[เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3  (อ่าน 34924 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ชีวิตในวัยเด็กของบารมีทำเราร้องไห้อีกแล้ว หมี่เหมือนไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวเลย
แม่ก็ทำแต่งาน เก็บเงินสร้างฐานะให้รำ่รวยเพื่อคนรัก
ทำไมไม่เอาเงินมารักษาตัวเองให้มีชีวิตอยู่รอดเพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกนะ
พ่อก็แทนที่รู้ว่าเมียเก่าเสียชีวิตก็น่าจะมารับลูกไปอยู่ด้วย ยังคิดจะปกปิดเรื่องลูกอีก แถมยังไม่ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นด้วย

ครอบครัวของหมี่ช่างแตกต่างจากครอบครัวของลี้น้อยมากๆ
ครอบครัวของลี้น้อยมีความรักและความอบอุ่นให้แก่กันมากๆจนมีให้กับหมี่ด้วย  ซึ้งใจกับครอบครัวของลี้น้อยมากๆ

วันเดียวบารมีก็ได้เจอกับบุคคลที่สร้างความทรงจำในอดีตทั้งสามคนเลย หวังว่าอดีตที่หวนคืนจะทำให้บารมีมีแต่ความสุข
ที่แน่ๆคงเป็นเด็กอ้วนลี้น้อยที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว ที่น่าจะมีความรักอีกรูปแบบมามอบให้ค่ะ
ลุ้นกับปราณมากๆ เพราะรู้สึกว่าพี่วรรษก็มีดี ผิดพลาดตรงที่เคยทิ้งหมี่เท่านั้น และที่สำคัญพี่วรรษก็ยังไม่มีใครด้วยนี่สิ

ฉากจบของตอนล่าสุดเราชอบมากๆค่ะ มีบรรยากาศดีๆรอบๆ ปราณกับบารมีก็พูดคุยและรับฟังกัน เพียงแค่นั่งอยู่ด้วยกัน
โรแมนติกมากๆค่ะ เหมือนเรื่องนี้จบตรงที่บารมีได้เลือกที่จะอยู่กับปราณ กรี๊ดเขิน555

ยังอยากอ่านเรื่องนี้ไปเรื่อยๆเลย  แต่ก็ระลึกเสมอว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้น555
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
โธ่เอ้ย พี่บะหมี่ ซึนซะจริง
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยยยยย
นี่กำลังจะได้เป็นอมตะนะ รีบๆรู้ตัวรู้ใจได้ละ

ร้านหอยทอดนี่ร้านไหน จะตามไปชิม
ไอติมน่ะกินบ่อยละ หาง่ายเพราะโด่งดังเหลือเกิน


ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ทั้งพ่อทั้งแฟนเก่าของเฮี่ยหมี่ไม่ได้้รื่อง เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง
มีอย่างที่ไหนตัดขาดกันเพราะเห็นเป็นตัวถ่วงในชีวิต
ทำอย่างกับไม่เคยรักกัน ใจร้ายจริง ๆ
อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย เฮียก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวด้วย
อยูกับลี้น้อยสบายใจกว่า

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
สวัสดีค่ะ แวะเอาตอนที่ 3 มาฝากค่ะ ช่วงนี้งานยุ่ง ๆ แต่พยายามจะไม่ทิ้งไว้นานค่ะ
ขอบคุณมาก ๆ สำหรับความคิดเห็นนะคะ อ่านสนุกมาก ๆ ค่ะ ชอบจัง
ตอนที่แล้วชื่อตอนว่าอดีตที่หวนคืนก็จะรวมเรื่องราวในอดีตหลายเรื่องเอาไว้ไม่ใช่เฉพาะกับคุณหมอวรรษวรคนเดียว
ซึ่งถ้ายึดตามคำทำนายของซินแส อดีตที่หวนคืนก็ตีความได้หลายแบบค่ะ
ส่วนตอนที่ 3 นี้ก็จะเป็นความกลัวในหลายรูปแบบเหมือนกัน ลองอ่านดูนะคะ

ปล. ตอบคำถามเรื่องร้านไอติมลอยฟ้ากับหอยทอดค่ะ อยู่ที่ตลาดโต้รุ่งหน้าองค์พระปฐมเจดีย์นะคะ



ตอนที่ 3 กลัว


บ่ายวันอาทิตย์ของสัปดาห์ถัดมาอากู๋ขจรมีนัดกับลูกค้าคุยเรื่องแบบบ้านที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แทนที่บารมีจะติดสอยไปด้วยเหมือนเคยครั้งนี้เขากลับเลือกที่นอนเอกเขนกอ่านหลังสืออยู่กับบ้าน นั่นเพราะรู้ว่าหลังจากเสร็จธุระแล้วกู๋ขจรจะแวะไปดูเรือนหอที่กำลังสร้างกับว่าที่เจ้าสาวหลานชายตัวอย่างจึงไม่อยากตามไปขัดคอ


แดดยามบ่ายที่แผดแสงผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องทำให้ทันตแพทย์หนุ่มต้องลากเอาพัดลมทุกตัวที่มีอยู่ในบ้านมาเปิดเพื่อไล่ความร้อน ผมยาวละต้นคอถูกรวบตึงด้วยหนังยางเผยต้นคอขาวที่พราวไปด้วยเม็ดเหงื่อ พลิกตำราเล่มหนาออกอ่านได้ไม่กี่หน้าก็ต้องใช้หลังมือปาดหยาดน้ำที่ย้อยอยู่ข้างแก้ม กระทั่งไม่อาจทนต่ออุณหภูมิได้อีกต่อไปจึงลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์มือถือเดินไปหยุดยังริมหน้าต่าง ทอดตามองไปยังห้องแถวฝั่งตรงข้ามที่ดูเงียบเชียบ ตัดสินใจลากนิ้วเรียวลงบนหน้าจอสัมผัสก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูพลันเสียงรอสายของหมายเลขปลายทางก็ดังขึ้น


...ในบางเวลาที่เธอนั้นยิ้มเป็นสุข ฉันแอบเก็บความหวังไว้

เผื่อในวันนึงที่เธอนั้นพร้อมเข้าใจ ฉันอยากอธิบาย

ความทรงจำดี ๆ ที่ฉันมีอยู่ ล้วนมีเธอประกอบไว้                                                   

แต่ความเป็นจริงที่ฉันไม่พร้อมจะไป เริ่มสิ่งใหม่กับเธอ...




‘เพลงโบราณจัง’


ทันตแพทย์หนุ่มอมยิ้มแต่ก็ยังเงี่ยหูฟังอยู่อย่างนั้น กระทั่งจบคนที่ปลายสายก็ยังไม่กดรับสักที บารมีจึงกดวางหย่อนโทรศัพท์คืนลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกจากห้องนอน จุดหมายคือร้านตัดผมบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เจ้าของตาสวยมองซ้ายมองขวาเห็นไม่มีรถผ่านมาจึงพาร่างผอมบางข้ามมาหยุดหน้าห้องแถวสองชั้นที่วันนี้ประตูเหล็กด้านหน้าถูกลากเข้าหากันแง้มช่องขนาดพอดีสำหรับคนเดินเข้าออกได้เท่านั้น ชายหนุ่มอาศัยความคุ้นเคยแทรกตัวผ่านช่องประตูเข้าไปด้านในกล่าวสวัสดีช่างปริญญาผู้เป็นเจ้าของร้านที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้ตัดผมจากนั้นจึงขอตัวเข้าไปทักทายภรรยาของเขาซึ่งกำลังง่วนอยู่กับงานในครัว


“มาหาลี้น้อยเหรอบะหมี่” เจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนเอ่ยขึ้น


“หมี่แวะมาให้ป๊าช่วยตัดผมให้น่ะครับ เมื่อกี้จะโทร.มาถามลี้น้อยว่าป๊าอยู่หรือเปล่าแต่ไม่เห็นรับสายหรือว่ากลับนครปฐมไปแล้วครับ”


“แม่ถามบอกจะกลับวันอังคารนะ เห็นว่าพรุ่งนี้ไม่มีเรียน เมื่อคืนก็นั่งทำงานส่งอาจารย์จนดึก สงสัยจะหลับละมั้ง ว่าแต่บะหมี่เถอะทานอะไรมาหรือยัง แม่ต้มจับฉ่ายเพิ่งเสร็จ ทานเสียหน่อยไหม”


“ไม่เป็นไรครับแม่ หมี่ทานข้าวกลางวันแล้ว เดี๋ยว...” ยังพูดไม่ทันจบเสียงหาวยาวเหยียดก็ทำเอาคนที่กำลังคุยกันอยู่พากันอมยิ้ม


“แม่คร้าบบบบ มีอะไรกินบ้าง” ชายหนุ่มผมเผ้ายุ่งเหยิงเอ่ยขึ้นทันทีที่โผล่หน้าเข้ามาในครัว


“มีต้มจับฉ่าย” พูดจบผู้เป็นแม่ก็หันไปเปิดฝาหม้อสแตนเลสใบใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเตา ตักต้มสารพัดผักที่ทำไว้ร้อน ๆ ใส่ลงในชาม  เท่านั้นกลิ่นหอมก็คลุ้งไปทั่วบ้านจนคนเพิ่งตื่นนอนท้องร้องโครก


“เอาไข่เจียวด้วยไหม แม่จะทอดให้”


“เอาครับ” ปราณกล่าว เห็นว่าในครัวไม่ได้มีเฉพาะตนเองกับแม่ก็แปลกใจ “อ้าวเฮีย มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”


“จะมาให้ป๊าตัดผมให้น่ะ”


ลูกชายเจ้าของบ้านพยักหน้าก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำดื่มพลางมองดูแม่ที่กำลังตอกไข่ใส่ชาม


“ลี้น้อยไปสระผมให้เฮียหมี่สิ เดี๋ยวแม่จะทอดไข่ให้”


เจ้าของชื่อผงกหัวหงึก อาการง่วงเหงาหาวนอนที่ยังไม่อาจสลัดทิ้งได้ทำให้เขาเหมือนคนไม่ได้สติ ชายหนุ่มวางแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะเดินโงนเงนไปออกจากครัวเพื่อเตรียมผ้าขนหนูและน้ำยาสระผมรอลูกค้าคนสำคัญ ครู่หนึ่งเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังมาจากหลังบ้าน


“เฮีย! มาเร็ว ให้ว่อง ฮ้าวววววว!!!”


“อ้าปากกว้างะวังแมลงวันจะเข้าปาก” บารมีกล่าวขณะเดินมาหยุดที่เตียงสระผม “ตื่นหรือยังเนี่ย โทร.มาก็ไม่รับ ปล่อยให้ฟังเพลงอยู่ได้”


“ก็มันง่วงนี่เฮีย เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ตั้งตีสาม” พูดพลางจัดการสวมผ้ายางรองไหล่ให้ร่างเล็กที่กำลังเอนหลังลงมา


“งานเยอะเหรอ” บารมีเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาทอดมองที่ปลายเท้าของตนเอง ได้ยินเสียงเปิดฝักบัวพลันความเย็นของน้ำไหลรดลงบนศีรษะกระนั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงปลายนิ้วอุ่นที่แทรกลงมาในกลุ่มผม เพียงมือหนาออกแรงบวดนวดเบา ๆ กลิ่นน้ำยาสระผมก็ลอยวนอยู่ที่ปลายจมูก สบายเสียจนอยากจะวางเรื่องราวที่ทำให้ต้องหนักใจแล้วหลับตาลงปล่อยให้มือนั้นพาไปที่ไหนก็ได้แล้วแต่เขาจะพาไป


“อือ เยอะมากเลยเฮียปลายเทอมก็แบบนี้แหละ เดี๋ยวพอขึ้นปีสี่ก็ต้องหาที่ฝึกงานอีก”


“เร็วเหมือนกันเนอะ เผลอเดี๋ยวเดียวก็จะเรียนจบแล้ว” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวก่อนเงยหน้าขึ้นประสานดวงตาที่กำลังมองลงมาเช่นกัน


“ขอบคุณนะเฮีย”


“ขอบคุณเรื่องอะไร”


“ก็เรื่องที่ช่วยพูดกับป๊าให้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมคงต้องไปเรียนวิศวะแน่ ๆ” พูดจบก็เปิดน้ำจากฝักบัวล้างฟองออกจากเส้นผมหนานุ่มมือ “หลับตานะเฮีย เดี๋ยวฟองเข้าตา” 


บารมีหลับตาลงอย่างว่าง่าย จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่อีกฝ่ายสระผมให้มันเมื่อไรกัน แต่ที่รู้ก็คือไม่ว่าครั้งไหนปราณก็ยังคงทำด้วยความเบามือไม่มีเปลี่ยน ได้ยินเสียงผิวปากดังหวีดหวิวอยู่ไม่ห่างหูซึ่งก็เป็นทำนองเพลงเดียวกันกับที่เขาได้ฟังจากโทรศัพท์เมื่อสักพักใหญ่ ๆ ที่ผ่านมา
   

...


