[เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3  (อ่าน 39330 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2015 00:35:03 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ในอ้อมกอดของสายลม


เรื่องย่อ : "บารมี" ทันตแพทย์หนุ่มผู้ไม่เคยได้รับความรักที่แท้จริงจากใคร กระนั้นเขาก็ยังไม่หยุดที่จะค้นหา แต่ยิ่งหา ยิ่งห่าง ยิ่งไม่เห็น คนที่ผ่านเข้ามาก็เหมือนกับสายลมที่พัดมาผ่านเลยไป ไม่มีใครที่จะอยู่เป็นลมหายใจของกันและกัน


เรื่องอื่น ๆ


สารบัญ

เกริ่น
ตอนที่ 1 คำทำนาย
ตอนที่ 2 อดีตที่หวนคืน
ตอนที่ 3 กลัว
ตอนที่ 4 ความจริงที่เจ็บปวด
ตอนที่ 5 ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป
ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2016 09:24:35 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
เกริ่น



ย่านคนจีนใจกลางมหานครใหญ่กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งเมื่อแสงสุดท้ายของวันถูกแทนที่ด้วยความมืด ร้านค้าริมทางที่ทยอยกันตั้งโต๊ะตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นบัดนี้เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวที่เพิ่งกลับจากทำงาน ต่างคนต่างเลือกหาอาหารคาวหวานรับประทานกันตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นผัดไทย หอยทอด ก๋วยเตี๋ยวหรือขนมไทยก็หากินได้ง่าย ๆ อิ่มแปล้กลับบ้านกันถ้วนหน้า นอกจากเสียงตะหลิวกระทบกับผิวกระทะและกลิ่นเครื่องเทศที่ผ่านการคัดสรรแล้ว ลีลาการเรียกลูกค้ายังเป็นอีกกลยุทธ์ที่บรรดาเจ้าของร้านต่างงัดขึ้นมาแข่งกันซึ่งก็ช่วยสร้างความน่าสนใจแก่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี


“กินเสร็จ แล้วไปดูดวงกันนะตี๋” เจ้าของร่างผอมสูงกล่าวพร้อมใช้ปลายนิ้วไล้เหนือริมฝีปากซึ่งครึ้มด้วยไรหนวดพลางมองคนหิวโซที่กำลังเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ย


หน้าจืดซีดจนเห็นเส้นเลือดเงยขึ้นมองตาขุ่น ฝืนกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงคอแต่ก็ดูยากลำบากจนนั่งฝั่งตรงข้ามต้องรีบเลื่อนแก้วน้ำให้ หนุ่มไทยเชื้อสายจีนไม่รอช้ารีบวางช้อนพลางใช้หลอดคนของเหลวในแก้วแสตนเลส จากนั้นจึงยกขึ้นดูดรวดเดียวหมดก่อนจะจัดการพับแขนเสื้อเชิ้ตที่เป็นอุปสรรคต่อการกินในขณะที่ปากก็ถามคำถามซึ่งก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับคำตอบที่จะได้รับนัก


“สองเดือนนี้ดูไปกี่รอบแล้ว ไม่เข้าใจเฮียเลยว่ะว่าจะดูให้มันได้อะไรขึ้นมา”


เขาคือ ‘ปราณ’ นักศึกษาชั้นปีที่สามของคณะมัณฑนศิลป์ ผู้มีความสุขกับการใช้ชีวิตและการจดจำเรื่องราวในแต่ละวัน ส่วนที่นั่งหน้าง้ำอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเพราะโดนจี้ใจดำก็คือ ‘บารมี’ ทันตแพทย์หนุ่มวัยยี่สิบหก ผู้ที่เชื่อเหลือเกินว่าคนเราเกิดมาเพื่อตามหารักแท้ แม้จะยังไม่เจอเลยสักครั้งแต่เขาก็ยังไม่หมดกำลังที่จะตามหา...


“แต่ซินแสคนนี้น่ะ เจ๊กิมลั้งที่ขายดอกไม้อยู่ในตลาดบอกว่าดูดวงแม่นมากนะแก”


“เมื่อต้นปีที่ไปดูตรงถนนมังกรก็เห็นเฮียพูดแบบนี้ ซินแสบอกว่าจะได้เปลี่ยนที่ทำงาน นี่จะปลายปีแล้วเห็นยังไม่เห็นได้ไปไหน” ปราณมองคนอายุมากกว่าพร้อมกับส่ายหัวหน่าย ๆ ดวงตาที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวเรียงเส้นสวยค้อนขวับให้รู้ว่ากำลังไม่ชอบใจในคำที่เขาเพิ่งพูดจบลงไปสักเท่าไร กิริยาท่าทางที่เฉียดใกล้ความเป็นผู้หญิงเช่นนี้ให้นึกอยากจะเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เจ้’ อยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อเผลอหลุดเรียกไปทีไรก็เป็นอันต้องเจ็บตัวทุกที


“ก็แม่นนะโว้ย อย่างน้อยก็เปลี่ยนจากตึกเก่า ๆ ไปอยู่ตึกใหม่”


“ถุย!!! แค่นี้ทำคุย”


แทนที่บารมีจะใส่ใจคำพูดนั้น เขากลับทอดสายตามองไปยังผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่อยู่ริมถนนราวกับหวังว่าจะพบใครสักคนที่รู้จัก “คราวก่อนมัวแต่ถามเรื่องงาน ยังไม่ได้ถามเรื่องความรักเลย”


“โธ่...ของแบบนี้มันต้องใช้เวลานะจ...เจ้...”


“ไอ้ตี๋! ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้!” ปลายนิ้วเรียวชี้ที่หน้าของคนกำลังอ้าปากค้าง “บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกแบบนี้”


“ขอโทษ ๆ” ปราณลากเสียงพร้อมกับยกมือขึ้นตีปากตัวเองซ้ำ ๆ “นี่แน่ะ! ทีหลังอย่าเรียกแบบนี้รู้ไหม เฮียหมี่ไม่ชอบ นี่แน่ะ! ตบให้เลือดกลบปากไปเลย นี่แน่ะ!”


เจ้าของชื่อมุ่นคิ้ว ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ออกจากปากของคนตรงหน้านั้นจะเรียกว่าการสำนึกผิดได้หรือไม่กระนั้นก็ยังรั้งข้อมืออีกฝ่ายให้หยุดพร้อมกับกล่าวเบา ๆ


“พอแล้ว”


“นึกว่าจะปล่อยให้ตบจนเลือดออกเสียอีก”


“ฉันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น” บารมีกล่าวพลางชะเง้อมองอาแปะเจ้าของร้านบะหมี่รถเข็นที่กำลังง่วนอยู่กับการลวกเส้นมือเป็นระวิง รอว่าเมื่อไรจะถึงคิวของตนเองสักที


“ความรักก็เหมือนบะหมี่นะเฮีย ต้องใช้เวลาลวกเส้น ต้องพิถีพิถันในการปรุง มันถึงจะออกมาอร่อยสมกับที่เฮียหิ้วท้องรอ”


“เมื่อกี้ฉันสั่งเกี๊ยวน้ำว่ะ”


เจ้าของทฤษฎีนิ่วหน้า “เออนั่นแหละ เหมือนกัน เกี๊ยวก็ต้องลวก”


“แต่ถ้ารู้ล่วงหน้าได้มันก็ดีไม่ใช่หรือไง” คนพูดดึงสายตากลับไม่รอให้ถูกเถียง “แกไม่ต้องพูดมาก แค่ไปเป็นเพื่อนฉันก็พอ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง กิน ๆ เข้าไป”


“อย่างนี้ทุกที ชอบเอาของฟรีมาล่อ”


“หรือแกจะจ่ายเองแล้วไม่ต้องไปด้วยกันก็ได้นะ” ทันตแพทย์หนุ่มวางหน้านิ่งเทน้ำสีดำที่เหลืออยู่ครึ่งขวดลงในแก้วของคู่สนทนาก่อนจะหยิบกาอะลูมิเนียมรินน้ำชาลงในแก้วของตนเองบ้าง


“อ้าว...อะไรวะ เฮียไปลากผมมาจากบ้านนะเนี่ย กระเป๋าตงกระเป๋าตังค์ก็ไม่ได้เอามา จะให้เอาเงินที่ไหนจ่ายค่าข้าวล่ะ”


น้ำเสียงค่อนขอดทำเอาคนฟังอดยิ้มไม่ได้ ยกมือขาวขึ้นเท้าคางมองก่อนจะอาศัยความได้เปรียบถามกลับ “แล้วจะเอายังไง”


ปราณขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด พองแก้มซ้ายทีขวาทีในที่สุดก็ถอนใจเฮือก เมื่อถึงคราวต้องเลือกก็คงต้องเลือก ศักดิ์ศรีมีกันทุกคน


แต่เงิน...วันนี้ไม่มี!


“เห็นว่าเป็นพี่หรอกนะ จะยอมไปเป็นเพื่อนอีกสักครั้งก็แล้วกัน” ชายหนุ่มพึมพำขณะตักข้าวเข้าปาก


“ก็แค่นั้น ทำลีลาอยู่ได้”


แม้อยากจะเถียงสักเพียงไหนแต่ปราณก็ต้องทำสงบเสงี่ยมเจียมตัวเพราะไม่มีเงินติดตัว จำต้องยอมรับชะตากรรมก้มหน้าก้มตาจัดการกับกะเพราไข่ดาวของโปรดต่อไป


“มาเลี้ยว ๆ” ชายชราร่างผอมสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นสีเข้มร้องขึ้นขณะยกเกี๊ยวน้ำชามใหญ่มาวางลงบนโต๊ะ “โทษทีนะอาหมอ ปล่อยให้ลื้อรอนานเลย”


“ไม่เป็นไรครับแปะ” บารมีกล่าวพร้อมกับส่งยิ้มให้เจ้าของร้านบะหมี่รถเข็นที่เขากินมาตั้งแต่สมัยที่ย้ายเข้ามาเรียนชั้นมัธยมในกรุงเทพฯ ใหม่ ๆ กระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยได้งานทำเป็นหลักเป็นแหล่งแล้วก็ยังติดใจฝีมืออาแปะจนไม่ยอมเปลี่ยนไปกินร้านอื่น 


“ทีหลังก็มาตรง ๆ สิแปะ มาเลี้ยว ๆ ก็ไม่ถึงกันสักที อาคุณหมออีรอเหงือกแห้งกันพอลี”   


“ไอ้ตี๋!!!” สิ้นเสียงนั้นมือที่มักจะนุ่มนวลยามเมื่อจับอุปกรณ์ทำฟันก็ฟาดเข้าตรงกลางหน้าผากเนียนแบบเน้น ๆ จนคนเจ็บร้องโวยวาย


“ลามปามใหญ่แล้ว” บารมีส่งสายตาดุ ๆ ก่อนจะหันไปถามคนยืนรอ “เท่าไรครับแปะ”


“สี่สิบบาทเหมือนเดิมอาหมอ”


“นี่ครับ” พูดจบก็ส่งเงินจำนวนพอดีให้ รอกระทั่งอาแปะหันหลังให้จึงก้มลงมองเกี๊ยวน้ำในชามที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุยเตะจมูก ควันสีขาวจาง ๆ ที่ลอยอวลอยู่เหนือน้ำซุปใสชวนให้อดคิดไม่ได้ว่ามันน่าจะร้อนเอาเรื่อง แต่อาแปะกลับยกมาด้วยมือเปล่า วันเวลาคงทำให้ความอดทนคงกลายเป็นความเคยชินไปแล้วกระมัง   


“ดูแปะซิ ยังไม่ว่าอะไรสักคำ แปะน่ะใจดีจะตาย” ปราณเอ่ยขึ้นขณะที่สายตายังคงตามติดร่างผอมที่กำลังเดินกลับไปประจำหน้าหม้อก๋วยเตี๋ยว ไม่วายตะโกนตามหลังเพื่อขอกำลังเสริม “จริงไหมแปะ!”


เมื่อฟังชายชราก็หันมายิ้มให้ตามประสาคนอารมณ์ดีพร้อมกับร้องตอบ “ลื้อสิตาย! รอเดี๋ยว ๆ อาลี้น้อย อั๊วะกลับมาเอามีด!!!”
สิ้นเสียงเจ้าของรถเข็นบารมีก็หัวเราะพรืด มองชายหนุ่มที่ยิ้มกว้างอยู่ได้เพียงไม่กี่อึดใจแล้วแสร้งส่ายหน้าหน่าย ๆ พอถูกสวนกลับเข้าหน่อยก็ถึงกับทำหน้ายู่


“สมน้ำหน้า ปากหมาจนได้เรื่อง”


“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเต็ม แปะนี่จำไม่ได้สักที”พูดพลางขยี้หัวตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์  นั่นเพราะ ‘ลี้น้อย’ คือชื่อที่อาป๊าใช้เรียกเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วยความที่ชอบอ่านนิยายจีนกำลังภายในโดยเฉพาะฤทธิ์มีดสั้น ผู้เป็นพ่อก็เลยเอาชื่อพระเอกมาตั้งเป็นชื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมันเสียเลย โชคยังดีที่ได้แม่ช่วยห้ามไม่เช่นนั้นคงได้ชื่อลี้คิมฮวงตามต้นฉบับแน่ ๆ ดังนั้นชื่อ ‘ลี้น้อย’ นี้จึงมีเพียงคนในครอบครัวและอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาเต็มใจให้เรียก ส่วนเพื่อนฝูงหรือคนที่รู้จักก็มักจะเรียก ‘ปราณ’ กันทั้งนั้น 


“ทำไมล่ะ ชื่อนี้ก็น่ารักดีออก เหมาะกับแกนะตี๋”


“น่ารักแล้วทำไมเฮียไม่เรียกล่ะ เรียกตี๋อยู่ได้ บอกว่าชื่อลี้...ชื่อลี้”


“หน้าตี๋ขนาดนี้ เรียกตี๋ผิดตรงไหน”


“เออ ๆ จะเรียกอะไรก็แล้วแต่เฮียเถอะ ผมขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว”


พูดจบปราณก็ตักข้าวส่งข้าวปาก ได้ยินเสียงช้อนกระทบฟันดังสนั่นจนหมอฟันต้องเอ่ยปากปราม บารมีมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู ท่าทางแบบเด็ก ๆ เช่นนี้มักจะเรียกรอยยิ้มได้เสมอ


“ขำอะไรเล่า”


“เปล๊า!” คนถูกถามหุบยิ้มแทบไม่ทัน ก้มหน้าก้มตาตักเกี๊ยวคำโตเข้าปากหวังจะใช้สกัดเสียงหัวเราะของตนเอง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ความร้อนระอุจากไส้ในแผ่ซ่านไปทั่วกระพุ้งแก้มยามเมื่อกัดลงไปคำแรก จะคายก็เสียดาย จะกลืนมันก็ใหญ่และร้อนเกินกว่าจะทำได้ สุดท้ายก็จำต้องอมตุ่ยอยู่อย่างนั้น


ใบหน้าบูดเบี้ยวกับสองมือที่โบกไล่ความร้อนทำให้ปราณต้องรีบส่งน้ำชาให้ ทันทีที่คว้าได้แก้วจากมือหนาบารมีก็จัดการกระดกดื่มเพื่อลดอุณหภูมิก่อนจะกลืนทุกอย่างลงคอไปในที่สุด


“อ่า!!! ร้อนจะแย่” คนพูดอ้าปากหวอ


“ไม่ระวังเลย” ปราณกล่าวพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้


“ขอบใจนะ” พูดจบก็รับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำที่เกาะพราวอยู่เหนือริมฝีปากและข้างแก้มก่อนจะเก็บลงในกระเป๋ากางเกง “เดี๋ยวซักคืนให้นะ”


เจ้าของผ้าเช็ดหน้าทำเพียงพยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะมองสำรวจใบหน้าที่ซึมไปด้วยเหงื่อ “แล้วเมื่อไรจะโกนหนวดโกนเคราสักที ดูสิ หน้าตารกรุงรังยังกับป่าดงดิบ ไหนดูซิมีหมูป่ามาทำรังหรือยัง” กำลังจะยกมือขึ้นคว้าเข้าที่ปลายคางมนก็โดนปัดออก


“หมูป่าบ้านแกสิ ไว้อย่างนี้แหละ เหี้ยมดี”


“เหี้ยมอะไรกัน ไม่เหมาะกับเฮียเลยสักนิด แวะไปให้ป๊าโกนให้สิ เดี๋ยวผมบอกป๊าให้แถมตัดผมให้ด้วย ตอบแทนที่เฮียเลี้ยงข้าวหลายครั้งแล้ว ปล่อยให้ยาวละลูกตาไม่รำคาญบ้างหรือไง”


“ไม่เอาหรอก เข้าร้านป๊าแกทีไร วันรุ่งขึ้นได้เรื่องทุกที”


“ได้เรื่องยังไง”


“ก็...” บารมีกดตาลงต่ำมองปลายช้อนสแตนเลสในมือที่กำลังแบ่งครึ่งเกี๊ยวเนื้อแน่นออกเป็นสองชิ้น


“หืม? ได้เรื่องยังไงเฮีย หรือว่ามีใครมารังแก เดี๋ยวผมไปจัดการมันให้ จับมันตีเข่า ฟันศอก หนุมานถวายแหวน ลิงถือยาหม่อง...”


“พอ ๆๆ เก่งจริง ๆ เลยนะแก โดยเฉพาะกับคนแก่เด็กและสตรีมีครรภ์น่ะ”


“โธ่...เฮีย ตกลงมันยังไง บอกมาสิ”


เมื่อถูกรบเร้าหนักเข้า บารมีจึงจำใจต้องตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้ม “ก็พวก extern น่ะสิ ม...มัน มันชอบแซวตอนเดินสวนกันในโรงพยาบาล”


“แซว? แซวว่าอะไร”


“มันบอกว่าเห็นหน้าอ่อนแล้วอยากเห็นขาอ่อนด้วย”


“อื้อหือ! ฟังแล้วขึ้นเลยเฮีย”


“เออสิ ฉันถึงต้องไว้หนวดเคราปล่อยผมเผ้ายาวรุงรังแบบนี้ไง”


ปราณมองคนตรงหน้าพลางยกมือขึ้นถูกคางตัวเอง “อืม...แต่จะว่าไป เฮียก็มองหาเนื้อคู่อยู่นี่นา แล้วไอ้ที่มาแซวน่ะไม่มีเข้าตาบ้างเลยเหรอ ผมเห็นหมอสมัยนี้มีแต่หน้าตาดีทั้งนั้น”


“ไม่เอาหรอก ไม่อยากได้ที่อาชีพเดียวกัน”


“อ้าว...หล่อเลือกได้อีก”


“ไม่ใช่อย่างนั้นโว้ย ก...ก็แค่...”





‘เข็ด’




...


สวัสดีค่ะ พบกันอีกแล้ว ก่อนจะหมดเดือนพิเศษ ๆ (ของเรา) เดือนนี้ มีเรื่องสั้นมาฝาก 1 เรื่องค่ะ

ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามนะคะ



ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ว้าววว อ่านตอนแรกก็น่าติดตามแล้ว คุณเขียนแบบเห็นภาพจนอยากไปเยาวราชเลย 555

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
แน่ะ ตัวเองไปเข็ดใครมาาาา
ช่วงนี้ขะไหว้พระจันทร์แล้ว
มียัง โมเม้นกินขนมไหว้พระจันทร์กับใครคนนั้น
ถ้ายังหาไม่เจอ รีบหานะ ถ้าเจอแล้วก็รีบชวนกันไปมุ้งมิ้งนะ
เดี๋ยวไม่อินเทรนนะ อิอิ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เฮียหมี่เคยช้ำรักจากหมอด้วยกันเหรอ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เปิดเรื่องมาน่าสนใจอีกแล้ววววววว

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :mc4: มีรักจำฝังใจหรือไงน้า

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
หนามยอกต้องเอาหนามบ่งค่ะหมอหมี่~ :m3:

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ลี้น้อยน่ารัก กวนดี   ส่วนเฮียหมี่น่ารัก  น่าแกล้ง
เราอยากรู้อดีตของสองคนนี้เลย  น่ารักทั้งคู่  ชอบมากๆ ค่ะ

เฮียหมี่ตามหารักแท้  ที่จริงไม่ต้องชะเง้อหาไกลๆเนอะ  อาจอยู่ใกล้ๆตัวเราก็ได้เนอะ ว่าไหมลี้น้อย

ไม่รู้ว่าบทเกริ่นพระนายออกมาหรือยัง  ไม่อยากจะเดาเท่าไร ขอรอลุ้นติดตามดีกว่า
เพราะจากประสบการณ์เรื่องปลายทางคิดถึง เราก็เลยกลัวการคาดเดาค่ะ555
คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าบรรยายได้เห็นภาพมากๆ ค่ะ เราอยากกินเกี๊ยวนำ้ชามใหญ่รอบดึกมากเลยจริงๆ :ling1:
เรื่องสนุกน่าติดตามอีกเช่นเคย  บทเกริ่นเฮฮา ชอบมากๆ ค่ะ  ขอบคุณมากๆนะคะ  :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
อ่านแล้วยังเดาเรื่องอะไรไม่ได้เลย

รู้แต่อยากกินเกี๊ยวน้ำ  :hao6:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 1 คำทำนาย


ในซอยมีเพียงแสงจากเสาไฟต้นสูงเพียงต้นเดียวที่ยังคงยืนหยัดให้ความสว่างอย่างแข็งขัน ส่วนนอกนั้นพร้อมใจกันติด ๆ ดับ ๆ ส่งให้บรรยากาศยามค่ำวังเวงไม่ต่างอะไรกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์เขย่าขวัญ กลิ่นธูปควันเทียนลอยคลุ้งมาพร้อมกับกระแสลมกระโชกที่พัดกิ่งไม้ไหวเอน ใบไม้เสียดสีกันเกิดเป็นเสียงสวบสาบฟังดูน่ากลัวปราณต้องรีบสาวเท้าก้าวให้ทันร่างผอมบางที่เดินนำหน้า     

“เฮีย” คนเดินตามเอ่ยขึ้นเมื่อกำลังจะพากันเลี้ยวเข้าตรอกแคบ ๆ ข้างศาลเจ้าซึ่งเป็นทางลัดไปสู่อีกซอย

“อะไร”

“บรรยากาศมันชวนขนลุกพิลึก ไว้ค่อยไปตอนเช้าไม่ดีกว่าเหรอเฮีย”

บารมีถอนใจเฮือกขณะก้าวข้ามท่อนเหล็กกั้นปิดช่องทางเดิน มีไว้ป้องกันไม่ให้รถจักรยานยนต์ผ่าน เนื่องจากช่องทางนี้มีไว้สำหรับคนเดินเท้าเท่านั้น ปากยังคงยืนยันเจตนารมณ์และอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมน้องชายบ้านตรงข้ามที่ตัวใหญ่กว่าเขาตั้งเยอะ

“ตัวใหญ่เสียเปล่า กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง”

คำพูดห้วน ๆ ทำให้เอาคนตัวโตรู้ได้โดยทันทีว่าควรจะปิดปากให้สนิทแล้วเดินตามอย่างเดียวก็พอ ปราณหรี่ตามองแผ่นหลังเล็กที่กำลังเลือนหายไปในความมืด ทั้งที่อยู่ห่างกันไม่กี่ช่วงแขนแต่กลับเหมือนอยู่ไกลกันเหลือเกิน ในหัวตอนนี้จินตนาการไปถึงฉากในหนังที่ตัวละครกำลังเดินตามกันเข้าไปในอุโมงค์แล้วจู่ ๆ ก็มีคนหนึ่งหายไป นึกถึงสีหน้าของคนที่เหลือแล้วให้คิดว่ามันคงเป็นความรู้สึกสับสนระคนหวาดกลัวอย่างที่สุด

เจ้าของร่างสูงใหญ่หยุดความคิดพร้อมกับยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อแสงสว่างอันน้อยนิดจากเสาไฟริมทางพร้อมใจกันดับลง ดวงตาที่ยังไม่สามารถปรับให้ชินต่อสภาพแสงทำให้ภาพที่เห็นตรงหน้าคือความมืดมิด 

“หมาฉี่รดโคนเสาหรือไงวะ มาดับอะไรตอนนี้” ปากบ่นในขณะที่ตาก็มองไปรอบ ๆ นึกถึงคำของอาจารย์สอนวิชาวาดเส้นที่บอกว่าหากเราหรี่ตามองเราจะเห็นรายละเอียดแสงเงาของวัตถุชัดเจนขึ้น แต่ตอนนี้ข้างหน้าไร้ซึ่งวัตถุใด ไร้ซึ่งเงาของคนมาด้วยกัน ซ้ำยังมืดไปหมด

“ฮ...เฮีย...” ได้ยินเสียงของตัวเองที่หลุดออกจากริมฝีปากแห้งผาก มันแผ่วเบาพอ ๆ กับสายลมที่พัดเอากลิ่นหอมที่คุ้นเคยมากระทบจมูกพอให้อุ่นใจได้บ้าง “ย...อยู่ไหน”

คนกลัวถอนใจเมื่อสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ

“เฮีย...ลี้ไม่ขำนะ”

แม้จะพูดเช่นนี้ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับอยู่ดี คิดจะควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงหวังจะเอาขึ้นมาเปิดเพื่อให้แสงสว่าง แต่ก็นึกได้ว่าทันทีที่วางเป้ ก็ถูกคุณหมอตัวดีลากออกมาจากบ้านเสียแล้ว

“ไหนเคยบอกว่าจะไม่ทิ้งไปไหนไง”

“อยู่นี่” เสียงนั้นดังพร้อมกับแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่สว่างขึ้น “อะไรวะ แกล้งเล่นแค่นี้ทำเป็นปากคอสั่น” เจ้าของเสียงกล่าวอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินเข้ามาใกล้

“ก็รู้อยู่ว่ากลัวความมืดยังจะแกล้งอีก”

บารมีไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงเพียงแต่จับข้อมือของน้องชายตัวโตเอาไว้ “มาด้วยกันแล้วจะทิ้งได้ยังไง” พูดจบก็รั้งเบา ๆ ให้อีกฝ่ายเดินตามโดยมีแสงจากโทรศัพท์เป็นเครื่องนำทาง เมื่อหลุดตรอกมาได้หน่อย ทั้งคู่ก็มาหยุดยืนที่กลางถนนคอนกรีตซึ่งขั้นกลางระหว่างตึกแถวอายุเก่าแก่ คงเพราะไฟที่ดับแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย บรรดาอาแปะอาอึ้มจึงพากันปิดบ้านเงียบ มีเพียงแสงจากเปลวเทียนที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างออกมา

“แล้วทีนี้จะรู้ได้ยังไงว่าอันไหนบ้านซินแส” ปราณมุ่นคิ้วพลางกวาดตาไปรอบ ๆ มองหาใครสักคนที่พอจะอาศัยถามทางได้แต่ก็ไม่มี

“เจ๊กิมลั้งบอกว่าซินแสแกอยู่กับลูกชายชื่อเถ้าแก่เฮงเจ้าของร้านขายของเก่า”

“ไฟก็ดันมาดับ จะได้ดูบอลไหมเนี่ย คู่หยุดโลกเสียด้วย อุตส่าห์นัดไอ้ซ้งไว้”

“เดี๋ยวก็มาเชื่อสิ ดับไม่นานหรอก” สิ้นเสียงบารมีไฟฟ้าก็กลับสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง

“โหเฮีย ถ้าจะแม่นขนาดนี้เปิดสำนักเองเถอะ” ปราณพูดล้อ ๆ

“มันบังเอิญโว้ย” พูดจบคนตาไวก็คลายมืออกจากข้อมือใหญ่ เดินดิ่งไปยังห้องแถวสองคูหาสุดท้ายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาคารทรงโบราณ พลันหูก็ได้ยินทำนองเพลงสวดบูชาเจ้าแม่กวนอิมดังแว่วมาจากด้านหลังบานเฟี้ยมลายลูกฟักที่ปิดสนิท โคมไฟที่ห้อยลงมาจากหลังคากันสาดเพิ่งจะถูกเปิดขึ้นก่อนหน้าที่บารมีจะเดินมาถึงได้เพียงไม่นาน นั่นแสดงว่าเจ้าของบ้านยังไม่ได้เข้านอน ชายหนุ่มเงยหน้ามองป้ายไม้เหนือกรอบประตูอาศัยแสงสีนวลอ่านตัวอักษรสีทองที่เขียนด้วยพู่กันจีนบนพื้นสีแดง

“ไถ่เส็งฮวดค้าของเก่า ที่นี่ละมั้ง”

“แน่เหรอเฮีย”

“ก็ไม่น่าผิดนะ”

“แต่เขาปิดร้านแล้วนะ เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาใหม่ดีกว่า” ปราณทำท่าจะหันหลังกลับแต่ก็ต้องชะงักเพราะอีกคนไม่ทิ้งความมุ่งมั่น

“เฮ่ย...ไหน ๆ ก็มาแล้วลองเรียกดูก็ไม่เสียหายนี่ คงยังไม่นอนหรอก”

“เออ ๆ ตามใจเฮีย” คนอายุน้อยกว่าเกาหัวแกรกพลางมองร่างผอมบางที่สืบเท้าเข้าไปจด ๆ จ้อง ๆ อยู่หน้าประตูเตรียมจะเคาะเรียกคนข้างใน แม้เมื่อครู่ปากจะบอกไม่ขัดใจ แต่พอเห็นท่าทางจริงจังของพี่ชายบ้านใกล้แล้วมันอดพูดไม่ได้จริง ๆ

“คนเรานี่ก็แปลก อดีตก็รู้ ปัจจุบันก็อยู่ในมือตัวเองแท้ แต่ดันเอาอนาคตไปฝากไว้กับการคาดเดาของคนอื่น”

คำพูดที่ดูจะไม่แยแสกับความรู้สึกของใครทำให้ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของบารมีเจื่อนลงในทันที ชายหนุ่มชักมือกลับพร้อมผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “ถามจริงเถอะตี๋ แกไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าอนาคตจะเป็นยังไง”
ตาสองคู่สบกันนิ่ง แต่ยังไม่ทันที่ปราณจะมีโอกาสได้เรียบเรียงคำตอบ ประตูเจ้ากรรมก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วตามด้วยเสียงแห้งแหบของใครคนหนึ่ง

“เข้ามาสิ”

สองหนุ่มจ้องมองไปยังร่างสูงที่อยู่ในเงามืดเป็นตาเดียว พลันมือเหี่ยวย่นก็เกี่ยวม่านลูกปัดซึ่งทำจากไม้ก่อนจะโผล่หน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยซึ่งเป็นผลพวงจากการเดินทางผ่านวันเวลาออกมา

“เข้ามาสิ จะมาดูดวงไม่ใช่รึ”

“อะ...เอ้อ...ค...ครับ” เป็นบารมีที่เอ่ยขึ้นก่อนจะขยับเข้าใกล้ กำลังจะแทรกตัวผ่านช่องประตูก็นึกขึ้นได้จึงหันมารั้งแขนอีกคนให้เข้าไปพร้อมกัน

ชายชราในชุดกี่เพ้าแขนยาวสีกรมท่าตัดเย็บจากผ้าฝ้ายเนื้อดีปักลายมังกรที่ด้านหน้าพาผู้มาเยือนเดินหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ทั้งตู้เตียง แจกันไม้แกะสลัก ถ้วยชามรามไหที่วาดลายด้วยพู่กันจีนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าหากแต่ถูกวางระเกะระกะอย่างไม่กลัวว่าใครจะเดินชนจนเสียหาย กระทั่งเข้าสู่ห้องที่ใช้สำหรับเก็บรวบรวมภาพเขียนพู่กันจีน เจ้าของบ้านเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งลงที่โต๊ะไม้ฝังมุกตรงกลางห้อง จากนั้นจึงเดินไปดับเทียนที่จุดเอาไว้เมื่อตอนไฟดับแล้วกลับมานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามกับสองหนุ่มพร้อมกับตำราภาษาจีนเล่มหนึ่ง

“พวกลื้ออยากรู้อะไร” ชายชราถามขณะที่มือก็พลิกหน้ากระดาษที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

“ซ...ซิน ซิน ซินแส รู้ได้ยังไงครับว่าพวกผมมา” บารมีแทบอยากตบปากตัวเอง มาติดอ่างอะไรกันตอนนี้

คนถูกถามยกมือขึ้นลูบเครางามดุจเส้นไหมสีเงินก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้ม “รอบ ๆ ตึกแถวนี้น่ะอั๊วะรู้หมดว่าใครทำอะไร”

“ซินแสมีตาทิพย์เหรอครับ”

“อั๊วะมียิ่งกว่าตาทิพย์อีกอาตี๋”

ปราณมองชายชราที่พูดจาเป็นปริศนาก่อนจะกระซิบข้างหูคนที่ยังคงตกตะลึงพรึงเพริดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “หูทิพย์ กายทิพย์ หรือว่าพันทิปวะเฮีย” ซึ่งผลลัพธ์ก็คือสายตาดุ ๆ ที่ส่งกลับมา

“ลื้อจะไปอ่านกระทู้หรือไงอาตี๋” เจ้าของผมสีดอกเลาส่ายหน้า “สงสัยลื้อจะดูหนังจีนมากไป หัดใช้อินเทอร์เน็ตหาความรู้บ้างไม่ใช่เอาไว้เล่นเกมอย่างเดียว ตาทิพย์หูทิพย์อะไรอั๊วะไม่มีหรอก อั๊วะมีแต่กล้องวงจรปิด สมัยนี้ขโมยขโจรมันชุกชุม อาเฮงลูกชายอั๊วะอีเลยจ้างช่างมาติดกล้องน่ะ เมื่อกี้กำลังจะขึ้นนอนเห็นพวกลื้อมายืนด้อม ๆ มอง ๆ ก็คงไม่พ้นจะมาดูดวงแน่”

ฟังแล้วปราณก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ สัญญากับตัวเองว่านับจากนาทีนี้จะนั่งฟังเงียบ ๆ จะได้กลับเสียที

“ว่ายังไง พวกลื้ออยากรู้เรื่องอะไร”

“เอ่อ...” บารมีอ้ำอึ้งหันไปสบตาคนข้าง ๆ ก่อนจะตอบคำถามชายชรา “ผมอยากให้ซินแสช่วยดูให้หน่อยครับว่าชาตินี้ผมจะมีเนื้อคู่กับเขาบ้างไหม”

ผู้อาวุโสพยักหน้าพร้อมกับผายมือออก เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มที่ต้องการรู้อนาคตจึงหงายมือลงบนมือกร้านอย่างรู้งานพลางจ้องหน้าเจ้าของดวงตาพร่าหม่นสลับกับใบหน้าของคนที่มาด้วยกัน ไม่นานสีหน้าเรียบเฉยของซินแสก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ยิ่งหัวคิ้วขยับเข้าใกล้กันก็ยิ่งพาให้คนมองเริ่มใจคอไม่ดี

“ลื้อมันอาภัพ ร่างกายเป็นผู้ชายดูภายนอกเข้มแข็งแต่ข้างในอ่อนแอไม่ต่างกับผู้หญิง คนที่เข้ามาในชีวิตก็มาเพียงเพื่อทดสอบจิตใจของลื้อเท่านั้นแหละอาตี๋ ไม่มีใครคิดจะอยู่กับลื้อจนชั่วชีวิต เหมือนสายลมที่พัดมาแล้วก็พัดผ่านไป แต่ก็ใช่ว่าจะอับโชคเรื่องความรักเสียทีเดียว จากนี้จะมีเรื่องให้ลื้อต้องเลือก” ผู้ทำนายอนาคตกล่าวพลางยกมือข้างที่เหลือขึ้นลูบเครางาม “เลือกระหว่างอดีตที่หวนคืนกับปัจจุบันที่กำลังจะจากไป”

บารมีขมวดคิ้วไม่เข้าใจ อะไรคืออดีตที่หวนคืนกับปัจจุบันที่กำลังจะจากไป ซินแสหมายความว่าอย่างไรกันแน่และมันจะตรงกับที่เขาคิดได้อยู่ในตอนนี้หรือไม่ ด้วยความสงสัยจึงตัดสินใจถาม “ซินแส ม...หมายถึง...คนในอดีตจะกลับมาอย่างนั้นหรือเปล่าครับ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเป็นคำตอบก็ไม่ลืมที่จะถามว่าแล้วอะไรกันคือปัจจุบันที่กำลังจะจากไป

“เมื่อเจอก็จะได้รู้ เมื่อเปิดตาก็จะได้เห็น” ชายชรากล่าวก่อนจะดึงมือกลับ จากนั้นจึงพลิกเปิดตำราภาษาจีนหยิบซองกระดาษสีขาวขึ้นมาวางบนโต๊ะเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าการทำนายทายทักได้สิ้นสุดลงแล้ว 

สองคนที่ยังอยู่ในอาการงุนงงต่างก็มองตากันปริบ ๆ กระทั่งเสียงใครคนหนึ่งวิ่งลงบันไดมา ไม่นานร่างตุ้ยนุ้ยของเด็กชายวัยเก้าขวบก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู

“อากง!!! อากงขนของขึ้นเรือให้อั๊วะหรือยัง”

คำถามเล่นเอาผู้ใหญ่ที่อยู่ในอาการสงบถึงกับสะดุ้งโหยง รีบหยิบสมาร์ทโฟนจอใหญ่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ใช้นิ้วเขี่ย ๆ อยู่ไม่กี่ทีก็ร้องโวยวาย

“ซี้เลี้ยว อั๊วะลืมไปเลยอาตี๋น้อย มัวแต่ดูดวงให้ลูกค้าอยู่”

เมื่อได้ยินดังนั้นหลานชายแก้มยุ้ยก็ทำหน้าหงิกก่อนจะเดินมาเขย่าแขนผู้เป็นปู่ ปากก็เร่งให้รีบขนของขึ้นเรือสักที

‘ไหนบอกให้ใช้อินเทอร์เน็ตหาความรู้ไงวะ’ ปราณนึกในใจพลางสบตาชายชราที่กำลังปั้นหน้าไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะเย้าคนแก่ “เลเวลไหนแล้วครับ” ชายหนุ่มกดยิ้มก่อนจะหันไปสะกิดบารมีที่ยังคงนั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ข้าง ๆ

“รีบใส่ซองแล้วกลับกันเถอะเฮีย ซินแสอีจะได้ขนของขึ้นเรือสำเภาต่อ”

คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ  ก่อนจะควักเงินในกระเป๋าเสื้อใส่ลงในซองแล้วเลื่อนคืนพร้อมกับกล่าวคำอำลาผู้อาวุโส เวลาเดียวกันนั้นเถ้าแก่เฮงโผล่หน้าเข้ามาภายในห้อง ซินแสจึงสั่งให้ลูกชายช่วยส่งแขกให้ แต่ก่อนที่สองหนุ่มแปลกหน้าจะจากไป ชายชราก็เอ่ยขึ้น

“เดี๋ยว...อาตี๋"

คำพูดนั้นสร้างความประหลาดใจให้บารมีไม่น้อย แต่นั่นก็ยังไม่เท่าปลายนิ้วที่ชี้มายังร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกัน ไม่ผิดแน่ ๆ ซินแสกำลังชี้มาที่ปราณ

"การเดินทางจะทำให้ลื้อได้พบกับสิ่งดี ๆ นะ” พูดจบก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ จากนั้นจึงลดมือลงแตะปลายนิ้วบนหน้าจอสัมผัสและเริ่มไถไปมาอย่างเมามัน ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มอันเป็นปริศนานั้นได้สร้างความสงสัยให้เกิดแก่ชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อในโหราศาสตร์เข้าแล้ว


...


“เมื่อเจอก็จะได้รู้ เมื่อเปิดตาก็จะได้เห็น”  ปราณพูดกลั้วหัวเราะเมื่อประตูบานเฟี้ยมร้านขายของเก่าปิดลง

“มีอะไรน่าขำ” บารมีมุ่นคิ้วก่อนจะเดินหนีให้พ้นรัศมีของกล้องวงจรปิด

“ไม่ขำได้ยังไงเฮีย อย่างนี้ไม่ต้องถึงซินแสหรอก ผมก็ดูให้ได้” เจ้าของร่างสูงที่เดินตามมาทันกันยังคงหัวเราะชอบใจ

“ไอ้บ้า ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะโว้ย” บารมีกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังเดินเคียงข้างกัน “ว่าแต่แกเถอะ จะเดินทางไปไหน”

“เปล่านี่ ช่วงนี้ก็ไม่มีแผนจะไปเที่ยวไหนนะ” ปราณกล่าวพร้อมกับนึกถึงคำพูดของหมอดูชรา แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะปล่อยมันผ่านไปไม่เก็บเอามาคิดให้รกสมอง “มาพูดเรื่องเฮียดีกว่า อดีตที่หวนคืน ผมนึกไม่ออกเลยว่าใคร ตั้งแต่รู้จักเฮียมา ยังไม่เห็นเฮียคบใคร หรือว่าแอบไปคบตอนไหนแล้วไม่บอกให้ผมรู้”

“สำคัญมากหรือไง ฉันถึงบอกให้แกรู้น่ะ” คนตัวเล็กหัวเราะขื่น ๆ

“พูดแบบนี้แสดงว่าเรื่องจริง ตกลงไปแอบคบกับใครมา” เจ้าของคำถามกล่าวพร้อมกับเดินมาดักหน้ารอฟังคำตอบ

“ไม่ได้แอบ แต่แกไม่รู้เอง” บารมีกล่าวก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางในขณะที่จอมตื๊อก็ยังไม่ละความพยายามที่จะรู้ให้ได้

“เขาเป็นใคร ผมเคยเจอหรือเปล่า”

“เป็นรุ่นพี่ที่คณะ แกไม่เคยเจอเขาหรอก”

“แล้วคบกันตอนไหน ทำไมผมไม่รู้” ถามไปอย่างนั้นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองก็ไม่ได้สำคัญจนอีกฝ่ายต้องเล่าให้ฟังทุกเรื่อง

“ตอนแกกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เห็นแกเครียดเรื่องป๊าก็เลยไม่ได้เล่าให้ฟัง อีกอย่าง...” คนพูดกดตาลงมองปลายเท้าตัวเองพลางกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ “คบกันได้ไม่นานก็เลิก”

“ทำไมล่ะ”

บารมีถอนใจพรืดไม่คิดว่าจะต้องขุดเรื่องราวที่จบลงไปนานแล้วขึ้นมาพูดซ้ำ แต่ก็ยังคงเลาถึงมันด้วยเสียงและสีหน้าที่เป็นปกติ “เขาบอกว่าอาชีพของเรามันทำให้ต่างคนต่างก็ไม่มีเวลาให้กัน เขาอยากทุ่มเทให้งานโดยไม่ต้องพะวงเรื่องของฉัน”

เหตุผลที่ดูไม่ค่อยจะเป็นเหตุผลนั้นทำเอาคนฟังโคลงหัวไปมา “ตอนนี้ล่ะ เจอกันบ้างหรือเปล่า”

“ไม่” ทันตแพทย์หนุ่มตอบเสียงแผ่ว “เขาไม่มาให้เจอ”

“แสดงว่าอยากเจอ” พูดไปแล้วถึงได้นึกได้ว่าไม่ควรพูด ปราณแทบอยากจะตบปากตัวเองเหมือนกับที่บารมีมักจะสั่งลงโทษเขาบ่อย ๆ ยามเมื่อพูดจาไม่เข้าหู ชายหนุ่มลอบถอนใจก่อนจะตัดสินใจกล่าวขอโทษในที่สุด

“เฮ้ย...ขอโทษทำไม แกไม่ได้ทำอะไรผิด” พูดพลางตบที่ต้นแขนของคนตัวสูงกว่าเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายลดความกังวลลง “เลิกพูดเรื่องนี้แล้วตอบที่ฉันถามดีกว่า เมื่อกี้แกยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลย”

“ถามว่าอะไร เฮียถามผมตอนไหน” ปราณเลิกคิ้วพลางมองใบหน้าต้องแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ปรากฏแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า เห็นรอยยิ้มในแววตาคู่นั้นแล้วก็พอจะคลายใจได้บ้าง โชคดีเหลือเกินที่การถามละลาบละล้วงของเขาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกขุ่นข้องหมองหมาง

“ก็ที่ฉันถามแกว่า แกไม่อยากรู้อนาคตบ้างหรือไง” บารมีทวนคำถาม

“อืม...ก็ไม่นะ”

“สักนิดก็ไม่อยากรู้เลยเหรอ ถามจริง”

ปราณส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะพูดในสิ่งที่เขากำลังคิด “รู้ไปก็เท่านั้น จะรู้ให้มันได้อะไรขึ้นมา มีความสุขกับในแต่ละวันก็พอเพราะที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว” กล่าวจบเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็คลี่ยิ้มอย่างสบายใจ

“แกนี่นะ” คนอายุมากกว่าส่ายหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะเริ่มเดินอีกครั้ง

“ผมพูดจริงนะเฮีย ไม่ได้ตอบเอาโล่” ชายหนุ่มที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาด้านหลังกล่าว

“เออ จริงก็จริง” บารมีพูดตัดรำคาญก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่จะไปไหนต่อ ถ้าแกจะไปดูบอลกับซ้งก็ไปเถอะ ฉันกลับเองได้ บ้านซ้งน่ะ ถ้าเดินไปจากซอยนี้จะใกล้กว่าใช่ไหม”

ปราณพยักหน้าแทนคำตอบ ดังนั้นทั้งคู่จึงแยกกันที่ทางเข้าตรอกซึ่งเชื่อมระหว่างสองซอย บารมีเดินย้อนกลับไปในเส้นทางเดียวกับเมื่อตอนขามา ไม่นานก็เข้าสู่ย่านพักอาศัยซึ่งเป็นตึกแถวที่อายุอานามน่าจะพอ ๆ กับตึกแถวโบราณซอยข้าง ๆ คั่นกลางด้วยถนนซึ่งกว้างพอดีให้รถสวนกันได้ เมื่อเดินมาถึงกลางซอยหูก็ได้ยินทำนองเพลงจีนดังแว่วมาจากเครื่องเล่นซีดีเครื่องเก่าภายในร้านตัดผมบุรุษซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องแถวขนาดหนึ่งคูหาซึ่งกู๋ของเขาซื้อเอาไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน

หญิงวัยกลางคนที่นั่งหลับตาพริ้มอยู่ที่เก้าอี้โยกหน้าร้านเธอคือภรรยาและแม่ผู้แสนจะใจดี ส่วนที่กำลังยืนใช้กรรไกรเล็มปลายผมให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไฮดรอลิกบุนวมสีแดงก็คือสามีของเธอและพ่อของปราณนั่นเอง เวลาเห็นป๊ากับแม่ของปราณทีไรก็ให้อดนึกถึงพ่อกับแม่ของตนเองไม่ได้ ทั้งคู่เป็นทันตแพทย์แต่งงานอยู่กินกันจนกระทั่งเขาเรียนชั้นถมปลายก็ต้องมีอันเลิกรากันด้วยเหตุผลบางประการ แม่พาเขาย้ายออกมาอยู่ที่หอพักบุคลากรของโรงพยาบาล หลังจากนั้นไม่กี่ปีแม่ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ส่วนพ่อก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ อากู๋ซึ่งเป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวทางฝั่งแม่จึงรับเขามาอยู่ด้วยกันและส่งเสียให้เรียนนับตั้งแต่นั้น เพราะเป็นช่วงชีวิตที่ไม่น่าจดจำนักบารมีจึงก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ในซอกลึกที่สุด เพื่อให้กล่องความทรงจำของเขามีพื้นที่เหลือพอสำหรับเรื่องราวดี ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2015 08:36:46 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


ชายหนุ่มอมยิ้มจาง ๆ มองเลยขึ้นไปยังหน้าต่างห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งตรงกันกับห้องนอนของเขา หน้าต่างทั้งสองบานถูกเชื่อมกันไว้เชือกปอเส้นหนา ลมเย็น ๆ พัดมาทำให้โมบายเปลือกหอยที่ผูกติดกับถังพลาสติกซึ่งคล้องอยู่กับเชือกกวัดแกว่งกระทบกันเกิดเป็นเสียงดนตรีที่แม้จะไม่มีคำร้องแต่ก็เป็นท่วงทำนองที่ฟังไม่เบื่อ


“ลี้ไปบางแสนมา ซื้อนี่มาฝากเฮียด้วย”


ยังคงจำรอยยิ้มและคำพูดในวันนั้นของเด็กชายชื่อแปลกที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่กี่วันได้ดี เด็กชายวัยหกขวบเจ้าของพวงแก้มที่มักจะขึ้นสีแดงยามอากาศร้อนจัด เห็นทีไรก็นึกมันเขี้ยวอยากจะบีบเสียให้ช้ำทุกครั้งไป ร่างตุ้ยนุ้ยวิ่งหลุน ๆ ข้ามถนนมาหยุดตรงหน้าพร้อมกับส่งโมบายเปลือกหอยให้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าของไม่มีมูลค่าที่เคยให้กันในวันนั้นจะทำให้เด็กสองคนที่อายุห่างกันถึงหกปีกลายมาเป็นเพื่อนกันในวันนี้

“เฮียอยู่ไหน” เสียงเครือดังแว่วมาในขณะที่กำลังควานหาเทียนไขที่เจ้าของบ้านบอกว่าแม่ของเขาน่าจะเก็บไว้ในลิ้นชัก บารมีในวัยสิบหกปียิ้มกับตัวเองเมื่อพบสิ่งที่ต้องการ ไม่นานไฟก็ถูกจุดติดขึ้นที่ปลายไส้เทียนไข จัดการหยดน้ำตาเทียนลงบนฝากระป๋องนมข้นแล้วรีบกดปลายอีกด้านลงไปขณะน้ำตาเทียนยังร้อนพยายามทำให้ลำเทียนตั้งตรง เมื่อเห็นว่าเทียนไม่ล้มจึงคลายมือออกแล้วยกกระป๋องนมขึ้น ใช้มือที่เหลือป้องเปลวไฟค่อย ๆ หันไปหาน้องชายที่ยึดเอาบันไดเป็นที่พึ่ง สองแขนเล็กกอดรัดลูกกรงไม้กลึงเอาไว้แน่นในขณะที่แววตาแสดงออกว่ากำลังมีความกลัวเกิดขึ้นภายในใจ

“เฮียอยู่นี่ ลี้น้อยไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเฮียจะตั้งเทียนเอาไว้ตรงนี้ บ้านจะได้สว่าง ๆ อีกไม่นานไฟก็มาแล้ว” คนพี่กล่าวพลางวางกระป๋องนมลงที่หน้าจกบานใหญ่

“เฮียอย่าเพิ่งกลับนะ อยู่เป็นเพื่อนลี้ก่อน” หนุ่มน้อยละล่ำละลักพร้อมกับค่อย ๆ ก้าวลงมาหย่อนตัวลงนั่งที่ปลายบันได

“ได้สิ เฮียจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าอาป๊ากับแม่ของลี้น้อยจะกลับมาดีไหม” พูดจบเด็กหนุ่มก็เดินมานั่งลงข้างกันคิดแต่เพียงว่าเมื่อสัญญาแล้วก็ต้องรักษาสัญญา


บางครั้งบารมีนึกอยากให้เด็กชายลี้น้อยเป็นน้องชายตัวเล็ก ๆ อยากจะหยุดเวลาไว้ให้เขาเป็นเพียงเด็กชายจ้ำม่ำน่ารักน่าหยิก ไม่อยากให้โตเลย...

“เฮีย! แวะมาเอาหนังสือหน่อยนะ” เสียงตะโกนที่ดังจากหน้าต่างห้องนอนซึ่งอยู่บนชั้นสองของตึกแถวฝั่งตรงข้ามทำเอาหัวคิ้วของคนที่กำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือเคลื่อนเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

“เฮีย! ได้ยินไหมเนี่ย”

นักศึกษาทันตแพทย์วางปากกาลงก่อนจะผุดลุกขึ้นเปิดประตูออกจากห้องอย่างหงุดหงิด หูได้ยินเสียงช่างตัดผมตะโกนบ่นลูกชายดังเป็นระยะ แต่ก็คงไม่ระคายผิวหนังของไอ้เด็กมัธยมปลายคิ้วหนานั่นอยู่แล้ว

“อาลี้น้อย ทำไมลื้อไม่เดินเอาไปให้อาบะหมี่อีเอง ลื้อเป็นคนยืมมายังต้องให้อีลำบากเดินมาเอาอีก”

“โหป๊า เดินมาแค่นี้ไม่ลำบากหรอก ดูเฮียหมี่สิไม่เห็นบ่นสักคำ” เด็กหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นร้องบอกผู้เป็นพ่อก่อนจะหันกลับมายักคิ้วให้คนหน้านิ่วที่เดินข้ามฝั่งมาหยุดต่อหน้า

“จริงไหม” พูดจบปราณก็ยื่นหนังสือตะลุยโจทย์คณิตศาสตร์ที่อีกฝ่ายให้ยืมมาอ่านตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนคืนให้

“ยิ่งโตยิ่งน่าเตะ” บารมีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับรั้งตำราเล่มหนามากอดไว้ จ้องหน้าน้องชายจอมกวนตาเขม็ง เพิ่งสังเกตว่าเด็กชายตัวน้อยที่ความสูงแค่ระดับอกของเขาบัดนี้เติบโตขึ้นเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ อีกไม่นานก็คงจะสูงกว่าเขาแล้ว แม้หน้าตาจะดูจืดชืดตามลักษณะคนไทยเชื้อสายจีน หากแต่โดยรวมก็ถือว่าดูดีใช่ย่อย 

“อ่ะนี่ แม่บอกว่าช่วงนี้เฮียอ่านหนังสือดึก ๆ ดื่น ๆ ทุกคืน เมื่อเช้าแม่ไปตลอดก็เลยซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาฝาก”

“แล้วนี่แม่อยู่ไหม” พูดพลางรับถุงพลาสติกใสใส่ของโปรดจากมือเด็กจอมกวน

“ไม่อยู่ เห็นว่าจะไปซื้อผ้าที่พาหุรัด”

“ถ้าอย่างนั้นฝากขอบคุณแม่ด้วยนะ”

“อือ เดี๋ยวบอกให้”

บารมีพยักหน้า กำลังจะหันหลังกลับก็ต้องชะงัก

“ส่วนอันนี้ของผม”

คำว่า ‘ของผม’ ในความรู้สึกของคนฟังนั้นมันช่างห่างเหินและไม่น่ารักเอาเสียเลย ใช่สิ! โตเป็นหนุ่มแล้ว คำพูดคำจาก็ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลาไม่ใช่เรื่องแปลก

“เอามาทำไม” คนอายุมากกว่ามุ่นหัวคิ้วจ้องมองสิ่งของที่อยู่ในมือหนา มันคือถังพลาสติกกับเชือกปอขดใหญ่ เดาไม่ถูกเลยว่าอีกฝ่ายเอามันมาทำอะไรกันแน่

ปราณตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกวน ๆ ก่อนจะถือวิสาสะบุกขึ้นไปถึงห้องนอนของบารมี วิ่งไปวิ่งมาอยู่ระหว่างสองฟากของห้องแถวจนเหงื่อชุ่มเสื้อ พอป๊าถามว่าจะทำอะไรก็ไม่ยอมบอก  บอกแต่เพียงให้รอดูผลงานชิ้นเอก

“ผูกเชือกเชื่อมหน้าต่างแล้วก็เอาถังคล้องไว้แบบนี้เฮียก็ไม่ต้องเดินไปเอาของที่บ้าน จะได้ไม่เสียเวลาอ่านหนังสือ” คนอายุอ่อนกว่ากล่าวในขณะที่มือก็ทำอย่างที่ปากอธิบาย

“เรื่องขี้เกียจละยกให้เลย หัวใสจริง ๆ” ว่าที่หมอฟันที่ยืนกอดอกสังเกตการณ์อยู่นานเอ่ยขึ้น

“ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ” เจ้าของความคิดบ่นก่อนจะลุกขึ้นยืนมองซ้ายมองขวา ในที่สุดก็รั้งโมบายเปลือกหอยที่แขวนอยู่ลงมา

“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ รั้งลงมาทำไม”

“เอาโมบายนี่ผูกไว้กับถังนี่ เวลาจะส่งของกันอีกฝั่งจะได้ได้ยินเสียงไง”

“ไม่ขี้เกียจจริงคิดไม่ได้ว่ะ” บารมีถอนใจเฮือกเมื่อจนต่อเหตุผล ยอมยืนนิ่ง ๆ มองดูคนเจ้าความคิดจัดการกับสิ่งประดิษฐ์ของเขาต่อไป

“เสร็จเรียบร้อย” ร่างสูงยืดตัวขึ้น ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก มองผลงานของตนเองพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับมันคือสิ่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษยชาติ

“ช่างประดิษฐ์แบบนี้เรียนวิศวะดีไหม”

คนฟังทำหน้าเบ้รีบยกมือห้าม “อย่าไปพูดให้ป๊าได้ยินนะเฮีย ป๊ายิ่งอยากให้เรียนอยู่”

“แล้วตัวเราเองอยากเรียนอะไรคิดไว้หรือยัง”

“อยากเข้ามัณฑนศิลป์"

"ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ ฝึกฝนเยอะ ๆ ดูเหมือนนานแต่จริง ๆ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ"

"ก็อยากจะทำหรอกเฮีย" คนพูดผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย "แต่ป๊าไม่ชอบพวกวาดรูป”

“ให้ช่วยพูดไหม”

ปราณถึงกับตาโตเมื่อได้ฟัง เต็มใจเหลือเกินที่จะยอมรับข้อเสนอนั้น ก็เฮียเป็นคนโปรดของป๊านี่ ถ้าเฮียช่วยพูดให้ป๊าต้องฟังแน่ ๆ

“จริงนะเฮีย”

“อือ ไม่รับรองผลนะ แต่สัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด” และผลของคำสัญญาในวันนั้นก็ทำให้โลกกำลังจะมีว่าที่มัณฑนากรที่กวนประสาทที่สุด



นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ทีไรก็เผลอยิ้มออกมาทุกที...

บารมีเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ชายหนุ่มเอื้อมหยิบหนังยางที่วางอยู่หัวเตียง จัดการรวบเก็บผมยาวละต้นคอเอาไว้ลวก ๆ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเอาผ้าขนหนูและชุดนอนออกมา มองตามเชือกเส้นโตที่โยงไปยังหน้าต่างของตึกแถวฝั่งตรงข้ามเห็นว่ายังปิดไฟมืด ป่านนี้เจ้าของห้องคงจะไปนั่งลุ้นผลบอลอยู่กับบรรดาเพื่อน ๆ สมัยมัธยมที่บ้านหลังใหญ่ท้ายซอยแน่ ๆ คิดได้ดังนั้นจึงเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ พักใหญ่ ๆ ก็เดินกลับออกมาในชุดพร้อมจะนอน

ทันตแพทย์หนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะกางหนังสือที่คว้าติดมือมาจากชั้นวางออกอ่าน ค่อย ๆ พลิกหน้ากระดาษอย่างทะนุถนอมตามประสาคนรักหนังสือ ผ่านไปหน้าแล้วหน้าเล่ากระทั่งเกือบครึ่งเล่มก็ต้องละสายตาเมื่อได้ยินเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าในโทรศัพท์มือถือ ชายหนุ่มจึงยันร่างลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ห่างตัวขึ้นมาเปิดอ่าน

“ซื้อน้ำเต้าหู้มาฝาก”

บารมีชะเง้อมองผ่านช่องหน้าต่างเห็นว่าไฟห้องนอนฝั่งตรงข้ามสว่างอยู่ และเมื่อเดินไปที่ริมหน้าต่างก็พบว่าชายหนุ่มบ้านตรงข้ามกำลังส่งยิ้มมาให้ มือใหญ่ชูถุงใส่น้ำนมถั่วเหลืองขึ้นจากนั้นจึงหย่อนมันลงในถังพลาสติกก่อนจะสาวเชือกให้ถังเคลื่อนข้ามมายังฝั่งที่เขายืนอยู่

“นี่แกจะขุนให้ฉันอ้วนเลยใช่ไหม” เป็นข้อความที่บารมีส่งกลับไปก่อนจะหยิบถุงน้ำเต้าหู้อุ่น ๆ ขึ้นมาจากสิ่งประดิษฐ์ที่เขามักจะพูดกับเจ้าของผลงานเสมอว่ามันคือสิ่งอำนวยความสะดวกของคนขี้เกียจ 

“แล้วกินไหม”

“กิน” บารมีร้องบอกแทนที่จะเสียเวลาพิมพ์

“ก็แค่นั้นแหละ” ปราณส่ายหน้ายิ้ม ๆ มองคนบ้านตรงข้ามที่เปิดประตูเดินออกไปจากห้อง จากนั้นตัวเขาเองก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินหายไปในห้องน้ำ เมื่อกลับออกมาก็พบว่าไฟในห้องนอนอีกฝั่งมืดลงแล้ว ชายหนุ่มเดินมานั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง เปิดโน้ตบุ๊กพี่ป๊าและแม่ซื้อเป็นของขวัญที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ขึ้น ขณะรอเครื่องทำงานอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นว่าถังพลาสติกใบนั้นถูกสาวกลับมาห้อยต่องแต่งอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องของตน ซึ่งข้างในมีกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ติดมาด้วย


“ขอบใจนะแก”


เป็นข้อความสั้น ๆ ถ้าคนรับไม่ง่วงเสียก่อนก็คงจะนั่งยิ้มยาวไปถึงเช้าแน่


....


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2015 08:37:57 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
อ้างถึง
"การเดินทางจะทำให้ลื้อได้พบกับสิ่งดี ๆ นะ"

เหมือนกับเป็นประโยคที่ซินแสต้องการสื่อเป็นนัยๆ เลยนะคะว่า ให้ลี้น้อยกับเฮียหมี่ลองห่างออกจากกันดูบ้าง ทั้งสองคนจะได้มองเห็น 'หัวใจของตัวเอง' ได้ชัดเจนมากขึ้น พร้อมกับคำตอบของคำถามที่ว่า แท้ที่จริงแล้ว 'เฮียหมี่กับลี้น้อย' ต้องการกันและกันในรูปแบบไหนกันแน่? เพราะบางครั้งความใกล้ชิดที่มากจนเกินไป ก็มักทำให้เราหลงลืมไปว่า คนสำคัญของใจที่เราเที่ยวคอยมองหาจากที่ไกลๆ นั่นน่ะ เทียบไม่ได้เลยกับคนที่อยู่ใกล้ๆ ตัว..

ส่วนสำหรับสองทางเลือกที่ว่านั่น ก็คงต้องแล้วแต่ใจเฮียหมี่อีกนั่นล่ะค่ะว่าจะเลือกทางไหน? แต่ถ้าถามเราเราอยากให้เฮียหมี่มองแค่เพียง 'ปัจจุบัน' มากกว่า 'อดีต' ที่ผ่านเลยไปแล้วนะคะ.. ^^

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คนปัจจุบันของเฮียหมี่เป็นใครกันนะ

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
รอตอนใหม่ค่ะ.......อิอิ

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
อดีตหรือปัจจุบันเฮียหมี่จะเลือกทางไหนกันนะ

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อดีตของเฮียน่าจะเศร้าน่าดู

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
เริ่มมาเราหลอนเลย นึกว่าเรื่องนี้เป็นแนวผีแล้ว ที่แท้เป็นการหยอกเล่นน่ารักๆของเฮียหมี่เองเนอะลี้น้อย555

รู้คำทำนาย ความเผือกเราก็เกิด อยากจะมุดหัวเข้าไปในนิยายถามซินแสว่าปัจจุบันนี่หมายถึงคนที่นั่งอยู่ข้างเฮียหมี่ใช่ไหมค่ะ
ถ้าใช่ เราจะได้เชียร์ลี้น้อย อยู่ทีมปัจจุบันค่ะ555

พอรู้อดีตในวัยเด็ก อ่านแล้วนำ้ตาไหลจริงๆทั้งเศร้ากับชีวิตครอบครัวของเฮียหมี่
และซึ้งใจกับลี้น้อยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นกับเฮียหมี่ที่เป็นเพื่อนบ้านคนใหม่ซึ่งชีวิตในวัยเด็กก็มีเรื่องให้จิตใจอ่อนแอแล้ว
แต่เฮียหมี่ก็ต้องเข้มแข็งเพื่อปกป้องใครสักคนที่กลัวผีเนอะ555

มีความรู้สึกว่าทั้งเฮียหมี่และลี้น้อยบอกทุกสิ่งและรู้ทุกอย่างของกันและกัน ทั้งยังยอมเปิดเผยตัวตนอย่างไม่อายกันเลย
ก็คงเป็นเพราะดูแลและห่วงใยกันและกันมาตั้งแต่เด็กๆเนอะ  อ๊ายย เขินแทน 

อืม ทั้งสองคนไม่เขินกันบ้างหรือ หรือว่าทั้งสองคนยังไม่รู้ใจตัวเอง ถ้าไม่รู้ใจตัวเองแล้วลี้น้อยคิดจะยิ้มไปถึงเช้าทำไมเนอะ
เราสงสัยลี้น้อย  เราว่าสิ่งประดิษฐ์ของลี้น้อยไม่ใช่มาจากความขี้เกียจแต่มาจากความรักใช่ไหมลี้น้อย
ลี้น้อยมีความสุขกับปัจจุบันมากๆ เพียงแค่ได้พบเจอพูดคุยกับเฮียหมี่ในแต่ละวันใช่ไหม  สงสัยต่อไป555

รอลุ้นมากๆกับการเลือกของเฮียหมี่และลี้น้อย ไม่ทันไรเราก็หลงรักทั้งสองคนแล้วค่ะ
ขอบคุณมากๆนะคะคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า  สนุกและน่าติดตามมากๆเลยค่ะ :L2:










ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
ไอ้ย๊ะ! นี่มันนิยายแนวโชตะ สินะ สินะ
เหมือนปราณจะรู้ตัวมั้ยอ่ะ ไม่งั้นคงไม่ยิ้มไปทั้งคืนกับแค่คำขอบคุณสั้นๆหรอก
พี่บะหมี่นี่สิ เสียเวลาไปดูหมอซะเปล่า ไม่ดูคนข้างตัวซะเลย
นี่ป๊าจะได้คนโปรดมาเป็นลูกสะใภ้แล้วนะ
แต่....เจ้เลยเหรอ?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
อ่านบนรถเมล์ อุ้ย! เจอมุกของลี้น้อยกับซินแสไป หลุดขำจนคนข้างๆหันมามอง 555 หูทิพย์ ตาทิพย์ พันทิป ไปตั้งกระทู้ตามหารักแท้ให้เฮียหมี่หรือเปล่าลี้น้อย ชอบซินแสจัง ตลกดี

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ลี้น้อยกับเฮียบะหมี่ รอลุ้นเลยค่ะ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 2 อดีตที่หวนคืน



หลังนาฬิกาติดฝาผนังส่งสัญญาณเตือนว่าขณะนี้เป็นเวลาหกนาฬิกาสามสิบนาทีเสียงเพลงก็ดังขึ้นหลังประตูเหล็กทึบฝั่งร้านตัดผมบุรุษ แต่แทนที่จะเป็นเพลงจีนอมตะที่ติดหูคนไทยเหมือนเคยกลับเป็นเพลงไทยสากลที่มักได้ยินทั่วไปในคลื่นวิทยุ ประตูเหล็กถูกเลื่อนเปิดอย่างรวดเร็วพลันเสียงลมหวิวผ่านปากก็ดังคลอไปกับบทเพลงที่เปิดโดยนักจัดรายการวิทยุ ชายหนุ่มร่างสูงลูกชายช่างตัดผมแทรกตัวออกจากช่องประตูจัดการดันเหล็กหนัก ๆ พับเก็บเข้าด้านข้างทั้งสองด้านให้เห็นป้ายหน้าร้าน 'ปริญญาบาร์เบอร์' จากนั้นก็เดินไปหมุนก๊อกน้ำคว้าสายยางรดน้ำต้นไม้ในกระถางที่วางเรียงรายอยู่หน้าบ้าน


“วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอเฮีย” ปราณเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือบเห็นทันตแพทย์ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมกางเกงผ้าสีน้ำตาลอ่อนเปิดประตูบานเฟี้ยมออกมา เขาวางตะกร้าใส่ข้าวของสำหรับใส่บาตรลงที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านก่อนจะหันมากล่าวกับน้องชายบ้านใกล้กัน


“ลาพักร้อนน่ะ วันนี้ครบรอบวันตายของแม่ใส่บาตรแล้วก็ว่าจะไปทำธุระต่อ ว่าแต่แกเถอะไม่กลับไปเรียนเหรอวันนี้”


“ไม่มีเรียนน่ะเฮีย ก็เลยว่าจะกลับบ่าย ๆ”


“อืม...รีบหรือเปล่า ถ้าไม่รีบก็รอก่อนสิเดี๋ยวฉันขับรถไปส่ง”


“โอ้โหเฮีย ใจดีเกินไปหรือเปล่า”


“ทำไมล่ะ นครปฐมก็แค่นี้เอง”


“พูดยังกับไปปากซอย” เจ้าของร่างสูงทำหน้ายู่


“นี่ฉันพูดจริง ๆ นะ อยากไปไหว้พระปฐมเจดีย์ด้วย แต่ถ้าแกอยากไปนั่งเบียดกับคนอื่นในรถตู้ก็ตามใจแก” บารมีทำแบะไหล่ไม่ใส่ใจก่อนจะชะเง้อคอมองหาพระภิกษุที่มักจะเดินบิณฑบาตในเวลานี้


“อะไรวะ แค่ทำเล่นตัวหน่อยไม่มีจะตื๊อเลย”


คำตัดพ้อลอย ๆ ทำเอาคนอายุมากกว่ากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ในที่สุดใบหน้าเคร่งขรึมก็ถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย


“ไม่ไปก็อย่าไป ขี้เกียจจะตื๊อ พูดครั้งเดียวพอ” 


“เออ! จำไว้! คราวหลังชวนไปเป็นเพื่อนดูดวงจะไม่ไปด้วยแล้ว” พูดจบปราณก็หันกลับไปรดน้ำต้นไม้ต่อเงียบ ๆ กระทั่งครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงพระให้พรจึงรู้ได้ว่าพี่ชายบ้านใกล้คงทำภารกิจในฐานะลูกของเขาเสร็จเรียบร้อย นับนิ้วจึงได้รู้ว่าแม่ของบารมีจากไปสิบปีแล้วและนั่นก็คือระยะเวลาที่เขาทั้งสองรู้จักกัน คนใจลอยยกมุมปากขึ้นเมื่อนึกถึงวันแรกที่ได้พบกับหนุ่มน้อยในชุดนักเรียนมัธยมปลายซึ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านฝั่งตรงข้าม การจมอยู่ในกองทุกข์ทำให้เขาดูเป็นพี่ชายที่เงียบขรึมแต่แท้แล้วแสนจะใจดีกับน้องคนนี้เหลือเกิน


เสียงกระทบกันของเปลือกหอยดึงให้เจ้าของร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองถังพลาสติกร้อยติดด้วยโมบายที่กำลังห้อยต่องแต่งอยู่ใต้กรอบหน้าต่าง มันคือของชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่ซื้อเป็นของฝากเพื่อต้อนรับเพื่อนบ้านคนใหม่เมื่อครั้งที่ป๊ากับแม่พาไปเที่ยวทะเล เชือกเส้นเล็ก ๆ ที่ร้อยกับเปลือกหอยไม่ได้คงทนถาวรเหมือนมิตรภาพที่มีให้กัน แต่ที่มันอยู่ได้มาถึงสิบปีก็เพราะคนรับเฝ้าซ่อมแล้วซ่อมอีกยามที่ดินฟ้าอากาศทำให้เชือกเปื่อย ๆ ขาดออกจากกัน


“นี่”


เสียงนั้นดังขึ้นไม่ห่างหูพร้อมกับปลายนิ้วที่จิ้มลงมากลางแผ่นหลัง ทำเอาปราณที่กำลังคิดอะไรเพลินสะดุ้งโหยงรีบหันขวับ มือหนาสะบัดสายยางจนเกือบจะทำให้อีกคนต้องเปียกปอน


“เฮ้ย! ระวังหน่อยสินี่ชุดใหม่เลยนะ” บารมีกล่าวพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบปัดละอองน้ำที่กระเซ็นเปียกแขนเสื้อ


“ขอโทษ ๆ ก็เล่นมาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมด” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะจ่อสายยางที่โคนต้นโมกความสูงระดับอกที่กำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ “นี่แต่งตัวเสียหล่อจะไปไหนน่ะ”


“สมัครงาน” บารมีตอบเสียงเรียบ


“สมัครงาน? ที่ไหนเฮีย”


“โรงพยาบาลนรินทร”


“โห! โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังเลยนะเนี่ย” พูดพร้อมกับยกมือขึ้นถูปลายคางตัวเอง รู้สึกคุ้น ๆ กับชื่อโรงพยาบาลคล้ายมีอะไรมากกว่าการเป็นโรงพยาบาลชื่อดังแต่ก็คิดไม่ออก


“ไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวกลับมาจะขับรถไปส่ง”


“เดี๋ยวเฮีย” ปราณเอ่ยขึ้นพร้อมกับรั้งแขนเล็กเอาไว้ “ไม่โกนหนวดหน่อยเหรอ ผมโกนให้ก็ได้นะ”


“ไม่เป็นไร” บารมียิ้มให้พร้อมกับขยับให้หลุดจากมือหนาก่อนจะข้ามฝั่งคว้าตะกร้าที่วางอยู่บนโต๊ะหินเดินหายเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ปราณยังคงครุ่นคิดถึงชื่อโรงพยาบาลที่ได้ฟังจนในที่สุดก็นึกออก



‘โรงพยาบาลนรินทร’
เป็นโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังก่อตั้งขึ้นโดยนายแพทย์สามท่านซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน แต่ละท่านล้วนเป็นเชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีชื่อเสียงในวงวิชาการอย่างกว้างขวาง หนึ่งในนั้นก็คือทันตแพทย์บวร บวรกิจจา คุณหมอหนุ่มใหญ่ที่เลิกรากับทันตแพทย์หญิงรัศมีมาแต่งงานและจดทะเบียนอย่างถูกต้องกับลูกสาวนักธุรกิจ มือใหญ่คว้าแว่นสายตาขึ้นสวมขณะเปิดแฟ้มประวัติของผู้ที่สนใจร่วมทำงานกับโรงพยายาบาลออกอ่าน พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับภาพของชายหนุ่มที่ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับภรรยาคนแรกปรากฏขึ้นในความคิด


“บารมี” ชื่อนั้นปลิวหลุดจากริมฝีปากหนาอย่างแผ่วเบา เพียงเห็นก็จำได้ ทั้งรูปหน้า ปาก จมูก คิ้วคาง ช่างเหมือนแม่ไม่มีผิด คุณหมอบวรถอนใจพลางกำหมัดแน่น ในที่สุดก็ตัดสินใจผุดลุกขึ้นเปิดประตูเดินอาด ๆ ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ร่างสูงตรงไปยังห้องประชุมย่อยซึ่งใช้เป็นสถานที่ในการสัมภาษณ์ มันทีที่ไปถึงก็ไม่พบใครแล้ว เมื่อถามเอาจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลก็ได้รับแจ้งว่าการสัมภาษณ์สิ้นสุดลงไปตั้งแต่ประมาณสิบนาทีก่อน เนื่องจากตัวเขาติดเคสสำคัญที่ต้องทำงานร่วมกับศัลยแพทย์ กรรมการสัมภาษณ์ท่านอื่น ๆ จึงลงความเห็นว่าจะดำเนินการกันเองโดยไม่รอ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้นายทันตแพทย์ใหญ่นึกฉุนเฉียวเท่ากับการได้รู้ว่าหนึ่งในจำนวนผู้ที่มาเข้ารับการสัมภาษณ์คือลูกชายที่ถือกำเนิดกับภรรยาเก่าผู้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ


บวรก้าวฉับ ๆ ลงบันไดลงมายังชั้นล่างของโรงพยาบาล กวาดตามองไปท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่ ในที่สุดร่างผอมบางของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน แต่ที่ดูจะไม่คุ้นตาผู้เป็นพ่อสักเท่าไรก็คือผมเผ้าที่ถูกปล่อยยาวลงมาเคลียต้นคอและหนวดเคราที่ขึ้นครึ้ม  ดูผิดจากเมื่อหลายปีก่อนที่บังเอิญเจอกันในห้องเรียนเมื่อครั้งที่บวรถูกเชิญไปบรรยายความรู้เกี่ยวกับจรรยาบรรณาวิชาชีพให้แก่นักศึกษาทันตแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งไปยังคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา แม้ร่างกายจะดูบอบบาง เอวคอดและตัวเล็กกว่าคนหนุ่มในวัยเดียวกัน หากแต่วันนี้คราบความอ่อนแอปวกเปียกราวกับเด็กผู้หญิงกลับไม่เหลือให้เห็น


บารมียกมือไหว้ผู้อาวุโสอย่างนอบน้อมเหมือนเคยแม้อีกฝ่ายจะปฏิบัติต่อตนเองต่างจากพ่อลูกทั่วไปก็ตาม “สวัสดีครับอาจารย์หมอ” และนั่นก็คือคำที่ทันตแพทย์บวรให้เขาเรียกยามเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น


“ไปคุยกันข้างนอก” พูดจบเจ้าของโรงพยาบาลก็เดินผ่านประตูอัตโนมัติตรงไปยังร้านกาแฟที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึก
บวรนั่งลงที่โต๊ะหลังฉากกระจกขุ่น หันไปสั่งกาแฟร้อนแก้วหนึ่ง รอกระทั่งคนเดินตามนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามจึงเอ่ยขึ้น 


“ฉันเห็นใบสมัครของแก นี่แกตั้งใจจะมาทำให้ฉันขายหน้าหรือไง”


ผู้เป็นลูกยังคงยิ้มรับ “ผมไม่ได้คิดจะทำให้อาจารย์หมอขายหน้า แต่ที่ผมมาสมัครงานที่นี่ก็แค่อยากลองดูน่ะครับ ใคร ๆ ก็ใฝ่ฝันอยากจะทำงานที่โรงพยาบาลของอาจารย์หมอกันทั้งนั้น ทั้งมีชื่อเสียงหรูหราใหญ่โตแถมสวัสดิการดีเลิศ”


“ไม่ต้องมาประชด” อาจารย์หมอบวรเปล่งเสียงลอดไรฟันที่ขบกันแน่น ใบหน้าเรียบเฉยของชายหนุ่มตรงหน้ายิ่งทำให้อารมณ์พลุ่งพล่าน เส้นเลือดปูดโปนที่ขมับบ่งบอกว่ากำลังโกรธจัด “แกก็รู้ว่าฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่มีสิทธิ์ตัดสินว่าจะรับหรือไม่รับแก แล้วถ้าฉันรับแก คนอื่นเขาจะไม่ครหารึ”


“เรื่องนั้นผมทราบดีครับ แต่ผมยังไม่เห็นความจำเป็นที่อาจารย์หมอต้องเก็บเรื่องนี้มาคิด เพราะผมไม่เคยบอกใครว่าผมกับอาจารย์มีความสัมพันธ์กันยังไง อาจารย์คงโมโหมากจนลืมดูรายละเอียด” พูดจดก็ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาก่อนจะหยิบบางสิ่งวางบนโต๊ะ “ผมใช้นามสกุลของแม่ตามที่อาจารย์ต้องการ แล้วการสมัครงานในครั้งนี้ผมก็ทำตามกฎกติกาเหมือนคนอื่น ๆ”


บวรกดตาลงต่ำจ้องมองบัตรประชาชนตรงหน้า ‘บารมี นราธิป’ พลันหัวคิ้วก็ขมวดมุ่นจนเห็นรอยย่นบนหน้าผาก นึกถึงคำพูดของตนเองที่พูดไว้กับอดีตภรรยาในวันที่ต้องแยกทางกัน


‘ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ลูกเปลี่ยนไปใช้นามสกุลเดียวกับคุณ อีกหน่อยพอบะหมี่โต ผมไม่อยากถูกตราหน้าว่ามีลูกชาย...เหมือนไม่มี’


ในที่สุดเขาก็เลือกจะมองไปทางอื่นไม่อาจสู้สายตาแข็งแกร่งของเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองได้อีกต่อไป รอกระทั่งพนักงานที่ยกกาแฟมาเสิร์ฟเดินคล้อยหลังจึงพูดขึ้น “แม่แกคงสอนให้แกเกลียดฉันสินะ”


คนฟังส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะอธิบายเนิบ ๆ “ตรงกันข้ามครับ แม่บอกให้ผมรักอาจารย์ให้มาก ๆ เพราะถ้าไม่มีอาจารย์ ผมกับแม่คงไม่มีโอกาสได้พบกัน” พูดพลางเก็บหลักฐานยืนยันตัวตนลงในกระเป๋าราวกับเรื่องที่กำลังสนทนาเป็นเรื่องลมฟ้าอากาศทั่วไป “แต่ผมโกรธมากกว่า ยิ่งตอนที่รู้ว่าคุณน้าคนนั้นกับอาจารย์มีลูกที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม มันทำให้รู้ว่าอาจารย์นอกใจแม่มาเกือบสิบปี ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อที่เคยจูงมือผม ไปส่งผมที่โรงเรียนทุกวันจะทำแบบนั้น ผมเคยถามแม่ว่าทำไมไม่ทำอะไรสักอย่างให้ได้พ่อกลับคืนมา แต่แม่กลับบอกให้ผมมองมันเป็นเรื่องธรรมดา แม่บอกว่าเมื่อหมดรักกันแล้วยื้อไว้ก็มีแต่จะทุกข์กันทั้งสองฝ่าย ผมอาจจะมีความสุขที่เห็นพ่อนั่งร่วมโต๊ะอาหาร ได้พบหน้าพ่อทุกเย็นที่ผมกลับจากโรงเรียน แต่พ่อคงไม่มีความสุขที่ต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักแล้ว”


เมื่อได้ฟังความจากปากลูกชายทันตแพทย์บวรก็ชาไปทั้งตัว คุณหมอวัยห้าสิบสองดึงถ้วยแกแฟมาใกล้ ๆ ใช้ช้อนคนน้ำสีดำเพื่อให้มือไม้สั่นเทาได้มีที่วาง


“ถ้าจะโทษก็โทษแม่แกเถอะ ผ...ผู้หญิงแบบนั้นน่ะ นอกจากคนไข้แล้วเคยสนใจความรู้สึกของคนในครอบครัวด้วยเหรอ หายใจเข้าออกมีแต่งาน”


บารมีหัวเราะหึ “ต้องโทษความจนของแม่มากกว่า” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตา รู้ว่าอย่างไรเสียการมาของตนเองในวันนี้ก็สร้างความไม่พอใจให้แก่คนตรงหน้าอยู่ดี ไหน ๆ ก็ไหนแล้วจึงตัดสินใจเปิดกระเป๋าสะพายหยิบซองกระดาษออกมาวางบนโต๊ะก่อนจะเลื่อนให้ “ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงคิดอย่างนั้น แต่ถ้าพ่อเห็นมันพ่ออาจจะเข้าใจอะไรดีขึ้น”


ทันตแพทย์บวรสบตาผู้เป็นลูกชาย ไม่ลังเลที่จะเปิดซองนั้นออกดู และเมื่อรั้งเอาบางสิ่งออกมาเขาก็พบว่ามันคือสมุดบัญชีธนาคาร ชื่อเจ้าของบัญชีคือชื่อของตัวเขาเอง บัญชีนั้นถูกเปิดขึ้นและเริ่มฝากลงวันที่ในปีก่อนที่เขาจะเริ่มใช้ชีวิตแต่งงานเสียอีกส่วนยอดเงินจนปัจจุบันนั้นก็มากมายเอาการ


“ผมพบสมุดบัญชีนี่หลังจากที่แม่เสียชีวิต คิดว่าแม่คงตั้งใจจะเอาให้พ่อดูในวันที่จำนวนเงินมันเยอะพอที่จะซื้อห้องแถวเพื่อเปิดคลินิกเล็ก ๆ อย่างที่พ่อมักจะพูดอยู่บ่อย ๆ ได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแม่ต้องทำงานหนัก แม่ไม่ได้ทุ่มเทชีวิตให้งานแต่แม่ทุ้มเททั้งชีวิตให้พ่อ น่าเสียดายตรงที่ว่ากว่าจะเก็บได้ขนาดนี้มันก็สายไปแล้ว” บารมีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก สัญญากับตัวเองว่าอย่างไรก็จะไม่ร้องไห้ไม่แสดงท่าทีอ่อนแอให้พ่อเห็น เพราะเขาไม่ต้องการการเห็นใจใด ๆ จากคนที่ไม่เหลือเยื่อใยต่อกัน “ทั้งที่มีเงินเยอะพอจะเข้ารักษาในโรงพยาบาลดี ๆ แต่แม่กลับรักษาตัวในแบบที่แม่เลือก”


คนฟังสบตานิ่ง ท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้าดูเข้มแข็งอย่างน่าประหลาด ไม่เหลือภาพของเด็กชายอ่อนแอที่วิ่งตามรถร้องหาไห้หาผู้เป็นพ่อเหมือนอย่างในวันนั้น 


“ผมเอามาให้พ่อ เผื่อว่าเราอาจจะไม่ได้พบกันอีก”


“แกจะไปไหน”


บารมีโคลงศีรษะในขณะที่รอยยิ้มยังไม่เหือดหายไปจากแววตา “ผมไม่ได้ไปไหน ผมยังอยู่ที่เดิมเหมือนแม่ที่ยังคงรอพ่ออยู่ที่เดิม มีแต่พ่อที่ไปจากพวกเรา”


พูดจบร่างเล็กก็ลุกขึ้นไม่ลืมยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำอำลา จากนั้นจึงเปิดประตูเดินออกจากร้าน พลันน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ไหลนองอาบสองแก้มกระนั้นบารมีก็ยิ้มกับตัวเอง เรื่องสมัครงานมันก็แค่ข้ออ้างที่จะสามารถทำให้เข้าถึงตัวคุณหมอคนเก่งที่มักจะงานยุ่งตลอดทั้งปีได้ก็เท่านั้นเอง ในที่สุดวันนี้ก็ได้ทำหน้าที่ของลูกอย่างสมบูรณ์สักที หวังว่าที่พูดไปทั้งหมดเมื่อครู่จะทำให้พ่อเข้าใจในตัวของแม่มากขึ้น แม้จะไม่อาจย้อนคืนวันเวลาได้แล้วก็ตาม


ปราณเดินตามคนตัวเล็กมุ่งหน้ากลับไปยังโรงพยาบาล ตั้งใจว่าเมื่อถึงที่จอดรถเมื่อไรก็จะแสดงตัวให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่ต้องย้อนกลับไปรับตนเองที่บ้านแล้วเพราะเขาเก็บข้าวของพร้อมกับร่ำลาป๊ากับแม่ตั้งแต่บารมีขับรถออกจากบ้านได้เพียงไม่นาน เห็นพี่ชายบ้านตรงข้ามกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถก็เตรียมจะอ้าปากตะโกนเรียกแต่ก็ต้องชะงักเพราะการปรากฏตัวขึ้นของใครอีกคน


“หมี่...หมี่ใช่ไหม” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาที่เพิ่งเปิดประตูลงจากรถเอ่ยขึ้น


เสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินเสียนานทำให้เจ้าของชื่อหยุดนิ่ง กำมือจับประตูแน่นในขณะที่อีกมือกำสายกระเป๋าสะพายที่พาดเฉียงตรงตำแหน่งของหัวใจ รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อที่เคยทำงานตามปกติกลับบีบตัวแรงเป็นจังหวะถี่ ๆ จนแทบจะหลุดทะลุอกเสื้อ  เมื่อตาคมเลื่อนขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจกก็พบว่าร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินมาหยุดที่ด้านหลัง ดวงตาสองคู่สบกันนิ่งก่อนจะเป็นบารมีที่ค่อย ๆ หันกลับไปมองให้เต็มตา


“พ...พี่วรรษ” คนพูดวางหน้านิ่งไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับการได้พบกันครั้งนี้ ในขณะที่คนฟังเองก็ทำค้อมศีรษะเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าชื่อที่เรียกนั้นไม่ผิด นัยน์ตาฉายแววยินดีอยู่บ้างที่อีกฝ่ายยังคงจดจำตนเองได้


“ดีใจที่ได้เจอกันอีก” คำนั้นจะมีความหมายตามที่กล่าวหากคนพูดไม่ปั้นหน้านิ่ง นิ่ง...พอ ๆ กับน้ำเสียงที่เปล่งออกมา เขาคือ ‘วรรษวร’ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม ดีกรีบัณฑิตเกียรตินิยมเหรียญทองของคณะทันตแพทยศาสตร์ ที่ปัจจุบันนอกจากจะทำงานประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนริทรยังรวมหุ้นกับเพื่อน ๆ เปิดศูนย์ทันตกรรมครบวงจรอีกด้วย


“ครับ” บารมีตอบเพียงสั้น ๆ สีหน้าดูประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่บังเอิญได้พบคนรักเก่าที่นี่ แม้จะประกอบสัมมาอาชีพไม่ต่างกันก็ตามแต่ก็นานเหลือเกินที่ไม่ได้เจอหน้า นั่นคงเป็นเพราะมีภาระที่ต้องรับผิดชอบกันทั้งสองคน หรือหากไม่ใช่เหตุผลที่ว่าแล้วก็คงเพราะวรรษวรเองที่หลบเลี่ยงการเผชิญหน้า สำหรับบารมีการถูกบอกเลิกโดยไม่ได้ทำอะไรผิดมันช่างเจ็บปวด แต่ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือการถูกบอกเลิกผ่านข้อความในโทรศัพท์ ถึงแม้จะพยายามปรุงคำให้ฟังสละสลวยเพียงใด สุดท้ายความหมายที่ได้ก็คือเขาเป็น ‘ตัวถ่วง’ ในชีวิตของอีกฝ่ายอยู่ดี


‘ซินแสแม่นจริงว่ะ’ บารมีนึกในใจ เพราะในช่วงชีวิตที่ผ่านมาก็มีวรรษวรเพียงคนนี้เท่านั้นที่ทำให้รักแรกของเขากลายเป็นอดีตที่ยากจะลืมเลือน


“หมี่มาทำอะไรที่นี่ ไม่สบายเหรอ”


“ป...เปล่าครับ ม...หมี่มาเยี่ยมเพื่อนที่ป่วย”


“ใช่เพื่อนที่คณะหรือเปล่า พี่รู้จักไหม”


คนถูกถามรีบส่ายหน้าปฏิเสธไม่คิดต่อความยาวสาวความยืดเรื่องโกหกนี้ “ไม่ใช่ครับ เพื่อนสมัยเรียนมัธยมน่ะ พี่วรรษไม่รู้จักหรอก”


ทันตแพทย์วรรษวรพยักหน้าพลางกวาดตาสำรวจคนที่ไม่ได้เจอกันเสียนานให้ถ้วนถี่ “เกือบจำหมี่ไม่ได้ ไว้หนวดแบบนี้แปลกตาไปเลย”


“ค...ครับ”


“ดูไม่ดีใจเลยที่ได้เจอกัน” 


ช่างพูดจาได้เป็นปกติเหมือนไม่เคยมีเรื่องราวใด ๆ เกิดขึ้น...


“ม...ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ค...คือ” บารมีลอบถอนใจเมื่อจนหนทางหาข้อแก้ตัว ถึงจะเคยมีความผูกพันลึกซึ้งกันมาก่อนแต่มันก็ถูกหั่นสะบั้นโดยฝีมือของคนตรงหน้าไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน แล้วจะให้เขายิ้มระรื่นได้อย่างไรกัน


ท่าทีอึดอัดของอดีตคนรักทำให้วรรษวรตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องในทันที “ว่าแต่หมี่เถอะ ตอนนี้ทำงานอยู่ไหน” แม้จะอยู่ใกล้กันหากแต่สิ่งที่ขั้นกลางกลับเป็นความห่างเหิน


“อยู่โรงพยาบาลราชบริรักษ์ครับ”


“โรงพยาบาลรัฐนี่ ไม่คิดจะเปลี่ยนมาทำงานโรงพยาบาลเอกชนหรือเปิดคลินิกของตัวเองบ้างเหรอ”


“ยังไม่คิดครับ ทำงานที่นี่ก็สนุกดี เพื่อนร่วมงานก็ดี ส่วนเรื่องคลินิก หมี่ยังไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น”


ได้ฟังดังนั้นทันตแพทย์หนุ่มก็คลายความเครียดขรึมในใบหน้าลงด้วยการกดยิ้มมุมปาก “เพื่อนร่วมงานดีหรือว่ามีใครที่นั่นทำให้ไม่อยากไปไหนกันแน่”


“ม...ไม่มีครับ ไม่มีใคร” คำตอบนั้นเหมือนวูบหายไปในอากาศในขณะที่คนพูดเองก็เสมองไปทางอื่น


วรรษวรทอดมองดวงตาใต้แผงคิ้วดกดำ แม้กรอบหน้าจะถูกบดบังด้วยหนวดเคราแต่โดยรวมแล้วก็ยังน่ามองไม่เปลี่ยน “ผ่านมาหลายปีแล้วนะ” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวเสียงขรึมเหมือนจะย้ำกับตัวเอง หากแต่ประโยคถัดมาของเขากลับทำให้คนฟังตกตะลึง


“ตั้งแต่วันนั้น พี่เองก็ยังไม่มีใคร”


บารมีกัดกรามแน่น ถ้าทำได้จะหายตัวไปเสียเดี๋ยวนี้ หนีไปให้พ้นสายตาที่กำลังทอดมองมา มือกำสายสะพายกระเป๋ายังคงรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของก้อนเนื้อที่กำลังสูบฉีดโลหิตอยู่ใต้อกด้านซ้าย แทบอยากจะดึงมันออกมาแล้วขว้างไปให้ไกล ๆ พร้อมกับตะโกนห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกอะไรกับคำพูดของคนที่เคยทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดี


“ข...ขอโทษนะครับพี่วรรษ หมี่ต้องไปแล้วครับ”


ร่างเล็กชิงตัดบทสะกดความคิดของตัวเองที่กำลังหวนนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ในขณะที่หมอวรรษวรก็เพียงแต่พยักหน้ารับรู้ นั่นเพราะเข้าใจสถานการณ์นี้ดีจึงไม่ยื้อไว้ รอกระทั่งอดีตคนรักเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถจึงหันหลังให้ เดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาล


ปราณยืนนิ่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในมุมหนึ่ง เห็นบารมีกำลังขับรถออกจากที่จอดแต่ก็ไม่คิดจะปรากฏตัวอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก รถเก๋งสีดำเงาวับเคลื่อนห่างออกไปได้หน่อยก็หยุดในขณะที่ดวงตาของผู้เป็นเจ้าของยังคงจับจ้องไปยังเงาในกระจกมองข้างที่สะท้อนร่างสูงของทันตแพทย์หนุ่มมาดขรึม เมื่อเขาหายลับเข้าไปในตัวตึกล้อทั้งสี่จึงเริ่มหมุนอีกครั้ง   



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2016 09:29:16 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ตอ่นะคะ)



ใกล้ค่ำวันเดียวกันหนุ่มนักศึกษามัณฑนศิลป์ลงรถตู้ที่หน้ามหาวิทยาลัยก่อนจะเดินข้ามถนน ล้วงหยิบกุญแจจากเป้สะพายหลังแล้วขึ้นนั่งคร่อมบนเวสป้ามือสองที่ซื้อต่อจากรุ่นพี่เมื่อตอนเข้าเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ตั้งแต่นั้นมามันก็กลายเป็นพาหนะคู่ใจไปไหนไปกันมาจนถึงปัจจุบัน จะห่างกันก็เพียงช่วงปลายสัปดาห์ที่เจ้าของมักจะขี่มาจอดไว้ที่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อต่อรถกลับบ้านเท่านั้น   ปราณขี่สองล้อคันเก่าลัดเลาะไปตามเส้นทางที่แวดล้อมด้วยต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาผ่านสะน้ำขนาดใหญ่กระทั่งมาจอดที่หน้าหอพักนักศึกษาชายซึ่งตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มจอดรถที่ช่องจอด กำลังจะเดินเข้าไปในหอพักก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบว่าใครคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว สายตาพิฆาตจ้องเขม็งทำคนถูกมองรู้ชะตากรรมของตนเองทันที


“ฮ...เฮีย มาได้ยังไง” ปราณกลืนน้ำลายเอื๊อก


“ขับรถมา” คนรอตอบห้วน ๆ


“อันนั้นน่ะรู้แล้ว” ชายหนุ่มทำใจดีสู้เสือ “ที่ถามน่ะหมายถึงเฮียมาทำอะไรที่นี่”


บารมีถอนใจพลางจ้องหน้าเอาเรื่องแต่คนอายุน้อยกว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกในความผิด “เมื่อเช้าฉันบอกใช่ไหมว่าจะมาส่ง แล้วทำไมแกไม่รออยู่ที่บ้าน”


“ก็...”


“พอฉันกลับไปที่บ้าน แม่แกก็บอกว่าแกออกมาตั้งแต่ตอนสาย แล้วทำไมเพิ่งมาถึงมหาวิทยาลัยเอาป่านนี้” ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แก้ตัวก็ถามต่อ “แกไปไหนมา”


“ใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหมเฮีย” พูดพร้อมกับยกสองมือขึ้นห้าม “เล่นถามรัวแบบนี้จะให้ผมตอบอันไหนก่อน”


“ถ้าอย่างนั้นตอบมาว่าทำไมไม่รอ ก็บอกแล้วว่าจะมาส่ง”


“ผ...ผม ผมนึกได้ว่านัดกับเพื่อนไว้น่ะ กว่าจะไปทำธุระเรียบร้อยก็บ่ายแล้ว เสร็จปั๊บก็นั่งรถมานครปฐมเลย” ปราณอธิบาย พยายามไม่ให้มีพิรุธ “เอาน่าเฮีย อย่าโกรธเลยนะ ไหน ๆ ก็มาแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า เดี๋ยวผมเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บข้างบนก่อน เฮียรออยู่นี่นะ” พูดจบก็เผ่นเข้าหอพักทิ้งให้บารมีที่ยังบ่นไม่จบอ้าปากค้างมองตามตาปริบ ๆ


ปราณหายไปครู่หนึ่งกะว่าพี่ชายบ้านตรงข้ามคงอารมณ์เย็นขึ้นแล้วจึงกลับออกมาพร้อมหมวกนิรภัยอีกใบที่ยืมมาจากเพื่อน พบว่าบารมียังคงยืนรออยู่ที่เดิม


“ไปกินข้าวกันเฮีย ผมหิวแล้ว” คนอายุน้อยกว่ากล่าวเมื่อเดินผ่านหน้าไป ขืนหยุดเปิดช่องให้ละก็มีหวังหูชาอีกแน่ ๆ


บารมีมุ่นคิ้วก่อนจะเดินตามออกไป เห็นปราณกำลังนั่งคร่อมเวสป้าพร้อมกับสวมหมวกนิรภัยก็พูดขึ้น


“แกจะไปไหน”


“จะพาไปกินข้าวหน้าองค์พระไง”


“ไปรถฉันก็ได้นี่ ฉันเอารถมา”


“ไปเมล์เครื่องนี่แหละดีแล้ว ขืนเฮียเอารถเฮียไป กว่าจะหาที่จอดได้ไส้กิ่วกันพอดี ขึ้นเถอะ” พูดจบปราณก็ส่งหมวกแบบนักบินในมือให้ “สวมไว้ด้วย”


“อะไรคือเมล์เครื่อง” บารมีพึมพำขณะเสียบตัวล็อก จากนั้นจึงขึ้นนั่งซ้อนท้าย


“โหเฮีย เชยว่ะ เมล์เครื่องก็มอเตอร์ไซค์นี่แหละ แถวนี้เขาเรียกกันแบบนี้”


“ก็ไม่ใช่คนแถวนี้นี่หว่า”


“เกาะแน่น ๆ นะเฮีย เดี๋ยวจะพาซิ่ง” ปราณหัวเราะก่อนจะออกรถ ผลที่ได้รับจากการพูดจายียวนกวนอารมณ์ก็คือกำปั้นเล็ก ๆ ที่ทุบลงที่กลางหลัง แต่ก็หาได้ระคายหนังหนา ๆ ไม่


“ขี่มอเตอร์ไซค์กลางค่ำกลางคืนแบบนี้บ่อยไหมเนี่ย” บารมีเอ่ยขึ้นขณะที่เวสป้าคันเก่าพาเขาทั้งคู่เคลื่อนฝ่าความมืดไปตามทางแคบ ๆ มุ่งหน้าสู่ประตูมหาวิทยาลัย


“ก็บ่อยนะ ทำไงได้ไม่มีรถหรู ๆ ขับนี่ แต่อย่าไปบอกป๊ากับแม่ล่ะ เดี๋ยวถูกบ่นหูชา แค่ถูกเฮียบ่นคนเดียวก็แย่แล้ว”


ไม่นานปราณและบารมีก็มาถึงองค์พระปฐมเจดีย์ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดมหึมาตั้งอยู่ในบริเวณวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร แม้จะเป็นวันงานแต่ผู้คนก็ยังคงหนาตา สองคนชวนกันขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุก่อนจะหาอะไรกินกันที่ตลาดโต้รุ่งหน้าองค์พระ


“มาที่นี่ต้องกินอะไร” คนเพิ่งเคยมาเอ่ยขึ้นในขณะที่ตากวาดมองไปรอบบริเวณซึ่งรายล้อมไปด้วยร้านรถเข็นขายอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นร้านเก่าแก่ที่ขายสืบทอดกันมาตั้งแต่เปิดตลาด


“ต้องหอยทอดเลยเฮีย” พูดจบปราณก็เดินดิ่งไปยังโต๊ะที่ว่าง “เฮียนั่งก่อนเดี๋ยวผมไปสั่งให้”


ตาคมมองตามเจ้าถิ่นที่เดินไปสั่งอาหารกับเจ้าของร้านร่างผอมที่กำลังควงตะหลิวผัดหอยทอดในกระทะ ละสายตาเพียงแวบเดียวก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว บารมีมองไปรอบ ๆ บรรยากาศของที่นี่คึกคักพอ ๆ กับแถวบ้านของเขา ยิ่งค่ำผู้คนก็ยิ่งเพิ่มจำนวน มีทั้งที่ตั้งใจมาไหว้พระขอพรและมาหาของกิน เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้ทั้งบุญได้ทั้งอิ่มอร่อยกลับไป คนรอชะเง้อคอมองหาเมื่อรู้สึกว่าคนมาด้วยกันหายไปนาน ในที่สุดปราณก็เดินฝ่ากลุ่มคนกลับมาพร้อมแก้วพลาสติกใส่น้ำสีน้ำตาลทองในมือ


“กินน้ำจับเลี้ยงก่อนจะได้ใจเย็น ๆ” ร่างสูงนั่งลงพร้อมกับเลื่อนแก้วใส่น้ำเย็นเฉียบให้


“ทำไมซื้อมาแก้วเดียวล่ะ”


“ผมกินบ่อยแล้ว แล้วมันก็เหมาะกับคนสูงวัยอย่างเฮีย”


“ไม่แก่บ้างให้มันรู้ไป” บารมีกล่าวก่อนจะยกหลอดขึ้นดูด


“เป็นไง ใจเย็นขึ้นไหม” คนถามยิ้มล้อ ๆ มองอีกฝ่ายที่ยังฝืนทำหน้านิ่ง


สุดท้ายบารมีก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เพราะความขี้เล่นของอีกฝ่ายปล่อยให้รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง อดคิดไม่ได้ว่าคนเรานี่ก็แปลก ในหนึ่งวันสามารถเกิดขึ้นได้หลายอารมณ์ เมื่อตอนกลางวันยังอยากจะร้องไห้อยู่แท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับยิ้มได้อีกครั้ง


“เออ เย็นก็เย็น”


“แต่ถ้ายังไม่เย็น เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะพาไปกินไอติมลอยฟ้าต่อ”


“จะติดสินบนเรื่องหนีเที่ยวตอนกลางคืนหรือไง”


“ไม่ใช่สักหน่อย แค่จะขุนเฮียให้อ้วนต่างหาก ผอมจะแย่แล้ว”


ฟังแล้วคนอายุมากกว่าก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างรู้ทัน หลังจากจัดการกับหอยทอดในตำนานเรียบร้อย ปราณก็พาบารมีเดินตรงไปยังหมู่ไทยมุงที่ยืนเบียดเสียดบดบังหน้าร้าน ได้ยินเสียงเฮดังมาเป็นระยะ เหนือขึ้นไปเห็นป้าย ‘ไอศกรีมลอยฟ้า’ จึงรู้ว่าเป็นร้านไอศกรีมนี่เอง


“รับได้ลุงเขาให้กินฟรีนะเฮีย”


“เสียเงินซื้อก็ได้มั้ง” บารมีกล่าวพลางมองตามชายวัยกลางคนที่กำลังแสดงท่าทางอย่างกับจอมยุทธในหนังจีน เขาโยนไอศกรีมขึ้นในอากาศ เมื่อลูกกลม ๆ ย้อยตกลงในถ้วยที่สาวน้อยนางหนึ่งกำลังถือรอเสียเฮก็ดังขึ้นอีกหน


“โธ่...มันจะไปได้บรรยากาศอะไร” คนพามาบ่นอุบ “ซื้อก็ซื้อ” พูดจบปราณก็แทรกตัวเข้าไปในกลุ่มคนครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมไอศกรีมถ้วยโต


“มาแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มร่าพร้อมกับชูช้อนพลาสติกขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครคนหนึ่งเดินสวนเข้าไป ช้อนหนึ่งในสองคันจึงตกลงที่พื้น “ช้อนหล่นเลย ถ้าอย่างนั้นเฮียกินคนเดียวแล้วกันนะ”


บารมีรับช้อนสีสายจากมือคนตัวสูงกว่าพร้อมกับรับถ้วยไอศกรีมที่เขาส่งให้มาตักชิม “อื้ม...อร่อยจริง ๆ ด้วย แต่เยอะขนาดนี้จะกินหมดได้ยังไง”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมกลับไปขอช้อนลุงเขาใหม่” กำลังจะหมุนตัวกลับก็ถูกรั้งไว้ด้วยคำพูดหนึ่ง


“รังเกียจหรือเปล่า ถ้าไม่รังเกียจก็กินด้วยกันก็ได้”


“ว...ว่าไงนะ”


“ฉันถามว่าแกรังเกียจหรือเปล่า ถ้าไม่รังเกียจก็กินข้อนเดียวกันก็ได้ จะได้ไม่ต้องฝ่าคนเข้าไป” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นรอฟังคำตอบ เมื่อเห็นยังเงียบจึงถามซ้ำอีกครั้ง “ว่าไง รังเกียจหรือเปล่า”


“ม...ไม่ ไม่รังเกียจ” ปราณกล่าวติด ๆ ขัด ๆ รีบรับถ้วยไอศกรีมาถือไว้ก่อนจะตักกินอย่างเงอะงะ


“เหมือนรังเกียจเลยว่ะ” คนพูดเกาหัวแกรก “เดี๋ยวฉันไปขอช้อนใหม่ให้ก็ได้”


“ฮ...เฮีย ไม่ต้องหรอก เปลืองเปล่า ๆ เดี๋ยวลุงเขาขาดทุน” ว่าแล้วมือหนาก็คว้าแขนเล็กรั้งให้ออกห่างจากร้าน จู่ ๆ ก็รักษ์โลกรักเพื่อนมนุษย์ขึ้นมากะทันหัน “ว่าแต่เฮียเถอะ รังเกียจหรือเปล่า”


อีกฝ่ายตอบโดยการรั้งช้อนจากมือตักเกล็ดเย็น ๆ ในถ้วยแล้วส่งเข้าปาก ความหวานเย็นที่สัมผัสกับปลายลิ้นทำให้รู้สึกเหมือนกำลังย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง บารมียิ้มกับตัวเองเมื่อนึกว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงดีไม่น้อย วัน ๆ เขาคงได้เล่นสนุกและไม่ต้องมีเรื่องให้ทุกข์ใจ รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าได้เพียงไม่นานก็จางหายเมื่อสังเกตเห็นความผิด น่าแปลกทั้งที่ไอศกรีมก็เย็นขนาดนี้แต่คนตรงหน้ากลับมีเหงื่อเม็ดโตซึมที่ไรผมแถมสองแก้มยังเปลี่ยนเป็นสี่แดงเรื่อเสียจนอดสงสัยไม่ได้


“เป็นอะไรหรือเปล่าตี๋”


“ปละ...เปล่านี่” ปราณตอบก่อนจะแย่งช้อนมาตักไอศกรีมเข้าปาก


“ทำไมหน้าแดงเหงื่อแตกแบบนี้”


“อากาศมันร้อนน่ะ”


“ลมออกจะพัดเย็น แกต้องไม่สบายแน่ ๆ เลยตี๋ ไปหาหมอไหม”


“หมอก็อยู่นี่แล้วจะไปหาทำไม”


“ไม่ใช่อย่างนั้นโว้ย” คนพูดมุ่นคิ้วเมื่อความห่วงใยกำลังจะกลายเป็นความโมโหเพราะคำพูดกวนประสาท มันน่าจับถอนฟันให้หมดปากนัก


“กินไอติมดีกว่าเฮีย ผมไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ” ปราณกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงให้คนที่มาด้วยกันได้คลายความกังวล นั่นเพราะเขารู้ตัวเองดีว่าอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเจ็บไข้หากแต่เป็นเพราะหัวใจกำลังทำงานผิดปกติต่างหาก


เมื่ออิ่มจนพุงกางแล้วสองคนก็พากันกลับเข้ามายังมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ปราณชะลอรถที่ริมสระน้ำก่อนจะหันกลับมาถามคนนั่งซ้อน


“เฮียอยากลงไปเดินไหม”


“ได้เหรอ”


“ได้สิ” พูดจบก็หยุดรถที่ข้างทาง


บารมีเดินตามร่างสูงใหญ่มาหยุดที่กลางสะพานไม้ซึ่งทอดยาวเชื่อมสองฟากฝั่งของสระน้ำขนาดใหญ่ ท่ามกลางความเวิ้งว้างมีเพียงไฟติดปลายหัวเสาที่ให้แสงสว่างพอจะทำให้เห็นรายละเอียดของสิ่งรอบตัวได้บ้าง ชายหนุ่มนั่งลงที่ขอบสะพานทอดตามองออกไปในความมืดพยายามจินตนาการภาพตรงหน้ายามที่แสงอาทิตย์กลับมาทักทายพื้นโลกอีกครั้ง ที่นี่คงสวยงามราวกับเป็นดินแดนแห่งความฝัน


“ที่นี่เขาเรียกว่าสระแก้ว” ปราณกล่าวพร้อมกับหย่อนตัวลงนั่งที่ฟากตรงข้าม “ผมชอบมาที่นี่เวลาที่คิดอะไรไม่ออกหรือมีเรื่องไม่สบายใจ ปล่อยให้ลมพัดเสียหน่อยเผื่อว่าจะนึกอะไรดี ๆ ได้”


“แล้วนึกออกไหม”


“ออกบ้างไม่ออกบ้าง”


คนอายุมากกว่าส่ายหน้าน้อย ๆ


“วันนี้เฮียไปสมัครงานเป็นยังไงบ้าง”


“ก็ดีนะ อาจารย์หมอที่เป็นคนสัมภาษณ์ก็ถามหลายเรื่อง ถามว่าทำไมถึงคิดจะออกจากที่เก่า”


“แล้วทำไมเฮียถึงไปสมัครที่นั่นล่ะ เห็นเคยพูดว่าไม่อยากทำงานในโรงพยาบาลเอกชน”


“ตอนนี้ก็ยังคิดแบบนั้นอยู่ จริง ๆ ที่ไปสมัครงานคราวนี้ก็แค่อยากจะเข้าพบอาจารย์หมอบวรน่ะ มีของสำคัญต้องเอาไปให้” บารมีตอบตามตรง


“แล้วได้ให้ไหม” ถามไปอย่างนั้นทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว


“ให้ไปแล้วละ เป็นของที่แม่ตั้งใจจะให้พ่อแต่ไม่มีโอกาส”


ปราณพยักหน้าพลางมองดวงหน้าที่ปรากฏชัดเจนในความมืด บารมีไม่ได้เล่าเรื่องราวต่อจากนั้นส่วนเขาเองก็ไม่คิดจะถามถึง เพียงแต่นั่งเงียบ ๆ ฟังเสียงใบไม้ไหวต้องลมอย่างนี้ด้วยกันก็พอ...     



...


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

จริง ๆ ตอนนี้เขียนเอาไว้ยาวเลย

แต่ขอตัดขึ้นเป็นตอนใหม่เลยก็แล้วกันนะคะ แล้วจะรีบมาต่อจ้ะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2015 08:37:58 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ care_me

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 162
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
มาปูเสื่อรอ คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
งืออออ น่ารักอ่ะ น้องปราณกับบะหมี่ ชอบบรรยากาศระหว่างสองคนนี่จัง เหมือนน้องชายพาพี่ชายมาเที่ยว 5555  ร้านหอยทอดในตำนานอยู่ไหนคะ ร้านไอติมด้วย จะตามไปกิน คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า พาหิวแต่เช้าเลย

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
แค่ใช้ช้อนเดียวกันกับเฮียหมี่ก็ถึงกับหน้าแดงเลยเหรอคะลี้น้อย~ :m3: น่าเอ็นดูเชียวค่าา >< ดีนะคะเนี่ยที่ไม่ถึงกับเป็นลม เพราะไม่อย่างนั้นเฮียหมี่คงแบกกลับไปไม่ไหวแน่เลย :laugh:

ส่วนเฮียหมี่..ถ้าอดีตมันทำให้เจ็บปวดนัก ก็อยู่กับปัจจุบันที่มีแต่รอยยิ้มดีกว่านะค้าา~
( เป่าหู..ฟู่วๆ :m26: ) ลี้น้อยมาวิน~~ ลี้น้อยมาวิน~~

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
สงสารเฮียหมี่ อดีตช่างเจ็บปวดและมีแต่ความผิดหวังมากเลย
ทำไมพ่อเฮียช่างใจร้ายแบบนี้ :m15: สงสารแม่เฮียหมี่อะ ฮืออออ
พี่วรรษไรนี่ก็นะ ทิ้งเขาไปคิดจะกลับมาหาเขาอีกหรอ รู้สึกอคติ ฮ่าๆๆๆๆ
ปราณเขินที่ต้องกินช้อนคันเดียวกับเฮีย หน้าแดงใหญ่เลย คึคึ ลี้น้อยน่ารัก :-[

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เจ็บแทนบะหมี่ ทั้งพ่อ ทั้งแฟนเก่า เห้อออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด