ตอนที่ 1 คำทำนาย
ในซอยมีเพียงแสงจากเสาไฟต้นสูงเพียงต้นเดียวที่ยังคงยืนหยัดให้ความสว่างอย่างแข็งขัน ส่วนนอกนั้นพร้อมใจกันติด ๆ ดับ ๆ ส่งให้บรรยากาศยามค่ำวังเวงไม่ต่างอะไรกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์เขย่าขวัญ กลิ่นธูปควันเทียนลอยคลุ้งมาพร้อมกับกระแสลมกระโชกที่พัดกิ่งไม้ไหวเอน ใบไม้เสียดสีกันเกิดเป็นเสียงสวบสาบฟังดูน่ากลัวปราณต้องรีบสาวเท้าก้าวให้ทันร่างผอมบางที่เดินนำหน้า
“เฮีย” คนเดินตามเอ่ยขึ้นเมื่อกำลังจะพากันเลี้ยวเข้าตรอกแคบ ๆ ข้างศาลเจ้าซึ่งเป็นทางลัดไปสู่อีกซอย
“อะไร”
“บรรยากาศมันชวนขนลุกพิลึก ไว้ค่อยไปตอนเช้าไม่ดีกว่าเหรอเฮีย”
บารมีถอนใจเฮือกขณะก้าวข้ามท่อนเหล็กกั้นปิดช่องทางเดิน มีไว้ป้องกันไม่ให้รถจักรยานยนต์ผ่าน เนื่องจากช่องทางนี้มีไว้สำหรับคนเดินเท้าเท่านั้น ปากยังคงยืนยันเจตนารมณ์และอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมน้องชายบ้านตรงข้ามที่ตัวใหญ่กว่าเขาตั้งเยอะ
“ตัวใหญ่เสียเปล่า กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง”
คำพูดห้วน ๆ ทำให้เอาคนตัวโตรู้ได้โดยทันทีว่าควรจะปิดปากให้สนิทแล้วเดินตามอย่างเดียวก็พอ ปราณหรี่ตามองแผ่นหลังเล็กที่กำลังเลือนหายไปในความมืด ทั้งที่อยู่ห่างกันไม่กี่ช่วงแขนแต่กลับเหมือนอยู่ไกลกันเหลือเกิน ในหัวตอนนี้จินตนาการไปถึงฉากในหนังที่ตัวละครกำลังเดินตามกันเข้าไปในอุโมงค์แล้วจู่ ๆ ก็มีคนหนึ่งหายไป นึกถึงสีหน้าของคนที่เหลือแล้วให้คิดว่ามันคงเป็นความรู้สึกสับสนระคนหวาดกลัวอย่างที่สุด
เจ้าของร่างสูงใหญ่หยุดความคิดพร้อมกับยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อแสงสว่างอันน้อยนิดจากเสาไฟริมทางพร้อมใจกันดับลง ดวงตาที่ยังไม่สามารถปรับให้ชินต่อสภาพแสงทำให้ภาพที่เห็นตรงหน้าคือความมืดมิด
“หมาฉี่รดโคนเสาหรือไงวะ มาดับอะไรตอนนี้” ปากบ่นในขณะที่ตาก็มองไปรอบ ๆ นึกถึงคำของอาจารย์สอนวิชาวาดเส้นที่บอกว่าหากเราหรี่ตามองเราจะเห็นรายละเอียดแสงเงาของวัตถุชัดเจนขึ้น แต่ตอนนี้ข้างหน้าไร้ซึ่งวัตถุใด ไร้ซึ่งเงาของคนมาด้วยกัน ซ้ำยังมืดไปหมด
“ฮ...เฮีย...” ได้ยินเสียงของตัวเองที่หลุดออกจากริมฝีปากแห้งผาก มันแผ่วเบาพอ ๆ กับสายลมที่พัดเอากลิ่นหอมที่คุ้นเคยมากระทบจมูกพอให้อุ่นใจได้บ้าง “ย...อยู่ไหน”
คนกลัวถอนใจเมื่อสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ
“เฮีย...ลี้ไม่ขำนะ”
แม้จะพูดเช่นนี้ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับอยู่ดี คิดจะควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงหวังจะเอาขึ้นมาเปิดเพื่อให้แสงสว่าง แต่ก็นึกได้ว่าทันทีที่วางเป้ ก็ถูกคุณหมอตัวดีลากออกมาจากบ้านเสียแล้ว
“ไหนเคยบอกว่าจะไม่ทิ้งไปไหนไง”
“อยู่นี่” เสียงนั้นดังพร้อมกับแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่สว่างขึ้น “อะไรวะ แกล้งเล่นแค่นี้ทำเป็นปากคอสั่น” เจ้าของเสียงกล่าวอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินเข้ามาใกล้
“ก็รู้อยู่ว่ากลัวความมืดยังจะแกล้งอีก”
บารมีไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงเพียงแต่จับข้อมือของน้องชายตัวโตเอาไว้ “มาด้วยกันแล้วจะทิ้งได้ยังไง” พูดจบก็รั้งเบา ๆ ให้อีกฝ่ายเดินตามโดยมีแสงจากโทรศัพท์เป็นเครื่องนำทาง เมื่อหลุดตรอกมาได้หน่อย ทั้งคู่ก็มาหยุดยืนที่กลางถนนคอนกรีตซึ่งขั้นกลางระหว่างตึกแถวอายุเก่าแก่ คงเพราะไฟที่ดับแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย บรรดาอาแปะอาอึ้มจึงพากันปิดบ้านเงียบ มีเพียงแสงจากเปลวเทียนที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างออกมา
“แล้วทีนี้จะรู้ได้ยังไงว่าอันไหนบ้านซินแส” ปราณมุ่นคิ้วพลางกวาดตาไปรอบ ๆ มองหาใครสักคนที่พอจะอาศัยถามทางได้แต่ก็ไม่มี
“เจ๊กิมลั้งบอกว่าซินแสแกอยู่กับลูกชายชื่อเถ้าแก่เฮงเจ้าของร้านขายของเก่า”
“ไฟก็ดันมาดับ จะได้ดูบอลไหมเนี่ย คู่หยุดโลกเสียด้วย อุตส่าห์นัดไอ้ซ้งไว้”
“เดี๋ยวก็มาเชื่อสิ ดับไม่นานหรอก” สิ้นเสียงบารมีไฟฟ้าก็กลับสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง
“โหเฮีย ถ้าจะแม่นขนาดนี้เปิดสำนักเองเถอะ” ปราณพูดล้อ ๆ
“มันบังเอิญโว้ย” พูดจบคนตาไวก็คลายมืออกจากข้อมือใหญ่ เดินดิ่งไปยังห้องแถวสองคูหาสุดท้ายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาคารทรงโบราณ พลันหูก็ได้ยินทำนองเพลงสวดบูชาเจ้าแม่กวนอิมดังแว่วมาจากด้านหลังบานเฟี้ยมลายลูกฟักที่ปิดสนิท โคมไฟที่ห้อยลงมาจากหลังคากันสาดเพิ่งจะถูกเปิดขึ้นก่อนหน้าที่บารมีจะเดินมาถึงได้เพียงไม่นาน นั่นแสดงว่าเจ้าของบ้านยังไม่ได้เข้านอน ชายหนุ่มเงยหน้ามองป้ายไม้เหนือกรอบประตูอาศัยแสงสีนวลอ่านตัวอักษรสีทองที่เขียนด้วยพู่กันจีนบนพื้นสีแดง
“ไถ่เส็งฮวดค้าของเก่า ที่นี่ละมั้ง”
“แน่เหรอเฮีย”
“ก็ไม่น่าผิดนะ”
“แต่เขาปิดร้านแล้วนะ เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาใหม่ดีกว่า” ปราณทำท่าจะหันหลังกลับแต่ก็ต้องชะงักเพราะอีกคนไม่ทิ้งความมุ่งมั่น
“เฮ่ย...ไหน ๆ ก็มาแล้วลองเรียกดูก็ไม่เสียหายนี่ คงยังไม่นอนหรอก”
“เออ ๆ ตามใจเฮีย” คนอายุน้อยกว่าเกาหัวแกรกพลางมองร่างผอมบางที่สืบเท้าเข้าไปจด ๆ จ้อง ๆ อยู่หน้าประตูเตรียมจะเคาะเรียกคนข้างใน แม้เมื่อครู่ปากจะบอกไม่ขัดใจ แต่พอเห็นท่าทางจริงจังของพี่ชายบ้านใกล้แล้วมันอดพูดไม่ได้จริง ๆ
“คนเรานี่ก็แปลก อดีตก็รู้ ปัจจุบันก็อยู่ในมือตัวเองแท้ แต่ดันเอาอนาคตไปฝากไว้กับการคาดเดาของคนอื่น”
คำพูดที่ดูจะไม่แยแสกับความรู้สึกของใครทำให้ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของบารมีเจื่อนลงในทันที ชายหนุ่มชักมือกลับพร้อมผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “ถามจริงเถอะตี๋ แกไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าอนาคตจะเป็นยังไง”
ตาสองคู่สบกันนิ่ง แต่ยังไม่ทันที่ปราณจะมีโอกาสได้เรียบเรียงคำตอบ ประตูเจ้ากรรมก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วตามด้วยเสียงแห้งแหบของใครคนหนึ่ง
“เข้ามาสิ” สองหนุ่มจ้องมองไปยังร่างสูงที่อยู่ในเงามืดเป็นตาเดียว พลันมือเหี่ยวย่นก็เกี่ยวม่านลูกปัดซึ่งทำจากไม้ก่อนจะโผล่หน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยซึ่งเป็นผลพวงจากการเดินทางผ่านวันเวลาออกมา
“เข้ามาสิ จะมาดูดวงไม่ใช่รึ”
“อะ...เอ้อ...ค...ครับ” เป็นบารมีที่เอ่ยขึ้นก่อนจะขยับเข้าใกล้ กำลังจะแทรกตัวผ่านช่องประตูก็นึกขึ้นได้จึงหันมารั้งแขนอีกคนให้เข้าไปพร้อมกัน
ชายชราในชุดกี่เพ้าแขนยาวสีกรมท่าตัดเย็บจากผ้าฝ้ายเนื้อดีปักลายมังกรที่ด้านหน้าพาผู้มาเยือนเดินหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ทั้งตู้เตียง แจกันไม้แกะสลัก ถ้วยชามรามไหที่วาดลายด้วยพู่กันจีนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าหากแต่ถูกวางระเกะระกะอย่างไม่กลัวว่าใครจะเดินชนจนเสียหาย กระทั่งเข้าสู่ห้องที่ใช้สำหรับเก็บรวบรวมภาพเขียนพู่กันจีน เจ้าของบ้านเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งลงที่โต๊ะไม้ฝังมุกตรงกลางห้อง จากนั้นจึงเดินไปดับเทียนที่จุดเอาไว้เมื่อตอนไฟดับแล้วกลับมานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามกับสองหนุ่มพร้อมกับตำราภาษาจีนเล่มหนึ่ง
“พวกลื้ออยากรู้อะไร” ชายชราถามขณะที่มือก็พลิกหน้ากระดาษที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
“ซ...ซิน ซิน ซินแส รู้ได้ยังไงครับว่าพวกผมมา” บารมีแทบอยากตบปากตัวเอง มาติดอ่างอะไรกันตอนนี้
คนถูกถามยกมือขึ้นลูบเครางามดุจเส้นไหมสีเงินก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้ม “รอบ ๆ ตึกแถวนี้น่ะอั๊วะรู้หมดว่าใครทำอะไร”
“ซินแสมีตาทิพย์เหรอครับ”
“อั๊วะมียิ่งกว่าตาทิพย์อีกอาตี๋”
ปราณมองชายชราที่พูดจาเป็นปริศนาก่อนจะกระซิบข้างหูคนที่ยังคงตกตะลึงพรึงเพริดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “หูทิพย์ กายทิพย์ หรือว่าพันทิปวะเฮีย” ซึ่งผลลัพธ์ก็คือสายตาดุ ๆ ที่ส่งกลับมา
“ลื้อจะไปอ่านกระทู้หรือไงอาตี๋” เจ้าของผมสีดอกเลาส่ายหน้า “สงสัยลื้อจะดูหนังจีนมากไป หัดใช้อินเทอร์เน็ตหาความรู้บ้างไม่ใช่เอาไว้เล่นเกมอย่างเดียว ตาทิพย์หูทิพย์อะไรอั๊วะไม่มีหรอก อั๊วะมีแต่กล้องวงจรปิด สมัยนี้ขโมยขโจรมันชุกชุม อาเฮงลูกชายอั๊วะอีเลยจ้างช่างมาติดกล้องน่ะ เมื่อกี้กำลังจะขึ้นนอนเห็นพวกลื้อมายืนด้อม ๆ มอง ๆ ก็คงไม่พ้นจะมาดูดวงแน่”
ฟังแล้วปราณก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ สัญญากับตัวเองว่านับจากนาทีนี้จะนั่งฟังเงียบ ๆ จะได้กลับเสียที
“ว่ายังไง พวกลื้ออยากรู้เรื่องอะไร”
“เอ่อ...” บารมีอ้ำอึ้งหันไปสบตาคนข้าง ๆ ก่อนจะตอบคำถามชายชรา “ผมอยากให้ซินแสช่วยดูให้หน่อยครับว่าชาตินี้ผมจะมีเนื้อคู่กับเขาบ้างไหม”
ผู้อาวุโสพยักหน้าพร้อมกับผายมือออก เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มที่ต้องการรู้อนาคตจึงหงายมือลงบนมือกร้านอย่างรู้งานพลางจ้องหน้าเจ้าของดวงตาพร่าหม่นสลับกับใบหน้าของคนที่มาด้วยกัน ไม่นานสีหน้าเรียบเฉยของซินแสก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ยิ่งหัวคิ้วขยับเข้าใกล้กันก็ยิ่งพาให้คนมองเริ่มใจคอไม่ดี
“ลื้อมันอาภัพ ร่างกายเป็นผู้ชายดูภายนอกเข้มแข็งแต่ข้างในอ่อนแอไม่ต่างกับผู้หญิง คนที่เข้ามาในชีวิตก็มาเพียงเพื่อทดสอบจิตใจของลื้อเท่านั้นแหละอาตี๋ ไม่มีใครคิดจะอยู่กับลื้อจนชั่วชีวิต เหมือนสายลมที่พัดมาแล้วก็พัดผ่านไป แต่ก็ใช่ว่าจะอับโชคเรื่องความรักเสียทีเดียว จากนี้จะมีเรื่องให้ลื้อต้องเลือก” ผู้ทำนายอนาคตกล่าวพลางยกมือข้างที่เหลือขึ้นลูบเครางาม “เลือกระหว่างอดีตที่หวนคืนกับปัจจุบันที่กำลังจะจากไป”
บารมีขมวดคิ้วไม่เข้าใจ อะไรคืออดีตที่หวนคืนกับปัจจุบันที่กำลังจะจากไป ซินแสหมายความว่าอย่างไรกันแน่และมันจะตรงกับที่เขาคิดได้อยู่ในตอนนี้หรือไม่ ด้วยความสงสัยจึงตัดสินใจถาม “ซินแส ม...หมายถึง...คนในอดีตจะกลับมาอย่างนั้นหรือเปล่าครับ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเป็นคำตอบก็ไม่ลืมที่จะถามว่าแล้วอะไรกันคือปัจจุบันที่กำลังจะจากไป
“เมื่อเจอก็จะได้รู้ เมื่อเปิดตาก็จะได้เห็น” ชายชรากล่าวก่อนจะดึงมือกลับ จากนั้นจึงพลิกเปิดตำราภาษาจีนหยิบซองกระดาษสีขาวขึ้นมาวางบนโต๊ะเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าการทำนายทายทักได้สิ้นสุดลงแล้ว
สองคนที่ยังอยู่ในอาการงุนงงต่างก็มองตากันปริบ ๆ กระทั่งเสียงใครคนหนึ่งวิ่งลงบันไดมา ไม่นานร่างตุ้ยนุ้ยของเด็กชายวัยเก้าขวบก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
“อากง!!! อากงขนของขึ้นเรือให้อั๊วะหรือยัง”
คำถามเล่นเอาผู้ใหญ่ที่อยู่ในอาการสงบถึงกับสะดุ้งโหยง รีบหยิบสมาร์ทโฟนจอใหญ่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ใช้นิ้วเขี่ย ๆ อยู่ไม่กี่ทีก็ร้องโวยวาย
“ซี้เลี้ยว อั๊วะลืมไปเลยอาตี๋น้อย มัวแต่ดูดวงให้ลูกค้าอยู่”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลานชายแก้มยุ้ยก็ทำหน้าหงิกก่อนจะเดินมาเขย่าแขนผู้เป็นปู่ ปากก็เร่งให้รีบขนของขึ้นเรือสักที
‘ไหนบอกให้ใช้อินเทอร์เน็ตหาความรู้ไงวะ’ ปราณนึกในใจพลางสบตาชายชราที่กำลังปั้นหน้าไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะเย้าคนแก่ “เลเวลไหนแล้วครับ” ชายหนุ่มกดยิ้มก่อนจะหันไปสะกิดบารมีที่ยังคงนั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ข้าง ๆ
“รีบใส่ซองแล้วกลับกันเถอะเฮีย ซินแสอีจะได้ขนของขึ้นเรือสำเภาต่อ”
คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะควักเงินในกระเป๋าเสื้อใส่ลงในซองแล้วเลื่อนคืนพร้อมกับกล่าวคำอำลาผู้อาวุโส เวลาเดียวกันนั้นเถ้าแก่เฮงโผล่หน้าเข้ามาภายในห้อง ซินแสจึงสั่งให้ลูกชายช่วยส่งแขกให้ แต่ก่อนที่สองหนุ่มแปลกหน้าจะจากไป ชายชราก็เอ่ยขึ้น
“เดี๋ยว...อาตี๋"
คำพูดนั้นสร้างความประหลาดใจให้บารมีไม่น้อย แต่นั่นก็ยังไม่เท่าปลายนิ้วที่ชี้มายังร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกัน ไม่ผิดแน่ ๆ ซินแสกำลังชี้มาที่ปราณ
"การเดินทางจะทำให้ลื้อได้พบกับสิ่งดี ๆ นะ” พูดจบก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ จากนั้นจึงลดมือลงแตะปลายนิ้วบนหน้าจอสัมผัสและเริ่มไถไปมาอย่างเมามัน ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มอันเป็นปริศนานั้นได้สร้างความสงสัยให้เกิดแก่ชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อในโหราศาสตร์เข้าแล้ว
...
“เมื่อเจอก็จะได้รู้ เมื่อเปิดตาก็จะได้เห็น” ปราณพูดกลั้วหัวเราะเมื่อประตูบานเฟี้ยมร้านขายของเก่าปิดลง
“มีอะไรน่าขำ” บารมีมุ่นคิ้วก่อนจะเดินหนีให้พ้นรัศมีของกล้องวงจรปิด
“ไม่ขำได้ยังไงเฮีย อย่างนี้ไม่ต้องถึงซินแสหรอก ผมก็ดูให้ได้” เจ้าของร่างสูงที่เดินตามมาทันกันยังคงหัวเราะชอบใจ
“ไอ้บ้า ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะโว้ย” บารมีกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังเดินเคียงข้างกัน “ว่าแต่แกเถอะ จะเดินทางไปไหน”
“เปล่านี่ ช่วงนี้ก็ไม่มีแผนจะไปเที่ยวไหนนะ” ปราณกล่าวพร้อมกับนึกถึงคำพูดของหมอดูชรา แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะปล่อยมันผ่านไปไม่เก็บเอามาคิดให้รกสมอง “มาพูดเรื่องเฮียดีกว่า อดีตที่หวนคืน ผมนึกไม่ออกเลยว่าใคร ตั้งแต่รู้จักเฮียมา ยังไม่เห็นเฮียคบใคร หรือว่าแอบไปคบตอนไหนแล้วไม่บอกให้ผมรู้”
“สำคัญมากหรือไง ฉันถึงบอกให้แกรู้น่ะ” คนตัวเล็กหัวเราะขื่น ๆ
“พูดแบบนี้แสดงว่าเรื่องจริง ตกลงไปแอบคบกับใครมา” เจ้าของคำถามกล่าวพร้อมกับเดินมาดักหน้ารอฟังคำตอบ
“ไม่ได้แอบ แต่แกไม่รู้เอง” บารมีกล่าวก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางในขณะที่จอมตื๊อก็ยังไม่ละความพยายามที่จะรู้ให้ได้
“เขาเป็นใคร ผมเคยเจอหรือเปล่า”
“เป็นรุ่นพี่ที่คณะ แกไม่เคยเจอเขาหรอก”
“แล้วคบกันตอนไหน ทำไมผมไม่รู้” ถามไปอย่างนั้นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองก็ไม่ได้สำคัญจนอีกฝ่ายต้องเล่าให้ฟังทุกเรื่อง
“ตอนแกกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เห็นแกเครียดเรื่องป๊าก็เลยไม่ได้เล่าให้ฟัง อีกอย่าง...” คนพูดกดตาลงมองปลายเท้าตัวเองพลางกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ “คบกันได้ไม่นานก็เลิก”
“ทำไมล่ะ”
บารมีถอนใจพรืดไม่คิดว่าจะต้องขุดเรื่องราวที่จบลงไปนานแล้วขึ้นมาพูดซ้ำ แต่ก็ยังคงเลาถึงมันด้วยเสียงและสีหน้าที่เป็นปกติ “เขาบอกว่าอาชีพของเรามันทำให้ต่างคนต่างก็ไม่มีเวลาให้กัน เขาอยากทุ่มเทให้งานโดยไม่ต้องพะวงเรื่องของฉัน”
เหตุผลที่ดูไม่ค่อยจะเป็นเหตุผลนั้นทำเอาคนฟังโคลงหัวไปมา “ตอนนี้ล่ะ เจอกันบ้างหรือเปล่า”
“ไม่” ทันตแพทย์หนุ่มตอบเสียงแผ่ว “เขาไม่มาให้เจอ”
“แสดงว่าอยากเจอ” พูดไปแล้วถึงได้นึกได้ว่าไม่ควรพูด ปราณแทบอยากจะตบปากตัวเองเหมือนกับที่บารมีมักจะสั่งลงโทษเขาบ่อย ๆ ยามเมื่อพูดจาไม่เข้าหู ชายหนุ่มลอบถอนใจก่อนจะตัดสินใจกล่าวขอโทษในที่สุด
“เฮ้ย...ขอโทษทำไม แกไม่ได้ทำอะไรผิด” พูดพลางตบที่ต้นแขนของคนตัวสูงกว่าเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายลดความกังวลลง “เลิกพูดเรื่องนี้แล้วตอบที่ฉันถามดีกว่า เมื่อกี้แกยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลย”
“ถามว่าอะไร เฮียถามผมตอนไหน” ปราณเลิกคิ้วพลางมองใบหน้าต้องแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ปรากฏแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า เห็นรอยยิ้มในแววตาคู่นั้นแล้วก็พอจะคลายใจได้บ้าง โชคดีเหลือเกินที่การถามละลาบละล้วงของเขาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกขุ่นข้องหมองหมาง
“ก็ที่ฉันถามแกว่า แกไม่อยากรู้อนาคตบ้างหรือไง” บารมีทวนคำถาม
“อืม...ก็ไม่นะ”
“สักนิดก็ไม่อยากรู้เลยเหรอ ถามจริง”
ปราณส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะพูดในสิ่งที่เขากำลังคิด “รู้ไปก็เท่านั้น จะรู้ให้มันได้อะไรขึ้นมา มีความสุขกับในแต่ละวันก็พอเพราะที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว” กล่าวจบเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็คลี่ยิ้มอย่างสบายใจ
“แกนี่นะ” คนอายุมากกว่าส่ายหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะเริ่มเดินอีกครั้ง
“ผมพูดจริงนะเฮีย ไม่ได้ตอบเอาโล่” ชายหนุ่มที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาด้านหลังกล่าว
“เออ จริงก็จริง” บารมีพูดตัดรำคาญก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่จะไปไหนต่อ ถ้าแกจะไปดูบอลกับซ้งก็ไปเถอะ ฉันกลับเองได้ บ้านซ้งน่ะ ถ้าเดินไปจากซอยนี้จะใกล้กว่าใช่ไหม”
ปราณพยักหน้าแทนคำตอบ ดังนั้นทั้งคู่จึงแยกกันที่ทางเข้าตรอกซึ่งเชื่อมระหว่างสองซอย บารมีเดินย้อนกลับไปในเส้นทางเดียวกับเมื่อตอนขามา ไม่นานก็เข้าสู่ย่านพักอาศัยซึ่งเป็นตึกแถวที่อายุอานามน่าจะพอ ๆ กับตึกแถวโบราณซอยข้าง ๆ คั่นกลางด้วยถนนซึ่งกว้างพอดีให้รถสวนกันได้ เมื่อเดินมาถึงกลางซอยหูก็ได้ยินทำนองเพลงจีนดังแว่วมาจากเครื่องเล่นซีดีเครื่องเก่าภายในร้านตัดผมบุรุษซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องแถวขนาดหนึ่งคูหาซึ่งกู๋ของเขาซื้อเอาไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน
หญิงวัยกลางคนที่นั่งหลับตาพริ้มอยู่ที่เก้าอี้โยกหน้าร้านเธอคือภรรยาและแม่ผู้แสนจะใจดี ส่วนที่กำลังยืนใช้กรรไกรเล็มปลายผมให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไฮดรอลิกบุนวมสีแดงก็คือสามีของเธอและพ่อของปราณนั่นเอง เวลาเห็นป๊ากับแม่ของปราณทีไรก็ให้อดนึกถึงพ่อกับแม่ของตนเองไม่ได้ ทั้งคู่เป็นทันตแพทย์แต่งงานอยู่กินกันจนกระทั่งเขาเรียนชั้นถมปลายก็ต้องมีอันเลิกรากันด้วยเหตุผลบางประการ แม่พาเขาย้ายออกมาอยู่ที่หอพักบุคลากรของโรงพยาบาล หลังจากนั้นไม่กี่ปีแม่ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ส่วนพ่อก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ อากู๋ซึ่งเป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวทางฝั่งแม่จึงรับเขามาอยู่ด้วยกันและส่งเสียให้เรียนนับตั้งแต่นั้น เพราะเป็นช่วงชีวิตที่ไม่น่าจดจำนักบารมีจึงก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ในซอกลึกที่สุด เพื่อให้กล่องความทรงจำของเขามีพื้นที่เหลือพอสำหรับเรื่องราวดี ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
(มีต่อค่ะ)