หลังจากสระผมให้บารมีแล้วปราณก็เดินกลับเข้ามาในครัว มองไปยังโต๊ะอาหารเล็ก ๆ ที่ปกติจะนั่งกันสามคนพ่อแม่ลูกก็เห็นมีกับข้าวที่เขาชอบและข้าวสวยร้อน ๆ ซึ่งแม่ตักไว้รอ ชายหนุ่มนั่งลงรีบหยิบช้อนแบ่งไข่เจียวสีเหลืองทองใส่ในจานของตัวเองจากนั้นก็ใช้ส้อมเขี่ยข้าวขึ้นโปะแล้วจึงส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ จนแม่ที่ยืนดูอยู่ตั้งแต่แรกอดห่วงไม่ได้ว่าจะติดคอจนต้องรินน้ำเตรียมไว้ใกล้มือ


“กินช้า ๆ สิลูก เดี๋ยวติดคอกันพอดี ทำอะไรไม่เรียบร้อยเลย” เธอกล่าวก่อนจะละสายตาจากลูกชายมองผ่อนช่องประตูไปยังคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไฮดรอลิกหน้ากระจกบานใหญ่ “ทำไมไม่เอาอย่างเฮียบะหมี่เขาบ้างนะลูกนี่”


“โธ่...มันคนละคนกันนะแม่ ให้ลี้ทำตัวนิ่ง ๆ แบบเฮีย ใครทำอะไรก็ไม่โกรธ เอาแต่ยิ้มรับ วัน ๆ เอาแต่อ่านหนังสือ พอดีหลับ ลิงหลับน่ะแม่เคยได้ยินไหม” ปราณพูดขึ้นทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก นึกขำในใจที่ใคร ๆ ก็พากันพูดถึงพี่ชายบ้านตรงข้ามของเขาว่าเป็นคนสุขุมบ้างละ เรียบร้อยบ้างละ จริง ๆ แล้วบารมีคนนี้ก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ ที่มีหลากหลายความรู้สึก ชอบกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด ขี้บ่นยังกับผู้หญิง เวลาทำผิดทีไรก็มักจะบ่นจนหูชายิ่งกว่าแม่เสียอีก เกิดโมโหจัด ๆ ขึ้นมาเมื่อไรละก็หน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ที่ไหนไม่มีเกรงใจทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้เห็นง่าย ๆ นักหรอกเวลาเฮียหมี่โกรธ เพราะถ้าใครทำให้เฮียแกโกรธได้แสดงว่าคนนั้นดวงซวยจริง ๆ


กินฝีมือแม่จนพุงกางปราณก็จัดการล้างจานชามเก็บคว่ำจนเสร็จ เมื่อหันกลับมาก็พบว่าดวงตาแสนอ่อนโยนยังคงจับจ้องไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งนิ่งให้ป๊าของเขาช่วยเสริมหล่อให้ ไม่นานผมที่เคยละลูกตาและเคลียอยู่กับต้นคอก็ถูกตัดออกปล่อยลงกองกับพื้น ที่ยังดูขัดกับบุคลิกก็คงเป็นหนวดเคราที่ขึ้นครึ้มอยู่เหนือริมฝีปาก เห็นแล้วก็อดหวนนึกถึงหนุ่มน้อยที่ได้พบกันครั้งแรกไม่ได้


“นี่ถ้าโกนหนวดเสียหน่อยจะน่ารักลูกว่าไหม”


ผู้เป็นแม่หันมาถามความเห็นแต่ลูกชายกลับเสมองไปทางอื่นพลางเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเร็วรัวจนเกือบจะเท่าจังหวะการเต้นของหัวใจในขณะนี้ ในที่สุดคำพูดชื่นชมที่ยังดังไม่ขาดปากก็ทำให้ปราณอดรนทนไม่ไหวต้องแอบช้อนตาขึ้นมองข้ามบ่าเล็กไปยังเงาสะท้อนบนกระจกบานใหญ่ เห็นผมเผ้ารกรุงรังถูกตัดแต่งเป็นรองทรงสูงเปิดหน้าผากเผยแผงคิ้วหนา  และป๊าก็กำลังใช้แปรงขนสัตว์แตะครีมโกนหนวดป้ายที่เหนือริมฝีปากสีเรื่อก่อนจะย้ายมาละเลงบนสันกรามข้างหนึ่งแล้วลากไปยังอีกข้างหนึ่ง จากนั้นจึงใช้ใบมีดอย่างดีค่อย ๆ โกนออก ไม่กี่อึดใจหนวดครึ้มที่บดบังใบหน้าก็ถูกกำจัดจนหมด มองปากนิดจมูกหน่อยแล้วรู้สึกว่า ‘น่ารัก’ ไม่ผิดจากที่แม่พูดเลยสักนิด จู่ ๆ ไอร้อนก็เห่อขึ้นที่ข้างแก้มอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยจนต้องหันกลับมาก้มมองแม่ที่ลุกขึ้นเดินไปยกตะกร้าผลไม้มาวางบนโต๊ะ


“ป๊าเขาชอบเด็กผู้หญิง” ผู้เป็นแม่เริ่มพูดถึงความหลังพร้อมกับจรดคมมีดลงบนเปลือกหนาของส้มผลโต “เจอบะหมี่ครั้งแรกตอนที่แม่เขาพามาเยี่ยมอากู๋ขจร ตอนนั้นแม่กำลังตั้งท้องลูก ป๊าแกบอกว่าเห็นบะหมี่แล้วชอบ เป็นเด็กผู้ชายแต่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักยังกับเด็กผู้หญิง”


“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าป๊าอยากได้ลูกสาวน่ะสิแม่”


คนเป็นแม่ดึงสายตากลับพลางพยักหน้า ทำเอาความหม่นหมองปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้เป็นลูกชายทันที


“แล้วผิดหวังไหมตอนที่รู้ว่าได้ลูกชาย”


“ไม่เลย ป๊าบอกว่าจะลูกสาวหรือลูกชายก็รักทั้งนั้น”


คนฟังกำมือแน่นรู้ดีว่าสิ่งที่ผู้ให้กำเนิดกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริง แม้ครอบครัวจะไม่ได้ร่ำรวยนักแต่ที่ผ่านมาพ่อกับแม่ดูแลเอาใจใส่จนเขาไม่รู้สึกว่าขาดอะไร มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ยังคงค้างคาใจ ลูกชายเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นแม่อีกครั้งก่อนจะตัดสินใจถามคำถามที่เขาเก็บงำเอาไว้ภายในใจมาหลายปี


“แล้วที่ลี้เรียนวาดรูปล่ะแม่ ป๊ากับแม่ผิดหวังไหม”


แม่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอื้อมมือแตะที่ข้างแก้มลูกชาย “ก็อย่างที่ลูกรู้ ตอนแรกป๊าไม่ค่อยชอบใจเท่าไร แต่พอได้คุยกับบะหมี่ป๊าก็เปลี่ยนความคิดไปเลย ลูกรู้ไหมว่าบะหมี่บอกป๊าว่ายังไง”


ปราณมองผู้หญิงที่เขารักที่สุดอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก สิ่งที่เขารู้ก็คือบารมีช่วยพูดกับป๊าให้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยเล่าให้ฟังเลยว่าพูดอะไรกันบ้าง


“บะหมี่บอกว่าจริง ๆ เขาอยากเรียนจิตวิทยา อยากเข้าใจคนอื่น อยากช่วยคนที่มีปัญหาทางจิตใจ แต่ที่เลือกเรียนทันตแพทย์บะหมี่บอกว่าถ้าเป็นหมอฟันได้เหมือนกับพ่อ พ่อก็คงจะภูมิใจ แต่ลูกก็เห็นแล้วว่าคุณหมอบวรเขารู้สึกกับบะหมี่ยังไง” ผู้เป็นแม่เลือกที่จะกล่าวเพียงแค่นั้นก่อนจะวกกลับมาเรื่องเดิม “บะหมี่เล่าให้ป๊าฟังว่าพอเข้าไปเรียนถึงรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายเลย บางครั้งก็เหนื่อยจนอยากจะร้องไห้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ล้มเพราะทำในสิ่งที่ตัวเองรักมันยังพอจะมีกำลังใจให้ลุกขึ้นก้าวต่ออยู่บ้าง”


คนฟังน้ำตาแทบร่วง ไม่ใช่เพราะได้ยินว่าอีกฝ่ายทำอะไรให้ตนบ้างหากแต่เป็นเพราะสะเทือนใจที่ได้รับรู้ว่าคนที่มักยิ้มให้กับทุกสถานการณ์ก็มีเรื่องราวสาหัสเก็บซ่อนไว้ในภายใจเหมือนกัน ชายหนุ่มเดินออกครัวมองไปยังผนังด้านหนึ่งที่ป๊าของเขาเพิ่งปลดรูปลงมาเช็ดทำความสะอาดเมื่อสัปดาห์ก่อน และเขาก็เป็นคนอาสาปีนขึ้นไปติดมันไว้เหมือนเดิม ตอนนั้นนึกสงสัยว่าทำไมป๊าจึงให้ติดเบียด ๆ กันเพื่อจะได้มีพื้นที่เหลือ กระทั่งถามไปถามมาผู้เป็นพ่อก็อ้อมแอ้มตอบว่าเว้นเอาไว้รอรูปลูกชายในวันรับพระราชทานปริญญาบัตรทั้งที่อีกเป็นปีกว่าเวลานั้นจะมาถึง ปราณฟังแล้วยังอดหัวเราะในอาการขี้เห่อของช่างตัดผมประจำตัวของเขาไม่ได้


ในจำนวนภาพที่เรียงรายอยู่บนผนังสีหม่นนั้นมีภาพในวันรับพระราชทานปริญญาบัตรของบารมีรวมอยู่ด้วย ภาพนั้นประกอบด้วยญาติ ๆ ที่ไปร่วมแสดงความยินดีซึ่งก็คืออากู๋ขจร ป๊ากับแม่และตัวเขาเอง แม้จะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแต่มันกลับเป็นภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นที่สุดจนป๊าต้องเอามาใส่กรอบแล้วติดโชว์ หลายต่อหลายครั้งที่ลูกค้าหน้าใหม่มักเข้าใจผิดว่านั่นคือภาพของลูกชายคนโตของป๊า ซึ่งป๊าก็ทำเออออห่อหมกไปกับเขาด้วย 


ปราณกัดปากแน่นหวังจะกลั้นไม่ให้น้ำใสล้นออกจากสองตา แต่ทว่ามันยากเหลือเกิน ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาเดินเงียบ ๆ ขึ้นบันไดพลางนึกถึงคำที่แม่พูด


‘ถ้าเป็นหมอฟันเหมือนพ่อแล้วพ่อจะภูมิใจ’
อยากจะหัวเราะดัง ๆ ให้กับประโยคนั้น ไม่รู้ว่าทันตแพทย์บวรจะรู้สึกภูมิใจขนาดไหนกัน ในงานสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกชายคนเดียวถึงได้ไร้ซึ่งเงาของเขา
เจ้าของร่างสูงผลักประตูเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง นึกถึงชายวัยกลางคนที่ไม่ยอมให้ลูกชายใช้นามสกุลเดียวกันซ้ำยังบังคับให้เรียกตนเองต่อหน้าคนอื่นว่าอาจารย์หมอแล้วรู้สึกเจ็บใจแทนนัก


‘ฉันอายที่แกเป็นแบบนี้ เป็นผู้ชายแต่กลับทำตัวตุ้งติ้งอ่อนแอเหมือนผู้หญิง’ นั่นคือคำพูดที่ออกจากปากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้าในวันที่บารมีหอบเอาชุดครุยไปยืนรอขอถ่ายรูปด้วยที่หน้าตึกคณะในมหาวิทยาลัยที่คุณหมอบวรเป็นอาจารย์พิเศษอยู่


มือหนาที่กำผู้ปูที่นอนแน่นคลายออกก่อนจะยกขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง วินาทีนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนจะแง้มออกตามด้วยใบหน้ากลี้ยงเกลาของใครบางคนที่โผล่เข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม


“เข้าไปได้ไหม”


“ด...ได้ ได้สิ” ปราณกล่าวเสียงขึ้นจมูก คว้าหนังสือที่วางอยู่หัวเตียงมาเปิดอ่าน “เฮียมีอะไรหรือเปล่า”


“เมื่อกี้เห็นหน้าเครียด ๆ ก็เลยขึ้นมาดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า” พูดจบบารมีก็นั่งลงข้าง ๆ และถามคำเดิมซ้ำ “ว่าไง เป็นอะไรหรือเปล่า”


“เปล่านี่”


“จะเชื่อได้ไหม หน้าตามันฟ้องออกอย่างนี้” กล่าวพลางดึงหนังสือจากมือคนที่พยายามปิดบังคราบน้ำตามาวางไว้บนตัก ทำเหมือนที่เคยทำเมื่อครั้งที่สองคนยังเป็นเด็ก “ไหน...บอกเฮียซิ ลี้น้อยเป็นอะไร”


ปราณเงยหน้าขึ้นสบตา ในวินาทีที่คำพูดแฝงความห่วงใยนั้นหลุดออกจากปากของคนตรงหน้าก็รู้ว่าตนเองไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป ร่างใหญ่โผเข้าหาพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่เล็กจนบารมีเองแทบตั้งตัวไม่ทัน แต่สุดท้ายมือบางยกขึ้นก่อนจะลูบลงเบา ๆ บนแผ่นหลังกว้าง


“เป็นอะไรไป เล่าให้ฟังได้ไหม”


คำถามนั้นทำคนฟังต้องพยายามกลั้นสะอื้นจนร่างไหวสั่นสะท้าน อดคิดไม่ได้ว่าทำไมคนในอ้อมแขนนี้จึงได้เก่งเหลือเกินที่สามารถสะกดความรู้สึกของตัวเองได้ทั้งที่ในใจทุกข์หนักแต่กลับห่วงใจใส่ใจคนอื่นไปเสียหมด


“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”


“คิดอะไรถึงทำให้ต้องร้องไห้แบบนี้บอกซิ”     


“ค...คิด คิดว่าป๊ากับแม่จะอายคนอื่นไหมเวลาที่ต้องตอบคำถามใคร ๆ ว่าลี้เรียนอะไร เรียนจบแล้วจะไปทำงานอะไร” ปราณกล่าว แต่ในใจกลับพูดคำ ‘ขอโทษ’ เป็นร้อยหนที่ต้องโกหก


“โธ่...เรื่องแค่นี้เองทำร้องไห้เป็นเด็ก ๆ ไปได้”


“ม...ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” คนพูดผละออกรีบเช็ดน้ำหูน้ำตา ปากก็ยังโต้เถียง “โตแล้ว”


บารมียิ้มพลางโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อได้ฟัง เห็นมีแต่เขาอยากจะหวนวันเวลาเพื่อคืนสู่วัยเด็กกันทั้งนั้น แต่น้องชายบ้านตรงข้ามคนนี้กลับอยากโตเป็นผู้ใหญ่ จะรู้ไหมหนอว่าการเป็นผู้ใหญ่นั้นมันยากและเหนื่อยขนาดไหน


“ทำไมถึงอยากโตเป็นผู้ใหญ่นัก มันไม่ได้สนุกอย่างที่คิดหรอกนะ แกรู้ไหมว่าฉันน่ะอยากให้แกตัวเล็ก ๆ เป็นเด็กผู้ชายแก้มยุ้ยเหมือนกับที่เราพบกันครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ ไม่อยากให้โตเลย”


“เป็นผู้ใหญ่จะได้ไม่ถูกใครรังแก”


“หรืออาจจะโดนรังแกจนไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นมาวิ่งเล่น ยิ้ม หรือหัวเราะเลยก็ได้นะ” บารมีกล่าวพร้อมกับแตะมือลงข้างแก้มที่ยังคงชื้นด้วยคราบของความเสียใจ ใช้นิ้วหัวแม่มือซับหยาดน้ำที่ยังคงค้างอยู่ใต้ดวงตาให้


ปราณสบตาคู่สวยที่กำลังมองมาก่อนจะรั้งข้อมือเล็กวางบนตัก ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะต้องพูดมันออกไป “โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะได้ปกป้องคนที่เรา...ร...รัก” ท้ายประโยคนั้นราวกับสายลมในความเวิ้งว้างว่างเปล่าแผ่วเบาจนแทบไม่มีเสียง


“ถ้าป๊ากับแม่ได้ยินคงชื่นใจนะที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคิดได้แบบนี้” เจ้าของร่างเล็กกล่าวพลางยกมือขึ้นวางบนบ่ากว้าของคนตรงหน้าพร้อมกับบีบเบา ๆ “ฉันเชื่อว่าเขาต้องภูมิใจในตัวแก ไม่ว่าแกจะเป็นอะไร”


‘ม...ไม่ใช่ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น’


นึกอยากจะเถียง แต่ที่สุดแล้วก็จำต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอเพราะ...กลัว


...


...ก็เป็นเพราะกลัวไม่เป็นเหมือนวันก่อน กลัวไม่เป็นอย่างใจหวัง
เก็บส่วนลึกของใจไว้ห่าง ไม่คู่ควรกับใคร
มันคงจะดีที่เราก็ยังได้เจอ แลกเปลี่ยนผ่านความห่วงใย
ส่วนใจตัวเองก็ยังไม่เคยเข้าใจ เริ่มอะไรไม่เป็น...



นิ้วหนากดแป้นพิมพ์เพิ่มความดังจนเสียงเพลงรอดผ่านหูฟังแบบครอบศีรษะ ปล่อยให้คำร้องและทำนองก้องอยู่ในโสตประสาทดีกว่าต้องฟังเสียงก่นด่าตัวเองที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะเผยความรู้สึกภายในใจออกมาได้   


‘คงจริง...ที่เขาว่ากันว่า เพลงมักจะบอกอารมณ์ของคนฟัง ณ ขณะนั้น’


ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังประโยคหนึ่งซึ่งถูกพิมพ์ค้างไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ความกลัวทำให้เขาต้องอาศัยไดอารี่เป็นเพื่อนคุยยามที่ไม่สามารถระบายความรู้สึกให้ใครฟังได้ แม้แต่ชายหนุ่มบ้านตรงข้ามที่เขายกให้เป็นพี่ชายที่สนิทที่สุด แต่นั่นมันเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันเปลี่ยนไปแล้ว


ปราณดึงหูฟังออกจากหูก่อนจะผุดลุกขึ้นเดินออกจากห้องนอน คว้ากุญแจเปิดประตูบ้านก่อนจะเดินไปตามถนนสายเล็ก ๆ ที่วิ่งเล่นมาแต่เด็ก อาศัยแสงจากเสาไฟฟ้าเป็นเพื่อนเดินทางในยามที่เพื่อนบ้านต่างก็พากันปิดไฟเข้านอนกันหมด ในใจยังคงครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ลูกชายเจ้าของร้านตัดผมหายไปจากบ้านพักใหญ่ก็กลับมาพร้อมกับถุงปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้ในมือ หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากดส่งข้อความขณะหยุดที่กลางถนนมองขึ้นไปยังห้องนอนบ้านฝั่งตรงข้ามที่ยังคงเปิดไฟสว่าง


ไม่นานก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ด้านใน เสียงไขกุญแจดังขึ้นก่อนที่ประตูบานเฟี้ยมจะแง้มออก ปราณเลื่อนตาขึ้นจากถุงในมือสบตาหลานชายเจ้าของบ้าน เพิ่งได้เห็นหน้าเขาชัด ๆ แบบที่ไม่มีม่านน้ำตามาบดบัง ใบหน้าที่มองที่ไรก็ไม่เบื่อสักที ดวงตาคู่งามใต้แผงคิ้วเรียงเส้นกำลังมองประสานมา แสดงออกชัดเจนว่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่พบตนเองยืนอยู่ตรงนี้ในเวลานี้


“มีอะไรหรือเปล่า”


“ซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาฝาก”


“ขอบใจนะ” บารมียิ้ม รับถุงที่อีกฝ่ายส่งให้ “แล้วทำไมไม่ใส่ถังมา”


“พอดียังไม่ได้เข้าบ้าน เห็นไฟห้องเฮียเปิดอยู่ก็เลยแวะให้”


เจ้าของคำถามพยักหน้าพลางมองคนตัวสูงที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าด้วยแววตาสงสัย “มีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีฉันจะเข้าบ้านแล้ว”


“ค...คือว่า...”


“หืม? มีอะไร”


“คือ...”


“ว่าไง มีอะไรก็พูดมาสิ อ้ำอึ้งอยู่ได้”


“คือ...ผ...ผม...” ปราณถอนใจเฮือกก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “อยากจะขอบคุณน่ะ”


“เรื่องอะไร”


“หลาย ๆ เรื่อง แล้วก็...ขอโทษนะที่คงเป็นน้องชาย...ตัวเล็ก ๆ ของเฮียไม่ได้” ประโยคหลังเร็วรัวจนแทบจะฟังไม่ทัน ซ้ำทำเอาคนฟังข้องใจหนัก


“หมายความว่ายังไง”


“ก็เพราะ...เพราะผมตัวใหญ่แล้วน่ะสิ จะให้เป็นน้องชายตัวเล็ก ๆ ของเฮียได้ยังไงกัน” ปราณหัวเราะแห้ง ๆ สุดท้ายก็ต้องทำตลกกลบเกลื่อน


...

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-11-2015 13:18:30 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


กว่าหนึ่งเดือนที่โรงพยาบาลนรินทรทำการคัดเลือกบุคคลที่ประสงค์จะร่วมงานกับโรงพยาบาล ในที่สุดก็ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสัมภาษณ์ ซึ่งชื่อของ ‘บารมี นราธิป’ ปรากฏอยู่ในนั้น หากแต่เจ้าของชื่อกลับยังทำงานอย่างแข็งขันอยู่ที่เดิม บารมีละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้  รั้งหน้ากากอนามัยขึ้นปิดถึงจมูกก่อนจะสวมถุงมือยางเมื่อได้ยินเสียงคนไข้รายสุดท้ายเปิดประตูเข้ามา ทันตแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวซึ่งมาพร้อมเด็กชายวัยสามขวบที่เอาแต่เกาะแม่แจ แม้จะพบกันครั้งหนึ่งแล้วแต่ดวงตาของหนูน้อยยังคงไว้ซึ่งแววแห่งความตื่นกลัวจนคุณหมออดนึกหวั่นใจไม่ได้   


“กัปตันสวัสดีคุณหมอก่อนลูก” คุณแม่สาวสวยกล่าวพร้อมกับใช้มือดุนหลังลูกชาย แต่สุดท้ายก็เป็นคุณหมอที่ต้องกล่าวสวัสดีหนุ่มน้อยและคุณแม่แทน

“สวัสดีครับกัปตัน มานั่งข้าง ๆ หมอเลยครับ”


เพียงเท่านั้นเด็กชายก็เริ่มหน้าเบ้จนคุณหมอต้องหันไปสบตากับผู้ช่วยทันตแพทย์ที่ผ่านศึกมาด้วยกันในครั้งก่อน


“ขึ้นนั่งบนเก้าอี้สิลูก” ผู้เป็นแม่กล่าวพร้อมทั้งรั้งแขนลูกชายให้ก้าวขึ้นนั่งบนเก้าอี้ทำฟัน กระนั้นเด็กชายก็ยังทำอิดออดเกาะแขนแม่ไม่ยอมปล่อยซ้ำยังแกล้งทิ้งน้ำหนักลงให้ต้องยื้อยุดฉุดกระชากกันเสียอีกด้วย


“เร็วสิลูก อย่าดื้อนะคะ เดี๋ยวคุณหมอจับฉีดยานะ”


บารมียิ้มเจื่อน คุณแม่จะรู้ไหมว่าประโยคนั้นของเธอกำลังทำให้ความกลัวหมอฟันของลูกชายปะทุขึ้นอีกแล้ว ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมบรรดาพ่อ ๆ แม่ ๆ ที่พาลูกมาพบทันตแพทย์ถึงชอบใช้มุกนี้ 


“อะ...เอ้อ น...นั่งก่อนนะครับ หมอขอดูฟันหน่อย”


“กัปตัน...” หญิงสาวลากเสียงพร้อมส่งสายตาดุ ๆ หนูน้อยของเธอจึงยอมขึ้นนั่งบนเก้าอี้


“ดีมากครับ หมอขอปรับเก้าอี้หน่อยนะ” ทันตแพทย์ผู้ใจดีกล่าวพร้อมกับกดปุ่มปรับเก้าอี้ให้อยู่ในแนวราบ ก่อนจะดึงไฟต่ำลง “ทีนี้อ้าปากนะครับ” พูดพลางส่ง Mouth Mirror  ซึ่งเป็นกระจกเล็ก ๆ ที่มีด้ามจับยาวเข้าไปในช่องปากเล็กก่อนจะรั้งกระพุ้งแก้มเพื่อตรวจดูฟันในส่วนที่มองเห็นได้ยาก


“หมอขอนับฟันหน่อยว่ามีกี่ซี่กันนะ” คุณหมอหนุ่มใช้โลหะปลายแหลมตรวจสภาพผิวฟันเพื่อหาว่ามีส่วนที่ผุหรือไม่พร้อมกับนับจำนวนของฟันให้เด็กชายได้ยินไปด้วย “กัปตันมีฟันยี่สิบซี่แล้วนะ แข็งแรงด้วย แต่ว่าเดี๋ยวหมอจะให้ยาวิเศษไว้ป้องกันฟันผุนะครับ”


มือที่สวมถุงมือยางพาราเอื้อมหยิบที่ขัดฟันสอดเข้าในช่องปากก่อนจะปล่อยให้หัวที่เป็นยางหมุนวนไปบนผิวฟันให้เหลือคราบน้อยที่สุด ตามด้วยการทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟัน เมื่อเรียบร้อยคุณหมอก็ให้เด็กชายกัปตันลุกขึ้นป้วนปากแล้วหลอกล่อให้นอนลงอีกครั้ง


“หมอขอเช็ดฟันให้แห้งก่อนนะแล้วเดี๋ยวหมอจะระบายสีฟันให้กัปตัน ฟันของกัปตันจะได้แข็งแรงนะครับ” ขณะพูดก็หยิบผ้าก๊อซเช็ดทำความสะอาดผิวฟันซ้ำอีกครั้งจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นบอกผู้ช่วยทันตแพทย์ “ซัคชันครับ”


ทันทีที่ได้ฟังหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็สอดปลายท่อเข้าในปากของหนูน้อยที่ยังคงนอนนิ่งเพื่อดูดดน้ำลายจนหมดแล้วดึงท่อออกจากปาก มองดูคุณหมอมือเบาที่กำลังใช้พู่กันแต้มฟลูออไรด์วานิชทาลงบนผิวฟันทีละซี่จนครบ


“เรียบร้อย” กล่าวพลางคลายมือออกปล่อยให้หนูน้อยลุกขึ้นนั่ง รู้สึกว่าการทำงานกับเด็กเล็ก ๆ นอกจากจะต้องใช้วิธีการหว่านล้อมต่าง ๆ นานาแล้วยังต้องทำเวลาให้ทันกับความอดทนของเด็ก ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะหมดลงเมื่อไรอีกด้วย บารมียิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นแล้วว่าวันเด็กชายกัปตันให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม ผิดกับตอนที่มาตรวจฟันเมื่อคราวก่อน ทันทีที่หนูน้อยกระโดดลงจากเก้าอี้ ทันตแพทย์หนุ่มก็หันไปพูดกับผู้เป็นแม่ที่เฝ้ามองลูกชายไม่ห่าง “วันนี้ก็งดอาหารแข็งและงดการแปรงฟันไปก่อนนะครับคุณแม่”


หลังจากคนไข้อายุน้อยที่สุดของวันนี้ออกไป ผู้ช่วยทันตแพทย์ก็เตรียมทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ในขณะที่คุณหมอเองก็ย้อนกลับไปนั่งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบตารางงงานของตนเอง ครู่หนึ่งเสียงประตูก็ถูเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง


“คนไข้นัดไว้หรือเปล่าคะ ไม่เห็นมีประวัติเลย ดิฉันคิดว่าหมดเคสแล้วเสียอีก” หญิงสาวคนเดียวในห้องเอ่ยขึ้น นั่นทำให้บารมีจำต้องละสายตาจากหน้าจอหันกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น


“นัดไว้ครับ” ผู้มาใหม่กล่าวพลางเบนสายตาสบกับอีกคนที่กำลังมองมาที่ตนเอง


“เอ่อ...คือ...” ผู้ช่วยคนสวยหันซ้ายทีหันขวาทีมองคนไข้สลับกับคุณหมอที่ยังคงนิ่งเงียบ


เมื่อเห็นท่าทีอึกอักของผู้ช่วยสาว บารมีจึงเอ่ยขึ้น “เพื่อนผมเองครับ เรากำลังจะออกไปคุยกันข้างนอก” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นส่งสายตาเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาพูด จากนั้นจึงเดินผ่านร่างสูงออกจากห้องทำงานจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกไปพบกับคนที่ยืนรออยู่ด้านนอก


“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่วรรษถึงได้มาที่นี่” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงลานจอดรถด้านหลังโรงพยาบาล


“พี่เห็นประกาศรายชื่อพนักงานใหม่ของโรงพยาบาลมีชื่อหมี่ วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกแต่ไม่เห็นหมี่ไปที่นั่นก็เลยจะมาถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น”


“ไม่มีอะไรครับ ก็แค่ลองไปสัมภาษณ์ดู อย่างที่เคยบอกพี่วรรษนั่นละครับว่าที่นี่ก็ดีอยู่แล้วหมี่ก็เลยไม่ได้ไปรายงานตัว ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมี่ขอตัวก่อนนะครับ” กล่าวพลางเอื้อมมือเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่คนขับในขณะที่ร่างสูงที่ตามหลังมาก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งก่อนจะถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามานั่งข้าง ๆ กัน


“พี่วรรษเข้ามาทำไมครับ หมี่จะกลับบ้าน” เจ้าของรถมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย


“พี่ไม่ได้เอารถมาคงต้องรบกวนให้หมี่ไปส่ง” คนพูดวางหน้านิ่งแต่ในใจกลับยิ้มที่วันนี้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง


“ที่ไหนครับ”


“ที่เดิม”


บารมีถอนใจพลางจำต้องติดเครื่องแล้วออกรถในที่สุด


ระหว่างทางวรรษวรขอให้เจ้าของรถช่วยแวะที่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ห่างจากคอนโดของเขานัก ทันตแพทย์หนุ่มที่ปกติไม่ค่อยมีเวลาจึงอาศัยโอกาสนี้จับจ่ายซื้อของใช้ที่จำเป็น


“ซื้อเยอะขนาดนี้แล้วจะขนขึ้นห้องหมดเหรอครับ ทำไมไม่หาเวลาทยอยซื้อ” บารมีบ่นขณะปิดท้ายรถที่เต็มไปด้วยข้าวของมากมาย


“ขนคนเดียวไม่ไหวหมี่ก็ช่วยขนสิครับ” วรรษวรยิ้มพลางสบตาคนตรงหน้า แล้วก็เป็นบารมีที่ต้องเดินหนีดวงตาคู่ที่กำลังมองมา คล้ายมีความหมายบางอย่างอะไรซ่อนอยู่ในนั้นแต่เขาก็เลือกที่จะมองข้ามมันไป


ครู่หนึ่งรถก็แล่นมาจอดที่หน้าคอนโด สัมภาระจำนวนมากทำให้บารมีไม่อาจนิ่งดูดายจำต้องช่วยอีกฝ่ายขนขึ้นไปเก็บบนห้อง และเมื่อเปิดประตูเข้าไปเขาก็พบว่าห้องยังคงเป้นระเบียบเรียบร้อยและทุกอย่างก้ดูไม่ได้ต่างไปจากเมื่อสามปีก่อนนัก นั่นคงเป็นเพราะเจ้าของห้องแทบจะไม่มีเวลาจัดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ร่างเล็กยืนนิ่งกวาดตามองไปรอบ ๆ เห็นภาพของตนเองกับวรรษวรอยู่ในแทบจะทุกมุมของห้อง มองผ่านช่องประตูที่แง้มไว้ก็เห็นว่าบนเตียงสีสะอาดตายังคงมีหมอนสองใบวางเคียงคู่กัน ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะก้าวเท้าเดินตามอดีตคนรักเข้าไปห้องครัว จัดการวางของในมือลงบนโต๊ะ 


“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาส่ง” วรรษวรเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งแก้วน้ำเย็นเฉียบให้แก่ผู้มาเยือน


“ขอบคุณครับ” บารมีกล่าวพลางรับแก้วน้ำมาถือไว้


“ไม่ได้ใส่ยานอนหลับไว้หรอก” พลันใบหน้าเรียบนิ่งก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น


“หมี่ก็ไม่ได้คิดแบบนั้น” พูดจบคนตัวเล็กก็ยกน้ำขึ้นดื่มเพื่อยืนยันในสิ่งที่พูด ชายหนุ่มวางแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะเดินตามร่างสูงออกไปที่ด้านนอก จ้องมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังนั่งลงเลือกแผ่นซีดีเสียบลงในเครื่องเล่น ไม่นานเพลงที่มีความหมายระหว่างสองคนก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นท่ามกลางแสงไฟสลัว


เจ้าของลุกขึ้นก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้า บารมียอมรับว่ารอยยิ้มของเขายังคงเป็นสิ่งที่ตนเองปรารถนาจะได้เห็นอีกครั้งนับตั้งแต่วันที่ถูกบอกเลิก


“หมี่จำเพลงนี้ได้ไหม”


“จ...จำได้ครับ”


“พี่ฟังเพลงนี้ทีไรนึกถึงสมัยที่เรายังอยู่ที่นี่ด้วยกันทุกที” พูดจบสองมือหนาก็สัมผัสเข้าที่เอวคอด รั้งร่างผอมบางเข้ามาใกล้ก่อนจะพากันโยกย้ายอย่างเชื่องช้าไปตามจังหวะเพลง “หมี่รู้ไหม ตลอดเวลาที่เราห่างกันพี่ไม่มีความสุขเลย”


“แต่พี่วรรษเป็นคนเลือกแบบนั้นเองนะครับ”


“นั่นสินะ พี่เลือกมันเอง แถมยังต้องทำให้หมี่เสียใจโดยที่หมี่ไม่ได้ผิดอะไรเลยอีกด้วย พี่นี่มันแย่จริง ๆ ตอนนั้นมัวแต่คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของหมี่เลย พี่ขอโทษนะ”


ฟังแล้วบารมีก็ได้แต่นิ่งเงียบ กระทั่งมือใหญ่เลื่อนขึ้นมาจับปลายคางเชยขึ้น “จะเป็นไปได้ไหมถ้าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”


เพียงประโยคสั้น ๆ ก็ทำจังหวะหัวใจของคนฟังเต้นรวนไปหมด บารมีชะงักกึกจนสองร่างพากันล้มลงบนโซฟา ดวงตาไหวระริกจ้องมองดวงหน้าคมกริชที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ลมหายใจร้อนรดลงที่ข้างแก้มก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะเคลื่อนชิดใบหู


“พี่รักหมี่นะ แล้วหมี่ล่ะยังรักพี่อยู่หรือเปล่า”


แม้สุ้มเสียงอันแหบพร่ากับมือไม้ที่ลูบไล้อยู่ใต้ชายเสื้อจะพาให้หวามไหว แต่บารมีก็ยังคงสะกดใจกัดฟันแน่นบอกกับตนเองว่าจะไม่ยอมให้ถ้อยคำพล่อย ๆ นำร่างจมดิ่งลงในกองไฟแห่งความปรารถนาที่อีกฝ่ายก่อขึ้นเป็นอันขาด


“พี่วรรษปล่อยหมี่เถอะครับ หมี่อยากกลับบ้านแล้ว” คนใต้ร่างกล่าวด้วยเสียงราบเรียบราวกับสายน้ำที่ไร้คลื่นรบกวนพร้อมกับใช้มือดันอกแกร่งให้ออกห่าง


“แต่พี่ไม่อยากให้หมี่กลับ” สิ้นเสียงนั้นปลายจมูกโด่งก็แตะลงที่ซอกคอขาวก่อนจะไล่ขึ้นมายังปลายคาง หมายมั่นในใจว่าจะต้องครอบครองริมฝีปากช่างตัดรอนเสียให้ได้ แต่แล้ววรรษวรก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้อย่างที่ใจคิดเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของบารมีดังขึ้น เจ้าของร่างใหญ่ถอนหายใจพรืดก่อนจะยันตัวลุกนั่งมองตามอีกคนที่ลุกยืนขึ้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากดรับสาย


“ครับแม่”


“หมี่อยู่ไหนน่ะลูก”


“อยู่บ้านเพื่อนครับ แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ” พูดพลางลอบมองเจ้าของห้องที่กำลังแสดงสีหน้าว่าไม่ค่อยพอใจนัก


“คือแม่จะรบกวนหมี่หน่อยน่ะลูก ถ้าหมี่กลับแล้วช่วยแวะดูที่บ้านให้หน่อย ลี้น้อยไม่สบายกลับมาจากนครปฐมก็นอนซมเลย ไม่รู้ว่าลืมปิดฟืนไฟบ้างหรือเปล่า พอดีแม่กับป๊ามางานศพญาติที่ต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย ค่ำ ๆ พรุ่งนี้ถึงจะกลับน่ะลูก”


“ได้ครับแม่ เดี๋ยวกลับไปหมี่จะแวะดูให้นะครับ” บารมีเงี่ยหูฟังอีก 2-3 ประโยคก็กดวางสาย หันไปกล่าวคำอำลาเจ้าของห้องไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทักท้วงก็เปิดประตูออกจากห้องไปเสียก่อน รู้สึกขอบคุณแม่ของปราณเหลือเกินที่โทร.มาได้จังหวะ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น



...


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2015 09:46:59 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
มาถึงตรงนี้ได้อย่างไรที่ฉันพลาดนิยายคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าไป?  :katai1:

น้ำตาซึมเมื่ออ่านถึงอดีตของหมี่   พ่อของหมี่กับวรรษนี่เป็นคนประเภทเดียวกันเลย
อาจารย์หมอบวรคะ อยากจะบอกจังเลยว่าคุณอาจจะเป็นหมอที่เก่งปานเทพแต่คุณสอบตกวิชาความเป็นมนุษย์เบื้องต้นค่ะ  ไม่ต้องมาอ้างเรื่องภรรยาเก่าไม่สนใจครอบครัวหรอกค่ะ  หมอนอกใจเมียมานานเท่ากับที่มีหมี่   พ่อหมี่ก็เลือกตัดหมี่ที่เป็นเกย์  แต่เราว่า It's a blessing. ที่หมี่ไม่ต้องเติบโตมากับพ่อแบบคุณ

เพราะรักหมี่อคติจึงบังเกิด   เราอดคิดไม่ได้ว่าวรรษคงจะไม่ได้ตั้งใจกลับมาหาหมี่ ถ้าหากว่าวันนั้นไม่เจอรายชื่อหมี่หรือตัวหมี่เอง   ยิ่งพอผลประกาศออกมาว่าหมี่จะได้ทำงานที่เดียวกัน วรรษถึงมาหาหมี่  วรรษอาจจะคิดว่าในที่สุดหมี่ก็มีค่าคู่ควรตัวนางแล้ว   อคติเราเพิ่มมากขึ้นทำให้คิดว่าวรรษเป็นคนที่เจ้าเล่ห์จอมวางแผนจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากว่านาง Stage ในห้องด้วยที่มีรูปคู่ของหมี่กับตัวเอง  แต่ภูมิใจในตัวหมี่นะที่เดินออกมาได้   ทำงานหรูก็ไม่ได้หมายความคุณจะพอใจในสิ่งที่คุณทำ  ความสุขกับความพอใจไม่ใช่สิ่งที่เงินหรือชื่อเสียงสามารถแลกมาได้เสมอไป

เรื่องแม่ของหมี่นั้นก็ค่าจะเป็นแรงบัลดาลใจหรือสิ่งผลักดันให้นางไปข้างหน้า แต่เสียดายที่มันไร้ค่าสำหรับคนที่แม่หมี่พยายามทำให้  จนลืมเปิดตามองคนที่ใกล้ตัวและให้คุณค่ากับกับตัวแม่

หมี่คงรู้สึกเฟลพิลึกที่เสียทั้งพ่อทั้งแฟนเก่าให้กับความอยากก้าวหน้าและความร่ำรวย  แต่เรายังชื่นใจนะที่หมี่ได้มาใกล้ชิดกับครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักๆอย่างพ่อแม่ตี๋น้อย  ลืมตาเปิดใจมองใกล้ตัวนิดนะหมี่ ของดีราคาไม่แพงยังหาได้นะ

เจอคำผิดนิดค่ะ  จากบทที่ 1
มือเหยี่ยวย่น - มือเหี่ยวย่น
ถ้วยชามลามไห - ถ้วยชามรามไห
โต๊ะไม้ฝังมุข  -  โต๊ะไม้ฝังมุก
เร่มเดิน  -  เริ่มเดิน
ขั้นกลางด้วยถนน - คั่นกลางด้วยถนน
เก้าอี้ไดดรอลิก - เก้าอี้ไฮดรอลิก
กดปลายอีกด้านลองไป - กดปลายอีกด้านลงไป
โน้ตบุ๊ก - โน๊ตบุ๊ค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2015 04:01:17 โดย Freja »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ร้องไห้กับอดีตของหมี่ และความกลัวของลี้น้อย เราว่า ทุกคนต้องเคยผ่านความรู้สึกแบบนี้มาเหมือนกัน กลัวที่จะทำคนที่รักเสียใจ เราว่า หมี่เข้มแข็งมากนะ จิตใจเข้มแข็งมากอ่ะ


ปล. แก้คำผิดนิดนึงค่ะ
จิ้มลิ้ม ใช้ ล.ลิงค่ะ

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
นี่มันนิยายรวมผู้ชายจับฉ่าย! ผู้ชายมักง่าย! ผู้ชายมักมาก!

อุ่ยๆๆๆๆ อินเกินไปหน่อย

คือถ้าเรื่องนี้ พระเอกนายเอกจะอาภัพและน่าสงสารขนาดนี้

ทำไมลูกๆไม่หยุดมองไปข้างหน้าแล้วหันกลับมามองข้างๆกันบ้างนะ

พี่บะหมี่คะ ช่วยแลดูน้องลี้หน่อยเถอะค่ะ ดูแลมาก็นานแล้ว ไม่รู้ใจน้องบ้างเหรอคะ

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
ลี้น้อยจะเป็นไรมากมั่ย
ปาตอนใหม่รัวๆเลยค่ะ
(ถธปทฟ) กิกิ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เฮียหมี่อย่าหวั่นไหวไปกับหมอวรรษง่าย ๆ สิ เจ็บแล้วต้องจำ
ลูกชายหลงรัก ป๊ากับแม่ก็เอ็นดู เฮียหมี่เป็นสะใภ้บ้านนี้เหอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
อันที่จริงการกลับมาของวรรษครั้งนี้ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกันนะคะ เพราะอย่างน้อยๆ หมี่จะได้แน่ชัดในความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นเสียทีว่าที่จริงแล้วหมี่เองยังรักวรรษอยู่ หรือแค่ยังอาลัยอาวรณ์ในรักแรกที่ไม่สมหวังเท่านั้น แล้วการได้ยืนมองวรรษในจุดๆ นี้ จุดที่หมี่ให้ได้แค่คนรู้จักกัน หมี่จะเห็นตัวตนจริงๆ ของวรรษได้ชัดเจนมากขึ้น และใช้ 'สติ' ในการตัดสินใจว่าเป็นผู้ชายคนนี้แน่ๆ ใช่ไหมที่หมี่ต้องการ?

ด้วยเมื่อครั้งนั้นหมี่เองก็ยังเด็ก ในบางครั้งที่วรรษเอาแต่ใจในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เราว่าหมี่ต้องยอมลงให้วรรษเพราะว่าหมี่รักเขา (ตามความคิดของเราเราว่าวรรษเป็นคนประเภทที่ยึดตัวเองเป็นที่ตั้งน่ะค่ะ) จนบางทีหมี่เองอาจจะหวานอมขมกลืนเลยก็มี

ส่วนวรรษ..การได้เจอหมี่หรือไม่ได้เจอหมี่เราว่าเจ้าตัวเขาเฉยๆ นะคะ เพียงแต่ไหนๆ ครั้งนี้ก็ได้เจอกันแล้ว การได้คนที่เคยอยู่ในโอวาทของเจ้าตัวเขากลับมาอีกครั้งหนึ่งก็คงจะเป็นอะไรที่น่าภาคภูมิใจไม่ใช่น้อย ว่าตัววรรษเองยังคงมีอิทธิพลต่อตัวหมี่อยู่มาก ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ประมาณนี้น่ะค่ะ

สำหรับตอนนี้ขอชื่นชมหมี่เลยค่ะว่าหมี่เก่งมากๆ ที่หักห้ามใจตัวเองไม่ให้เคลิ้มตามวรรษเอาไว้ได้ ส่วนที่หมี่ยังรู้สึกอะไรๆ กับวรรษอยู่บ้าง เราว่าเป็นเพราะตะกอนของความรักครั้งเก่าก่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ถูกกวนให้ขุ่นเท่านั้น ไม่ใช่เพราะว่ายังรักหรอกค่ะ เพียงแต่ตอนนี้หมี่ยังไม่รู้ตัวเลยพาลให้สับสน ^^

แต่ถ้าสนใจอาสาสมัครมาช้อนตะกอนที่เหลืออยู่ออกให้ ติดต่อได้ที่เด็กข้างบ้านเลยนะคะหมี่ ลี้น้อยพร้อมเสมอเพียงแค่หมี่ต้องการ และก็เป็นกำลังใจให้ลี้น้อยเอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ไวๆ นะค้าา~ :กอด1:

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ร้องไห้หนักมากเลยค่ะ รู้สึกซาบซึ้งที่ครอบครัวลี้น้อยมีความรักเอ็นดูให้กับหมี่  โชคดีของหมี่ที่ได้รู้จักกับครอบครัวของลี้น้อย
ส่วนเรื่องราวของพ่อหมี่ที่ได้ทำร้ายจิตใจลูก  ลี้น้อยก็ได้ร้องไห้แทนแล้ว ลี้น้อยคงรักหมี่มากๆถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแทนหมี่มากๆ

ลี้น้อยที่พูดจากวนๆ แต่การกระทำกลับละมุนละไม แล้วความรู้สึกที่มีต่อหมี่ก็ช่างยิ่งกว่า  ได้เขินแทนหมี่เพราะหมี่ไม่รู้อะไรเลย555
เขินแทนหนักมากๆ ทั้งเพลงที่สื่อความหมายให้หมี่ฟัง การสระผมให้หมี่อย่างเคลิ้ม การสบสายตาและพูดกับหมี่

เราเข้าใจหมี่ที่หมี่ยังไม่เข้าใจความหมายในสายตาของลี้น้อย เพราะมันคงเป็นสายตาที่ส่งความรักมาให้ตั้งแต่เด็กๆอยู่แล้วเนอะ
และเข้าใจลี้น้อยที่รู้สึกกลัว ก็หมี่เอาแต่พูดว่าเป็นเด็ก  พูดว่าอยากให้ลี้น้อยเป็นเด็กไม่อยากให้โต  มันเป็นคำพูดของพี่ชาย
แต่ความรู้สึกที่แท้จริงของหมี่ไม่มีใครรู้นะลี้น้อย  อยากรู้ต้องถาม  อยากให้เขารู้ก็ต้องบอกนะลี้น้อย  ไม่ต้องกลัว
ผลจากการเปิดเผยความรู้สึกจะเป็นอย่างไร ลี้น้อยก็ยังเป็นลี้น้อย  หมี่ก็ยังเป็นหมี่ ที่ยังไงสองคนก็มีความรักให้แก่กันอยู่แล้ว
เราเชื่อแบบนั้น (อินมากๆ)

พี่วรรษก็ลืมไปแล้วหรือว่าเลิกกับหมี่แล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่ได้เป็นแฟนเลยนะคะ มาหอม คิดจะจูบหมี่ได้ไง (หวงแทนลี้น้อยมากๆ)
แต่ไม่เป็นไรเรามโนว่าหมี่เคยหอมแก้มลี้น้อย เพราะตอนเด็กๆลี้น้อยแก้มยุ้ยๆ หมี่อดทนไม่หอมแก้มเด็กตี๋ลี้น้อยไม่ได้หรอก555

ร้องไห้แล้วก็ยังท้องร้องให้กับไข่เจียวหอมๆกับจับฉ่ายร้อนๆด้วยค่ะ555
สนุกเข้มข้นเรื่อยๆเลย  ขอบคุณมากๆค่ะ :L2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พี่วรรษครัช นึกอยากจะบอกเลิกก็บอก อยากจะกลับมาก็รุกหนัก
แบบนี้อย่าพูดว่าตอนนั้นคิดถึงแต่ตัวเองเลย ตอนนี้พี่วรรษก็ยังคิดถึงแต่ตัวเองอยู่

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1038
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
สงสารกับอดีตของเฮียหมี่ คุณหมอบวรก็ช่างใจร้ายใจดำลูกชายทั้งคน เฮ้อออ
แล้วพี่วรรษนี่ก็อีก ทิ้งเขาไปแล้วพอกลับมาจะมารวบรัดทำแบบนี้นี่นะ เหอะ
สงสารปราณแอบรักเฮียมานานแค่ไหนแล้ว แต่ไม่กล้าที่จะบอกออกไปให้ได้รู้
ป่วยอีกจะเป็นอะไรมากไหมนะ เฮียหมี่รีบกลับไปดูนะ

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ veeveevivien

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0


ดูท่าจะ "ยาว" นะเรื่องนี้

ชอบ "ลี้น้อย" จัง ชื่อน่ารักดี

แด่หมอบวร และพี่วรรษค่ะ  :z6:

ออฟไลน์ therappizdrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารเฮียหมี่ที่สุดแล้ว ทั้งพ่อทั้งแฟนเก่าเห็นแก่ตัวทั้งคู่เลย

พี่วรรษนี่กลับมาแล้วรุกแรงมากค่ะ ไม่เอานะๆๆๆ

ถ้าแม่ลี้น้อยไม่โทรมาล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลย ฮือออ กลัวตามชื่อตอนไปด้วยเลยค่ะ

เฮียหมี่กลับไปดูแลลี้น้อยไวๆน้าาาา รอตอนหน้าอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
555excuse me to reply in eng.ver coz im reading at cafe in another country. But, u know... it so hard to keep my feeling for long time.{pls。forget my gramma and spelling , just focus the content, OK!!}

First of all, im very imperessed the scene ...light up candle and put it on can... lol it make me recall to old day... did my homework under the light from candle and moon. So country!!!

i really hate Baramy... just dont like the man who pretend like a girl[only infiction, in real life im ok] btw wheni follow his life. omg he is so cool! im nearly lose my tear drop onkeyboard when i he gave book bank to his father and the day he was graduated. .....but father still be father .

And now i hate Wat instead. His day is gone. he leave so today is for [my]Tee-noy only lol [i really like teddy guy]

wait for the next

ps. hope there are some sweet scene at Tee-noy s house. sometime love come when someone fall[or sick] :-[

love If you are the sky... jub jub
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-09-2015 23:17:40 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 4 ความจริงที่เจ็บปวด



“เฮีย...เฮียจะไปไหน ฮ...เฮีย...ไม่เอา ลี้ไม่ให้เฮียไป ลี้ไม่ให้ไป...”


ริมฝีปากแห้งผากเอาแต่พร่ำพูดประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลือกตาปิดสนิทที่หางตาปรากฏน้ำใส ๆ ซึมอยู่ทั้งสองข้าง ทั้งที่ร่างเหมือนกำลังถูกสุมด้วยไฟฟอนแต่มือหนากลับรั้งผ้าขึ้นคลุมกอดรัดตัวเองเพื่อบรรเทาความเย็นเยือกในกาย ไอร้อนระอุอยู่ภายใต้ผ้าห่มพาให้เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามผิวหนังและไรผม คงเพราะฤทธิ์ของยาลดไข้ที่กินเข้าไปเมื่อตอนเย็น เจ้าของห้องนอนหลับตานิ่งเมื่อได้ยินเสียงแง้มประตู พยายามเงี่ยหูฟังแต่รอบกายนั้นกลับเงียบเชียบกระทั่งเมื่อที่นอนยวบลงจึงมั่นใจในการมาของใครคนหนึ่ง


‘แม่เหรอ? แต่แม่ไปงานศพกับป๊าและพวกญาติ ๆ ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายนี่’ คิดได้เช่นนั้นก็พยายามจะปรือตาขึ้นแต่หนังตาหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยหิน หน้าผากรับรู้ได้ถึงสัมผัสจากหลังมือเย็นเฉียบที่แตะลงเบา ๆ พลันเสียงของผู้มาเยือนก็ดังขึ้น


“ตี๋”


‘เฮียเหรอ’ คิ้วหนาขมวดมุ่นพร้อมกับดึงเปลือกตาขึ้นแต่เพราะแสงไฟที่กลางห้องทำให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย


“แกเป็นยังไงบ้าง”


ได้ยินเสียงรื้อค้นถุงยาที่วางอยู่หัวเตียง จากนั้นมือเล็กก็ย้ายกลับมาแตะที่ข้อมืออีกครั้ง “แกกินอะไรหรือยัง ลุกไหวไหม”   


“กินแล้ว หาหมอที่คลินิกหน้าปากซอยก็เลยแวะกินร้านแปะ” ปราณกล่าวทั้งที่ยังคงหลับตา


“ตัวยังรุม ๆ อยู่เลย เช็ดตัวเสียหน่อยดีกว่าไข้จะได้ลด” พูดจบบารมีก็เดินออกจากห้องก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกะละมังใส่น้ำอุ่น ชายหนุ่มนั่งลงที่เดิม หยิบผ้าขนหนูที่แช่อยู่ขึ้นมาบิดน้ำแล้ววางลงบนหน้าผากคนซมไข้ ค่อย ๆ ลากผ่านแก้มข้างซ้ายมาจนถึงซอกคอ แตะมือที่เหลือลงข้างแก้มขวาพลางใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยบนผิวเนื้อขึ้นสีเบา ๆ พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เวลาแกหมดฤทธิ์แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะไอ้เด็กแก้มยุ้ยเอ๊ย”


เจ้าของดวงตาอ่อนโยนวางผ้าขนหนูลงหันมาปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาออกจากจึงบิดผ้าให้พอหมาดวางบนแผงอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจก่อนจะลากลงมายังหน้าท้องที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามอย่างเบามือ


“ลุกไหวไหม” บารมีกล่าวพลางดึงแขนคนตัวโตให้ลุกนั่งพร้อมกับรั้งเสื้อเชิ้ตเนื้อบางออก ค่อย ๆ บรรจงเช็ดที่ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้าง แต่ก็ดูว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไรนัก ร่างใหญ่โงนเงนในณะที่ปากส่งเสียงอู้อี้ฟังเกือบไม่เป็นภาษา


“อยากนอน” ไม่พูดเปล่าแถมโถมเข้าหาซบหน้าลงบนไหล่เล็กจนบารมีต้องรีบยันมือกับที่นอนเพื่อไม่ให้หงายหลังไปตามแรง


“ทำไมตัวหนักอย่างนี้นะ” คนอายุมากกว่าบ่นพลางใช้ผ้าลูบบนแผ่นหลังกว้าง หวังจะให้น้ำช่วยไล่เอาความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวออกจากร่างของน้องชายให้หมด “เช็ดตัวแล้วจะได้นอนสบายขึ้น”


“หนาว” ปากซีดบ่นงึมงำพร้อมกันนั้นก็โอบรัดรอบเอวบางเอาไว้แน่น


“ปล่อยก่อน เดี๋ยวไปเอาเสื้อให้” พูดจบก็พยายามแกะแขนของอีกฝ่ายให้คลายออกแต่ก็ทำได้เพียงชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น เมื่อร่างใหญ่ผวาโผเข้าหาซ้ำยังกอดเสียแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ได้ยินเสียงครางแผ่วที่ข้างหูเป็นถ้อยคำแบบเดียวกับที่เคยได้ยินเมื่อครั้งที่ต่างคนต่างก็ยังเด็ก ไม่สบายทีไรลี้น้อยก็มักจะงอแงเช่นนี้ทุกที


“อย่าไปนะเฮีย อย่าทิ้งลี้ไปไหน อย่าไป...”


“ม...ไม่ได้หนี...ฉ...ฉันจะไป...หยิบ...” บารมีกล่าวได้เพียงเท่านั้น รู้ตัวอีกทีก็ถูกคนป่วยรั้งเข้าไปกอดนอนแทนหมอนข้างเสียแล้ว


“ลี้ไม่ให้เฮียไปไหน...”


“ก็ไม่ได้ไปไหน”


พูดพลางช้อนตาขึ้นมองใบหน้าชื้นเหงื่อของเจ้าอกเปลือยที่ตนเองกำลังเอาแก้มแนบ หัวคิ้วขมวดมุ่นเพราะนอกจากเสียงแผ่วหวิวที่ผ่านปากเซียวแล้วยังได้ยินอีกเสียง มันดังถี่รัวชวนให้ต้องค้นหาที่มา บารมีแนบหูลงที่ตำแหน่งเหนือราวนมด้านซ้ายของคนหลับแต่ก็พบว่าก้อนเนื้อใต้นั้นมันก็ยังทำงานของมันตามปกติ  จนสุดท้ายทันตแพทย์หนุ่มก็พบว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายหากแต่เป็นเสียงหัวใจของตนเองต่างหาก


ตึก...ตัก

ตึก...ตัก

ตึก...ตัก



...


ปราณปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นอก ทันทีที่ดวงตาสามารถปรับให้ชินต่อแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านช่องผ้าม่านหน้าต่างเข้ามาได้ภาพที่เห็นก็คือภาพของบารมีที่กำลังนั่งอยู่ต่อหน้า แต่นั่นก็ไม่น่าตกใจเท่ากับสภาพเปลือยครึ่งท่อนของตนเองในตอนนี้ ชายหนุ่มเด้งตัวลุกขึ้นถอยกรูดจนหลังชนหัวเตียง


อาการสะลึมสะลือหายเป็นปลิดทิ้งพร้อมกับตาคมที่พยายามละจากดวงหน้าละมุนสาเหตุของอาการร้อนวาบที่สองแก้มในขณะนี้ แม้จะไม่ได้สวยหวานเหมือนกับผู้หญิงเสียทีเดียว แต่ก็ห่างไกลจากผู้ชายทั่วไปอยู่โข


“ฮ...เฮียทำอะไรน่ะ”


“ก็เช็ดตัวให้ไง” พี่ชายบ้านตรงข้ามตอบคำถามพร้อมกับเขยิบเข้าใกล้ ยึดข้อมือหนาเอาไว้แน่นก่อนจะใช้ผ้าลูบลงบนท่อนแขน “ทำหน้ายังกับเห็นผี”


ปราณคลายความตกใจลงชั่วขณะเมื่อกลิ่นหอมจาง ๆ เคลียอยู่กับปลายจมูกยามอีกฝ่ายขยับตัว เผลอเลื่อนตาขึ้นมองแก้มเนียนกับริมฝีปากสีเรื่อ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอยู่ที่โรงพยาบาลถึงได้ถูกนักศึกษาแพทย์แซวอยู่บ่อย ๆ แต่เจ้าตัวคงไม่ชอบใจนักจึงมักปล่อยให้หนวดเครารกรุงรังเพื่อบดบังหน้าจริงของตนเองเอาไว้ ซ้ำยังต้องคอยรักษาท่าทีเพื่อป้องกันตัวเองจากคำพูดของคนอื่นที่คอยแต่จะสร้างความเสียหายให้เกิดแก่จิตใจ เห็นแล้วก็อดเหนื่อยแทนไม่ได้


ปราณนิ่งงันเหมือนลืมหายใจ...กระทั่งบารมีย้ายมาลูบวนที่กลางอก เท่านั้นเลือดลมก็สูบฉีดเสียหน้าร้อนผ่าวจนต้องรีบคว้าข้อมือเล็กก่อนจะแย่งผ้าขนหนูมาไว้กับตัว


“พ...พอแล้วเฮีย”


“อะไรของแกวะ” บ่นพลางรั้งมือให้หลุดจากการเกาะกุม


“ผ...ผมทำเองดีกว่า”


“เมื่อคืนก็เช็ดให้” 


“ว...ว่าไงนะ” คนฟังทำตาโต “เมื่อคืนด้วย”


“อื้อ” บารมียื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับยักคิ้วกวน ๆ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะตกใจอะไรหนักหนา   


ปราณยกมือขึ้นลูบต้นคอตนเองพอให้มีที่วางมือไม้สุดเกะกะ หลับตาให้พ้นจากปาก จมูก คิ้ว คาง และดวงตาสีดำสนิทใต้แผงคิ้วสวยบนกรอบหน้ารูปไข่ที่กำลังทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ถ้าหากหยุดหายใจลงไปตอนนี้ตัวต้นเหตุจะรู้ความผิดของตัวเองไหมหนอ


“เฮียเที่ยวไปแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ได้ยังไงกัน”


คนฟังถอนใจพรืด คนอื่นที่ไหนกัน “ทำไมวะ เมื่อตอนแกเด็ก ๆ ฉันก็ช่วยแม่แกทำให้แบบนี้บ่อย ๆ ตอนแกไม่สบาย ทีแกกอดฉันทั้งคืนฉันยังไม่ว่าเลย”
   

“ฮ้า!!!” ปราณร้องเสียงหลง “ก...กอดด้วยเหรอ” ว่าแล้วก็พ่นลมออกจากปาก ที่แท้เรื่องจริงหรือนี่ นึกว่าฝันไปเสียอีก  ‘หัวใจโว้ย อย่าเต้นแรงนักสิ’ ชายหนุ่มสลัดศีรษะไล่ความคิดบ้า ๆ ออกจากหัว รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่หัวใจเท่านั้นที่ทำงานผิดปกติ มีอีกอย่างที่ผิดปกติจนทำให้ต้องคว้าหมอนมากอดไว้แน่น
   

“ก็เออน่ะสิ เมื่อยไปหมด รัดแน่นยังกับงูหลาม” บารมีทุบลงบนบ่าของตนเองเบา ๆ แล้วหันไปหยิบผ้าขนหนูที่ปราณเพิ่งโยนลงกะละมังไปเมื่อครู่ขึ้นมาบิดให้หมาดน้ำ ทำท่าจะเช็ดตัวให้แต่กลับถูกแย่งไปอีกหน


“ฮ...เฮียกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการต่อเอง” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมกับยกผ้าขึ้นลูบหน้าที่ตอนนี้ร้อนวูบวาบไปหมด ยังไม่ทันเรียบร้อยก็ผุดลุกขึ้นทั้งที่มือข้างหนึ่งยังไม่คลายจากหมอนเห็นแล้วให้รู้สึกรำคาญนัก


“แล้วนี่จะไปไหน”


“ห้องน้ำ”


“เข้าห้องน้ำก็วางหมอนก่อน” บารมีกล่าวพลางยื้อปลอกหมอนเอาไว้


“ต...ต้องเอาไป เออ ใช่ ๆ ต้องเอาไปด้วย”


“จะเอาเข้าไปทำไม เข้าห้องน้ำก็ไปแต่ตัวสิหรือว่าแกซ่อนอะไรไว้”


“ซ...ซ่อนบ้าอะไรเล่า ไม่ได้ซ่อน” ปราณแสร้งทำฟึดฟัดกลบเกลื่อน จริง ๆ ก็ซ่อนน่ะแหละ แต่จะบอกได้ยังไง พูดจบก็รีบปัดมือบางออกก่อนจะพรวดพราดหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้พี่ชายบ้านใกล้ได้แต่มองตามด้วยความงุนงง


ทันทีที่ประตูปิดลง เจ้าของห้องก็ถอนใจเฮือก มองซ้ายมองขวากำลังจะหาที่วางหมอนที่หนีบติดมือมาด้วยก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะเสียงเคาะประตู


“ตี๋”


“ว...ว่าไง”


“เดี๋ยวไปซื้ออะไรให้กินนะ อย่าลืมกินยาก่อนอาหารล่ะ”


ปราณตะโกนตอบพร้อมกับทึ้งหัวจนยุ่งเหยิง “รู้แล้ว ๆ เฮียรีบไปเถอะ ไม่ต้องรีบกลับนะ ผมอาบน้ำนาน”


ได้ยินดังนั้นที่ยืนรอก็ได้แต่พยักหน้ากับประตูก่อนจะเดินเงียบ ๆ ออกไปจากห้อง


...


หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยลูกชายช่างตัดผมก็เดินตัวเบาลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับพี่ชายร่างเล็กที่ยืนลุกลี้ลุกลนอยู่หลังประตูเหล็กก็ให้รู้สึกสงสัยไม่ได้ ปราณเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะชะเง้อมองผ่านช่องประตู ภาพที่เห็นก็คือซูบารุป้ายแดงรุ่นพรีเมียมที่จอดนิ่งอยู่อีกฟากถนน


“รถใครน่ะเฮีย จอดคันเดียวก็จะเต็มถนนอยู่แล้ว” ปราณทำกระซิบกระซาบ


“รถคนรู้จักน่ะ”


“อ้าว คนรู้จักไหงมายืนหลบหลังประตูเหมือนไม่อยากรู้จักกันแล้วแบบนี้ล่ะ” พูดพลางดึงสายตากลับมายังหลังคอขาว อยากรู้จริง ๆ ว่าคนที่เอาแต่ยืนนิ่งตอนนี้กำลังทำหน้าอย่างไรหรือในใจกำลังคิดอะไรอยู่


“ก็คงไม่อยากรู้จักแล้วจริง ๆ น่ะแหละ” บารมีกล่าวเสียงขรึมก่อนจะเบี่ยงตัวเดินหายเข้าไปในครัว ปล่อยให้คนอยากรู้อยากเห็นยืนคอยืดคอยาวอยู่อย่างนั้น


ตาคมกริบหรี่ลงทันทีที่เจ้าของรถเปิดประตูลงมา ร่างสูงในชุดลำลองดูภูมิฐาน หน้าตาผิวพรรณก็ดูเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ปล่อยให้ต้องหยิบจับอะไรเสียเหลือเกิน ปราณมุ่นคิ้ว แน่ใจว่าเคยพบเขาแล้วครั้งหนึ่งที่โรงพยาบาลนรินทร เป็นคนเดียวกันกับที่อยู่กับบารมีในวันนั้น


“เพื่อนเฮียเหรอ” ลูกชายเจ้าของบ้านเอ่ยขึ้นทั้งที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ ดวงตายังคงจ้องเขม็งไปที่หนุ่มแปลกหน้าซึ่งกำลังยืนด้อม ๆ มอง ๆ ที่หน้าประตูบานเฟื้อมที่ปิดสนิท แม้จะพยายามเคาะเรียกเท่าไรก็ไม่มีใครเปิด คาดว่าวันนี้กู๋ขจรคงออกไปทำธุระข้างนอกเหมือนเคย เมื่อไม่ได้รับคำตอบปราณจึงเดินตามกลิ่นหอมของอาหารเข้าไปในครัว เห็นได้ชัดว่าใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของพี่ชายบ้านใกล้กลับนิ่งขรึมแบบไม่เคยเป็นมาก่อน


“ไม่ใช่หรอก” บารมีตอบคำถามเมื่อสักครู่ก้มหน้าก้มตาแกะยางสีแดงมัดปากถุงก่อนจะเทโจ๊กร้อน ๆ ที่ซื้อมาจากตลาดลงในชาม


“ถ้าไม่ใช่เพื่อนก็แฟนเก่า” ปราณทำเดาส่งเดช แต่เมื่อเห็นหน้าไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ควรปล่อยหมาในปากออกมาเพ่นพ่าน ชายหนุ่มนั่งลงเงียบ ๆ มองในชามที่เต็มไปด้วยปลายข้าวหอมมะลิต้มจนเละส่งกลิ่นชวนน้ำลายสอ     


“กินเข้าไป ปากจะได้ไม่ว่าง” พูดจบบารมีก็เลื่อนชามใบโตให้ก่อนจะรินน้ำผสมน้ำอุ่นให้คนเพิ่งสร่างไข้ จากนั้นจึงนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามมองมือใหญ่ที่กำลังใช้ช้อนกวนข้าวพร้อมกับเป่าลมออกจากปากเพื่อระบายความร้อน


ในที่สุดปราณก็ตักข้าวเข้าปากในขณะที่ตาก็ลอบมองคนตรงหน้าไปด้วย ประโยคเมื่อครู่ของบารมีทำเอาความกังวลใจหายไปทันที อย่างน้อยมันก็แสดงให้รู้ว่าเฮียไม่ได้ถือสาในความปากไม่ดีของเขา ชายหนุ่มเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ยกระนั้นก็ยังไม่วายส่งยิ้มให้คนที่ยังคงวางหน้านิ่งไปด้วย


“เพิ่งรู้ว่าเฮียชอบแบบนี้”


“ชอบอะไร ที่ว่าชอบแบบนี้น่ะ”


“ก็ชอบคนที่มาดนิ่ง ๆ ดูคงแก่เรียนแบบคนที่มายืนรอหน้าบ้านนั่นไง”


คนฟังกดยกมุมปากขึ้นโดยไม่พูดอะไร บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแต่นัยน์ตากลับเย็นชาแห้งแล้งพิกล ดังนั้นกระทำของเขาจึงดูคล้ายการเยาะหยันตัวเองเสียมากกว่า


“แล้วแกล่ะ ชอบแบบไหน”


คำถามของพี่ชายบ้านใกล้ ทำเอาน้องชายที่นั่งอยู่อีกฝั่งแทบสำลักจนต้องยกน้ำขึ้นดื่มแก้อาการไปไม่เป็น ปราณวางแก้วลง ก้มมองมือที่กำลังจับช้อนเขี่ยข้าวในชาม คิดว่าการเงียบจะช่วยแก้สถานการณ์ได้หากแต่บารมียังคงถามซ้ำ


“ว่าไงล่ะ ชอบคนแบบไหน”


‘นั่น ๆ ถามเฉย ๆ ก็ได้ ไม่ต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ให้หัวใจเต้นแรง เฮียนะเฮีย’


ปราณกลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของคำถาม


ตึก...ตัก

ตึก...ตัก

ตึก...ตัก



ตัดสินใจยกมือสั่นเทาขึ้นก่อนจะชี้...


ตึก...ตัก

ตึก...ตัก

ตึก...ตัก



...ชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-09-2015 09:17:38 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


ตึก...ตัก

ตึก...ตัก

ตึก...ตัก



ในที่สุดก็ยอมปริปากพูดออกมา “แบบนี้ไง”


ตึก...ตัก

ตึก...ตัก

ตึก...ตัก



บารมีจ้องปลายนิ้วหนาที่ชี้ข้ามไหล่ของตัวเองก่อนจะเหลียวมองโปสเตอร์สีซีดที่ติดอยู่กับผนังกระเบื้องด้านหลัง “แดจังกึมเนี่ยนะ”

“อือ” ปราณตอบส่ง ๆ พร้อมกับทอดถอนใจ “ทำกับข้าวเก่ง อยู่ด้วยไม่อดตาย”


คนฟังนิ่วหน้าก่อนจะหันกลับมา “เอาดี ๆ สิ ฉันหมายถึงนิสัยใจคอไม่ก็ลักษณะทางกายภาพต่างหาก”


“นิสัยเหรอ” คนอายุน้อยกว่าพึมพำ ยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ “จ...ใจดี ใจดีมั้ง ส่วนภายนอกก็...ยังไงก็ได้”


“หมายความว่าไง ยังไงก็ได้”


“หมายถึงเป็นแบบไหนก็ได้ ไม่ได้สนใจสักหน่อย อ้วนก็น่ารักดี ผิวดำหรือคล้ำหน่อยก็ไม่เป็นไร หรือจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ เลือกไม่ได้นี่ว่าเกิดมาแล้วต้องเป็นอย่างไหน แต่ผมเลือกเขา ขอแค่เขาเป็นในแบบที่เขาเป็นก็พอ ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อผมหรือเพื่อใคร”


บารมีละสายตาจากดวงตาที่กำลังมองมา ก้มมองชามโจ๊กตรงหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะกล่าว “สงสัยต้องซื้อโจ๊กร้านนี้มาให้กินบ่อย ๆ”


“ทำไมล่ะ”


“กินแล้วพูดจาดีมีสาระ” ทันตแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นยิ้ม รอยยิ้มคราวนี้ต่างจากในครั้งแรกนัก เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจและกำลังเบ่งบานอยู่ในดวงตาคู่นั้น


“ช่างประชดประชัน” ปราณหรี่ตามองพลางตักข้าวเข้าปาก ดูเหมือนว่าบารมีจะไม่ได้ใส่ใจคำพูดนั้นสักเท่าไร


“เห็นแม่บอกว่าหาที่ฝึกงานอยู่เหรอ เป็นยังไงบ้าง ได้หรือยัง”


“รอเขาตอบรับอยู่น่ะเฮีย โชคดีอาจจะได้กลับมาทำงานใกล้ ๆ บ้าน”


“อืม...ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีนะ ประหยัดค่าใช้จ่าย จะได้เก็บเงินไว้ไปขอสาว”


“ขงขออะไรล่ะ”


“อะไร อย่าบอกนะว่าโตจนป่านนี้แล้วยังไม่มีแฟน”


“อือ” ปราณตอบส่ง ๆ


“ใครจะไปเชื่อ”


“ก็ไม่ได้บอกให้เชื่อนี่”


“อะไรวะ ล้อเล่นแค่นี้ต้องทำหงุดหงิด”


“ไม่ได้หงุดหงิด” คนอายุน้อยกว่าลากเสียงแสร้งทำรำคาญ “แต่มันไม่มีจริง ๆ”


“คนที่แอบชอบก็ไม่มีเลยเหรอ” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้อ้าปาก บารมีก็ชิงดักคอเสียก่อน “โกหกตกนรกนะโว้ย”


“ก็...”


“ว่าไง อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีคนที่แอบชอบละน่า”


“คือ...” ชายหนุ่มกดตาลงต่ำมองมือตัวเองที่ยังคงกำช้อนแน่น


“หืม?”


“ม...มันก็มีอยู่หรอก”


“แล้วไม่คิดจะบอกให้เขารู้เหรอ มันน่าเสียดายนะแก”


ปราณถอนใจเบาก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนถาม “เคยคิดอยากจะบอก แต่ตอนนี้คิดว่าบางทีการได้อยู่แบบนี้มันอาจจะดีกว่าก็ได้”


... 


ในที่สุดปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาคณะมัณฑศิลป์ก็มาถึง ปราณได้กลับมาอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกอีกครั้งเนื่องจากได้สถานที่ฝึกงานเป็นบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในแถวสาทร กว่าหนึ่งเดือนที่ได้สัมผัสชีวิตการทำงานจริง ๆ แรก ๆ ก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่าได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวสักที แต่เมื่อเวลาผ่านไปจึงรู้ว่าการทำงานมันไม่ง่ายเลย คำวิพากษ์วิจารณ์ คำต่อว่าต่อขานของหัวหน้างานและลูกค้ามันหนักหน่วงเสียยิ่งกว่าเสียงดุด่าของอาจารย์ยามเมื่ออยู่ในห้องเรียนนัก


ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินผ่านประตูอัตโนมัติหยุดยืนมองสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมา ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดหาที่กำบังระหว่างรอรถสาธารณะที่นาน ๆ จะผ่านมาสักคัน เสียงเตือนจากนาฬิกาข้อมือทำให้ปราณนึกอยากจะหยิกแก้มตัวเองแรง ๆ ให้แน่ใจว่านี่ไม่ได้ฝันไปที่วันนี้สามารถออกจากตึกได้ตรงตามเวลาเลิกงาน กำลังปล่อยใจให้ลมเย็นหอบหิ้วเอาหัวใจลอยไปไกล


เสียงพูดคุยกระหนุงกระหนิงก็ทำให้จำต้องดึงสายตากลับมายังร่างสูงที่เพิ่งเดินผ่านมา มือหนึ่งของเขาโอบประคองเอวบางของหญิงสาวในขณะที่อีกมือกดสลักให้ร่มกางออกก่อนจะเดินไปพร้อมกันท่ามกลางสายฝน ในขณะที่อีกหลายคนเลือกที่วิ่งฝ่าม่านน้ำออกไปเรียกแท็กซี่บ้าง ตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ที่สุดบ้าง แทนที่จะยืนรอให้ฝนหยุดซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนไหน จะมีก็แต่ปราณเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่ง หลายวันแล้วที่นักศึกษาฝึกงานเช่นเขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศของชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้ นั่นเพราะกว่าจะออกจากที่ทำงานรถราบนถนนก็บางตา กลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว


ปราณถอนใจพรืด ไม่คิดว่าความเป็นผู้ใหญ่ที่ร่ำร้องอยากได้มานานในที่สุดก็มาถึง แม้จะเป็นช่วงของการทดลองแต่ก็หนักหนาเอาการ ยิ่งไปกว่านั้นสุดท้ายแล้วมันก็จะอยู่กับเขาตลอดไปแม้จะอยากหวนคืนสู่วัยเด็กแค่ไหนก็ทำได้แค่เพียงคิด


“มัวคิดอะไรอยู่” 


เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับมือเย็นที่แตะลงใต้ข้อศอกทำเอาคนใจลอยสะดุ้งเฮือก


“ฮ...เฮีย”


“ก็ใช่น่ะสิ”


“มาได้ไง”


“จอดรอตั้งนานไม่เห็นเดินไปก็เลยลงมาดู” พูดจบบารมีก็ปัดละอองน้ำฝนที่เกาะพราวอยู่กับเส้นผม


“ตากฝนแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี”


“ฉันหัวแข็งน่า แกไม่ต้องห่วง ว่าแต่ไอ้เด็กกระหม่อมบางเถอะ เอาร่มมาหรือเปล่า”


“เอามา ๆ” แม้จะไม่ค่อยชอบคำที่อีกฝ่ายใช้เรียกตนเองสักเท่าไรนัก แต่ปราณก็ยังกุลีกุจอควานหาร่มในกระเป๋าออกมาสนับสนุนสิ่งที่พูด “นี่ไง”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปได้แล้ว” ว่าแล้วคนอายุมากกว่าก็หันหลังตั้งใจจะวิ่งกลับไปยังรถที่จอดอยู่แต่ก็ถูกยื้อข้อมือเอาไว้


“เดี๋ยวไม่สบาย” นักศึกษาหนุ่มกล่าวหน้านิ่ง มือกดสลักร่มออกก่อนจะเดินเข้าประชิดตัวทันตแพทย์ร่างเล็กที่วันนี้อุตส่าห์แวะมารับตามคำขอจากนั้นจึงพากันเดินไปที่รถ


“เดินห่าง ๆ หน่อยดีไหม เดี๋ยวคนที่ทำงานก็พากันเข้าใจแกผิดพอดี” บารมีกล่าวพลางรั้งข้อมือให้หลุดออก


“เขาจะเข้าใจผิดเรื่องอะไร”


“ก็เรื่องที่แกมาสนิทสนมกับคนอย่างฉันไง”


“ทำไมชอบกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เรื่อย” ปราณถอนใจ “คนอย่างเฮียแล้วมันทำไม ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ผมว่าที่ต้องกลัวจะโดนเข้าใจผิดน่ะน่าจะเป็นเฮียมากกว่า”


“แกหมายความว่ายังไง” บารมีมุ่นคิ้วพร้อมกับดึงประตูรถให้เปิดออก ไม่รอฟังคำตอบก็เข้าไปนั่งประจำที่คนขับแล้วจึงปิดประตู รอกระทั่งร่างสูงใหญ่เดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งก่อนจะเข้ามานั่งข้างกัน


แค่มองตาขุ่น ๆ ของเจ้าของรถก็รู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์เริ่มไม่ปกติ กระนั้นปราณก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดจี้ใจดำของอีกฝ่าย “ก็กลัวว่าคุณหมอวรรษวรจะเข้าใจผิดไง เห็นนะเมื่อคืนก่อนไปนั่งกินบะหมี่ร้านอาแปะด้วยกัน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องคอยหลบหน้าเขาแล้วหรือไง”


“เขารู้ว่ากู๋เป็นสถาปนิกก็เลยมาขอให้ช่วยแนะนำผู้รับเหมาที่ไว้ใจได้ให้เพื่อนของเขาต่างหาก คุยเสร็จกู๋ก็เลยให้พาเขาไปกินข้าว”


ปราณเบือนหน้าหนี เดาว่านั่นมันก็แค่เหตุผลที่หมอวรรษวรใช้มาเป็นข้ออ้างเท่านั้นเอง สมองคิดในขณะที่ปากยังพึมพำไม่เลิก


“กินร้านอื่นไม่ได้หรือไง ทำไมต้องกินร้านแปะ”   


“แล้วกินร้านแปะมันเป็นยังไงวะ” บารมีขึ้นเสียงเมื่อเริ่มหมดความอดทนกับน้องชายจอมยียวน


“พูดแค่นี้ทำไมต้องเสียงดังด้วยเล่า”


“ใครกันแน่ที่เริ่มก่อน” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะออกรถ และหลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดคุยกันอีกเลย


ปราณทอดสายตามองสายฝนที่ยังคงโปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้ตกหนักชนิดไม่ลืมหูลืมตาแต่ก็ทำให้การจราจรติดขัดจนแทบกลายเป็นอัมพาต แต่อะไรก็คงไม่แย่ไปกว่าบรรยากาศเงียบงันชวนอึดอัดภายในรถอีกแล้ว ชายหนุ่มถอนใจยาวลอบมองเจ้าของรถจากเงาสะท้อนในกระจก มีเวลาคิดทบทวนจึงได้รู้ถึงความผิดของตนเอง ดังนั้นปราณจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น


“ขอโทษก็ได้”


เสียงนั้นคงเบาเกินไป คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยถึงได้ทำเย็นชานิ่งเฉย คนสำนึกผิดไม่ละความพยายาม ขยับตัวเข้าไปใกล้พลางเกาะแขนเล็กอย่างประจบ


“ลี้ขอโทษษษษษษ เฮียหมี่ใจดีอย่าโกรธเลยนะ นะๆๆ”


บารมีถอนใจเมื่อไม่อาจทนต่อท่าทางชวนขันของอีกฝ่ายได้ต่อไป ดวงตาที่ปราศจากแววแห่งความโกรธขึ้งเหลือบมองคนข้าง ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “หงุดหงิดอะไรมานักหนา”


“โมโหหิว” ปราณตอบ ทั้งที่คำตอบนั้นไม่ได้ตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจเลยสักนิด “หิวจนแทบจะกินควายได้ทั้งสายพันธุ์แล้ว”


คนฟังหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างไม่ถือสา “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวจะพาไปกินอะไรอร่อย ๆ จะได้หาย”


เกือบหนึ่งชั่วโมงที่รถค่อย ๆ เคลื่อนไปบนถนน ในที่สุดบารมีก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดที่ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่สายฝนเริ่มซาเม็ดลง ทันทีที่เปิดประตูลงมาปราณก็ทำตาโตเพราะจำได้ว่าร้านนี้เป็นร้านแนะนำติดอันดับ 1 ใน 10 ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ต้องมาลองให้ได้สักครั้ง ซึ่งนอกจากจะมีชื่อเสียงเรื่องรสชาติและคุณภาพของวัตถุดิบแล้ว ราคาก็ยังไม่ใช่ระดับที่พนักงานบริษัทธรรมดา ๆ จะสามารถกินได้บ่อย ๆ


“มีแต่แพง ๆ ทั้งนั้นเลยเฮีย” หนุ่มในชุดนักศึกษากลืนน้ำลายเอื๊อกขณะเปิดรายการอาหารที่วางอยู่หน้าร้าน “ไปกินร้านอื่นดีกว่า เปลืองเงิน”


“เดี๋ยวฉันเลี้ยงแกเองน่า” บารมีกล่าวพลางตบไหล่คนตัวสูงกว่าเบา ๆ


“แต่ว่า...”


“ไม่ต้องแต่ เข้าไปข้างในกันดีกว่า” พูดจบก็ดันหลังอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปด้านใน


แม้จะขึ้นป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นรสชาติต้นตำหรับ หากแต่ภายในกลับตกแต่งแบบสมัยใหม่ ซ้ำภาพของอาหารที่เห็นในรายการตัวอย่างยังจัดแต่งต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไปอีกด้วย


บารมีและปราณชวนกันนั่งลงที่มุมหนึ่ง รับรายการอาหารจากบริกรก่อนจะเปิดดูไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสงบเงียบมีเสียงบรรเลงของเครื่องสายคลอเบา ๆ


“ไม่ยักรู้ว่าเฮียก็เข้าร้านหรู ๆ แบบนี้กับเขาด้วย มาบ่อยเหรอ”


“ครั้งนี้ครั้งที่สองน่ะ เคยมากับเพื่อนเมื่อนานแล้ว รู้สึกว่าอร่อยดีเลยอยากพาแกมาลอง คิดว่าฉลองชีวิตผู้ใหญ่เดือนแรกก็แล้วกันนะ”


ปราณหัวเราะหึ รู้สึกจุกอย่างไรบอกไม่ถูก ขืนพูดออกไปว่าชักเริ่มไม่อยากเป็นผู้ใหญ่เสียแล้วคงโดนหัวเราะแน่ ๆ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบก้มหน้าก้มตามองหาของที่อยากกิน


“เมื่อไรจะขายคอนโดนั่นแล้วย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันสักที” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นที่หลังฉากกระจกขุ่น แต่นั่นไม่สามารถเรียกความสนใจของบารมีได้เท่ากับเสียงของอีกคน


“ให้เวลาผมหน่อยสิ คุณก็รู้ว่าคอนโดนั่นอยู่ใกล้ที่ทำงานของผม”


ปราณละสายตาจากรายการอาหารที่เพียงอ่านชื่อก็น้ำลายสอ เงยหน้าขึ้นมองคนฝั่งตรงข้ามที่ยังคงจ้องรายการอาหารนิ่ง ดูเงียบเชียบผิดปกติจนน่าสงสัย


“เป็นอะไรหรือเปล่าเฮีย”


“เปล่า” เป็นคำตอบห้วน ๆ ไร้ชีวิตชีวา


“ใกล้ที่ทำงานหรืออยู่นั่นจะทำตัวเป็นโสดยังไงก็ได้” คนพูดตวัดเสียง


“มีเหตุผลหน่อยสิ ทุกวันนี้ผมต้องทำอะไรเยอะแยะไปหมด ทั้งต้องรักษาคนไข้ ทั้งต้องคอยสร้างผลงานให้ผู้ใหญ่เห็น กว่าผู้ใหญ่จะเห็น คนอื่นเขาก็ไปถึงไหน ๆ กันแล้ว คุณก็รู้ว่าผมทุ่มเทให้กับตำแหน่งกรรมการบริหารนี่มากแค่ไหน ถ้าผมถูกคัดเลือกให้รับตำแหน่งละก็...มันจะทำให้หน้าที่การงานของผมก้าวกระโดดจนทิ้งห่างคนอื่น ๆ ที่อายุพอ ๆ กันเลยนะ”


“วรรษก็เลยต้องย้อนกลับไปตามง้อขอคืนดีกับแฟนเก่าอย่างนั้นสินะ”


“ผมบอกแล้วไงที่ผมต้องทำแบบนั้นก็เพราะเขาเป็นลูกชายของคุณหมอบวรหนึ่งในหุ้นส่วนใหญ่ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาล”



ประโยคที่ลอยมากับลมนั้นพาให้คนสองคนเงยหน้าขึ้นสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อสามารถเรียบเรียงเหตุการณ์จากคำพูดก่อนหน้าได้ ก็เป็นปราณที่เอ่ยขึ้น


“ร...เราไปกินบะหมี่อาแปะกันดีกว่าเฮีย อาหารที่นี่ไม่เห็นจะน่ากินเลย ผมไม่อยากกินแล้ว” พูดจบก็วางปิดรายการอาหารก่อนจะวางลงอย่างไม่ใยดี รู้สึกอยากจะเดินไปปิดปากโต๊ะข้าง ๆ เสียให้รู้แล้วรู้รอด


สองคนพากันลุกขึ้น เพื่อไปให้พ้น ๆ การสนทนาที่ฟังแล้วไม่เห็นอะไรนอกจากความเห็นแก่ตัว กำลังจะเดินพ้นจากโต๊ะ ประโยคหนึ่งก็ทำให้คนที่กำลังลังถูกพาดพิงอย่างบารมีต้องกำหมัดแน่น   


“รีบ ๆ ง้อให้ได้สิ ไหนเคยบอกว่าคนนี้ได้มาง่าย ๆ จะกลับไปก็ไม่ใช่เรื่องยากไง”


“ก็ตอนนี้มันไม่ได้ง่ายแบบตอนนั้นแล้วนี่นา ขืนทำแหวกหญ้าให้งูตื่นก็เสียเรื่องกันพอดี ไม่เอาน่า อย่าอารมณ์เสียเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยนะ ยังไงผมก็รักคุณคนเดียวอยู่แล้ว”


“ฮ...เฮีย!!!” ปราณยกมือคว้าแต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ พริบตาเดียวร่างเล็กก็ปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อของเจ้าของคำพูดชวนสะอิดสะเอียนนั่นเสียแล้ว


“ม...หมี่...” ทันตแพทย์วรรษวรเบิกตาโพลง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะบังเอิญได้พบคนรักเก่าที่นี่ ลืมไปเสียสนิทว่าร้านนี้เป็นร้านที่มาด้วยกันครั้งแรกนับตั้งแต่ตกลงคบหากัน


พลั่ก!


ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำอะไรไปมากกว่านี้ บารมีก็จัดการปล่อยหมัดขวาอัดเข้าเต็มหน้าหล่อทันที


“ก...แก แกเป็นใคร!!!” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามร้องขึ้นขณะรีบแทรกตัวเข้ามาประคองคนรักที่ตอนนี้ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ ดวงตาอาฆาตจ้องเขม็งมาที่บารมี แต่คนก่อเหตุก็หาได้กลัวเกรง


“ผมก็คือคนที่คุณสองคนกำลังพูดถึงอยู่ไง”


คำตอบนั้นทำเอาคนถามหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย


“ม...หมี่ ฟังพี่ก่อน หมี่กำลังเข้าใจผิดนะ พ..พี่ พี่กับเขา เราไม่ได้เป็นอย่างที่หมี่คิด” วรรษวรกล่าวทั้งที่เลือดกลบปาก พยายามแกะมือไม้ของอีกคนออก หวังจะเอาตัวรอด ซึ่งนั่นก็ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่คนที่มาด้วยกันอยู่ไม่น้อย


“ที่เขาเข้าใจมันก็ถูกแล้วนี่ครับวรรษ แล้วคุณยังจะไปบอกว่าเขาเข้าใจผิดได้ยังไงกัน” หนุ่มหน้าอ่อนยิ้มเยาะ “ของเก่าไร้ค่าถูกโยนทิ้ง มันก็สมควรแล้ว”


วรรษวรถอนใจพรืด รู้สึกไม่สบอารมณ์กับคำพูดที่คนรักคนปัจจุบันได้พ่นออกมา ชายหนุ่มยกหลังมือขึ้นซับเลือดพยายามควบคุมอารมณ์ก่อนจะกล่าว “ให้โอกาสพี่อีกสักครั้งนะครับหมี่ พี่ยังรักหมี่นะ”


“อย่าพยายามอีกเลยครับพี่วรรษ มันไม่มีประโยชน์หรอก พี่ก็รู้ว่าสถานะระหว่างหมี่กับอาจารย์หมอบวรมันคืออะไร ขอร้องละครับ”


“พี่ยังคิดถึงหมี่อยู่ตลอดเวลาจริง ๆ นะครับ”


“ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงหมอ เลิกคิดเรื่องเลว ๆ แล้วก็เลิกยุ่งกับบะหมี่สักที ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน” ปราณกำหมัดแน่น ในใจนึกอยากจะตามไปซ้ำอีกสักหนให้สาสมกับสิ่งที่ทันตแพทย์วรรษวรทำแต่กลับถูกเจ้าของร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างกันห้ามเอาไว้เสียก่อน


“กลับเถอะตี๋ หมอวรรษวรเขาฉลาดพอที่จะคิดได้ว่าเขาควรทำยังไง” พูดจบบารมีก็ตัดสินใจหันหลังให้กับอดีตแล้วเดินจากมาโดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองอีกเลย
   


...
        

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นต์ ขอบคุณที่ช่วยตรวจคำผิดให้ค่ะ
คิดว่าตอนล่าสุดนี้น่าจะทำให้หลาย ๆ เข้าใจจุดประสงค์ของการรุกหนักของหมอวรรษวรแล้วนะคะ
แต่เราไม่แน่ใจว่าเราทำให้ทุกคนเห็นภาพบารมีตรงกันไหม ที่ผ่านมาไม่เคยเขียนตัวละครลักษณะนี้
อาจจะไม่ได้โผงผางเปิดเผยแบบผู้ชายทั่ว ๆ ไป ดูเหมือนจะบอบบางแต่ก็ไม่ได้หวานแหววเหมือนผู้หญิงซะทีเดียว
ลักษณะของบารมีจะเป็นแนว ๆ รู้ว่าคนส่วนใหญ่ยากจะยอมรับในแบบที่เขาเป็น ซึ่งตัวเองก็เลือกไม่ได้
ไม่ได้อยากให้พ่อหรือใคร ๆ มองเป็นคนน่ารังเกียจ เลยสร้างเกราะขึ้นมาป้องกันตัวเองซะเลย (ออกแนวกังวลไปเอง)
ในแง่มุมของเรา บะหมี่เป็นตัวแทนของทั้งผู้หญิงผู้ชายที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง พยายามทำในแบบที่คิดว่าคนอื่นจะยอมรับ
(หมอวรรษวรคือหนึ่งในรายที่อาการหนักกู่ไม่กลับ) จนบางครั้งก็ลืมตัวตนไป
แต่มันก็มีบางคนยอมรับในสิ่งที่บะหมี่เป็นนะ (ใช่ไหม ๆ)
อาจจะดูขัด ๆ กับที่เคยเขียนมาบ้างละ เรายินดีรับฟังในทุกความคิดเห็นค่ะ
มีเรื่องอยากแจ้งให้ทราบยาวกว่านี้ไว้คุยตอนหน้านะคะ เป็นตอนสุดท้ายแล้ว ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-09-2015 09:36:41 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เกลียดดดด หมอวรรษ เลวมากกกก เล่นกับจิตใจคนอื่นแบบนี้ได้ไง
หมี่สู้ๆนะ อย่าได้แคร์คนแบบนั้น ลี้น้อยปลอบใจเฮียหน่อยเร็ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
เผยธาตุแท้ออกมาจนได้นะคะวรรษ อะไรจะเห็นแก่ตัวเองจนไม่ให้เกียรติแม้กระทั่งคนที่ปากเพิ่งบอกว่ารักไปได้หยกๆ ขนาดนั้นกัน ถือว่าเป็นโชคดีของหมี่จริงๆ เลยนะคะ ที่บังเอิญพาลี้น้อยเข้ามาทานอาหารร้านนี้แถมยังได้ยินทุกๆ คำพูดด้วยหูของตัวเองอีกต่างหาก น้ำหนักมันเลยมากพอให้หมี่ตัดขาดทุกๆ ความรู้สึกของรักเมื่อครั้งนั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ให้หายไปจนหมดได้ในคราวเดียวเลย ถึงแม้หมี่จะต้องรู้สึกเจ็บใจนิดๆ ที่ถูกว่าร้าย แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้วรรษเสแสร้งใส่กันนานไปกว่านี้นั่นล่ะเนอะ

ปล.1 หมี่อยากรู้จริงๆ เหรอคะว่าลี้น้อยซ่อนอะไรเอาไว้ใต้หมอน~~ :hao7:

ปล.2 คำผิดจ้า..^^

ริมฝีปากแห้งผากเอาแต่พร่ำพูดประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลือกตาปิดสนิ(สนิท)ที่หางตา

“ทำไมวะ เมื่อตอนแกเด็ก ๆ ฉันก็ช่วยแม่แกทำให้แบบนี้บ่อย ๆ ตอนแกไม่สบาย ทีแกกอดฉันทั้งคืนฉันยัง(ไม่)ว่าเลย” -คำที่ตกไป

คำถามของพี่ชายบ้านใกล้ ทำเอาน้องชายที่นั่งอยู่อีกฝั่งแทบสำลักจนต้องยกน้ำขึ้นดื่มแก้อาการไปไม่เป็น ปราณวางแก้วลงก้มอง(ก้มมอง)มือที่กำลังจับช้อนเขี่ยข้าวในชาม

ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดหาที่กับบัง(กำบัง)ระหว่าระ(ระหว่าง)รถสาธารณะที่นาน ๆ

“ผมบอกแล้วไงที่ผมต้องทำแบบนั้นก็เพราะเขาเป็นลูกชายของคุณหมอบวรหนึ่งในหุ่น(หุ้น)ใหญ่ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาล”

“ร...เราไปกินบะหมี่อาแปะกันดีกว่าเฮีย อาหารที่นี่ไม่เห็นจะน่ากินเลย ผมไม่อยากกินแล้ว” พูดบ(จบ)ก็วางปิดรายการอาหารก่อนจะวางลงอย่างไม่ใยดี

พริบตาเดียวร่างเล็กก็ปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อของเจ้าของคำพูดชวนสะอิดสะเอือน(สะอิดสะเอียน)นั่นเสียแล้ว

ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอื้อนเอ่น(เอื้อนเอ่ย)ถ้อยคำอะไรไปมากกว่านี้

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ได้รู้ความจริงซะอย่างนี้ก็ดีนะ... เฮียหมี่จะได้ตาสว่าง ตัดใยบัวที่เหลือได้ซะที

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
แอบมาปล่อยของอีกแย้วววว
ว่าแล้วอิหมอวรรษมันต้องมี
จุดประสงค์ไม่ดีแน่ๆที่กลับมา
หาหมี่แต่อย่างนี้มันช่างน่าโดน :z6: :z6: :beat:

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ชีวิตหมี่ยังคงเจอกับความเจ็บปวดอีกแล้ว 
คนในอดีตที่เคยทำให้เจ็บปวดหวังไว้ว่าปัจจุบันอาจจะดีขึ้น  แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป
คือความเป็นจริงบนโลกใบนี้เนอะ  ได้แต่สงสารและเจ็บปวดกับหมี่จริงๆ (อินอีกแล้ว)
คนหลอกลวงน่ากลัวกว่าผีมาหลอกอีกนะลี้น้อยเนอะ

พอลี้น้อยฝึกงาน รู้สึกสงสัยในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลี้หมี่  เหมือนเป็นแฟนกันเลยนะ  ปฏิบัติต่อกันโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
น้อยใจเรื่องเล็กๆน้อยๆกันแล้วนะ ต่างฝ่ายก็เริ่มรู้ใจตัวเองแล้วใช่ไหม  เพียงแต่ไม่อาจพูดออกมาได้ใช่ไหม
ชอบที่เอาใจใส่ความรู้สึกกัน  ลี้น้อยเมื่อรู้ตัวว่าผิดก็พูดขอโทษทันทีเลย  ใครได้เป็นแฟนนับว่าโชคดีมากๆเลย ว่าไหมหมี่555
ส่วนหมี่ก็พาไปร้านอาหารญี่ปุ่น(ไปนั่งทับรอยพี่วรรษซะเลย)แทนการขอโทษที่เคยพาพี่วรรษไปร้านบะหมี่ของสองเราใช่ไหม555

ตอนต่อไปตอนจบแล้วหรือค่ะ เตรียมตัว เตรียมใจ ยอมรับความเป็นจริง555
ขอบคุณมากๆนะคะ สนุกมากๆเลยค่ะ :L2:




ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
สมน้ำหน้าหมอฟันหน้าหม้อ โดนต่อยเลย  :katai2-1:

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1038
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
สงสารเฮียหมี่ แต่ก็ดีแล้วที่มาได้ยินกับตัวเองแบบนี้จะได้ไม่ต้องคิดมากไปคาดหวังตัดใจได้เด็ดขาด สู้ๆนะเฮียหมี่
ลี้จะคอยอยู่ข้างๆเฮียแน่นอน ปราณจะกล้าบอกความรู้สึกออกไปไหม

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
เมื่อไรหมี่จะมองคนข้างๆสักที :serius2:

ไอ้หมอวรรษเลวมาก นะต่อยอีกสักหมัดสองหมัด :fire:

ออฟไลน์ oss_tw

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :sad11:

เจ็บปวดแทนจริงๆ

รอตอนต่อไปค่ะ

  o13

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1


#คิดถึงหนักมาก...  :-[ ถธปทฟ

ตอนที่ 5 ::จะเป็นตอนจบจริงเร้อ  :ruready

แอบใจหายเล็กๆๆ รุ้สึกว่าสัมผัสชีวิต สองไม่เต็มอิ่มเลย ............อยากให้เรื่องยาวอีกจังเลย 

จะได้ละมุนละไม กับ นายบะหมี่ และ ลี้น้อยไปอีกนานๆๆๆ

 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven

‘ปราณ’ นักศึกษาชั้นปีที่สามของคณะมัณฑนศิลป์ ผู้มีความสุขกับการใช้ชีวิตและการจดจำเรื่องราวในแต่ละวัน ส่วนที่นั่งหน้าง้ำอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเพราะโดนจี้ใจดำก็คือ ‘บารมี’ ทันตแพทย์หนุ่มวัยยี่สิบหก ผู้ที่เชื่อเหลือเกินว่าคนเราเกิดมาเพื่อตามหารักแท้ แม้จะยังไม่เจอเลยสักครั้งแต่เขาก็ยังไม่หมดกำลังที่จะตามหา .

อยากรุ้ว่า ฉากเปิดเรื่องด้วยการดูดวง ...มีความหมายแฝงอะไรไหมครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด