Decision 2/3
ดาวิสมักจะมองลงมาจากหน้าต่างห้องตัวเองแล้วเห็นลีนัสที่แอบหนีออกไปตอนกลางคืนอยู่บ่อยครั้ง จนเห็นเป็นเรื่องปกติ เขาเลิกเป็นห่วงและเลิกตามไปตั้งแต่ครั้งแรกสุด แต่คราวนี้ดันมีองค์ชายเฟริคแอบตามไปเช่นนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบเดินลงไปดูที่สวนด้านหลัง และเดินวนไปวนไปด้วยความลังเลใจว่าจะตามเข้าไปดีหรือจะรอตรงนี้ดี ระหว่างที่คิดอยู่ตอนนั้นเอง ก็เห็นว่าองค์ชายเฟริคเดินกลับมาแล้ว ในสภาพเปลือยท่อนบน พร้อมกับอุ้มลีนัสที่มีบาดแผลที่ขาอยู่ในอ้อมกอด
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ดาวิสรีบวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที ภาพลีนัสที่หันมามองเขาด้วยความตกใจแล้วรีบหลบหน้าไปซุกกับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย ทำให้ดาวิสรู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้า แต่ก็พยายามจะข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้ทำตัวเสียมารยาทกับแขกออกไป
“ขออภัยองค์ชายที่ทำให้เดือดร้อน ข้ารับท่านลีนัสไปดูแลต่อเองขอรับ ท่านกลับไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องพักก่อนเถอะขอรับ” ดาวิสว่าพลางเดินเข้าไปช้อนร่างของลีนัสกลับมาโดยไม่รอฟังความเห็นใดๆจะอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรหรอก มาถึงนี่แล้วข้ายินดีช่วย” ถึงแม้เฟริคจะพยายามเอ่ยรั้งเอาไว้ แต่ดาวิสไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะหยุดฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้นในตอนนี้
“ท่านเป็นแขกของเรา อย่าได้ลำบากเลย ขอบคุณน้ำใจท่านมาก” ดาวิสพยายามทำตัวให้สุภาพที่สุดถึงพร้อมอุ้มลีนัสขึ้นมาแล้วรีบเดินจากเฟริคไปในทันที
“รักษาแผลเสร็จแล้วช่วยกรุณาเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังด้วยนะขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาร่างบางรู้สึกเสียววาบไปทั้งตัว
“...ท่านปล่อยข้าได้แล้วล่ะข้าเดินเองได้” หลังจากที่พ้นสายตาของเฟริคมาแล้วลีนัสก็ใช้เวทย์รักษาบาดแผลที่ขาตัวเอง แล้วรีบหาวิธีหลีกหนีดาวิสไปให้เร็วที่สุด แต่ท่อนแขนแกร่งที่อุ้มเขาอยู่นั้นไม่มีทีท่าว่าจะยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อย
“ก็แล้วทำไมไม่เดินเองตั้งแต่เมื่อครู่ล่ะ หรือจะเป็นแผนเชื่อมสัมพันธ์กับบริงไฮด์ของท่าน” ดาวิสยังคงตอบมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังข่มกลั้นอารมณ์โกรธที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
“พูดอะไรของท่าน ข้าไม่อยากให้คนนอกเห็นพลังของลีบลาต่างหาก หนำซ้ำองค์ชายมาที่นี่เพื่อหากำลังเสริมมิใช่หรือ ถ้าบริงไฮด์อยากจะได้เจ้าเมืองเข้าไปร่วมรบขึ้นมาจะให้ข้าทำยังไงเล่า” ลีนัสรีบแก้ตัวออกมาทันทีเที่รู้ว่าอีกฝ่ายชักจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่
“....” ดาวิสมองร่างบางในอ้อมแขนของตนด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ข้าพูดอะไรผิดรึไง?” ใบหน้าหวานขมวดคิ้วถามกลับไป
“เปล่า ข้าแค่คิดว่าท่านจะบอกว่า นั่นมันเรื่องของข้า เสียอีก” ดาวิสว่าพลางขำออกมาเบาๆจากลำคอ ทำให้ลีนัสนึกขึ้นได้ ว่าเขาไม่น่าจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่ายเอาเสียเลย
“ขอบคุณที่ช่วยอธิบายให้ข้าได้เข้าใจ” ดาวิสยิ่งตอกย้ำลีนัสก็หน้าแดงขึ้นมา แล้วดาวิสก็ขยับร่างบางในอ้อมแขนเข้ามาใกล้แผ่นอกแกร่งมากขึ้น ก่อนที่จะอุ้มขึ้นบันไดไปชั้นบน
“...ข้าบอกว่าเดินเองได้ไงเล่า ปล่อยข้าได้แล้ว” ลีนัสท้วงขึ้นมาเบาๆ
“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง ปกติข้าฝึกกับอย่างอื่นที่หนักกว่านี้เยอะ” ดาวิสดูอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้เห็นสีหน้าเขินอายขของอีกฝ่ายที่ไม่ได้เห็นมานาน
“...ขี้อวด” ลีนัสบ่นออกมาเบาๆด้วยความหมั่นไส้ ทำให้อีกฝ่ายขำออกมาอย่างถูกใจ เขาไม่ได้คุยกับดาวิสแบบนี้มานานมากแล้ว การได้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้งแบบนี้ทำให้หัวใจของเขารู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมา
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก กระทั่งดาวิสพาลีนัสเข้ามาถึงในห้องและวางร่างบางลงไปนั่งโซฟานุ่มหน้าเตียงนอน แล้วก็รีบลุกเดินหายเข้าไปในส่วนห้องน้ำทันที
“ท่านดาวิส?” ลีนัสหันไปเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาตกอยู่ในสถาพที่ทำอะไรไม่ถูก จะไล่อีกฝ่ายกลับไปอย่างทุกครั้งก็ทำไม่ลง ไหนเอยจะรู้สึกผิดที่แอบหนีออกไป ไหนจะลำบากให้อีกฝ่ายอุ้มขึ้นมาส่งถึงที่ห้องอีก ไม่นานนักดาวิสก็กลับมาพร้อมกับชามใส่น้ำใบใหญ่ใบหนึ่งและผ้าหนึ่งผืน
“....ข้าจัดการเองได้ ท่านกลับไปเถอะ” ลีนัสรีบเอ่ยปรามไว้เมื่อดาวิสเดินมาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นตรงหน้าเขา พร้อมจัดแจงเอาผ้าชุบน้ำเอาขึ้นมาบิด มือที่ยกขึ้นมาห้ามถูกอีกฝ่ายคว้าไปเช็ดคราบเลือดออกอย่างทะนุถนอม
“นี่ฝีมือลูลู่สินะ” อยู่ๆดาวิสก็เอ่ยสรุปเหตุการณ์ขึ้นมาอย่างเรียบง่าย ทำเอาลีนัสสะดุ้งโหยง
“...!?” หน้าตาตกอกตกใจของลีนัสทำให้ดาวิสกระตุกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก พร้อมหยิบขนสุนัขป่าสีดำที่ติดมากับแขนเสื้อออกมาให้ดู แต่นั่นก็ไม่ได้ตอบคำถามได้ว่าทำไมดาวิสถึงรู้ว่าเป็นลูลู่ได้
“ข้าเดาถูกสินะ” ลีนัสเกลียดดาวิสที่อ่านสีหน้าของเขาได้ทะลุปรุโปร่งเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวนโดยที่เขายังไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
“ท่านรู้ได้ยังไงว่าเป็นลูลู่...เดี๋ยวท่านจะทำอะไรน่ะ” ลีนัสขมวดคิ้วถามขณะที่ดาวิสบรรจงถอดรองเท้าบู๊ทหนังของอีกฝ่ายออกอย่างช่ำชอง
“นี่ท่านรู้รึเปล่าว่าจากหน้าต่างห้องนอนข้ามองลงมาเห็นสวนข้างหลังน่ะ” คำถามสั้นๆของดาวิสทำให้ลีนัสสมองว่างเปล่าไปในฉับพลัน เขาไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้ ว่าเขาแอบหนีเข้าไปในป่ามาโดยตลอดแต่ไม่ได้พูดอะไร
“ไม่ใช่แค่ข้าหรอกนะ ทหารการ์ดเองก็เห็นจะเป็นเรื่องปกติแล้วเหมือนกัน ข้าเป็นคนบอกเองว่าปล่อยท่านเจ้าเมืองได้ออกไปวิ่งเล่นบ้าง” ยิ่งตอกย้ำลีนัสก็หน้าแดงขึ้นมาเพราะอับอาย โดยเฉพาะที่ดาวิสแกล้งใช้คำว่า”ออกไปวิ่งเล่น”เหมือนว่าเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ เมื่อครู่นี้เขากลัวที่จะต้องบอกความจริงกับดาวิสอยู่แทบแย่ แต่อีกฝ่ายกลับรู้ดีอยู่แล้วเสียอีก ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายนัก
ลีนัสที่มัวแต่รู้สึกอับอายไม่เหลือหน้าจะสู้กับอีกฝ่าย ไม่ทันได้รู้ตัวว่ารองเท้าทั้งสองข้างของเขาถูกถอดออกมาแล้ว ไม่ทันได้คิดตามว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อไปสักนิด
“ดูเป็นองค์ชายที่ทำอะไรเองเป็นหลายอย่างอยู่นะขอรับ” ดาวิสเอ่ยชมองค์ชายขึ้นมาขณะที่แกะเสื้อที่พันแผลเอาไว้อย่างมืออาชีพ ลีนัสรู้สึกว่าเขาไม่ต้องเล่าอะไรให้มากความเลย ในเมื่อดาวิสค่อยๆวิเคราะห์เรื่องราวได้เองตามทุกอย่างที่เขาเห็น ซ้ำยังจะดูเหมือนว่ารู้ไปหมดทุกอย่างอีก
“ขออนุญาตนะขอรับท่านลีนัส” อยู่ๆดาวิสก็ลุกขึ้นแล้วโน้มตัวเข้ามาหาพร้อมกับเคลื่อนมือมาปลดกระดุมกางเกงของเขาออก
“เดี๋ยว!! ท่านดาวิส...ตรงนี้ปล่อยข้าจัดการเองเถอะขอรับ...ขอบคุณท่านมาก...” ลีนัสรีบจับมือทั้งสองข้างของดาวิสออกมาให้ห่างจากขอบกางเกงของเขาอย่างว่องไว
“ข้าบอกแล้วว่าจะให้ท่านเล่ารายละเอียดให้ฟังไงล่ะขอรับ” ดาวิสเอ่ยตอบกลับมาเบาๆที่ข้างหูของอีกฝ่าย ทำเอาร่างบางขนลุกซู่ขึ้นมา
“แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนขอรับ!!”
“ก็ในเมื่อท่านไม่เล่าให้ข้าฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ต้องค่อยๆสืบเอาเองน่ะสิ” ดาวิสไม่พูดเปล่า เคลื่อนมือหนาเข้าไปจับขอบกางเกงของร่างบางอีกครั้ง
“ก็ได้ๆ ข้าเข้าไปหาซีมัส แต่องค์ชายเฟริคแอบตามข้าไป ลูลู่ก็เลยจะจู่โจมองค์ชายแต่ข้าเข้าไปกันไว้ ก็เลยล้มเป็นแผล พอใจรึยังขอรับ…..ให้ตายสิข้าไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหนเลย” ลีนัสรีบอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดาวิสจึงถอนกำลังออกไปแต่โดยดี ทำให้ร่างบางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ซีมัสยังไม่ยอมออกมาเจอหน้าท่านสินะ” คำถามนั้นทำให้ลีนัสขมวดคิ้วมองคนถามด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมท่านถึงรู้?” ดาวิสคลี่ยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าขึ้้นมา
“ก็บอกว่าห้องนอนข้ามองลงมาเห็นสวนข้างหลัง เห็นท่านเดินมาทำหน้าผิดหวังทุกครั้งนั่นแหละ” ลีนัสนึกโทษตัวเองที่ไม่รู้จักคิดอะไรให้รอบคอบ ปล่อยให้ดาวิสเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้ละเอียดขนาดนี้ รู้สึกเหมือนพ่ายแพ้ยับเยิน
“ข้าจะบอกอะไรเกี่ยวกับซีมัสให้เจ้าฟังเอาไหมลีนัส แต่เจ้าต้องปล่อยให้ข้าตรวจดูบาดแผลที่ต้นขาของเจ้าก่อน” ข้อเสนอของดาวิสทำให้ลีนัสรู้สึกลำบากใจขึ้นมา ดาวิสไม่พูดเปล่า หยิบเศษเสื้อของเฟริคที่ทำเป็นผ้าพันแผลเมื่อครู่ขึ้นมาคลี่ออก แล้ววางคลุมช่วงเอวอีกฝ่ายเอาไว้
“ข้าบริการให้สำหรับคนหน้าบางเช่นท่านก็แล้วกัน” หลังจากที่คลุมผ้าลงมาก็ล้วงมือเข้าไปข้างใต้ผ้าผืนนั้นเพื่อปลดกางเกงอีกฝ่ายออกแล้วรูดลงมาทันที
“ท่านดาวิส!!?” ลีนัสรีบจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่นเพื่อขัดขืน แต่แล้วดาวิสขยับตัวเข้ามากระซิบเสียงแผ่วๆที่ข้างหู
“รบกวน ยกสะโพกขึ้นให้หน่อยได้ไหมขอรับ” เสียงทุุ้มต่ำที่กระซิบบอกที่ข้างหูฟังดูกำกวม ทำเอาใบหน้าหวานแดงซ่านขึ้นไปถึงใบหู ในหัวของเขารู้สึกสับสนขึ้นมาจนยอมขยับยกสะโพกขึ้นมาแต่โดยดี
ช่วงเวลาสั้นๆที่ลีนัสเหมือนโดนสะกดจิตให้ทำตาม มากพอที่ดาวิสจะรูดกางเกงลงมาได้อย่างฉับไว ลีนัสก็รีบเลื่อนมือตัวเองมาปิดจุดสำคัญของตัวเองทันที ดาวิสเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเช่นนั้นก็อดขำออกมาไม่ได้
“ขำอะไรของท่านเล่า จะทำอะไรก็รีบๆทำ” ลีนัสเบือนหน้าหลบสายตาคมของอีกฝ่ายไปทางอื่นแล้วโวยวายออกมา
“อนุญาตข้าแบบนี้จะดีหรือท่านลีนัส” ดาวิสแกล้งพูดให้ฟังดูมีนัยะแฝง พลางกลับลงไปนั่งชันเข่ากับพื้นอีกครั้งเพื่อที่จะบิดผ้าขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่ต้นขาของอีกฝ่ายออก
“ข้าหมายถึง….อะ!!” ร่างบางพยายามจะแก้คำพูดตัวเอง แต่เมื่อสัมผัสเย็นๆจากผ้าในมือของดาวิสแตะลงมาที่ต้นขาเนียนขาว เขาก็ต้องสะดุ้งตัวขึ้นมาด้วยความตกใจ
“อย่ายั่วข้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็ไม่เสร็จเสียที” ดาวิสยังคงสนุกสนานกับการแกล้งร่างบางตรงหน้า
“ข้าไม่ได้จะยั่วเสียหน่อย หยุดพูดแบบนั้นเสียทีได้ไหม….” ลีนัสหันมาขมวดคิ้วบ่นอีกฝ่ายกลับไป ในจังหวะที่ดาวิสกำลังก้มลงเอาผ้าไปชุบน้ำในชามแล้วเงยหน้ากลับขึ้นมาพอดี
“.......” แววตาทั้งสองสบมองกันแล้วนิ่งไป ด้วยตำแหน่งที่ดาวิสนั่งลงกับพื้นตรงหน้าลีนัสนั้นดูวาบหวาบนัก ทำให้ลีนัสเผลอขยับขาทั้งสองข้างให้เข้ามาชิดกันมากขึ้น ปฏิกิริยาของลีนัสทำให้ดาวิสกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา
“มุมนี้นี่ไม่เลวเลยทีเดียว” ดาวิสเอ่ยแซวขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“...อะ!!” ดาวิสหยิบผ้าชุบน้ำขึ้นมาเช็ดต้นขาขาวของอีกฝ่ายอีกครั้ง และแกล้งรูดปลายนิ้วไปตามซอกขาด้านล่าง ทำให้ร่างบางเผลอจิกปลายเท้าลงกับขอบโซฟาแน่น
“พอแล้ว!! ตกลงท่านจะเล่าอะไรให้ข้าฟังเกี่ยวกับซีมัสก็รีบๆเล่ามาได้แล้ว แค่นี้น่าจะพอใจท่านแล้วนะ” ลีนัสรีบผลักแขนของดาวิสออก แล้วรีบดึงหัวข้อสนทนากลับมาก่อนที่เขาจะถูกอารมณ์พาไปไกลกว่านั้น ส่วนดาวิสนั้น เมื่อได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาก็ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ก็ไม่มีอะไรมาก ข้าก็แค่พอจะเข้าใจเด็กหนุ่มวัยกำลังต่อต้าน ท่านไม่ต้องคิดอะไรมากนักหรอก”
“....นี่มันสามปีกว่าเข้าไปแล้วนะขอรับ ซีมัสคงจะโกรธข้าจริงๆ” ลีนัสขมวดคิ้วทำสีหน้ากังวลใจออกมา
“ก็นั่นน่ะสิ สามปีกว่าแล้ว ข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน...” ดาวิสทิ้งผ้าลงไปในชามแล้วลุกขึ้นยืน
“...ว่าตกลงเจ้ายังโกรธข้าอยู่ หรือจะทดสอบอะไรข้ากันแน่” ดาวิสเอ่ยพลางเชยคางมนขึ้นมองสบตา แต่แล้วนัยน์ตาสีเพลิงก็รีบหลบไปทันที ท่าทีของลีนัสทำให้ดาวิสต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ดึกมากแล้วข้ารบกวนท่านเพียงเท่านี้แล้วกันขอรับ” ดาวิสปล่อยคางมนให้เป็นอิสระแล้วเดินจากไปแต่โดยดี ทิ้งให้ร่างบางที่ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอยู่บนโซฟา
สิ้นเสียงปิดประตูห้องลง ร่างบางก็ทิ้งตัวลงไปนอนบนโซฟาแล้วซุกหน้าลงกับหมอนนุ่มใบใหญ่ทันที…..ทำไมท่านไม่ปล่อยข้าไปเสียที
“อ้าว ท่านดาวิส เพิ่งตื่นเหรอคะ วันนี้แปลกจัง” น้ำเสียงหวานใสที่เอ่ยทักขึ้นมาตั้งแต่เขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าลงมายังชั้นล่าง ราวกับประกาศให้คนในที่ว่าการได้รับทราบถึงการตื่นสายของเขา ทุกทีดาวิสจะตื่นออกไปออกกำลังตอนเช้าที่สนามฝึกตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ทำให้เขากลับมานึกย้อนกลับไปด้วยความเสียดายจนนอนไม่หลับแทบทั้งคืน
นานๆทีลีนัสจะยอมเปิดโอกาสให้เขาเข้าใกล้ได้ขนาดนี้ เขาไม่น่ายอมปล่อยลีนัสออกมาง่ายๆแบบเมื่อคืนนี้เลยจริงๆ คิดพลางก็นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะนอนหลับได้ปกติดีหรือไม่ จึงแกล้งเอ่ยถามเรเชลไป
“อืม โทษที ท่านลีนัสตื่นรึยังน่ะ”
“ท่านลีนัสเคยตื่นสายด้วยเหรอคะ” เด็กสาวขมวดคิ้วถามกลับมา ทำให้ดาวิสแอบคิดอยู่ในใจว่าเขาจะทำให้เจ้าเมืองตื่นสายให้ดูสักวันเป็นขวัญตาเสียนี่
“อืม นั่นสินะ ข้าออกไปข้างนอกก่อนนะเดี๋ยวเข้ามา” ดาวิสทำเป็นตอบกลับมาเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนักก่อนจะปลีกตัวออกไปจัดการธุระตามตารางงานของตน
ทว่าวันนี้ดูจะมีเรื่องวุ่นวายแต่เช้า เมื่อมีคนวิ่งเข้ามาแจ้งเรื่องเหมืองที่อยู่ๆก็ถล่มลงมา ทำให้ดาวิสต้องรีบเกณฑ์คนลงพื้นที่ไปดูสถาณการณ์เบื้องต้น เมื่อพบว่าประตูเหมืองที่ถล่มยับลงมาสาหัสเกินกว่าที่กำลังทหารแกร่งของเขาจะทำอะไรได้ ยิ่งต้องแข่งขันกับเวลาที่อากาศข้างในจะหมดไปก่อนด้วยแล้ว ดาวิสจึงตัดสินใจส่งคนไปเรียกเจ้าเมืองมาทันที
ดาวิสยืนมองเจ้าเมืองหนุ่มร่างบางร่ายเวทย์เรียกภูติร่างยักษ์ออกมาคลี่คลายสถานการณ์ไปอย่างง่ายดาย เขาแค่นยิ้มออกมานิดๆเมื่อคิดว่า สุดท้ายแล้วคนที่แกร่งที่สุดในเมืองเวลเฮมมิน่า กลับเป็นเพียงชายหนุ่มร่างบางเบาที่เมื่อคืนนี้เขาอุ้มเดินขึ้นบันไดได้อย่างสบายๆคนนึงเท่านั้นเอง
ระหว่างที่ภูติร่างยักษ์ปรากฏตัวขึ้นมานั้น บรรดาชาวบ้านก็ต่างเข้ามามุงดูกันยกใหญ่ ทำเอาบรรดาทหารต้องเข้ามากันพื้นที่เอาไว้ ขณะที่ดาวิสกวาดสายตามองสถานการณ์รอบๆอยู่นั้น ต้องสะดุดไปเมื่อเห็นแขกคนสำคัญของเขาอยู่ในบริเวณนั้นด้วย
นัยน์ตาสีทองขององค์ชายจ้องมองภูติร่างยักษ์ที่ลีนัสเรียกออกมาอย่างชื่นชม ก่อนจะคลี่ยิ้มกริ่มขึ้นมา ทำให้ดาวิสรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
“ท่านดาวิส” เสียงลุคซ์เอ่ยเรียกเมื่อปากเหมืองถูกเปิดออกแล้ว ดาวิสจึงละสายตาออกมาจากเฟริคแล้วเดินนำนายทหารกลุ่มเล็กๆเข้าไปข้างใน เพื่อนำผู้ที่ติดอยู่ข้างในออกมา
เมื่อเดินกลับออกมาจากเหมืองแล้วดาวิสก็รีบกวาดสายตามองหาเฟริคอีกครั้ง แล้วก็เห็นว่ากำลังคุยอะไรบางอย่างกับลีนัสอยู่ นอกจากองค์ชายจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจที่ทำตัวเหมือนจะมีแผนการอะไรบางอย่างแล้ว ยังจะทำตัวลุ่มล่ามกับลีนัสของเขาอีก
“เอ่อท่านดา...วิส…”ลุคซ์ที่เดินเข้ามาเพื่อจะขอเวลาให้ญาติของคนที่ดาวิสเพิ่งจะช่วยออกมาได้เอ่ยขอบคุณ แต่เมื่อเห็นแววตาที่หรี่มองยังที่เฟริคกับลีนัสอย่างไม่สบอารมณ์เช่นนั้น ก็รีบผ่อนเสียงเบาลงไม่กล้าเข้าไปรบกวน เด็กหนุ่มรีบเดินวกกลับไปแจ้งว่าเจ้าตัวไม่สะดวกคุยด้วยทันที
ดาวิสต้องข่มกลั้นตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปผลักเฟริคให้ออกไปจากลีนัส ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นองค์ชายจากบริงไฮด์ ถ้าเขาปล่อยตัวเองเข้าไปทำเรื่องเสียมารยาทขึ้นมา คงจะทำให้เกิดปัญหาปวดหัวตามมาให้ลีนัสไม่น้อย เขาจึงรอจนกระทั่งลีนัสเดินจากองค์ชายออกมา
แต่เมื่อแววตาของลีนัสสบเข้ากับดาวิส ร่างบางก็รีบเปลี่ยนทิศทางเดินไปหาม้าที่ตนควบมาเมื่อครู่ทันที ดาวิสจึงรีบเดินเข้าไปหาและรั้งแขนของลีนัสเอาไว้
“ท่านลีนัส…..” แววตาสีเพลิงหันกลับมองอย่างหน่ายระอา แล้วปลายตามองลงไปยังมือของดาวิสที่จับท่อนแขนของเขาอย่างตำหนิ ทำให้ดาวิสชะงักไป และเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาไม่ควรจะจับตัวลีนัสในที่ชุมชนตามอำเภอใจแบบนี้จึงรีบปล่อยมือ
“มีปัญหาอะไรที่ข้าควรจะทราบไหมขอรับ”
“ไม่เป็นไร ข้าจัดการเองได้ ถ้ามีอะไรจะให้เรเชลแจ้งให้ทราบ” ลีนัสเอ่ยตัดบทก่อนจะกระโดดขึ้นม้าแล้วควบหนีกลับไป ดาวิสอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจหนักออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปมององค์ชายที่ยืนยิ้มกริ่มอย่างสบายใจอยู่ตรงนั้น ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
กลางดึกสงัดคืนนั้น หลังจากที่องค์ชายเข้ามาแจ้งว่าจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ พร้อมทั้งประกาศจุดประสงค์ของตัวเองด้วยความั่นใจ
“อยากจะรู้นักว่า ถ้าอยู่ๆท่านตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ในบริงไฮด์แล้วท่านจะยังปากดีแบบนี้อยู่ไหม” ลีนัสนั่งขมวดคิ้วจ้องมองแสงเทียนในห้องทบทวนสิ่งที่เฟริคได้เอ่ยไว้ มือสองข้างประสานวางไว้บนโต๊ะกุมมือตัวเองไว้แน่น ก่อนที่จะตัดสินใจยันมือลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมร่างในชุดนอนสีขาวตัวยาว แล้วเดินออกจากห้องไป
ร่างบางเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพักของรองเจ้าเมือง เขาหายใจเข้าลึกๆทีหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นมาทำท่าจะเคาะประตูห้อง แต่แล้วก็หยุดมือไว้แค่ตรงนั้นแล้วถอนหายใจออกมา
แต่แล้วอยู่ๆประตูห้องก็เปิดออกโดยเจ้าของห้องเอง ทำให้ลีนัสสะดุ้งตกใจรีบถอยหลังออกมาสองก้าว เจ้าของห้องก็เลิกคิ้วขึ้นมองผู้ที่ยืนอยู่ข้างหน้าด้วยความงุนงง
“...ท่านลีนัส?”
“ท่านจะออกไปข้างนอกหรือขอรับ?” ลีนัสถามกลับไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแต่งตัวนอกเครื่องแบบเหมือนเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก
“อ้อ...เอ่อ...ข้านอนไม่หลับน่ะ เลยว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกเสียหน่อย แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องแล้ว”
“...เอ่อ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่เวลางานอยู่ดี ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่าขอรับ” ลีนัสตัดสินใจปลีกตัวกลับไป แต่ถูกแขนแกร่งของอีกฝ่ายคว้าข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน
“ถ้ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ท่านคงไม่มาหาข้าเวลาแบบนี้ ข้าปล่อยท่านไปแบบนี้ไม่ได้หรอกขอรับ” ดาวิสเคลื่อนมือลงมาจับที่อุ้งมือนุ่มของอีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามาหาตัวเองเบาๆ
“เข้ามาคุยข้างในก่อนเถอะขอรับ” เมื่อลีนัสถูกมือที่อ่อนโยนของอีกฝ่ายจูงเข้ามาในห้องอย่างง่ายดาย
“เชิญท่านเจ้าเมือง” ดาวิสผายมือไปที่โซฟาตัวยาวในห้อง ส่วนตัวเองนั้นเดินไปลากเก้าอี้ทำงานมาจากโต๊ะทำงานเล็กๆในห้องมานั่งลงข้างๆ เขาตั้งใจเรียกชื่อตำแหน่งของอีกฝ่ายเพื่อให้รู้สึกว่าเขาพร้อมจะรับฟังเรื่องงาน ไม่คิดจะลามปามไปเรื่องส่วนตัวที่เขายังมีเรื่องค้างคากับอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย
“เรื่องที่เหมืองวันนี้น่ะ เป็นฝีมือขององค์ชายเฟริคเอง” ลีนัสเริ่มต้นเล่าดาวิสก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เขามีลางสังหรณ์แปลกๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าอยู่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของเฟริค ดูเหมือนว่าเขาต้องระวังองค์ชายมากขึ้นกว่านี้
“เพื่อจะทดสอบความสามารถของท่านน่ะหรือขอรับ” ดาวิสเอ่ยถาม ลีนัสจึงพยักหน้ารับช้าๆ
“ดูเหมือนองค์ชายต้องการจะยืนยันแค่นั้นจริงๆ เพราะพรุ่งนี้องค์ชายจะเดินทางกลับ ข้าไม่รู้ว่าองค์ชายรู้เกี่ยวกับลีบลามากแค่ไหน และข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริงไฮด์ ข้าไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้องค์ชายดูมั่นใจนักว่าข้าจะต้องยอมไปบริงไฮด์” ลีนัสขมวดคิ้วทอดสายตาไปยังพื้นตรงหน้าที่ว่างเปล่าอย่างครุ่นคิด
“แต่ในเมื่อองค์ชายต้องการกำลังเสริมทัพหลัก หากท่านไม่คิดจะร่วมมืออยู่แล้ว ก็ไม่มีความหมายอะไรมิใช่หรือ”
“เรื่องนั้นข้าเองก็สงสัย...ท่านดาวิส” ลีนัสสะดุดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“ขอรับ?”
“ข้าฝากท่านส่งคนไปดูแลครอบครัวข้าได้ไหม แล้วก็ข้าอยากได้คนดูแลเรเชลใกล้ๆด้วยในช่วงนี้…” ลีนัสเริ่มนั่งไม่ติด ต้องลุกขึ้นมาแล้วเดินวนไปรอบๆพลางไล่คิดถึงความเป็นไปได้ที่เฟริคจะใช้อะไรมาบีบบังคับให้เข้ายอมร่วมรบ พอคิดขึ้นมาก็ต้องคำรามออกมาอย่างหงุดหงิด
“อา….ให้ตายเถอะ ให้ข้าไล่ทวนดูว่าข้าจะเหลือจุดอ่อนตรงไหนบ้าง ที่องค์ชายจะเอามาบีบข้า ก็เป็นไปได้ทุกอย่างนั่นแหละแม้แต่ท่านก็ใช่” ลีนัสพล่ามออกมายาวจนหลุดปากออกมา พอหันกลับมามองหน้าคู่สนทนาที่กำลังเลิ่กคิ้วขึ้นมองมา ก็รีบเบือนหน้าหันไปทางอื่น
“...ข้าหมายถึงทุกคนในเวลเฮมมิน่านั่นแหละ” ลีนัสรีบกลบเกลื่อนไปเหมือนเป็นเรื่องปกติ ดาวิสไม่คิดว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากอย่างไม่ตั้งใจของอีกฝ่ายนั้น จะทำให้เขารู้สึกเขินขึ้นมาได้เหมือนกัน ดีว่าอีกฝ่ายหลบหน้าเขาไปก่อน จึงกระแอมไอขึ้นมาแล้วพยายามเอ่ยสรุปให้เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น
“....เอาเป็นว่าช่วงนี้ข้าจะจัดคนดูแลให้เป็นพิเศษแล้วกันขอรับ”
“ข้าฝากท่านอีกเรื่องหนึ่งได้ไหมท่านดาวิส” ลีนัสหยุดเดินวนแล้วหันกลับมาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถ้าข้าต้องไปบริงไฮด์จริงๆ ข้าฝากดูแลเวลเฮมมิน่าด้วย ท่านอาจจะต้องไปรบกวนท่านเฮมิสอีกครั้งนึง แต่ข้าคิดว่าท่านเฮมิสจะเข้าใจ”
“....ทำไมท่านถึงได้พูดแบบนั้นขอรับ” ดาวิสลุกขึ้นยืนบ้าง เหมือนจะคัดค้านในสิ่งที่ลีนัสฝากฝั่ง
“ถ้าข้าถูกบังคับให้ต้องเป็นเครื่องมือเพื่อสงครามขึ้นมา ข้ายอมตายเองเสียดีกว่าน่ะสิ…!!” ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรจบดีนัก ดาวิสก็เข้ามากอดเขาไว้แน่น
“อย่าแม้แต่จะคิดที่จะทำแบบนั้นเลยได้ไหม” ดาวิสกอดลีนัสไว้แน่นเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลุดหายไปตรงหน้า
“ท่านดาวิส?”
“ถึงท่านถูกพาไปบริงไฮด์ ข้าก็จะตามท่านกลับมา ข้าสัญญา” ดาวิสเอ่ยกระซิบบอกร่างบางที่ข้างหู ทำให้หัวใจของลีนัสรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมา นานมากแล้วที่เขาไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้
“.....ข้าบอกท่านให้ดูแลเวลเฮมมิน่าแทนข้า ไม่ใช่มาตามข้า ตั้งใจฟังข้าบ้างไหม” ลีนัสรีบผละตัวเองออกจากอ้อมอกแกร่งก่อนที่ตัวเองจะเผลอจมเข้าไปสู่ความอบอุ่นนั้น และไม่อาจจะถอนตัวออกมาได้อีก
“ข้ามีเรื่องจะรบกวนท่านเพียงเท่านี้แหละ ข้าขอตัว” ลีนัสรีบเอ่ยลาแล้วเดินไปที่ประตูห้องจะเปิดออก แต่แล้วอยู่ๆคำพูดของเฟริคก็หวนขึ้นมาในความคิด ถ้าคืนนี้เขาหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอยู่ที่บริงไฮด์จริงๆ เขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าดาวิสอีก นึกขึ้นได้เช่นนี้มือข้างที่จับลูกบิดประตูห้องก็นิ่งไป ระหว่างนั้นท่อนแขนแกร่งของเจ้าของห้องก็เท้าลงมาพิงที่บานประตูห้อง แล้วโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูเจ้าเมืองร่างบางที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“อย่าลังเลให้ข้าเห็นแบบนี้สิขอรับ” เสียงทุ้มๆนุ่มหูกระซิบขึ้นมาเบาๆ ทำเอาหัวใจของลีนัสเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
End 2/3
ไม่อยากจะบอกเลยว่าเกินมา200ตัว ขอตัดฉากต่อไปไปก่อนนะ ให้เวลาเตรียมทิชชู่ไว้รอซับเลือดก่อน
