เลยนะคะว่า ให้ลี้น้อยกับเฮียหมี่ลองห่างออกจากกันดูบ้าง ทั้งสองคนจะได้มองเห็น 'หัวใจของตัวเอง' ได้ชัดเจนมากขึ้น พร้อมกับคำตอบของคำถามที่ว่า แท้ที่จริงแล้ว 'เฮียหมี่กับลี้น้อย' ต้องการกันและกันในรูปแบบไหนกันแน่? เพราะบางครั้งความใกล้ชิดที่มากจนเกินไป ก็มักทำให้เราหลงลืมไปว่า คนสำคัญของใจที่เราเที่ยวคอยมองหาจากที่ไกลๆ นั่นน่ะ เทียบไม่ได้เลยกับคนที่อยู่ใกล้ๆ ตัว..

ส่วนสำหรับสองทางเลือกที่ว่านั่น ก็คงต้องแล้วแต่ใจเฮียหมี่อีกนั่นล่ะค่ะว่าจะเลือกทางไหน? แต่ถ้าถามเราเราอยากให้เฮียหมี่มองแค่เพียง 'ปัจจุบัน' มากกว่า 'อดีต' ที่ผ่านเลยไปแล้วนะคะ.. ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-08-2015 13:38:17
คนปัจจุบันของเฮียหมี่เป็นใครกันนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 25-08-2015 14:42:49
รอตอนใหม่ค่ะ.......อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 25-08-2015 16:41:55
อดีตหรือปัจจุบันเฮียหมี่จะเลือกทางไหนกันนะ

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-08-2015 21:48:21
อดีตของเฮียน่าจะเศร้าน่าดู
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 25-08-2015 22:45:20
เริ่มมาเราหลอนเลย นึกว่าเรื่องนี้เป็นแนวผีแล้ว ที่แท้เป็นการหยอกเล่นน่ารักๆของเฮียหมี่เองเนอะลี้น้อย555

รู้คำทำนาย ความเผือกเราก็เกิด อยากจะมุดหัวเข้าไปในนิยายถามซินแสว่าปัจจุบันนี่หมายถึงคนที่นั่งอยู่ข้างเฮียหมี่ใช่ไหมค่ะ
ถ้าใช่ เราจะได้เชียร์ลี้น้อย อยู่ทีมปัจจุบันค่ะ555

พอรู้อดีตในวัยเด็ก อ่านแล้วนำ้ตาไหลจริงๆทั้งเศร้ากับชีวิตครอบครัวของเฮียหมี่
และซึ้งใจกับลี้น้อยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นกับเฮียหมี่ที่เป็นเพื่อนบ้านคนใหม่ซึ่งชีวิตในวัยเด็กก็มีเรื่องให้จิตใจอ่อนแอแล้ว
แต่เฮียหมี่ก็ต้องเข้มแข็งเพื่อปกป้องใครสักคนที่กลัวผีเนอะ555

มีความรู้สึกว่าทั้งเฮียหมี่และลี้น้อยบอกทุกสิ่งและรู้ทุกอย่างของกันและกัน ทั้งยังยอมเปิดเผยตัวตนอย่างไม่อายกันเลย
ก็คงเป็นเพราะดูแลและห่วงใยกันและกันมาตั้งแต่เด็กๆเนอะ  อ๊ายย เขินแทน 

อืม ทั้งสองคนไม่เขินกันบ้างหรือ หรือว่าทั้งสองคนยังไม่รู้ใจตัวเอง ถ้าไม่รู้ใจตัวเองแล้วลี้น้อยคิดจะยิ้มไปถึงเช้าทำไมเนอะ
เราสงสัยลี้น้อย  เราว่าสิ่งประดิษฐ์ของลี้น้อยไม่ใช่มาจากความขี้เกียจแต่มาจากความรักใช่ไหมลี้น้อย
ลี้น้อยมีความสุขกับปัจจุบันมากๆ เพียงแค่ได้พบเจอพูดคุยกับเฮียหมี่ในแต่ละวันใช่ไหม  สงสัยต่อไป555

รอลุ้นมากๆกับการเลือกของเฮียหมี่และลี้น้อย ไม่ทันไรเราก็หลงรักทั้งสองคนแล้วค่ะ
ขอบคุณมากๆนะคะคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า  สนุกและน่าติดตามมากๆเลยค่ะ :L2:









หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 25-08-2015 23:52:17
ไอ้ย๊ะ! นี่มันนิยายแนวโชตะ สินะ สินะ
เหมือนปราณจะรู้ตัวมั้ยอ่ะ ไม่งั้นคงไม่ยิ้มไปทั้งคืนกับแค่คำขอบคุณสั้นๆหรอก
พี่บะหมี่นี่สิ เสียเวลาไปดูหมอซะเปล่า ไม่ดูคนข้างตัวซะเลย
นี่ป๊าจะได้คนโปรดมาเป็นลูกสะใภ้แล้วนะ
แต่....เจ้เลยเหรอ?
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 26-08-2015 06:38:42
อ่านบนรถเมล์ อุ้ย! เจอมุกของลี้น้อยกับซินแสไป หลุดขำจนคนข้างๆหันมามอง 555 หูทิพย์ ตาทิพย์ พันทิป ไปตั้งกระทู้ตามหารักแท้ให้เฮียหมี่หรือเปล่าลี้น้อย ชอบซินแสจัง ตลกดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-08-2015 21:36:17
รออีกๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 1 : คำทำนาย) 25-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-08-2015 23:46:02
ลี้น้อยกับเฮียบะหมี่ รอลุ้นเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 2 : อดีตที่หวนคืน) 31-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 31-08-2015 05:58:59
ตอนที่ 2 อดีตที่หวนคืน



หลังนาฬิกาติดฝาผนังส่งสัญญาณเตือนว่าขณะนี้เป็นเวลาหกนาฬิกาสามสิบนาทีเสียงเพลงก็ดังขึ้นหลังประตูเหล็กทึบฝั่งร้านตัดผมบุรุษ แต่แทนที่จะเป็นเพลงจีนอมตะที่ติดหูคนไทยเหมือนเคยกลับเป็นเพลงไทยสากลที่มักได้ยินทั่วไปในคลื่นวิทยุ ประตูเหล็กถูกเลื่อนเปิดอย่างรวดเร็วพลันเสียงลมหวิวผ่านปากก็ดังคลอไปกับบทเพลงที่เปิดโดยนักจัดรายการวิทยุ ชายหนุ่มร่างสูงลูกชายช่างตัดผมแทรกตัวออกจากช่องประตูจัดการดันเหล็กหนัก ๆ พับเก็บเข้าด้านข้างทั้งสองด้านให้เห็นป้ายหน้าร้าน 'ปริญญาบาร์เบอร์' จากนั้นก็เดินไปหมุนก๊อกน้ำคว้าสายยางรดน้ำต้นไม้ในกระถางที่วางเรียงรายอยู่หน้าบ้าน


“วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอเฮีย” ปราณเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือบเห็นทันตแพทย์ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมกางเกงผ้าสีน้ำตาลอ่อนเปิดประตูบานเฟี้ยมออกมา เขาวางตะกร้าใส่ข้าวของสำหรับใส่บาตรลงที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านก่อนจะหันมากล่าวกับน้องชายบ้านใกล้กัน


“ลาพักร้อนน่ะ วันนี้ครบรอบวันตายของแม่ใส่บาตรแล้วก็ว่าจะไปทำธุระต่อ ว่าแต่แกเถอะไม่กลับไปเรียนเหรอวันนี้”


“ไม่มีเรียนน่ะเฮีย ก็เลยว่าจะกลับบ่าย ๆ”


“อืม...รีบหรือเปล่า ถ้าไม่รีบก็รอก่อนสิเดี๋ยวฉันขับรถไปส่ง”


“โอ้โหเฮีย ใจดีเกินไปหรือเปล่า”


“ทำไมล่ะ นครปฐมก็แค่นี้เอง”


“พูดยังกับไปปากซอย” เจ้าของร่างสูงทำหน้ายู่


“นี่ฉันพูดจริง ๆ นะ อยากไปไหว้พระปฐมเจดีย์ด้วย แต่ถ้าแกอยากไปนั่งเบียดกับคนอื่นในรถตู้ก็ตามใจแก” บารมีทำแบะไหล่ไม่ใส่ใจก่อนจะชะเง้อคอมองหาพระภิกษุที่มักจะเดินบิณฑบาตในเวลานี้


“อะไรวะ แค่ทำเล่นตัวหน่อยไม่มีจะตื๊อเลย”


คำตัดพ้อลอย ๆ ทำเอาคนอายุมากกว่ากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ในที่สุดใบหน้าเคร่งขรึมก็ถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย


“ไม่ไปก็อย่าไป ขี้เกียจจะตื๊อ พูดครั้งเดียวพอ” 


“เออ! จำไว้! คราวหลังชวนไปเป็นเพื่อนดูดวงจะไม่ไปด้วยแล้ว” พูดจบปราณก็หันกลับไปรดน้ำต้นไม้ต่อเงียบ ๆ กระทั่งครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงพระให้พรจึงรู้ได้ว่าพี่ชายบ้านใกล้คงทำภารกิจในฐานะลูกของเขาเสร็จเรียบร้อย นับนิ้วจึงได้รู้ว่าแม่ของบารมีจากไปสิบปีแล้วและนั่นก็คือระยะเวลาที่เขาทั้งสองรู้จักกัน คนใจลอยยกมุมปากขึ้นเมื่อนึกถึงวันแรกที่ได้พบกับหนุ่มน้อยในชุดนักเรียนมัธยมปลายซึ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านฝั่งตรงข้าม การจมอยู่ในกองทุกข์ทำให้เขาดูเป็นพี่ชายที่เงียบขรึมแต่แท้แล้วแสนจะใจดีกับน้องคนนี้เหลือเกิน


เสียงกระทบกันของเปลือกหอยดึงให้เจ้าของร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองถังพลาสติกร้อยติดด้วยโมบายที่กำลังห้อยต่องแต่งอยู่ใต้กรอบหน้าต่าง มันคือของชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่ซื้อเป็นของฝากเพื่อต้อนรับเพื่อนบ้านคนใหม่เมื่อครั้งที่ป๊ากับแม่พาไปเที่ยวทะเล เชือกเส้นเล็ก ๆ ที่ร้อยกับเปลือกหอยไม่ได้คงทนถาวรเหมือนมิตรภาพที่มีให้กัน แต่ที่มันอยู่ได้มาถึงสิบปีก็เพราะคนรับเฝ้าซ่อมแล้วซ่อมอีกยามที่ดินฟ้าอากาศทำให้เชือกเปื่อย ๆ ขาดออกจากกัน


“นี่”


เสียงนั้นดังขึ้นไม่ห่างหูพร้อมกับปลายนิ้วที่จิ้มลงมากลางแผ่นหลัง ทำเอาปราณที่กำลังคิดอะไรเพลินสะดุ้งโหยงรีบหันขวับ มือหนาสะบัดสายยางจนเกือบจะทำให้อีกคนต้องเปียกปอน


“เฮ้ย! ระวังหน่อยสินี่ชุดใหม่เลยนะ” บารมีกล่าวพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบปัดละอองน้ำที่กระเซ็นเปียกแขนเสื้อ


“ขอโทษ ๆ ก็เล่นมาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมด” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะจ่อสายยางที่โคนต้นโมกความสูงระดับอกที่กำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ “นี่แต่งตัวเสียหล่อจะไปไหนน่ะ”


“สมัครงาน” บารมีตอบเสียงเรียบ


“สมัครงาน? ที่ไหนเฮีย”


“โรงพยาบาลนรินทร”


“โห! โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังเลยนะเนี่ย” พูดพร้อมกับยกมือขึ้นถูปลายคางตัวเอง รู้สึกคุ้น ๆ กับชื่อโรงพยาบาลคล้ายมีอะไรมากกว่าการเป็นโรงพยาบาลชื่อดังแต่ก็คิดไม่ออก


“ไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวกลับมาจะขับรถไปส่ง”


“เดี๋ยวเฮีย” ปราณเอ่ยขึ้นพร้อมกับรั้งแขนเล็กเอาไว้ “ไม่โกนหนวดหน่อยเหรอ ผมโกนให้ก็ได้นะ”


“ไม่เป็นไร” บารมียิ้มให้พร้อมกับขยับให้หลุดจากมือหนาก่อนจะข้ามฝั่งคว้าตะกร้าที่วางอยู่บนโต๊ะหินเดินหายเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ปราณยังคงครุ่นคิดถึงชื่อโรงพยาบาลที่ได้ฟังจนในที่สุดก็นึกออก



‘โรงพยาบาลนรินทร’
เป็นโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังก่อตั้งขึ้นโดยนายแพทย์สามท่านซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน แต่ละท่านล้วนเป็นเชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีชื่อเสียงในวงวิชาการอย่างกว้างขวาง หนึ่งในนั้นก็คือทันตแพทย์บวร บวรกิจจา คุณหมอหนุ่มใหญ่ที่เลิกรากับทันตแพทย์หญิงรัศมีมาแต่งงานและจดทะเบียนอย่างถูกต้องกับลูกสาวนักธุรกิจ มือใหญ่คว้าแว่นสายตาขึ้นสวมขณะเปิดแฟ้มประวัติของผู้ที่สนใจร่วมทำงานกับโรงพยายาบาลออกอ่าน พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับภาพของชายหนุ่มที่ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับภรรยาคนแรกปรากฏขึ้นในความคิด


“บารมี” ชื่อนั้นปลิวหลุดจากริมฝีปากหนาอย่างแผ่วเบา เพียงเห็นก็จำได้ ทั้งรูปหน้า ปาก จมูก คิ้วคาง ช่างเหมือนแม่ไม่มีผิด คุณหมอบวรถอนใจพลางกำหมัดแน่น ในที่สุดก็ตัดสินใจผุดลุกขึ้นเปิดประตูเดินอาด ๆ ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ร่างสูงตรงไปยังห้องประชุมย่อยซึ่งใช้เป็นสถานที่ในการสัมภาษณ์ มันทีที่ไปถึงก็ไม่พบใครแล้ว เมื่อถามเอาจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลก็ได้รับแจ้งว่าการสัมภาษณ์สิ้นสุดลงไปตั้งแต่ประมาณสิบนาทีก่อน เนื่องจากตัวเขาติดเคสสำคัญที่ต้องทำงานร่วมกับศัลยแพทย์ กรรมการสัมภาษณ์ท่านอื่น ๆ จึงลงความเห็นว่าจะดำเนินการกันเองโดยไม่รอ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้นายทันตแพทย์ใหญ่นึกฉุนเฉียวเท่ากับการได้รู้ว่าหนึ่งในจำนวนผู้ที่มาเข้ารับการสัมภาษณ์คือลูกชายที่ถือกำเนิดกับภรรยาเก่าผู้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ


บวรก้าวฉับ ๆ ลงบันไดลงมายังชั้นล่างของโรงพยาบาล กวาดตามองไปท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่ ในที่สุดร่างผอมบางของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน แต่ที่ดูจะไม่คุ้นตาผู้เป็นพ่อสักเท่าไรก็คือผมเผ้าที่ถูกปล่อยยาวลงมาเคลียต้นคอและหนวดเคราที่ขึ้นครึ้ม  ดูผิดจากเมื่อหลายปีก่อนที่บังเอิญเจอกันในห้องเรียนเมื่อครั้งที่บวรถูกเชิญไปบรรยายความรู้เกี่ยวกับจรรยาบรรณาวิชาชีพให้แก่นักศึกษาทันตแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งไปยังคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา แม้ร่างกายจะดูบอบบาง เอวคอดและตัวเล็กกว่าคนหนุ่มในวัยเดียวกัน หากแต่วันนี้คราบความอ่อนแอปวกเปียกราวกับเด็กผู้หญิงกลับไม่เหลือให้เห็น


บารมียกมือไหว้ผู้อาวุโสอย่างนอบน้อมเหมือนเคยแม้อีกฝ่ายจะปฏิบัติต่อตนเองต่างจากพ่อลูกทั่วไปก็ตาม “สวัสดีครับอาจารย์หมอ” และนั่นก็คือคำที่ทันตแพทย์บวรให้เขาเรียกยามเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น


“ไปคุยกันข้างนอก” พูดจบเจ้าของโรงพยาบาลก็เดินผ่านประตูอัตโนมัติตรงไปยังร้านกาแฟที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึก
บวรนั่งลงที่โต๊ะหลังฉากกระจกขุ่น หันไปสั่งกาแฟร้อนแก้วหนึ่ง รอกระทั่งคนเดินตามนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามจึงเอ่ยขึ้น 


“ฉันเห็นใบสมัครของแก นี่แกตั้งใจจะมาทำให้ฉันขายหน้าหรือไง”


ผู้เป็นลูกยังคงยิ้มรับ “ผมไม่ได้คิดจะทำให้อาจารย์หมอขายหน้า แต่ที่ผมมาสมัครงานที่นี่ก็แค่อยากลองดูน่ะครับ ใคร ๆ ก็ใฝ่ฝันอยากจะทำงานที่โรงพยาบาลของอาจารย์หมอกันทั้งนั้น ทั้งมีชื่อเสียงหรูหราใหญ่โตแถมสวัสดิการดีเลิศ”


“ไม่ต้องมาประชด” อาจารย์หมอบวรเปล่งเสียงลอดไรฟันที่ขบกันแน่น ใบหน้าเรียบเฉยของชายหนุ่มตรงหน้ายิ่งทำให้อารมณ์พลุ่งพล่าน เส้นเลือดปูดโปนที่ขมับบ่งบอกว่ากำลังโกรธจัด “แกก็รู้ว่าฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่มีสิทธิ์ตัดสินว่าจะรับหรือไม่รับแก แล้วถ้าฉันรับแก คนอื่นเขาจะไม่ครหารึ”


“เรื่องนั้นผมทราบดีครับ แต่ผมยังไม่เห็นความจำเป็นที่อาจารย์หมอต้องเก็บเรื่องนี้มาคิด เพราะผมไม่เคยบอกใครว่าผมกับอาจารย์มีความสัมพันธ์กันยังไง อาจารย์คงโมโหมากจนลืมดูรายละเอียด” พูดจดก็ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาก่อนจะหยิบบางสิ่งวางบนโต๊ะ “ผมใช้นามสกุลของแม่ตามที่อาจารย์ต้องการ แล้วการสมัครงานในครั้งนี้ผมก็ทำตามกฎกติกาเหมือนคนอื่น ๆ”


บวรกดตาลงต่ำจ้องมองบัตรประชาชนตรงหน้า ‘บารมี นราธิป’ พลันหัวคิ้วก็ขมวดมุ่นจนเห็นรอยย่นบนหน้าผาก นึกถึงคำพูดของตนเองที่พูดไว้กับอดีตภรรยาในวันที่ต้องแยกทางกัน


‘ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ลูกเปลี่ยนไปใช้นามสกุลเดียวกับคุณ อีกหน่อยพอบะหมี่โต ผมไม่อยากถูกตราหน้าว่ามีลูกชาย...เหมือนไม่มี’


ในที่สุดเขาก็เลือกจะมองไปทางอื่นไม่อาจสู้สายตาแข็งแกร่งของเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองได้อีกต่อไป รอกระทั่งพนักงานที่ยกกาแฟมาเสิร์ฟเดินคล้อยหลังจึงพูดขึ้น “แม่แกคงสอนให้แกเกลียดฉันสินะ”


คนฟังส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะอธิบายเนิบ ๆ “ตรงกันข้ามครับ แม่บอกให้ผมรักอาจารย์ให้มาก ๆ เพราะถ้าไม่มีอาจารย์ ผมกับแม่คงไม่มีโอกาสได้พบกัน” พูดพลางเก็บหลักฐานยืนยันตัวตนลงในกระเป๋าราวกับเรื่องที่กำลังสนทนาเป็นเรื่องลมฟ้าอากาศทั่วไป “แต่ผมโกรธมากกว่า ยิ่งตอนที่รู้ว่าคุณน้าคนนั้นกับอาจารย์มีลูกที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม มันทำให้รู้ว่าอาจารย์นอกใจแม่มาเกือบสิบปี ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อที่เคยจูงมือผม ไปส่งผมที่โรงเรียนทุกวันจะทำแบบนั้น ผมเคยถามแม่ว่าทำไมไม่ทำอะไรสักอย่างให้ได้พ่อกลับคืนมา แต่แม่กลับบอกให้ผมมองมันเป็นเรื่องธรรมดา แม่บอกว่าเมื่อหมดรักกันแล้วยื้อไว้ก็มีแต่จะทุกข์กันทั้งสองฝ่าย ผมอาจจะมีความสุขที่เห็นพ่อนั่งร่วมโต๊ะอาหาร ได้พบหน้าพ่อทุกเย็นที่ผมกลับจากโรงเรียน แต่พ่อคงไม่มีความสุขที่ต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักแล้ว”


เมื่อได้ฟังความจากปากลูกชายทันตแพทย์บวรก็ชาไปทั้งตัว คุณหมอวัยห้าสิบสองดึงถ้วยแกแฟมาใกล้ ๆ ใช้ช้อนคนน้ำสีดำเพื่อให้มือไม้สั่นเทาได้มีที่วาง


“ถ้าจะโทษก็โทษแม่แกเถอะ ผ...ผู้หญิงแบบนั้นน่ะ นอกจากคนไข้แล้วเคยสนใจความรู้สึกของคนในครอบครัวด้วยเหรอ หายใจเข้าออกมีแต่งาน”


บารมีหัวเราะหึ “ต้องโทษความจนของแม่มากกว่า” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตา รู้ว่าอย่างไรเสียการมาของตนเองในวันนี้ก็สร้างความไม่พอใจให้แก่คนตรงหน้าอยู่ดี ไหน ๆ ก็ไหนแล้วจึงตัดสินใจเปิดกระเป๋าสะพายหยิบซองกระดาษออกมาวางบนโต๊ะก่อนจะเลื่อนให้ “ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงคิดอย่างนั้น แต่ถ้าพ่อเห็นมันพ่ออาจจะเข้าใจอะไรดีขึ้น”


ทันตแพทย์บวรสบตาผู้เป็นลูกชาย ไม่ลังเลที่จะเปิดซองนั้นออกดู และเมื่อรั้งเอาบางสิ่งออกมาเขาก็พบว่ามันคือสมุดบัญชีธนาคาร ชื่อเจ้าของบัญชีคือชื่อของตัวเขาเอง บัญชีนั้นถูกเปิดขึ้นและเริ่มฝากลงวันที่ในปีก่อนที่เขาจะเริ่มใช้ชีวิตแต่งงานเสียอีกส่วนยอดเงินจนปัจจุบันนั้นก็มากมายเอาการ


“ผมพบสมุดบัญชีนี่หลังจากที่แม่เสียชีวิต คิดว่าแม่คงตั้งใจจะเอาให้พ่อดูในวันที่จำนวนเงินมันเยอะพอที่จะซื้อห้องแถวเพื่อเปิดคลินิกเล็ก ๆ อย่างที่พ่อมักจะพูดอยู่บ่อย ๆ ได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแม่ต้องทำงานหนัก แม่ไม่ได้ทุ่มเทชีวิตให้งานแต่แม่ทุ้มเททั้งชีวิตให้พ่อ น่าเสียดายตรงที่ว่ากว่าจะเก็บได้ขนาดนี้มันก็สายไปแล้ว” บารมีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก สัญญากับตัวเองว่าอย่างไรก็จะไม่ร้องไห้ไม่แสดงท่าทีอ่อนแอให้พ่อเห็น เพราะเขาไม่ต้องการการเห็นใจใด ๆ จากคนที่ไม่เหลือเยื่อใยต่อกัน “ทั้งที่มีเงินเยอะพอจะเข้ารักษาในโรงพยาบาลดี ๆ แต่แม่กลับรักษาตัวในแบบที่แม่เลือก”


คนฟังสบตานิ่ง ท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้าดูเข้มแข็งอย่างน่าประหลาด ไม่เหลือภาพของเด็กชายอ่อนแอที่วิ่งตามรถร้องหาไห้หาผู้เป็นพ่อเหมือนอย่างในวันนั้น 


“ผมเอามาให้พ่อ เผื่อว่าเราอาจจะไม่ได้พบกันอีก”


“แกจะไปไหน”


บารมีโคลงศีรษะในขณะที่รอยยิ้มยังไม่เหือดหายไปจากแววตา “ผมไม่ได้ไปไหน ผมยังอยู่ที่เดิมเหมือนแม่ที่ยังคงรอพ่ออยู่ที่เดิม มีแต่พ่อที่ไปจากพวกเรา”


พูดจบร่างเล็กก็ลุกขึ้นไม่ลืมยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำอำลา จากนั้นจึงเปิดประตูเดินออกจากร้าน พลันน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ไหลนองอาบสองแก้มกระนั้นบารมีก็ยิ้มกับตัวเอง เรื่องสมัครงานมันก็แค่ข้ออ้างที่จะสามารถทำให้เข้าถึงตัวคุณหมอคนเก่งที่มักจะงานยุ่งตลอดทั้งปีได้ก็เท่านั้นเอง ในที่สุดวันนี้ก็ได้ทำหน้าที่ของลูกอย่างสมบูรณ์สักที หวังว่าที่พูดไปทั้งหมดเมื่อครู่จะทำให้พ่อเข้าใจในตัวของแม่มากขึ้น แม้จะไม่อาจย้อนคืนวันเวลาได้แล้วก็ตาม


ปราณเดินตามคนตัวเล็กมุ่งหน้ากลับไปยังโรงพยาบาล ตั้งใจว่าเมื่อถึงที่จอดรถเมื่อไรก็จะแสดงตัวให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่ต้องย้อนกลับไปรับตนเองที่บ้านแล้วเพราะเขาเก็บข้าวของพร้อมกับร่ำลาป๊ากับแม่ตั้งแต่บารมีขับรถออกจากบ้านได้เพียงไม่นาน เห็นพี่ชายบ้านตรงข้ามกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถก็เตรียมจะอ้าปากตะโกนเรียกแต่ก็ต้องชะงักเพราะการปรากฏตัวขึ้นของใครอีกคน


“หมี่...หมี่ใช่ไหม” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาที่เพิ่งเปิดประตูลงจากรถเอ่ยขึ้น


เสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินเสียนานทำให้เจ้าของชื่อหยุดนิ่ง กำมือจับประตูแน่นในขณะที่อีกมือกำสายกระเป๋าสะพายที่พาดเฉียงตรงตำแหน่งของหัวใจ รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อที่เคยทำงานตามปกติกลับบีบตัวแรงเป็นจังหวะถี่ ๆ จนแทบจะหลุดทะลุอกเสื้อ  เมื่อตาคมเลื่อนขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจกก็พบว่าร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินมาหยุดที่ด้านหลัง ดวงตาสองคู่สบกันนิ่งก่อนจะเป็นบารมีที่ค่อย ๆ หันกลับไปมองให้เต็มตา


“พ...พี่วรรษ” คนพูดวางหน้านิ่งไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับการได้พบกันครั้งนี้ ในขณะที่คนฟังเองก็ทำค้อมศีรษะเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าชื่อที่เรียกนั้นไม่ผิด นัยน์ตาฉายแววยินดีอยู่บ้างที่อีกฝ่ายยังคงจดจำตนเองได้


“ดีใจที่ได้เจอกันอีก” คำนั้นจะมีความหมายตามที่กล่าวหากคนพูดไม่ปั้นหน้านิ่ง นิ่ง...พอ ๆ กับน้ำเสียงที่เปล่งออกมา เขาคือ ‘วรรษวร’ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม ดีกรีบัณฑิตเกียรตินิยมเหรียญทองของคณะทันตแพทยศาสตร์ ที่ปัจจุบันนอกจากจะทำงานประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนริทรยังรวมหุ้นกับเพื่อน ๆ เปิดศูนย์ทันตกรรมครบวงจรอีกด้วย


“ครับ” บารมีตอบเพียงสั้น ๆ สีหน้าดูประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่บังเอิญได้พบคนรักเก่าที่นี่ แม้จะประกอบสัมมาอาชีพไม่ต่างกันก็ตามแต่ก็นานเหลือเกินที่ไม่ได้เจอหน้า นั่นคงเป็นเพราะมีภาระที่ต้องรับผิดชอบกันทั้งสองคน หรือหากไม่ใช่เหตุผลที่ว่าแล้วก็คงเพราะวรรษวรเองที่หลบเลี่ยงการเผชิญหน้า สำหรับบารมีการถูกบอกเลิกโดยไม่ได้ทำอะไรผิดมันช่างเจ็บปวด แต่ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือการถูกบอกเลิกผ่านข้อความในโทรศัพท์ ถึงแม้จะพยายามปรุงคำให้ฟังสละสลวยเพียงใด สุดท้ายความหมายที่ได้ก็คือเขาเป็น ‘ตัวถ่วง’ ในชีวิตของอีกฝ่ายอยู่ดี


‘ซินแสแม่นจริงว่ะ’ บารมีนึกในใจ เพราะในช่วงชีวิตที่ผ่านมาก็มีวรรษวรเพียงคนนี้เท่านั้นที่ทำให้รักแรกของเขากลายเป็นอดีตที่ยากจะลืมเลือน


“หมี่มาทำอะไรที่นี่ ไม่สบายเหรอ”


“ป...เปล่าครับ ม...หมี่มาเยี่ยมเพื่อนที่ป่วย”


“ใช่เพื่อนที่คณะหรือเปล่า พี่รู้จักไหม”


คนถูกถามรีบส่ายหน้าปฏิเสธไม่คิดต่อความยาวสาวความยืดเรื่องโกหกนี้ “ไม่ใช่ครับ เพื่อนสมัยเรียนมัธยมน่ะ พี่วรรษไม่รู้จักหรอก”


ทันตแพทย์วรรษวรพยักหน้าพลางกวาดตาสำรวจคนที่ไม่ได้เจอกันเสียนานให้ถ้วนถี่ “เกือบจำหมี่ไม่ได้ ไว้หนวดแบบนี้แปลกตาไปเลย”


“ค...ครับ”


“ดูไม่ดีใจเลยที่ได้เจอกัน” 


ช่างพูดจาได้เป็นปกติเหมือนไม่เคยมีเรื่องราวใด ๆ เกิดขึ้น...


“ม...ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ค...คือ” บารมีลอบถอนใจเมื่อจนหนทางหาข้อแก้ตัว ถึงจะเคยมีความผูกพันลึกซึ้งกันมาก่อนแต่มันก็ถูกหั่นสะบั้นโดยฝีมือของคนตรงหน้าไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน แล้วจะให้เขายิ้มระรื่นได้อย่างไรกัน


ท่าทีอึดอัดของอดีตคนรักทำให้วรรษวรตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องในทันที “ว่าแต่หมี่เถอะ ตอนนี้ทำงานอยู่ไหน” แม้จะอยู่ใกล้กันหากแต่สิ่งที่ขั้นกลางกลับเป็นความห่างเหิน


“อยู่โรงพยาบาลราชบริรักษ์ครับ”


“โรงพยาบาลรัฐนี่ ไม่คิดจะเปลี่ยนมาทำงานโรงพยาบาลเอกชนหรือเปิดคลินิกของตัวเองบ้างเหรอ”


“ยังไม่คิดครับ ทำงานที่นี่ก็สนุกดี เพื่อนร่วมงานก็ดี ส่วนเรื่องคลินิก หมี่ยังไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น”


ได้ฟังดังนั้นทันตแพทย์หนุ่มก็คลายความเครียดขรึมในใบหน้าลงด้วยการกดยิ้มมุมปาก “เพื่อนร่วมงานดีหรือว่ามีใครที่นั่นทำให้ไม่อยากไปไหนกันแน่”


“ม...ไม่มีครับ ไม่มีใคร” คำตอบนั้นเหมือนวูบหายไปในอากาศในขณะที่คนพูดเองก็เสมองไปทางอื่น


วรรษวรทอดมองดวงตาใต้แผงคิ้วดกดำ แม้กรอบหน้าจะถูกบดบังด้วยหนวดเคราแต่โดยรวมแล้วก็ยังน่ามองไม่เปลี่ยน “ผ่านมาหลายปีแล้วนะ” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวเสียงขรึมเหมือนจะย้ำกับตัวเอง หากแต่ประโยคถัดมาของเขากลับทำให้คนฟังตกตะลึง


“ตั้งแต่วันนั้น พี่เองก็ยังไม่มีใคร”


บารมีกัดกรามแน่น ถ้าทำได้จะหายตัวไปเสียเดี๋ยวนี้ หนีไปให้พ้นสายตาที่กำลังทอดมองมา มือกำสายสะพายกระเป๋ายังคงรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของก้อนเนื้อที่กำลังสูบฉีดโลหิตอยู่ใต้อกด้านซ้าย แทบอยากจะดึงมันออกมาแล้วขว้างไปให้ไกล ๆ พร้อมกับตะโกนห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกอะไรกับคำพูดของคนที่เคยทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดี


“ข...ขอโทษนะครับพี่วรรษ หมี่ต้องไปแล้วครับ”


ร่างเล็กชิงตัดบทสะกดความคิดของตัวเองที่กำลังหวนนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ในขณะที่หมอวรรษวรก็เพียงแต่พยักหน้ารับรู้ นั่นเพราะเข้าใจสถานการณ์นี้ดีจึงไม่ยื้อไว้ รอกระทั่งอดีตคนรักเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถจึงหันหลังให้ เดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาล


ปราณยืนนิ่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในมุมหนึ่ง เห็นบารมีกำลังขับรถออกจากที่จอดแต่ก็ไม่คิดจะปรากฏตัวอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก รถเก๋งสีดำเงาวับเคลื่อนห่างออกไปได้หน่อยก็หยุดในขณะที่ดวงตาของผู้เป็นเจ้าของยังคงจับจ้องไปยังเงาในกระจกมองข้างที่สะท้อนร่างสูงของทันตแพทย์หนุ่มมาดขรึม เมื่อเขาหายลับเข้าไปในตัวตึกล้อทั้งสี่จึงเริ่มหมุนอีกครั้ง   



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 2 : อดีตที่หวนคืน) 31-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 31-08-2015 06:06:56
(ตอ่นะคะ)



ใกล้ค่ำวันเดียวกันหนุ่มนักศึกษามัณฑนศิลป์ลงรถตู้ที่หน้ามหาวิทยาลัยก่อนจะเดินข้ามถนน ล้วงหยิบกุญแจจากเป้สะพายหลังแล้วขึ้นนั่งคร่อมบนเวสป้ามือสองที่ซื้อต่อจากรุ่นพี่เมื่อตอนเข้าเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ตั้งแต่นั้นมามันก็กลายเป็นพาหนะคู่ใจไปไหนไปกันมาจนถึงปัจจุบัน จะห่างกันก็เพียงช่วงปลายสัปดาห์ที่เจ้าของมักจะขี่มาจอดไว้ที่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อต่อรถกลับบ้านเท่านั้น   ปราณขี่สองล้อคันเก่าลัดเลาะไปตามเส้นทางที่แวดล้อมด้วยต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาผ่านสะน้ำขนาดใหญ่กระทั่งมาจอดที่หน้าหอพักนักศึกษาชายซึ่งตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มจอดรถที่ช่องจอด กำลังจะเดินเข้าไปในหอพักก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบว่าใครคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว สายตาพิฆาตจ้องเขม็งทำคนถูกมองรู้ชะตากรรมของตนเองทันที


“ฮ...เฮีย มาได้ยังไง” ปราณกลืนน้ำลายเอื๊อก


“ขับรถมา” คนรอตอบห้วน ๆ


“อันนั้นน่ะรู้แล้ว” ชายหนุ่มทำใจดีสู้เสือ “ที่ถามน่ะหมายถึงเฮียมาทำอะไรที่นี่”


บารมีถอนใจพลางจ้องหน้าเอาเรื่องแต่คนอายุน้อยกว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกในความผิด “เมื่อเช้าฉันบอกใช่ไหมว่าจะมาส่ง แล้วทำไมแกไม่รออยู่ที่บ้าน”


“ก็...”


“พอฉันกลับไปที่บ้าน แม่แกก็บอกว่าแกออกมาตั้งแต่ตอนสาย แล้วทำไมเพิ่งมาถึงมหาวิทยาลัยเอาป่านนี้” ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แก้ตัวก็ถามต่อ “แกไปไหนมา”


“ใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหมเฮีย” พูดพร้อมกับยกสองมือขึ้นห้าม “เล่นถามรัวแบบนี้จะให้ผมตอบอันไหนก่อน”


“ถ้าอย่างนั้นตอบมาว่าทำไมไม่รอ ก็บอกแล้วว่าจะมาส่ง”


“ผ...ผม ผมนึกได้ว่านัดกับเพื่อนไว้น่ะ กว่าจะไปทำธุระเรียบร้อยก็บ่ายแล้ว เสร็จปั๊บก็นั่งรถมานครปฐมเลย” ปราณอธิบาย พยายามไม่ให้มีพิรุธ “เอาน่าเฮีย อย่าโกรธเลยนะ ไหน ๆ ก็มาแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า เดี๋ยวผมเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บข้างบนก่อน เฮียรออยู่นี่นะ” พูดจบก็เผ่นเข้าหอพักทิ้งให้บารมีที่ยังบ่นไม่จบอ้าปากค้างมองตามตาปริบ ๆ


ปราณหายไปครู่หนึ่งกะว่าพี่ชายบ้านตรงข้ามคงอารมณ์เย็นขึ้นแล้วจึงกลับออกมาพร้อมหมวกนิรภัยอีกใบที่ยืมมาจากเพื่อน พบว่าบารมียังคงยืนรออยู่ที่เดิม


“ไปกินข้าวกันเฮีย ผมหิวแล้ว” คนอายุน้อยกว่ากล่าวเมื่อเดินผ่านหน้าไป ขืนหยุดเปิดช่องให้ละก็มีหวังหูชาอีกแน่ ๆ


บารมีมุ่นคิ้วก่อนจะเดินตามออกไป เห็นปราณกำลังนั่งคร่อมเวสป้าพร้อมกับสวมหมวกนิรภัยก็พูดขึ้น


“แกจะไปไหน”


“จะพาไปกินข้าวหน้าองค์พระไง”


“ไปรถฉันก็ได้นี่ ฉันเอารถมา”


“ไปเมล์เครื่องนี่แหละดีแล้ว ขืนเฮียเอารถเฮียไป กว่าจะหาที่จอดได้ไส้กิ่วกันพอดี ขึ้นเถอะ” พูดจบปราณก็ส่งหมวกแบบนักบินในมือให้ “สวมไว้ด้วย”


“อะไรคือเมล์เครื่อง” บารมีพึมพำขณะเสียบตัวล็อก จากนั้นจึงขึ้นนั่งซ้อนท้าย


“โหเฮีย เชยว่ะ เมล์เครื่องก็มอเตอร์ไซค์นี่แหละ แถวนี้เขาเรียกกันแบบนี้”


“ก็ไม่ใช่คนแถวนี้นี่หว่า”


“เกาะแน่น ๆ นะเฮีย เดี๋ยวจะพาซิ่ง” ปราณหัวเราะก่อนจะออกรถ ผลที่ได้รับจากการพูดจายียวนกวนอารมณ์ก็คือกำปั้นเล็ก ๆ ที่ทุบลงที่กลางหลัง แต่ก็หาได้ระคายหนังหนา ๆ ไม่


“ขี่มอเตอร์ไซค์กลางค่ำกลางคืนแบบนี้บ่อยไหมเนี่ย” บารมีเอ่ยขึ้นขณะที่เวสป้าคันเก่าพาเขาทั้งคู่เคลื่อนฝ่าความมืดไปตามทางแคบ ๆ มุ่งหน้าสู่ประตูมหาวิทยาลัย


“ก็บ่อยนะ ทำไงได้ไม่มีรถหรู ๆ ขับนี่ แต่อย่าไปบอกป๊ากับแม่ล่ะ เดี๋ยวถูกบ่นหูชา แค่ถูกเฮียบ่นคนเดียวก็แย่แล้ว”


ไม่นานปราณและบารมีก็มาถึงองค์พระปฐมเจดีย์ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดมหึมาตั้งอยู่ในบริเวณวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร แม้จะเป็นวันงานแต่ผู้คนก็ยังคงหนาตา สองคนชวนกันขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุก่อนจะหาอะไรกินกันที่ตลาดโต้รุ่งหน้าองค์พระ


“มาที่นี่ต้องกินอะไร” คนเพิ่งเคยมาเอ่ยขึ้นในขณะที่ตากวาดมองไปรอบบริเวณซึ่งรายล้อมไปด้วยร้านรถเข็นขายอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นร้านเก่าแก่ที่ขายสืบทอดกันมาตั้งแต่เปิดตลาด


“ต้องหอยทอดเลยเฮีย” พูดจบปราณก็เดินดิ่งไปยังโต๊ะที่ว่าง “เฮียนั่งก่อนเดี๋ยวผมไปสั่งให้”


ตาคมมองตามเจ้าถิ่นที่เดินไปสั่งอาหารกับเจ้าของร้านร่างผอมที่กำลังควงตะหลิวผัดหอยทอดในกระทะ ละสายตาเพียงแวบเดียวก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว บารมีมองไปรอบ ๆ บรรยากาศของที่นี่คึกคักพอ ๆ กับแถวบ้านของเขา ยิ่งค่ำผู้คนก็ยิ่งเพิ่มจำนวน มีทั้งที่ตั้งใจมาไหว้พระขอพรและมาหาของกิน เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้ทั้งบุญได้ทั้งอิ่มอร่อยกลับไป คนรอชะเง้อคอมองหาเมื่อรู้สึกว่าคนมาด้วยกันหายไปนาน ในที่สุดปราณก็เดินฝ่ากลุ่มคนกลับมาพร้อมแก้วพลาสติกใส่น้ำสีน้ำตาลทองในมือ


“กินน้ำจับเลี้ยงก่อนจะได้ใจเย็น ๆ” ร่างสูงนั่งลงพร้อมกับเลื่อนแก้วใส่น้ำเย็นเฉียบให้


“ทำไมซื้อมาแก้วเดียวล่ะ”


“ผมกินบ่อยแล้ว แล้วมันก็เหมาะกับคนสูงวัยอย่างเฮีย”


“ไม่แก่บ้างให้มันรู้ไป” บารมีกล่าวก่อนจะยกหลอดขึ้นดูด


“เป็นไง ใจเย็นขึ้นไหม” คนถามยิ้มล้อ ๆ มองอีกฝ่ายที่ยังฝืนทำหน้านิ่ง


สุดท้ายบารมีก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เพราะความขี้เล่นของอีกฝ่ายปล่อยให้รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง อดคิดไม่ได้ว่าคนเรานี่ก็แปลก ในหนึ่งวันสามารถเกิดขึ้นได้หลายอารมณ์ เมื่อตอนกลางวันยังอยากจะร้องไห้อยู่แท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับยิ้มได้อีกครั้ง


“เออ เย็นก็เย็น”


“แต่ถ้ายังไม่เย็น เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะพาไปกินไอติมลอยฟ้าต่อ”


“จะติดสินบนเรื่องหนีเที่ยวตอนกลางคืนหรือไง”


“ไม่ใช่สักหน่อย แค่จะขุนเฮียให้อ้วนต่างหาก ผอมจะแย่แล้ว”


ฟังแล้วคนอายุมากกว่าก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างรู้ทัน หลังจากจัดการกับหอยทอดในตำนานเรียบร้อย ปราณก็พาบารมีเดินตรงไปยังหมู่ไทยมุงที่ยืนเบียดเสียดบดบังหน้าร้าน ได้ยินเสียงเฮดังมาเป็นระยะ เหนือขึ้นไปเห็นป้าย ‘ไอศกรีมลอยฟ้า’ จึงรู้ว่าเป็นร้านไอศกรีมนี่เอง


“รับได้ลุงเขาให้กินฟรีนะเฮีย”


“เสียเงินซื้อก็ได้มั้ง” บารมีกล่าวพลางมองตามชายวัยกลางคนที่กำลังแสดงท่าทางอย่างกับจอมยุทธในหนังจีน เขาโยนไอศกรีมขึ้นในอากาศ เมื่อลูกกลม ๆ ย้อยตกลงในถ้วยที่สาวน้อยนางหนึ่งกำลังถือรอเสียเฮก็ดังขึ้นอีกหน


“โธ่...มันจะไปได้บรรยากาศอะไร” คนพามาบ่นอุบ “ซื้อก็ซื้อ” พูดจบปราณก็แทรกตัวเข้าไปในกลุ่มคนครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมไอศกรีมถ้วยโต


“มาแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มร่าพร้อมกับชูช้อนพลาสติกขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครคนหนึ่งเดินสวนเข้าไป ช้อนหนึ่งในสองคันจึงตกลงที่พื้น “ช้อนหล่นเลย ถ้าอย่างนั้นเฮียกินคนเดียวแล้วกันนะ”


บารมีรับช้อนสีสายจากมือคนตัวสูงกว่าพร้อมกับรับถ้วยไอศกรีมที่เขาส่งให้มาตักชิม “อื้ม...อร่อยจริง ๆ ด้วย แต่เยอะขนาดนี้จะกินหมดได้ยังไง”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมกลับไปขอช้อนลุงเขาใหม่” กำลังจะหมุนตัวกลับก็ถูกรั้งไว้ด้วยคำพูดหนึ่ง


“รังเกียจหรือเปล่า ถ้าไม่รังเกียจก็กินด้วยกันก็ได้”


“ว...ว่าไงนะ”


“ฉันถามว่าแกรังเกียจหรือเปล่า ถ้าไม่รังเกียจก็กินข้อนเดียวกันก็ได้ จะได้ไม่ต้องฝ่าคนเข้าไป” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นรอฟังคำตอบ เมื่อเห็นยังเงียบจึงถามซ้ำอีกครั้ง “ว่าไง รังเกียจหรือเปล่า”


“ม...ไม่ ไม่รังเกียจ” ปราณกล่าวติด ๆ ขัด ๆ รีบรับถ้วยไอศกรีมาถือไว้ก่อนจะตักกินอย่างเงอะงะ


“เหมือนรังเกียจเลยว่ะ” คนพูดเกาหัวแกรก “เดี๋ยวฉันไปขอช้อนใหม่ให้ก็ได้”


“ฮ...เฮีย ไม่ต้องหรอก เปลืองเปล่า ๆ เดี๋ยวลุงเขาขาดทุน” ว่าแล้วมือหนาก็คว้าแขนเล็กรั้งให้ออกห่างจากร้าน จู่ ๆ ก็รักษ์โลกรักเพื่อนมนุษย์ขึ้นมากะทันหัน “ว่าแต่เฮียเถอะ รังเกียจหรือเปล่า”


อีกฝ่ายตอบโดยการรั้งช้อนจากมือตักเกล็ดเย็น ๆ ในถ้วยแล้วส่งเข้าปาก ความหวานเย็นที่สัมผัสกับปลายลิ้นทำให้รู้สึกเหมือนกำลังย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง บารมียิ้มกับตัวเองเมื่อนึกว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงดีไม่น้อย วัน ๆ เขาคงได้เล่นสนุกและไม่ต้องมีเรื่องให้ทุกข์ใจ รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าได้เพียงไม่นานก็จางหายเมื่อสังเกตเห็นความผิด น่าแปลกทั้งที่ไอศกรีมก็เย็นขนาดนี้แต่คนตรงหน้ากลับมีเหงื่อเม็ดโตซึมที่ไรผมแถมสองแก้มยังเปลี่ยนเป็นสี่แดงเรื่อเสียจนอดสงสัยไม่ได้


“เป็นอะไรหรือเปล่าตี๋”


“ปละ...เปล่านี่” ปราณตอบก่อนจะแย่งช้อนมาตักไอศกรีมเข้าปาก


“ทำไมหน้าแดงเหงื่อแตกแบบนี้”


“อากาศมันร้อนน่ะ”


“ลมออกจะพัดเย็น แกต้องไม่สบายแน่ ๆ เลยตี๋ ไปหาหมอไหม”


“หมอก็อยู่นี่แล้วจะไปหาทำไม”


“ไม่ใช่อย่างนั้นโว้ย” คนพูดมุ่นคิ้วเมื่อความห่วงใยกำลังจะกลายเป็นความโมโหเพราะคำพูดกวนประสาท มันน่าจับถอนฟันให้หมดปากนัก


“กินไอติมดีกว่าเฮีย ผมไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ” ปราณกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงให้คนที่มาด้วยกันได้คลายความกังวล นั่นเพราะเขารู้ตัวเองดีว่าอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเจ็บไข้หากแต่เป็นเพราะหัวใจกำลังทำงานผิดปกติต่างหาก


เมื่ออิ่มจนพุงกางแล้วสองคนก็พากันกลับเข้ามายังมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ปราณชะลอรถที่ริมสระน้ำก่อนจะหันกลับมาถามคนนั่งซ้อน


“เฮียอยากลงไปเดินไหม”


“ได้เหรอ”


“ได้สิ” พูดจบก็หยุดรถที่ข้างทาง


บารมีเดินตามร่างสูงใหญ่มาหยุดที่กลางสะพานไม้ซึ่งทอดยาวเชื่อมสองฟากฝั่งของสระน้ำขนาดใหญ่ ท่ามกลางความเวิ้งว้างมีเพียงไฟติดปลายหัวเสาที่ให้แสงสว่างพอจะทำให้เห็นรายละเอียดของสิ่งรอบตัวได้บ้าง ชายหนุ่มนั่งลงที่ขอบสะพานทอดตามองออกไปในความมืดพยายามจินตนาการภาพตรงหน้ายามที่แสงอาทิตย์กลับมาทักทายพื้นโลกอีกครั้ง ที่นี่คงสวยงามราวกับเป็นดินแดนแห่งความฝัน


“ที่นี่เขาเรียกว่าสระแก้ว” ปราณกล่าวพร้อมกับหย่อนตัวลงนั่งที่ฟากตรงข้าม “ผมชอบมาที่นี่เวลาที่คิดอะไรไม่ออกหรือมีเรื่องไม่สบายใจ ปล่อยให้ลมพัดเสียหน่อยเผื่อว่าจะนึกอะไรดี ๆ ได้”


“แล้วนึกออกไหม”


“ออกบ้างไม่ออกบ้าง”


คนอายุมากกว่าส่ายหน้าน้อย ๆ


“วันนี้เฮียไปสมัครงานเป็นยังไงบ้าง”


“ก็ดีนะ อาจารย์หมอที่เป็นคนสัมภาษณ์ก็ถามหลายเรื่อง ถามว่าทำไมถึงคิดจะออกจากที่เก่า”


“แล้วทำไมเฮียถึงไปสมัครที่นั่นล่ะ เห็นเคยพูดว่าไม่อยากทำงานในโรงพยาบาลเอกชน”


“ตอนนี้ก็ยังคิดแบบนั้นอยู่ จริง ๆ ที่ไปสมัครงานคราวนี้ก็แค่อยากจะเข้าพบอาจารย์หมอบวรน่ะ มีของสำคัญต้องเอาไปให้” บารมีตอบตามตรง


“แล้วได้ให้ไหม” ถามไปอย่างนั้นทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว


“ให้ไปแล้วละ เป็นของที่แม่ตั้งใจจะให้พ่อแต่ไม่มีโอกาส”


ปราณพยักหน้าพลางมองดวงหน้าที่ปรากฏชัดเจนในความมืด บารมีไม่ได้เล่าเรื่องราวต่อจากนั้นส่วนเขาเองก็ไม่คิดจะถามถึง เพียงแต่นั่งเงียบ ๆ ฟังเสียงใบไม้ไหวต้องลมอย่างนี้ด้วยกันก็พอ...     



...


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

จริง ๆ ตอนนี้เขียนเอาไว้ยาวเลย

แต่ขอตัดขึ้นเป็นตอนใหม่เลยก็แล้วกันนะคะ แล้วจะรีบมาต่อจ้ะ ^^

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 2 : อดีตที่หวนคืน) 31-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 31-08-2015 06:42:38
มาปูเสื่อรอ คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 2 : อดีตที่หวนคืน) 31-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 31-08-2015 07:21:42
งืออออ น่ารักอ่ะ น้องปราณกับบะหมี่ ชอบบรรยากาศระหว่างสองคนนี่จัง เหมือนน้องชายพาพี่ชายมาเที่ยว 5555  ร้านหอยทอดในตำนานอยู่ไหนคะ ร้านไอติมด้วย จะตามไปกิน คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า พาหิวแต่เช้าเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 2 : อดีตที่หวนคืน) 31-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 31-08-2015 16:06:50
แค่ใช้ช้อนเดียวกันกับเฮียหมี่ก็ถึงกับหน้าแดงเลยเหรอคะลี้น้อย~ :m3: น่าเอ็นดูเชียวค่าา >< ดีนะคะเนี่ยที่ไม่ถึงกับเป็นลม เพราะไม่อย่างนั้นเฮียหมี่คงแบกกลับไปไม่ไหวแน่เลย :laugh:

ส่วนเฮียหมี่..ถ้าอดีตมันทำให้เจ็บปวดนัก ก็อยู่กับปัจจุบันที่มีแต่รอยยิ้มดีกว่านะค้าา~
( เป่าหู..ฟู่วๆ :m26: ) ลี้น้อยมาวิน~~ ลี้น้อยมาวิน~~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 2 : อดีตที่หวนคืน) 31-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 31-08-2015 18:56:40
สงสารเฮียหมี่ อดีตช่างเจ็บปวดและมีแต่ความผิดหวังมากเลย
ทำไมพ่อเฮียช่างใจร้ายแบบนี้ :m15: สงสารแม่เฮียหมี่อะ ฮืออออ
พี่วรรษไรนี่ก็นะ ทิ้งเขาไปคิดจะกลับมาหาเขาอีกหรอ รู้สึกอคติ ฮ่าๆๆๆๆ
ปราณเขินที่ต้องกินช้อนคันเดียวกับเฮีย หน้าแดงใหญ่เลย คึคึ ลี้น้อยน่ารัก :-[

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 2 : อดีตที่หวนคืน) 31-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-08-2015 22:20:24
เจ็บแทนบะหมี่ ทั้งพ่อ ทั้งแฟนเก่า เห้อออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 2 : อดีตที่หวนคืน) 31-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 31-08-2015 23:15:55
ชีวิตในวัยเด็กของบารมีทำเราร้องไห้อีกแล้ว หมี่เหมือนไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวเลย
แม่ก็ทำแต่งาน เก็บเงินสร้างฐานะให้รำ่รวยเพื่อคนรัก
ทำไมไม่เอาเงินมารักษาตัวเองให้มีชีวิตอยู่รอดเพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกนะ
พ่อก็แทนที่รู้ว่าเมียเก่าเสียชีวิตก็น่าจะมารับลูกไปอยู่ด้วย ยังคิดจะปกปิดเรื่องลูกอีก แถมยังไม่ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นด้วย

ครอบครัวของหมี่ช่างแตกต่างจากครอบครัวของลี้น้อยมากๆ
ครอบครัวของลี้น้อยมีความรักและความอบอุ่นให้แก่กันมากๆจนมีให้กับหมี่ด้วย  ซึ้งใจกับครอบครัวของลี้น้อยมากๆ

วันเดียวบารมีก็ได้เจอกับบุคคลที่สร้างความทรงจำในอดีตทั้งสามคนเลย หวังว่าอดีตที่หวนคืนจะทำให้บารมีมีแต่ความสุข
ที่แน่ๆคงเป็นเด็กอ้วนลี้น้อยที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว ที่น่าจะมีความรักอีกรูปแบบมามอบให้ค่ะ
ลุ้นกับปราณมากๆ เพราะรู้สึกว่าพี่วรรษก็มีดี ผิดพลาดตรงที่เคยทิ้งหมี่เท่านั้น และที่สำคัญพี่วรรษก็ยังไม่มีใครด้วยนี่สิ

ฉากจบของตอนล่าสุดเราชอบมากๆค่ะ มีบรรยากาศดีๆรอบๆ ปราณกับบารมีก็พูดคุยและรับฟังกัน เพียงแค่นั่งอยู่ด้วยกัน
โรแมนติกมากๆค่ะ เหมือนเรื่องนี้จบตรงที่บารมีได้เลือกที่จะอยู่กับปราณ กรี๊ดเขิน555

ยังอยากอ่านเรื่องนี้ไปเรื่อยๆเลย  แต่ก็ระลึกเสมอว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้น555
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 2 : อดีตที่หวนคืน) 31-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 01-09-2015 00:00:59
โธ่เอ้ย พี่บะหมี่ ซึนซะจริง
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยยยยย
นี่กำลังจะได้เป็นอมตะนะ รีบๆรู้ตัวรู้ใจได้ละ

ร้านหอยทอดนี่ร้านไหน จะตามไปชิม
ไอติมน่ะกินบ่อยละ หาง่ายเพราะโด่งดังเหลือเกิน

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 2 : อดีตที่หวนคืน) 31-08-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-09-2015 00:06:05
ทั้งพ่อทั้งแฟนเก่าของเฮี่ยหมี่ไม่ได้้รื่อง เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง
มีอย่างที่ไหนตัดขาดกันเพราะเห็นเป็นตัวถ่วงในชีวิต
ทำอย่างกับไม่เคยรักกัน ใจร้ายจริง ๆ
อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย เฮียก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวด้วย
อยูกับลี้น้อยสบายใจกว่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-09-2015 02:00:07
สวัสดีค่ะ แวะเอาตอนที่ 3 มาฝากค่ะ ช่วงนี้งานยุ่ง ๆ แต่พยายามจะไม่ทิ้งไว้นานค่ะ
ขอบคุณมาก ๆ สำหรับความคิดเห็นนะคะ อ่านสนุกมาก ๆ ค่ะ ชอบจัง
ตอนที่แล้วชื่อตอนว่าอดีตที่หวนคืนก็จะรวมเรื่องราวในอดีตหลายเรื่องเอาไว้ไม่ใช่เฉพาะกับคุณหมอวรรษวรคนเดียว
ซึ่งถ้ายึดตามคำทำนายของซินแส อดีตที่หวนคืนก็ตีความได้หลายแบบค่ะ
ส่วนตอนที่ 3 นี้ก็จะเป็นความกลัวในหลายรูปแบบเหมือนกัน ลองอ่านดูนะคะ

ปล. ตอบคำถามเรื่องร้านไอติมลอยฟ้ากับหอยทอดค่ะ อยู่ที่ตลาดโต้รุ่งหน้าองค์พระปฐมเจดีย์นะคะ



ตอนที่ 3 กลัว


บ่ายวันอาทิตย์ของสัปดาห์ถัดมาอากู๋ขจรมีนัดกับลูกค้าคุยเรื่องแบบบ้านที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แทนที่บารมีจะติดสอยไปด้วยเหมือนเคยครั้งนี้เขากลับเลือกที่นอนเอกเขนกอ่านหลังสืออยู่กับบ้าน นั่นเพราะรู้ว่าหลังจากเสร็จธุระแล้วกู๋ขจรจะแวะไปดูเรือนหอที่กำลังสร้างกับว่าที่เจ้าสาวหลานชายตัวอย่างจึงไม่อยากตามไปขัดคอ


แดดยามบ่ายที่แผดแสงผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องทำให้ทันตแพทย์หนุ่มต้องลากเอาพัดลมทุกตัวที่มีอยู่ในบ้านมาเปิดเพื่อไล่ความร้อน ผมยาวละต้นคอถูกรวบตึงด้วยหนังยางเผยต้นคอขาวที่พราวไปด้วยเม็ดเหงื่อ พลิกตำราเล่มหนาออกอ่านได้ไม่กี่หน้าก็ต้องใช้หลังมือปาดหยาดน้ำที่ย้อยอยู่ข้างแก้ม กระทั่งไม่อาจทนต่ออุณหภูมิได้อีกต่อไปจึงลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์มือถือเดินไปหยุดยังริมหน้าต่าง ทอดตามองไปยังห้องแถวฝั่งตรงข้ามที่ดูเงียบเชียบ ตัดสินใจลากนิ้วเรียวลงบนหน้าจอสัมผัสก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูพลันเสียงรอสายของหมายเลขปลายทางก็ดังขึ้น


...ในบางเวลาที่เธอนั้นยิ้มเป็นสุข ฉันแอบเก็บความหวังไว้

เผื่อในวันนึงที่เธอนั้นพร้อมเข้าใจ ฉันอยากอธิบาย

ความทรงจำดี ๆ ที่ฉันมีอยู่ ล้วนมีเธอประกอบไว้                                                   

แต่ความเป็นจริงที่ฉันไม่พร้อมจะไป เริ่มสิ่งใหม่กับเธอ...




‘เพลงโบราณจัง’


ทันตแพทย์หนุ่มอมยิ้มแต่ก็ยังเงี่ยหูฟังอยู่อย่างนั้น กระทั่งจบคนที่ปลายสายก็ยังไม่กดรับสักที บารมีจึงกดวางหย่อนโทรศัพท์คืนลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกจากห้องนอน จุดหมายคือร้านตัดผมบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เจ้าของตาสวยมองซ้ายมองขวาเห็นไม่มีรถผ่านมาจึงพาร่างผอมบางข้ามมาหยุดหน้าห้องแถวสองชั้นที่วันนี้ประตูเหล็กด้านหน้าถูกลากเข้าหากันแง้มช่องขนาดพอดีสำหรับคนเดินเข้าออกได้เท่านั้น ชายหนุ่มอาศัยความคุ้นเคยแทรกตัวผ่านช่องประตูเข้าไปด้านในกล่าวสวัสดีช่างปริญญาผู้เป็นเจ้าของร้านที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้ตัดผมจากนั้นจึงขอตัวเข้าไปทักทายภรรยาของเขาซึ่งกำลังง่วนอยู่กับงานในครัว


“มาหาลี้น้อยเหรอบะหมี่” เจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนเอ่ยขึ้น


“หมี่แวะมาให้ป๊าช่วยตัดผมให้น่ะครับ เมื่อกี้จะโทร.มาถามลี้น้อยว่าป๊าอยู่หรือเปล่าแต่ไม่เห็นรับสายหรือว่ากลับนครปฐมไปแล้วครับ”


“แม่ถามบอกจะกลับวันอังคารนะ เห็นว่าพรุ่งนี้ไม่มีเรียน เมื่อคืนก็นั่งทำงานส่งอาจารย์จนดึก สงสัยจะหลับละมั้ง ว่าแต่บะหมี่เถอะทานอะไรมาหรือยัง แม่ต้มจับฉ่ายเพิ่งเสร็จ ทานเสียหน่อยไหม”


“ไม่เป็นไรครับแม่ หมี่ทานข้าวกลางวันแล้ว เดี๋ยว...” ยังพูดไม่ทันจบเสียงหาวยาวเหยียดก็ทำเอาคนที่กำลังคุยกันอยู่พากันอมยิ้ม


“แม่คร้าบบบบ มีอะไรกินบ้าง” ชายหนุ่มผมเผ้ายุ่งเหยิงเอ่ยขึ้นทันทีที่โผล่หน้าเข้ามาในครัว


“มีต้มจับฉ่าย” พูดจบผู้เป็นแม่ก็หันไปเปิดฝาหม้อสแตนเลสใบใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเตา ตักต้มสารพัดผักที่ทำไว้ร้อน ๆ ใส่ลงในชาม  เท่านั้นกลิ่นหอมก็คลุ้งไปทั่วบ้านจนคนเพิ่งตื่นนอนท้องร้องโครก


“เอาไข่เจียวด้วยไหม แม่จะทอดให้”


“เอาครับ” ปราณกล่าว เห็นว่าในครัวไม่ได้มีเฉพาะตนเองกับแม่ก็แปลกใจ “อ้าวเฮีย มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”


“จะมาให้ป๊าตัดผมให้น่ะ”


ลูกชายเจ้าของบ้านพยักหน้าก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำดื่มพลางมองดูแม่ที่กำลังตอกไข่ใส่ชาม


“ลี้น้อยไปสระผมให้เฮียหมี่สิ เดี๋ยวแม่จะทอดไข่ให้”


เจ้าของชื่อผงกหัวหงึก อาการง่วงเหงาหาวนอนที่ยังไม่อาจสลัดทิ้งได้ทำให้เขาเหมือนคนไม่ได้สติ ชายหนุ่มวางแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะเดินโงนเงนไปออกจากครัวเพื่อเตรียมผ้าขนหนูและน้ำยาสระผมรอลูกค้าคนสำคัญ ครู่หนึ่งเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังมาจากหลังบ้าน


“เฮีย! มาเร็ว ให้ว่อง ฮ้าวววววว!!!”


“อ้าปากกว้างะวังแมลงวันจะเข้าปาก” บารมีกล่าวขณะเดินมาหยุดที่เตียงสระผม “ตื่นหรือยังเนี่ย โทร.มาก็ไม่รับ ปล่อยให้ฟังเพลงอยู่ได้”


“ก็มันง่วงนี่เฮีย เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ตั้งตีสาม” พูดพลางจัดการสวมผ้ายางรองไหล่ให้ร่างเล็กที่กำลังเอนหลังลงมา


“งานเยอะเหรอ” บารมีเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาทอดมองที่ปลายเท้าของตนเอง ได้ยินเสียงเปิดฝักบัวพลันความเย็นของน้ำไหลรดลงบนศีรษะกระนั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงปลายนิ้วอุ่นที่แทรกลงมาในกลุ่มผม เพียงมือหนาออกแรงบวดนวดเบา ๆ กลิ่นน้ำยาสระผมก็ลอยวนอยู่ที่ปลายจมูก สบายเสียจนอยากจะวางเรื่องราวที่ทำให้ต้องหนักใจแล้วหลับตาลงปล่อยให้มือนั้นพาไปที่ไหนก็ได้แล้วแต่เขาจะพาไป


“อือ เยอะมากเลยเฮียปลายเทอมก็แบบนี้แหละ เดี๋ยวพอขึ้นปีสี่ก็ต้องหาที่ฝึกงานอีก”


“เร็วเหมือนกันเนอะ เผลอเดี๋ยวเดียวก็จะเรียนจบแล้ว” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวก่อนเงยหน้าขึ้นประสานดวงตาที่กำลังมองลงมาเช่นกัน


“ขอบคุณนะเฮีย”


“ขอบคุณเรื่องอะไร”


“ก็เรื่องที่ช่วยพูดกับป๊าให้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมคงต้องไปเรียนวิศวะแน่ ๆ” พูดจบก็เปิดน้ำจากฝักบัวล้างฟองออกจากเส้นผมหนานุ่มมือ “หลับตานะเฮีย เดี๋ยวฟองเข้าตา” 


บารมีหลับตาลงอย่างว่าง่าย จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่อีกฝ่ายสระผมให้มันเมื่อไรกัน แต่ที่รู้ก็คือไม่ว่าครั้งไหนปราณก็ยังคงทำด้วยความเบามือไม่มีเปลี่ยน ได้ยินเสียงผิวปากดังหวีดหวิวอยู่ไม่ห่างหูซึ่งก็เป็นทำนองเพลงเดียวกันกับที่เขาได้ฟังจากโทรศัพท์เมื่อสักพักใหญ่ ๆ ที่ผ่านมา
   

...


หลังจากสระผมให้บารมีแล้วปราณก็เดินกลับเข้ามาในครัว มองไปยังโต๊ะอาหารเล็ก ๆ ที่ปกติจะนั่งกันสามคนพ่อแม่ลูกก็เห็นมีกับข้าวที่เขาชอบและข้าวสวยร้อน ๆ ซึ่งแม่ตักไว้รอ ชายหนุ่มนั่งลงรีบหยิบช้อนแบ่งไข่เจียวสีเหลืองทองใส่ในจานของตัวเองจากนั้นก็ใช้ส้อมเขี่ยข้าวขึ้นโปะแล้วจึงส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ จนแม่ที่ยืนดูอยู่ตั้งแต่แรกอดห่วงไม่ได้ว่าจะติดคอจนต้องรินน้ำเตรียมไว้ใกล้มือ


“กินช้า ๆ สิลูก เดี๋ยวติดคอกันพอดี ทำอะไรไม่เรียบร้อยเลย” เธอกล่าวก่อนจะละสายตาจากลูกชายมองผ่อนช่องประตูไปยังคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไฮดรอลิกหน้ากระจกบานใหญ่ “ทำไมไม่เอาอย่างเฮียบะหมี่เขาบ้างนะลูกนี่”


“โธ่...มันคนละคนกันนะแม่ ให้ลี้ทำตัวนิ่ง ๆ แบบเฮีย ใครทำอะไรก็ไม่โกรธ เอาแต่ยิ้มรับ วัน ๆ เอาแต่อ่านหนังสือ พอดีหลับ ลิงหลับน่ะแม่เคยได้ยินไหม” ปราณพูดขึ้นทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก นึกขำในใจที่ใคร ๆ ก็พากันพูดถึงพี่ชายบ้านตรงข้ามของเขาว่าเป็นคนสุขุมบ้างละ เรียบร้อยบ้างละ จริง ๆ แล้วบารมีคนนี้ก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ ที่มีหลากหลายความรู้สึก ชอบกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด ขี้บ่นยังกับผู้หญิง เวลาทำผิดทีไรก็มักจะบ่นจนหูชายิ่งกว่าแม่เสียอีก เกิดโมโหจัด ๆ ขึ้นมาเมื่อไรละก็หน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ที่ไหนไม่มีเกรงใจทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้เห็นง่าย ๆ นักหรอกเวลาเฮียหมี่โกรธ เพราะถ้าใครทำให้เฮียแกโกรธได้แสดงว่าคนนั้นดวงซวยจริง ๆ


กินฝีมือแม่จนพุงกางปราณก็จัดการล้างจานชามเก็บคว่ำจนเสร็จ เมื่อหันกลับมาก็พบว่าดวงตาแสนอ่อนโยนยังคงจับจ้องไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งนิ่งให้ป๊าของเขาช่วยเสริมหล่อให้ ไม่นานผมที่เคยละลูกตาและเคลียอยู่กับต้นคอก็ถูกตัดออกปล่อยลงกองกับพื้น ที่ยังดูขัดกับบุคลิกก็คงเป็นหนวดเคราที่ขึ้นครึ้มอยู่เหนือริมฝีปาก เห็นแล้วก็อดหวนนึกถึงหนุ่มน้อยที่ได้พบกันครั้งแรกไม่ได้


“นี่ถ้าโกนหนวดเสียหน่อยจะน่ารักลูกว่าไหม”


ผู้เป็นแม่หันมาถามความเห็นแต่ลูกชายกลับเสมองไปทางอื่นพลางเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเร็วรัวจนเกือบจะเท่าจังหวะการเต้นของหัวใจในขณะนี้ ในที่สุดคำพูดชื่นชมที่ยังดังไม่ขาดปากก็ทำให้ปราณอดรนทนไม่ไหวต้องแอบช้อนตาขึ้นมองข้ามบ่าเล็กไปยังเงาสะท้อนบนกระจกบานใหญ่ เห็นผมเผ้ารกรุงรังถูกตัดแต่งเป็นรองทรงสูงเปิดหน้าผากเผยแผงคิ้วหนา  และป๊าก็กำลังใช้แปรงขนสัตว์แตะครีมโกนหนวดป้ายที่เหนือริมฝีปากสีเรื่อก่อนจะย้ายมาละเลงบนสันกรามข้างหนึ่งแล้วลากไปยังอีกข้างหนึ่ง จากนั้นจึงใช้ใบมีดอย่างดีค่อย ๆ โกนออก ไม่กี่อึดใจหนวดครึ้มที่บดบังใบหน้าก็ถูกกำจัดจนหมด มองปากนิดจมูกหน่อยแล้วรู้สึกว่า ‘น่ารัก’ ไม่ผิดจากที่แม่พูดเลยสักนิด จู่ ๆ ไอร้อนก็เห่อขึ้นที่ข้างแก้มอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยจนต้องหันกลับมาก้มมองแม่ที่ลุกขึ้นเดินไปยกตะกร้าผลไม้มาวางบนโต๊ะ


“ป๊าเขาชอบเด็กผู้หญิง” ผู้เป็นแม่เริ่มพูดถึงความหลังพร้อมกับจรดคมมีดลงบนเปลือกหนาของส้มผลโต “เจอบะหมี่ครั้งแรกตอนที่แม่เขาพามาเยี่ยมอากู๋ขจร ตอนนั้นแม่กำลังตั้งท้องลูก ป๊าแกบอกว่าเห็นบะหมี่แล้วชอบ เป็นเด็กผู้ชายแต่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักยังกับเด็กผู้หญิง”


“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าป๊าอยากได้ลูกสาวน่ะสิแม่”


คนเป็นแม่ดึงสายตากลับพลางพยักหน้า ทำเอาความหม่นหมองปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้เป็นลูกชายทันที


“แล้วผิดหวังไหมตอนที่รู้ว่าได้ลูกชาย”


“ไม่เลย ป๊าบอกว่าจะลูกสาวหรือลูกชายก็รักทั้งนั้น”


คนฟังกำมือแน่นรู้ดีว่าสิ่งที่ผู้ให้กำเนิดกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริง แม้ครอบครัวจะไม่ได้ร่ำรวยนักแต่ที่ผ่านมาพ่อกับแม่ดูแลเอาใจใส่จนเขาไม่รู้สึกว่าขาดอะไร มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ยังคงค้างคาใจ ลูกชายเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นแม่อีกครั้งก่อนจะตัดสินใจถามคำถามที่เขาเก็บงำเอาไว้ภายในใจมาหลายปี


“แล้วที่ลี้เรียนวาดรูปล่ะแม่ ป๊ากับแม่ผิดหวังไหม”


แม่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอื้อมมือแตะที่ข้างแก้มลูกชาย “ก็อย่างที่ลูกรู้ ตอนแรกป๊าไม่ค่อยชอบใจเท่าไร แต่พอได้คุยกับบะหมี่ป๊าก็เปลี่ยนความคิดไปเลย ลูกรู้ไหมว่าบะหมี่บอกป๊าว่ายังไง”


ปราณมองผู้หญิงที่เขารักที่สุดอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก สิ่งที่เขารู้ก็คือบารมีช่วยพูดกับป๊าให้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยเล่าให้ฟังเลยว่าพูดอะไรกันบ้าง


“บะหมี่บอกว่าจริง ๆ เขาอยากเรียนจิตวิทยา อยากเข้าใจคนอื่น อยากช่วยคนที่มีปัญหาทางจิตใจ แต่ที่เลือกเรียนทันตแพทย์บะหมี่บอกว่าถ้าเป็นหมอฟันได้เหมือนกับพ่อ พ่อก็คงจะภูมิใจ แต่ลูกก็เห็นแล้วว่าคุณหมอบวรเขารู้สึกกับบะหมี่ยังไง” ผู้เป็นแม่เลือกที่จะกล่าวเพียงแค่นั้นก่อนจะวกกลับมาเรื่องเดิม “บะหมี่เล่าให้ป๊าฟังว่าพอเข้าไปเรียนถึงรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายเลย บางครั้งก็เหนื่อยจนอยากจะร้องไห้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ล้มเพราะทำในสิ่งที่ตัวเองรักมันยังพอจะมีกำลังใจให้ลุกขึ้นก้าวต่ออยู่บ้าง”


คนฟังน้ำตาแทบร่วง ไม่ใช่เพราะได้ยินว่าอีกฝ่ายทำอะไรให้ตนบ้างหากแต่เป็นเพราะสะเทือนใจที่ได้รับรู้ว่าคนที่มักยิ้มให้กับทุกสถานการณ์ก็มีเรื่องราวสาหัสเก็บซ่อนไว้ในภายใจเหมือนกัน ชายหนุ่มเดินออกครัวมองไปยังผนังด้านหนึ่งที่ป๊าของเขาเพิ่งปลดรูปลงมาเช็ดทำความสะอาดเมื่อสัปดาห์ก่อน และเขาก็เป็นคนอาสาปีนขึ้นไปติดมันไว้เหมือนเดิม ตอนนั้นนึกสงสัยว่าทำไมป๊าจึงให้ติดเบียด ๆ กันเพื่อจะได้มีพื้นที่เหลือ กระทั่งถามไปถามมาผู้เป็นพ่อก็อ้อมแอ้มตอบว่าเว้นเอาไว้รอรูปลูกชายในวันรับพระราชทานปริญญาบัตรทั้งที่อีกเป็นปีกว่าเวลานั้นจะมาถึง ปราณฟังแล้วยังอดหัวเราะในอาการขี้เห่อของช่างตัดผมประจำตัวของเขาไม่ได้


ในจำนวนภาพที่เรียงรายอยู่บนผนังสีหม่นนั้นมีภาพในวันรับพระราชทานปริญญาบัตรของบารมีรวมอยู่ด้วย ภาพนั้นประกอบด้วยญาติ ๆ ที่ไปร่วมแสดงความยินดีซึ่งก็คืออากู๋ขจร ป๊ากับแม่และตัวเขาเอง แม้จะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแต่มันกลับเป็นภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นที่สุดจนป๊าต้องเอามาใส่กรอบแล้วติดโชว์ หลายต่อหลายครั้งที่ลูกค้าหน้าใหม่มักเข้าใจผิดว่านั่นคือภาพของลูกชายคนโตของป๊า ซึ่งป๊าก็ทำเออออห่อหมกไปกับเขาด้วย 


ปราณกัดปากแน่นหวังจะกลั้นไม่ให้น้ำใสล้นออกจากสองตา แต่ทว่ามันยากเหลือเกิน ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาเดินเงียบ ๆ ขึ้นบันไดพลางนึกถึงคำที่แม่พูด


‘ถ้าเป็นหมอฟันเหมือนพ่อแล้วพ่อจะภูมิใจ’
อยากจะหัวเราะดัง ๆ ให้กับประโยคนั้น ไม่รู้ว่าทันตแพทย์บวรจะรู้สึกภูมิใจขนาดไหนกัน ในงานสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกชายคนเดียวถึงได้ไร้ซึ่งเงาของเขา
เจ้าของร่างสูงผลักประตูเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง นึกถึงชายวัยกลางคนที่ไม่ยอมให้ลูกชายใช้นามสกุลเดียวกันซ้ำยังบังคับให้เรียกตนเองต่อหน้าคนอื่นว่าอาจารย์หมอแล้วรู้สึกเจ็บใจแทนนัก


‘ฉันอายที่แกเป็นแบบนี้ เป็นผู้ชายแต่กลับทำตัวตุ้งติ้งอ่อนแอเหมือนผู้หญิง’ นั่นคือคำพูดที่ออกจากปากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้าในวันที่บารมีหอบเอาชุดครุยไปยืนรอขอถ่ายรูปด้วยที่หน้าตึกคณะในมหาวิทยาลัยที่คุณหมอบวรเป็นอาจารย์พิเศษอยู่


มือหนาที่กำผู้ปูที่นอนแน่นคลายออกก่อนจะยกขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง วินาทีนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนจะแง้มออกตามด้วยใบหน้ากลี้ยงเกลาของใครบางคนที่โผล่เข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม


“เข้าไปได้ไหม”


“ด...ได้ ได้สิ” ปราณกล่าวเสียงขึ้นจมูก คว้าหนังสือที่วางอยู่หัวเตียงมาเปิดอ่าน “เฮียมีอะไรหรือเปล่า”


“เมื่อกี้เห็นหน้าเครียด ๆ ก็เลยขึ้นมาดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า” พูดจบบารมีก็นั่งลงข้าง ๆ และถามคำเดิมซ้ำ “ว่าไง เป็นอะไรหรือเปล่า”


“เปล่านี่”


“จะเชื่อได้ไหม หน้าตามันฟ้องออกอย่างนี้” กล่าวพลางดึงหนังสือจากมือคนที่พยายามปิดบังคราบน้ำตามาวางไว้บนตัก ทำเหมือนที่เคยทำเมื่อครั้งที่สองคนยังเป็นเด็ก “ไหน...บอกเฮียซิ ลี้น้อยเป็นอะไร”


ปราณเงยหน้าขึ้นสบตา ในวินาทีที่คำพูดแฝงความห่วงใยนั้นหลุดออกจากปากของคนตรงหน้าก็รู้ว่าตนเองไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป ร่างใหญ่โผเข้าหาพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่เล็กจนบารมีเองแทบตั้งตัวไม่ทัน แต่สุดท้ายมือบางยกขึ้นก่อนจะลูบลงเบา ๆ บนแผ่นหลังกว้าง


“เป็นอะไรไป เล่าให้ฟังได้ไหม”


คำถามนั้นทำคนฟังต้องพยายามกลั้นสะอื้นจนร่างไหวสั่นสะท้าน อดคิดไม่ได้ว่าทำไมคนในอ้อมแขนนี้จึงได้เก่งเหลือเกินที่สามารถสะกดความรู้สึกของตัวเองได้ทั้งที่ในใจทุกข์หนักแต่กลับห่วงใจใส่ใจคนอื่นไปเสียหมด


“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”


“คิดอะไรถึงทำให้ต้องร้องไห้แบบนี้บอกซิ”     


“ค...คิด คิดว่าป๊ากับแม่จะอายคนอื่นไหมเวลาที่ต้องตอบคำถามใคร ๆ ว่าลี้เรียนอะไร เรียนจบแล้วจะไปทำงานอะไร” ปราณกล่าว แต่ในใจกลับพูดคำ ‘ขอโทษ’ เป็นร้อยหนที่ต้องโกหก


“โธ่...เรื่องแค่นี้เองทำร้องไห้เป็นเด็ก ๆ ไปได้”


“ม...ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” คนพูดผละออกรีบเช็ดน้ำหูน้ำตา ปากก็ยังโต้เถียง “โตแล้ว”


บารมียิ้มพลางโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อได้ฟัง เห็นมีแต่เขาอยากจะหวนวันเวลาเพื่อคืนสู่วัยเด็กกันทั้งนั้น แต่น้องชายบ้านตรงข้ามคนนี้กลับอยากโตเป็นผู้ใหญ่ จะรู้ไหมหนอว่าการเป็นผู้ใหญ่นั้นมันยากและเหนื่อยขนาดไหน


“ทำไมถึงอยากโตเป็นผู้ใหญ่นัก มันไม่ได้สนุกอย่างที่คิดหรอกนะ แกรู้ไหมว่าฉันน่ะอยากให้แกตัวเล็ก ๆ เป็นเด็กผู้ชายแก้มยุ้ยเหมือนกับที่เราพบกันครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ ไม่อยากให้โตเลย”


“เป็นผู้ใหญ่จะได้ไม่ถูกใครรังแก”


“หรืออาจจะโดนรังแกจนไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นมาวิ่งเล่น ยิ้ม หรือหัวเราะเลยก็ได้นะ” บารมีกล่าวพร้อมกับแตะมือลงข้างแก้มที่ยังคงชื้นด้วยคราบของความเสียใจ ใช้นิ้วหัวแม่มือซับหยาดน้ำที่ยังคงค้างอยู่ใต้ดวงตาให้


ปราณสบตาคู่สวยที่กำลังมองมาก่อนจะรั้งข้อมือเล็กวางบนตัก ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะต้องพูดมันออกไป “โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะได้ปกป้องคนที่เรา...ร...รัก” ท้ายประโยคนั้นราวกับสายลมในความเวิ้งว้างว่างเปล่าแผ่วเบาจนแทบไม่มีเสียง


“ถ้าป๊ากับแม่ได้ยินคงชื่นใจนะที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคิดได้แบบนี้” เจ้าของร่างเล็กกล่าวพลางยกมือขึ้นวางบนบ่ากว้าของคนตรงหน้าพร้อมกับบีบเบา ๆ “ฉันเชื่อว่าเขาต้องภูมิใจในตัวแก ไม่ว่าแกจะเป็นอะไร”


‘ม...ไม่ใช่ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น’


นึกอยากจะเถียง แต่ที่สุดแล้วก็จำต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอเพราะ...กลัว


...


...ก็เป็นเพราะกลัวไม่เป็นเหมือนวันก่อน กลัวไม่เป็นอย่างใจหวัง
เก็บส่วนลึกของใจไว้ห่าง ไม่คู่ควรกับใคร
มันคงจะดีที่เราก็ยังได้เจอ แลกเปลี่ยนผ่านความห่วงใย
ส่วนใจตัวเองก็ยังไม่เคยเข้าใจ เริ่มอะไรไม่เป็น...



นิ้วหนากดแป้นพิมพ์เพิ่มความดังจนเสียงเพลงรอดผ่านหูฟังแบบครอบศีรษะ ปล่อยให้คำร้องและทำนองก้องอยู่ในโสตประสาทดีกว่าต้องฟังเสียงก่นด่าตัวเองที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะเผยความรู้สึกภายในใจออกมาได้   


‘คงจริง...ที่เขาว่ากันว่า เพลงมักจะบอกอารมณ์ของคนฟัง ณ ขณะนั้น’


ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังประโยคหนึ่งซึ่งถูกพิมพ์ค้างไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ความกลัวทำให้เขาต้องอาศัยไดอารี่เป็นเพื่อนคุยยามที่ไม่สามารถระบายความรู้สึกให้ใครฟังได้ แม้แต่ชายหนุ่มบ้านตรงข้ามที่เขายกให้เป็นพี่ชายที่สนิทที่สุด แต่นั่นมันเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันเปลี่ยนไปแล้ว


ปราณดึงหูฟังออกจากหูก่อนจะผุดลุกขึ้นเดินออกจากห้องนอน คว้ากุญแจเปิดประตูบ้านก่อนจะเดินไปตามถนนสายเล็ก ๆ ที่วิ่งเล่นมาแต่เด็ก อาศัยแสงจากเสาไฟฟ้าเป็นเพื่อนเดินทางในยามที่เพื่อนบ้านต่างก็พากันปิดไฟเข้านอนกันหมด ในใจยังคงครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ลูกชายเจ้าของร้านตัดผมหายไปจากบ้านพักใหญ่ก็กลับมาพร้อมกับถุงปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้ในมือ หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากดส่งข้อความขณะหยุดที่กลางถนนมองขึ้นไปยังห้องนอนบ้านฝั่งตรงข้ามที่ยังคงเปิดไฟสว่าง


ไม่นานก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ด้านใน เสียงไขกุญแจดังขึ้นก่อนที่ประตูบานเฟี้ยมจะแง้มออก ปราณเลื่อนตาขึ้นจากถุงในมือสบตาหลานชายเจ้าของบ้าน เพิ่งได้เห็นหน้าเขาชัด ๆ แบบที่ไม่มีม่านน้ำตามาบดบัง ใบหน้าที่มองที่ไรก็ไม่เบื่อสักที ดวงตาคู่งามใต้แผงคิ้วเรียงเส้นกำลังมองประสานมา แสดงออกชัดเจนว่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่พบตนเองยืนอยู่ตรงนี้ในเวลานี้


“มีอะไรหรือเปล่า”


“ซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาฝาก”


“ขอบใจนะ” บารมียิ้ม รับถุงที่อีกฝ่ายส่งให้ “แล้วทำไมไม่ใส่ถังมา”


“พอดียังไม่ได้เข้าบ้าน เห็นไฟห้องเฮียเปิดอยู่ก็เลยแวะให้”


เจ้าของคำถามพยักหน้าพลางมองคนตัวสูงที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าด้วยแววตาสงสัย “มีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีฉันจะเข้าบ้านแล้ว”


“ค...คือว่า...”


“หืม? มีอะไร”


“คือ...”


“ว่าไง มีอะไรก็พูดมาสิ อ้ำอึ้งอยู่ได้”


“คือ...ผ...ผม...” ปราณถอนใจเฮือกก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “อยากจะขอบคุณน่ะ”


“เรื่องอะไร”


“หลาย ๆ เรื่อง แล้วก็...ขอโทษนะที่คงเป็นน้องชาย...ตัวเล็ก ๆ ของเฮียไม่ได้” ประโยคหลังเร็วรัวจนแทบจะฟังไม่ทัน ซ้ำทำเอาคนฟังข้องใจหนัก


“หมายความว่ายังไง”


“ก็เพราะ...เพราะผมตัวใหญ่แล้วน่ะสิ จะให้เป็นน้องชายตัวเล็ก ๆ ของเฮียได้ยังไงกัน” ปราณหัวเราะแห้ง ๆ สุดท้ายก็ต้องทำตลกกลบเกลื่อน


...

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-09-2015 02:04:50
(ต่อนะคะ)


กว่าหนึ่งเดือนที่โรงพยาบาลนรินทรทำการคัดเลือกบุคคลที่ประสงค์จะร่วมงานกับโรงพยาบาล ในที่สุดก็ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสัมภาษณ์ ซึ่งชื่อของ ‘บารมี นราธิป’ ปรากฏอยู่ในนั้น หากแต่เจ้าของชื่อกลับยังทำงานอย่างแข็งขันอยู่ที่เดิม บารมีละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้  รั้งหน้ากากอนามัยขึ้นปิดถึงจมูกก่อนจะสวมถุงมือยางเมื่อได้ยินเสียงคนไข้รายสุดท้ายเปิดประตูเข้ามา ทันตแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวซึ่งมาพร้อมเด็กชายวัยสามขวบที่เอาแต่เกาะแม่แจ แม้จะพบกันครั้งหนึ่งแล้วแต่ดวงตาของหนูน้อยยังคงไว้ซึ่งแววแห่งความตื่นกลัวจนคุณหมออดนึกหวั่นใจไม่ได้   


“กัปตันสวัสดีคุณหมอก่อนลูก” คุณแม่สาวสวยกล่าวพร้อมกับใช้มือดุนหลังลูกชาย แต่สุดท้ายก็เป็นคุณหมอที่ต้องกล่าวสวัสดีหนุ่มน้อยและคุณแม่แทน

“สวัสดีครับกัปตัน มานั่งข้าง ๆ หมอเลยครับ”


เพียงเท่านั้นเด็กชายก็เริ่มหน้าเบ้จนคุณหมอต้องหันไปสบตากับผู้ช่วยทันตแพทย์ที่ผ่านศึกมาด้วยกันในครั้งก่อน


“ขึ้นนั่งบนเก้าอี้สิลูก” ผู้เป็นแม่กล่าวพร้อมทั้งรั้งแขนลูกชายให้ก้าวขึ้นนั่งบนเก้าอี้ทำฟัน กระนั้นเด็กชายก็ยังทำอิดออดเกาะแขนแม่ไม่ยอมปล่อยซ้ำยังแกล้งทิ้งน้ำหนักลงให้ต้องยื้อยุดฉุดกระชากกันเสียอีกด้วย


“เร็วสิลูก อย่าดื้อนะคะ เดี๋ยวคุณหมอจับฉีดยานะ”


บารมียิ้มเจื่อน คุณแม่จะรู้ไหมว่าประโยคนั้นของเธอกำลังทำให้ความกลัวหมอฟันของลูกชายปะทุขึ้นอีกแล้ว ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมบรรดาพ่อ ๆ แม่ ๆ ที่พาลูกมาพบทันตแพทย์ถึงชอบใช้มุกนี้ 


“อะ...เอ้อ น...นั่งก่อนนะครับ หมอขอดูฟันหน่อย”


“กัปตัน...” หญิงสาวลากเสียงพร้อมส่งสายตาดุ ๆ หนูน้อยของเธอจึงยอมขึ้นนั่งบนเก้าอี้


“ดีมากครับ หมอขอปรับเก้าอี้หน่อยนะ” ทันตแพทย์ผู้ใจดีกล่าวพร้อมกับกดปุ่มปรับเก้าอี้ให้อยู่ในแนวราบ ก่อนจะดึงไฟต่ำลง “ทีนี้อ้าปากนะครับ” พูดพลางส่ง Mouth Mirror  ซึ่งเป็นกระจกเล็ก ๆ ที่มีด้ามจับยาวเข้าไปในช่องปากเล็กก่อนจะรั้งกระพุ้งแก้มเพื่อตรวจดูฟันในส่วนที่มองเห็นได้ยาก


“หมอขอนับฟันหน่อยว่ามีกี่ซี่กันนะ” คุณหมอหนุ่มใช้โลหะปลายแหลมตรวจสภาพผิวฟันเพื่อหาว่ามีส่วนที่ผุหรือไม่พร้อมกับนับจำนวนของฟันให้เด็กชายได้ยินไปด้วย “กัปตันมีฟันยี่สิบซี่แล้วนะ แข็งแรงด้วย แต่ว่าเดี๋ยวหมอจะให้ยาวิเศษไว้ป้องกันฟันผุนะครับ”


มือที่สวมถุงมือยางพาราเอื้อมหยิบที่ขัดฟันสอดเข้าในช่องปากก่อนจะปล่อยให้หัวที่เป็นยางหมุนวนไปบนผิวฟันให้เหลือคราบน้อยที่สุด ตามด้วยการทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟัน เมื่อเรียบร้อยคุณหมอก็ให้เด็กชายกัปตันลุกขึ้นป้วนปากแล้วหลอกล่อให้นอนลงอีกครั้ง


“หมอขอเช็ดฟันให้แห้งก่อนนะแล้วเดี๋ยวหมอจะระบายสีฟันให้กัปตัน ฟันของกัปตันจะได้แข็งแรงนะครับ” ขณะพูดก็หยิบผ้าก๊อซเช็ดทำความสะอาดผิวฟันซ้ำอีกครั้งจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นบอกผู้ช่วยทันตแพทย์ “ซัคชันครับ”


ทันทีที่ได้ฟังหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็สอดปลายท่อเข้าในปากของหนูน้อยที่ยังคงนอนนิ่งเพื่อดูดดน้ำลายจนหมดแล้วดึงท่อออกจากปาก มองดูคุณหมอมือเบาที่กำลังใช้พู่กันแต้มฟลูออไรด์วานิชทาลงบนผิวฟันทีละซี่จนครบ


“เรียบร้อย” กล่าวพลางคลายมือออกปล่อยให้หนูน้อยลุกขึ้นนั่ง รู้สึกว่าการทำงานกับเด็กเล็ก ๆ นอกจากจะต้องใช้วิธีการหว่านล้อมต่าง ๆ นานาแล้วยังต้องทำเวลาให้ทันกับความอดทนของเด็ก ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะหมดลงเมื่อไรอีกด้วย บารมียิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นแล้วว่าวันเด็กชายกัปตันให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม ผิดกับตอนที่มาตรวจฟันเมื่อคราวก่อน ทันทีที่หนูน้อยกระโดดลงจากเก้าอี้ ทันตแพทย์หนุ่มก็หันไปพูดกับผู้เป็นแม่ที่เฝ้ามองลูกชายไม่ห่าง “วันนี้ก็งดอาหารแข็งและงดการแปรงฟันไปก่อนนะครับคุณแม่”


หลังจากคนไข้อายุน้อยที่สุดของวันนี้ออกไป ผู้ช่วยทันตแพทย์ก็เตรียมทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ในขณะที่คุณหมอเองก็ย้อนกลับไปนั่งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบตารางงงานของตนเอง ครู่หนึ่งเสียงประตูก็ถูเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง


“คนไข้นัดไว้หรือเปล่าคะ ไม่เห็นมีประวัติเลย ดิฉันคิดว่าหมดเคสแล้วเสียอีก” หญิงสาวคนเดียวในห้องเอ่ยขึ้น นั่นทำให้บารมีจำต้องละสายตาจากหน้าจอหันกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น


“นัดไว้ครับ” ผู้มาใหม่กล่าวพลางเบนสายตาสบกับอีกคนที่กำลังมองมาที่ตนเอง


“เอ่อ...คือ...” ผู้ช่วยคนสวยหันซ้ายทีหันขวาทีมองคนไข้สลับกับคุณหมอที่ยังคงนิ่งเงียบ


เมื่อเห็นท่าทีอึกอักของผู้ช่วยสาว บารมีจึงเอ่ยขึ้น “เพื่อนผมเองครับ เรากำลังจะออกไปคุยกันข้างนอก” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นส่งสายตาเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาพูด จากนั้นจึงเดินผ่านร่างสูงออกจากห้องทำงานจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกไปพบกับคนที่ยืนรออยู่ด้านนอก


“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่วรรษถึงได้มาที่นี่” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงลานจอดรถด้านหลังโรงพยาบาล


“พี่เห็นประกาศรายชื่อพนักงานใหม่ของโรงพยาบาลมีชื่อหมี่ วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกแต่ไม่เห็นหมี่ไปที่นั่นก็เลยจะมาถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น”


“ไม่มีอะไรครับ ก็แค่ลองไปสัมภาษณ์ดู อย่างที่เคยบอกพี่วรรษนั่นละครับว่าที่นี่ก็ดีอยู่แล้วหมี่ก็เลยไม่ได้ไปรายงานตัว ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมี่ขอตัวก่อนนะครับ” กล่าวพลางเอื้อมมือเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่คนขับในขณะที่ร่างสูงที่ตามหลังมาก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งก่อนจะถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามานั่งข้าง ๆ กัน


“พี่วรรษเข้ามาทำไมครับ หมี่จะกลับบ้าน” เจ้าของรถมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย


“พี่ไม่ได้เอารถมาคงต้องรบกวนให้หมี่ไปส่ง” คนพูดวางหน้านิ่งแต่ในใจกลับยิ้มที่วันนี้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง


“ที่ไหนครับ”


“ที่เดิม”


บารมีถอนใจพลางจำต้องติดเครื่องแล้วออกรถในที่สุด


ระหว่างทางวรรษวรขอให้เจ้าของรถช่วยแวะที่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ห่างจากคอนโดของเขานัก ทันตแพทย์หนุ่มที่ปกติไม่ค่อยมีเวลาจึงอาศัยโอกาสนี้จับจ่ายซื้อของใช้ที่จำเป็น


“ซื้อเยอะขนาดนี้แล้วจะขนขึ้นห้องหมดเหรอครับ ทำไมไม่หาเวลาทยอยซื้อ” บารมีบ่นขณะปิดท้ายรถที่เต็มไปด้วยข้าวของมากมาย


“ขนคนเดียวไม่ไหวหมี่ก็ช่วยขนสิครับ” วรรษวรยิ้มพลางสบตาคนตรงหน้า แล้วก็เป็นบารมีที่ต้องเดินหนีดวงตาคู่ที่กำลังมองมา คล้ายมีความหมายบางอย่างอะไรซ่อนอยู่ในนั้นแต่เขาก็เลือกที่จะมองข้ามมันไป


ครู่หนึ่งรถก็แล่นมาจอดที่หน้าคอนโด สัมภาระจำนวนมากทำให้บารมีไม่อาจนิ่งดูดายจำต้องช่วยอีกฝ่ายขนขึ้นไปเก็บบนห้อง และเมื่อเปิดประตูเข้าไปเขาก็พบว่าห้องยังคงเป้นระเบียบเรียบร้อยและทุกอย่างก้ดูไม่ได้ต่างไปจากเมื่อสามปีก่อนนัก นั่นคงเป็นเพราะเจ้าของห้องแทบจะไม่มีเวลาจัดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ร่างเล็กยืนนิ่งกวาดตามองไปรอบ ๆ เห็นภาพของตนเองกับวรรษวรอยู่ในแทบจะทุกมุมของห้อง มองผ่านช่องประตูที่แง้มไว้ก็เห็นว่าบนเตียงสีสะอาดตายังคงมีหมอนสองใบวางเคียงคู่กัน ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะก้าวเท้าเดินตามอดีตคนรักเข้าไปห้องครัว จัดการวางของในมือลงบนโต๊ะ 


“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาส่ง” วรรษวรเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งแก้วน้ำเย็นเฉียบให้แก่ผู้มาเยือน


“ขอบคุณครับ” บารมีกล่าวพลางรับแก้วน้ำมาถือไว้


“ไม่ได้ใส่ยานอนหลับไว้หรอก” พลันใบหน้าเรียบนิ่งก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น


“หมี่ก็ไม่ได้คิดแบบนั้น” พูดจบคนตัวเล็กก็ยกน้ำขึ้นดื่มเพื่อยืนยันในสิ่งที่พูด ชายหนุ่มวางแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะเดินตามร่างสูงออกไปที่ด้านนอก จ้องมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังนั่งลงเลือกแผ่นซีดีเสียบลงในเครื่องเล่น ไม่นานเพลงที่มีความหมายระหว่างสองคนก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นท่ามกลางแสงไฟสลัว


เจ้าของลุกขึ้นก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้า บารมียอมรับว่ารอยยิ้มของเขายังคงเป็นสิ่งที่ตนเองปรารถนาจะได้เห็นอีกครั้งนับตั้งแต่วันที่ถูกบอกเลิก


“หมี่จำเพลงนี้ได้ไหม”


“จ...จำได้ครับ”


“พี่ฟังเพลงนี้ทีไรนึกถึงสมัยที่เรายังอยู่ที่นี่ด้วยกันทุกที” พูดจบสองมือหนาก็สัมผัสเข้าที่เอวคอด รั้งร่างผอมบางเข้ามาใกล้ก่อนจะพากันโยกย้ายอย่างเชื่องช้าไปตามจังหวะเพลง “หมี่รู้ไหม ตลอดเวลาที่เราห่างกันพี่ไม่มีความสุขเลย”


“แต่พี่วรรษเป็นคนเลือกแบบนั้นเองนะครับ”


“นั่นสินะ พี่เลือกมันเอง แถมยังต้องทำให้หมี่เสียใจโดยที่หมี่ไม่ได้ผิดอะไรเลยอีกด้วย พี่นี่มันแย่จริง ๆ ตอนนั้นมัวแต่คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของหมี่เลย พี่ขอโทษนะ”


ฟังแล้วบารมีก็ได้แต่นิ่งเงียบ กระทั่งมือใหญ่เลื่อนขึ้นมาจับปลายคางเชยขึ้น “จะเป็นไปได้ไหมถ้าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”


เพียงประโยคสั้น ๆ ก็ทำจังหวะหัวใจของคนฟังเต้นรวนไปหมด บารมีชะงักกึกจนสองร่างพากันล้มลงบนโซฟา ดวงตาไหวระริกจ้องมองดวงหน้าคมกริชที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ลมหายใจร้อนรดลงที่ข้างแก้มก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะเคลื่อนชิดใบหู


“พี่รักหมี่นะ แล้วหมี่ล่ะยังรักพี่อยู่หรือเปล่า”


แม้สุ้มเสียงอันแหบพร่ากับมือไม้ที่ลูบไล้อยู่ใต้ชายเสื้อจะพาให้หวามไหว แต่บารมีก็ยังคงสะกดใจกัดฟันแน่นบอกกับตนเองว่าจะไม่ยอมให้ถ้อยคำพล่อย ๆ นำร่างจมดิ่งลงในกองไฟแห่งความปรารถนาที่อีกฝ่ายก่อขึ้นเป็นอันขาด


“พี่วรรษปล่อยหมี่เถอะครับ หมี่อยากกลับบ้านแล้ว” คนใต้ร่างกล่าวด้วยเสียงราบเรียบราวกับสายน้ำที่ไร้คลื่นรบกวนพร้อมกับใช้มือดันอกแกร่งให้ออกห่าง


“แต่พี่ไม่อยากให้หมี่กลับ” สิ้นเสียงนั้นปลายจมูกโด่งก็แตะลงที่ซอกคอขาวก่อนจะไล่ขึ้นมายังปลายคาง หมายมั่นในใจว่าจะต้องครอบครองริมฝีปากช่างตัดรอนเสียให้ได้ แต่แล้ววรรษวรก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้อย่างที่ใจคิดเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของบารมีดังขึ้น เจ้าของร่างใหญ่ถอนหายใจพรืดก่อนจะยันตัวลุกนั่งมองตามอีกคนที่ลุกยืนขึ้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากดรับสาย


“ครับแม่”


“หมี่อยู่ไหนน่ะลูก”


“อยู่บ้านเพื่อนครับ แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ” พูดพลางลอบมองเจ้าของห้องที่กำลังแสดงสีหน้าว่าไม่ค่อยพอใจนัก


“คือแม่จะรบกวนหมี่หน่อยน่ะลูก ถ้าหมี่กลับแล้วช่วยแวะดูที่บ้านให้หน่อย ลี้น้อยไม่สบายกลับมาจากนครปฐมก็นอนซมเลย ไม่รู้ว่าลืมปิดฟืนไฟบ้างหรือเปล่า พอดีแม่กับป๊ามางานศพญาติที่ต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย ค่ำ ๆ พรุ่งนี้ถึงจะกลับน่ะลูก”


“ได้ครับแม่ เดี๋ยวกลับไปหมี่จะแวะดูให้นะครับ” บารมีเงี่ยหูฟังอีก 2-3 ประโยคก็กดวางสาย หันไปกล่าวคำอำลาเจ้าของห้องไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทักท้วงก็เปิดประตูออกจากห้องไปเสียก่อน รู้สึกขอบคุณแม่ของปราณเหลือเกินที่โทร.มาได้จังหวะ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น



...


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 03-09-2015 03:40:12
มาถึงตรงนี้ได้อย่างไรที่ฉันพลาดนิยายคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าไป?  :katai1:

น้ำตาซึมเมื่ออ่านถึงอดีตของหมี่   พ่อของหมี่กับวรรษนี่เป็นคนประเภทเดียวกันเลย
อาจารย์หมอบวรคะ อยากจะบอกจังเลยว่าคุณอาจจะเป็นหมอที่เก่งปานเทพแต่คุณสอบตกวิชาความเป็นมนุษย์เบื้องต้นค่ะ  ไม่ต้องมาอ้างเรื่องภรรยาเก่าไม่สนใจครอบครัวหรอกค่ะ  หมอนอกใจเมียมานานเท่ากับที่มีหมี่   พ่อหมี่ก็เลือกตัดหมี่ที่เป็นเกย์  แต่เราว่า It's a blessing. ที่หมี่ไม่ต้องเติบโตมากับพ่อแบบคุณ

เพราะรักหมี่อคติจึงบังเกิด   เราอดคิดไม่ได้ว่าวรรษคงจะไม่ได้ตั้งใจกลับมาหาหมี่ ถ้าหากว่าวันนั้นไม่เจอรายชื่อหมี่หรือตัวหมี่เอง   ยิ่งพอผลประกาศออกมาว่าหมี่จะได้ทำงานที่เดียวกัน วรรษถึงมาหาหมี่  วรรษอาจจะคิดว่าในที่สุดหมี่ก็มีค่าคู่ควรตัวนางแล้ว   อคติเราเพิ่มมากขึ้นทำให้คิดว่าวรรษเป็นคนที่เจ้าเล่ห์จอมวางแผนจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากว่านาง Stage ในห้องด้วยที่มีรูปคู่ของหมี่กับตัวเอง  แต่ภูมิใจในตัวหมี่นะที่เดินออกมาได้   ทำงานหรูก็ไม่ได้หมายความคุณจะพอใจในสิ่งที่คุณทำ  ความสุขกับความพอใจไม่ใช่สิ่งที่เงินหรือชื่อเสียงสามารถแลกมาได้เสมอไป

เรื่องแม่ของหมี่นั้นก็ค่าจะเป็นแรงบัลดาลใจหรือสิ่งผลักดันให้นางไปข้างหน้า แต่เสียดายที่มันไร้ค่าสำหรับคนที่แม่หมี่พยายามทำให้  จนลืมเปิดตามองคนที่ใกล้ตัวและให้คุณค่ากับกับตัวแม่

หมี่คงรู้สึกเฟลพิลึกที่เสียทั้งพ่อทั้งแฟนเก่าให้กับความอยากก้าวหน้าและความร่ำรวย  แต่เรายังชื่นใจนะที่หมี่ได้มาใกล้ชิดกับครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักๆอย่างพ่อแม่ตี๋น้อย  ลืมตาเปิดใจมองใกล้ตัวนิดนะหมี่ ของดีราคาไม่แพงยังหาได้นะ

เจอคำผิดนิดค่ะ  จากบทที่ 1
มือเหยี่ยวย่น - มือเหี่ยวย่น
ถ้วยชามลามไห - ถ้วยชามรามไห
โต๊ะไม้ฝังมุข  -  โต๊ะไม้ฝังมุก
เร่มเดิน  -  เริ่มเดิน
ขั้นกลางด้วยถนน - คั่นกลางด้วยถนน
เก้าอี้ไดดรอลิก - เก้าอี้ไฮดรอลิก
กดปลายอีกด้านลองไป - กดปลายอีกด้านลงไป
โน้ตบุ๊ก - โน๊ตบุ๊ค
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 03-09-2015 08:05:31
ร้องไห้กับอดีตของหมี่ และความกลัวของลี้น้อย เราว่า ทุกคนต้องเคยผ่านความรู้สึกแบบนี้มาเหมือนกัน กลัวที่จะทำคนที่รักเสียใจ เราว่า หมี่เข้มแข็งมากนะ จิตใจเข้มแข็งมากอ่ะ


ปล. แก้คำผิดนิดนึงค่ะ
จิ้มลิ้ม ใช้ ล.ลิงค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 03-09-2015 08:44:23
นี่มันนิยายรวมผู้ชายจับฉ่าย! ผู้ชายมักง่าย! ผู้ชายมักมาก!

อุ่ยๆๆๆๆ อินเกินไปหน่อย

คือถ้าเรื่องนี้ พระเอกนายเอกจะอาภัพและน่าสงสารขนาดนี้

ทำไมลูกๆไม่หยุดมองไปข้างหน้าแล้วหันกลับมามองข้างๆกันบ้างนะ

พี่บะหมี่คะ ช่วยแลดูน้องลี้หน่อยเถอะค่ะ ดูแลมาก็นานแล้ว ไม่รู้ใจน้องบ้างเหรอคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 03-09-2015 09:10:34
ลี้น้อยจะเป็นไรมากมั่ย
ปาตอนใหม่รัวๆเลยค่ะ
(ถธปทฟ) กิกิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-09-2015 10:02:05
เฮียหมี่อย่าหวั่นไหวไปกับหมอวรรษง่าย ๆ สิ เจ็บแล้วต้องจำ
ลูกชายหลงรัก ป๊ากับแม่ก็เอ็นดู เฮียหมี่เป็นสะใภ้บ้านนี้เหอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 03-09-2015 15:09:04
อันที่จริงการกลับมาของวรรษครั้งนี้ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกันนะคะ เพราะอย่างน้อยๆ หมี่จะได้แน่ชัดในความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นเสียทีว่าที่จริงแล้วหมี่เองยังรักวรรษอยู่ หรือแค่ยังอาลัยอาวรณ์ในรักแรกที่ไม่สมหวังเท่านั้น แล้วการได้ยืนมองวรรษในจุดๆ นี้ จุดที่หมี่ให้ได้แค่คนรู้จักกัน หมี่จะเห็นตัวตนจริงๆ ของวรรษได้ชัดเจนมากขึ้น และใช้ 'สติ' ในการตัดสินใจว่าเป็นผู้ชายคนนี้แน่ๆ ใช่ไหมที่หมี่ต้องการ?

ด้วยเมื่อครั้งนั้นหมี่เองก็ยังเด็ก ในบางครั้งที่วรรษเอาแต่ใจในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เราว่าหมี่ต้องยอมลงให้วรรษเพราะว่าหมี่รักเขา (ตามความคิดของเราเราว่าวรรษเป็นคนประเภทที่ยึดตัวเองเป็นที่ตั้งน่ะค่ะ) จนบางทีหมี่เองอาจจะหวานอมขมกลืนเลยก็มี

ส่วนวรรษ..การได้เจอหมี่หรือไม่ได้เจอหมี่เราว่าเจ้าตัวเขาเฉยๆ นะคะ เพียงแต่ไหนๆ ครั้งนี้ก็ได้เจอกันแล้ว การได้คนที่เคยอยู่ในโอวาทของเจ้าตัวเขากลับมาอีกครั้งหนึ่งก็คงจะเป็นอะไรที่น่าภาคภูมิใจไม่ใช่น้อย ว่าตัววรรษเองยังคงมีอิทธิพลต่อตัวหมี่อยู่มาก ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ประมาณนี้น่ะค่ะ

สำหรับตอนนี้ขอชื่นชมหมี่เลยค่ะว่าหมี่เก่งมากๆ ที่หักห้ามใจตัวเองไม่ให้เคลิ้มตามวรรษเอาไว้ได้ ส่วนที่หมี่ยังรู้สึกอะไรๆ กับวรรษอยู่บ้าง เราว่าเป็นเพราะตะกอนของความรักครั้งเก่าก่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ถูกกวนให้ขุ่นเท่านั้น ไม่ใช่เพราะว่ายังรักหรอกค่ะ เพียงแต่ตอนนี้หมี่ยังไม่รู้ตัวเลยพาลให้สับสน ^^

แต่ถ้าสนใจอาสาสมัครมาช้อนตะกอนที่เหลืออยู่ออกให้ ติดต่อได้ที่เด็กข้างบ้านเลยนะคะหมี่ ลี้น้อยพร้อมเสมอเพียงแค่หมี่ต้องการ และก็เป็นกำลังใจให้ลี้น้อยเอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ไวๆ นะค้าา~ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 03-09-2015 22:52:12
ร้องไห้หนักมากเลยค่ะ รู้สึกซาบซึ้งที่ครอบครัวลี้น้อยมีความรักเอ็นดูให้กับหมี่  โชคดีของหมี่ที่ได้รู้จักกับครอบครัวของลี้น้อย
ส่วนเรื่องราวของพ่อหมี่ที่ได้ทำร้ายจิตใจลูก  ลี้น้อยก็ได้ร้องไห้แทนแล้ว ลี้น้อยคงรักหมี่มากๆถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแทนหมี่มากๆ

ลี้น้อยที่พูดจากวนๆ แต่การกระทำกลับละมุนละไม แล้วความรู้สึกที่มีต่อหมี่ก็ช่างยิ่งกว่า  ได้เขินแทนหมี่เพราะหมี่ไม่รู้อะไรเลย555
เขินแทนหนักมากๆ ทั้งเพลงที่สื่อความหมายให้หมี่ฟัง การสระผมให้หมี่อย่างเคลิ้ม การสบสายตาและพูดกับหมี่

เราเข้าใจหมี่ที่หมี่ยังไม่เข้าใจความหมายในสายตาของลี้น้อย เพราะมันคงเป็นสายตาที่ส่งความรักมาให้ตั้งแต่เด็กๆอยู่แล้วเนอะ
และเข้าใจลี้น้อยที่รู้สึกกลัว ก็หมี่เอาแต่พูดว่าเป็นเด็ก  พูดว่าอยากให้ลี้น้อยเป็นเด็กไม่อยากให้โต  มันเป็นคำพูดของพี่ชาย
แต่ความรู้สึกที่แท้จริงของหมี่ไม่มีใครรู้นะลี้น้อย  อยากรู้ต้องถาม  อยากให้เขารู้ก็ต้องบอกนะลี้น้อย  ไม่ต้องกลัว
ผลจากการเปิดเผยความรู้สึกจะเป็นอย่างไร ลี้น้อยก็ยังเป็นลี้น้อย  หมี่ก็ยังเป็นหมี่ ที่ยังไงสองคนก็มีความรักให้แก่กันอยู่แล้ว
เราเชื่อแบบนั้น (อินมากๆ)

พี่วรรษก็ลืมไปแล้วหรือว่าเลิกกับหมี่แล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่ได้เป็นแฟนเลยนะคะ มาหอม คิดจะจูบหมี่ได้ไง (หวงแทนลี้น้อยมากๆ)
แต่ไม่เป็นไรเรามโนว่าหมี่เคยหอมแก้มลี้น้อย เพราะตอนเด็กๆลี้น้อยแก้มยุ้ยๆ หมี่อดทนไม่หอมแก้มเด็กตี๋ลี้น้อยไม่ได้หรอก555

ร้องไห้แล้วก็ยังท้องร้องให้กับไข่เจียวหอมๆกับจับฉ่ายร้อนๆด้วยค่ะ555
สนุกเข้มข้นเรื่อยๆเลย  ขอบคุณมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-09-2015 20:07:42
พี่วรรษครัช นึกอยากจะบอกเลิกก็บอก อยากจะกลับมาก็รุกหนัก
แบบนี้อย่าพูดว่าตอนนั้นคิดถึงแต่ตัวเองเลย ตอนนี้พี่วรรษก็ยังคิดถึงแต่ตัวเองอยู่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 04-09-2015 21:12:13
สงสารกับอดีตของเฮียหมี่ คุณหมอบวรก็ช่างใจร้ายใจดำลูกชายทั้งคน เฮ้อออ
แล้วพี่วรรษนี่ก็อีก ทิ้งเขาไปแล้วพอกลับมาจะมารวบรัดทำแบบนี้นี่นะ เหอะ
สงสารปราณแอบรักเฮียมานานแค่ไหนแล้ว แต่ไม่กล้าที่จะบอกออกไปให้ได้รู้
ป่วยอีกจะเป็นอะไรมากไหมนะ เฮียหมี่รีบกลับไปดูนะ

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: veeveevivien ที่ 06-09-2015 19:24:35


ดูท่าจะ "ยาว" นะเรื่องนี้

ชอบ "ลี้น้อย" จัง ชื่อน่ารักดี

แด่หมอบวร และพี่วรรษค่ะ  :z6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 06-09-2015 20:37:05
สงสารเฮียหมี่ที่สุดแล้ว ทั้งพ่อทั้งแฟนเก่าเห็นแก่ตัวทั้งคู่เลย

พี่วรรษนี่กลับมาแล้วรุกแรงมากค่ะ ไม่เอานะๆๆๆ

ถ้าแม่ลี้น้อยไม่โทรมาล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลย ฮือออ กลัวตามชื่อตอนไปด้วยเลยค่ะ

เฮียหมี่กลับไปดูแลลี้น้อยไวๆน้าาาา รอตอนหน้าอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 3 : กลัว) 03-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 07-09-2015 23:14:15
555excuse me to reply in eng.ver coz im reading at cafe in another country. But, u know... it so hard to keep my feeling for long time.{pls。forget my gramma and spelling , just focus the content, OK!!}

First of all, im very imperessed the scene ...light up candle and put it on can... lol it make me recall to old day... did my homework under the light from candle and moon. So country!!!

i really hate Baramy... just dont like the man who pretend like a girl[only infiction, in real life im ok] btw wheni follow his life. omg he is so cool! im nearly lose my tear drop onkeyboard when i he gave book bank to his father and the day he was graduated. .....but father still be father .

And now i hate Wat instead. His day is gone. he leave so today is for [my]Tee-noy only lol [i really like teddy guy]

wait for the next

ps. hope there are some sweet scene at Tee-noy s house. sometime love come when someone fall[or sick] :-[

love If you are the sky... jub jub
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 09-09-2015 00:46:55
ตอนที่ 4 ความจริงที่เจ็บปวด



“เฮีย...เฮียจะไปไหน ฮ...เฮีย...ไม่เอา ลี้ไม่ให้เฮียไป ลี้ไม่ให้ไป...”


ริมฝีปากแห้งผากเอาแต่พร่ำพูดประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลือกตาปิดสนิทที่หางตาปรากฏน้ำใส ๆ ซึมอยู่ทั้งสองข้าง ทั้งที่ร่างเหมือนกำลังถูกสุมด้วยไฟฟอนแต่มือหนากลับรั้งผ้าขึ้นคลุมกอดรัดตัวเองเพื่อบรรเทาความเย็นเยือกในกาย ไอร้อนระอุอยู่ภายใต้ผ้าห่มพาให้เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามผิวหนังและไรผม คงเพราะฤทธิ์ของยาลดไข้ที่กินเข้าไปเมื่อตอนเย็น เจ้าของห้องนอนหลับตานิ่งเมื่อได้ยินเสียงแง้มประตู พยายามเงี่ยหูฟังแต่รอบกายนั้นกลับเงียบเชียบกระทั่งเมื่อที่นอนยวบลงจึงมั่นใจในการมาของใครคนหนึ่ง


‘แม่เหรอ? แต่แม่ไปงานศพกับป๊าและพวกญาติ ๆ ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายนี่’ คิดได้เช่นนั้นก็พยายามจะปรือตาขึ้นแต่หนังตาหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยหิน หน้าผากรับรู้ได้ถึงสัมผัสจากหลังมือเย็นเฉียบที่แตะลงเบา ๆ พลันเสียงของผู้มาเยือนก็ดังขึ้น


“ตี๋”


‘เฮียเหรอ’ คิ้วหนาขมวดมุ่นพร้อมกับดึงเปลือกตาขึ้นแต่เพราะแสงไฟที่กลางห้องทำให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย


“แกเป็นยังไงบ้าง”


ได้ยินเสียงรื้อค้นถุงยาที่วางอยู่หัวเตียง จากนั้นมือเล็กก็ย้ายกลับมาแตะที่ข้อมืออีกครั้ง “แกกินอะไรหรือยัง ลุกไหวไหม”   


“กินแล้ว หาหมอที่คลินิกหน้าปากซอยก็เลยแวะกินร้านแปะ” ปราณกล่าวทั้งที่ยังคงหลับตา


“ตัวยังรุม ๆ อยู่เลย เช็ดตัวเสียหน่อยดีกว่าไข้จะได้ลด” พูดจบบารมีก็เดินออกจากห้องก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกะละมังใส่น้ำอุ่น ชายหนุ่มนั่งลงที่เดิม หยิบผ้าขนหนูที่แช่อยู่ขึ้นมาบิดน้ำแล้ววางลงบนหน้าผากคนซมไข้ ค่อย ๆ ลากผ่านแก้มข้างซ้ายมาจนถึงซอกคอ แตะมือที่เหลือลงข้างแก้มขวาพลางใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยบนผิวเนื้อขึ้นสีเบา ๆ พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เวลาแกหมดฤทธิ์แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะไอ้เด็กแก้มยุ้ยเอ๊ย”


เจ้าของดวงตาอ่อนโยนวางผ้าขนหนูลงหันมาปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาออกจากจึงบิดผ้าให้พอหมาดวางบนแผงอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจก่อนจะลากลงมายังหน้าท้องที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามอย่างเบามือ


“ลุกไหวไหม” บารมีกล่าวพลางดึงแขนคนตัวโตให้ลุกนั่งพร้อมกับรั้งเสื้อเชิ้ตเนื้อบางออก ค่อย ๆ บรรจงเช็ดที่ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้าง แต่ก็ดูว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไรนัก ร่างใหญ่โงนเงนในณะที่ปากส่งเสียงอู้อี้ฟังเกือบไม่เป็นภาษา


“อยากนอน” ไม่พูดเปล่าแถมโถมเข้าหาซบหน้าลงบนไหล่เล็กจนบารมีต้องรีบยันมือกับที่นอนเพื่อไม่ให้หงายหลังไปตามแรง


“ทำไมตัวหนักอย่างนี้นะ” คนอายุมากกว่าบ่นพลางใช้ผ้าลูบบนแผ่นหลังกว้าง หวังจะให้น้ำช่วยไล่เอาความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวออกจากร่างของน้องชายให้หมด “เช็ดตัวแล้วจะได้นอนสบายขึ้น”


“หนาว” ปากซีดบ่นงึมงำพร้อมกันนั้นก็โอบรัดรอบเอวบางเอาไว้แน่น


“ปล่อยก่อน เดี๋ยวไปเอาเสื้อให้” พูดจบก็พยายามแกะแขนของอีกฝ่ายให้คลายออกแต่ก็ทำได้เพียงชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น เมื่อร่างใหญ่ผวาโผเข้าหาซ้ำยังกอดเสียแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ได้ยินเสียงครางแผ่วที่ข้างหูเป็นถ้อยคำแบบเดียวกับที่เคยได้ยินเมื่อครั้งที่ต่างคนต่างก็ยังเด็ก ไม่สบายทีไรลี้น้อยก็มักจะงอแงเช่นนี้ทุกที


“อย่าไปนะเฮีย อย่าทิ้งลี้ไปไหน อย่าไป...”


“ม...ไม่ได้หนี...ฉ...ฉันจะไป...หยิบ...” บารมีกล่าวได้เพียงเท่านั้น รู้ตัวอีกทีก็ถูกคนป่วยรั้งเข้าไปกอดนอนแทนหมอนข้างเสียแล้ว


“ลี้ไม่ให้เฮียไปไหน...”


“ก็ไม่ได้ไปไหน”


พูดพลางช้อนตาขึ้นมองใบหน้าชื้นเหงื่อของเจ้าอกเปลือยที่ตนเองกำลังเอาแก้มแนบ หัวคิ้วขมวดมุ่นเพราะนอกจากเสียงแผ่วหวิวที่ผ่านปากเซียวแล้วยังได้ยินอีกเสียง มันดังถี่รัวชวนให้ต้องค้นหาที่มา บารมีแนบหูลงที่ตำแหน่งเหนือราวนมด้านซ้ายของคนหลับแต่ก็พบว่าก้อนเนื้อใต้นั้นมันก็ยังทำงานของมันตามปกติ  จนสุดท้ายทันตแพทย์หนุ่มก็พบว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายหากแต่เป็นเสียงหัวใจของตนเองต่างหาก


ตึก...ตัก

ตึก...ตัก

ตึก...ตัก



...


ปราณปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นอก ทันทีที่ดวงตาสามารถปรับให้ชินต่อแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านช่องผ้าม่านหน้าต่างเข้ามาได้ภาพที่เห็นก็คือภาพของบารมีที่กำลังนั่งอยู่ต่อหน้า แต่นั่นก็ไม่น่าตกใจเท่ากับสภาพเปลือยครึ่งท่อนของตนเองในตอนนี้ ชายหนุ่มเด้งตัวลุกขึ้นถอยกรูดจนหลังชนหัวเตียง


อาการสะลึมสะลือหายเป็นปลิดทิ้งพร้อมกับตาคมที่พยายามละจากดวงหน้าละมุนสาเหตุของอาการร้อนวาบที่สองแก้มในขณะนี้ แม้จะไม่ได้สวยหวานเหมือนกับผู้หญิงเสียทีเดียว แต่ก็ห่างไกลจากผู้ชายทั่วไปอยู่โข


“ฮ...เฮียทำอะไรน่ะ”


“ก็เช็ดตัวให้ไง” พี่ชายบ้านตรงข้ามตอบคำถามพร้อมกับเขยิบเข้าใกล้ ยึดข้อมือหนาเอาไว้แน่นก่อนจะใช้ผ้าลูบลงบนท่อนแขน “ทำหน้ายังกับเห็นผี”


ปราณคลายความตกใจลงชั่วขณะเมื่อกลิ่นหอมจาง ๆ เคลียอยู่กับปลายจมูกยามอีกฝ่ายขยับตัว เผลอเลื่อนตาขึ้นมองแก้มเนียนกับริมฝีปากสีเรื่อ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอยู่ที่โรงพยาบาลถึงได้ถูกนักศึกษาแพทย์แซวอยู่บ่อย ๆ แต่เจ้าตัวคงไม่ชอบใจนักจึงมักปล่อยให้หนวดเครารกรุงรังเพื่อบดบังหน้าจริงของตนเองเอาไว้ ซ้ำยังต้องคอยรักษาท่าทีเพื่อป้องกันตัวเองจากคำพูดของคนอื่นที่คอยแต่จะสร้างความเสียหายให้เกิดแก่จิตใจ เห็นแล้วก็อดเหนื่อยแทนไม่ได้


ปราณนิ่งงันเหมือนลืมหายใจ...กระทั่งบารมีย้ายมาลูบวนที่กลางอก เท่านั้นเลือดลมก็สูบฉีดเสียหน้าร้อนผ่าวจนต้องรีบคว้าข้อมือเล็กก่อนจะแย่งผ้าขนหนูมาไว้กับตัว


“พ...พอแล้วเฮีย”


“อะไรของแกวะ” บ่นพลางรั้งมือให้หลุดจากการเกาะกุม


“ผ...ผมทำเองดีกว่า”


“เมื่อคืนก็เช็ดให้” 


“ว...ว่าไงนะ” คนฟังทำตาโต “เมื่อคืนด้วย”


“อื้อ” บารมียื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับยักคิ้วกวน ๆ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะตกใจอะไรหนักหนา   


ปราณยกมือขึ้นลูบต้นคอตนเองพอให้มีที่วางมือไม้สุดเกะกะ หลับตาให้พ้นจากปาก จมูก คิ้ว คาง และดวงตาสีดำสนิทใต้แผงคิ้วสวยบนกรอบหน้ารูปไข่ที่กำลังทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ถ้าหากหยุดหายใจลงไปตอนนี้ตัวต้นเหตุจะรู้ความผิดของตัวเองไหมหนอ


“เฮียเที่ยวไปแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ได้ยังไงกัน”


คนฟังถอนใจพรืด คนอื่นที่ไหนกัน “ทำไมวะ เมื่อตอนแกเด็ก ๆ ฉันก็ช่วยแม่แกทำให้แบบนี้บ่อย ๆ ตอนแกไม่สบาย ทีแกกอดฉันทั้งคืนฉันยังไม่ว่าเลย”
   

“ฮ้า!!!” ปราณร้องเสียงหลง “ก...กอดด้วยเหรอ” ว่าแล้วก็พ่นลมออกจากปาก ที่แท้เรื่องจริงหรือนี่ นึกว่าฝันไปเสียอีก  ‘หัวใจโว้ย อย่าเต้นแรงนักสิ’ ชายหนุ่มสลัดศีรษะไล่ความคิดบ้า ๆ ออกจากหัว รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่หัวใจเท่านั้นที่ทำงานผิดปกติ มีอีกอย่างที่ผิดปกติจนทำให้ต้องคว้าหมอนมากอดไว้แน่น
   

“ก็เออน่ะสิ เมื่อยไปหมด รัดแน่นยังกับงูหลาม” บารมีทุบลงบนบ่าของตนเองเบา ๆ แล้วหันไปหยิบผ้าขนหนูที่ปราณเพิ่งโยนลงกะละมังไปเมื่อครู่ขึ้นมาบิดให้หมาดน้ำ ทำท่าจะเช็ดตัวให้แต่กลับถูกแย่งไปอีกหน


“ฮ...เฮียกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการต่อเอง” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมกับยกผ้าขึ้นลูบหน้าที่ตอนนี้ร้อนวูบวาบไปหมด ยังไม่ทันเรียบร้อยก็ผุดลุกขึ้นทั้งที่มือข้างหนึ่งยังไม่คลายจากหมอนเห็นแล้วให้รู้สึกรำคาญนัก


“แล้วนี่จะไปไหน”


“ห้องน้ำ”


“เข้าห้องน้ำก็วางหมอนก่อน” บารมีกล่าวพลางยื้อปลอกหมอนเอาไว้


“ต...ต้องเอาไป เออ ใช่ ๆ ต้องเอาไปด้วย”


“จะเอาเข้าไปทำไม เข้าห้องน้ำก็ไปแต่ตัวสิหรือว่าแกซ่อนอะไรไว้”


“ซ...ซ่อนบ้าอะไรเล่า ไม่ได้ซ่อน” ปราณแสร้งทำฟึดฟัดกลบเกลื่อน จริง ๆ ก็ซ่อนน่ะแหละ แต่จะบอกได้ยังไง พูดจบก็รีบปัดมือบางออกก่อนจะพรวดพราดหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้พี่ชายบ้านใกล้ได้แต่มองตามด้วยความงุนงง


ทันทีที่ประตูปิดลง เจ้าของห้องก็ถอนใจเฮือก มองซ้ายมองขวากำลังจะหาที่วางหมอนที่หนีบติดมือมาด้วยก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะเสียงเคาะประตู


“ตี๋”


“ว...ว่าไง”


“เดี๋ยวไปซื้ออะไรให้กินนะ อย่าลืมกินยาก่อนอาหารล่ะ”


ปราณตะโกนตอบพร้อมกับทึ้งหัวจนยุ่งเหยิง “รู้แล้ว ๆ เฮียรีบไปเถอะ ไม่ต้องรีบกลับนะ ผมอาบน้ำนาน”


ได้ยินดังนั้นที่ยืนรอก็ได้แต่พยักหน้ากับประตูก่อนจะเดินเงียบ ๆ ออกไปจากห้อง


...


หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยลูกชายช่างตัดผมก็เดินตัวเบาลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับพี่ชายร่างเล็กที่ยืนลุกลี้ลุกลนอยู่หลังประตูเหล็กก็ให้รู้สึกสงสัยไม่ได้ ปราณเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะชะเง้อมองผ่านช่องประตู ภาพที่เห็นก็คือซูบารุป้ายแดงรุ่นพรีเมียมที่จอดนิ่งอยู่อีกฟากถนน


“รถใครน่ะเฮีย จอดคันเดียวก็จะเต็มถนนอยู่แล้ว” ปราณทำกระซิบกระซาบ


“รถคนรู้จักน่ะ”


“อ้าว คนรู้จักไหงมายืนหลบหลังประตูเหมือนไม่อยากรู้จักกันแล้วแบบนี้ล่ะ” พูดพลางดึงสายตากลับมายังหลังคอขาว อยากรู้จริง ๆ ว่าคนที่เอาแต่ยืนนิ่งตอนนี้กำลังทำหน้าอย่างไรหรือในใจกำลังคิดอะไรอยู่


“ก็คงไม่อยากรู้จักแล้วจริง ๆ น่ะแหละ” บารมีกล่าวเสียงขรึมก่อนจะเบี่ยงตัวเดินหายเข้าไปในครัว ปล่อยให้คนอยากรู้อยากเห็นยืนคอยืดคอยาวอยู่อย่างนั้น


ตาคมกริบหรี่ลงทันทีที่เจ้าของรถเปิดประตูลงมา ร่างสูงในชุดลำลองดูภูมิฐาน หน้าตาผิวพรรณก็ดูเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ปล่อยให้ต้องหยิบจับอะไรเสียเหลือเกิน ปราณมุ่นคิ้ว แน่ใจว่าเคยพบเขาแล้วครั้งหนึ่งที่โรงพยาบาลนรินทร เป็นคนเดียวกันกับที่อยู่กับบารมีในวันนั้น


“เพื่อนเฮียเหรอ” ลูกชายเจ้าของบ้านเอ่ยขึ้นทั้งที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ ดวงตายังคงจ้องเขม็งไปที่หนุ่มแปลกหน้าซึ่งกำลังยืนด้อม ๆ มอง ๆ ที่หน้าประตูบานเฟื้อมที่ปิดสนิท แม้จะพยายามเคาะเรียกเท่าไรก็ไม่มีใครเปิด คาดว่าวันนี้กู๋ขจรคงออกไปทำธุระข้างนอกเหมือนเคย เมื่อไม่ได้รับคำตอบปราณจึงเดินตามกลิ่นหอมของอาหารเข้าไปในครัว เห็นได้ชัดว่าใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของพี่ชายบ้านใกล้กลับนิ่งขรึมแบบไม่เคยเป็นมาก่อน


“ไม่ใช่หรอก” บารมีตอบคำถามเมื่อสักครู่ก้มหน้าก้มตาแกะยางสีแดงมัดปากถุงก่อนจะเทโจ๊กร้อน ๆ ที่ซื้อมาจากตลาดลงในชาม


“ถ้าไม่ใช่เพื่อนก็แฟนเก่า” ปราณทำเดาส่งเดช แต่เมื่อเห็นหน้าไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ควรปล่อยหมาในปากออกมาเพ่นพ่าน ชายหนุ่มนั่งลงเงียบ ๆ มองในชามที่เต็มไปด้วยปลายข้าวหอมมะลิต้มจนเละส่งกลิ่นชวนน้ำลายสอ     


“กินเข้าไป ปากจะได้ไม่ว่าง” พูดจบบารมีก็เลื่อนชามใบโตให้ก่อนจะรินน้ำผสมน้ำอุ่นให้คนเพิ่งสร่างไข้ จากนั้นจึงนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามมองมือใหญ่ที่กำลังใช้ช้อนกวนข้าวพร้อมกับเป่าลมออกจากปากเพื่อระบายความร้อน


ในที่สุดปราณก็ตักข้าวเข้าปากในขณะที่ตาก็ลอบมองคนตรงหน้าไปด้วย ประโยคเมื่อครู่ของบารมีทำเอาความกังวลใจหายไปทันที อย่างน้อยมันก็แสดงให้รู้ว่าเฮียไม่ได้ถือสาในความปากไม่ดีของเขา ชายหนุ่มเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ยกระนั้นก็ยังไม่วายส่งยิ้มให้คนที่ยังคงวางหน้านิ่งไปด้วย


“เพิ่งรู้ว่าเฮียชอบแบบนี้”


“ชอบอะไร ที่ว่าชอบแบบนี้น่ะ”


“ก็ชอบคนที่มาดนิ่ง ๆ ดูคงแก่เรียนแบบคนที่มายืนรอหน้าบ้านนั่นไง”


คนฟังกดยกมุมปากขึ้นโดยไม่พูดอะไร บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแต่นัยน์ตากลับเย็นชาแห้งแล้งพิกล ดังนั้นกระทำของเขาจึงดูคล้ายการเยาะหยันตัวเองเสียมากกว่า


“แล้วแกล่ะ ชอบแบบไหน”


คำถามของพี่ชายบ้านใกล้ ทำเอาน้องชายที่นั่งอยู่อีกฝั่งแทบสำลักจนต้องยกน้ำขึ้นดื่มแก้อาการไปไม่เป็น ปราณวางแก้วลง ก้มมองมือที่กำลังจับช้อนเขี่ยข้าวในชาม คิดว่าการเงียบจะช่วยแก้สถานการณ์ได้หากแต่บารมียังคงถามซ้ำ


“ว่าไงล่ะ ชอบคนแบบไหน”


‘นั่น ๆ ถามเฉย ๆ ก็ได้ ไม่ต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ให้หัวใจเต้นแรง เฮียนะเฮีย’


ปราณกลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของคำถาม


ตึก...ตัก

ตึก...ตัก

ตึก...ตัก



ตัดสินใจยกมือสั่นเทาขึ้นก่อนจะชี้...


ตึก...ตัก

ตึก...ตัก

ตึก...ตัก



...ชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 09-09-2015 00:57:46
(ต่อนะคะ)


ตึก...ตัก

ตึก...ตัก

ตึก...ตัก



ในที่สุดก็ยอมปริปากพูดออกมา “แบบนี้ไง”


ตึก...ตัก

ตึก...ตัก

ตึก...ตัก



บารมีจ้องปลายนิ้วหนาที่ชี้ข้ามไหล่ของตัวเองก่อนจะเหลียวมองโปสเตอร์สีซีดที่ติดอยู่กับผนังกระเบื้องด้านหลัง “แดจังกึมเนี่ยนะ”

“อือ” ปราณตอบส่ง ๆ พร้อมกับทอดถอนใจ “ทำกับข้าวเก่ง อยู่ด้วยไม่อดตาย”


คนฟังนิ่วหน้าก่อนจะหันกลับมา “เอาดี ๆ สิ ฉันหมายถึงนิสัยใจคอไม่ก็ลักษณะทางกายภาพต่างหาก”


“นิสัยเหรอ” คนอายุน้อยกว่าพึมพำ ยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ “จ...ใจดี ใจดีมั้ง ส่วนภายนอกก็...ยังไงก็ได้”


“หมายความว่าไง ยังไงก็ได้”


“หมายถึงเป็นแบบไหนก็ได้ ไม่ได้สนใจสักหน่อย อ้วนก็น่ารักดี ผิวดำหรือคล้ำหน่อยก็ไม่เป็นไร หรือจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ เลือกไม่ได้นี่ว่าเกิดมาแล้วต้องเป็นอย่างไหน แต่ผมเลือกเขา ขอแค่เขาเป็นในแบบที่เขาเป็นก็พอ ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อผมหรือเพื่อใคร”


บารมีละสายตาจากดวงตาที่กำลังมองมา ก้มมองชามโจ๊กตรงหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะกล่าว “สงสัยต้องซื้อโจ๊กร้านนี้มาให้กินบ่อย ๆ”


“ทำไมล่ะ”


“กินแล้วพูดจาดีมีสาระ” ทันตแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นยิ้ม รอยยิ้มคราวนี้ต่างจากในครั้งแรกนัก เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจและกำลังเบ่งบานอยู่ในดวงตาคู่นั้น


“ช่างประชดประชัน” ปราณหรี่ตามองพลางตักข้าวเข้าปาก ดูเหมือนว่าบารมีจะไม่ได้ใส่ใจคำพูดนั้นสักเท่าไร


“เห็นแม่บอกว่าหาที่ฝึกงานอยู่เหรอ เป็นยังไงบ้าง ได้หรือยัง”


“รอเขาตอบรับอยู่น่ะเฮีย โชคดีอาจจะได้กลับมาทำงานใกล้ ๆ บ้าน”


“อืม...ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีนะ ประหยัดค่าใช้จ่าย จะได้เก็บเงินไว้ไปขอสาว”


“ขงขออะไรล่ะ”


“อะไร อย่าบอกนะว่าโตจนป่านนี้แล้วยังไม่มีแฟน”


“อือ” ปราณตอบส่ง ๆ


“ใครจะไปเชื่อ”


“ก็ไม่ได้บอกให้เชื่อนี่”


“อะไรวะ ล้อเล่นแค่นี้ต้องทำหงุดหงิด”


“ไม่ได้หงุดหงิด” คนอายุน้อยกว่าลากเสียงแสร้งทำรำคาญ “แต่มันไม่มีจริง ๆ”


“คนที่แอบชอบก็ไม่มีเลยเหรอ” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้อ้าปาก บารมีก็ชิงดักคอเสียก่อน “โกหกตกนรกนะโว้ย”


“ก็...”


“ว่าไง อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีคนที่แอบชอบละน่า”


“คือ...” ชายหนุ่มกดตาลงต่ำมองมือตัวเองที่ยังคงกำช้อนแน่น


“หืม?”


“ม...มันก็มีอยู่หรอก”


“แล้วไม่คิดจะบอกให้เขารู้เหรอ มันน่าเสียดายนะแก”


ปราณถอนใจเบาก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนถาม “เคยคิดอยากจะบอก แต่ตอนนี้คิดว่าบางทีการได้อยู่แบบนี้มันอาจจะดีกว่าก็ได้”


... 


ในที่สุดปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาคณะมัณฑศิลป์ก็มาถึง ปราณได้กลับมาอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกอีกครั้งเนื่องจากได้สถานที่ฝึกงานเป็นบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในแถวสาทร กว่าหนึ่งเดือนที่ได้สัมผัสชีวิตการทำงานจริง ๆ แรก ๆ ก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่าได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวสักที แต่เมื่อเวลาผ่านไปจึงรู้ว่าการทำงานมันไม่ง่ายเลย คำวิพากษ์วิจารณ์ คำต่อว่าต่อขานของหัวหน้างานและลูกค้ามันหนักหน่วงเสียยิ่งกว่าเสียงดุด่าของอาจารย์ยามเมื่ออยู่ในห้องเรียนนัก


ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินผ่านประตูอัตโนมัติหยุดยืนมองสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมา ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดหาที่กำบังระหว่างรอรถสาธารณะที่นาน ๆ จะผ่านมาสักคัน เสียงเตือนจากนาฬิกาข้อมือทำให้ปราณนึกอยากจะหยิกแก้มตัวเองแรง ๆ ให้แน่ใจว่านี่ไม่ได้ฝันไปที่วันนี้สามารถออกจากตึกได้ตรงตามเวลาเลิกงาน กำลังปล่อยใจให้ลมเย็นหอบหิ้วเอาหัวใจลอยไปไกล


เสียงพูดคุยกระหนุงกระหนิงก็ทำให้จำต้องดึงสายตากลับมายังร่างสูงที่เพิ่งเดินผ่านมา มือหนึ่งของเขาโอบประคองเอวบางของหญิงสาวในขณะที่อีกมือกดสลักให้ร่มกางออกก่อนจะเดินไปพร้อมกันท่ามกลางสายฝน ในขณะที่อีกหลายคนเลือกที่วิ่งฝ่าม่านน้ำออกไปเรียกแท็กซี่บ้าง ตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ที่สุดบ้าง แทนที่จะยืนรอให้ฝนหยุดซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนไหน จะมีก็แต่ปราณเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่ง หลายวันแล้วที่นักศึกษาฝึกงานเช่นเขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศของชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้ นั่นเพราะกว่าจะออกจากที่ทำงานรถราบนถนนก็บางตา กลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว


ปราณถอนใจพรืด ไม่คิดว่าความเป็นผู้ใหญ่ที่ร่ำร้องอยากได้มานานในที่สุดก็มาถึง แม้จะเป็นช่วงของการทดลองแต่ก็หนักหนาเอาการ ยิ่งไปกว่านั้นสุดท้ายแล้วมันก็จะอยู่กับเขาตลอดไปแม้จะอยากหวนคืนสู่วัยเด็กแค่ไหนก็ทำได้แค่เพียงคิด


“มัวคิดอะไรอยู่” 


เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับมือเย็นที่แตะลงใต้ข้อศอกทำเอาคนใจลอยสะดุ้งเฮือก


“ฮ...เฮีย”


“ก็ใช่น่ะสิ”


“มาได้ไง”


“จอดรอตั้งนานไม่เห็นเดินไปก็เลยลงมาดู” พูดจบบารมีก็ปัดละอองน้ำฝนที่เกาะพราวอยู่กับเส้นผม


“ตากฝนแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี”


“ฉันหัวแข็งน่า แกไม่ต้องห่วง ว่าแต่ไอ้เด็กกระหม่อมบางเถอะ เอาร่มมาหรือเปล่า”


“เอามา ๆ” แม้จะไม่ค่อยชอบคำที่อีกฝ่ายใช้เรียกตนเองสักเท่าไรนัก แต่ปราณก็ยังกุลีกุจอควานหาร่มในกระเป๋าออกมาสนับสนุนสิ่งที่พูด “นี่ไง”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปได้แล้ว” ว่าแล้วคนอายุมากกว่าก็หันหลังตั้งใจจะวิ่งกลับไปยังรถที่จอดอยู่แต่ก็ถูกยื้อข้อมือเอาไว้


“เดี๋ยวไม่สบาย” นักศึกษาหนุ่มกล่าวหน้านิ่ง มือกดสลักร่มออกก่อนจะเดินเข้าประชิดตัวทันตแพทย์ร่างเล็กที่วันนี้อุตส่าห์แวะมารับตามคำขอจากนั้นจึงพากันเดินไปที่รถ


“เดินห่าง ๆ หน่อยดีไหม เดี๋ยวคนที่ทำงานก็พากันเข้าใจแกผิดพอดี” บารมีกล่าวพลางรั้งข้อมือให้หลุดออก


“เขาจะเข้าใจผิดเรื่องอะไร”


“ก็เรื่องที่แกมาสนิทสนมกับคนอย่างฉันไง”


“ทำไมชอบกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เรื่อย” ปราณถอนใจ “คนอย่างเฮียแล้วมันทำไม ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ผมว่าที่ต้องกลัวจะโดนเข้าใจผิดน่ะน่าจะเป็นเฮียมากกว่า”


“แกหมายความว่ายังไง” บารมีมุ่นคิ้วพร้อมกับดึงประตูรถให้เปิดออก ไม่รอฟังคำตอบก็เข้าไปนั่งประจำที่คนขับแล้วจึงปิดประตู รอกระทั่งร่างสูงใหญ่เดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งก่อนจะเข้ามานั่งข้างกัน


แค่มองตาขุ่น ๆ ของเจ้าของรถก็รู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์เริ่มไม่ปกติ กระนั้นปราณก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดจี้ใจดำของอีกฝ่าย “ก็กลัวว่าคุณหมอวรรษวรจะเข้าใจผิดไง เห็นนะเมื่อคืนก่อนไปนั่งกินบะหมี่ร้านอาแปะด้วยกัน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องคอยหลบหน้าเขาแล้วหรือไง”


“เขารู้ว่ากู๋เป็นสถาปนิกก็เลยมาขอให้ช่วยแนะนำผู้รับเหมาที่ไว้ใจได้ให้เพื่อนของเขาต่างหาก คุยเสร็จกู๋ก็เลยให้พาเขาไปกินข้าว”


ปราณเบือนหน้าหนี เดาว่านั่นมันก็แค่เหตุผลที่หมอวรรษวรใช้มาเป็นข้ออ้างเท่านั้นเอง สมองคิดในขณะที่ปากยังพึมพำไม่เลิก


“กินร้านอื่นไม่ได้หรือไง ทำไมต้องกินร้านแปะ”   


“แล้วกินร้านแปะมันเป็นยังไงวะ” บารมีขึ้นเสียงเมื่อเริ่มหมดความอดทนกับน้องชายจอมยียวน


“พูดแค่นี้ทำไมต้องเสียงดังด้วยเล่า”


“ใครกันแน่ที่เริ่มก่อน” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะออกรถ และหลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดคุยกันอีกเลย


ปราณทอดสายตามองสายฝนที่ยังคงโปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้ตกหนักชนิดไม่ลืมหูลืมตาแต่ก็ทำให้การจราจรติดขัดจนแทบกลายเป็นอัมพาต แต่อะไรก็คงไม่แย่ไปกว่าบรรยากาศเงียบงันชวนอึดอัดภายในรถอีกแล้ว ชายหนุ่มถอนใจยาวลอบมองเจ้าของรถจากเงาสะท้อนในกระจก มีเวลาคิดทบทวนจึงได้รู้ถึงความผิดของตนเอง ดังนั้นปราณจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น


“ขอโทษก็ได้”


เสียงนั้นคงเบาเกินไป คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยถึงได้ทำเย็นชานิ่งเฉย คนสำนึกผิดไม่ละความพยายาม ขยับตัวเข้าไปใกล้พลางเกาะแขนเล็กอย่างประจบ


“ลี้ขอโทษษษษษษ เฮียหมี่ใจดีอย่าโกรธเลยนะ นะๆๆ”


บารมีถอนใจเมื่อไม่อาจทนต่อท่าทางชวนขันของอีกฝ่ายได้ต่อไป ดวงตาที่ปราศจากแววแห่งความโกรธขึ้งเหลือบมองคนข้าง ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “หงุดหงิดอะไรมานักหนา”


“โมโหหิว” ปราณตอบ ทั้งที่คำตอบนั้นไม่ได้ตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจเลยสักนิด “หิวจนแทบจะกินควายได้ทั้งสายพันธุ์แล้ว”


คนฟังหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างไม่ถือสา “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวจะพาไปกินอะไรอร่อย ๆ จะได้หาย”


เกือบหนึ่งชั่วโมงที่รถค่อย ๆ เคลื่อนไปบนถนน ในที่สุดบารมีก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดที่ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่สายฝนเริ่มซาเม็ดลง ทันทีที่เปิดประตูลงมาปราณก็ทำตาโตเพราะจำได้ว่าร้านนี้เป็นร้านแนะนำติดอันดับ 1 ใน 10 ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ต้องมาลองให้ได้สักครั้ง ซึ่งนอกจากจะมีชื่อเสียงเรื่องรสชาติและคุณภาพของวัตถุดิบแล้ว ราคาก็ยังไม่ใช่ระดับที่พนักงานบริษัทธรรมดา ๆ จะสามารถกินได้บ่อย ๆ


“มีแต่แพง ๆ ทั้งนั้นเลยเฮีย” หนุ่มในชุดนักศึกษากลืนน้ำลายเอื๊อกขณะเปิดรายการอาหารที่วางอยู่หน้าร้าน “ไปกินร้านอื่นดีกว่า เปลืองเงิน”


“เดี๋ยวฉันเลี้ยงแกเองน่า” บารมีกล่าวพลางตบไหล่คนตัวสูงกว่าเบา ๆ


“แต่ว่า...”


“ไม่ต้องแต่ เข้าไปข้างในกันดีกว่า” พูดจบก็ดันหลังอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปด้านใน


แม้จะขึ้นป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นรสชาติต้นตำหรับ หากแต่ภายในกลับตกแต่งแบบสมัยใหม่ ซ้ำภาพของอาหารที่เห็นในรายการตัวอย่างยังจัดแต่งต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไปอีกด้วย


บารมีและปราณชวนกันนั่งลงที่มุมหนึ่ง รับรายการอาหารจากบริกรก่อนจะเปิดดูไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสงบเงียบมีเสียงบรรเลงของเครื่องสายคลอเบา ๆ


“ไม่ยักรู้ว่าเฮียก็เข้าร้านหรู ๆ แบบนี้กับเขาด้วย มาบ่อยเหรอ”


“ครั้งนี้ครั้งที่สองน่ะ เคยมากับเพื่อนเมื่อนานแล้ว รู้สึกว่าอร่อยดีเลยอยากพาแกมาลอง คิดว่าฉลองชีวิตผู้ใหญ่เดือนแรกก็แล้วกันนะ”


ปราณหัวเราะหึ รู้สึกจุกอย่างไรบอกไม่ถูก ขืนพูดออกไปว่าชักเริ่มไม่อยากเป็นผู้ใหญ่เสียแล้วคงโดนหัวเราะแน่ ๆ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบก้มหน้าก้มตามองหาของที่อยากกิน


“เมื่อไรจะขายคอนโดนั่นแล้วย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันสักที” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นที่หลังฉากกระจกขุ่น แต่นั่นไม่สามารถเรียกความสนใจของบารมีได้เท่ากับเสียงของอีกคน


“ให้เวลาผมหน่อยสิ คุณก็รู้ว่าคอนโดนั่นอยู่ใกล้ที่ทำงานของผม”


ปราณละสายตาจากรายการอาหารที่เพียงอ่านชื่อก็น้ำลายสอ เงยหน้าขึ้นมองคนฝั่งตรงข้ามที่ยังคงจ้องรายการอาหารนิ่ง ดูเงียบเชียบผิดปกติจนน่าสงสัย


“เป็นอะไรหรือเปล่าเฮีย”


“เปล่า” เป็นคำตอบห้วน ๆ ไร้ชีวิตชีวา


“ใกล้ที่ทำงานหรืออยู่นั่นจะทำตัวเป็นโสดยังไงก็ได้” คนพูดตวัดเสียง


“มีเหตุผลหน่อยสิ ทุกวันนี้ผมต้องทำอะไรเยอะแยะไปหมด ทั้งต้องรักษาคนไข้ ทั้งต้องคอยสร้างผลงานให้ผู้ใหญ่เห็น กว่าผู้ใหญ่จะเห็น คนอื่นเขาก็ไปถึงไหน ๆ กันแล้ว คุณก็รู้ว่าผมทุ่มเทให้กับตำแหน่งกรรมการบริหารนี่มากแค่ไหน ถ้าผมถูกคัดเลือกให้รับตำแหน่งละก็...มันจะทำให้หน้าที่การงานของผมก้าวกระโดดจนทิ้งห่างคนอื่น ๆ ที่อายุพอ ๆ กันเลยนะ”


“วรรษก็เลยต้องย้อนกลับไปตามง้อขอคืนดีกับแฟนเก่าอย่างนั้นสินะ”


“ผมบอกแล้วไงที่ผมต้องทำแบบนั้นก็เพราะเขาเป็นลูกชายของคุณหมอบวรหนึ่งในหุ้นส่วนใหญ่ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาล”



ประโยคที่ลอยมากับลมนั้นพาให้คนสองคนเงยหน้าขึ้นสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อสามารถเรียบเรียงเหตุการณ์จากคำพูดก่อนหน้าได้ ก็เป็นปราณที่เอ่ยขึ้น


“ร...เราไปกินบะหมี่อาแปะกันดีกว่าเฮีย อาหารที่นี่ไม่เห็นจะน่ากินเลย ผมไม่อยากกินแล้ว” พูดจบก็วางปิดรายการอาหารก่อนจะวางลงอย่างไม่ใยดี รู้สึกอยากจะเดินไปปิดปากโต๊ะข้าง ๆ เสียให้รู้แล้วรู้รอด


สองคนพากันลุกขึ้น เพื่อไปให้พ้น ๆ การสนทนาที่ฟังแล้วไม่เห็นอะไรนอกจากความเห็นแก่ตัว กำลังจะเดินพ้นจากโต๊ะ ประโยคหนึ่งก็ทำให้คนที่กำลังลังถูกพาดพิงอย่างบารมีต้องกำหมัดแน่น   


“รีบ ๆ ง้อให้ได้สิ ไหนเคยบอกว่าคนนี้ได้มาง่าย ๆ จะกลับไปก็ไม่ใช่เรื่องยากไง”


“ก็ตอนนี้มันไม่ได้ง่ายแบบตอนนั้นแล้วนี่นา ขืนทำแหวกหญ้าให้งูตื่นก็เสียเรื่องกันพอดี ไม่เอาน่า อย่าอารมณ์เสียเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยนะ ยังไงผมก็รักคุณคนเดียวอยู่แล้ว”


“ฮ...เฮีย!!!” ปราณยกมือคว้าแต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ พริบตาเดียวร่างเล็กก็ปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อของเจ้าของคำพูดชวนสะอิดสะเอียนนั่นเสียแล้ว


“ม...หมี่...” ทันตแพทย์วรรษวรเบิกตาโพลง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะบังเอิญได้พบคนรักเก่าที่นี่ ลืมไปเสียสนิทว่าร้านนี้เป็นร้านที่มาด้วยกันครั้งแรกนับตั้งแต่ตกลงคบหากัน


พลั่ก!


ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำอะไรไปมากกว่านี้ บารมีก็จัดการปล่อยหมัดขวาอัดเข้าเต็มหน้าหล่อทันที


“ก...แก แกเป็นใคร!!!” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามร้องขึ้นขณะรีบแทรกตัวเข้ามาประคองคนรักที่ตอนนี้ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ ดวงตาอาฆาตจ้องเขม็งมาที่บารมี แต่คนก่อเหตุก็หาได้กลัวเกรง


“ผมก็คือคนที่คุณสองคนกำลังพูดถึงอยู่ไง”


คำตอบนั้นทำเอาคนถามหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย


“ม...หมี่ ฟังพี่ก่อน หมี่กำลังเข้าใจผิดนะ พ..พี่ พี่กับเขา เราไม่ได้เป็นอย่างที่หมี่คิด” วรรษวรกล่าวทั้งที่เลือดกลบปาก พยายามแกะมือไม้ของอีกคนออก หวังจะเอาตัวรอด ซึ่งนั่นก็ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่คนที่มาด้วยกันอยู่ไม่น้อย


“ที่เขาเข้าใจมันก็ถูกแล้วนี่ครับวรรษ แล้วคุณยังจะไปบอกว่าเขาเข้าใจผิดได้ยังไงกัน” หนุ่มหน้าอ่อนยิ้มเยาะ “ของเก่าไร้ค่าถูกโยนทิ้ง มันก็สมควรแล้ว”


วรรษวรถอนใจพรืด รู้สึกไม่สบอารมณ์กับคำพูดที่คนรักคนปัจจุบันได้พ่นออกมา ชายหนุ่มยกหลังมือขึ้นซับเลือดพยายามควบคุมอารมณ์ก่อนจะกล่าว “ให้โอกาสพี่อีกสักครั้งนะครับหมี่ พี่ยังรักหมี่นะ”


“อย่าพยายามอีกเลยครับพี่วรรษ มันไม่มีประโยชน์หรอก พี่ก็รู้ว่าสถานะระหว่างหมี่กับอาจารย์หมอบวรมันคืออะไร ขอร้องละครับ”


“พี่ยังคิดถึงหมี่อยู่ตลอดเวลาจริง ๆ นะครับ”


“ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงหมอ เลิกคิดเรื่องเลว ๆ แล้วก็เลิกยุ่งกับบะหมี่สักที ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน” ปราณกำหมัดแน่น ในใจนึกอยากจะตามไปซ้ำอีกสักหนให้สาสมกับสิ่งที่ทันตแพทย์วรรษวรทำแต่กลับถูกเจ้าของร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างกันห้ามเอาไว้เสียก่อน


“กลับเถอะตี๋ หมอวรรษวรเขาฉลาดพอที่จะคิดได้ว่าเขาควรทำยังไง” พูดจบบารมีก็ตัดสินใจหันหลังให้กับอดีตแล้วเดินจากมาโดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองอีกเลย
   


...
        

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นต์ ขอบคุณที่ช่วยตรวจคำผิดให้ค่ะ
คิดว่าตอนล่าสุดนี้น่าจะทำให้หลาย ๆ เข้าใจจุดประสงค์ของการรุกหนักของหมอวรรษวรแล้วนะคะ
แต่เราไม่แน่ใจว่าเราทำให้ทุกคนเห็นภาพบารมีตรงกันไหม ที่ผ่านมาไม่เคยเขียนตัวละครลักษณะนี้
อาจจะไม่ได้โผงผางเปิดเผยแบบผู้ชายทั่ว ๆ ไป ดูเหมือนจะบอบบางแต่ก็ไม่ได้หวานแหววเหมือนผู้หญิงซะทีเดียว
ลักษณะของบารมีจะเป็นแนว ๆ รู้ว่าคนส่วนใหญ่ยากจะยอมรับในแบบที่เขาเป็น ซึ่งตัวเองก็เลือกไม่ได้
ไม่ได้อยากให้พ่อหรือใคร ๆ มองเป็นคนน่ารังเกียจ เลยสร้างเกราะขึ้นมาป้องกันตัวเองซะเลย (ออกแนวกังวลไปเอง)
ในแง่มุมของเรา บะหมี่เป็นตัวแทนของทั้งผู้หญิงผู้ชายที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง พยายามทำในแบบที่คิดว่าคนอื่นจะยอมรับ
(หมอวรรษวรคือหนึ่งในรายที่อาการหนักกู่ไม่กลับ) จนบางครั้งก็ลืมตัวตนไป
แต่มันก็มีบางคนยอมรับในสิ่งที่บะหมี่เป็นนะ (ใช่ไหม ๆ)
อาจจะดูขัด ๆ กับที่เคยเขียนมาบ้างละ เรายินดีรับฟังในทุกความคิดเห็นค่ะ
มีเรื่องอยากแจ้งให้ทราบยาวกว่านี้ไว้คุยตอนหน้านะคะ เป็นตอนสุดท้ายแล้ว ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 09-09-2015 07:23:19
เกลียดดดด หมอวรรษ เลวมากกกก เล่นกับจิตใจคนอื่นแบบนี้ได้ไง
หมี่สู้ๆนะ อย่าได้แคร์คนแบบนั้น ลี้น้อยปลอบใจเฮียหน่อยเร็ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 09-09-2015 09:12:55
เผยธาตุแท้ออกมาจนได้นะคะวรรษ อะไรจะเห็นแก่ตัวเองจนไม่ให้เกียรติแม้กระทั่งคนที่ปากเพิ่งบอกว่ารักไปได้หยกๆ ขนาดนั้นกัน ถือว่าเป็นโชคดีของหมี่จริงๆ เลยนะคะ ที่บังเอิญพาลี้น้อยเข้ามาทานอาหารร้านนี้แถมยังได้ยินทุกๆ คำพูดด้วยหูของตัวเองอีกต่างหาก น้ำหนักมันเลยมากพอให้หมี่ตัดขาดทุกๆ ความรู้สึกของรักเมื่อครั้งนั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ให้หายไปจนหมดได้ในคราวเดียวเลย ถึงแม้หมี่จะต้องรู้สึกเจ็บใจนิดๆ ที่ถูกว่าร้าย แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้วรรษเสแสร้งใส่กันนานไปกว่านี้นั่นล่ะเนอะ

ปล.1 หมี่อยากรู้จริงๆ เหรอคะว่าลี้น้อยซ่อนอะไรเอาไว้ใต้หมอน~~ :hao7:

ปล.2 คำผิดจ้า..^^

ริมฝีปากแห้งผากเอาแต่พร่ำพูดประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลือกตาปิดสนิ(สนิท)ที่หางตา

“ทำไมวะ เมื่อตอนแกเด็ก ๆ ฉันก็ช่วยแม่แกทำให้แบบนี้บ่อย ๆ ตอนแกไม่สบาย ทีแกกอดฉันทั้งคืนฉันยัง(ไม่)ว่าเลย” -คำที่ตกไป

คำถามของพี่ชายบ้านใกล้ ทำเอาน้องชายที่นั่งอยู่อีกฝั่งแทบสำลักจนต้องยกน้ำขึ้นดื่มแก้อาการไปไม่เป็น ปราณวางแก้วลงก้มอง(ก้มมอง)มือที่กำลังจับช้อนเขี่ยข้าวในชาม

ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดหาที่กับบัง(กำบัง)ระหว่าระ(ระหว่าง)รถสาธารณะที่นาน ๆ

“ผมบอกแล้วไงที่ผมต้องทำแบบนั้นก็เพราะเขาเป็นลูกชายของคุณหมอบวรหนึ่งในหุ่น(หุ้น)ใหญ่ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาล”

“ร...เราไปกินบะหมี่อาแปะกันดีกว่าเฮีย อาหารที่นี่ไม่เห็นจะน่ากินเลย ผมไม่อยากกินแล้ว” พูดบ(จบ)ก็วางปิดรายการอาหารก่อนจะวางลงอย่างไม่ใยดี

พริบตาเดียวร่างเล็กก็ปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อของเจ้าของคำพูดชวนสะอิดสะเอือน(สะอิดสะเอียน)นั่นเสียแล้ว

ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอื้อนเอ่น(เอื้อนเอ่ย)ถ้อยคำอะไรไปมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-09-2015 09:16:22
ได้รู้ความจริงซะอย่างนี้ก็ดีนะ... เฮียหมี่จะได้ตาสว่าง ตัดใยบัวที่เหลือได้ซะที
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 09-09-2015 09:39:20
แอบมาปล่อยของอีกแย้วววว
ว่าแล้วอิหมอวรรษมันต้องมี
จุดประสงค์ไม่ดีแน่ๆที่กลับมา
หาหมี่แต่อย่างนี้มันช่างน่าโดน :z6: :z6: :beat:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 09-09-2015 23:29:12
ชีวิตหมี่ยังคงเจอกับความเจ็บปวดอีกแล้ว 
คนในอดีตที่เคยทำให้เจ็บปวดหวังไว้ว่าปัจจุบันอาจจะดีขึ้น  แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป
คือความเป็นจริงบนโลกใบนี้เนอะ  ได้แต่สงสารและเจ็บปวดกับหมี่จริงๆ (อินอีกแล้ว)
คนหลอกลวงน่ากลัวกว่าผีมาหลอกอีกนะลี้น้อยเนอะ

พอลี้น้อยฝึกงาน รู้สึกสงสัยในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลี้หมี่  เหมือนเป็นแฟนกันเลยนะ  ปฏิบัติต่อกันโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
น้อยใจเรื่องเล็กๆน้อยๆกันแล้วนะ ต่างฝ่ายก็เริ่มรู้ใจตัวเองแล้วใช่ไหม  เพียงแต่ไม่อาจพูดออกมาได้ใช่ไหม
ชอบที่เอาใจใส่ความรู้สึกกัน  ลี้น้อยเมื่อรู้ตัวว่าผิดก็พูดขอโทษทันทีเลย  ใครได้เป็นแฟนนับว่าโชคดีมากๆเลย ว่าไหมหมี่555
ส่วนหมี่ก็พาไปร้านอาหารญี่ปุ่น(ไปนั่งทับรอยพี่วรรษซะเลย)แทนการขอโทษที่เคยพาพี่วรรษไปร้านบะหมี่ของสองเราใช่ไหม555

ตอนต่อไปตอนจบแล้วหรือค่ะ เตรียมตัว เตรียมใจ ยอมรับความเป็นจริง555
ขอบคุณมากๆนะคะ สนุกมากๆเลยค่ะ :L2:



หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 10-09-2015 19:10:22
สมน้ำหน้าหมอฟันหน้าหม้อ โดนต่อยเลย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 10-09-2015 20:06:48
สงสารเฮียหมี่ แต่ก็ดีแล้วที่มาได้ยินกับตัวเองแบบนี้จะได้ไม่ต้องคิดมากไปคาดหวังตัดใจได้เด็ดขาด สู้ๆนะเฮียหมี่
ลี้จะคอยอยู่ข้างๆเฮียแน่นอน ปราณจะกล้าบอกความรู้สึกออกไปไหม

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-09-2015 21:01:54
เลวมากกกกกก !!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 10-09-2015 21:18:19
เมื่อไรหมี่จะมองคนข้างๆสักที :serius2:

ไอ้หมอวรรษเลวมาก นะต่อยอีกสักหมัดสองหมัด :fire:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: oss_tw ที่ 11-09-2015 19:43:55
 :sad11:

เจ็บปวดแทนจริงๆ

รอตอนต่อไปค่ะ

  o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 13-09-2015 23:23:07


#คิดถึงหนักมาก...  :-[ ถธปทฟ

ตอนที่ 5 ::จะเป็นตอนจบจริงเร้อ  :ruready

แอบใจหายเล็กๆๆ รุ้สึกว่าสัมผัสชีวิต สองไม่เต็มอิ่มเลย ............อยากให้เรื่องยาวอีกจังเลย 

จะได้ละมุนละไม กับ นายบะหมี่ และ ลี้น้อยไปอีกนานๆๆๆ

 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven

‘ปราณ’ นักศึกษาชั้นปีที่สามของคณะมัณฑนศิลป์ ผู้มีความสุขกับการใช้ชีวิตและการจดจำเรื่องราวในแต่ละวัน ส่วนที่นั่งหน้าง้ำอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเพราะโดนจี้ใจดำก็คือ ‘บารมี’ ทันตแพทย์หนุ่มวัยยี่สิบหก ผู้ที่เชื่อเหลือเกินว่าคนเราเกิดมาเพื่อตามหารักแท้ แม้จะยังไม่เจอเลยสักครั้งแต่เขาก็ยังไม่หมดกำลังที่จะตามหา .

อยากรุ้ว่า ฉากเปิดเรื่องด้วยการดูดวง ...มีความหมายแฝงอะไรไหมครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-09-2015 15:45:42
ยังดีที่เห็นธาตุแท้หมอวรรษได้เร็ว ไม่ไหว ๆ มีความสามารถก็ไต่เต้าขึ้นไปเองสิ
ลี้น้อยรีบโตแล้วมาดูแลเฮียหมี่สุดที่รักนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 16-09-2015 20:55:04
ไม่รู้ว่าพลาดได้ไง แต่อ่านแล้วสนุกมาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 4 : ความจริงที่เจ็บปวด) 09-09-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-09-2015 01:04:42
เราอยากรุว่าอะไรอยู่ใต้หมอนง่ะ~ ไม่คิดจะเฉลยเลยรึ
ขอหวานๆ สักทีจิสงสารลี้น้อยจะแย่ล่ะ ตอนหน้าจบแล้วยังไม่เห็นวี่แววจะทำคะแนนได้เลยอ่า~
หวังว่าท้องฟ้าคนนี้คงไม่ใจร้ายเหมือนฟ้านอกหน้าต่างที่อึมครึมและหอบลมฝนมาทุกวันนะคะ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 19-09-2015 23:30:38
รอนะคะ :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 19-09-2015 23:52:27
ดีนะที่เข้ามาเช็คหาตอนใหม่ของเรื่องนี้

เจ็บแต่จบดีนะ  ฉลาดขึ้นมาอีกนิด แกร่งขึ้นมาอีกหน่อย

วรรษไม่น่าที่จะเหลือใครเลย  พูดออกมาโต้งๆต่อหน้าแฟนตนปัจจุบันว่ายังรักแฟนเก่าอยู่ฉะนั้นก็อย่าได้เหลือใครเลยนะ   แต่ก็ว่าไม่ได้นะศีลไม่เสมอกันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว

ใครสักคนน่าจะบอกอาจาน(คนๆนี้มีค่าแค่นี้จริงๆค่ะ)หมาบวรว่าวรรษตั้งใจจะใช้ลูกที่ จานเกลียดมากๆมาไต่เต้าเผื่อจานจะได้ชี้แนะวิธีที่ถูกต้องกว่า

เหนื่อยนักก็พักก่อน  หมี่น่าจะเห็นได้แล้วนะว่าลี้ก็ไม่น้อยแล้ว ลี้น้อยเองก็สามารถเป็นที่พึ่งทางใจให้เฮียหมี่ได้เหมือนกันนะ

ป.ล  จานบวรก็น่าจะคืนเงินที่แม่หมี่เก็บให้นะ   นางไม่คู่ควรที่จะได้มันหรอก ไม่ใช่ว่ามันเยอะหรือไร แต่นางไม่มีค่าพอที่จะได้ความรักขนาดนั้นจากแม่หมี่ค่ะ   พอๆกับที่เงินทองความสำเร็จใดๆที่นางได้มานั้นไม่มีค่าอะไรเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-09-2015 00:09:21
สวัสดีค่ะ

ขอโทษนะคะที่ทำให้ต้องรอนานเลย พอดีสัปดาห์ที่ผ่านมางานยุ่งมาก ๆ ผสมกับป่วยก็เลยไม่ได้มาต่อ

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ ยังไงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ

ว่าจะเขียนตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแต่ยิ่งเขียนยิ่งยาว ขอตัดอีกส่วนเอาไปไว้เป็นตอนถัดไปนะคะ

ขอบคุณหลาย ๆ ท่านที่ช่วยตรวจคำผิดให้ค่ะ ตอนล่าสุดยังไม่ได้ทวนเลย ผิดพลาดตกหล่นประการใดต้องขออภัยด้วยค่ะ

ส่วนเรื่องอะไรอยู่ใต้หมอน ถ้าใครเคยฟังเพลงนิทานหิ่งห้อย จะรู้ว่ามันคือหิ่งห้อยค่ะ เอาไว้ใต้หมอนแล้วจะนอนฝันดี

เจอกันตอนหน้านะคะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านบะหมี่กับลี้น้อยค่ะ ไปอ่านกันเลย (ม่าแล้วต้องม่าให้สุด)




ตอนที่ 5 ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป


กุ๊งกิ๊ง...


เสียงกระทบกันของเปลือกหอยที่ร้อยติดกับเชือกดังแว่วมาตามสายลม...


กุ๊งกิ๊ง...กุ๊งกิ๊ง...


บารมีปาดน้ำตาก่อนจะยันกายลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปที่ริมหน้าต่าง เมื่อมือขาวรูดเก็บผ้าม่านผืนบางไว้ที่ข้างหนึ่งของวงกบก็พบว่าถังน้ำสแตนเลสที่ใช้ชักรอกไปมาระหว่างสองบ้านขณะนี้กำลังห้อยต่องแต่งอยู่ใต้ขอบหน้าต่าง ดึงขึ้นมาก็พบว่าข้างในมีถุงใส่น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ของโปรดของเขากับกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งเขียนด้วยลายมือ


‘กินน้ำเต้าหู้เพิ่มพลังหมัด’


“ไอ้ตี๋บ้า” เจ้าของสองตาช้ำบวมกล่าวเสียงขึ้นจมูกก่อนจะหันไปมองหน้าต่างห้องฝั่งตรงข้ามที่ตอนนี้ปิดไฟมืดสนิท บารมีดึงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาพิมพ์ข้อความจากนั้นจึงกดส่ง


‘กินด้วยกันไหม’


เท่านั้นแสงไฟที่ชั้นบนของบ้านอีกฝั่งก็สว่างขึ้นอีกครั้ง


ทันตแพทย์หนุ่มคว้าถุงใส่น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ลงมายังชั้นล่างของบ้าน ก่อนจะเข้าไปหยิบแก้วข้างในครัวแล้วจึงเดินไปที่ประตูไม้บานพับจัดการปลดกลอนลงเปิดออกสู่ด้านนอก เป็นเวลาเดียวกันกับที่ลูกชายช่างตัดผมแทรกตัวออกจากประตูเหล็กพับเก็บได้พอดี บารมีนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน เทน้ำเต้าหูลงในแก้วสองใบที่เตรียมมาระหว่างรออีกคนที่กำลังเดินข้ามมา โดยแบ่งให้ได้แก้วละเท่า ๆ กัน


“ดึกป่านนี้แล้วยังจะออกไปซื้อน้ำเต้าหู้” พูดจบก็เลื่อนแก้วที่มีน้ำนมถั่วเหลืองสีขาวนวลอยู่ครึ่งหนึ่งให้


“ก็เห็นเฮียยังไม่นอน” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพลางใช้มือทั้งสองประคองแก้วเซรามิกทรงสั้นเอาไว้ ผิวสัมผัสนั้นอุ่นพอที่จะช่วยให้ร่างกายได้คลายความหนาวเย็นจากอากาศหลังฝนตกอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่ทำให้อุ่นในใจได้เท่ากับการนั่งใกล้ ๆ กันในยามนี้ ยิ่งเห็นดวงตาแดงช้ำของอีกคนแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นยังไงบ้าง”


บารมียกมุมปากพร้อมกับหัวเราะหึราวจะเย้ยหยันตัวเอง ดวงตาหม่นหมองเลื่อนต่ำมองมือที่กำแก้วแน่น  “รู้สึกเหมือนเป็นคนโง่เลยว่ะ”


“รู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอก คิดเสียว่ามันก็แค่บททดสอบที่ทำให้เข้มแข็งขึ้น”


“คงจริงอย่างที่ซินแสว่า คนที่ผ่านเข้ามาเข้ามาในชีวิตของฉันก็มาแค่ทดสอบจิตใจ ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป”


“เอาน่าเฮีย อย่าคิดมากเลย กินน้ำเต้าหู้ดีกว่า” พูดจบปราณก็ยกแก้วขึ้นดื่ม “เฮ้ย! อะไรวะ” คนตัวโตรีบวางแก้ว ยกมือกุมหัวพลางเหลียวซ้ายแลขวามองหาบางสิ่งที่เพิ่งตกลงมาถูกศีรษะ เสียงตกกระทบพื้นทำให้เขาสามารถหาตำแหน่งของมันเจอได้ไม่ยาก


“ที่แท้ก็ไอ้นี่เอง”


“เชือกมันคงเปื่อยแล้วมั้ง สงสัยต้องถอดลงมาร้อยใหม่” บารมีกล่าวพร้อมกับหยิบเปลือกหอยในมือของอีกฝ่ายมาดูใกล้ ๆ


“ซ่อมแล้วซ่อมอีก เก่าแล้วก็ทิ้งมันไปเถอะเฮีย จะเก็บเอาไว้ทำไม ไว้หาซื้อเอาใหม่ก็ได้”


 “ก็แค่ร้อยเชือกใหม่เอง จะต้องไปซื้อทำไมให้ยุ่งยาก”


“ทำไมถึงชอบโมบายเปลือกหอยนัก” ปราณพูดก่อนจะส่งปาท่องโก๋เข้าปาก


“เคยอ่านนิทานเรื่องหนึ่งแล้วชอบน่ะ”


“เรื่องอะไรเหรอ”


“เด็กหญิงเดียวดายกับเด็กชายสายลม” บารมียิ้มจาง ๆ พลางนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่เคยฟังเมื่อนานมาแล้ว


“เล่าให้ฟังหน่อยสิเฮีย”


“มันเป็นเรื่องของเด็กหญิงตาบอดคนหนึ่งที่ถูกนำมาทิ้งไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีใครรู้ว่าเธอชื่ออะไร ใครถามก็ไม่ยอมบอก ดังนั้นด้วยความที่เธอเป็นเด็กที่เงียบขรึม ไม่สุงสิงกับใคร และไม่มีเด็กคนไหนอยากเล่นกับเธอ ทุก ๆ คนในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจึงพากันเรียกเธอว่าเด็กหญิงเดียวดาย”


“โอ้โห...ไม่มีชื่ออื่นจะเรียกกันแล้วหรือไง” ปราณส่ายหัว


“ฟังต่อไหม”


“ฟัง ๆ”


“ทุก ๆ สัปดาห์จะมีชาวประมงเอาปลามาส่งที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขามักจะพาลูกชายของเขามาด้วย เด็กผู้ชายคนนั้นชื่อเด็กชายสายลม...”


“ตั้งแต่นั้นมาเด็กหญิงเดียวดายก็ไม่เดียวดายอีกต่อไป เพราะมีเด็กชายสายลมเป็นเพื่อนเล่นใช่ไหมล่ะ” ปราณแทรกขึ้น ในขณะที่บารมีเองก็พยักหน้าน้อย ๆ “พอโตขึ้น ทั้งสองคนก็แต่งงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป อ้าว! แล้วเปลือกหอยอยู่ตรงไหนล่ะเฮีย”


“บางครั้งชีวิตจริงมันก็ไม่ได้จบลงแบบตอนท้ายของนิทานหรอกนะตี๋” คนเล่าผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะว่าต่อ “เด็กชายสายลมกลายเป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียวของเด็กหญิงเดียวดาย วันหนึ่งเมื่อพ่อมาส่งปลาที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กชายสายลมก็ขอตามมาด้วยพร้อมกับของขวัญชิ้นหนึ่งที่เขาตั้งใจทำให้เด็กหญิงเดียวดาย ซึ่งมันก็คือโมบายเปลือกหอย”


คนฟังพยักหน้า มองตาดวงตาหม่นเศร้าที่ตอนนี้กำลังจดจ้องไปยังเปลือกหอยสีขาวในมือ บารมีหยุดไปชั่วขณะก่อนจะเริ่มเล่าอีกครั้ง


“เด็กหญิงเดียวดายดีใจมากเลยละ เพราะมันเป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตของเธอ เธอขอให้แม่บ้านช่วยแขวนมันไว้ที่หน้าต่าง คอยฟังเสียงของมันทุกวันทุกคืนพร้อมกับนับวันเวลาที่จะได้พบกับเพื่อนรักอีกครั้งโดยไม่รู้เลยว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน”


“ทำไมล่ะเฮีย แล้วเด็กชายสายลมไปไหน”


“ไม่มีใครรู้ว่าเด็กชายสายลมกับชายชาวประมงหายไปไหน พวกเขาหายไปโดยไม่ได้ส่งข่าว นับแต่นั้นเด็ก ๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็พลอยไม่ได้กินปลาไปด้วย จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป เด็กหญิงเดียวดายก็ต้องแปลกใจที่พบว่าในมื้ออาหารของเธอมีปลาเป็นส่วนประกอบ เธอนั่งฟังเสียงโมบายเปลือกหอยด้วยความหวังที่ว่าในสัปดาห์ถัดไปเธอจะได้พบกับเด็กชายสายลมอีกครั้ง”


“แล้วยังไงเฮีย ตกลงเด็กสองคนนั่นได้พบกันไหม”


บารมีส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ไม่...ในสัปดาห์ถัดมาชาวประมงมาส่งปลาตามปกติ เมื่อเธอถามถึงลูกชายของเขา ชาวประมงก็ทรุดลงต่อหน้า ถึงแม้เด็กหญิงเดียวดายจะมองไม่เห็นแต่เธอรับรู้ได้ถึงความเศร้าสร้อย ชาวประมงเล่าให้ฟังว่าลูกชายของเขาเป็นโรคร้าย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาไม่สามารถมาส่งปลาได้ ลูกชายของเขาล้มป่วยอยู่ไม่นานก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ”


คนตั้งใจฟังถอนใจเฮือก “แล้วเด็กหญิงเดียวดายว่ายังไงเฮีย”


“เธอนิ่งเงียบ แถมยังไม่มีน้ำตาสักหยด นั่นเพราะคำพูดที่ชาวประมงได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ เขาจับมือและบอกเธอว่า ลูกชายของเขาแขวนโมบายเปลือกหอยเอาไว้ที่หน้าต่างทุกบานของบ้าน เมื่อใดก็ตามที่ลมพัดมา เสียงของมันจะได้ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้จากไปไหน สายลมยังคงพัดวนอยู่รอบตัวทุกคนที่เขารักและหนึ่งในนั้นก็คือเด็กหญิงเดียวดาย”


“เศร้าจัง” ปราณบ่นพึมพำในขณะที่ปากก็ยังคงเคี้ยวปาท่องโก๋ “แต่เห็นไหมเฮีย เด็กหญิงเดียวดายยังไม่เศร้าเลย เพราะฉะนั้นเฮียก็ต้องเข้มแข็ง เลิกร้องไห้เสียใจได้แล้ว”


“ไม่ได้ร้องโว้ย”


“ตาบวมขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่ได้ร้องไห้อีก”


“ก็แค่ดูซีรีส์เกาหลีแล้วมันอิน” ปากบางยังคงไม่ยอมแพ้แต่คำแก้ต่างก็ดูไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย มิหนำซ้ำยังไม่อาจสู้สายตากับคนที่กำลังเท้าคางมองมาได้ บารมีจำต้องยกน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่ม สังเกตว่าทั้งที่ของเหลวในแก้วนั้นแทบจะไม่หลงเหลือความร้อนอยู่แล้ว แต่ทำไมจู่ ๆ ที่แก้มจึงได้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาก็ไม่รู้


ปราณหรี่ตามอง ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอีกฝ่ายคิดจะดูแม้แต่ละครไทย นี่ข้ามไปถึงเกาหลี “เกาหลีก็เกาหลี” ขี้เกียจจะเถียงด้วย ว่าแล้วก็ถอนหายใจหนัก “ถามจริงเถอะ เฮียเสียดายเขาไหม”


“ใคร” ถามออกไปทั้งที่ก็รู้อยู่แล้ว


“หมอวรรษวรไง เสียดายไหมที่ไม่ได้คบกับเขาต่อ”


“เสียดายเวลามากกว่า ถ้า ร...รู้...”


“ถ้ารู้แบบนี้” ปากหยักคลี่ยิ้มบาง ๆ “ตอนนี้พูดได้เพราะมันผ่านมาแล้ว แต่ตอนนั้นใครจะไปรู้ล่ะเฮีย ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกจริงไหม”


ทันตแพทย์หนุ่มถอนใจบ้าง หยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงวางบนโต๊ะก่อนจะเท้าคางเขี่ยให้หน้าจอเลื่อนไปหยุดที่ปฏิทินซึ่งแสดงให้รู้ว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นปีแล้ว “แบบนี้ที่หมอดูบอกว่ามีใครเข้ามาก่อนสิ้นปีก็คงหมดหวัง”


คนฟังหันขวับ จ้องหน้าคนพูดอย่างไม่เชื่อหู “อุตส่าห์บอกว่าไม่มีใครรู้อนาคต ยังแอบไปดูดวงอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย”


เมื่อจนต่อคำถามบารมีก็ทำได้แค่พยักหน้ายอมรับ “ก็มันอยากรู้นี่หว่า แต่สงสัยฉันจะอาภัพอย่างที่ซินแสคนก่อนทำนายไว้จริง ๆ ละมั้ง” พูดในขณะที่ตาเลื่อนต่ำลงมองปลายนิ้วของตนเองที่วนอยู่กับปากแก้ว “แกเชื่อเรื่องเนื้อคู่ไหมตี๋”


“ไม่เชื่อ” ปราณตอบแบบไม่ต้องใช้เวลาคิด


“ทำไมวะ”


...
 


“เนื้อคู่น่ะไม่มีจริงหรอก มีแต่คนธรรมดา ๆ ที่รอว่าเมื่อไรเราจะเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาเป็นคนพิเศษหรือคนสำคัญก็เท่านั้นแหละเฮีย”



คำพูดของคนอายุน้อยกว่าซึ่งทิ้งท้ายไว้ก่อนฝนที่เริ่มโปรยลงมาจนต้องต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับเข้าบ้านของตนเองตั้งแต่เมื่อคืนวานยังวนเวียนอยู่ในหัว บารมีมองข้าวในจานไม่ได้พร่องเลยสักนิดเพราะเขามัวแต่ใช้ช้อนเขี่ยมันราวกับเป็นของเล่น แม้ตาจะอยู่ตรงนี้ แต่ใจกลับลอยไปไหนต่อไหนจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า


“ขอนั่งด้วยคนนะครับ”


เสียงนั้นทำเอาความคิดต้องหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าร่างสูงเจ้าของยิ้มละไมที่ขอร่วมโต๊ะด้วยนั้นก็คือ ‘นุพันธ์’ ทันตแพทย์ที่เพิ่งย้ายมาทำงานใหม่นั่นเอง บารมีละสายตาจากคนตรงหน้าพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าวันนี้คนไม่เยอะเหมือนทุกวันซ้ำโต๊ะในโรงอาหารยังว่างอยู่อีกมาก แต่ในเมื่อเขาเอ่ยปากแล้วก็คงจะตอบรับเพื่อไม่ให้เป็นการทำลายน้ำใจกัน 


“ช...เชิญครับ”


ผู้มาใหม่กล่าวขอบคุณ วางจานข้าวและแก้วกาแฟก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม รอยยิ้มของเขายังคงระบายอยู่บนใบหน้า ทั้งที่เพิ่งได้พบกันในงานเลี้ยงต้อนรับบุคลากรใหม่แท้ ๆ แต่เขากลับทำราวกับรู้จักกันมานาน แต่บารมีก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ก้มหน้าก้มตาจัดการกับข้าวในจานเงียบ ๆ กระทั่งอีกฝ่ายขึ้น


“นี่จำเราไม่ได้จริง ๆ น่ะเหรอ”


คนถูกถามชะงัก กลืนข้าวลงคอก่อนจะยกแก้วน้ำหวานขึ้นดูดพร้อมกับส่ายหน้า “เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”


หนุ่มหล่อพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ เราเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่ากัน จำไม่ได้เหรอ” ยิ่งเห็นสีหน้าฉงนสนเท่ห์ของอีกคน ริมฝีปากก็ยิ่งยกขึ้นดดยอัตโนมัติ อยากจะรีบ ๆ เฉลยให้รู้เสียที “แต่จำไม่ได้ก็ไม่แปลก เพราะเราอยู่ห้องสอง เพิ่งย้ายตามแม่มาจากต่างจังหวัดเมื่อตอนม.หก นายเป็นเด็กห้องหนึ่งคงไม่ได้สนใจใคร วัน ๆ เอาแต่เรียนหนังสือ”


“ก็ไม่ขนาดนั้น” บารมีกล่าวอยู่ในลำคอ อยากจะเถียงว่าถึงจะเป็นเด็กห้องเก่งกระนั้นก็ยังร่วมกิจกรรมโรงเรียนไม่เคยขาด แต่ในเมื่อถูกมองไปทางนั้นแล้วพูดออกไปก็เหมือนการแก้ตัวเปล่า ๆ


“เราชื่อนุนะ”


“ส่วนเรา...”


“บะหมี่ เราจำได้”


“รู้จักชื่อเราได้ยังไง เราไม่ใช่คนดัง”


“เราก็ไม่ได้อยากรู้จักคนดังนี่ ว่าแต่บะหมี่เถอะ จะรับคนธรรมดา ๆ อย่างเราเป็นเพื่อนได้หรือเปล่า” คำถามนั้นกับสายตาที่ส่งมาทำเอาบารมีต้องรีบพยักหน้าก่อนจะกลับมาสนใจกับข้าวในจานต่อ


“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับ”


และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ ความสนิทสนมของสองคุณหมอทำให้คนในโรงพยาบาลเป็นที่รู้กันว่า มีทันตแพทย์บารมีที่ไหน ต้องเห็นทันตแพทย์นุพันธ์ที่นั่น


(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-09-2015 00:15:12
(ต่อค่ะ)



ปฏิทินจีนรายวันเล่มหนาถูกดึงออกจนเกือบครึ่งเล่ม มัวเพลินกับการทำงาน สนุกสนานกับการเที่ยวเล่นไปหน่อยเดียว รู้ตัวอีกทีก็ผ่านปีใหม่มาเกือบครึ่งทางเสียแล้ว ว่ากันว่าเวลาที่ผ่านไปไม่ต่างอะไรกับสายน้ำที่ไม่ไหลกลับ แต่สำหรับบารมีในตอนนี้หากเวลาจะย้อนกลับก็คงเป็นเพราะมีบางอย่างเข้ามากวนกระแสความคิดจนต้องหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตาคมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นโมบายเปลือกหอยยังคงแกว่งไกวส่งเสียงเตือนใจให้หวนนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลัง


ในมือถือกรอบรูปซึ่งมีภาพถ่ายเมื่อครั้งที่มีแม่อยู่ด้วยกันยังคงทำให้ยิ้มได้เสมอเมื่อหยิบขึ้นมาดูแต่ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะวางมันลงรวมกับสิ่งของอื่น ๆ ภายในกล่อง ร่างผอมบางผิดกับชายฉกรรจ์ในวัยเดียวกันลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังชั้นวางหนังสือ ตำหรับตำราที่เคยวางเรียงรายเบียดเสียดขณะนี้ถูกรั้งลงมาผูกเชือกวางซ้อนกันไว้เป็นกอง ๆ จะเหลือก็แต่เพียงสิ่งของอีกเพียงไม่กี่ชิ้น มือบางกำลังจะเอื้อมหยิบ แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น เมื่อหมุนตัวกลับก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูถูกเปิดออก


“กู๋เข้าไปนะหมี่” เจ้าของบ้านกล่าวก่อนจะดันประตูเข้ามา “มาดูว่าเก็บของไปถึงไหนแล้ว”


“เหลืออีกไม่เยอะหรอกกู๋ ของหมี่น้อย มีแค่หนังสือกับเสื้อผ้าในตู้แค่นั้นเอง”


คนเป็นน้าเพียงแต่พยักหน้าก่อนจะนั่งลงที่เตียง “แน่ใจเหรอว่าจะไม่ย้ายไม่อยู่ด้วยกัน”


“ไม่เอาหรอกกู๋ หมี่ไม่อยากไปเป็นกอขอคอ” ทำพูดติดตลกแต่ก็อดใจหายไม่ได้ นั่นก็เพราะกู๋ขจรกำลังจะแต่งงานและจะย้ายไปอยู่เรือนหอที่เพิ่งสร้างเสร็จ ดังนั้นตัวเขาเองจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่หอพักบุคลากรที่โรงพยาบาลจัดให้ 


“ทำไมคิดแบบนั้น เราครอบครัวเดียวกันนะ หมี่ก็เป็นหลานกู๋ เมื่อก่อนยังอยู่กับกู๋ได้เลย”


“มันไม่เหมือนกันแล้วกู๋ ตอนนี้กู๋ไม่ใช่หนุมโสดแบบแต่ก่อนแล้วนะ หมี่ตัดสินใจแล้ว กู๋ให้หมี่ทำในแบบที่หมี่เลือกเถอะนะ”


“แล้วนี่บอกบ้านโน้นหรือยังว่าจะย้ายไปอยู่หอพักของโรงพยาบาล”


บารมีส่ายหน้า “รอให้หมดเรื่องยุ่ง ๆ งานรับปริญญาของลี้น้อยก่อน หมี่จะหาโอกาสบอกป๊ากับแม่อีกที”


“คงจะใจหายกันน่าดู เฮียปริญญากับพี่วารีแกรักหมี่ยังกับลูก แถมเจ้าลี้น้อยก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก”   


บารมีละสายตาจากน้าชายมองไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายเลย แม้จะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแต่ความผูกพันมันเกี่ยวแน่นจนไม่อาจปริปากได้


ในที่สุดสี่ปีแห่งการเรียนของก็สิ้นสุดลง เช้านี้ทุกคนในครอบครัวต่างก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าสดใส โดยเฉพาะลูกชายคนเดียวของบ้าน นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้วอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาแสนเหน็ดเหนื่อยแต่ก็เต็มไปด้วยความปลื้มปิติ บรรยากาศในบ้านชื่นมื่น ชุดครุยสีดำเปื้อนคราบเหงื่อยังคงแขวนเอาไว้ที่ข้างชั้นวางอุปกรณ์ตัดแต่งผมของผู้เป็นพ่อ ในขณะที่ปริญญาบัตรก็ถูกเก็บไว้ในตู้อย่างดี อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อยังหลงเหลืออยู่บ้างกระนั้นปราณก็ยังคงตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยพ่อของเขาเปิดร้านเหมือนเคย ชายหนุ่มหมุนก๊อกหยิบสายยางขึ้นมารดน้ำต้นไม้ ปากก็ฮัมเพลงเริ่มต้นวันแรกของการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวอย่างอารมณ์ดี


“ไง หายเหนื่อยแล้วเหรอถึงได้ตื่นแต่เช้ามาเปิดร้าน”


“หายแล้ว” ปราณตอบยิ้ม ๆ “คนที่เหนื่อยน่ะเฮียมากกว่า ต้องขับรถพาป๊ากับแม่ไปนครปฐม เมื่อคืนกว่าจะถึงบ้านก็ดึก ทำไมตื่นเช้าจัง วันนี้วันเสาร์นะเฮีย”


“มันชินนี่หว่า”


“แล้วนั่นถือถุงอะไรมา”


บารมีก้มมองถุงหูหิ้วใบใหญ่ในมือก่อนจะตอบคำถาม “ของทะเลน่ะจะเอามาให้ป๊ากับแม่”


“ไปเที่ยวทะเลมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ยักชวนกันบ้าง”


“ไม่ได้หรอก พอดีมีเพื่อนที่โรงพยาบาลบ้านเขาอยู่จันทบุรีก็เลยฝากเขาซื้อ เดี๋ยวฉันเอาเข้าไปในบ้านก่อนนะ” พูดจบคนตัวเล็กก็เดินหายเข้าไปในบ้าน ใช้โอกาสนี้บอกเรื่องที่ควรจะต้องบอกสักที 


ชายหนุ่มหายไปครู่ใหญ่ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้ง พบว่าลูกชายเจ้าของบ้านกำลังยืนมองไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งกู๋ขจรกำลังลากบันไดอะลูมิเนียมจากในบ้านออกมากางออก   


“กู๋เขาจะทำอะไรน่ะเฮีย”


“ติดป้ายน่ะ”


“ป้าย? ป้ายอะไร” ปากถามแต่ตายังคงมองตามหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบปลาย ๆ ที่กำลังเปิดท้ายก่อนจะรั้งบางอย่างออกมา และเมื่อกู๋ขจรกางไวนิลที่มีข้อความ ‘ขาย’ และหมายเลขโทรศัพท์สำหรับติดต่อปราณก็ถึงบางอ้อ “ข...ขาย”


“อืม พอดีบ้านที่จะใช้เป็นเรือนหอสร้างเสร็จพอดี แต่งงานแล้วคงย้ายเข้าไปอยู่ กู๋แกก็เลยจะขายที่นี่”


“ล...แล้วเฮียล่ะ เฮียจะไปอยู่กับกู๋เหรอ”


“เปล่า ฉันจะย้ายไปอยู่หอพักที่โรงพยาบาลจัดให้น่ะ”


คนฟังหันมาสบตา แทบอยากให้สิ่งที่ได้ยินเป็นแค่ความฝัน


“วันนี้ก็เลยถือโอกาสมาลาป๊ากับแม่แล้วก็บอกแกด้วย”


การได้รู้เรื่องทั้งหมดเป็นคนสุดท้ายทำให้ปราณจำต้องกลืนความรู้สึกน้อยใจลงคอก่อนจะถามต่อ “แล้วของล่ะ เฮียจะย้ายเมื่อไร ผมจะได้ไปช่วย”


“ไม่ต้องหรอก ของมีไม่เยอะ ฉันทยอยขนใส่รถไปวันละนิดละหน่อยจนหมดแล้วละ”


เจ้าของร่างสูงกำหมัดแน่น กำลังจะอ้าปากต่อว่า แต่เสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายก็ทำให้ต้องยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มองบารมีที่หยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับสาย พลันรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเคร่งขรึมเมื่อครู่


“สวัสดีนุ” คนตัวเล็กหันหลังให้ก่อนจะมองซ้ายมองขวาเดินข้ามถนนกลับไปยังฝั่งบ้านของตน แต่กระนั้นปราณก็ยังคงได้ยินสิ่งที่เขาพูดกับคนปลายสายอยู่ดี “เราโทร.ไปเอง จะถามว่าวันนี้ว่างไหม จะเลี้ยงขอบคุณที่อุตส่าห์ซื้อของมาให้น่ะ เดี๋ยวเจอกันที่หอนะ...”


ลูกชายร้านตัดผมมองตามร่างบางของพี่ชายคนสนิทที่กำลังแทรกตัวผ่านประตูบานเฟี้ยมกลับเข้าไปในบ้าน คำร่ำลานั้นมันช่างสั้นเสียเหลือเกิน นี่เขาต้องจะใช้เวลาแค่ไหนในการยอมรับและปรับตัวให้ได้ ในเมื่อเวลาที่มีกันมันยาวนานจนกลายเป็นความรู้สึกผูกพันที่ยากจะตัดให้ขาดได้ง่าย ๆ เสียแล้ว ปราณเดินเงียบ ๆ ขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เปิดประตูห้องนอนก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูความเป็นไปภายในซอยเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวชวนจดจำ รถเก๋งสีดำที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ในหัวตอนนี้มีคำถามเดียวคือ ‘วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วหรือเปล่าที่จะได้พบกัน’



ทุกคำถามมักจะมีคำตอบเสมอ และคำถามนั้นมันก็มีคำตอบในตัวของมันเอง กว่าสองสัปดาห์แล้วที่ย่านคนจีนเล็ก ๆ แห่งนี้ไร้ซึ่งเงาของทันตแพทย์บารมี วันไหนที่ปราณเลิกงานค่ำแล้วไปนั่งที่ร้านแปะก็มักถูกผู้อาวุโสถามถึงอีกคน จนวันนี้ต้องเดินเลี่ยงไปอีกทาง


“หิวไหมลูก กินข้าวมาหรือยัง” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นเมื่อลูกชายเดินเข้ามาในบ้าน


“ยังไม่หิวครับแม่ ง่วงมากกว่า ลี้ขึ้นไปนอนก่อนนะแม่ ถ้าหิวเดี๋ยวลี้ลงมาหากินเอง” พูดจบชายหนุ่มก็เดินขึ้นบันไดไปทิ้งให้แม่มองตามอย่างเป็นห่วง


ปราณดึงเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือออกก่อนจะนั่งลง ทอดตามองออกไปนอนหน้าต่าง ห้องแถวฝั่งตรงข้ามถูกปิดตายติดป้ายหราว่าขาย ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถจอด เขาก็อดชะโงกหน้าออกไปดูไม่ได้ หวังจะให้เป็นคนคุ้นเคยที่กลับมาเยี่ยมเยียนกันบ้าง แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เมื่อพบความจริงว่ารถที่เข้ามาจอดเป็นรถของคนที่หยุดถ่ายภาพหรือไม่ก็เป็นกู๋ขจรที่พาคนมาดูห้องแถวติดป้ายขายนั่นเอง


ชายหนุ่มถอนใจหนักก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง หูได้ยินเสียงโมบายเปลือกหอยที่กำลังไหวลู่ไปตามกระแสลม เชือกเส้นใหญ่ยังคงเชื่อมหน้าต่างของสองบ้านไว้ด้วยกันเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือหลังหน้าต่างบานนั้นไม่มีพี่ชายที่คอยเป็นทั้งเพื่อนเล่นในวัยเด็กและเป็นที่ปรึกษาเมื่อต่างคนต่างเติบโตขึ้นอีกต่อไป


“อาลี้น้อย ลื้อแก้เชือกที่หน้าต่างให้อากู๋ขจรอีหน่อย”


เสียงของป๊าปลุกทำให้ปราณที่ฟุบหน้าหลับอยู่กับโต๊ะปรือตาขึ้น ชายหนุ่มขยี้ตางัวเงีย ทันทีที่ตั้งสติได้ก็ภาวนาขอให้ร้องห้ามได้ทันทีเถอะเพราะเขายังอยากจะเก็บมันเอาไว้ก่อน  ร่างสูงผุดลุงขึ้นมองไปยังหน้าต่างบ้านตรงข้ามก็พบว่าเจ้าของบ้านกำลังแก้ปลายเชือกอีกฝั่งออก คงเพราะผ่านวันเวลาและต่อสู้กับสภาพดินฟ้าอากาศมานาน ยิ่งช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกวันเชือกนั้นจึงเปราะและขาดลงเสียก่อน


แม้กู๋ขจรจะพยายามคว้าถังที่ผูกติดกับพวงเปลือกหอยแต่ก็คว้าไม่ทัน ทำให้มันหล่อนลงกระทบพื้นจนเกิดเสียงดังแทรกขึ้นท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ปราณพยายามมองหาถังใบนั้นกับโมบายเปลือกหอยของเขาแต่มันก็มืดเสียจนไม่เห็นอะไรเลย ตกลงมาสูงขนาดนั้น ป่านนี้เปลือกหอยก็คงจะแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดีมิหนำซ้ำคงจะถูกน้ำพัดลงท่อระบายน้ำไปเสียแล้วกระมัง คิดได้ดังั้นมือหนาก็ได้แต่แก้ปลายเชือกฝั่งตนเองออกก่อนจะสาวเส้นที่เคยเป็นดั่งตัวเชื่อมมิตรภาพกลับคืนมา


ครบหนึ่งเดือนแล้วที่ห้องแถวฝั่งตรงข้ามถูกประกาศขาย วันนี้เมื่อปราณกลับถึงบ้าน เขาก็เห็นว่าไวนิลแผ่นใหญ่ที่เคยติดอยู่เหนือกันสาดถูกปลดลงมาแล้ว อีกไม่นานคงจะมีเพื่อนบ้านคนใหม่ย้ายเข้ามา ไม่รู้ว่าจะดีเหมือนคนที่เพิ่งจากไปหรือเปล่า ชายหนุ่มวางสัมภาระลงบนเก้าอี้ตัดผมของป๊าก่อนจะเดินออกจากบ้านตรงไปยังเวิ้งที่เต็มไปด้วยร้านอาหารทั้งที่อาศัยชายคาตึกแถวและรถเข็น 


“เกี๊ยวน้ำถุงหนึ่งแปะ” ปราณร้องบอกชายชราเจ้าของรถเข็นขายบะหมี่ก่อนจะหันไปสั่งกะเพราไข่ดาวของโปรดกับลูกชายของเขาที่เปิดแผงขายอาหารตามสั่งอยู่ข้าง ๆ กัน


“วันนี้ไม่นั่งกินที่นี่เหรออาลี้น้อย”


“ไม่กินแปะ วันนี้จะไปกินกับเฮี่ยหมี่”


“ฮ่อ ๆ นี่สั่งเผื่ออาคุณหมอใช่ไหม เดี๋ยวแปะจะแถมเกี๊ยวตัวโต ๆ ให้ ฝากบอกอีด้วยว่าแวะมาเยี่ยมอั๊วะบ้าง อั๊วะคิดถึง”


“ได้แปะ” ปราณยิ้มอารมณ์ดีก่อนจะนั่งลงรออาหารที่สั่ง


ไม่ถึงสิบนาทีของที่สั่งก็ถูกลูกชายเจ้าของร้านบะหมี่รถเข็นใส่ถุงยกมาวางตรงหน้า


“เท่าไรเฮีย”


“เตี่ยอีบอกว่าฟรี ไม่คิดตังค์”


“เฮ้ย! จะดีเหรอเฮีย ของซื้อของขาย เฮียรับไปเถอะนะ”


“ไม่ได้ ๆ” อีกฝ่ายยกมือปฏิเสธพัลวัน “เตี่ยอีสั่งแล้ว ลื้อเอาไปฝากอาบะหมี่ตามที่อีบอกก็แล้วกัน” พูดจบหนุ่มพุงพลุ้ยเจ้าของแผงอาหารตามสั่งยิ้มตาหยีให้ก่อนจะเดินกลับไปหน้าเตาเหมือนเดิม


ปราณเองก็ยิ้มเช่นกัน นึกดีใจแทนอีกคนที่เป็นที่รักของใคร ๆ มากมาย แต่ทั้งที่มีแต่คนรัก เจ้าตัวกลับยังรู้สึกว่าตนเองขาดจนต้องเฝ้าค้นหา อยากจะให้บารมีมาอยู่ตรงนี้ด้วยกันเหลือเกิน จะได้รู้ว่าใครกันบ้างที่รักเขา คิดดังนั้นก็อยากจะไปถึงหอพักของโรงพยาบาลให้ไว ๆ อีกฝ่ายจะได้กินของโปรดที่ไม่ได้กินเสียนานในตอนที่มันยังร้อนอยู่


เนื่องจากไม่ใช่เวลาเร่งด่วน มัณฑนากรหนุ่มจึงใช้เวลาเพียงไม่นานในการเดินทางมาถึงโรงพยาบาล เขาถามเอากับเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยจนรู้ว่าหอพักของทันตแพทย์อยู่ที่ไหน ชายหนุ่มเดินดุ่มไปที่ด้านหลังของโรงพยาบาลก่อนจะตรงไปยังอาคารสูงห้าชั้นที่ป้ายด้านหน้าเขียนว่า ‘อาคารที่พักบุคลากร’ เมื่อเห็นรถของบารมีจอดอยู่จึงรู้ว่ามาไม่ผิดที่แน่ ปราณจึงตรงเข้าไปถามหาคนที่ต้องการพบเอากับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำหอพักซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะสำหรับติดต่อสอบถาม


“สวัสดีครับพี่ คือผมมาพบคุณหมอบารมีน่ะครับ ไม่ทราบว่าเขากลับมาหรือยัง”


“รถจอดอยู่นะครับ รถหมอนุพันธ์ก็อยู่ น่าจะมาแล้ว เพราะปกติจะเห็นกลับมาพร้อมกัน” ชายร่างผอมในชุดเครื่องแบบสีกรมท่ากดยิ้มก่อนจะยกมือป้องปากทำกระซิบกระซาบ “พวกแม่บ้านเขาซุบซิบว่าแกเป็นแฟนกัน ผมนี้ขนลุกเลย ผู้ชายกับผู้ชายจะเป็นแฟนกันได้ยังไง แต่ว่าไป ผมเห็นหมอบารมีครั้งแรกก็คิดว่าเป็นนักศึกษาหญิงที่ชอบตัดผมสั้นแต่งตัวเลียนแบบผู้ชายอยู่เหมือนกัน"


เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาไม่มีอารมณ์ร่วม รปภ. ขาดสารอาหารก็กลับเข้าสู่หน้าที่อีกครั้ง "เดี๋ยวผมลองดูให้ก่อน ถ้ามาแล้วจริง ๆ จะโทร.ขึ้นไปแจ้งให้ พอดีคุณหมอแกอยู่ตึกฝั่งตรงข้าม” พูดจบก็เดินออกไปนอกชายคาตึกเงยมองไปยังอีกฝั่ง “นั่นไงครับ ไฟเปิดอยู่” พูดพลางชี้ให้ดูระเบียงที่เปิดไฟสว่าง จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะในขณะที่ปราณยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น


ไม่ใช่แค่ชื่อไม่คุ้นหูที่ทำให้ความคิดต้องสะดุด แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นก็แทบทำให้ทั้งร่างชาและไม่อาจละสายตาไปไหนได้  มันคือภาพของชายหนุ่มแปลกหน้าที่กำลังปีนเก้าอี้เพื่อแขวนโมบายเปลือกหอยเหนือกรอบประตูระเบียงโดยมีพี่ชายที่เขาอยากเจอยืนให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง มือใหญ่กำหูหิ้วถุงพลาสติกแน่นก่อนจะเดินย้อนกลับมายังโต๊ะของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังเปิดสมุดหาเบอร์โทรศัพท์ภายในของห้องพักฝั่งตรงข้าม


“รอเดี๋ยวนะครับ พอดีผมจำเลขห้องคุณหมอบารมีไม่ได้”


“ไม่ต้องรีบหรอกครับพี่” ปราณกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาผิดกับตอนที่เพิ่งมาถึง “ผมฝากพี่ไว้ให้เขาดีกว่า หาเบอร์โทรศัพท์เจอเมื่อไรพี่ช่วยบอกให้เขาลงมาเอาก็แล้วกัน” พูดจบก็หยิบกล่องข้าวในถุงออกมาวาง “ส่วนข้าวนี่ผมยกให้พี่นะครับ ตอบแทนที่พี่ช่วยจัดการให้”


“จะไม่อยู่รอจริง ๆ เหรอครับ”


“พอดีผมนึกได้ว่ามีธุระน่ะครับ” ปราณยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะหันหลังจากมา ไม่แม้แต่จะคิดมองขึ้นไปยังระเบียงของอาคารฝั่งตรงข้าม


(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-09-2015 00:20:36
(ต่อค่ะ)


เกี๊ยวน้ำถุงใหญ่ทำให้ทันตแพทย์บารมีต้องกลับมาในที่ที่เขาเคยอยู่อีกครั้ง หนึ่งเดือนที่ผ่านมามีเรื่องราวยุ่งยากเกิดขึ้นมากมายระหว่างการทำงาน จึงทำให้ไม่ได้ย้อนกลับมาเยี่ยมเยือนชุมชนแห่งนี้อีกแม้จะคิดถึงเพียงใด ชายหนุ่มจอดรถที่หน้าร้านตัดผมบุรุษมองไปยังห้องแถวฝั่งตรงข้ามก็พบว่าป้ายบอกขายที่เคยติดไว้ถูกปลดออกไปแล้ว นึกดีใจที่อีกไม่นานกู๋ก็คงจะมีเงินก้อนใหญ่เอาไว้ต่อยอดธุรกิจสักที แต่ลึก ๆ ก็รู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อยเพราะนี่เป็นสิ่งที่เตือนให้รู้ว่าเขาคงจะต้องจากที่นี่ไปจริง ๆ แล้ว


ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเดินไปยังร้านตัดผมซึ่งตอนนี้ปิดให้บริการแล้ว ประตูเหล็กด้านหน้าถูกดึงเข้าหากันเหลือไว้เพียงช่องเล็ก ๆ เหมือนกำลังรอการกลับมาของสมาชิกภายในบ้านที่อาจจะออกไปทำธุระข้างนอก บารมีจึงอาศัยความคุ้นเคยแทรกตัวเข้าไปด้านใน กล่าวทักทายสองสามีภรรยาเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งคุยกันอยู่หน้าทีวี


“อาบะหมี่มาพอดี จะได้มาช่วยอาลี้น้อยอีตัดสินใจ”


“มีอะไรกันเหรอครับป๊า” คนเพิ่งมาถึงทำหน้างุนงง


“ก็อาลี้น้อยน่ะสิ อีได้ทุนเรียนฟรีที่เกาหลี พอประกาศผลว่าได้ อีก็เกิดไม่อยากไปขึ้นมาเฉย ๆ” ช่างปริญญากล่าวพลางยื่นจดหมายราชการฉบับหนึ่งให้


“คณะมัณฑนศิลป์ประกาศรายชื่อผู้ได้รับทุนการศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติเกาหลี” บารมีอ่านข้อความที่หัวกระดาษจากนั้นจึงกวาดตาดูรายละเอียดคร่าว ๆ “แล้วเรื่องภาษาล่ะครับ ในนี้ไม่เห็นมีบอก”


“ลี้น้อยบอกว่าเขาไม่เอาผลสอบวัดระดับภาษาเกาหลีจ้ะ แต่ให้ไปเรียนปรับพื้นที่โน่นก่อนครึ่งปี” ภรรยาช่างตัดผมอธิบาย


“ก็ดีนี่ครับ แล้วทำไมลี้น้อยถึงจะไม่ไป แปลกจัง” พูดจบบารมีก็พับจดหมายสอดลงซองเหมือนเดิม “แล้วนี่เขาไปไหนเสียล่ะครับแม่”


“กลับมาเจอจดหมายนี่เข้าก็ทำหน้าเครียดเลย บ่นว่าไม่อยากไป นี่คงไปที่ศาลเจ้าละมั้ง พักนี้พอมีเรื่องไม่สบายใจก็ไปที่นั่นทุกที หมี่ไม่อยู่สักคนคงไม่มีใครให้ปรึกษา ป๊ากับแม่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรสักเท่าไร ได้แต่บอกว่าถ้าไม่สบายใจเรื่องอะไรก็ระบายให้ฟังได้ แต่ก็ไม่เห็นลี้น้อยว่ายังไง”


เมื่อได้ฟังดังนั้นบารมีก็ตัดสินใจไปยังศาลเจ้าแม้ช่างปริญญาและภรรยาจะเอ่ยปากห้ามเพราะฟ้าฝนทำท่าจะตกก็ตาม แม้จะมืดค่ำแล้วแต่ก็ไม่รู้สึกว่าที่นี่น่ากลัวเลยสักนิด เดินไปทางไหนก็มีแต่ลุงป้าน้าอาคนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น ทุกที่ที่ไปล้วนเป็นที่ที่ตัวเขาเองคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กทั้งสิ้น หากมีใครที่ทำร้ายร่มที่ถือติดมือมาด้วยก็คงพอจะใช้เป็นอาวุธได้บ้าง


ไม่นานเจ้าของร่างเล็กก็มาหยุดยืนที่หน้าศาลเจ้า ลมฝนหอบเอาทั้งฝุ่นและควันเข้าปะทะหน้าจนต้องยกมือขึ้นกำบัง เมื่อสายลมคลายความเกรี้ยวกราด บารมีก็ก้าวเท้าผ่านช่องประตูเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งฝ่าควันธูปสวนออกมาพอดี

 
“ทำไมเมื่อวานไม่อยู่รอกัน รปภ.บอกว่าแกออกไปก่อนที่ฉันจะลงมาไม่ถึงสิบนาที”


“ไม่อยากรบกวนเวลา” ปราณตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ


“อะไรวะ รบกวนเวลาอะไรกัน ก็แกอุตส่าห์ซื้อเกี๊ยวน้ำอาแปะไปให้กิน ยังจะว่ารบกวนเวลา จะรอเจอกันก่อนก็ไม่ได้” บารมีบ่นในขณะที่เท้าก็ก้าวตาม


“เฮียอยากเจอผมด้วยเหรอ คิดว่ามีเพื่อนใหม่แล้วลืมทุกคนที่นี่แล้วเสียอีก”


“แกพูดอะไรของแกวะ ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย”


“ไม่ต้องเข้าใจก็ได้” ปราณกล่าวก่อนจะหันหลังเดินต่อโดยไม่สนหยดน้ำที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าสีดำสนิท


“พูดไม่รู้เรื่องแล้วจะเดินหนีแบบนี้ได้ยังไงกัน แกโมโหอะไรของแกเนี่ย โกรธฉันเรื่องอะไรก็บอกมาสิ”


“เฮียสนใจด้วยเหรอว่าผมรู้สึกยังไง”


“ก็แกเป็นน้องฉัน จะไม่ให้สนใจได้ยังไง”


‘น้อง’ คำนั้นทำเอาคนฟังชะงักกึก ขายาวหยุดกะทันหันจนทำให้คนที่เดินตามมาชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างจัง


บารมีมุ่นคิ้วพลางยกมือขึ้นจับจมูกตัวเองมองคนที่กำลังหันกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ฉันไม่รู้ว่าแกโกรธฉันเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันไม่ได้กลับมาที่นี่ก็เพราะช่วงนี้ที่โรงพยาบาลมีแต่เรื่องวุ่น ๆ” ทันตแพทย์ร่างผอมบางกล่าวอย่างหัวเสียก่อนจะเป็นฝ่ายเดินหนีเสียเอง


“ด...เดี๋ยวเฮีย” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยขึ้นพร้อมกับรั้งข้อมือเล็กเอาไว้ แม้เมฆฝนจะก่อตัวรวมกันเป็นกลุ่มก้อนบดบังแสงจันทร์ แต่แสงอันน้อยนิดจากเสาไฟริมทางก็พอจะทำให้เห็นใบหน้าชวนมองที่กำลังส่ายน้อย ๆ ได้อย่างชัดเจน สีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจของบารมีทำให้ความกรุ่นในอารมณ์ของปราณค่อย ๆ คลายลง


“ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ ว่าทำไมต้องมาเถียงกับแกด้วยเรื่องแค่นี้ วันนี้ก็แค่ตั้งใจจะมาขอบคุณเรื่องที่อุตส่าห์เอาเกี๊ยวน้ำไปให้กินก็เท่านั้นเอง” กล่าวพลางแกะมืออีกฝ่ายออก “ปล่อย ฉันไม่อยากอารมณ์เสียตามแก”


“ไม่ปล่อย จนกว่าเฮียจะหายโมโห”


บารมีถอนใจแรงจ้องหน้าคนพูด “ฉันอยากได้คำอธิบายแทนคำขอโทษ” ห้วนจนคนฟังกลืนน้ำลายเอื๊อก “ถ้าจะให้หายโมโหแกต้องตอบคำถามฉันอีกหนึ่งข้อ”


“ได้สิ เฮียอยากรู้อะไร”


“ทำไมแกถึงจะไม่รับทุน”


“ฮ...เฮียรู้?”


“เมื่อกี้ฉันแวะไปที่บ้านมา ป๊ากับแม่แกเล่าให้ฟังหมดแล้ว มีเหตุผลอะไรถึงไม่อยากไป”


“ไม่มีเหตุผลอะไร แค่ไม่อยากไป ที่สอบก็เพราะอาจารย์อยากให้ลองดู”


“สอบได้แล้วก็ยิ่งต้องไป ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการกั๊กที่คนอื่นเขา คนที่เขาอยากได้รับโอกาสนี้มีตั้งเยอะตั้งแยะ”


“แต่ผมไม่อยากไป”


“ตี๋ ฉันรู้ว่าแกไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลนะ บอกได้ไหมว่าทำไมแกถึงไม่อยากไป”


ปราณกดตาลงต่ำมองมือของตนเองที่ค่อย ๆ คลายออกจากข้อมือของอีกฝ่าย หน้าคมส่ายไปมาในขณะที่กรอบตากำลังร้อนผ่าวเพราะน้ำตาที่เอ่อขึ้นจนไม่อาจกลั้นไว้ได้อยู่ โชคดีที่ลมแรงพัดละอองน้ำปลิวฟุ้งกระทบกับผิวหน้า คงพอจะใช้เป็นข้ออ้างในยามที่ไม่สามารถสะกดความรู้สึกได้บ้าง


“ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”


“ตี๋...แกไม่เคยพูดโกหก บอกมาซิว่าเพราะอะไร”


“เพราะเฮียไง” ปราณที่ไม่อาจฝืนตัวเองได้อีกต่อไปตะโกนลั่นแข่งกับเสียงคำรามของท้องฟ้าพร้อมกับเงยหน้าขึ้น พยายามข่มแล้วแต่น้ำใสก็ดันไหลออกจากสองตาจนภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด


“พ...เพราะฉัน?”


“ลี้ไม่อยากไปก็เพราะเฮีย อยากอยู่ใกล้ ๆ เฮีย อยากรู้ว่าทุกวันฮียทำอะไรบ้าง อยากได้ยินเสียง อยากเจอหน้า”


บารมีแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่เสียงโครมคลืนหลังจากประจุไฟฟ้าแหวกผ่านอากาศก็ไม่อาจกลบความจริงที่ปราณเพิ่งพูดออกมาเมื่อสักครู่ได้


“ก...แกคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”


“ไม่รู้” คนพูดส่ายหัวดิก “รู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้ว”


‘รัก’


คำนั้นทำเอาคนฟังชาไปทั้งตัว จุกตรงกลางลำคอจนพูดไม่ออก ทั้งที่ตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินหากแต่บารมียังรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างหนักอยู่ภายใต้อกเสื้อด้านซ้าย ขาล่าถอยไปได้เพียงนิดก็ต้องหยุดเพราะข้อมือถูกยึดไว้


“อย่าไปนะเฮีย อย่าหนีไปไหน อย่าทำให้ผมกลัวการได้พูดมันออกมา” พูดจบรั้งร่างเล็กไปยืนหลบสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาภายใต้หลังคาที่ยื่นคลุมกระดานประกาศข่าวของชุมชน


ฝนหนาเม็ดส่งผลให้พื้นถนนกลับเจิ่งนองไปด้วยน้ำ อากาศรอบ ๆ หนาวเย็นจับจิตจับใจจนร่างกายไหวสะท้าน หากแต่ที่ข้อมือของบารมียังคงรู้สึกอุ่นเพราะสัมผัสจากมือหนาที่ไม่มีที่ท่าว่าจะคลายออก เมื่อต่างฝ่ายต่างไร้ซึ่งคำพูดความเงียบงันจึงโรยตัวโอบล้อมสองร่างเอาไว้ บารมีทอดตามองม่านน้ำที่ทิ้งลงตามแรงดึงดูดของโลก ความในใจที่น้องชายบ้านตรงข้ามได้กล่าวออกมาเมื่อครู่ทำให้นึกตำหนิตัวเองที่ไม่เคยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยสักนิด อดคิดไม่ได้ว่าเขาคงทรมานอยู่ไม่น้อยที่ต้องเก็บมันไว้ภายในใจเรื่อยมา 


“รู้แบบนี้แล้วโกรธไหม เกลียดผมหรือเปล่า” คนอายุน้อยกว่าตัดสินใจถามคำถามที่ตัวเขาเองก็กลัวในคำตอบที่จะได้รับอยู่เหมือนกัน


“เปล่า” แม้จะเป็นคำสั้น ๆ แต่บารมีก็แน่ใจว่าเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ


“ผมคิดมาตลอดว่าถ้าพูดออกไปแล้วเฮียจะโกรธจะเกลียดกัน”


“สบายใจหรือยัง”


“อืม...” เจ้าของร่างสูงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถอนหายใจอย่างปลอดโปร่ง


บารมีพยักหน้าน้อย ๆ "ถ้าสบายใจแล้ว แกก็ไปเถอะนะ เพราะฉันเองก็ต้องไปเหมือนกัน"


"ฮ...เฮีย เฮียจะไปไหน" ปราณจ้องมองเสี้ยวหน้าที่ปรากฏขึ้นในความมืดยามที่ประจุไฟเคลื่อนที่จากก้อนเมฆไปยังก้อนเมฆจนเกิดเป็นแสงแวบวาบบนท้องฟ้า


"ฉันขอตามอาจารย์หมอไปทำงานแพทย์อาสาที่กาญจนบุรี" พูดจบก็ดึงมือของคนตัวโตออก


“เฮียจะไปเมื่อไร”


“ปลายเดือนหน้า”


“ไปนานไหม”


“ไม่รู้เหมือนกัน” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวเสียงแผ่ว ตัดสินใจกดสลักให้ร่มกางก่อนจะหันมาชวนคนบ้านใกล้ให้กลับกันเสียที แต่เมื่อกำลังจะก้าวออกจากใต้ชายคากันสาด เอวบางก็ถูกเหนี่ยวรั้งด้วยท่อนแขนแกร่งจนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ ร่างเล็กถูกรั้งเข้ามาแนบแผงอกกว้าง ดวงหน้ารับรู้สึกถึงไออุ่นของลมหายใจจากปลายจมูกที่อยู่ห่างไปไม่มาก


"สัญญาได้ไหมว่าจะรอ"


คนฟังส่ายหน้า "ฉันไม่สัญญา ส่วนแก...อย่ายึดติดกับคำพูดในวันนี้ อีกสองปีข้างหน้าความรู้สึกของแกมันอาจจะไม่ใช่แบบนี้แล้วก็ได้"


"ไม่...ไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาด ผมจะทำให้เฮียเห็น ไม่ว่าจะกี่ปีผมก็ไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด" พูดจบก็กระชับวงแขนให้แน่นเข้าพร้อมกับสบตาคู่สวยราวกับจะบอกให้รู้ว่าเขาพร้อมเสมอที่จะเปิดประตูให้อีกฝ่ายมาดูให้รู้แน่ว่าหัวใจของเขานั้นมั่นคงเสียยิ่งว่าสิ่งที่พูดออกไป


แต่ยิ่งร่างสูงโน้มหน้าใกล้เข้ามาเท่าไรบารมีก็ยิ่งอยากจะรีบถอยห่างให้ห่างออกไปมากขึ้นเท่านั้น นั่นเพราะเกรงว่าปราณจะได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเขาเองยังไม่รู้ว่าจะควบคุมมันสงบลงได้อย่างไร เมื่อรู้ตัวว่าหมดทางหนีหน้าหวานก็จำต้องเบือนไปทางอื่น แต่ก็ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่อปราณใช้มือข้างที่เหลือจับปลายคางมนให้เชิดขึ้น


“ก...แก แกจะทำอะไร”


“ผมเคยสัญญากับตัวเองว่าผมจะไม่จูบใครส่งเดช และถ้าคิดจะจูบละก็ คน ๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่ผมรักจริง ๆ และคนนั้นก็คือเฮีย”


ปราณจ้องลึกลงไปในดวงตาไหวระริกคู่นั้นก่อนจะโน้มหน้าลงประกบริมฝีปากลงบนกลีบปากเย็นเฉียบเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ บารมีปิดเปลือกตาลงช้า ๆ เมื่อความอ่อนหวานละมุนละไมแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูกาย สัมผัสนิ่มนวลชวนให้หัวใจวูบไหว ไร้เรี่ยวแรงจนเผลอปล่อยให้ร่มหลุดมือปลิดปลิวไปตามกระแสลมกระโชก สองร่างเปียกปอนเพราะละอองฝนหากแต่ความรู้สึกอุ่นมิได้จางหายตราบเท่าที่เรือนกายและลมหายใจยังคงไม่ห่างจากกัน



...

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้าซึ่งเป็นตอนจบนะคะ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 20-09-2015 00:52:13
เพิ่งเห็นอ่ะ ปกติก็ไม่พลาดอยู่แล้ว
รอเฮียกับอาตี๋กลับมาเจอกันอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 20-09-2015 01:05:02
นึกว่าจะต้องร้องไห้เพราะเฮียไปกับหมอนุซะแล้ว  :hao5:
มาทีหลังจะมาแย่งเฮียไปจากลี้น้อยไม่ได้นะ

เฮียจะตอบรับความรู้สึกลี้น้อยใช่ไหม  :mew4:


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-09-2015 01:21:14
โอ๊ยยยย กว่าจะหวานทำเอาลุ้นผ้าปูแทบขาด

"อย่าทำให้ผมกลัวการได้พูดออกมา"
ชอบคำนี้จัง เข้าใจเลยกว่าคนพูดจะรวบรวมความกล้าพูดออกไปได้ มันไม่ได้ง่ายๆ เหมือนในโฆษณานะ ยิ่งรวมกับความรู้สึกหลายปีที่เก็บมาจนตกผลึก

ตอนหน้าจบแล้วเหรอ~ ไม่น้า อยากอ่านอีกง่า~ พล็อตมันน่าจะลากได้ยาวกว่านี้นะ นะ นะ *จิ้มพุงจึกๆ*

ปล.ตอนหน้าลี้น้อยจะสมหวังแล้วใช่ไหม? เพราะจบแล้ว สักทีเถอะนะ นี่ตอนโมบายขาดแทบขาดใจตามTT^TT
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 20-09-2015 02:41:23
แรกๆสงสารหมี่จับจิต หลังๆเริ่มสงสารลี้น้อยเพราะอ่านแล้วไม่รู้สึกว่าหมี่คิดกับลี้เกินน้องชายเลย คุณ ถธปทฟ ช่วยเอาหมอนุไปเก็บก่อนได้มั้ย ให้ลี้น้อยได้คู่กับหมี่โดยปลอดภัยเถอะ สาธุ โอมมะลึกกึ๊กกึ๋ย...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 20-09-2015 03:03:41
โถ  ลี้น้อยของป้า  :o12:

เป็นแค่น้องชายจริงๆนะ   ตอนหมอนุมานี่สิ้นปีหรือยัง?  ถ้ายังก็รอให้ลี้น้อยกลับมาจากเกาหลีก่อนแล้วกันนะ

ที่ลี้น้อยว่าก็ถูกนะ  บ่อยครั้งที่คนเราไม่มองตรงที่สิ่งที่มีอยู่  แต่ไปจดจ่อกับสิ่งที่ขาดไปมากกว่า  คนบางคนมองเห็นแก้วน้ำที่มีน้ำครึ่งแก้วว่าน้ำหายไปตั้งครึ่งงในขณะที่คนอื่นมองเป็นว่ามีน้ำตั้งครึ่งแก้ว

ขอบคุณมากค่ะ  รอตอนสุดท้ายค่ะ 
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-09-2015 04:32:33
พึ่งจะได้เข้ามาอ่าน มาติดตามลี้น้อยด้วยคนนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 20-09-2015 08:41:15
คุณทำเราร้องไห้อีกแล้ว ทั้งซึ้งทั้งเศร้าในเวลาเดียวกัน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-09-2015 08:41:30
ตอนแรกนึกว่าลี้น้อยจะได้ซดน้ำใบบัวบกซะแล้ว
ว่ากันตามจริง หากจะมีใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้างแล้วทำให้เฮียหมี่มีความสุข เราก็เชียร์นะ
เพราะถ้าเกิดเฮียหมี่ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับลี้น้อย มันก็ช่วยไม่ได้ รักและดูแลแบบน้องชายมาตลอด
ตอนนี้เหมือนสองคนจะค่อยขยับความสัมพันธ์ขึ้นมานิดนึง แต่ก็ต้องห่างกันอีกเป็นปี ๆ
หวังว่าท้ายที่สุดจะลงเอยด้วยความสุขและสมหวังของคนทั้งคู่ และคนอ่านด้วย อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-09-2015 11:45:20
อ่านแล้วอุทานเบาๆ อ้าววววววววว !!!
เงื่อนไขของเวลาทำให้เรารู้สึกจุกทุกครั้งจริงๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: veeveevivien ที่ 20-09-2015 13:59:08


กลับมาต่อไวไวนะคะ หลงรักลี้น้อยยยย  :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 20-09-2015 14:51:06
เจ็บหัวใจตามลี้น้อยไปด้วยเลยค่ะ ตอนที่เจ้าตัวเขาหันไปเห็นหมี่ยืนอยู่กับใครอีกคนที่ตรงระเบียง :monkeysad: เกือบเข้าใจผิดกันไปแล้ว ดีนะคะที่ลี้น้อยเลือกที่จะยื้อและสารภาพความในใจออกไปเสียก่อน ^^ เราว่ารักแท้ของลี้น้อยไม่แพ้ระยะทางแน่นอนนะคะหมี่ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ได้เลย~~ ( ขอให้ลี้น้อยสมหวังด้วยเทอญ :call: )

คำผิดจ้า..

“เกี๊ยวน้ำถึง(ถุง)หนึ่งแปะ”

ผู้ชายหับ(กับ)ผู้ชายจะเป็นแฟนกันได้ยังไง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 20-09-2015 15:55:14
นิทานที่หมี่เล่าทำเรานำ้ตาไหลพรากจริงๆ  ชอบนิทานมากๆค่ะ
เด็กหญิงเดียวดายเข้มแข็งมากๆ เด็กชายสายลมก็น่ารักน่าสงสาร

ขอบอกว่าแอบกรี๊ดหมอนุค่ะ555 รู้สึกผิดต่อลี้น้อยจัง แต่ยังไงก็เชียร์ลี้น้อยอยู่แล้ว
ถ้าหมอนุรับรู้ถึงความผูกพันของลี้หมี่แบบเราก็คงยอมรับได้ที่จะเป็นเพื่อนที่แสนดีตลอดไป  ได้ไหมค่ะหมอนุ เราชอบหมอนุนะ55

ลี้น้อยยังเด็กชอบชวนทะเลาะ แต่ชอบที่หมี่กับลี้น้อยเข้าใจกันเร็ว  ไม่ต้องพูดอะไรกันมากเลย  ทะเลาะกันไม่เคยนาน555
พอหมี่บอกเหตุผลที่ไม่ได้มาหาเลย ลี้น้อยก็เลิกน้อยใจแล้ว  พอหมี่บอกว่าจะไปเหมือนกัน ลี้น้อยคงเข้าใจแล้วว่าหมี่ยังไม่มีแฟน
พอลี้น้อยบอกรัก  หมี่ก็รับรู้ถึงความรู้สึกได้แถมยังรู้สึกโทษตัวเองอีก  ใส่ใจความรู้สึกของลี้น้อยมากๆ  ชื่นชมหมี่มากๆ

ยังชอบลี้น้อยที่พูดจากวนๆ  การกระทำที่ละมุนละไม และตอนนี้ก็ชอบความคิดดีๆของลี้น้อย โดยเฉพาะเรื่องจูบ  กรี๊ดมากๆ
คิดว่าหมี่คงคิดแบบเดียวกัน  ก็เลยยอมให้ลี้น้อยจูบตนเองใช่ไหม รู้ใจตัวเองแล้วใช่ไหม  หมี่น่ารักที่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

อีกสองปี ลี้น้อยกลับมาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้วทำให้หมี่เลือกให้ได้นะ  เชื่อว่าหมี่ยังรอ  แม้หมอนุอาจจะยังคิดจีบหมี่อยู่ก็ตาม
เหมือนหมอนุเฝ้ามองหมี่ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว  ทำไมหมอนุต้องทำให้กรี๊ดด้วยนะ  แต่ลี้น้อยทำให้รักนะ555

ดีใจมากๆที่จะได้อ่านอีกตอน  นักเขียนไม่ค่อยสบาย  พักผ่อนเยอะๆนะคะ  รอได้เสมอค่ะ
ขอบคุณมากๆนะคะ  สนุกมากๆและลุ้นทุกตอนเลยค่ะ :L2:



หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 20-09-2015 20:03:09
ฟู่....ชอบเรื่องสั้นก็ตรงนี้ สั้น กระชับ เร้าอารมณ์
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม ((5) ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป) 19-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 20-09-2015 20:50:15
อั๊ยย้ะ first kiss  :hao7:
ถึงจะเป็นแ่ทางฝั่งของลี้น้อยฝั่งเดียวก็เถอะ
เพราะพี่บะหมี่น่ะคงไม่เหลือมาให้ลี้น้อยได้ชื่นใจหรอก ฮ่อล ขัดใจ พี่หมอฟันซะจริง

คืออ่านตอนของลี้น้อยแล้ว ปวดใจ กลั้นน้ำตาจนคอโป่ง
โถ่ถัง กะละมัง หม้อไห ช่างอาภัพเสียนี่กระไร

แต่พี่เค้ายอมให้จูบ แสดงว่ายังมีความหวังนะลี้น้อย
ไปเกาหลี เก็บเงินมาขอพี่บะหมี่แต่งงานนะ
คราวนี้ ลี้น้อยก็ได้ฟันหมอฟันละ อุ้ยๆๆๆๆ  :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 21-09-2015 00:40:24
ตอนที่ 6 นายสายลม



ในเดือนถัดมาเมื่อบารมีได้รับแจ้งจากอาจารย์หมอท่านหนึ่งที่เขาให้ความเคารพเรื่องกำหนดการเดินทางไปยังจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อเข้าร่วมทีมแพทย์อาสาลงพื้นที่ภาคตะวันตก ชายหนุ่มก็เริ่มเตรียมเก็บข้าวของรวมถึงทยอยเคลียร์เคสของคนไข้หลายรายที่อยู่ในความรับผิดชอบ

ทันทีที่อาจารย์หมอหรือผู้ช่วยศาสตราจารย์ทันตแพทย์พิพัฒน์เอ่ยปากชวนให้ไปช่วยงานในโครงการแพทย์อาสาในชนบทห่างไกล ทันตแพทย์คนหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกลับต้องขอเวลาคิดเพราะภาระทางบ้านบ้าง บางคนต้องผ่อนรถ ในขณะที่บางคนกำลังจะเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว ดังนั้นคนตัวเปล่าเล่าเปลือยอย่างบารมีจึงไม่รั้งรอที่ตกปากรับคำด้วยความยินดี  เขาคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดหากวันนั้นปราณไม่สารภาพความในใจออกมา แต่ยิ่งรู้แบบนั้นก็ยิ่งต้องไปให้เร็วที่สุด เพื่อตัวปราณเองจะได้ตัดใจได้เช่นกัน


ร่างเล็กลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือลากเก้าเดินไปหยุดที่ประตูระเบียง เงยหน้าขึ้นมองโมบายเปลือกหอยที่กู๋ขจรแวะเอามาให้เมื่อเดือนก่อน ตอนที่กู๋โทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่ามันร่วงลงตอนที่กู๋ขึ้นไปปลดเชือกก็นึกใจหายอยู่เหมือนกันกลัวว่าจะแตกละเอียดเสียหมด โชคยังดีที่มันค้างอยู่กับพุ่มไม้ ไม่เช่นนั้นคงจะโดนรถเก็บขยะเหยียบจนบุบบี้เหมือนกับถังสแตนเลสใบนั้นแน่ ๆ บารมีหลับตาลงฟังเสียงกุ๊งกิ๊งของเปลือกหอยที่กระทบกันยามเมื่อสายลมพัดผ่านมา ได้ยินเสียงนี้ทีไรก็ให้คิดถึงเด็กชายแก้มยุ้ยกับเรื่องราวเมื่อครั้งยังเยาว์วัยอยู่ร่ำไป 


“อีกสองปี ถ้าแกยังรู้สึกแบบเดิมอยู่ละก็ เราค่อยกลับมาพูดเรื่องนี้กันใหม่”


นั่นคือไม้ตายสุดท้ายที่เขางัดขึ้นมาใช้กับน้องชายงอแงในวันสุดท้ายที่ได้พบกัน


“แสดงว่าเฮียจะรอ?” ดวงตาหม่นหมองเคลือบแฝงแววแห่งความไม่มั่นใจในขณะที่มือยังประคองแก้มขาวไม่ห่าง


คนอายุมากกว่าสายหน้าน้อย ๆ พร้อมกับดึงมือใหญ่ออกก่อนจะตอบ “เงื่อนไขคือตอนนั้นฉันเองก็ต้องไม่มีใคร เพราะฉะนั้นแกไม่จำเป็นต้องจริงจังอะไรกับสิ่งพูดออกมาในวันนี้”


ท้ายประโยคนั้นทำให้ปราณจำต้องถอยห่างออกมา ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงได้ดูแคลนหัวใจของตนเองได้ถึงเพียงนี้


“ผมจะตกลงรับทุนของรัฐบาลเกาหลีอย่างที่เฮียต้องการ แต่ไม่ใช่เพราะผมอยากไป ที่ผมไปเพราะผมจะพิสูจน์ให้เฮียเห็นว่าเวลามันไม่สามารถทำให้ผมเปลี่ยนใจได้”



ทันตแพทย์หนุ่มถอนใจเฮือก น้ำเสียงตัดพ้อกับแววตาที่มีแต่ความเศร้ายังคงตราตรึงอยู่ในห้วงแห่งความคิด ไม่รู้ว่านั่นจะใช่วันสุดท้ายที่ได้พบกันหรือไม่ แต่แทนที่ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายเหมือนเคย มันกลับตรงกันข้าม เพราะเมื่อปราณพูดจบเขาก็เดินจากไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามองข้างหลังอีกเลย


เสียงเคาะประตูทำให้บารมีต้องละสายตาจากสิ่งที่กำลังพาให้เขาย้อนคืนสู่อดีต เมื่อเดินไปเปิดประตูก็พบว่าคนที่มาเคาะเรียกไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นทันตแพทย์หนุ่มที่อยู่ห้องถัดไปไม่ไกลนี่เอง


“ทำอะไรอยู่” นุพันธ์ถามพร้อมกับส่งยิ้มให้ รอยยิ้มของเขามักทำให้บารมีนึกสงสัยอยู่เสมอว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีเรื่องให้ต้องทุกข์ใจบ้างหรือไรจึงยิ้มได้ตลอดเวลาเช่นนี้


“กำลังคิดว่าจะเก็บหนังสือลงกล่องน่ะ นุมีอะไรหรือเปล่า”


“เราซื้อเกี๊ยวน้ำมาสองถุง แต่คิดว่าคงกินไม่หมดแน่ ๆ เลยว่ามาหาคนช่วยกิน”


“วันนี้ข้ออ้างแปลก ๆ นะ” บารมีพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะดึงประตูอ้าออก หลีกทางให้เจ้าของร่างสูง ตาคมทอกมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปหยุดวางถุงเกี๊ยวน้ำลงบนโต๊ะ จากนั้นก็จัดการเปิดตู้เหนือซิงค์ล้างจานหยิบชามกับตะเกียบออกมาราวกับรู้จักของทุกชิ้นในห้องนี้เป็นอย่างดี


“แปลกเหรอ ถ้าอย่างนั้นวันหลังนุจะพูดความจริงก็แล้วกัน” นุพันธ์กล่าวเมื่อนั่งลงที่โต๊ะเล็ก ๆ ที่บารมีใช้สำหรับรับประทานอาหาร


“ความจริงอะไรกัน” คนตัวเล็กถามพาซื่อขณะแก้ยางมัดปากถุงก่อนจะเทเกี๊ยวลงในชาม


“ก็...อยากกินข้าวด้วย” นุพันธ์ยิ้มหวาน


“โธ่ นึกว่าอะไร” พูดจบก็เทน้ำซุปร้อน ๆ ตามลงไปก่อนจะเลื่อนชามให้ จากนั้นจึงจัดการส่วนที่เหลือให้ตัวเองบ้าง เมื่อเรียบร้อยจึงเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วแล้วยกมาวางลงบนโต๊ะ “ที่แท้ก็หาเพื่อนกินข้าวนี่เอง”


“เมื่อไรเบื่อเป็นเพื่อนแล้วบอกนะ” ร้อยยิ้มยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้าของคนพูด แม้จะเป็นการกล่าวแบบทีเล่นทีจริงแต่บารมีก็รู้ได้ว่ามันมีความหมายแอบแฝงอยู่ในที


“พูดมากน่า กินไป ๆ” เจ้าของแก้มสีเรื่อแสร้งทำรำคาญ จากนั้นจึงตักเกี๊ยวใส่ปาก


“เขินเหรอ”


“หึ” ทำลากเสียงพร้อมกับมุ่นคิ้ว


“เขินก็บอกว่าเขินสิ นุจะได้รู้ว่าที่ทำอยู่มันได้ผล เผื่อหมี่จะใจอ่อนบ้าง”


“กินไป” บารมียกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับกล่าวเสียงอู้อี้เพราะเกี๊ยวคำโต


เห็นอาการของอีกฝ่าย ทันตแพทย์นุพันธ์ก็ได้แต่อมยิ้ม ลงมือกินเกี๊ยวน้ำในชามของตนเองที่วันนี้ดูจะหวานเป็นพิเศษ


หลังจากมื้อเย็นผ่านไป บารมีก็จัดการล้างถ้วยชามในขณะที่เพื่อนเก่าสมัยมัธยมของเขายังคงนั่งรื้อ ๆ ค้น ๆ หนังสือที่ถูกวางไว้เป็นกอง ๆ เมื่อเลือกหนังสือได้ร่างสูงก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปที่โต๊ะหนังสือ แต่ไม่เห็นเก้าอี้ที่เคยตั้งอยู่จึงกวาดตามองหา


“หมี่เอาเก้าอี้มาตั้งตรงนี้ทำไมเหรอ”


“จะปลดโมบายลงมาน่ะ พอดีนุมาเคาะเรียกเสียก่อน ลืมไปเลย” คนที่กำลังยืนล้างจานหันมาตอบ


“ถ้าอย่างนั้นนุเอาลงมาให้นะ” พูดจบเขาก็เหยียบขึ้นไปบนเก้าอี้ก่อนจะเอื้อมมือปลดโมบายเปลือกหอยลงมา มองอย่างพิจารณา เห็นว่ามันเก่ามากแถมบางอันก็แตกบิ่นจนดูไม่เป็นเปลือกหอย จึงถามกับผู้เป็นเจ้าของ “ทิ้งเลยไหม เก่าแล้ว”     


“อย่าทิ้งนะ” บารมีรีบบอกก่อนจะเช็ดไม้เช็ดมือเดินไปคว้ากล่องกระดาษใบเล็กที่เตรียมไว้จากนั้นจึงเดินไปหยุดต่างหน้าคนที่ช่วยปลดโมบายเปลือกหอยลงมาให้ “เอาใส่นี่”


“อยากรู้จังว่าใครให้มา คงเป็นคนสำคัญมาก ๆ แน่ ๆ หมี่ถึงไม่ยอมทิ้ง” พูดจบก็หย่อนพวงเปลือกหอยลงกล่อง


“น้องข้างบ้านน่ะ” เจ้าของร่างเล็กจัดการปิดฝากล่อง กำลังจะหาที่วางก็ต้องหยุดเพราะคำถาม


“เพราะเขาด้วยหรือเปล่าที่ทำให้หมี่ปฏิเสธเรา”


“ม...ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้นแหละ” บารมีหลบสายตาที่มองมาราวกับจะค้นหาคำตอบก่อนจะเดินไปวางกล่องกระดาษในมือลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ “เราก็แค่ไม่อยากให้นุต้องทนรอ ในขณะที่เราเองได้ออกไปทำตามใจตัวเอง”


คนตัวสูงส่ายหัวก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ “ถ้าคำตอบในใจหมี่คือเรา เราคิดว่าการรอคอยมันคุ้มค่านะ แต่ถ้าไม่ใช่...” นุพันธ์ยังคงยิ้ม “ก็ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ไม่ทำร้ายกัน”


บารมีเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูดก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว “ขอบคุณเหมือนกันที่เข้าใจเรา”


“เลิกทำหน้ายังกับแบกโลกเอาไว้ได้แล้ว” เจ้าของรอยยิ้มพิมพ์ใจพูดพร้อมกับยกมือขึ้นโยกศีรษะคนตัวเล็ก “เราอกหักเรายังยิ้มได้เลย”


คำพูดติดตลกนั้นพอจะเรียกความสดใสให้กลับคืนสู่หัวใจห่อเหี่ยวของบารมีได้บ้าง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพร้อมกับปัดมือที่กำลังทำให้หัวยุ่งออก “พูดเวอร์ไปแล้ว อกหักอะไรกัน”


“จริงด้วย เขายังไม่ทันตกลงคบด้วยเลยนี่นา” ว่าแล้วก็ถอนใจยาว “ก็เรามันมาทีหลังนี่เนอะ จะไปสู้คนที่เขามีอดีตร่วมกันได้ยังไง”


“พูดมากไปแล้ว กลับห้องไปได้แล้วไป” บารมีกล่าวพร้อมกับออกแรงดันแผ่นหลังกว้างให้เดินไปที่ประตู


“อะไรกัน พูดแทงใจดำเข้าหน่อยต้องไล่ด้วย”


“แทงใจดำบ้าอะไร กลับห้องไปได้แล้ว” ปากพูดในขณะที่มือก็ดึงประตูให้เปิด สังเกตว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนอีกต่อไป นุพันธ์ยอมก้าวออกไปแต่โดยดีก่อนจะหันกลับมาสบตาและส่งยิ้มให้เหมือนเคย


“ขอบคุณมากนะที่กินข้าวเป็นเพื่อน”


“อือ วันไหนต้องการเพื่อนก็บอก”


ต่างคนต่างยิ้มให้กัน เมื่อรู้สึกได้ว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนนั้นมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด


...



ในที่สุดวันที่ต้องออกเดินทางก็มาถึง คณะของอาจารย์หมอพิพัฒน์ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ทำให้บารมีต้องเดินทางลำพังเพียงคนเดียว ดังนั้นนุพันธ์จึงมาช่วยเขาตรวจสอบสภาพรถตั้งแต่เช้าตรู่ 


“เติมน้ำฉีดกระจกหน้ารถแล้วหรือยังหมี่”


“เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”


“ไม่ให้ห่วงได้ยังไง เดินทางไกลนะ”


“เราตรวจดูทุกอย่างเรียบร้อยแล้วสบายใจได้” พูดจบบารมีก็ปิดกระโปรงหน้ารถ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างสูงของคนที่ไม่ได้พบกันเสียนาน “ตี๋” คำเรียกนั้นช่างแผ่วเบา


“แม่ให้เอาของกินมาให้เฮียน่ะ” ปราณกล่าวพร้อมกับส่งปิ่นโตเถาเล็กให้ “วันก่อนเฮียโทร.ไปบอกว่าจะเดินทางวันนี้ เมื่อคืนแม่เลยทำตุ๋นไก่ให้จะได้เอาไปกินที่โน่น”


“ขอบใจนะ” บารมีรับปิ่นโตมาถือเอาไว้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรมากกว่านี้ดี


“คนนี้น่ะเหรอ น้องชายข้างบ้านที่หมี่พูดถึง” คนที่ยืนเป็นอากาศอยู่นานจงใจแทรกขึ้นพร้อมกับกดยิ้มมุมปาก สบตาผู้มาเยือนแวบหนึ่งแล้วจึงรั้งปิ่นโตจากมือเล็กก่อนจะเดินอ้อมไปวางให้ยังที่นั่งข้างคนขับ


ปราณกำหมัดแน่น ‘น้องชายข้างบ้าน’ ที่ได้ยินทันตแพทย์นุพันธ์เรียกฟังแล้วให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่คำนี้หลุดจากปากเฮียหมี่ของเขาเสียอีก


“กลับก่อนนะ” ว่าแล้วก็หันหลังกลับ 


“ด...เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป”


คำร้องขอนั้นไม่ได้ทำให้หัวใจแห้งเหี่ยวของคนฟังพองฟูขึ้นเลยสักนิด ปราณได้แต่ยืนนิ่งรอฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูด


“แล้วแกล่ะ จะเดินทางเมื่อไร”


“อีกสองเดือน” เป็นคำตอบสั้น ๆ ตอบทั้งที่ไม่ได้หันมาสบตาคนถามเลยด้วยซ้ำ


จากกรุงเทพฯถึงกาญจนบุรีใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษ แต่ไม่ว่าจะเป็นหนทางห่างไกลเพียงใดหรือระยะเวลาจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเท่าไรก็ไม่อาจทำให้ทันตแพทย์หนุ่มหยุดคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลยสักนาทีเดียว ดวงตาเศร้าสร้อยของปราณทำให้นึกเป็นห่วง แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ก็คงทำได้แค่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจและหวังว่าประสบการณ์จะทำให้อีกฝ่ายเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งเท่านั้น บารมีจอดรถที่หน้าโรงพยาบาลประจำจังหวัดซึ่งเป็นปลายทางของวันนี้ก่อนจะเดินทางสู่อำเภอสังขละบุรีซึ่งเป็นขอบแดนตะวันตกของประเทศซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นงานแพทย์อาสาในพื้นที่ภาคตะวันตกของเขาในวันรุ่งขึ้น


...


‘ยิ่งหา ยิ่งห่าง ยิ่งไม่เห็น

บางคนอยู่ใกล้กัน แต่กลับมองกันไม่เห็น

ทั้งที่นั่งทำงานโต๊ะใกล้ ๆ กัน แต่กลับไม่เคยได้คุยกัน

ทั้งที่ยืนถ่ายรูปข้าง ๆ กัน แต่กลับไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไร

ทั้งที่ยืนอยู่ต่อหน้า แต่กลับมองผ่านเลยไป

...เพราะไม่สำคัญ...

แต่ถ้าวันหนึ่งใครคนนั้นกลายมาเป็นคนสำคัญของคุณ

แม้ในภาพถ่ายที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงมากมาย คุณจะมองเห็นเขาเป็นคนแรก

แม้ว่าเธอจะยืนอยู่ไกลสักเพียงไหน คุณจะรู้สึกว่าเธอยืนอยู่ใกล้ ๆ

และแม้ว่าจะไม่ได้คุยกัน แต่คุณจะรู้สึกได้ถึงถ้อยคำมากมายในดวงตาคู่นั้น

คุณว่าอย่างนั้นไหม?’



ปราณวางหนังสือที่ถูกส่งมาจากประเทศไทยเมื่อไม่กี่วันก่อนลงทันทีที่ตาคมกวาดตามตัวอักษรจนกระทั่งมาถึงบรรทัดสุดท้าย  หน้าปกเป็นภาพของเปลือกหอยที่ถูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน ใครที่ได้เห็นก็คงพอจะนึกถึงเสียงของมันในยามที่กระแสลมพัดผ่านได้อย่างไม่ยาก ตัวอักษรพิมพ์นูน ‘ในอ้อมกอดของสายลม’ คือชื่อของหนังสือ


ส่วนชื่อผู้แต่งที่อยู่ถัดลงมานั้นปราณรู้จักดี นี่คือพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มแรกของ ‘ขจร นราธิป’ สถาปนิกวัยห้าสิบปีเศษที่วางดินสอเขียนแบบแล้วมาจับปากกาถ่ายทอดประสบการณ์ความรักหลังครองตนโสดมานานนับสิบปีจนเจ้าตัวก็ยังคิดว่าชาตินี้คงต้องอยู่บนคานทองแห้งเหี่ยวเฉาตายเสียแล้ว ที่ปกหลังมีคำโปรยสั้น ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งในเล่ม


‘เสียงของมันทำให้รู้ว่า...สายลมยังคงพัดวนอยู่รอบตัวเรา’


จู่ ๆ ข้อความนั้นก็ทำให้นึกถึงใครบางคนขึ้นมา การใช้ชีวิตเพียงลำพังในต่างแดนทำให้เขาแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดถึงบ้าน เกือบสองปีของการเรียนระดับปริญญาโทในสาธารณรัฐเกาหลีทำให้เขาต้องปรับตัวอย่างมาก ที่ปรึกษาหนึ่งเดียวที่มีก็คืออาจารย์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ และที่พึ่งที่ดีสุดในยามทุกข์ยากก็หนีไม่พ้นตัวของเขาเอง


แม้สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะทำให้หลงลืมบางอย่างไปบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ปราณไม่เคยลืมมันเลย...



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 21-09-2015 00:45:25
(ต่อค่ะ)


ธันวาคม 2558   


ประตูเหล็กม้วนที่หน้าคลินิกทำฟันเล็ก ๆ ในอำเภอสังขละบุรีถูกดึงลงเมื่อเวลาจวนค่ำ ทันตแพทย์หนุ่มที่รับอาสาปิดร้านจัดการใส่กุญแจและตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะโทรศัพท์รายงานต่อเจ้าของตัวจริงซึ่งติดภารกิจต้องเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงเกษียณอายุของข้าราชการคนสำคัญในตัวจังหวัดเพื่อความสบายใจ บารมีขับรถออกจากคลินิกมุ่งหน้าสู่แม่น้ำซองกาเรีย จอดรถที่มุมหนึ่งก่อนจะตรงไปยังสะพานไม้ระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตรที่เชื่อมไปยังหมู่บ้านชาวมอญซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


ทันตแพทย์ร่างเล็กเดินไปไปหยุดยังกลางสะพานก่อนจะทอดตามองแสงสุดท้ายที่ปลายขอบฟ้า กว่าหนึ่งปีแล้วที่เขาตัดสินใจอยู่ช่วยงานอาจารย์หมอพิพัฒน์ซึ่งเปิดคลินิกทำฟันให้กับคนยากไร้หลังโครงการแพทย์อาสาสิ้นสุดลง คลินิกเล็ก ๆ ที่ไม่เคยเลือกว่าคนไข้จะเป็นคนไทย คนมอญ หรือแม้แต่ผู้ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่เคยเลือกว่าเขาคนนั้นจะยากมีดีมีจนอย่างไร


ดังนั้นอาจารย์หมอพิพัฒน์จึงเป็นตัวอย่างให้คนในชุมชนเห็นว่าหากเรามีความปรารถนาดีให้กับผู้อื่น เราก็ได้รับแต่สิ่งดี ๆ กลับคืน ในปีต่อ ๆ มาจึงมีแพทย์และทันตแพทย์ผู้มีความสามารถจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจเดินตามทางที่อาจารย์ได้วางไว้ นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้บารมีคิดว่านอกจากจะเป็นโชคดีของเพื่อนร่วมวิชาชีพที่จะได้รับประสบการณ์ซึ่งหาไม่ได้ในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ แล้วยังถือว่าเป็นโชคดีของบรรดาลุงป้าน้าอาที่ไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะไปใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชนอีกด้วย


เสียงเตือนจากโปรแกรมสนทนาในโทรศัพท์ทำให้บารมีต้องหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาจากกระเป๋ากางเกง รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อจู่ ๆ คนที่ไม่ได้คุยกันนานนับปีก็ส่งข้อความมาหา


‘ทำอะไรอยู่’


“ฟังเสียงลม แกล่ะ”


‘มองเฮียอยู่’


ข้อความที่ถูกส่งกลับมาทำเอาบารมีต้องละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของเขาก็คือ เด็กชายสมบูรณ์ เด็กชายร่างเล็กที่มักจะทำหน้าที่เป็นไกด์ท้องถิ่นให้กับนั่งท่องเที่ยวที่มาเดินชมความงามของสะพานมอญแห่งนี้ แม้ผิวคล้ำทำให้ร่างแทบจะกลืนไปกับความมืดหากแต่รอยยิ้มของหนุ่มน้อยกลับลอยเด่นมาแต่ไกล   


“หมอ ๆ มีคนฝากมาให้” พูดจบสมบูรณ์ก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ก่อนจะวิ่งจี๋กลับไปยังหมู่บ้านชาวมอญ


เมื่อบารมีคลี่กระดาษแผ่นนั้นออก เขาก็พบข้อความที่เขียนด้วยลายมือ ‘เสียงของมันทำให้รู้ว่า...สายลมยังคงพัดวนอยู่รอบตัวเรา’

“นายสายลม” ปากบางเม้มแน่นเมื่ออ่านลงมาจนถึงชื่อคนส่ง ทันตแพทย์หนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาพิจารณาให้แน่ว่าเจ้าของลายมือไม่ได้คลาดจากสายตาจึงตัดสินใจเดินกลับมาที่รถ หวังจะได้พบนายสายลมที่นั่นแต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด จะส่งข้อความกลับไปถามว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนแต่สัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ขาด ๆ หาย ๆ สุดท้ายเมื่อไม่พบใคร บารมีก็ถอดใจคิดว่ามันคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเป็นความบังเอิญ


ชายหนุ่มจอดรถที่หน้าบ้านเช่าชั้นเดียวยกพื้นเตี้ย ๆ ซึ่งตั้งอยู่หลังตลาด เดินขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นก่อนจะไขกุญแจดึงประตูให้เปิดออก จัดการเปิดไฟให้ห้องพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดเท่าแมวดิ้นตายสว่างขึ้น กำลังจะหันมาดึงลูกบิด จู่ ๆ ประตูก็ถูกกระชากออก ภาพที่เห็นคือร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งกำลังหอบตัวโยนอยู่ต่อหน้าในขณะที่มือใหญ่ยังคงเกาะขอบประตูแน่น เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบขาด ๆ สะพายเป้ใบโตเหมือนนักท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไป ปีกหมวกแก๊ปบนศีรษะทำให้เห็นหน้าไม่ชัดนัก


“ม...ไม่ ไม่...รอกันเลย” พูดไปก็พ่นลมออกจากปากไป


บารมีมุ่นคิ้วเมื่อรู้สึกคุ้นกับเสียงที่ได้ยิน “ตี๋...ตี๋เหรอ”


“ก...ก็ ก็ใช่น่ะสิ” เจ้าของร่างสูงยืดตัวขึ้นก่อนจะถอดหมวกออก ทำให้เห็นเม็ดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผม “อุต...อุตส่าห์ฝากน้องไกด์บอกให้...รอก่อน รู้ไหม...รู้ไหมว่า” ปราณกลืนน้ำลายบรรเทาความแห้งผากในลำคอ “ว...วิ่งตามมาตั้งแต่สะพานมอญ”


“ไม่ได้บอกนี่ เด็กคนนั้นก็แค่ยื่นกระดาษให้เฉย ๆ” พูดพลางยกมือขึ้นเกาแก้ม ไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรือสงสารดี


“โธ่...” ว่าแล้วคนอายุน้อยกว่าก็ทิ้งตัวลงนั่งแผ่อย่างหมดแรง


“ลุกไปนั่งข้างในเถอะ” เจ้าของบ้านเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นมือให้จับ


ปราณเงยหน้าขึ้นสบตาก่อนจะวางมือลงบนมือเล็กที่กำลังออกแรงดึงให้เขาลุกขึ้น


“ตัวหนักเป็นบ้า”


“เฮียไม่มีแรงเองต่างหาก” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงแคบ ๆ ปลดเป้วางลงกับพื้น มองคนตัวเล็กที่มาหยุดอยู่ตรงหน้า เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้บารมีเปลี่ยนไปเลยสักนิด แล้วเวลาก็ไม่ได้ทำให้หัวใจของเขาเปลี่ยนไปเช่นกัน


“หายโกรธแล้วเหรอถึงมาที่นี่”


“ไม่ได้โกรธสักหน่อย” ปราณตอบชัดเจนแต่กลับเลือกที่จะเอาประโยค ‘ก็แค่น้อยใจ’ ไว้ในลำคอ


“แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”


“ง่าย ๆ ก็ถามเอาจากแฟนเฮียไง”


“ใคร” บารมีกอดอกมองอีกฝ่ายที่ยังคงยียวนกวนประสาทไม่เปลี่ยน


“ก็หมอนุพันธ์ไง”


“เขาไม่ได้เป็นเป็นแฟนฉันสักหน่อย แกไปเอาที่ไหนมาพูด”


ปราณกดยิ้มมุมปาก อย่างน้อยก็สามารถตัดคู่แข่งออกไปได้ “ถ้าอย่างนั้นเราก็กลับมาคุยเรื่องที่คุยค้างไว้ได้แล้วใช่ไหม”


“เรื่องอะไรของแก” คนตัวเล็กทำเฉไฉ


“ก็เรื่องที่ว่า ถ้าอีกสองปีเฮียยังไม่มีใคร แล้วผมเองก็ยังไม่เปลี่ยนใจ เราจะ...”


“แน่ใจได้ยังไงว่าฉันยังไม่มีใคร”


“มาทวงสัญญาทั้งที ผมก็ต้องทำการบ้านมาดีหน่อยสิ หมอนุพันธ์เล่าเรื่องเกี่ยวกับเฮียให้ผมฟังทุกอย่าง เพราะฉะนั้นผมก็เลยจะมารับเฮียกลับบ้านด้วยกัน”


บารมีถอนใจพลางส่ายหน้าระอา ไม่คิดว่าเพื่อนรักจะหักเหลี่ยมโหดได้ลงคอ ชายหนุ่มเดินไปรั้งผ้าเช็ดตัวที่ตากอยู่ก่อนผลุบเข้าไปในห้องน้ำอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“อ้าว! อะไรวะ ยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย” ปราณบ่นพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปเคาะประตูห้องน้ำเรียกให้คนข้างในออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง


“ไอ้ตี๋ ถ้าแกขืนยังโวยวายฉันจะให้แกออกไปนอนตากลมหนาวข้างนอก”


ในที่สุดเสียงปรามจากหลังประตูไม้ก็ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จำต้องปิดปากเงียบ เดินคอตกกลับมานั่งลงที่เดิม


พักใหญ่ ๆ บารมีก็เปิดประตูออกมาก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ปาใส่หัวคนที่กำลังถือวิสาสะนั่งหยิบโน่นจับนี่อยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ


“เฮ้ย! มันอยู่กับเฮียได้ยังไง” ปราณร้องขึ้นทันทีที่ดึงโมบายเปลือกหอยออกมาจากกล่องใบเล็ก “ก็วันนั้นมันตกลงมานี่นา ตอนเช้าผมไปดูก็ไม่มีแล้ว”


“กู๋เก็บไว้ให้” เจ้าของบ้านกล่าวขณะเปิดประตูออกไปตากผ้าเช็ดตัวที่ราวระเบียง ทันทีที่ประตูเปิดออก สายลมกลางฤดูหนาวก็พัดเข้าปะทะพาให้ร่างสั่นสะท้านจนต้องรีบกลับเข้าไปหาความอบอุ่นข้างใน “ไปอาบน้ำได้แล้วไป วิ่งมาตั้งไกล ตัวมีแต่เหงื่อ”


ปราณพยักหน้าพร้อมกับวางของที่ระลึกในวัยเด็กลงก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าคว้าชุดใหม่ในเป้ กวาดตามองรอบ ๆ เห็นว่าในบ้านแทบจะไม่มีข้าวของมีค่าอะไรเลย ซ้ำในห้องน้ำก็ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ตักน้ำรดตัวไปก็คิดไป ไม่รู้ว่าบารมีทนหนาวได้อย่างไรกัน


ร่างสูงออกจากห้องน้ำเมื่อออกไปตากผ้าเช็ดตัวที่ระเบียงก็ต้องปากคอสั่นกลับมา หวังว่าจะได้นอนใต้ผ้าหุ่มอุ่น ๆ บนเตียง แต่หมอนที่เจ้าของบ้านเตรียมเอาไว้ให้ก็ทำให้รู้ว่าที่นอนของเขาในคืนนี้คือพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ


“ใจร้ายว่ะ” ปราณบ่นพึมพำมองคนที่นอนหันหลังให้อยู่บนเตียง


“อย่าบ่นน่า เกาหลีหนาวกว่านี้อีก”


‘เออจริง’ คิดในใจแล้วก็ล้มตัวลงนอน


เมืองเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขาเมืองนี้ช่างเงียบสงบเหลือเกิน ปราณรู้สึกแบบนั้น แม้จะอยู่ใกล้ตลาดแต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงรถราสัญจรไปมาเลย เงียบเชียบเสียจนหูรับรู้ได้ถึงเสียงของกิ่งไม้ที่ไหวลู่ไปตามลม พื้นกระเบื้องนี่ยิ่งนอนนาน ๆ ก็ยิ่งเย็นเยือกเสียจนต้องกัดฟันขดกอดตัวเองเพื่อให้คลายความหนาว กำลังจะเคลิ้มหลับจู่ ๆ มืออุ่นก็แตะลงที่ต้นแขน


“หนาวเหรอตี๋ ถ้าหนาวก็ขึ้นมานอนบนเตียงนี่” พูดจบบารมีก็ถอยร่นพอให้มีที่สำหรับอีกคน


ราวกับเสียงสวรรค์ ไม่ต้องให้พูดซ้ำ ร่างใหญ่ก็คว้าหมอนค่อย ๆ ปีนขึ้นซุกตัวใต้ผ้าห่มนุ่ม พยายามเคลื่อนไหวช้า ๆ และทำตัวให้เล็กที่สุดเพื่อจะได้ไม่รบกวนเจ้าของบ้านที่อุตส่าห์มีน้ำใจ ชายหนุ่มหลับตาลงกระนั้นกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ลอยวนอยู่กับปลายจมูกก็ทำให้ต้องปรือตามองร่างเล็กที่กำลังขยับไหวตามจังหวะการหายใจ


“กลับบ้านกับลี้นะเฮีย” ปราณกล่าวอย่างแผ่วเบา คิดว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วแต่กลับได้ยินเสียงอู้อี้ตอบกลับมา


“อือ”


“ฮ...เฮียว่าไงนะ” เจ้าของร่างใหญ่ขยับเข้าใกล้ ตั้งใจฟัง


“กลับก็กลับไง”


“พรุ่งนี้เลยนะ”


“อื้อ” คนง่วงลากเสียงด้วยความรำคาญ แต่แล้วแขนแกร่งที่สอดรัดรั้งร่างเข้าไปกอดนั้นก็ทำให้ตาสว่างอีกครั้ง “เฮ้ย! กอดทำไม”


“กลัวตกเตียง” ปราณกระซิบที่ข้างหูก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอสูดกลิ่นกายหอมฟุ้งของพี่ชายคนสนิทให้หายคิดถึง


“ไอ้ตี๋บ้า” บารมีกลั้นยิ้มก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง หากนี่คือความฝันก็คงเป็นฝันที่อุ่นที่สุด


...


ในที่สุดย่านคนจีนกลางมหานครใหญ่ก็ได้มีโอกาสอ้าแขนต้อนรับการกลับมาของบารมีอีกครั้ง ทันตแพทย์หนุ่มมองออกไปนอกกระจกรถที่กำลังเคลื่อนไปบนถนนซึ่งเต็มไปด้วยรถรา ที่นี่ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนัก เมื่อรถเลี้ยวเข้าไปในซอยเขาก็พบว่ามีห้องแถวหลายหลังที่มีการทาสีใหม่แต่ก็ยังคงรูปแบบเดิมเอาไว้ จะมีแปลกตาไปก็คงจะเป็นห้องแถวฝั่งตรงข้ามกับร้านตัดผมที่ตอนนี้ถูกปรับปรุงใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น


“ฝั่งโน้นเขาทำเป็นอะไรน่ะ”


“คลินิกทำฟันน่ะ แต่ยังไม่เปิด เขารอเจ้าของมาเปิดอยู่” ปราณตอบเมื่อรถจอดสนิท “เข้าบ้านก่อนเถอะเฮีย ป๊ากับแม่รออยู่”


บารมีเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเดินตามร่างสูงเข้าไปในบ้าน ภาพแรกที่เห็นก็คือแม่ของปราณที่ตรงเข้ามาสวมกอด เธอยิ้มทั้งน้ำตาจนบะหมี่นึกตำหนิตัวเองที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมเยียน ส่วนป๊าที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ไม่ได้ต่างกันเลย แม้จะพยายามฝืนแต่น้ำตาลูกผู้ชายก็ไหลนองทั้งสองแก้มจนลูกชายตัวจริงต้องยื่นผ้าเช็ดหน้าให้


แต่สิ่งที่ทำให้บารมีต้องประหลาดใจหนักก็คือการได้พบอาจารย์หมอบวรที่นี่ ชายหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ผู้ชายคนนั้นดูแก่ไปมาก ผมสีดอกเลาที่เคยใส่น้ำมันหวีปัดจัดทรงจนเนี้ยบตอนนี้กลับถูกปล่อยตามธรรมชาติ เขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกล่าวขอบคุณปราณ


“ขอบใจเธอมากนะที่ช่วยพาลูกชายของฉันกลับมา”


คำพูดของผู้เป็นพ่อทำเอาลูกที่ถูกมองข้ามอย่างบารมีรู้สึกชาไปทั้งร่าง ชายหนุ่มยืนทื่อก่อนจะนึกขึ้นได้จึงยกมือไหว้ มองพ่อบังเกิดเกล้าที่กำลังเดินตรงเข้ามา


“ฉันเอาเงินของแม่แกมาคืน” พูดจบมือกร้านก็ล้วงลงไปในซองกระดาษก่อนจะหยิบสมุดบัญชีธนาคารส่งให้


บารมีมุ่นคิ้วเพราะจำได้ว่ามันไม่ใช่สมุดบัญชีของแม่


“รับไปสิ” ทันตแพทย์บวรกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีอำนาจ


ชายหนุ่มหันไปสบตาภรรยาช่างตัดผมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อขอความเห็น


“รับสิลูก ผู้ใหญ่ให้ก็ต้องรับไว้”


ได้ฟังดังนั้นจึงตัดสินใจรับมันไว้ เมื่อเปิดดูก็พบว่าชื่อบัญชีเป็นชื่อของตัวเขาเอง ‘บรามี นราธิป’ ส่วนยอดนั้นก็เพิ่มจากยอดเดิมของแม่อยู่มากโข มากจนเขารู้สึกว่าไม่อาจจะรับมันไว้ได้


“อาจารย์เก็บไว้เถอะครับ นี่มันไม่ควรจะเป็นของผม”


“ฉันไม่ได้ให้แกเปล่า ๆ” หมอบวรกล่าวก่อนจะเดินออกไปยืนมองห้องแถวฝั่งตรงข้าม “ฉันให้แกเพื่อให้แกเอาไปช่วยคนอื่น”


“หมายความว่ายังไงครับ” ลูกชายถามอย่างไม่เข้าใจในขณะที่ขาก้าวตามร่างสูงของผู้เป็นพ่อ


“ฉันอาจจะไม่ใช่พ่อที่ดีนัก ไม่ได้ดูแลแกมาแต่ต้น แต่วันนี้ฉันอยากให้มันเป็นของขวัญกับแก ให้แกใช้มันหาเลี้ยงตัวเอง อนาคตจะได้ไม่ลำบาก” พูดจบเจ้าของเส้นผมสีดอกเลาก็ก้มลงไขกุญแจก่อนจะยกประตูเหล็กม้วนขึ้น


มองผ่านประตูกระจกใสเข้าไปภายในบนผนังสีขาวด้านหลังเคาท์เตอร์ มีตัวอักษรนูนเรียงเป็นคำ ‘คลินิกทันตกรรมบี.สไมล์’ ซึ่งมีชื่อของเขาเป็นทันตแพทย์ประจำ


“นี่เอกสารสำคัญทั้งหมด” ทันตแพทย์บวรกล่าวพร้อมกับยื่นซองในมือให้


“ต...แต่ว่า”


“รับไว้สิ”


“แต่ผมคงไม่มีความสามารถ...”


“อย่าดูถูกตัวเอง” คนเป็นพ่อกล่าวเสียงเครือ นึกตำหนิตนเองที่มีส่วนทำให้ลูกชายรู้สึกไม่มั่นใจในความสามารถที่มี ที่ผ่านมาพ่ออย่างเขาไม่เคยชื่นชมเมื่อลูกประสบความสำเร็จหรือแม้แต่ถ้อยคำให้กำลังใจยามที่ลูกล้มลงก็ไม่มีเลย “มันอาจจะไม่ได้มีพิธีเปิดใหญ่โตเหมือนคนอื่น ๆ เขา แต่ขอให้รู้ไว้ว่ามันคือสิ่งที่พ่อตั้งใจให้ลูก”


“พ่อ” เป็นครั้งแรกที่บารมีพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่สนใจว่ามันจะสร้างความขุ่นเคืองให้แก่คนฟัง “แค่พ่อมาเปิดให้นั่นก็เป็นมงคลที่สุดแล้วละครับ”


ผู้เป็นพ่อพยักหน้าก่อนจะรั้งร่างลูกชายเข้ามากอด “พ่อเชื่อว่าแกต้องทำได้” 


(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 21-09-2015 00:56:04
(ต่อค่ะ)


หลังจากย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ บารมีก็ถูกเชิญให้ไปทำงานที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้งตอนเย็นถึงจะกลับมาเปิดคลินิก ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นคนทำงานที่ไม่มีเวลาไปโรงพยาบาลในเวลาราชการรวมถึงบรรดาเด็ก ๆ ในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนปราณนอกจากจะได้ทำงานในบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในที่มีชื่อเสียงแล้วยังได้รับการทาบทามจากมหาวิทยาลัยที่เคยเรียนให้กลับไปให้ความรู้แก่น้อง ๆ นักศึกษาที่เป็นศิษย์ปัจจุบันเป็นครั้งคราว และร้านบะหมี่รถเข็นของอาแปะก็ยังคงเป็นจุดนัดพบหลังเลิกงานเหมือนเช่นเคย


“แปะ เกี๊ยวน้ำหนึ่ง บะหมี่แห้งหนึ่ง” มัณฑนากรหนุ่มร้องสั่งก่อนจะเดินตามทันตแพทย์ร่างเล็กมานั่งลงที่โต๊ะ


“เบื่อกะเพราไข่ดาวแล้วเหรอ”


“อยากกินบะหมี่มากกว่า” คำตอบนั้นยังไม่เท่ากับสายตาที่ส่งมา ทำเอาเจ้าของคำถามต้องเสมองไปทางอื่น


“ตกลงจะให้คำตอบได้หรือยัง รอมาเดือนกว่าแล้วนะ”


“ถามว่าอะไร ลืมไปแล้ว”


“อายุมากแล้วก็อย่างนี้แหละ ลืมง่าย”


“ไอ้ตี๋ แกว่าใครแก่”


“ก็ว่าเฮียน่ะแหละ”


“ฉันไม่ได้ลืมสักหน่อย แค่ยังไม่อยากตอบ”


“จะรออะไรอีกเนี่ย เลขสามแล้วนะเฮีย”


“ซินแสบอกว่าอยู่เป็นโสดแล้วจะร่ำรวยเงินทอง เนรมิตรทุกอย่างได้เหมือนกับผู้วิเศษเลยละ”


“ไปดูดวงมาอีกแล้วเหรอเนี่ย ถ้าเชื่อหมอดูแบบนี้ ผมก็กินแห้วน่ะสิ”


บารมีอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ย อันที่จริงเขาไม่ได้อยากเป็นผู้วิเศษแบบที่ซินแสว่าหรอก อยากเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ๆ ที่ใครสักคนซึ่งพิเศษกว่าคนอื่น ๆ อยู่เคียงข้างกันก็เท่านั้น   


หลังจากท้องอิ่มสองคนก็พากันเดินกลับเข้าไปในซอยก่อนจะแยกย้าย แต่แทนที่จะเข้าบ้านตัวเองปราณกลับเปลี่ยนใจเดินข้ามมายังคลินิกทันตกรรมที่เพิ่งเปิดใหม่ เจ้าของร่างสูงก้มลงลอดผ่านช่องประตูเหล็กม้วนที่ถูกดึงปิดลงมาครึ่งหนึ่งเข้าไปด้านในซึ่งสร้างความแปลกใจให้ผู้เป็นเจ้าของอยู่ไม่น้อย


“ทำไมยังไม่เข้าบ้านอีก”


“ปวดฟันก็เลยจะมาให้คุณหมอตรวจฟันครับ”


“ปวดมากไหม เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลยนี่นา ถ้าอย่างนั้นเข้าไปข้างในก่อน เดี๋ยวฉันดูให้” บารมีกล่าวอย่างร้อนใจ กำลังจะเดินน้ำเข้าไปในห้องทำฟันก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยคำพูดสั้น ๆ


“ตรงนี้แหละ”


“ตรงนี้จะตรวจได้ยังไง ไม่มีเครื่องมือสักชิ้น”


“เอาเถอะน่า” พูดจบปราณก็พาคนตัวเล็กกว่าไปนั่งที่โซฟา ส่วนตัวเขาเองก็ถือโอกาสนอนหนุนตักหมอฟันเสียเลย


“ไหนบอกว่าปวดฟันไง”


“หายแล้ว”


“โกหกกันนี่” คุณหมอบ่นพร้อมกับพยายามผลักหัวหนัก ๆ ออก


“ที่ไม่โกหกน่ะตรงนี้” ว่าแล้วก็รั้งมือบางวางบนหน้าอกในตำแหน่งเดียวกับหัวใจ


“ปากดี”


“ปากหวานต่างหาก แต่ก็ยังดีกว่าพวกปากไม่ตรงกับใจ”


“ถ้าปากอยู่ตรงกับใจคนนั้นร่างกายต้องผิดปกติแน่ ๆ”


ปราณถอนใจเฮือกก่อนจะลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าคนพูดด้วยสายตาคาดโทษ “ผมเริ่มไม่สนุกกับเฮียแล้วนะ ไม่รู้ละเฮียเอาจูบแรกของผมไปแล้ว ยังไงวันนี้ก็ต้องทำให้เฮียยอมพูดออกมาให้ได้” พูดจบก็อาศัยความได้เปรียบยึดข้อมือของคนที่กำลังคิดหนีเอาไว้ “ตอบมาเดี๋ยวนี้ว่าจะยอมเป็นแฟนกันหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นจูบจริง ๆ ด้วย”


“ไอ้ตี๋ ไอ้ขี้โกง”


“ตอบมาเดี๋ยวนี้” ปราณกล่าวพร้อมกับโน้มหน้าเข้าใกล้ “ตอบมาเสียดี ๆ หรือว่าอยากโดนจูบ”


“ต...ตอบ ตอบ ๆ ตอบแล้ว”


“ว่ายังไง”


“ย...ยอม ยอมก็ได้ ยอมแล้วไงไอ้ตี๋บ้า ออกไปห่าง ๆ สิ”


คนฟังยิ้มมุมปากก่อนกดปลายจมูกลงสูดกลิ่นหอมที่ข้างแก้มขาวเข้าฟอดใหญ่ “ถ้าเรียกตี๋อีกจะโดนแบบนี้ บอกแล้วว่ามันห่างเหิน”


“แล้วทีแกมาทำพูดผมกับฉันล่ะ”


“นี่แน่ะ แกกับฉันก็ไม่ได้” อีกหนึ่งฟอด


“อ...ไอ้...”


“ไอ้อะไร หืม?” ปราณกล่าวพลางใช้ปลายจมูกเขี่ยเล่นที่ใบหูแดงแปร๊ดเบา ๆ


“ล...ลี้ ปล่อยยยย” บารมีกล่าวเสียงอ่อย


“ปล่อยก็ได้ ถ้าเฮียสัญญาว่าต่อไปนี้เราจะพูดกันเหมือนเดิม ลี้สัญญาว่าจะไม่พูดแบบนั้นกับเฮียอีก จะไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ในสายตาของเฮียแต่จะเป็นลี้น้อยแบบนี้”


“เออๆๆ สัญญาก็สัญญา”


“ดีมาก” พูดจบปลายจมูกโงก็ยังไม่วายขโมยหอมเข้าอีกฟอด


“อะไรวะ ก็สัญญาแล้วไง ยังจะหอมอีก”


“อันนี้เอาคืนที่เฮียแอบหอมแก้มลี้ตอนเด็ก ๆ”


“ไอ้ตี๋!!! แกยังคลานอยู่เลยแกจำได้ด้วยเหรอ” บารมีร้องเสียงหลง


“เดาเอา เดาถูกใช่ไหมล่ะ” จบประโยคนั้นแก้มแดงก็ร้อนฉ่าเพราะปลายจมูกที่ฉกสูดกลิ่นหอมขวาทีซ้ายทีซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


ในที่สุดวันนี้บารมีก็ได้รู้ว่า ‘ปราณ’ ไม่ได้เป็นแค่สายลมที่พัดมาแล้วผ่านไป แต่จะเป็นลมหายใจให้กันตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต


จบจ้ะ





สวัสดีค่ะ
ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา ในที่สุดเราก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้ว
หวังว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้คงพอจะทำให้คนอ่านยิ้มได้บ้างนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดและขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเมนต์ค่ะ
สำหรับเรื่อง “ในอ้อมกอดของสายลม” นี้ เราคิดว่าน่าจะเป็นนิยายเรื่องสุดท้ายของปีนี้
และอาจจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขียนค่ะ ตามที่เคยบอกผู้อ่านไปแล้วว่าเรามีภารกิจเยอะ
ถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่ามาไกลมาก ๆ แล้ว ได้มีหนังสือเป็นของตัวเอง 1 เล่ม
กับนิยายอีกหลายเรื่องที่หลายคนถามว่าเมื่อไรจะรวมเล่มสักที
บางทีเราก็คิดว่ามันสนุกดี เลิกงานแล้วได้กลับมาหาข้อมูล ได้เขียนนิยาย ได้เที่ยว
ได้อ่านหนังสือที่ไม่ใช่ตำราเรียนหรือได้ทำในสิ่งที่ชอบ
มันมีความสุขดีจนเราเผลอวางเรื่องเครียด ๆ บางเรื่องที่ต้องทำเอาไว้เฉย ๆ เผลอคิดว่าไม่ทำก็ไม่เป็นไร
555 อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับน้อง ๆ นะคะ
เลยคิดว่าหลังจากนี้จะออกล่าฝันสักที

เพราะชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไร
มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึง (ขอบคุณพี่ตูนค่ะ)

ไม่ได้เป็นการร่ำลานะคะ เราไม่ได้หนีไปไหนนะ ไม่ได้ทอดทิ้งคนอ่าน แค่อยากแจ้งให้ทุกท่านทราบ
จะได้ไม่เสียอารมณ์ ทำไมขอตอนพิเศษก็ไม่เขียนไรงี้
ถ้ามีเวลาจะพยายามทำให้นิยายเรื่องที่เหลือออกมาเป็นเล่มให้ได้ค่ะ แต่คงนานหน่อย

ปลายปีนี้จะครบ 2 ปีแล้วนะคะที่เรามีโอกาสได้รู้จักกัน ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ
ที่ให้การต้อนรับขับสู้เลี้ยงดูปูเสื่อเราเป็นอย่างดี ขอบคุณพี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน ๆ นักเขียนทุกท่าน
และขอบคุณ Hermit Books  ที่คอยให้ความช่วยเหลือค่ะ
หวังว่าเราคงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป

ขอบคุณค่ะ

ถธปทฟ.
 
ปล. สำหรับรีปริ๊น “ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า” มีความคืบหน้ายังไงเราจะได้แจ้งให้ทราบต่อไป
เรื่องอื่น ๆ ที่หลายท่านถามเรื่องรวมเล่ม ก็จะพยายามอัพเดตให้ฟังว่าเป็นยังไงบ้างถ้าหากมีความเคลื่อนไหวค่ะ
ส่วนเรื่องสั้นชุด "ในความคิดถึง" ประกอบด้วย ปลายทางคิดถึง , ในอ้อมกอดของสายลม นั้น
เราวางแผนว่าหากมีการรวมเล่มก็คงจะรอให้มีเรื่องที่ 3 ก่อนค่ะ
 

เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ค่ะ
อยากจะขอบคุณทุก ๆ คอมเมนต์อีกครั้งที่แวะเวียนมาคุยกัน
เราได้รับประโยชน์มาก ๆ เพราะอาจมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คิดไม่ถึง
สุดท้ายต้องขออภัยที่ต้องทำร้ายจิตใจแม่ยกหมอนุค่ะ 555

ปล.2 คุณ Lovetree คะ ถ้าผ่านมารบกวนมองเลยขึ้นไปบนข้อความส่วนตัวนะคะ...เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม.. ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 21-09-2015 02:16:45
ในที่สุด ลี้น้อยของเจ้ก็ยิ้มออกซะที โอยยย ผ้าปูขาดแล่ววว555
จีบคนแก่มันยากเนาะ หมอนุอกหักซะแล้วเดาว่านางจะเป็นพระเอกของภาคต่อใช่ไหมคะ อย่าทิ้งนางนะเรารักนาง ออกจะแมน แฟร์ๆ งี้(เอ๊ะ!ได้ข่าวออกไม่กี่ฉาก แต่ดูชอบประหนึ่งพระเอก)

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา btw be with you, everytime is our party.
ยังคงยืนยันว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อ่านนิยายแล้วยิ้มได้กว้างขนาดนี้ ขอบคุณที่ทำให้เรายิ้มได้ทุกครั้งที่ได้อ่าน
จะรอผลงานต่อไปเหมือนตฤณกรที่เฝ้ามองอาทิตย์ทัศน์ค่ะ

ดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะคะ อากาศเปลี่ยนปล่อย ลมหนาวเริ่มมาเยี่ยมเยือนแล้ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 21-09-2015 04:34:16
ลี้น้อยทวงคำตอบจากหมอหมี่ได้น่ารักมากๆ เลยค่า :m3: แถมทวงไปทวงมาก็ดันจับได้เสียอีกว่าหมอหมี่แอบหอมแก้มตัวเองเมื่อตอนยังเป็นเด็กน้อย :m20: หลังจากนี้คงถูกเอาคืนอีกยาวแน่ๆ เลยนะคะหมอหมี่ เพราะถ้าให้นับระยะเวลากว่าที่ลี้น้อยจะโตจนแก้มยุ้ยๆ หายไปหมดนี่ก็หลายปีอยู่นา~ ><

ดีใจกับลี้น้อยที่สมหวังเสียที แล้วก็ดีใจกับหมอหมี่ที่ได้ปรับความเข้าใจกับคุณพ่อด้วยนะคะ ^^ อะไรจะสุขใจมากไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว :heaven

ขอบคุณค่ะ :pig4:

ปล. เฝ้ารอผลงานต่อๆ ไปนะค้า~~

คำผิด + คำตก ..จ้า ^^

กำหนดการเดิน(ทาง)ไปยังจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อเข้าร่วมทีมแพทย์อาสาลงพื้นที่ภาคตะวันตก

โชคยังดีที่มันแล้ว(ยัง)ค้างอยู่กับพุ่มไม้

เพื่อนเก่าสมัยมัธยมของเขายังคงนั่งลื้อๆ(รื้อ) ค้นๆ

พูดจบก็หย่อนพวงเปือก(เปลือก)หอยลงกล่อง

"เราเช็ก(เช็ค)ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วสบายใจได้"

“อีกสองเดือน” เป็น(คำ)ตอบสั้น ๆ

แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ก็คงทำได้(แค่)เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ

ทั้งที่ยืนถ่ายรู้(ถ่ายรูป)ข้าง ๆ กัน แต่กลับไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไร

การใช้ชีวิตเพียงลำพังในต่างแดนทำให้เขาแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด(คิดถึง)บ้าน

พูดพราง(พลาง)ยกมือขึ้นเกาแก้ม

“แน่จะใจ(จะแน่ใจ)ได้ยังไงว่าฉันยังไม่มีใคร”

ซ้ำในห้องน้ำก็ไม่(ไม่มี)เครื่องทำน้ำอุ่น

แม้จะอยู่ใกล้ตลาดแต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงรารถ(รถรา)สัญจรไปมาเลย

ปราณกระซิบที่ข้างหูก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอสูดกลิ่นหอมกายหอมฟุ้ง(สูดกลิ่นกายหอมฟุ้ง)ของพี่ชายคนสนิทให้หายคิดถึง

“เออๆๆ สัญญาก็สัญา(สัญญา)”
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 21-09-2015 07:32:14
อ่านแล้วทำให้คิดว่า บางทีเรามองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว
เอามองหาในสิ่งที่เราอยากได้ หันมาใส่ใจสิ่งที่อยู่กับเรา
อยู่รอบตัวเราบ้างก็ดี
ปล. ขอบคุณสำหรับนิยาย ไม่ผิดหวังจริงๆที่อ่าน และขอให้คุณส้สมหวังกับสิ่งที่ตั้งใจ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 21-09-2015 08:15:46
เรื่อยๆ แต่แอบหน่วงตลอด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 21-09-2015 09:21:01
วันนี้จะยอมเรียกอ.หมอบวรค่ะ ในที่สุดก็โตพอที่จะเข้าใจนะอาจารย์หมอว่าหมี่ไม่ได้ต้องการอาจารย์หมอแต่หมี่อยากได้พ่อ   มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา

ในที่สุดหมี่กับลี้น้อยก็เจอความสุขพร้อมกับหากันเจอเสียทีนะ   

อบอุ่นมากๆค่ะ  ขอบคุณมากค่ะ

ป.ล ชอบหมอนุค่ะ  นางโผล่มาแล้วฟีลกู๊ดค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-09-2015 09:29:07
ขอบคุณค่ะ
 
 :pig4:  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 21-09-2015 11:00:50
บทจะง่ายก็ง่าย
ที่จริงพี่บะหมี่ก็ง่ายมาตลอดน่ะแหละ
แต่ยากกับลี้น้อยคนเดียว
นี่กว่าจะง่ายกับลี้น้อย
ลี้น้อยถึงกับต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่เกาหลีเลยนะ
น่าเอ็นดูซะจริง

ป๊ากับแม่คิดถึงสะใภ้กันจนน้ำตาไหลเลยเชียว
คนอ่านก็อยากจะน้ำตาไหลด้วย
เค้าเป็นแฟนกันซะที แหมๆๆๆๆ

ไม่ชอบคำว่า "สุดท้าย" เลยค่ะ
ไม่สุดท้ายได้มั้ย
จะรอต่อไป นานแค่ไหนก็รอ
เหมือนสายลมที่พัดผ่านรอบตัวตลอดไป ว้าวๆๆๆๆ

ขอบคุณสำหรับอีกเรื่องที่แต่งมาให้ได้ฟินกันค่ะ
เป็นกำลังใจให้สำหรับการตามความฝันนะคะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-09-2015 11:15:58
ขอบคุณค่าาาา ในที่สุดลี้น้อยกะบะหมี่ก็แฮปปี้
เราหวังว่าจะได้อ่านผลงานเรื่องอื่นๆ ของคุณอีกน๊าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: veeveevivien ที่ 21-09-2015 12:14:17
 :pig4: :pig4: :pig4:

ก่อนอื่นต้องบอกว่าขอบคุณมากค่ะ และความรู้สึกต่อมาก็คือ เสียดาย ตามมาด้วย เสียใจ ค่ะ

นิยายของคุณให้ความรู้สึกละมุนละม่อมมากกก อ่านแล้วรู้สึกดี

เสียดายที่คุณจะไม่เขียนนิยายอีกแล้ว รู้สึกใจหายค่ะ

รักตัวละครทุกตัวของคุณค่ะ

ขอให้คุณสุขภาพแข็งแรง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนะคะ

เหนือสิ่งอื่นใด เข้ามาทักทายกันบ้างนะคะ จะตามเพจคุณอยู่ค่ะ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-09-2015 12:18:58
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารัก ๆ อีกเรื่อง
ลงเอยด้วยดีสำหรับเฮียหมี่และลี้น้อย หมอบวรด้วย
ส่วนหมอนุเราจะดูแลให้เอง อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 21-09-2015 12:36:45
ขอบคุณคร้าาาาในที่สุดลี้น้อยเรา
ก็สมหวังซักที :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 21-09-2015 22:55:23
หมอนุที่รักคิดว่ายังไงต้องมีคู่แน่นอนค่ะ ออกมาแค่นี้ก็ทำให้เราหลงรักแล้วค่ะ555

ต่อไปหมี่ก็คงไม่ไปหาซินแสถามเรื่องความรักอีกแล้ว 
ได้อ่านบรรทัดสุดท้ายของเรื่องนี้หลายรอบมากๆ กรี๊ดมากๆเลย
เราชอบมากๆ รู้สึกอุ่นใจ  มีความสุขไปกับหมี่และลี้น้อยด้วยเลยค่ะ (เพิ่งรู้ว่าปราณแปลว่าลมหายใจ)

ชอบที่หมี่มีจิตใจเข้มแข็งมากๆ ถึงเกิดมาอาภัพกับเรื่องความรัก แต่ก็ยังเป็นคนที่คิดดีทำดีเสมอ
ไม่เป็นคนเหลวไหลที่ชอบอ้างว่าเป็นเพราะตัวเองขาดความอบอุ่นจากครอบครัวหรือผิดหวังจากความรักมา  ชื่นชมหมี่จริงๆค่ะ

ส่วนลี้น้อยผู้น่ารักกลับมาจากเกาหลีก็โตขึ้นแถมเจ้าเล่ห์น่ากรี๊ดด้วยหรือเปล่านะ555
หอมแก้มหมี่เอาคืนเต็มที่เลยนะ  หมี่ไม่ทันลี้น้อยแล้ว  เด็กสมัยนี้โตไว
และลี้น้อยคงเป็นคนที่พูดคำว่า "อยากกินบะหมี่" ได้เซ็กซี่ที่สุดเลยค่ะ555

นิยายของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าจะไม่ค่อยมีบท NC เท่าไร แต่เราก็ชอบทุกเรื่องเลยจริงๆ
ดีใจทุกครั้งที่นักเขียนแต่งนิยายเรื่องใหม่  นิยายเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ชอบและประทับใจมากๆค่ะ
เรารับรู้ได้ว่านักเขียนแต่งนิยายออกมาแต่ละครั้ง ตั้งใจมากๆ เพราะเราได้รับสิ่งดีๆ ข้อคิดดีๆ ที่แฝงอยู่ในทุกตอนเลยค่ะ
เราได้แรงบันดาลใจหลายๆอย่างในนิยาย  อยากทำตาม อยากไปเที่ยว อยากกินบ้าง อยากซื้อด้วยเลยค่ะ

ขอบคุณคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ามากๆที่มอบความสุขให้กับเราจากการแต่งนิยายดีๆมาให้เราได้อ่าน
เราก็อยากให้นักเขียนมีความสุขกับสิ่งที่ฝัน  เข้าใจเสมอ  จะไม่ขออะไรเลย
เมื่อนักเขียนมีผลงานเมื่อไร จะนานเพียงใด เราจะติดตามผลงานของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าแน่นอนค่ะ

ขอให้นักเขียนประสบความสำเร็จทุกสิ่งที่ตั้งใจไว้นะคะ เชื่อว่านักเขียนทำได้แน่ๆ
เหมือนกับที่นักเขียนได้สร้างสรรค์ผลงานนิยายดีๆ  เราประทับใจนิยายทุกเรื่องจริงๆค่ะ
ขอขอบคุณคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ามากๆนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Zalzah_iP ที่ 22-09-2015 17:43:41
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ เป็นเรื่องที่ประทับใจนะ ไม่ยาวแต่รู้สึกว่าเล่าได้หมดเลย รู้สึกเหมือนช่วงชีวิตที่ผ่านอะไรแบบนี่5555555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 23-09-2015 08:05:12
เฮียหมี่ได้เจอคนที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดแล้วนะ ปราณก็ได้สมหวังกับความรักที่เฝ้ามองมาตลอด
คุณหมอก็คิดและยอมรับเฮียหมี่ได้แล้ว เฮียหมี่ก็มีคลีนิคของตัวเองแล้วนะ อะไรก็ดีขึ้นเรื่อยๆเลย
ดีใจกับเฮียหมี่มากๆที่จะได้มีความสุขสักที มีลี้น้อยคอยอ้อนอยู่ใกล้  :-[
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอบอุ่นแบบนี้นะคะ :mew1:

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-09-2015 17:58:50
จบแล้วสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องนึง ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านกันนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 23-09-2015 21:16:29
มันละมุนมักมากครับ...ชอบอีกแล้ว

ทำมัยผมผึ่งเห็นนิยายเรื่องนี้นะ..

ทั้งที่เป็นเรื่องของนักเขียนในดวงใจแท้ๆ

จะติดตามอ่านเรื่องต่อๆไปนะครับ...เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-09-2015 21:30:35
สวัสดีค่ะ ขออนุญาตตอบทุก ๆ คอมเมนต์ใน reply นี้ค่ะ
ไปไล่อ่านคอมเมนต์ในเว็บมาหลังจากนิยายจบ
จริง ๆ ทุกครั้งที่นิยายจบ เรามักจะได้รับคำขอบคุณ เราเองก็ต้องขอบคุณคนอ่านมาก ๆ ค่ะ
แรกเริ่มเดิมทีเรื่อง "ในอ้อมกอดของสายลม" เราเขียนเอาไว้นานแล้ว
แต่มันไม่ถึงกับต้องเตรียมชามต้มน้ำกินมาม่า รันทดระทมขมขื่นขนาดนี้ แต่ม่าแล้วก็ม่าให้สุดค่ะ 555 #ทีมอาจารย์หมอบวร
เรื่องนี้เขียนยากเหมือนกันนะคะ เป็นเรื่องสั้นแต่ต้องเก็บเหตุการณ์ให้หมด
ส่วนหน้าที่การงานของตัวละครหลักโดยเฉพาะหมี่เกี๊ยว ไม่ได้ลงลึกสักเท่าไรเพราะกลัวพลาดค่ะ ไปว่ากันที่เรื่องอื่นดีกว่า


เขียนเรื่องสั้นแล้วสนุกดีเหมือนกันค่ะ มันต้องคิดว่าจะทำยังไงให้รวบรัด
เขียนเรื่องยาวแล้วกลัวชักช้ายืดยาดไม่ทันใจคนอ่าน เรื่องก่อนหน้านี้ (ปลายทางคิดถึง) สนุกตรงได้หาข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ
บรรยากาศมันสบาย ๆ ส่วนเรื่องนี้สนุกตรงทำยังไงให้กระชับแต่ต้องเล่าให้หมด

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำอวยพรดี ๆ นะคะ เราไม่ได้ไปไหน อย่าเสียดาย อย่าเสียใจ
ถ้าคิดถึงต้องกลับมาแน่ ๆ โอกาสดี ๆ คงจะได้กลับมาเขียนเรื่องที่ 3 (หมอนุพันธ์ ตามคำเรียกร้อง) เผื่อว่าจะได้รวมเล่มค่ะ
เช่นกันค่ะ ถ้าคนอ่านคิดถึงกันก็ย้อนกลับไปอ่านนิยายได้ ขอบคุณที่บอกว่านิยายที่เราเขียนสร้างแรงบันดาลใจหลายอย่าง
นิยายของเราก็ยังอยู่เป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจให้คนอ่านต่อไปค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ถธปทฟ.


ปล.555 ขำหมอนุพันธ์อ่ะ หมอนุพันธ์ต้องไปกราบหมอวรรษวรงาม ๆ ในความเลวเลย
เพราะถ้าเราไม่เปลี่ยนใจเอาหมอวรรษวรออก หมอนุพันธ์จะไม่มี ไม่มีโอกาสเกิดในอ้อมใจแม่ยกค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 23-09-2015 23:18:23
ิเราเป็นคนอ่อนไหวววว น้ำตาแตกทั้งเรื่องเลย  :ling1:
แต่พอบทจะหวานก็อื้อหืออออ
อิจฉาเฮียมากกกก พูดเลย อยากให้มีคนรักเราแบบนี้มั่งงงง
ปล. ขอบคุณนะคะ สำหรับนิยายดีๆ อีกเรื่องค่า รักคุณ ถธปทฟ มากค่ะ จุฟๆ
ปล.2 รอติดตามเรื่องต่อไปค่ะ
ปล.3 ขอตอนพิเศษได้ไหมคะ (หน้าด้านขอต่อไป 5555+)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Momotarotar ที่ 25-09-2015 00:19:26
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรานี่มันยังไงกัน ฮือออ ... เสียดายมากเลยแต่เราก็รู้ว่า ถธปทฟ.ต้องมีเรื่องสั้นมาอีกเรื่อยๆ
เรื่องนี้อ่านแล้วอบอุ่นดีไม่ต่างจากเรื่องที่ผ่านๆมาเลยนะคะ ชอบ แอบเป็นแม่ยกหมอนุ เพราะเราชอบผช.อบอุ่น ยิ้มง่าย ฮิ!
เราแอบสงสัยว่าทำไมพ่อของบารมีถึงมาคิดได้ทีหลัง
ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องสั้นที่ทำให้เกิดรอยยิ้มผสมกับความอบอุ่นในใจ ชอบผู้ชายแบบเฮียด้วย ขอนะลี้
สุดท้ายนี้ยังรอรีปริ้นท์และรวมเล่มของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าอยู่เสมอนะคะ :) รักและคิดถึงมาก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 16-10-2015 17:26:41
อ่านจบแล้ว เป็นเรื่องที่น่ารักอ่า
ชอบอาลี้น้อยจังเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 17-10-2015 02:27:25
มีหน่วงมียิ้มตามกันไป
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 08-12-2015 21:02:31
แอบหน่วงเบาๆ  :เฮ้อ:


แต่จบแบบฟินๆๆๆๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 11-12-2015 16:26:59
ชอบมากกกกกก  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: หลิว ที่ 12-12-2015 15:54:49
เป็นความรู้สึกดีๆที่ไม่ทราบจะบรรยายออกมาด้วยคำพูดแบบใหนต่อนิยายเรื่องนี้
ขอเผือกนิดนะคะ ตกใจที่บอกว่าเรื่องนี้จะแต่งเป็นเรื่องสุดท้าย(ในชีวิต!) แอบหวังว่ามันจะไม่จริงนะคะT T
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 13-12-2015 14:39:37
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 20-12-2015 16:18:17
เป็นเรื่องที่อบอุ่น ประทับใจมากเลย ชอบทั้งเฮียหมี่ตี๋ลี้ พี่หมอนุด้วย  :กอด1:
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดี ๆ เรื่องนี้มาก ๆ เลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนในทุก ๆ เรื่องนะคะ ขอให้ทำตามความฝันได้สำเร็จ
มีเวลาว่าง ก็มาแต่งเรื่องดี ๆ แบบนี้ให้อ่านกันอีกน้า  :impress:
ยังรอเรื่องของพี่หมอนุนะจ้ะ
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 20-12-2015 20:02:52
อ่านแล้วมีความรู้สึกอบอุ่นมากค่ะ ในอ้อมกอดของสายลม ชอบความรักที่มันคง

ขอบคุณที่ถ่ายทอดเรื่องราวดีๆผ่านตัวอักษร  o13

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 20-12-2015 20:18:55
ลี้น้อยกับเฮียหมี่ นี่ให้ความรู้สึกย้อนไปถึงสมัยมิวกับโต้ง แต่เป็นเวอร์ชั่นสมหวังเลยนะคะ

น่ารักม๊ากกกกกก ชอบน้องลี้น้อย กิกิ

ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆ ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 24-12-2015 23:33:34
โอย ไม่เคยอ่านเรื่องไหนแล้วลุ้นให้พระเอกมันบอกรักนายเอกเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว ลุ้นจนน้ำตาไหลแน่ะค่ะ พูดจริง กลัวว่าทั้งสองคนจะไม่ได้คู่กัน จนลังเลว่าจะอ่านต่อดีไหม อยากเปิดไปดูหน้าสุดท้ายว่าเขาสมหวังกันหรือเปล่าก็อยาก อยากจะค่อยๆ อ่านไปเพื่อได้รู้ทีละน้อยก็อยาก สองจิตสองใจ จนต้องตัดสินใจอ่านต่อ (อ้าว) เรื่องของเรื่องคือทั้งสงสารทั้งอยากตบหัวไอ้ตี๋ลี้น้อย คือก็เห็นว่ามีคนจะคอยคาบไปรับประทานเยอะแยะ แล้วทำไมเอ็งไม่บอกซะทีวะ (ก็เข้าใจนะว่ากลัวจะถูกเกลียด) เล่นเอาลุ้นจนม้ามหด

ชอบเรื่องนี้มากๆ อีกแล้วค่ะ ในนิยายของคุณท้องฟ้าฯ ทุกเรื่องจะมีปมหลายอย่างให้ติดตาม แต่มีข้อดีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันในทุกเรื่อง (จากที่สังเกตเท่าที่อ่านมา) สิ่งดีนั้นคือ ความเป็นมนุษย์ปุถุชนของตัวละคร ดิฉันอ่านแล้ว เหมือนกับเดินผ่านลี้น้อยเมื่อวานซืน เหมือนกับได้ไปซื้อกะเพราไก่ร้านเดียวกับบารมี ตัวละครไม่ได้เลิศเลอ หล่อรวยล้นฟ้าเกินคว้าเอื้อมถึง แต่ก็คนกินข้าวแกงเดินตากแดดตากฝนเหมือนกัน เรียกว่ามันมีความสมจริงจนน่ายกย่อง เหมือนได้กลิ่นฝน เห็นแสงฟ้าแลบกระจายเต็มฟ้า มันสัมผัสได้ถึงตัวตนที่มีอยู่ของทุกตัวละคร แม้แต่หมอนุพันธ์ก็ยอมรับได้ว่ามีตัวตนจริง ดิฉันยกนิ้วให้เลยค่ะ เสียใจที่มาอ่านช้าไป ไม่อย่างนั้นคงฟินไปนานแล้ว

ลี้น้อย (ปราณ) เป็นพระเอกที่ทั้งน่าหยิกและน่าตบหัว บางครั้งก็กลัวเกินไป แต่นับถือที่ใจมั่นคง น่ารักมากที่บอกว่าจะจูบกับคนที่มั่นใจว่ารักจริงเท่านั้น ฮอลลลล ผู้ชายอย่างนี้หาได้ที่ไหน ฉันอยากได้สักคน! แล้วพอเป็นแฟนกันเท่านั้นนะ แหม...อ้อนได้อ้อนดี น่าหมั่นไส้มากกกกกกก

ขอบคุณคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ามากๆ นะคะ อ่านจบไปอีกเรื่องก็อิ่มอกอิ่มใจไปอีกครั้งเช่นกัน ขอบคุณที่ทำให้ดิฉันจำได้ว่าทุกวันนี้เขียนนิยายทำไม ขอบคุณที่นำเอาความรู้สึกเมื่อนานมาแล้วกลับมาอีกครั้ง  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 22-01-2016 21:30:40


ขุด ขุด ขุด :กอด1: เรื่องรักหวานๆๆ  มาอ่านกัน

... ก่อน จะมาเป็นหมอนุพันธ์ ที่เราๆ รัก
 :-[ 


:heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 08-02-2016 03:12:07
ขอให้หมี่มีความสุขกับลี้มากๆนะ

ว่าแต่ซินแสอยู่ตรงไหนจะไปดูดวงบ้าง :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Money11 ที่ 12-02-2016 00:45:31
ชอบเรื่องนี้มาก ชอบนิยายของคุณทุกเรื่องเลยค่ะ
อบอุ่นฟีลกู้ดมากๆ
ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 19-02-2016 21:42:20
ชอบเรื่องนี้มาก ขอบคุณคนแต่งมากๆ ที่แต่งเรื่องดีดีแบบนี้มาให้ติดตามอ่านกัน  :pig4:  :กอด1:  :L2:  :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 05-03-2016 21:52:29
หวานละมุนมากเลยค่ะ​

อ่านแล้ว​นึกถึงทับแก้วเลย คิดถึงสระแก้ว คิดถึงองค์พระ คิดถึง scrubb

ขอบคุณ​คนแต่งนะคะ​ที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน​และ​ยังทำให้นึกถึงความหลัง

พอเป็นเด็กก็อยากโต พอโตแล้วก็อยากเป็นเด็ก :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 07-03-2016 12:04:18
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นมากเลย ......... ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 19-09-2016 14:53:17
จะไม่มีตอนพิเศษมาให้ชื่นใจหน่อยหรอค่ะ งืออออ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 02-03-2018 22:42:46
เป็นเรื่องที่อ่านไปก็รู้สึกหน่วงๆชวนปวดใจได้เกือบทุกตอนเลยทีเดียว  เราชอบสำนวนการเขียนของคุณนะยังบรรยายได้ดีเหมือนเดิมดำเนินเรื่องได้ดีมากค่ะให้ความรู้สึกถึงสีเทาหม่นๆแล้วค่อยๆจางลงในตอนจบ. กว่าปราณจะได้มีโมเม้นท์หวานๆบ้างคนอ่านอย่างเราก็ลุ้นแทบแย่เลยค่ะ 
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้นะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-07-2018 00:37:37
 :mew1: :mew1: :กอด1: :กอด1: :bye2: :bye2: :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 27-08-2019 14:29:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
ตามมาอ่านนิยายดีๆ
รักเลย น้องลี้&พี่หมี่
 :mew1:
 :mew1:
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 27-08-2019 23:14:04
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ยิ้มได้ แต่ยังทำให้เสียน้ำตาด้วย

...ลุ้น ๆ ๆ กับลี้น้อบพิชิตใจเฮียหมี่สุดพลัง  :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4: จ้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 11-10-2020 10:35:47
กว่าจะได้รักกันคู่กันอยู่ด้วยกัน ผ่านการไม่ยอมรับใจมามาก หน่วงเบาๆแต่จบดี  :katai2-1: :katai2-1: