พิมพ์หน้านี้ - [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale2new prelude) 18 May. 2016

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: hayeebaba ที่ 21-08-2015 10:06:57

หัวข้อ: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale2new prelude) 18 May. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 21-08-2015 10:06:57
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


















___________________________________________________________________________________________
(http://i61.photobucket.com/albums/h56/hayeena/Libra_heart/Cover%20copy.jpg) (http://s61.photobucket.com/user/hayeena/media/Libra_heart/Cover%20copy.jpg.html)

สวัสดีค่ะ

สำหรับเรื่องนี้จะเป็นแนวแฟนตาซีพรีเรียตตะวันตกนะคะ ได้แรงบันดาลใจจากโดจินR.O.สั้นๆที่พยายามจะวาดให้จบก็ไม่จบ เอาใบชุบมาชุบเกิดใหม่เป็นนิยายค่ะ 555 (แปลงร่าง) เรื่องจบเรียบร้อยแล้วนะคะ ขอบคุณที่ให้ความร่วมือ ไม่มีการคอมเม้นแทรกใดๆระหว่างลงตอนเลย (มีน้อยมาก)  เรียงตัวกันสวยงาม ดีใจน้ำตาจะไหล (ไม่ใช่แล้ว!!!?)

อ่านอยู่ก็เผยตัวออกมาบ้างก็ได้นะคะ จะนับเป็นพระคุณอย่างสูง

สวัสดี






หัวข้อ: Re: Libra's Heart
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 21-08-2015 10:10:26
(http://i61.photobucket.com/albums/h56/hayeena/Libra_heart/Sketch93153141_1.jpg) (http://s61.photobucket.com/user/hayeena/media/Libra_heart/Sketch93153141_1.jpg.html)

Content
 Act 1 : Wilhelmina  (2parts)........................P.1
 Act 2 : Brighid's Prince  (2parts)....................P.1
 Act 3 : The Demon (2 parts)........................P.1 (ขออนุญาตเพิ่มฉากค่ะ 3Dec.2015)
 Act 4 : Brother complex (3 parts)....................P.1
Act 5 : Controversy (3 parts)............................ P.1
Act 6 : Grew up (3 parts) ..........................P.1
Act 6.5 : Special fan service  ♥♥♥ (mini part).......P.1
Act 7 : Decision (3 Parts) ......................P.1
Act 8 : Weakness (3 Parts).........................P.1
Act 9 : Mastermind (1/3)..........................P.1
(2/3-3/3) ............................P.2
Act 10 : Release(3 Parts) .........................P.2
Act 11 : Finale .......................................P.2
Act 12 : Finale 2 New prelude (2parts) .....................P.2
(แถม55 สุดท้ายละ หลังเครดิตหนังขึ้นต้องมีตัวอย่างหนังตอนต่อไป)


ไม่ต้องลิงค์นะคะ นิยายเรื่องนี้เรียงตัวกันสวยงาม หมุนเม้าส์ลงไปเรื่อยๆเลยค่ะ คอมเม้นไม่มีแทรกขึ้นมาให้หายากแต่อย่างใด   :ling2:
(เศร้าแป๊บ...)


Title : Libra’s heart : Act. 1 Wilhelmina (Part1/2)


บนโลกนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถเหนือมนุษย์อยู่หลายชนิด
ที่มนุษย์บางคนเรียกว่าภูติหรือปีศาจทั้งหลาย
แต่ก็ยังมีมนุษย์บางคนที่สามารถยืมความสามารถของเหล่าภูติมาใช้ประโยชน์ได้
 คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่าผู้รักษาความสมดุล หรือ”ลีบลา”
 .
 .
 .
 .
 .
 .
 .
     หนังสือเล่มหนาถูกปิดลงเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นนวดที่หว่างคิ้วสีเทาตัดกับผิวสีแทน แววตาสีเหลืองทองเหลือบออกไปมองนอกหน้าต่างรถม้าที่เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เชื่องช้าเกินไปสำหรับจิตใจอันเร่งรีบของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างใน จุดมุ่งหมายของเขาคือเมืองเวลเฮมมิน่า เมืองเล็กๆที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรในพื้นที่การปกครองของเมืองหลวงบริงไฮด์ แต่ทว่ากลับมีบันทึกการเดินทางของบรรดานักผจญภัยหลายต่อหลายคน ที่เขียนถึงเมืองๆนี้ได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครองที่แปลกประหลาด ไม่ได้สืบเชื้อสายเจ้าเมืองเหมือนเมืองอื่นๆ ระบบการจัดการกองกำลังทหาร การแบ่งใช้พื้นที่ใช้สอยของชาวเมืองกับสิ่งที่เรียกว่า “ภูติและปีศาจ” ที่สำคัญคือบุคคลที่ถูกเรียกว่าลีบลา

      เฟริควางหนังสือเล่มเมื่อครู่ไปเก็บไว้ในกล่อง เขาเลือกอ่านบันทึกของนักผจญภัยที่เอ่ยถึงเมืองนี้มาสามเล่มแล้ว ไม่ว่าจะเล่มไหนก็รู้สึกเกินจริงเหมือนอ่านนิทานก่อนนอนไม่มีผิด วันนี้เป็นโอกาสของเขาที่ได้เข้าไปเยือนเมืองที่ว่านี้ในฐานะองค์ชายแห่งบริงไฮด์ โอกาสสำคัญที่ได้ออกมานอกรั้ววังหลวงและได้เจอกับของจริงนอกหนังสือเล่มนี้เสียที

      รถม้าเคลื่อนผ่านเข้าสู่พื้นที่ป่า ทำให้แดดเปรี้ยงๆที่สาดส่องลงมาหายไปฉับพลัน องค์ชายจึงได้เลื่อนหน้าต่างให้เปิดออกกว้างขึ้น อากาศเย็นชุ่มช่ำลอยเข้ามาในรถม้าทำให้เรือนผมยาวสีเทาที่รวบไว้ที่ท้ายทอยปลิวสะบัดรับลมเย็น ถนนสายหลักที่เอาไว้เข้าออกเมืองสำหรับการส่งเสบียงและสินค้า ถูกตัดไว้อย่างดีโดยที่ยังคงพื้นที่ป่าที่เขียวชอุ่มเอาไว้ ต้นไม้ใหญ่อายุยืนยาวหลายต้นยังคงอยู่ที่นี่เหมือนว่าไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่แถวนี้ ทิวทัศน์ที่เห็นตอนนี้กับสายลมเย็นสบาย ทำให้มีรอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคาย เขาสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของเมืองๆนี้ตั้งแต่ยังเดินทางไปไม่ถึงตัวเมืองเสียด้วยซ้ำ

      ผ่านป่ารกทึบไปแสงแดดก็กลับส่องสว่างลงมาอีกครั้ง ต้นไม้ใหญ่เริ่มหายไป แทนที่ด้วยทุ่งข้าวสีเขียวอ่อน ชาวเมืองที่ทำกิจกรรมต่างๆเห็นขบวนรถม้าผ่านมาต่างก็หยุดมองตามกันเป็นตาเดียวกันหมด เฟริคไม่แปลกใจอะไรที่ชาวเมืองมองขบวนรถม้าของเขาเหมือนสิ่งประหลาด ก็ที่นี่ไม่ได้มีสินค้าอะไรสำคัญที่จะมีใครเข้ามาติดต่อเข้าออกกันบ่อยๆ ถึงมีก็ไม่ใช่ขบวนรถม้ายิ่งใหญ่ดูเป็นทางการขนาดนี้แน่นอน

      เฟริคยกมือขึ้นโบกให้ชาวบ้านที่มองเข้ามาแล้วคลี่ยิ้มจางๆส่งให้ เด็กตัวน้อยที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้นก็หัวเราะคิกคักและโบกมือกลับมาอย่างสนุกสนาน ผู้ใหญ่แถวนั้นก็โบกมือกลับมาอย่างยิ้มแย้มเช่นกัน

     “ใสบริสุทธิ์จริงๆ” ร่างหนาทิ้งตัวกลับมานั่งพิงพนักพิง พลางพึมพำขึ้นมากับตัวเองอย่างขมขื่น ความใสซื่อแบบนี้หาไม่ได้เลยในสังคมรอบข้างของคนที่มียศเป็นองค์ชายอย่างเขา

       ขบวนรถม้าเคลื่อนเข้ามาถึงในส่วนของตัวเมือง สภาพเมืองโดยรวมไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเมืองเล็กๆทั่วไปแม้แต่น้อย ไม่มีการใช้เวทย์มนต์ประหลาดๆที่เฟริคคาดหวังไว้ว่าจะได้เจอ อย่างที่หนังสือได้เขียนเอาไว้ กระทั่งขบวนรถม้าต้องมาหยุดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่กลางเมือง ที่เป็นที่ทำงานและเป็นที่พักของเจ้าเมืองที่นี่ ที่ประตูหน้ามีทหารในเครื่องแบบตั้งแถวยืนรอต้อนรับเขาอย่างดี เนื่องจากเฟริคส่งม้าเร็ววิ่งนำไปแจ้งก่อนล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ลำบากเจ้าบ้านที่ต้องเตรียมการกระทันหัน แต่ก็ไม่ได้อยากจะเจอพิธีการต้อนรับที่เป็นทางการขนาดนี้

      "ยินดีต้อนรับค่ะ องค์ชาย" ต้นเสียงหวานใสนั้นเป็นเด็กสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวรวบมัดไว้เรียบร้อยที่ท้ายทอย แต่งตัวในเครื่องแบบกระโปรงยาวลงมาถึงข้อเท้าเรียบร้อยสีขาว

      "ยินดีต้อนรับสู่เวลเฮมมิน่าขอรับ" เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมา เฟริคหันไปที่ต้นเสียงเห็นชายหนุ่มเรือนผมสั้นสีดำขลับเสยปัดไปข้างหลังง่ายๆ ร่างสูงเหยียดตัวตรงจากการโค้งตัวทักทาย ทำให้เห็นว่าอีกฝ่ายตัวสูงกว่าเขาพอสมควร ทั้งๆที่ตัวเองก็เรียกได้ว่าเป็นคนตัวสูงคนหนึ่งอยู่แล้ว เสื้อแขนยาวที่ตัดเย็บพอดีตัวปกปิดกล้ามเนื้อหนาจากการฝึกฝนอย่างหนัก ช่วยเสริมให้ร่างหนาดูสง่าผ่าเผย

      "ข้าดาวิส เป็นรองเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า ส่วนนี่คือเรเชล เป็นผู้ช่วยท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมืองฝากขออภัยที่ไม่ได้ออกมารับด้วยตัวท่านเองเนื่องจากติดภารกิจสำคัญ ยังไงวันนี้องค์ชายก็เดินทางมาไกล พักผ่อนก่อนแล้วค่อยคุยธุระกันวันพรุ่งนี้เถิด"
นอกจากจะต้องเจอการต้อนรับเป็นพิธีการที่เฟริคไม่ชอบแล้ว คนที่เขาอยากจะเจอมากที่สุดกลับไม่ได้เจอเสียอีก

     “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ” เฟริคซ่อนความรู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆในใจ แค่เพียงได้รู้จักรองเจ้าเมืองที่ดูอายุราวคราวเดียวกับตน และผู้ช่วยเจ้าเมืองที่ดูยังเป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กๆธรรมดาๆคนหนึ่งแล้ว ช่างให้ความรู้สึกแตกต่างจากขุนนางชั้นสูงในรั้ววังของตนที่มีแต่คนแก่ที่เอาแต่พูดโดยสิ้นเชิง และภาพเจ้าเมืองที่เป็นชายแก่เครายาวเฟื้อยถือไม้เท้าเก่าๆของเฟริคที่เคยวาดไว้ถูกลบหายไปในฉับพลัน

     “ทางเราจัดเตรียมที่พักไว้ให้ท่านกับผู้ติดตามแล้ว เชิญทางนี้ขอรับ” ดาวิสผายมือเชิญให้เขาเดินตามเข้าไปภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย เต็มไปด้วยต้นไม้ในกระถางเล็กใหญ่วางอยู่แทบทุกๆมุม

     "ขอข้าถามสักอย่างสิ บันทึกของนักเดินทางหลายคนเขียนถึงความวิเศษของเมืองนี้เอาไว้ยังกับเทพนิยาย....ท่านเจ้าเมืองที่นี่เป็นลีบลาจริงๆน่ะเหรอ" เฟริคลังเลเล็กน้อยก่อนจะยิงคำถามที่ตนเองสงสัยมากที่สุดออกมา ระหว่างทางเดินไปที่ห้องพัก ดาวิสได้ยินคำถามนั้นก็หันไปสบตากับเรเชลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของผู้มาเยือนคนสำคัญ

     "เป็นตามนั้นขอรับ ท่านเจ้าเมืองที่นี่เป็นลีบลาจริงๆ แต่ข้าก็ไม่แน่ใจว่าในบันทึกนั้นจะเขียนอะไรเกินจริงไปบ้าง" เฟริคได้ยินคำตอบนั้นก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ในสมองเริ่มรวบรวมคำถามมากมายที่จะถามต่อไป แต่ดาวิสกลับชิงเอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน

     “ในฐานะที่ข้าเป็นรองเจ้าเมือง อยากจะขออนุญาตถามเหตุผลการมาเยือนในครั้งนี้ขององค์ชาย โดยคร่าวๆ ได้หรือไม่"

     "ข้ามาหากองกำลังเสริมน่ะ อีกไม่นานบริงไฮด์กำลังจะมีศึกใหญ่กับกรีฟิท" สีหน้าที่เรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆของเจ้าบ้านทั้งสองคนทำให้เฟริครู้ว่า พวกเขาพอจะทราบข่าวคราวจากเมืองหลวงอยู่บ้าง

     "ข้าพอจะได้ยิน สถานการ์ณระหว่างบริงไฮด์กับกรีฟิทอยู่บ้าง ก็คิดว่าท่านน่าจะมาติดต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ท่านพูดถึงกองกำลังเสริม มิใช่เสบียงหรอกหรือ เวลเฮมมิน่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์พอที่จะเผื่อแผ่เมืองอื่นๆ แต่เราไม่ได้มีกำลังทหารที่เยอะนักหากเทียบกับกองทัพของบริงไฮด์แล้ว เรามีกันแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นเอง"

     "เรื่องนั้นเราทราบดี ทว่าที่เรามาที่เวลเฮมมิน่ามิใช่เพราะกำลังสนับสนุนจากทหาร แต่เป็นความสามารถลีบลาต่างหาก เอาจริงๆข้าก็ไม่รู้ว่าลีบลาทำอะไรได้แค่ไหน ข้าก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้ขนาดนั้นหรอก อย่างน้อยๆข้าก็ได้มีโอกาสออกมาเจอลีบลาตัวจริง" ดาวิสไม่เอ่ยตอบอะไรกลับมา เฟริคสัมผัสได้จากเพียงแผ่นหลังของอีกฝ่าย ว่าไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับความคิดนี้สักเท่าไหร่ ความเงียบของเจ้าบ้านทำให้เฟริคเริ่มรู้สึกอึดอัด

     “อันนี้เป็นห้องพักขององค์ชายค่ะ พักผ่อนให้สบายนะคะ” เรเซลเอ่ยด้วยเสียงหวานใสแทรกแซงความเงียบสงัดที่น่าอึดอัดขึ้นมา พลางเปิดประตูห้องพักให้พร้อมคลี่ยิ้มส่งกลับมาให้ ทำให้เฟริคสบายใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง

     “ถึงเวลาอาหารเย็นข้าจะส่งเด็กขึ้นมาแจ้งให้ทราบนะคะ”

     “ขอบคุณมาก รบกวนพวกท่านจริงๆ”

     “พวกข้าขอตัวเพียงเท่านี้ขอรับ” ดาวิสเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบๆ แล้วเดินจากไปพร้อมเรเชล เหมือนว่าที่เฟริคพูดถึงลีบลาเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น

เฟริคใช้เวลาจัดเก็บของไม่นานเพราะมีผู้ติดตามเข้ามาช่วยจัดการให้ เขาจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดา เพื่อเตรียมจะออกไปเดินสำรวจรอบๆเมืองเพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่

     “จะออกไปข้างนอกเหรอคะ ให้ข้าเรียกใครแนะนำเส้นทางมั้ยคะ” เรเชลเอ่ยรั้งไว้เมื่อเห็นว่าแขกคำสัญเตรียมจะออกไปข้างนอก

     “ไม่เป็นไรๆ รบกวนพวกเจ้าหลายเรื่องแล้ว ข้าเดินเล่นใกล้ๆ” เฟริคไม่ชอบให้ใครคอยตามบริการเลยคลี่ยิ้มปฏิเสธไป
   
     “ถ้าเช่นนั้นอย่าไปไกลมากนักนะคะ อีกไม่นานฝนจะตกหนัก ร่มก็คงเอาไม่อยู่ ข้าแนะนำให้รีบกลับก่อน” คำบอกกล่าวของเรเชลทำให้เฟริคต้องชะเง้อหน้ามองออกไปข้างนอก ก็ยังเห็นว่าฟ้าสว่างใสเหมือนตอนที่เดินทางเข้ามาไม่ผิดเพี้ยน พอหันกลับมามองหน้าผู้ที่เอ่ยเตือน เธอก็คลี่ยิ้มหวานกลับมาและกำชับอีกทีราวกับเป็นเรื่องทำกำหนดไว้แล้ว
     
      “ถ้าลมเริ่มพัดแรงก็รีบเดินทางกลับมาที่พักนะคะ จะได้ไม่เป็นหวัด”

     “....ได้ ข้าจะรีบกลับมา” เฟริคตอบรับอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักก่อนจะเดินออกมาข้างนอก



     เฟริคเดินผ่านลานกว้างที่มีเด็กเล็กวิ่งเล่นกันอยู่ก็หยุดดูสักพัก อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาดึงชายเสื้อตัวเองเบาๆ พอหัวไปก็เจอกับเด็กน้อยส่วนสูงเท่าเอวสามคน ยืนจ้องมาที่เขาอย่างสนอกสนใจ
     
     “พี่ชาย พี่ชายเป็นลูกครึ่งภูติเหรอ”

     “เอ๋?” เฟริคงงกับคำถามของเด็กน้อย จริงอยู่ว่าสีผิวแทนกับสีผมของเขาอาจจะประหลาด แตกต่างไปจากคนทั่วไปที่มีพื้นเพอยู่บริเวณนี้ แต่เขาไม่คิดว่าจะเจอคำถามประหลาดขนาดนี้ เขาย่อตัวลงไปนั่งคุยกับเด็กผู้อยากรู้อยากเห็นกลุ่มนั้น

     “เอ่อ...ข้าเป็นลูกครึ่งน่ะใช่ แต่ไม่ใช่ครึ่งภูติหรอกนะ…...ที่นี่มีลูกครึ่งภูติด้วยเหรอ” เฟริคไม่คิดว่าจะได้ข้อมูลอะไรที่เป็นข้อเท็จจริงจากเด็กน้อยที่สูงเพียงเอว แต่เขาก็รู้สึกสนุกที่จะได้ยินคำตอบของเด็กน้อยพวกนี้

     “มีสิ แม่ข้าเล่าให้ฟัง เมื่อก่อนที่นี่มีลูกครึ่งภูติคนนึง ท่านลีนัสเลี้ยงเอาไว้ เวลาอารมณ์ไม่ดีก็แปลงร่าง ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วมีเขาด้วย” ได้ยินเช่นนั้นเฟริคก็เลิ่กคิ้วขึ้น เป็นคำตอบที่สร้างความบันเทิงให้กับเขาได้อย่างที่คิดไว้จริงๆ

     “สีส้มต่างหาก!” อีกคนนึงเถียงขึ้นมา

     “ช่างเถอะมันก็คล้ายๆกัน ที่สำคัญพ่นไฟได้ด้วย”

    “พี่ชายพ่นไฟได้มั้ย” ได้ยินคำถามของเด็กชายตัวเล็กแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเฟริคที่มีมารดาเป็นชาวมันดาเลีย เกิดเป็นองค์ชายผิวสีแตกต่างจากพี่น้องต่างมารดาคนอื่นๆ มักจะโดนนินทาลับหลังว่าเป็นชนชั้นต่ำบ้างหลายต่อหลายครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกถามว่าพ่นไฟได้ไหม

     “แล้ว ตอนนี้ลูกครึ่งภูติคนนั้นไปไหนซะแล้วล่ะ” เฟริคพยายามจะกลั้นเสียงหัวเราะพลางเอ่ยถามเด็กน้อยกลับไป

     “ไม่รู้สิ อยู่ๆก็หายไป” เด็กน้อยกลอกตาขึ้นข้างบนอย่างครุ่นคิด

     “เขาทำผิดก็เลยหนีหายไปไงล่ะ” อีกคนหนึ่งอวดความรู้ของตัวเองขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ

     “ใช่แล้วๆ เขาพ่นไฟใส่คนตาย” เฟริคคิดว่านี่ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เด็กๆแต่งขึ้น หรืออาจจะเป็นนิทานพื้นเมืองของที่นี่ที่ใช้เตือนเด็กไม่ให้ออกไปเที่ยวเล่นดึกหรืออย่างไร ในเมื่อเด็กทั้งสามคนต่างก็ช่วยกันตอบคำถามโดยที่เนื้อหาคล้อยไปในทางเดียวกัน

     “นั่นแหละ เอาเป็นว่าถ้าพี่ชายพ่นไฟได้ ก็อย่าพ่นมั่วซั่วนะรู้มั้ย เดี๋ยวจะโดนตี” เด็กน้อยเตือนองค์ชายด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาอีกฝ่ายต้องหันหน้าหนีเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ นี่ถ้าเขาไม่ออกมาเดินคนเดียวแบบนี้คงไม่ได้เจออะไรแบบนี้แน่นอน คิดถูกแล้วจริงๆที่ออกมาคนเดียว

     “ใครจะพ่นไฟอะไรของเจ้าน่ะลูก้า ขอโทษพี่เค้าด้วย ไปว่าพี่เค้าเป็นปิศาจแบบนั้นได้ยังไง ขอโทษด้วยที่ลูกข้าพูดอะไรแปลกๆไป” หญิงสาวเดินเข้ามาหาลูกชายแล้วก้มหัวขอโทษขอโพยเฟริคเป็นยกใหญ่

     “อ้อ ไม่เป็นไร ลูกท่านพูดเก่งดีนะข้าชอบ” เฟริคลุกขึ้นยืนเพื่อจะคุยกับผู้เป็นแม่

     “....ท่านเป็นนักท่องเที่ยวหรือคะ” หญิงสาวเกิดอ้ำอึ้งขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้น ร่างสูงในเสื้อผ้าเรียบง่ายเนื้อผ้าบางๆ ทำให้เห็นโครงสร้างกล้ามเนื้อแน่นกำยำได้ชัด ผิวสีแทนรับกับเรือนผมยาวยักศกนิดๆสีเทากับดวงตาสีเหลืองทองดูน่าหลงไหล

     “ก็...ทำนองนั้น” เฟริคลังเลนิดหน่อยก่อนจะตอบ ถ้าจะบอกว่ามาติดต่องานก็ดูท่าว่าจะต้องอธิบายกันยาวเลยขอไปตามน้ำจะดีกว่า

     “ท่านมาจากเมืองไหนเหรอ” เฟริครู้สึกคุ้นตากับแววตาของผู้เป็นแม่คู่นี้ขึ้นมา เพราะเมื่อครู่นี้ลูกชายของเธอก็จ้องมองเขาด้วยแววตาแบบนี้เช่นกัน

    “แม่….” เด็กน้อยลากเสียงเรียกแม่ของตน ทำให้แววตาคู่นั้นยอมละไปจากเฟริคเสียที

    “จ๋าว่าไงลูก” หญิงสาวรีบหันไปหาลุกชายอย่างได้สติ

    “ลมมาแล้ว ฝนจะตกแล้ว กลับบ้านกันยัง”

    “อ่ะ นั่นสินะ ท่านก็รีบกลับเถอะอีกเดี๋ยวฝนจะตกแล้ว ข้าขอตัวก่อนล่ะ” หญิงสาวเอ่ยลาแล้วจูงลูกชายพร้อมเพื่อนๆในกลุ่มกลับไปหาบรรดาแม่ที่นั่งรออยู่แถวนั้น แล้วพากันจูงลูกเข้าบ้านไป ดูเหมือนทุกคนในเมืองนี้จะรู้เวลาฝนตกกันหมด เฟริคชักสงสัยว่าที่นี่ฝนตกเป็นเวลาหรืออย่างไร

     ลมที่พัดมาค่อยๆแรงขึ้น แสงแดดที่เมื่อครู่ยังส่องสว่างอยู่ๆก็มืดลง พอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นกลุ่มก้อนเมฆสีดำเริ่มรวบตัวกันจนเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้ม เฟริคไม่เคยเห็นเมฆฝนที่รวมตัวกันเร็วขนาดนี้มาก่อน เห็นเช่นนั้นก็เลยรีบสาวเท้ากลับไปที่คฤหาสน์ที่พักทันที

     เฟริคเพิ่งจะเดินออกไปไม่ไกลนักจึงใช้เวลาเดินกลับมาเพียงครู่เดียว แต่เวลาเพียงเท่านั้นก็ทำให้เขาเกือบจะได้เดินตัวเปียกกลับเสียแล้ว เพราะระหว่างทางมาฝนเม็ดเล็กๆก็เริ่มลงเม็ดมา ทันทีที่เขาเดินเข้ามาถึงซุ้มประตูหน้าทางเข้า ฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วง ละอองฝนเย็นๆกระเด็นเข้ามาทำให้เฟริครู้สึกสดชื่น หลังจากที่เมื่อตอนกลางวันอากาศทั้งร้อนทั้งแห้ง ถ้าให้กลับเข้าไปอุดอู้ในห้องตอนนี้คงเสียดายแย่ เขาจึงเลือกที่จะยืนพิงเสาดูเม็ดฝนที่สาดกระหน่ำลงมาอย่างเพลิดเพลิน

      ในใจเฟริคนึกครุ่นคิดถึงบทสนทนาของเด็กน้อยและแม่ของเด็กเมื่อครู่ ไม่มีการแบ่งแยกกีดกันคนผิวสีอย่างเขาสักนิด ทั้งๆที่ในเมืองหลวงมีการแบ่งแยกกันชัดเจน มีแต่เพียงตัวเขาเองนั่นแหละที่พิเศษขึ้นมาเพราะเป็นลูกกษัตริย์ ไม่มีใครกล้าว่าร้ายต่อหน้าให้ได้ยิน จะมีก็แต่พี่น้องต่างมารดาของตนนั่นแหละ ที่พูดให้ได้ยินทุกเมื่อเชื่อวัน ที่อยู่มาได้ทุกวันนี้เพราะมีบิดาที่จิตใจเปิดกว้าง พยายามสอนให้เขาเพิกเฉยกับเรื่องพวกนั้นซะแล้วเอาเวลามาพัฒนาตัวเอง พิสูจน์ให้คนอื่นๆได้เห็นและยอมรับในตัวเขาสักวัน เฟริคจึงพยายามเรียนรู้และทำอะไรหลายๆอย่าง เพื่อให้ตัวเองได้เก่งขึ้นตลอดเวลา แต่สำหรับเรื่องของการขอกำลังสนับสนุนในการรบครั้งนี้ เฟริคไม่มีหนทางเหมือนพี่น้องคนอื่นๆจริงๆ ที่มีพันธมิตรเป็นหัวเมืองใหญ่เล็กรอบๆ ถึงบิดาจะพยายามไม่ให้เขาโทษที่ตัวเองที่เกิดมาไม่เหมือนคนอื่น แต่เรื่องนี้ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ต้องโทษสีผิวตัวเองจริงๆที่ทำให้คนอื่นๆไม่สนใจเป็นพันธมิตรกับเขา

     ระหว่างที่หวนคิดถึงอะไรเพลินๆอยู่นั้นเอง อยู่ก็มีอาชาสีดำสนิทกระโจนฝ่าสายฝนเข้ามาข้างใน ทำให้เฟริคพลิกตัวหลบน้ำฝนที่กระเซ็นเข้ามาแทบไม่ทัน บนอาชานั้นมีชายหนุ่มในเครื่องแบบสีขาวคล้ายๆเรเชล แต่มีผ้าคลุมไหล่ผืนยาวสีแดงเข้มคาดอยู่ พออาชาตัวใหญ่หยุดสนิทเขาก็กระโดดลงมาแล้วลูบแผงคอสีดำขลับของม้าอย่างอ่อนโยน แล้วเจ้าม้าก็หันหน้ามาหาให้ชายหนุ่มจุมพิตเบาๆที่หน้าผากอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมาสบตาเข้ากับเฟริคที่ยืนหลบอยู่มุมเสาตรงนั้น ชายหนุ่มร่างบางที่ตัวเปียกไปทั้งตัวหยุดนิ่งมองเฟริคด้วยความประหลาดใจค ริมฝีปากขยับนิดๆเหมือนเอ่ยอะไรออกมาสองคำ แต่เสียงฝนข้างนอกดังกลบไป

     “อะไรนะ” เฟริคถามกลับไป อีกฝ่ายยกมือขึ้นเสยผมสีน้ำตาลแดงเปียกชุ่มที่ปรกหน้าขึ้นไปแล้วเดินเข้ามาหา

     “ขออภัย ท่านคงจะเป็นองค์ชายเฟริค ข้าทำให้ท่านเปียกรึเปล่า”

     “ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียวเท่านั้นแหละ ว่าแต่ท่านคือ?”

     “ท่านลีนัส ทำไมถึงกลับมาคนเดียวก่อนล่ะคะ ทิ้งลุคซ์ไว้แบบนั้นก็แย่สิ” ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบ เรเชลก็เปิดประตูออกมาพร้อมทำเสียงโวยวายมาแต่ไกล เธอเดินสาวเท้ายาวๆเข้ามาหาชายหนุ่มร่างเล็กพร้อมกับผ้าผืนใหญ่

     “อ้าว ท่านเฟริค กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้านึกว่าท่านติดฝนอยู่ข้างนอกเสียอีก” เรเชลหันมาเอ่ยทักเฟริคก่อนจะส่งผ้าให้ชายหนุ่มตรงหน้า

     “ขอบคุณเรเชล” เขาหยิบไปเช็ดศีรษะแล้วคลุมทับไหล่ตัวเองลวกๆ เอามือเช็ดผ้าให้แห้งแล้วยื่นมือขวาออกมา

     “อาจจะตะกุกตะกักไปนิดนึงท่านคงไม่ถือสา ข้าลีนัส เจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า ยินดีต้อนรับขอรับ” คำว่าเจ้าเมืองหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มหน้าตาละอ่อนตรงหน้า ทำให้เฟริคนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงเขาจะลบภาพชายชราเครายาวเรี่ยดินออกไปแล้ว ก็ไม่คิดว่าเจ้าเมืองจะยังเด็ก และยังดูติดขี้เล่นแบบนี้

     “อ่า...ขอบคุณสำหรับการเตรียมการอะไรให้หลายๆอย่าง” เฟริคยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย แล้วก็ต้องรีบยกมืออีกข้างหนึ่งกุมเอาไว้แน่นอย่างลืมตัว เพราะมือที่เขาจับอยู่นั้นเย็นเฉียบจนน่าตกใจ

     “มือท่านเย็นมาก กลับเข้าไปแช่น้ำอุ่นเสียก่อนเถอะเดี๋ยวจะเป็นหวัด” เห็นว่าอีกฝ่ายตัวเล็กดูบอกบางเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา ลีนัสนิ่งมองมือตัวเองที่โดนอีกฝ่ายกุมเอาไว้อย่างงงๆ กระทั่งเรเชลเองก็มองด้วยสีหน้างุนงง

     “เอ่อ ข้าขอโทษ….แต่ท่านควรจะรีบเข้าไปข้างในได้แล้ว” เฟริครีบปล่อยมืออีกฝ่ายออกทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนได้ทำอะไรแปลกๆออกไป ทำให้ร่างบางขำออกมาเบาๆ

     “ท่านเฟริคนี่ใจดีจังนะขอรับ ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าขอตัวก่อน” เมื่อเอ่ยจบอยู่ๆรอยยิ้มนั้นก็หายไปในฉับพลัน เฟริคจึงหันกลับไปดูข้างหลัง เห็นดาวิสยืนกอดอกพิงอยู่ข้างประตู มองมาที่ลีนัสอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ร่างบางถอนใจน้อยๆก่อนจะเดินผ่านดาวิสเข้าไปข้างในโดยไม่เอ่ยทักใดๆ ไม่แม้แต่จะสบตามอง เฟริคจึงหันมองเรเชลด้วยสายตาสงสัยว่าปกติเจ้าเมืองกับรองเจ้าเมืองไม่สนิทกันหรืออย่างไร แต่เธอก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับมา

    ครู่หนึ่งก็มีรถม้าวิ่งเข้ามาจอดข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มีเด็กหนุ่มในเครื่องแบบทหารตัวเปียกโชกไปทั้งตัว รีบกระโดดออกมาจากรถม้า
   
      “ท่านลีนัสกลับเข้ามารึยังขอรับ!!” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเรเชลอย่างเลิ่กลั่ก พลันสายตากวาดไปสบเข้ากับดาวิสที่ยืนอยู่หน้าประตูก็หน้าถอดสีทันที เรเชลถอนหายใจยาวก่อนจะตอบกลับไป

     “กลับมาก่อนเจ้าเมื่อครู่นี้น่ะ...ท่านเฟริคเข้าข้างในก่อนเถอะค่ะ อาหารเย็นเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” เรเชลหันมาเอ่ยบอกเฟริคพร้อมเดินนำให้เขาตามเข้าไป ในขณะที่ดาวิสย่างเท้าสามขุมเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังทำหน้าเสีย

     “ให้ตายเถอะลุคซ์ นี่ข้าสั่งให้เจ้าไปทำอะไรกันแน่” เสียงราบเรียบของดาวิสที่ตำหนิลูกน้องทำเอากระทั่งเฟริคเองขนลุกวาบขึ้นมาด้วย ทางที่ดีรีบๆเดินตามเรเชลเข้าไปข้างในจะดีเสียกว่า

     “ขอโทษขอรับ ครั้งหน้าจะไม่ให้ท่านลีนัสคลาดสายตาแบบนี้อีกแล้ว” เสียงร้องขอโทษขอโพยของเด็กหนุ่มดังรอดเข้ามาก่อนที่เรเชลจะปิดประตูลง



(Willhelmina Part1/2)
   







หัวข้อ: Re: Libra's Heart
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 21-08-2015 10:15:14
Libra's heart :1 Willhelmina (2/2)

       มื้อค่ำ มีเพียงเรเชลกับดาวิสที่ร่วมโต๊ะ เฟริคต้องผิดหวังอีกครั้งที่ไม่ได้พูดคุยกับ”ลีบลา” ซ้ำร้ายยังต้องมานั่งอึดอัดกับดาวิสที่ไม่พูดไม่จาอีกต่างหาก ดูเหมือนว่าเขายังหงุดหงิดกับลูกน้องเรื่องเมื่อครู่อยู่

        “แล้วท่านลีนัสไม่ทานข้าวเย็นเหรอ” เฟริคเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบสงัด

        “ดูเหมือนท่านลีนัสจะเพลียจากภารกิจวันนี้ อาจจะเข้านอนเลย แต่ข้ามีสั่งแม่ครัวให้เก็บเอาไว้เผื่อท่านลีนัสหิวขึ้นมา” ดาวิสอธิบาย

        “ว่าแต่ภารกิจที่ว่านี่คืออะไรหรือ ทำไมถึงได้ควบม้ากลับมาเนื้อตัวเปียกปอนขนาดนั้นด้วยล่ะ” เฟริคอดไม่ได้ที่จะถามต่อ นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดาวิสได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด แต่เรเชลกลับขำออกมาเบาๆเสียอย่างนั้น ตกลงว่าเป็นเรื่องเครียดหรือเรื่องตลกกันแน่

         “....จริงๆแล้วท่านลีนัสต้องไม่กลับมาด้วยสภาพนั้นหรอกนะ ถ้าลุคซ์ทำหน้าที่ได้ดีพอ….” พอพูดถึงตรงนี้ดาวิสก็ชักสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าเรเชลกลับไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เขาจึงเดาจากการพูดคุย และการวางตัวที่เหมือนเด็กๆที่ไม่ได้สนใจพิธีรีตองหรือตำแหน่งของคู่สนทนา ของเจ้าเมืองเมื่อครู่แล้ว น่าจะหนีภาระกิจออกมาหรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งทำให้ดาวิสปวดหัวหนึบอยู่นี่ และเรเชลก็นั่งขำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อยๆ

         “คือ เมื่อครู่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็ฝนวันนี้ ข้าไม่เคยเห็นเมฆรวมตัวกันเร็วขนาดนี้มาก่อนเลย อันนี้คือเรื่องปกติของที่นี่น่ะหรือ”

        “ภารกิจของท่านเจ้าเมืองวันนี้คือออกไปทำให้ฝนตกค่ะ ออกไปกับลุคซ์เด็กคนเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนท่านลีนัสจะไม่อยากกลับมาด้วยกันก็เลยขโมยม้าลุคซ์ฝ่าฝนกลับมาก่อน” เรเชลอธิบายให้สั้นกระชับ แต่ทำให้เฟริคต้องขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นมาลูบคางตัวเองอย่างครุ่นคิด

        “ออกไปทำให้ฝนตกเหรอ นี่คือภารกิจของท่านเจ้าเมือง” เฟริคถามกลับ เขาขอเก็บคำถามเรื่องนิสัยของเจ้าเมืองที่ทำตัวเหมือนเด็กๆเอาไว้ทีหลังก่อน

        “ใช่ค่ะเราใช้ภูติลมกับภูติน้ำช่วยให้ฝนตกได้ค่ะ” เธออธิบายต่อเมื่อเห็นว่าเฟริคกำลังรอฟังอย่างตั้งใจ

        “เรางั้นเหรอ” เฟริคทวนถาม

        “เรเชลเป็นผู้ช่วยท่านเจ้าเมือง ซึ่งก็เป็นลีบลาเช่นกันขอรับ” ดาวิสช่วยไขข้อข้องใจให้ตรงจุด

     “ฮ้า...เจ้าเป็นลีบลาเหมือนกัน” คนที่เฟริครอและอยากจะได้รู้จักตัวจริงๆ อยู่แค่ตรงนี้เอง เขาน่าจะถามเสียตั้งแต่ต้น เรเชลเห็นเช่นนั้นจึงเริ่มต้นอธิบายให้องค์ชายได้เข้าใจ จะได้เลิกจ้องมองเธออย่างสนอกสนใจแบบนั้นเสียที ยิ่งด้วยแววตาสีทองน่าหลงไหลคู่นั้นด้วยแล้วทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมานิดๆ

        “พวกเราเป็นคนธรรมดาที่ภูติยินดีจะให้ยืมพลังเวทย์ใช้งานเท่านั้นค่ะ” เรเชลอธิบายให้ฟังพลางยกมือขึ้นผายไปทางเชิงเทียนที่ตั้งบนโต๊ะ อยู่ๆก็มีลมพัดเข้ามาทำให้เทียนดับลง ห้องกินข้าวเหลือเพียงแสงสลัวๆจากโคมไฟข้างนอกเท่านั้น จากนั้นเธอก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เปลวเพลิงเล็กๆก็ติดกลับขึ้นมา

     “ภูติมีอยู่ทุกที่โดยเฉพาะในเวลเฮมมิน่า คนที่มองเห็นถูกเรียกว่าลีบลา เราขอเวทย์และกำลังของภูติมาใช้ประโยชน์ได้ แต่แน่นอนว่าภูติจะต้องเห็นด้วยเท่านั้น นอกจากว่าลีบลาคนนั้นคือเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า ภูติจะทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข”

     “แปลว่าผู้ที่เลือกเจ้าเมืองไม่ใช่ชาวเมืองแต่เป็นภูติสินะ” เฟริคสรุปเอาตามความเข้าใจ

     “จริงๆแล้วคนที่เลือกจะเป็นเจ้าเมืองรุ่นก่อน ซึ่งก็จะเลือกจากลีบลาที่ภูติรักและให้ความเคารพมากที่สุด ฉะนั้นจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดค่ะ”

     “ชาวเมืองที่นี่เห็นด้วยตรงกันทั้งหมดเลยอย่างนั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก ใช่ไหม” เฟริคนึกย้อนไปถึงสภาพความเป็นจริงในเมืองหลวง

     “เป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ เช่นเดียวกับการสืบเชื้อสายก็ไม่ได้มีใครเห็นด้วยกันทั้งหมด นั่นเราถึงต้องมีทหารไว้ควบคุมดูแลคนที่ไม่เห็นด้วยให้อยู่ในกรอบที่ตั้งไว้ ไม่แตกต่างจากเมืองอื่นๆหรอกขอรับ” ดาวิสเสริมขึ้นมาในส่วนนี้

    “น่าสนใจ...ถ้าระบบปกติอย่างบริงไฮด์เนี่ย เกิดไม่พอใจเจ้าเมืองขึ้นมา ทหารก็ก่อปฏิวัติล้มอำนาจได้ แต่ในกรณีนี้ ข้าชักสงสัยว่าถ้าเกิดปฏิวัติไม่เอาลีบลาเป็นเจ้าเมืองขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น” เฟริคตั้งคำถาม

      “นั่นเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นนะคะ เพราะหน้าที่หลักของลีบลาคือช่วยดูแลเมืองให้อยู่ได้อย่างสงบสุข และมีทรัพยากรที่สมบูรณ์กว่าที่อื่นๆ” เรเชลตอบกลับมาตามประสาของเด็กสาวที่ยังไม่ค่อยรู้จักโลกดีนัก เฟริคจึงต้องเอ่ยสอนเธอกลับไป

     “มนุษย์น่ะนะ บางทีแค่สงบเกินไปก็เบื่อจนก่อปฏิวัติได้เหมือนกัน เจ้ายังไม่เคยคิดไปถึงจุดนั้นเลยรึลีบลาน้อย” คำสั่งสอนนุ่มๆขององค์ชายที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ด้านการปกครอง ทำให้เด็กสาวเขินอายหน้าแดงขึ้นมา

     “เรเชล เจ้ายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ท่านลีนัสจะค่อยๆสอนเจ้าไปเอง” ดาวิสวางมือลงบนไหล่ของเด็กสาวเบาๆพลางเอ่ยปลอบใจก่อนจะหันไปตอบคำถามนั้นแทน

    “สำหรับเวลเฮมมิน่าแล้ว ถ้าเจ้าเมืองไม่ถอยก็ไม่มีใครทำอะไรได้หรอกขอรับ”

    “ท่านจะบอกว่าทหารทั้งกองทัพก็ทำอะไรลีบลาคนเดียวไม่ได้อย่างนั้นเลยหรือ” เฟริคถามกลับด้วยสีหน้าสนอกสนใจในประเด็นนี้เป็นพิเศษ

     “ท่านไม่ใช่คนที่นี่อาจจะยังไม่เคยเห็นภูติระดับสูงสักตนท่านคงไม่ทราบ และลีบลาระดับเจ้าเมืองคนเดียวคุมภูติได้ทั้งกองทัพนะขอรับ”

     “หืม...แปลว่าระบบนี้ไม่มีจุดอ่อนเลยอย่างนั้นสินะ” ดาวิสได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้านิ่งๆกลับมา

     “ในทางทฤษฏีเป็นแบบนั้นขอรับ แต่สุดท้ายแล้วลีบลาก็เป็นแค่มนุษย์คนนึง ที่ไม่ได้อยากจะฆ่าฟันมนุษย์ด้วยกันหรอกขอรับ”

     “นั่นล่ะที่ข้ากำลังสงสัยอยู่ ถ้าสมมุติว่าคนใกล้ตัวเจ้าเมืองอย่างรองเจ้าเมืองจะปฏิวัติขึ้นมา ท่านเจ้าเมืองจะยอมถอยไหม” เฟริคที่แอบสงสัยในความสัมพันธ์ของเจ้าเมืองกับรองเจ้าเมือง แกล้งตั้งคำถามนี้ขึ้นมาเพื่อจะดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย รองเจ้าเมืองได้ยินคำถามนี้ก็ขยับมุมปากยิ้มเฝื่อนๆออกมา

     “ท่านสมมุติในกรณีของข้าเลยไหมล่ะขอรับ” ร่างหนาหัวเราะเบาๆออกมาจากลำคอก่อนจะพูดต่อ

     “ท่านลีนัสน่าจะฆ่าข้าทิ้งได้โดยที่ไม่ต้องลังเลหรอกขอรับ” คำตอบกับรอยยิ้มประชดประชันของรองเจ้าเมือง ทำให้เฟริครับรู้ได้ว่าระหว่างเจ้าเมืองกับรอง น่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

     “ตำแหน่งนี้เจ้าเมืองไม่ได้เป็นคนเลือกหรือ ถ้าจะเกลียดกันขนาดนั้นจะยกให้ท่านขึ้นเป็นรองเจ้าเมืองทำไมกัน”

     “ท่านเฟริคน่าจะเข้าใจตรงนี้ดีนะขอรับ การจะปกครองบางทีมันก็ต้องอาศัยการถ่วงอำนาจบ้าง” คราวนี้เฟริคกลับเป็นฝ่ายที่ต้องถูกสอนกลับเสียเอง จริงๆแล้วเขาก็ทราบดี แต่ที่แกล้งถามกลับไปเพียงเพราะเขาอยากจะฟังคำตอบนั้นออกมาจากปากของดาวิสเอง อย่างน้อยเขาก็ได้รู้แล้วว่า เมืองเล็กๆแห่งนี้ก็ไม่ได้ใสบริสุทธิ์อย่างที่เขาคิด และมีระบบการปกครองที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเมืองใหญ่อย่างบริงไฮด์นัก




     กลางดึกพระจันทร์ดวงกลมเด่นสง่าเคลื่อนตัวมาถึงกลางท้องฟ้า เฟริคที่ไม่ชอบอุดอู้อยู่ในห้องแถมยังนอนไม่หลับ เพราะมีเรื่องราวมากมายให้ครุ่นคิด ก็ออกมานั่งชมบรรยากาศตอนกลางคืนที่มุมเล็กๆในสวนด้านหลังคฤหาสน์ ขณะที่ทอดมองเงาพระจันทร์สะท้อนบนผืนน้ำในบ่อน้ำน้อยๆกลางสวน อยู่ๆก็เห็นเงาของใครบางคนวิ่งผ่านหางตาของเขาไป เฟริคเลยรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามไปด้วยความสงสัย จะว่าเป็นทหารที่เฝ้ายามก็ไม่น่าจะวิ่งเข้าไปในป่า

     เฟริควิ่งตามเงานั้นเข้าไปในป่า เห็นร่างเล็กในผ้าคลุมผืนยาวที่คลุมใบหน้าเอาไว้ค่อยๆเดินเข้าไปตามทางโดยไม่รู้ว่ากำลังถูกแอบตามอยู่เงียบๆ แต่แล้วอยู่ๆร่างนั้นก็หยุดนิ่งไปเฟริคจึงรีบแอบหลังต้นไม้ใหญ่นึกว่าทางนั้นจะรู้สึกตัว แต่เฟริคได้ยินเหมือนเสียงขู่ของหมาป่าจึงชะเง้อหน้าออกมาดู เห็นหมาป่าร่างใหญ่ขนสีดำทมึนยืนขู่อยู่ตรงหน้าร่างนั้น อยู่ๆร่างนั้นก็เปิดผ้าคลุมหัวออกมา แสงจากรพะจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวง สว่างพอที่เฟริคจะมองออกว่าชายหนุ่มในผ้าคลุมนั่นเป็นใคร จึงได้รีบวิ่งออกมาหลังต้นไม้ทันที

     “ท่านลีนัสหลบไป” เมื่อได้ยินเสียงเฟริค ลีนัสก็หันกลับมามองที่ต้นเสียง แล้วรีบหันกลับไปมองที่หมาป่าจังหวะที่หมาป่าร่างใหญ่กระโจนเข้าใส่ทำให้ร่างบางล้มลงกับพื้น มันหันกลับไปมองที่เหยื่อของมันอีกครั้ง เฟริคจึงรีบชักดาบออกมาอย่างไม่รอช้า เสียงคมดาบที่ออกจากฟักทำให้หมาป่าหันมามองที่เฟริค แล้วตัดสินใจวิ่งหนีหายไปในป่าลึก

     “เป็นอะไรมากมั้ยท่านลีนัส” เฟริคก้มลงตรวจดูอาการของเจ้าเมือง มีเลือดอาบที่ฝ่ามือ มาจากที่ยกมือกันการจู่โจมของหมาป่าตัวเมื่อครู่ แต่ไม่หนักหนาเท่ากับแผลที่ต้นขา ที่ล้มลงโดนกิ่งไม้แห้งก้านใหญ่เกี่ยวเข้าจนเลือดสีแดงไหลซึมออกมา ร่างบางขมวดคิ้วแน่นเพื่อกั้นความเจ็บปวดเอาไว้ เฟริคฉีกขากางเกงที่เป็นรอยขาดจากกิ่งไม้ออกเพื่อดูบาดแผลข้างใน เลือดสีแดงสดไหลนองออกมาจากบาดแผลตัดกับผิวเนียนสีขาวของเจ้าตัวอย่างชัดเจน

     “แผลท่าจะลึกพอสมควร ท่านอยู่นิ่งๆก่อนนะ” เฟริคจัดการปลดกระดุมเสื้อแล้วถอดเสื้อของตัวเองออกมา

     “เอ่อ ท่านไม่ต้อง…” ลีนัสกำลังจะเอ่ยรั้ง แต่ยังพูดไม่ทันจบเสียงฉีกเสื้อขาดก็ดังแทรกขึ้นมา เฟริคใช้เศษผ้าผืนหนึ่งเอามาพันรอบมือตัวเองให้เป็นก้อนแล้วประกบรอยบาดแผลเอาไว้ แล้วเอาอีกผืนหนึ่งพันรัดเอาไว้ให้แน่น

     “ทนหน่อยนะ ข้าจะพาท่านกลับเดี๋ยวนี้แหละ” เฟริคช้อนร่างบางขึ้นอุ้มอย่างเบามือ

     “....ขอบคุณท่านเฟริค” ลีนัสที่ทำทีเหมือนจะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายช่วยเหลือเพราะเกรงใจยศของอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่ด้วยความคล่องแคล่วในการจัดการปฐมพยาบาลของเฟริคทำให้ลีนัสเลิกคิดที่จะเอ่ยค้านแล้วยอมให้ร่างหนาอุ้มไปแต่โดยดี

     “ท่านออกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆในที่แบบนี้น่ะ” เฟริคเอ่ยถามขึ้นระหว่างทางเดินกลับ

     “...ข้าขออภัย เรื่องนี้ข้าไม่อาจจะบอกท่านได้” ร่างบางในอ้อมกอดตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย

     “ฮึ...แล้วข้าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยสินะ” ลีนัสพยักหน้าตอบกลับเบาๆ

     “เอางี้ ท่านบอกข้าว่าท่านออกมาทำอะไร แล้วข้าสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ” เฟริคแกล้งเสนอข้อแลกเปลี่ยน ทำให้ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นสบตาเฟริคด้วยคิ้วที่ขมวดชนเข้าหากัน เฟริคก็คลี่ยิ้มยียวนกลับไป

     “ข้าเป็นคนช่วยท่านออกมานะ สมควรที่จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นสิ”

     “.......” นัยน์ตาสีแดงเข้มจ้องมองแววตาคมเข้มของเฟริคอย่างไม่พอใจด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง

     “หรือข้าควรจะเล่ารื่องนี้ให้ท่านรองเจ้าเมืองฟังดี” ดูเหมือนเขาจะจี้เข้าถูกจุด แววตาสีแดงเข้มที่ดูเกรี้ยวกราดเมื่อครู่กลับฉายแววตาที่หวาดกลัวออกมา ลีนัสเบือนหน้าหนีกัดริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะตัดใจยอมเอ่ยตอบกลับมา

     “ตามใจท่านเถอะ” เฟริคได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

     “เอาเถอะ ข้าไม่บอกใครก็ได้ แต่พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องมีคนถามถึงบาดแผลของท่านอยู่ดี”

     “เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก” ลีนัสตอบกลับมาอย่างมั่นใจ ก่อนจะพิงศีรษะลงบนแผ่นอกหนาของเขาแล้วหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน เฟริคก้มมองแพขนตาหนากับพวงแก้มเนียนของร่างบางอย่างเอ็นดู แล้วตัดสินใจเดินกลับไปที่คฤหาสน์อย่างเงียบๆไม่รบกวนคนหมดเรี่ยวแรงในอ้อมกอด

     ยังไม่ทันไรเฟริคก็รู้สึกว่าตัวเองได้ผิดคำพูดที่ให้ไว้เสียแล้ว เมื่อเดินกลับมาถึงคฤหาสน์เขาก็เห็นดาวิสวิ่งตรงเข้ามาหาด้วยใบหน้ายุ่งๆ

     “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เสียงของดาวิสที่เอ่ยถามทำให้ลีนัสลืมตาขึ้นเบิกกว้างด้วยความตกใจ หันไปมองที่ต้นเสียงเห็นว่าหูไม่ฝาดแน่แล้วก็ขมวดคิ้วหันหน้าหลบกลับเข้ามาทันที

     “ขออภัยองค์ชายที่ทำให้เดือดร้อน ข้ารับท่านลีนัสไปดูแลต่อเองขอรับ ท่านกลับไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องพักก่อนเถอะขอรับ” ร่างสูงเข้ามาช้อนร่างเจ้าเมืองตัวน้อยๆ ทำเอาร่างบางสะดุ้งตัวนิดๆ

     “ไม่เป็นไรหรอก มาถึงนี่แล้วข้ายินดีช่วย” เฟริคสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวจากร่างบางจึงไม่อยากจะปล่อยไป แต่อีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่าสามารถยกลีนัสออกไปได้อย่างสบายๆ

     “ท่านเป็นแขกของเรา อย่าได้ลำบากเลย ขอบคุณน้ำใจท่านมาก” ดาวิสอุ้มลีนัสไว้แล้วก็เดินกลับเข้าคฤหาสน์หายไปในทันที ทิ้งเฟริคให้ยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางความรู้สึกผิด


(End Willhelmina 2/2)
 
เมะยังออกมาไม่ครบนะคะ ตอนหน้ามีอีกคนนึง รักใครชอบใครกดโหวดมาที #LHxxxxxxx ว่าเข้าไปนั่น....
ตอนที่สองกำลังทำคลอดอยู่จ้า เร็วๆนี้

หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 1 : Completed)
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 22-08-2015 22:12:51
2. Bringhid's Prince (Part1/2)

       เมื่อแสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้อง นัตน์ตาสีเหลืองทองค่อยๆเบิกลืมขึ้น เฟริคกระพริบตาเบาๆครั้งสองครั้งจนภาพเพดานห้องชัดเจนขึ้นมา เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็ค่อยๆหวนเข้ามาทำให้ร่างหนาสะดุ้งลุกขึ้นมาจากเตียงทันที เขาไม่คิดว่าตัวเองจะตื่นสายขนาดที่แสงแดดในยามเช้าสว่างถึงปานนี้มาก่อน เพราะเมื่อคืนนี้มีเรื่องหลายเรื่องให้เขาคิดจนนอนไม่หลับ กว่าจะยอมหลับก็เกือบจะเช้าแล้ว ถึงได้รู้สึกตัวอีกทีสายเอาป่านนี้ เขารีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแต่งตัวเดินลงมาจากห้อง เรเชลที่กำลังเดินผ่านเข้ามาที่ห้องโถงก็เอ่ยทักเฟริคก่อน

       “อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านเฟริค หลับสบายดีไหมคะ”

     “อรุณสวัสดิ์ ท่านลีนัสลงมารึยัง” คำถามของเฟริคทำให้เรเชลทำหน้าแปลกใจ

     “ลงมาแล้วค่ะ ตอนนี้นั่งทานข้าวอยู่ที่สวนด้านหลัง”

     “ขอบคุณ” เฟริครีบเดินไปที่สวนด้านหลังในทันที ทิ้งให้เรเชลมองตามไปด้วยความสงสัย พอชักสายตากลับมาก็เห็นดาวิสเดินหาวทำหน้างัวเงียตามลงมา

     “อ้าว ท่านดาวิส เพิ่งตื่นเหรอคะ วันนี้แปลกจัง”

     “อืม โทษที ท่านลีนัสตื่นรึยังน่ะ” เรเชลเจอคำถามเดิมอีกรอบ ทั้งๆที่ปกติดาวิสไม่เคยถามหา เลยขมวดคิ้วตอบกลับไปด้วยคำถาม

     “ท่านลีนัสเคยตื่นสายด้วยเหรอคะ”

     “อืม นั่นสินะ ข้าออกไปข้างนอกก่อนนะเดี๋ยวเข้ามา” ว่าแล้วก็เดินผ่านเรเชลออกไปข้างนอก

     “....วันนี้แปลกๆ” เรเชลพึมพำขึ้นมาเบาๆก่อนจะหันกลับไปจัดการงานของตัวเองต่อ

     ที่สวนหย่อมเล็กๆลีนัสกำลังคุยเล่นกับลุคซ์หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว เขาคลี่ยิ้มพูดคุยและหัวเราะออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เฟริครู้สึกโล่งใจ แต่ก็แปลกใจไปในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มที่คลี่ยิ้มสดใสไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนไปก็ดูจะมีแต่เสียงแปล่งๆของเจ้าตัวที่เอ่ยออกมาเท่านั้น

     “อรุณสวัสดิ์ท่านเฟริค” ลีนัสโบกมือทักทายเมื่อเห็นว่าเฟริคเดินเข้ามา

     “ท่านเป็นหวัดเหรอ”

     “ฮะๆ ใช่ๆ เป็นลีบลาก็เป็นหวัดได้เหมือนกัน ลุคซ์ยังไม่เป็นเลย” ลีนัสว่าพลางเอาผ้าขึ้นซับน้ำมูก พูดติดตลกเหมือนเป็นเรื่องขำขัน แต่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆไม่ขำด้วยเลยสักนิด เจ้าเมืองเป็นหวัดรอบนี้เป็นความผิดของเขาล้วนๆ

     “ก็เป็นได้น่ะสิขอรับ อย่างทำแบบนี้อีกนะขอรับ” ลุคซ์บ่นใส่นายเหมือนอีกฝ่ายอายุน้อยกว่า ทั้งๆที่เจ้าตัวดูอ่อนกว่าเยอะ

     “ข้าไม่รับปากหรอกนะ” ลีนัสยกผ้าขึ้นซับน้ำมูกแล้วบีบจมูกทำเสียงแบนๆตอบยียวนเด็กหนุ่มกลับไป

     “....ท่านลีนัส” เด็กหนุ่มทำคอตก เจ้าเมืองหนุ่มก็ขำออกมาเหมือนเด็กๆ เฟริคเพิ่งได้เห็นมุมแบบนี้ของเจ้าเมืองชัดๆก็วันนี้ รู้สึกเหมือนคนที่เขาเจอเมื่อคืนเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว

     “อ้อท่านเฟริคทานอะไรแล้วรึยัง ลุคซ์ เจ้าไปบอกแม่ครัวให้เตรียมอาหารเช้าให้ท่านเฟริคชุดนึงทีนะ”

     “ขอรับ” เด็กหนุ่มรับคำแล้วรีบเดินหายเข้าไปในครัว

     "เมื่อคืน ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม...ข้าหมายถึงกับท่านดาวิสน่ะ" เฟริคไม่รู้จะตั้งคำถามยังไง แต่ที่แน่ๆสองคนนี้ดูจะไม่ถูกกันเท่าไหร่

     "...ไม่เป็นไรขอรับ ท่านดาวิสทำหน้าที่ของเขาถูกต้องดีแล้วขอรับ" ลีนัสคลี่ยิ้มกลบเกลื่อน

     “อ้อ แล้วข้าจะบอกท่านว่า…”ลีนัสพูดเกริ่นขึ้นพลางดันตัวเองลุกขึ้นยืน

    “เหวอ!! อยู่ๆอย่าลุกขึ้นมาบะ..…” เฟริคกำลังจะรีบเข้าไปคว้าแขนลีนัสไว้ข้างนึง ประคองเอาไว้กลัวว่าลีนัสจะล้มเอา

    “...แบบนี้...สิ” เฟริคเอ่ยสีแผ่วๆ เมื่อเห็นว่าร่างบางยืนตัวตรงไม่ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แววตาสีแดงเข้มช้อนมองเฟริคกลับมาอย่างงงๆ

    “...อ้อ” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาเมื่อเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย ถึงตอนนี้เฟริคก็รีบปล่อยมือออกมา

    “ขออภัย ข้าเข้าใจว่าท่านลืม” ได้ยินดังนั้นเจ้าของใบหน้าหวานก็คลี่ยิ้มออกมา

     “แผลลึกขนาดนั้นใครจะลืมได้ถ้าไม่ใช่ลีบลา ขอบคุณที่เป็นห่วงนะท่านเฟริค แผลแค่นี้ข้าใช้เวลารักษาไม่นานหรอกเห็นไหม” ลีนัสแบมือทั้งสองข้างออกมาให้เฟริคดู บาดแผลจากกรงเล็บเมื่อคืนนี้หายไปไม่เหลือแม้แต่รอย ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความประหลาดใจเฟริคเผลอจับมือของอีกฝ่ายมาดูใกล้ๆ

     “จริงๆด้วย วิเศษ!!”

     “ก็...นั่นแหละที่ข้าจะบอกท่าน ว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก” ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นก็มีเสียกระแอมไออย่างตั้งใจของลุคซ์ดังแทรกขึ้นมา เด็กหนุ่มถือถาดใส่อาหารเช้ามาให้แขกคนสำคัญของเจ้าเมือง พลางปลายตามองไปมือของแขกที่ว่า ที่ยืนจับมือเจ้าเมืองของเขาอยู่ ทำให้เฟริคต้องรีบปล่อยมือลีนัสลง

     “ขออนุญาตขอรับ” ลุคซ์ดูจงใจแทรกตัวเข้ามาตรงกลางระหว่างสองคน เพื่อวางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วถอยกลับไป ลีนัสเห็นแล้วอมยิ้มขี้เล่นออกมา

     “หึงเหรอลุคซ์ อย่าแว้งกัดท่านเฟริคของข้านะ” ลีนัสทิ้งตัวกลับบลงไปนั่งพลางเอ่ยหยอกเล่นขึ้นมา

     “ม่ะ ไม่ใช่เสียหน่อยขอรับ” เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็งกลับมา ผิวสีอ่อนของนายทหารหนุ่มยิ่งทำให้เห็นชัดว่าเจ้าตัวหน้าแดงไปถึงใบหูแล้ว

     “เอาเถอะลุคซ์ ข้าล้อเล่น ไม่แกล้งแล้ว เจ้ากลับไปก่อนได้แล้วล่ะ” ลีนัสสนุกกับการแกล้งเด็กหนุ่มพอแล้ว จึงไล่ให้กลับไปทำงาน

     “...ขอรับ” เจ้าตัวที่เขินจนหน้าแดงก็อยากจะรีบๆหนีกลับไปอยู่ไม่น้อย

     “อ้อ...แล้วก็เมื่อกี้ที่ข้าบอกเจ้าน่ะ ข้าพูดจริงนะ ไม่ได้หยอกเจ้าเล่น ไปคุยกับท่านดาวิสต่อเอาเองละกัน” เฟริคไม่เข้าใจว่าลีนัสพูดเรื่องอะไร แต่ทำให้เด็กหนุ่มจ้องมองกลับมาด้วยแววตาเป็นประกาย

     “จริงๆเหรอขอรับ!?”

     “ถ้าเจ้าไม่มั่นใจ ข้าจะเก็บไปคิดใหม่อีกทีก็ได้นะ” ลีนัสแกล้งเอ่ยขึ้นมาพลางทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ยกมือขึ้นกอดอก

     “มั่นใจขอรับ ข้าจะไม่ทำให้ท่านลีนัสผิดหวัง!!” เด็กหนุ่มตอบรับน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าผู้เป็นนาย

     “ถ้างั้นก็รีบไปแจ้งเรื่องนี้กับท่านดาวิสไป”

     “ขอรับ!” เด็กหนุ่มยิ้มรับหน้าตายิ้มแย้ม แล้วเดินกึ่งวิ่งกลับไปอย่างอารมณ์ดี เจอทหารเผ้ายามที่ยืนแถวนั้นก็เข้าไปเล่าสิ่งที่ลีนัสตัดสินใจไปเมื่อครู่อย่างตื่นเต้น ก่อนจะเดินหายลับไป

     “เรื่องอะไรหรือท่านลีนัส” เฟริคอดไม่ได้ที่จะถาม ก่อนที่จะบรรจงทานอาหารตรงหน้า

     “ข้าเพิ่งตัดสินใจจะแต่งตั้งการ์เดี้ยนส่วนตัวไป ปกติแล้วเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่าจะต้องมีการ์เดี้ยนหนึ่งคนที่คอยดูแลอยู่ใกล้ชิด มีแต่รุ่นข้านี่แหละที่เพิ่งคิดจะแต่งตั้งเอาป่านนี้” ลีนัสอธิบายพลางเอื้อมมือไปหยิบส้มออกมาจากจานผลไม้แกะออก เฟริคคิดว่าถึงแม้ลุคซ์จะดูเหมือนทำงานไม่ค่อยได้เรื่องซักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นลูกน้องของดาวิส พอเป็นการ์เดี้ยนขึ้นมาแล้ว ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะคอยจับตามองเจ้าเมืองได้ทุกฝีก้าว จริงๆแล้วนี่อาจจะเป็นระบบที่ออกแบบมาให้รองเจ้าเมืองคอยควบคุมเจ้าเมืองเองก็เป็นได้ ลีนัสที่มองเห็นในจุดนี้เลยพยายามจะไม่ทำตาม แต่เมื่อคืนนี้ดาวิสน่าจะเสนอเงื่อนไขนี้ให้ลีนัสเป็นการช่วยเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความลับ เฟริคไม่ค่อยมั่นใจกับความคิดนี้สักเท่าไหร่ ในเมื่อจุดประสงค์ในการแอบเข้าไปในป่าตอนกลางคืนของลีนัสยังไม่ชัดเจนเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าต้องการจะหนีออกจากที่นี่หรอกหรืออย่างไร เฟริคคิดไม่ตกถึงได้ยิงคำถามกลับไป

     “เรื่องเมื่อคืนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่าท่านลีนัส” เหมือนเฟริคจะเดาทางถูก ปลายนิ้วเรียวที่กำลังแกะเปลือกส้มหยุดลง แววตาสีแดงเข้มช้อนมองกลับมาที่คู่สนทนา แววตาสีเหลืองทองจ้องมองลึกลงมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่าอยู่ๆแววตากลมของลีนัสกับมองเลยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างครุ่นคิด และเอ่ยออกมาอย่างขี้เล่น

     “จะว่าไป...น่าจะเกี่ยวกับเมื่อวานนะ ข้าพนันกับลุคซ์เอาไว้น่ะสิ ว่าถ้าข้าเป็นหวัด ข้าจะให้ลุคซ์ขออะไรก็ได้ข้าหนึ่งอย่าง แต่ก็นะ คนอย่างลุคซ์น่ะ มีหรือจะกล้าเอ่ยขอกับข้าตรงๆ ข้าก็เลยตัดสินให้แทน….ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจถูก” ลีนัสอธิบายอย่างอารมณ์ดี แล้วก็ก้มหน้าก้มตาแกะส้มตรงหน้าต่อ

     “ข้าต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างมากสำหรับเรื่องเมื่อคืนนี้ ท่านช่วยลืมมันไปจะได้ไหมขอรับ” ลีนัสเอ่ยต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกระซิบโดยไม่สบตามองคู่สนทนา เหมือนไม่ต้องการให้ใครได้ยินเรื่องนี้ ยิ่งลีนัสปิดบังเฟริคก็ยิ่งเป็นห่วง

     “ขออภัย ข้าคงลืมไม่ได้จริงๆ” เฟริคปฏิเสธเสียงแข็ง ทำให้ลีนัสต้องเงยหน้ากลับขึ้นมา

     “ข้าไม่เข้าใจสถานการณ์ของท่านแม้แต่น้อย ข้าคิดว่าท่านคงไม่ต้องการจะเล่าให้ฟัง เอาเป็นว่า ถ้าท่านมีปัญหาอะไรอยู่ ข้าก็ยินดีที่จะช่วย แม้แต่หากว่าท่านจะหนีออกไปจากที่นี่ ข้าก็ยินดีจะช่วย” ร่างบางได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา

     “ท่านเฟริค ข้าขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน” ลีนัสวางส้มที่แกะเสร็จแล้วลงบนจานเปล่าตรงหน้าตน แล้วประสานมือวางไว้บนโต๊ะ นัยน์ตาสีเพลิงจ้องมองแววตาของอีกฝ่ายกลับไป และเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

     “ข้าคิดว่าท่านกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่นะขอรับ ข้าไม่เคยคิดจะหนีไปไหนทั้งสิ้น ข้าเป็นเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า และลีบลาที่ทำอะไรได้มากกว่าที่ท่านคิดเยอะ” แววตาสีแดงเข้มตรงหน้าอยู่ๆก็ดูน่ากลัวขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมาเป็นรอยยิ้มสดใสอีกครั้ง

     “เอาล่ะ ไหนเรามาคุยกันที่ธุระของทางท่านบ้างดีกว่านะขอรับ อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล คงไม่ได้มาเพื่อคุยปัญหาของข้าหรอกนะขอรับ” รอยยิ้มสดใสที่แฝงไว้ ซึ่งอะไรบางอย่างของเจ้าบ้านทำให้เฟริคแอบยิ้มอยู่ในใจ เขารอโอกาสที่เจ้าเมืองหนุ่มยอมเผยธาตุแท้ออกมานานแล้ว เพราะเขาก็ไม่เชื่อว่าชายหนุ่มหน้าหวานที่ดูขี้เล่นเหมือนเด็กๆธรรมดาๆแบบนี้จะเป็นเจ้าเมืองได้
ก่อนที่เฟริคจะเอ่ยอะไรขึ้นต่อ ก็มีนายทหารวิ่งเข้าทางลีนัสอย่างเร่งรีบ เจ้าเมืองหนุ่มเพียงเห็นปฏิกริยาของแขกก็ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมอง เขาลุกขึ้นยืนในทันที

     “ขออภัย ดูเหมือนข้าจะมีงานด่วน ไว้เรียบร้อยแล้วเราค่อยคุยกันต่อนะขอรับ” ลีนัสเดินก้าวยาวๆไปทางที่นายทหารหนุ่มวิ่งมา เขาพูดคุยสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นไประหว่างที่เดินกึ่งวิ่งออกไปจากสวนหย่อมแห่งนั้น
เฟริคเห็นว่าเจ้าบ้านวิ่งหายไปจนลับตาก็รวบช้อนส้อมบนจานที่อาหารลดไปเล็กน้อยอย่างใจเย็น แล้วลุกขึ้นเดินตามออกไปพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก พลางเอ่ยชมลูกน้องของตนอยู่ในใจ ที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วสมใจเขาเสียจริงๆ



       เสียงฝีเท้าม้าสองตัวดังขึ้นที่หน้าเหมืองแห่งหนึ่งในเมือง กลุ่มคนที่ยืนมุงอยู่แถวนั้นหันมามองที่ต้นเสียงด้วยแววตาที่มีความหวัง

     “ท่านลีนัส!! สามีข้าติดอยู่ข้างใน ช่วยเขาด้วย” หญิงสาววิ่งรี่เข้ามาหาเจ้าเมืองหนุ่มทันทีที่เขากระโดดลงมาจากอาชาสีดำขลับ

     “ไม่ต้องห่วงขอรับ ขอทางให้ท่านลีนัสก่อน” นายทหารที่มาด้วยกันรีบเดินเข้าไปขวางเอาไว้ เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เหมืองที่อยู่ๆก็ถล่มลงมาปิดปากทางเอาไว้มิดชิด ยิ่งนานเข้าอากาศข้างในก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ นายหทหารเกือบสิบนายรายล้อมอยู่แถวนั้น ช่วยกันเคลื่อนย้ายหินก้อนเล็กก้อนน้อยออกโดยดาวิสเป็นผู้ที่คอยคุมความเรียบร้อยและช่วยยกหินออกเท่าที่จะทำได้ เหลือเพียงหินก้อนใหญ่มหึมาที่ไม่สามารถจะใช้แรงคนยกออกมาได้

     “มีคนอยู่ข้างในกี่คน ยังได้สติดีอยู่ใช่มั้ย” ลีนัสเอ่ยถามลุคซ์ที่ยืนอยู่ที่ปากทางเข้าเหมืองอยู่เช่นกัน

     “สองคน ยังได้สติอยู่ครบขอรับ” เด็กหนุ่มรีบรายงานทันควัน

     “ข้าอยากให้ทั้งคู่ถอยห่างออกไปให้ไกลจากทางออกให้มากที่สุด เศษหินจะได้ไม่หล่นทับ”

     “ขอรับ” เด็กหนุ่มรับคำก่อนจะหันไปตะเบ็งเสียงคุยกับผู้ที่อยู่ข้างในสุดเสียง

     “พวกท่านสองคนข้างในน่ะ ถอยออกไปห่างๆก่อน ท่านลีนัสจะเปิดทางให้เดี๋ยวนี้แหละ”

     “ข้าหายใจไม่ออกแล้ว !! มือข้าชาไปหมด ข้าจะตายไหม!!”

     “ข้ายังไม่อยากตาย ปล่อยข้าออกไป” เสียชายวัยกลางสองคนร้องอู้อี้โวยวายกลับมาอย่างเสียสติ ทำให้ลีนัสถอนหายใจยาวออกมาพร้อมยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองเบาๆ นายทหารหนุ่มเริ่มหน้าเสียขึ้นมา ไม่คิดว่าแค่ทำให้คนข้างในถอยออกไปจะเป็นเรื่องยาก ทันใดนั้นมือของดาวิสก็ตบลงมาที่ไหล่ของลูกน้องเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่ทุ้มดัง

     “ท่านไรอัน ท่านอเล็กซ์ ได้ยินแล้วตอบกลับมาสั้นๆพอ” ดาวิสไม่ได้ตะเบ็งเสียงออกมามากนัก แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาหนักแน่นทรงพลังและดังพอที่คนข้างในจะได้ยิน

     “.....ขอรับ” เสียงข้างในตอบกลับมาสั้นๆ รู้สึกได้สติขึ้นมาทันทีที่ถูกเอ่ยชื่อ

     “พวกท่านช่วยถอยหลบเข้าไปข้างในก่อนนะขอรับ จะได้ไม่โดนเศษหินหล่นทับตอนที่ท่านลีนัสเปิดทางให้”

     “....เข้าใจแล้ว ข้าจะถอยออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” เสียงชายคนหนึ่งตอบกลับออกมา ถึงจะเจือด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ตอบกลับมาอย่างมีสติกว่าเดิม

     เมื่อเสียงจากในเหมืองเงียบไปได้ครู่หนึ่ง ดาวิสก็คลี่ยิ้มยักคิ้วให้เจ้าเมืองหนุ่มเล็กน้อย ก่อนจะลากนายทหารของตัวเองออกไปจากตรงนั้น และสั่งให้ทุกคนเปิดพื้นที่ให้

      เจ้าเมืองหนุ่มคลี่ยิ้มแห้งๆกลับไปให้ เขาหายใจเข้าลึกๆแล้วหลับตาเอามือสองข้างประกบกัน แสงจากตราเวทย์วงกลมปรากฏขึ้นล้อมรอบพื้นดินที่ลีนัสยืนอยู่ ครู่หนึ่งก็มีตราเวทย์วงใหญ่อีกวงหนึ่งปรากฏขึ้นข้างๆ เกิดแสงสว่างวาบจากพื้นดินขึ้นไปบนฟ้า เมื่อแสงสว่างนั้นหายไปก็ปรากฏร่างยักษ์ในชุดเกราะสีเงินค่อนไปทางดำ ภูติระดับสูงที่คนธรรมดามองเห็นด้วยตาเปล่า มีเพียงเจ้าเมืองเท่านั้นที่เรียกออกมาได้ ปกติไม่ได้มีโอกาสได้เห็นกันง่ายๆ ทำให้ทุกคนยืนมองด้วยความตกตะลึง

      ลีนัสผายมือออกสองข้างหลับตาตั้งสมาธิ ยักษ์ตนนั้นก็ใช้แขนแกร่งทั้งสองข้างยกหินก้อนใหญ่ที่ปิดปากทางเหมือง ออกมาวางไว้ข้างๆได้อย่างเบาสบาย จนประตูเหมืองเปิดกว้างพอที่จะเคลื่อนย้ายคนเข้าออกได้ แววตาสีแดงเข้มจึงค่อยๆลืมขึ้น เจ้าเมืองหนุ่มหันไปโค้งศีรษะให้ภูติร่างใหญ่อย่างนอบน้อม แล้วยักษ์ตนนั้นก็หายไป กลายเป็นแสงสว่างเล็กๆที่กระจายฟุ้งหายไปในอากาศ

     ดาวิสเดินเข้าไปข้างในเหมืองเพื่อหาคนที่ติดอยู่ข้างในด้วยความระมัดระวัง ตามด้วยนายทหารอีกสองนาย และนายอื่นๆก็คอยคุมไม่ให้ครอบครัวของผู้ที่อยู่ข้างในวิ่งกรูกันเข้าไปข้างใน ลีนัสยืนมองพื้นที่รอบๆอย่างครุ่นคิด แล้วก็รู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองมา จึงได้หันกลับไป ก็สบตาเข้ากับแววตาสีเหลืองทองที่ตัดกับผิวสีแทนของเจ้าตัว ยืนยิ้มอย่างพออกพอใจกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงนั้น ลีนัสจึงเดินตรงเข้าไปหาในทันที

     “ท่านทำอะไรได้มากกว่าที่ข้าคิดจริงๆท่านเจ้าเมือง” เฟริคปรบมือให้ลีนัสเบาๆพลางเอ่ยชม

     “ดูท่านจะศึกษามาดีพออยู่แล้วนะขอรับ ถึงได้วางแผนการนี้ขึ้นมา” เจ้าเมืองหนุ่มมยืนกอดอกจ้องมองอีกฝ่ายอย่างโกรธเคือง

     “โอ้ นี่ท่านตัดสินว่าเป็นฝีมือข้าได้ทันทีเลยรึ” เฟริคเห็นแววตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมา ก็โน้มตัวลงไปหากระซิบถามร่างบางใกล้ๆ

     “เร็วไปหน่อยไหมท่านเจ้าเมือง”

     “ท่านคงจะไม่ลืมว่าข้าเป็นลีบลา มีภูติที่พวกท่านมองไม่เห็นเป็นหูเป็นตาอยู่ทั่วทั้งเมือง คนของท่านทำอะไรไว้บ้างมีหรือที่ข้าจะไม่รู้” ลีนัสยังคงยืนกอดอกอยู่ที่เดิมไม่ขยับหนีไปไหน แววตาสีเพลิงจ้องมองอีกฝ่ายกลับไปในระยะประชิด

     “เวลาท่านโกรธแบบนี้น่ารักดีนะข้าชักจะชอบท่านขึ้นมาจริงๆแล้วสิ กลับไปบริงไฮด์กับข้าเถอะ” เฟริคยกมือขึ้นจะสัมผัสพวงแก้มเนียนของอีกฝ่าย ทว่าลีนัสเพียงยกมือขึ้นมาขวางไว้ พร้อมกับมีแรงลมปะทุออกมาบาดฝ่ามือหนาของอีกฝ่าย เฟริคเพียงขยับแขนออกห่าง แต่ไม่ยอมละสายตาออกจากแววตาสีเพลิงที่น่าดึงดูดตรงหน้าแล้วคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ

     “ไม่คิดว่าตัวตนที่แท้จริงขององค์ชายแห่งบริงไฮด์จะพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระเช่นนี้”

     “จะไร้สาระหรือไม่ ถ้าท่านลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ในอาณาจักรบริงไฮด์แล้วจะรู้เอง” เจ้าเมืองหนุ่มหัวเราะกลับมาในลำคอเมื่อได้ยินสิ่งที่องค์ชายเอ่ยออกมา

     “ท่านน่าจะเป็นห่วงสวัสดิภาพในการเดินทางกลับบริงไฮด์เสียมากกว่านะขอรับ หากท่านจะทำอันตรายลูกบ้านของข้าเช่นนี้อีก”

     “แปลว่าครั้งนี้ท่านไม่ว่าอะไรสินะ นี่ท่านใจดีหรือเกรงใจบริงไฮด์กันแน่” เฟริคจี้เข้าถูกจุดร่างบางขมวดคิ้วเข้ามาชนกันจนหน้าผากตรงกลางเป็นร่อง ยังไงซะบริงไฮด์ก็ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลในภูมิภาค มากพอที่จะทำให้เวลเฮมมิน่าปวดหัวไปได้อีกพักใหญ่ทีเดียวหากต้องมีปัญหาขึ้นมา

     “ข้าไม่อยากให้เรื่องหยุมหยิมแค่นี้สร้างปัญหามากไปกว่านี้ ข้าขอตัว” ลีนัสเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงต่อไปจึงได้เบือนหน้าหนีแล้วเดินผละจากไปกลับไปที่หน้าเหมืองอีกครั้ง แต่เมื่อหันกลับไปก็สบตาเข้ากับดาวิสที่ยืนมองมาทางนี้อยู่นานแล้วพอดี ลีนัสจึงเดินเบี่ยงไปทางอาชาสีดำที่ตนควบมาเมื่อครู่ แต่ดาวิสก้าวมาถึงตัวก่อนจึงได้รั้งแขนของเจ้าเมืองเอาไว้

     “ท่านลีนัส…..” แววตาสีเพลิงหันกลับมองอย่างหน่ายๆทำให้อีกฝ่ายสะดุดไปเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยถามต่อ

     “มีปัญหาอะไรที่ข้าควรจะทราบไหมขอรับ”

     “ไม่เป็นไร ข้าจัดการเองได้ ถ้ามีอะไรจะให้เรเชลแจ้งให้ทราบ” ลีนัสเอ่ยตัดบทก่อนจะกระโดดขึ้นม้าแล้วควบหนีกลับไป ทิ้งให้ร่างสูงยืนถอนหายใจมองตามไป ครู่หนึ่งก็หันมามองเฟริคที่ยืนยิ้มมองเหตุการณ์อยู่ตรงนั้นเงียบๆ ก่อนจะละสายตากลับไปที่สถานการณ์หน้าเหมือง

Bringhid's Prince (Part1/2)
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 2 : 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 25-08-2015 17:17:29
Act 2 :Bringhid's prince (2/2)

     แสงแดดยามเย็นทอแสงสีส้มอาบย้อมเส้นขอบฟ้าไล่ขึ้นมา เจ้าเมืองหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองนั่งจ้องภาพนี้จากในห้องทำงานของตัวเองอยู่นานมากแล้ว ตอนนี้ในสมองของเขาเต็มไปด้วยปัญหาการปกครองเมือง ที่ต้องรับฟังทั้งความต้องการของมนุษย์ และความต้องการของภูติในเวลาเดียวกัน ที่ผ่านๆมาเวลเฮมมิน่าไม่เคยมีบทบาทอะไรในภูมิภาคนี้มาก่อน ทุกวันนี้มีการส่งเสบียงไปยังบริงไฮด์เพื่อแลกเปลี่ยนกับการไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่ผู้มีอำนาจนึกอยากจะทำอะไรก็ย่อมได้อยู่แล้ว หากเวลเฮมมิน่าต้องแข็งกร้าวกับบริงไฮด์ขึ้นมา คงจะไม่ได้อยู่อย่างสงบแบบนี้ไปอีกยาวทีเดียว หากยอมเข้าร่วมสงครามคนก็ยิ่งรู้จักลีบลากันอย่างกว้างขวางมากขึ้น ถึงตอนนั้นก็คงจะต้องเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวไม่แพ้กัน

      เสียงเคาะประตูห้องทำงานของเจ้าเมืองดังขึ้น ทำให้ร่างบางรีบดึงความคิดทั้งหมดกลับมาสู่ปัจจุบัน แล้วเอ่ยตอบกลับไป

      “เชิญ” ประตูห้องเปิดออกเรเชลก็เดินเข้ามา

      “ท่านเฟริคมีเรื่องอยากจะคุยกับท่านค่ะ” แค่ได้ยินชื่อนี้ลีนัสก็หางตากระตุกขึ้นมาทันที เขาเผลอถอนใจออกมาเบาๆก็จะส่งสัญญาณมือบอกให้เรียกแขกเข้ามาก่อนจะขยับท่านั่งเสียใหม่

      “มีอะไรให้รับใช้ขอรับองค์ชาย” ลีนัสแค่นยิ้มส่งให้ชายหนุ่มผิวแทนร่างสูงที่เดินเข้ามาในห้อง ส่วนเรเชลก้มศีรษะน้อยๆก่อนจะปลีกตัวออกไป

      “ข้าจะมาแจ้งให้ท่านทราบว่า พวกข้าจะเดินทางกลับบริงไฮด์วันพรุ่งนี้” เฟริคว่าพลางดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามลีนัสออกมาทรุดตัวนั่งลง อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นก็เลิ่กคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ

      “ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านเจ้าเมืองแล้ว เพราะวันนี้ท่านเองก็พิสูจน์ให้ข้าเห็นพอแล้ว ว่าท่านคือคนที่ข้ากำลังตามหาอยู่” แววตาสีเหลืองทองจ้องมองไปที่คู่สนทนาราวกับเป็นเหยื่อของเขา

      “ขออภัย ข้าไม่มีนโยบายที่จะออกจากเมืองเวลเฮมมิน่า” เจ้าเมืองหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

      “ข้าเชื่อว่าท่านตกลงไปกับข้าเสียจะดีกว่า จะได้จัดเก็บของและฝากฝังงานไว้กับเรเชลได้ทัน ว่าไหม” เฟริคยื่นมือออกมาเสนอให้อีกฝ่ายยอมตกลงแต่โดยดี ลีนัสนั่งหลังเหยีดตรงกุมมือทั้งสองข้างวางบนโต๊ะนิ่ง และปลายตามองไปยังมือของอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เย็นชา เฟริคจึงชักมือกลับแสร้งทำหน้าเสียดายนิดๆ

      “ข้าถามจริงๆเถอะ เมืองเล็กๆอย่างเวลเฮมมิน่านี่คิดจะมีปัญหากับบริงไฮด์จริงๆน่ะหรือ” เฟริคเอ่ยจี้จุดที่อีกฝ่ายเป็นห่วงอยู่ แต่ลีนัสได้ตรองดูแล้วไม่ว่าจะทางไหนเขาก็มีแต่เสียเท่าๆกัน

      “ข้าว่าท่านคิดอีกทีดีกว่า ว่าอยากจะมีปัญหากับลีบลาแห่งเวลเฮมมิน่าไหม” ลีนัสเอ่ยย้อนอีกฝ่ายกลับไปพร้อมแววตาที่ท้าทาย

     “ดี ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่าลีบลาที่เป็นเจ้าเมืองเนี่ย ทำอะไรได้สักแค่ไหนกัน” เฟริคคลี่ยิ้มมุมปากเอ่ยท้าทายอีกฝ่ายกลับเช่นกัน 

     “ท่านเฟริค ข้าเชื่อว่าท่านไม่อยากจะรู้หรอกขอรับ” ลีนัสตอบด้วยน้ำเสียงเย็นๆ มือสองข้างยังคงกุมอยู่บนโต๊ะอยู่ในท่วงท่าที่สง่างามสมกับตำแหน่ง เจ้าเมืองหนุ่มขี้เล่นที่เฟริครู้จักเมื่อวานนี้ หายไปตั้งแต่เมื่อเช้านี้โดยสิ้นเชิงแล้ว

      “ฮ่ะๆ...นี่ข้ากำลังโดนข่มขู่อยู่รึเปล่าเนี่ย” แววตาสีเหลืองทองหรี่ลง ริมฝีปากคลี่ยิ้มยียวนกลับมา

      “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้น” ลีนัสว่าพลางขยับไปนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ

      "หึ อยากจะรู้นักว่า ถ้าอยู่ๆท่านตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ในบริงไฮด์แล้วท่านจะยังปากดีแบบนี้อยู่ไหม" เจ้าเมืองหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ขำออกมาจากลำคอเบาๆ เหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังเล่าเรื่องตลกให้ฟังอยู่

      "เป็นการยกตัวอย่างที่ตลกมาก แต่ถามจริงๆเถอะ ท่านจะเอาลีบลาที่ไม่มีทางทำตามคำสั่งของท่านไปทำไม" ลีนัสกลับมาเท้าแขนลงบนโต๊ะมองอีกฝ่ายอย่างท้าทาย อีกฝ่ายกลับคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์กลับมา

      "ไม่ต้องห่วงหรอกท่านลีนัส ข้าได้คิดไว้ถึงจุดนั้นเรียบร้อยแล้ว แล้วเชื่อข้าสิ…” เฟริคว่าพลางลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวไปกระซิบบางร่างบางที่ข้างหู ด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

      “ท่านคงไม่อยากรู้หรอก" น้ำเสียงกับสัมผัสของลมหายใจอุ่นๆของเฟริค ทำเอาร่างบางสั่นสะท้านขึ้นมา รอยยิ้มเมื่อครู่ที่ร่างบางแค่นออกมาสู้หายไปจนหมดสิ้น ร่างสูงยิ้มกริ่มอย่างผู้กำชัยยืดตัวขึ้นมา แล้วเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

     “ระวังอย่าเปิดช่องว่างให้ข้านักล่ะท่านเจ้าเมือง”




      ช่วงสายของวันรุ่งขึ้น เฟริคสั่งให้ผู้ติดตามทยอยเก็บข้าวของกลับขึ้นรถม้าไป และส่งให้กลับนำไปก่อนส่วนหนึ่ง ลีนัสรู้สึกโล่งใจที่แขกตัวปัญหาของเขาจะได้กลับไปเสียที แต่ก็อดระแวงไม่ได้ว่าเจ้าตัววางแผนอะไรเอาไว้ ลีนัสยืนกอดอกมองกลุ่มผู้ติดตามของเฟริคกลุ่มแรกออกเดินทางจากไป จากทางหน้าต่างหน้าทำงานของตนข้างบน ครู่หนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

      “เชิญท่านเฟริค” เจ้าของห้องรู้ดีว่าเป็นใคร ประตูห้องเปิดเข้ามาตามมาด้วยใบหน้าคมที่คลี่ยิ้มทักทายส่งมาให้

      “ท่านลีนัส เดี๋ยวข้าจะออกเดินทางกลับแล้ว จะเปลี่ยนใจไปกับข้าตอนนี้ยังทันนะ” เฟริคเอ่ยขึ้นหลังจากที่ปิดประตูห้องลง ลีนัสได้ยินข้อเสนอขออีกฝ่ายก็เบี่ยงสายตากลับออกไปข้างนอกอย่างไม่สบอารมณ์

     “เดินทางโดยสวัสดิภาพขอรับ” ร่างบางเอ่ยกลับไปอย่างไร้เยื่อใย ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องเสแสร้งเป็นเจ้าบ้านผู้ใจดีอีกต่อไป

     “วันนี้เย็นชาจังนะท่านเจ้าเมือง เมื่อวานยังน่ารักอยู่แท้ๆ” เฟริคว่าพลางก้าวเข้าหาเจ้าเมืองหนุ่ม ทว่ากลับต้องชะงักไปเมื่อรู้สึกว่าชนกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น

     “ข้าว่าท่านรีบกลับไปซะก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจฝังท่านไว้ที่นี่จะดีกว่าขอรับ” ลีนัสหันมามองคู่สนทนาด้วยสายตาที่เยียบเย็น แต่องค์ชายมัวแต่ลองเอามือฉากกั้นที่เขามองไม่เห็นอย่างสนอกสนใจ เขาลองเอามือสองข้างผลักดูเบาๆ แล้วก็ออกแรงทิ้งน้ำหนักทั้งตัวดู ด้วยความหงุดหงิดลีนัสจึงอาศัยจังหวะนั้นปลดพลังเวทย์ออกทำให้ร่างสูงเสียสมดุลจนล้มลงไปนอนแทบเท้าเจ้าตัว จังหวะนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยร่างใหญ่ของรองเจ้าเมืองที่ถือวิสาสะเปิดเข้ามาพร้อมกับเอกสารต่างๆในมือ

     “ขออภัยท่านลีนัส....” ชายหนุ่มร่างหนาจะเอ่ยธุระของตนต่อ แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าแล้วทำให้สะดุดไป

     “เกิดอะไรขึ้นขอรับ”

      “ท่านเฟริคเดินสะดุดขาตัวเองน่ะ” ลีนัสอธิบายพลางเดินตีห่างออกไปจากเฟริคอย่างเย็นชา ฝ่ายดาวิสจึงเดินเข้าไปยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย

     “เป็นอะไรมากไหมขอรับ” เฟริคลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นรับความหวังดี

      “ขอบใจ” เฟริคเอ่ยขอบคุณดาวิสที่ช่วยดึงเขาลุกขึ้นมาตามมารยาท แต่พอจะปล่อยมือกลับโดยอีกฝ่ายบีบไว้แน่น ทำให้เฟริคต้องเงยหน้าขึ้นเห็นแววตาสีน้ำเงินเข้มสบมองลงมาอย่างเย็นชาก่อนจะแสยะยิ้มน้อยๆกลับมา

      “ด้วยความยินดีขอรับ” มือแกร่งยอมปล่อยมืออีกฝ่ายออกมาในที่สุด

     “เห็นว่าจะเดินทางกลับแล้วสินะขอรับ เดินทางกลับดีๆนะขอรับ” เฟริคฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นคำขู่มากกว่าความหวังดี

      “ขอบคุณในความหวังดี ท่านดาวิส” เฟริคกัดฟันเอ่ยตอบอีกฝ่ายไป เขาจำไม่ได้ว่าไปทำให้ชายร่างใหญ่นี่เกลียดเขาตอนไหน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าสาเหตุน่าจะมาจากเจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้เป็นแน่แท้ ระหว่างที่คิดอยู่นั้น อยู่ๆก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังเข้ามา ลีนัสหันควับกลับมาสบตากับดาวิสด้วยสีกน้าตกใจแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แล้วก็วิ่งออกไปดูเป็นคนแรก ดาวิสก็รีบวิ่งตามไปติดๆ

      ที่หน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์เต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บนอนกระจัดกระจายไปทั่ว เรื่อยมาตลอดทางจนถึงโถงบันไดใหญ่กลางคฤหาสน์ ที่ตรงกลางบันไดนั้นปรากฏร่างชายหนุ่มร่างใหญ่เปลือยท่อนบน สิ่งที่ติดตัวมามีเพียงกางเกงกับดาบเล่มหนึ่ง ผิวสีน้ำตาลแดงมีรอยสักทั่วทั้งตัว ผมกระเซิงสีเทายาวลงมาถึงเข่า และสิ่งที่ทำให้บรรดาทหารทั้งหลายลังเลที่จะเข้าใกล้ ก็คือเขาสองข้างที่งอกยาวออกมาจากหน้าผาก

     “ลีนัส!!” ผู้บุกรุกตะโกนเรียกชื่อบุคคลที่เขาต้องการจะพบเสียงดังสนั่นไปทั้งห้องโถง

     “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เจ้ามีธุระอะไรกับท่านเจ้าเมือง ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” เสียงเด็กวิ่งตามเข้ามาในห้องโถง ตะโกนท้าทายมนุษย์กึ่งภูติที่บุกเข้ามา ผู้ที่ถูกท้าทายทอดสายตาต้นเสียงกลับไปอย่างเย็นชา สิ่งที่เขาเห็นคือลูกหมาตัวเล็กๆที่กำลังเห่าขู่ทำขนพองอยู่ตรงนั้น

     “ลุคซ์ ถอยไป” เสียงลีนัสตะโกนลงมาจากชั้นสองทำให้ผู้บุกรุกกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

     “....เจ้านี่เอง” อยู่ๆเปลวเพลิงสีน้ำเงินก็ลุกโชนออกมาทั่วโถงกว้าง ดาวิสที่วิ่งตามลีนัสมาติดๆต้องรีบคว้าร่างบางดึงกลับมากอดแล้วพลิกตัวบังเปลวเพลิงอันร้อนระอุที่ลุกโชนขึ้นมา ร่างใหญ่ต้องทรุดลงมาชันเข่าไว้เมื่อเปลวเพลิงร้อนจนผ้าที่แผ่นหลังไหม้ทะลุเข้าไปถึงผิวข้างใน

      “หยุดเดี๋ยวนี้นะซีมัส!!” ลีนัสตะโกนกลับไปเสียงดังกังวานไปทั้งห้องโถง เปลวเพลิงที่ลุกโชนเมื่อครู่ก็เบาลง ลีนัสเอามือลูบแผ่นหลังแกร่งที่บังเปลวเพลิงให้เขาไว้เมื่อครู่เบาๆ ปรากฏแสงสีเขียวอ่อนที่ฝ่ามือ รักษาบาดแผลที่ถูกเปลวเพลิงไหม้ไปเมื่อครู่

     “ท่านดาวิส ข้าจัดการเรื่องนี้เอง” ลีนัสผละตัวเองออกจากอ้อมแขนแกร่งแล้วเดินไปที่ระเบียงกั้นตรงบันได เห็นลุคซ์ที่นอนสลบเพราะความร้อนกลางเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มนั้นยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตก็สบายใจไปเปราะหนึ่ง

     “ดูสุขสบายดีนะท่านเจ้าเมือง” แววตาสีเทาอ่อนสบมองเจ้าเมืองหนุ่มอย่างท้าทาย

     “สามปีสองเดือน ยี่สิบเอ็ดวันที่เจ้าหนีหายไป………...นี่คือคำพูดของน้องที่เอ่ยทักพี่ชายของเจ้าน่ะหรือ ซีมัส”




____________________________________________________________________

End Act.2


แถมท้าย
Zemus : นี่ท่านนับวันขนาดนั้นเลยเหรอ
Linus : ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่ใส่ใจขนาดนั้นอยู่แล้ว
Zemus : แล้ว ?
Linus : ข้าก็ไม่ได้นับหรอก กะเอาคร่าวๆ ให้ฟังดูน่าตกใจเล่นๆน่ะ
Zemus : .......................
 :mew5:
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 2)
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 28-08-2015 14:36:07
Act 3 : The demon (1/3)
Edit : 3 Dec. 2015 เพิ่มฉากใหม่ตัวเอียงนะครับ
   

      เสียงรัวเคาะประตูบ้านไม้ดังขึ้น ทำให้แม่ลูกสองคนที่กำลังจัดเตรียมมื้อเย็นกันอยู่ต้องสะดุ้งแล้วหันไปที่ประตูบ้านพร้อมกัน ไม่ทันไรประตูก็เปิดพรวดเข้ามาอย่างรีบร้อน เด็กหนุ่มผู้เป็นลูกชายรีบวางของแล้วเดินออกมาขวางหน้ามารดาเสียก่อนอย่างเคยชิน
 
       “ขออภัยที่รบกวนเวลานี้” อเล็กซ์ ชายวัยกลางคนที่เจ้าบ้านรู้สึกคุ้นหน้าเพราะอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาเมื่อเห็นว่าไม่ได้ลงกลอนเอาไว้

       “ข้าได้ยินว่าบ้านนี้มีลีบลาอาศัยอยู่ ตอนนี้ลูกชายข้าเป็นอะไรไม่รู้ ช่วยมากับข้าที” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร เด็กหนุ่มจึงลดการระวังตัวลง แววตาสีเพลิงปิดลงอย่างใจเย็นครู่หนึ่ง เพื่อเอ่ยถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับชายคนนี้กับเหล่าภูติบริเวณนั้น เมื่อรู้ก็เบิกตาขึ้นมองอเล็กซ์ด้วยแววตาตกใจพร้อมกับก้าวเท้าไปหาอย่างรีบร้อน
      
     “เดี๋ยวข้ากลับมานะท่านแม่” เด็กหนุ่มหันมาเอ่ยบอกมารดาก่อนจะวิ่งออกไปจากบ้านพร้อมผู้ที่เดือดร้อน อเล็กซ์แปลกใจว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงตกลงจะช่วยโดยไม่ถามอะไรมาก
    
    “ดูแลตัวเองดีๆนะลีนัส” มารดาเอ่ยไล่ตามหลังบุตรชายไป
 
     “เจ้าเป็นลีบลาเหรอ”

        “นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง” ลีนัสไม่เสียเวลาตอบคำถามนั้น เขาเอ่ยถามคำถามอีกฝ่ายกลับไประหว่างทางที่เดินกึ่งวิ่งไปตามทาง

        “ข้าไม่รู้จริงๆ เมียข้าเพิ่งเสียไปไม่นาน ข้าพยายามจะอธิบายให้เขาเข้าใจแต่พอเขาไม่เข้าใจก็เริ่มร้องไห้ออกมา…”

        “ข้าหมายถึงลูกครึ่งภูติ ลูกท่าน” เด็กหนุ่มถามแทรกกลับมา

        “อะไรนะ?” อเล็กซ์ไม่เข้าใจที่เด็กหนุ่มถาม ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อทั้งคู่ก็เดินมาถึงที่เกิดเหตุ เปลวเพลิงสีน้ำเงินที่มนุษย์ทั่วไปก่อไม่ได้ ลุกลามไปทั่วทั้งบ้าน ชาวบ้านแถวนั้นพากันออกมามุงดูกันอย่างตื่นตระหนก บ้างก็ช่วยกันหิ้วน้ำมาสาดเพื่อจะดับไฟ แต่เก็ไม่ยอมดับไปง่ายๆ ผู้เป็นพ่อแทบจะล้มทั้งยืนตรงนั้นด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือยังไม่รุนแรงขนาดนี้

        “ลูกท่านอยู่ในบ้านคนเดียวใช่ไหมตอนนี้”

        “ชะใช่ๆ”

         เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาถึงสูดหายใจเข้าพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้น ก็มีกระแสน้ำไหลลงมาดับเพลิงสีน้ำเงินนั้นไป แต่ไม่ทันไรก็จุดติดกลับขึ้นมาใหม่ ใบหน้าหวานเห็นเช่นนั้นขมวดคิ้วมองด้วยความหนักใจ เขาตัดสินใจร่ายเวทย์ให้น้ำสาดเข้าใส่ร่างตัวเองให้เปียกช่ำ ก่อนจะเดินฝ่าเข้าไปทั้งอย่างนั้นโดยใช้พลังเวทย์ช่วยป้องกันเพลิงอันร้อนระอุไม่ให้ไหม้เจ้าตัว
        
      “เดี๋ยว นี่เจ้าจะเข้าไปทั้งอย่างนั้นเลยหรือ” ผู้เป็นพ่อร้องออกมาด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มหันมามองผู้ที่เอ่ยรั้งไว้อย่างนึกอะไรขึ้นได้

        “ลูกท่านชื่ออะไร”

        “...ซีมัส” เมื่อได้รับคำตอบเด็กหนุ่มร่างบางก็เดินหายเข้าไปในเปลวเพลิงนั้น

        ถึงแม้ลีนัสจะใช้พลังเวทย์ของภูติช่วยปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกเพลิงเผาใหม้ แต่ความร้อนระอุของเปลวเพลิงไม่ได้หายไปไหน อากาศอันร้อนอบอ้าวทำให้ลีบลาหนุ่มอึดอัดหายใจไม่ออกจนแทบจะเป็นลมไปเสียตรงนั้น  ที่โต๊ะกินข้าวกลางบ้าน มีเด็กชายตัวน้อยผิวสีน้ำตาลแดงนั่งอยู่ บนผิวสีน้ำตาลแดงปรากฏรอยสักสีน้ำตาลเข้มขึ้นทั้งแขนขาและใบหน้า เรือนผมสีเงินยาวประบ่าและมีเขาน้อยๆงอกออกมาที่กลางหน้าผาก ลีนัสคิดว่าควรจะกำจัดเด็กคนนี้ทิ้งเสียตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาเองก็อาจจะตายไปพร้อมๆเด็กคนนี้ตอนนี้เลยก็ได้ เขายังมีมารดาที่ต้องดูแลอยู่คนหนึ่งไม่อาจจะตายตอนนี้ได้ แต่เมื่อแววตาสีเทาที่ไร้เดียงสาที่เปื้อนคราบน้ำตาช้อนขึ้นมองกลับมาด้วยความหวาดกลัว ความคิดนั้นก็สลายหายไปในทันที

        “ซีมัส…” เด็กหนุ่มแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงออกเสียงออกมา นั่นเป็นแรงฮึดสุดท้ายของเขา ที่จะทำให้เด็กชายที่กำลังสะอื้นไห้สงบลง เพลิงสีน้ำเงินรอบตัวดูจะเบาบางลง

     “พี่ชาย ช่วยข้าด้วย...เกิดอะไรขึ้น” เด็กชายสะอื้นเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว เด็กหนุ่มทรุดตัวลงไปกอดเด็กชายตัวน้อยเอาไว้

       “ไม่เป็นไรนะซีมัส เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าออกไปหาพ่อเจ้าเอง” ลีนัสจูบที่กระหม่อมเด็กชายเบาๆ สัมผัสที่อ่อนโยนทำให้เด็กชายคลายกังวล แล้วเปลวเพลิงรอบๆค่อยๆมอดมลายหายไป

        “เก่งมากซีมัส” ลีนัสเอ่ยเสียงนุ่มพลางลูบศีรษะเด็กน้อยเบาๆ เขาถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ร่างกายที่ฝืนทนความร้อนจนล้าไปทั้งร่างทิ้งตัวพิงเด็กชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาขอหลับตาลงพักผ่อนสักพักก่อนจะใช้แรงลุกเพื่อเดินออกไปจากที่นี่ ตอนนี้เขาอยากจะมีคนพาเขาออกไปจากที่นี่เหลือเกิน แต่ไม่ทันที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ โครงบ้านที่ถูกไฟเผาไปเมื่อครู่อยู่ๆก็ทรุดลงมา คานบ้านร่วงตกลงมาตรงที่ทั้งสองนั่งอยู่พอดี ลีนัสหมดเรี่ยวแรงเกินกว่าจะขยับตัวหนีได้ทัน ทำได้เพียงขยับไปบังร่างของเด็กน้อยไว้แล้วหลับตาลงเพื่อหลีกหนีความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น
   

     เสียงคานบ้านตกลงมากระแทกเสียงดังสนั่น ทำเอาร่างบางสะดุ้งสุดตัว แต่กลับไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกใดๆทั้งสิ้น แววตาสีเพลิงจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมองรอบๆ เห็นภูติในร่างกระทิงท่อนบนคล้ายมนุษย์สูงใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดาถึงสามเท่า ยืนเอาแขนแกร่งยกค้ำคานที่ร่วงหล่นลงมาแล้วปัดทิ้งไปข้างๆ

       “มนุษย์...ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องตายเพราะเด็กคนนี้ ปล่อยเด็กคนนี้ไว้ที่นี่แล้วเจ้าออกไปซะ เด็กคนนี้ต้องไม่เกิดมา” ลีนัสเงยหน้าขึ้นมองภูติร่างใหญ่ที่เอ่ยพูดกับเขาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะก้มลงมองเด็กชายตัวน้อยที่ตอนนี้กลับมาเป็นเด็กผิวขาวผมสีบลอนด์ทองตาสีฟ้าใสธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่จ้องมองลีนัสกลับมาด้วยแววตาที่หวาดกลัว มืน้อยๆจับท่อนแขนของเขาไว้แน่น ลีนัสจึงเดินมายืนขวางระหว่างเด็กชายตัวน้อยกับภูติร่างยักษ์

        “แต่ท่านก็ตั้งใจปล่อยไว้จนกระทั่งข้ามาเจอ” แววตาสีดำสนิทของกระทิงร่างใหญ่เบี่ยงหลบแววตาแข็งกร้าวของเด็กหนุ่มร่างเล็กตรงหน้า

     “......” ร่างแกร่งถอนหายใจแรงจนควันร้อนพวยพุ่งออกมาจากจมูก

        “เด็กคนนี้คือลูกท่านเองสินะ...ท่านปล่อยใหเมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง” จากท่าทีของภูติทำให้ลีบลาหนุ่มพอจะเดาออก จึงถูกซักถาม

        “ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น แม่ของเด็กเป็นลีบลา...นางพร่ำขอให้ภูติช่วยทำให้นางมีลูกสำเร็จสักครั้ง ข้าจึงเสกเวทย์ให้ครรภ์ของนางแข็งแรงพอที่จะเลี้ยงตัวอ่อนน้อยๆนั้นได้เติบโตจนออกมาลืมตาดูโลก”

        “.....เกือบเก้าเดือนที่ข้าเฝ้าดูแลเด็กคนนี้ในครรภ์ของนาง ข้าเลี้ยงดูเขาเองไม่ได้ ยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นมนุษย์ แต่ก็เป็นมนุษย์ที่อันตรายเกินไป แม่ของเด็กเพิ่งจะเสียไป ไม่มีใครดูแลเด็กคนนี้ได้แล้ว ปล่อยเด็กคนนี้ไว้ให้ข้าทำในสิ่งที่ข้าต้องทำเถอะ ” ลีนัสไม่ยอมขยับหนีไปไหน

        “ปล่อยให้ข้าเสี่ยงตายเข้ามาถึงตรงนี้ ท่านตั้งใจบีบข้าชัดๆ” เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะประกาศกร้าวกลับไป

     “ข้าจะดูแลเด็กคนนี้เอง”

     “ออกไปหาท่านพ่อเจ้ากันเถอะซีมัส” ลีนัสหันมายื่นมือส่งให้เด็กชายตัวน้อยจับไว้ แล้วจูงมือเดินเขาออกไปข้างนอก

       “.....ขอบใจ..มนุษย์” ภูติร่างยักษ์เอ่ยกระซิบแผ่วเบากลับมาก่อนจะสลายร่างกระจายหายไป

        “ซีมัส!!” อเล็กซ์ตะโกนเรียกบุตรชายด้วยความดีใจ เด็กชายตัวน้อยก็รีบวิ่งไปหาบิดาของตนทันที ลีนัสเห็นภาพตรงหน้าก็อมยิ้มออกมา เขาคิดว่าเขาตัดสินใจถูกต้องดีแล้ว อย่างน้อยก็ตอนนี้ ถึงแม้ตอนนี้ชาวบ้านทุกคนต่างก็มองพวกเขาด้วยความสงสัยและหวาดระแวงบ้างก็ตาม

        “หนุ่มน้อยเจ้ามั่นใจว่าจะรับผิดชอบปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากเด็กคนนี้ไหวจริงๆ หรือเจ้าเอ่ยออกมาเพียงเพราะความอวดดีของเจ้ากันแน่” เสียงทุ้มของชายวัยกลางเอ่ยขึ้นมาจากข้างหลังเด็กหนุ่ม เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูนี้ทำให้ร่างบางรีบหันกลับไปมองทันที

        “ท่านเฮมิส….” เจ้าเมืองวัยกลางคนในชุดสีขาวคาดผ้าสีแดงชาด เดินมาหยุดยืนตัวตรงเป็นสง่าอยู่เบื้องหลังเด็กหนุ่ม แววตาสีเขียวทอดมองเด็กหนุ่มอย่างเฝ้ารอคำตอบ

        “ข้า…” ด้วยตำแหน่งของอีกฝ่ายทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเกร็ง

        “พี่ชาย…” ซีมัสวิ่งมาจับมือลันัสไว้แล้วมองเจ้าเมืองกลับไปด้วยแววตาสงสัยไร้เดียวสา

        “ข้าตัดสินใจแล้วขอรับ จะขอรับผิดชอบชีวิตเด็กคนนี้เอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้” ลีนัสกุมมือของเด็กชายตัวน้อยกลับแล้วเอ่ยตอบไปอย่างหนักแน่น เจ้าเมืองคลี่ยิ้มออกมาจางๆ

     “เจ้าชื่ออะไรลีบลาน้อย”

        “เอ๋...ลีนัสขอรับ” เด็กหนุ่มตอบกลับไปอย่างงงๆ ไม่คิดว่าอยู่ๆอีกฝ่ายจะถามชื่อเขา

     “ลีนัสเจ้าอายุเท่าไหร่” เฮมิสเริ่มไต่สวน

     “สิบสี่ขอรับ” ลีนัสตอบอย่างว่าง่าย คาดว่าจะต้องโดนลีบลารุ่นพี่เทศน์ใส่อีกยาวแน่นอน ที่ตัดสินใจรับผิดชอบอะไรที่เกินตัว

     “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเจ้ามาทำงานเป็นผู้ช่วยข้านะ” 

     “ขอรับ!?” เด็กหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

     “เจ้าไม่อยากเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองรึ” เฮมิสถามกลับไปเมื่อเห็นปฏิกริยาของเด็กหนุ่มตรงหน้า

     “ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ...ข้าคิดว่า….ข้าจะโดนดุมากกว่า” ลีนัสอธิบายเสียงแผ่ว

     “เจ้ายังไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ถึงตอนที่เจ้าคุมเด็กคนนี้ไม่อยู่เมื่อไหร่ เราค่อยมาว่ากันอีกที แต่ตอนนี้ข้าไม่เคยเห็นลีบลาคนไหนกล้าทำอะไรบ้าบิ่นขนาดนี้มาก่อน ยังไงข้าก็ไม่ปล่อยเจ้ากลับบ้านเปล่าๆโดยที่ไม่ตอบตกลงข้าแน่นอน” เฮมิสคุยด้วยน้ำเสียงเรียบสุขุมไม่เปลี่ยน แต่คำพูดนั้นแอบซ่อนความเป็นคนขี้เล่นเอาไว้

     “ให้ตายเถอะ เจ้าลุยเข้าไปในบ้านที่ไฟไหม้ทั้งหลังคนเดียว กล้าถามย้อนภูติชั้นสูง แล้วยังจะทำตัวอวดเก่งใส่อีกต่างหาก เจ้าไปอยู่ที่ไหนมาทำไมข้าไม่เคยรู้จักเด็กหนุ่มอย่างเจ้าหึ ลีนัส” เด็กหนุ่มที่ถูกพูดถึงแบบนั้นก็หน้าแดงขึ้นมา

     “คำตอบของเจ้าล่ะ”

     “ขอรับ!” ลีนัสรีบตอบรับกลับไปอย่างฉะฉาน เรียกรอยยิ้มพอใจให้กับอีกฝ่าย

     “ดีมาก พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้ามาหาข้าแต่เช้า”

     “ขอรับ” เด็กหนุ่มผงกหน้ารับอย่างว่าง่าย เจ้าเมืองก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่จ้องมองเขากลับมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

     “พาเจ้าตัวเล็กนี่ติดมาด้วย” เฮมิสเอื้อมมือไปขยี้หัวซีมัสด้วยความเอ็นดู เจ้าตัวเล็กได้ยินว่าให้ไปด้วยก็ยิ้มแฉ่งออกมาทันที

     “ไป กลับไปพักผ่อนเสีย แล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”

     
     ค่ำนั้นลีนัสเดินกลับบ้านมาพร้อมกับซีมัสและอเล็กซ์ที่ไม่เหลือบ้านให้กลับไปนอน ทำให้มารดาที่เปิดประตูบ้านให้ต้องชะงักไป กลิ่นควันไหม้ที่ติดตัวบุตรชายมา สภาพตัวที่มอมแมมกลับมาพร้อมกับเด็กชายตัวเล็กที่มอมแมมไม่แพ้กัน ทำให้ผู้เป็นแม่ต้องเอ่ยถามออกมา

     “เกิดอะไรขึ้น เข้ามาก่อนมา” เจ้าบ้านรีบหลีกทางให้ลูกชายและแขกเข้ามาข้างใน

     “ขออภัยที่ต้องเข้ามารบกวนอีกรอบขอรับ” อเล็กซ์ก้มศีรษะให้เจ้าบ้านด้วยความเกรงใจก่อนจะก้าวเข้าไป

     “เชิญค่ะ” ถึงจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าลูกชายเป็นผู้พาเข้ามาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะปฏิเสธแขกผู้นี้

     “เอ่อ...นี่ซีมัส ท่านอเล็กซ์ ท่านแม่ข้านอร่า...ข้าลีนัส คิดว่าข้ายังไม่ได้บอกท่าน” ลีนัสแนะนำทุกคนให้รู้จักทีเดียวสั้นๆ

     “ตอนนี้บ้านท่านอเล็กซ์เพิ่งจะโดนเผาไปเมื่อครู่ ส่วนข้าเพิ่งจะรับปากรับผิดชอบซีมัสไว้ดูแลเอง เนื่องจากซีมัสเป็นลูกครุ่งภูติขอรับ” ลีนัสอธิบายสั้นๆกระชับ พลางทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้ด้วยความอ่อนล้า

     “หะ?” ทั้งอเล็กซ์และนอร่าร้องออกมาด้วยความประหลาดใจพร้อมกัน

     “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าลูกครึ่งภูติ เป็นไปได้ยังไง ซีมัสเป็นลูกข้ากับเมียข้านะ” อเล็กซ์รีบยืนยันออกมาชัดเจน

     “ขอรับ ซีมัสเป็นลูกท่านไม่ผิดขอรับ” ลีนัสต้องรีบชี้แจงเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนที่จะเลยเถิด

     “ก่อนจะมีซีมัส ภรรยาท่านแท้งไปกี่รอบแล้วขอรับ”

    “....ก็หลายรอบอยู่” อเล็กซ์คิดตามไปเงียบๆ

     “ภรรยาท่านเป็นลีบลาเหมือนข้าที่สื่อสารกับภูติได้ นางขอพลังภูติชั้นสูงคอยดูแลครรภ์ของนางให้แข็งแรงจนคลอดซีมัสออกมาได้ ทั้งๆที่โดยพื้นฐานของนางเป็นคนที่อ่อนแอเกินกว่าจะตั้งครรภ์ได้”

     “แล้วนั่นทำให้ลูกข้าเป็นลูกครึ่งภูติอย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ พลางหันไปหาเด็กชายตัวน้อยที่ยืนฟังบทสนทนาที่เข้าใจยากอยู่ข้างหลัง ลีนัสกวักมือเรียกซีมัสให้มายืนข้างๆ

     “ข้าเพิ่งจะขอชีวิตเขามาจากภูติตนนั้น และสัญญาว่าข้าจะเป็นผู้ดูแลเขาให้เติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง” เขาอธิบายไปพลางลูบเรือนผมนุ่มสีทองของเด็กชายตัวน้อยด้วยความเอ็นดู

     “ข้าขออธิบายแค่นี้ก่อนได้ไหมขอรับ ซีมัสตอนนี้เจ้าดูไม่ได้เลยล่ะ เหม็นด้วย” อยู่ๆลีนัสก็หันไปคุยเล่นกับซีมัสที่กำลังทำหน้างุนงงอยู่

     “เอ๋? พี่ชายก็ดูไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละดูสิยังเปียกอยู่เลย” ซีมัสขยี้เรือนผมสีน้ำตาลแดงที่เปียกชื้นของเจ้าตัวกลับไป

     “ถ้างั้นเจ้าก็มาอาบน้ำกับข้าซะดีๆ” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็หิ้วเจ้าตัวเล็กขึ้นมาพาดบ่าแล้วเดินไปหลังบ้านทันที ทิ้งให้บุคคลแปลกหน้าทั้งสองคนนั่งอึดอัดอยู่ในห้องนั่งเล่น

     “….ทานอะไรกันรึยังคะ” นอร่าเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา แล้วเดินไปที่ครัวตั้งไฟอุ่นซุปที่ทำไว้แก้เก้อ

     “เอ่อ..พวกท่านเองก็ยังไม่ได้ทานสินะ ขออภัยด้วยจริงๆ มีอะไรให้ข้าช่วยไหม” อเล็กซ์ลุกตามเจ้าบ้านไปเพราะไม่อยากทำตัวเป็นภาระ แต่อยู่ๆก็ได้ยินเสียงลีนัสตะโกนออกมา ก็ต้องหยุดหันไปมอง

    “ท่านแม่!!” ลีนัสโผล่หน้าออกมาที่ประตูหลังบ้าน

     “ข้าลืมบอกเรื่องสำคัญท่านไป...ท่านเจ้าเมืองเรียกให้ข้าไปเป็นผู้ช่วย เริ่มงานพรุ่งนี้” พอพูดเสร็จก็หายเข้าไปที่หลังบ้านอีกครั้ง

    “เอ๋ อะไรนะ จริงเหรอ!!?” นอร่าได้ยินเช่นนั้นก็ยกช้อนคนซุปในมือให้อเล็กซ์ที่เมื่อครู่เสนอตัวจะช่วยไปอย่างลืมตัว แล้วเดินหายเข้าไปหลังบ้านเพื่อจะคุยรายละเอียดเรื่องนี้ต่อ กลายเป็นว่าแขกถูกเจ้าของบ้านทิ้งไว้ให้เฝ้าครัวแทนเรียบร้อย



           เช้าวันรุ่งขึ้นลีนัสรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปหาเฮมิสที่สถานว่าการเจ้าเมือง แต่กว่าจะงัดเจ้าตัวเล็กให้ยอมตามมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กระทั่งลีนัสเอ่ยว่าจะทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวแล้วเท่านั้นแหละ ถึงจะยอมสบัดผ้าห่มออกมาทำตัวติดหนึบกับลีนัสทันที ทำเอาผู้เป็นพ่อประหลาดใจว่าทำไมลูกชายถึงได้ติดเด็กหนุ่มเร็วขนาดนี้ แต่คนที่กล้าเดินลุยเพลิงเข้าไปหาซีมัสเมื่อวานนี้ก็มีแต่เด็กหนุ่มคนนี้คนเดียว ไม่ใช่เขา

           ระหว่างทางที่ลีนัสจูงมือซีมัสเดินไปตามทาง ก็มีผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นโผล่หน้าออกมาดูด้วยความสงสัย บ้างก็กระซิบกระซาบ บ้างก็เรียกสมาชิกคนอื่นออกมาดู ลีนัสจึงคลี่ยิ้มกลับไปแล้วเอ่ยทักทายเหมือนปกติ ต่างก็ปั้นหน้ายิ้มเจื่อนๆทักทายกลับไป แต่พอเดินพ้นไปก็กระซิบกระซาบกันต่อ

          "...พี่ชาย...พวกเขาไม่ชอบข้าใช่ไหม ข้าเป็นตัวประหลาดใช่ไหม" มือน้อยๆที่เกี่ยวนิ้วนางกับนิ้วก้อยของลีนะสไว้ ขยับจับให้แน่นกว่าเดิม ลีนัสจึงกุมมือน้อยๆนั้นไว้แน่น

            "พวกเขาแค่ยังไม่รู้จักเจ้าเท่านั้นเอง ถ้าเจ้าไม่เผาบ้านแบบเมื่อวานนี้อีก ก็ไม่มีปัญหาหรอก"

            "แต่เมื่อวานนี้ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆนะ"

           "ข้าถึงต้องพาเจ้าไปด้วยนี่ไง เจ้าจะได้รู้วิธีควบคุมพลังของเจ้า ไม่ต้องห่วงนะ ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้แน่นอน" ลีนัสคลี่ยิ้มให้ด้วยความมั่นใจ ซีมัสก็ยิ้มกว้างใสซื่อกลับมา




             "อ้าวมาถึงแล้วรึลีนัส ซีมัส" เฮมิสเห็นทั้งสองเดินเข้ามาก็คลี่ยิ้มทักทายอย่างอารมณ์ดี

              "อรุณสวัสดิ์ขอรับ" ลีนัสก้มศีรษะทักทายอย่างนอบน้อม พลางปรายหางตาทำหน้าดุไปยังเด็กชายที่มาด้วยกัน

             "...อรุณสวัสดิ์" ซีมัสพูดตามอย่างขอไปที ลีนัสจึงต้องกระแอมไอเบาๆหนึ่งที

              ".....ขอรับ" ซีมัสเสริมตามมาแผ่วๆ ลีนัสก็ลูบหัวเด็กชายเบาๆ

            "โอ้ นี่คือลีนัสกับซีมัสที่ท่านพูดถึงสินะ" เสียงชายวัยกลางอีกคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมาแต่ไกล รองเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า เรย์มอนต์ ชายรุ่นใหญ่ในเครื่องแบบทหารที่ยังมีหุ่นที่ดูแข็งแรงเหมือนหนุ่มๆไม่มีผิดเพี้ยน มีเพียงรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา และผมหงอกสีขาวที่ขึ้นแซมผมสีดำของเจ้าตัวออกมาเท่านั้น

            "อรุณสวัสดิ์ท่านเรย์มอนต์" ลีนัสรีบเอ่ยทักทายไป

"อรุณสวัสดิ์ อ่า พอดีเลย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ดาวิสมานี่แป๊บนึงสิ" เรย์มอนต์หันไปเรียกเด็กหนุ่มที่ยืนคุยธุระกับทหารแถวนั้นมา ลีนัสพอจะเดาได้ทันทีว่านี่คือบุตรชายของรองเจ้าเมืองแน่นอนโดยที่ยังไม่ต้องแนะนำ เพราะหน้าตาถอดบิดาออกมาได้เกือบหมด ตั้งแต่ผมสีดำขลับ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจมูกที่โด่งเป็นสัน และร่างกายกำยำโครงสร้างใหญ่

            "นี่ลูกชายคนโตข้าดาวิส ตอนนี้เป็นหัวหน้าหน่วยดูแลความปลอดภัยในเมือง ถ้ามีปัญหาอะไรเรียกใช้ได้ แล้วก็นี่ลีนัส คนที่จะมาเป็นผู้ช่วยท่านเฮมิส อีกหน่อยคงได้ทำงานด้วยกัน ส่วนนี่ซีมัส...ตอนนี้เป็นน้องชายเจ้าแล้วสินะลีนัส" เรย์มอนต์แนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกันทีเดียว

             "ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้านี่เองที่เมื่อคืนนี้เดินลุยเข้าไปกลางกองเพลิงคนเดียว กล้ามากจริงๆ" เด็กหนุ่มร่างสูงยื่นมือขวาออกมา ลีนัสก็ยื่นมือออกไปจับมือทักทายอย่างเคอะเขิน เพราะเจ้าตัวไม่เคยถูกคนไม่รู้จักเอ่ยชมตรงๆแบบนั้น

               "ซ้ำยังอวดเก่งใส่ภูติอีกต่างหาก" เฮมิสเสริม ทำให้ลีนัสหน้าแดงขึ้นมาเนื่องจากทำตัวไม่ถูก ได้แต่หัวเราะแห้งๆออกมา จะว่าคำชมก็ไม่เชิง ถ้าเมื่อไหร่เขาไม่สามารถควบคุมซีมัสได้มันจะกลายเป็นคำจิกกัดไปในทันที

               "เจ้าคือซีมัสสินะ ดีใจด้วยนะที่ได้พี่ชายดีๆแบบนี้" ดาวิสปล่อยมือจากลีนัสไปก็ย่อตัวลงไปคุยกับเด็กชายตัวเล็กพร้อมกับยื่นมือส่งให้ ซีมัสก็ยกมือออกมาจับมือแกร่งของอีกฝ่าย

              "อื้ม" เด็กชายตอบรับพยักหน้ายอมรับว่าที่พูดมานั้นไม่ผิด ทำเอาผู้ถูกเรียกให้เป็นพี่ชายเมื่อครู่อมยิ้มออกมา

              "เอาล่ะ ข้าไปทำงานต่อล่ะนะ ไว้ว่างๆเราค่อยคุยกันใหม่ ไปกันได้แล้วล่ะดาวิส" เรย์มอนต์เอ่ยตัดบทขึ้นมาแล้วก็พาดาวิสเดินจากไป

             "ดาวิสอายุมากกว่าเจ้าไม่กี่ปีหรอก ยังไงก็รู้จักกันไว้ เผื่อถ้ามีปัญหาอะไรก็จะได้ช่วยๆกันได้" เฮมิสเสริมให้

             "ขอรับ" เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มตอบรับ เขาดีใจที่วันนี้ได้รู้จักคนดีๆหลายคนที่พร้อมจะสนับสนุนเขาและซีมัส

             "ช่วงนี้ข้าอยากให้เจ้าสอนซีมัสให้ควบคุมพลังให้ได้เสียก่อน เป็นเรื่องหลักที่ข้าอยากจะให้เจ้าทำให้ได้นะ ส่วนงานผู้ช่วยน่ะ เอาไว้ว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน ตกลงไหม" เฮมิสสรุปสิ่งที่เขาวางแผนไว้ให้ฟัง ลีนัสก็คลี่ยิ้มตอบรับกลับมาอย่างฉะฉาน

             "ขอร้บ!"









               “หา ว่าไงนะเด็กนั่น คือเด็กปีศาจที่ว่ากันน่ะเหรอ ใช่จริงๆน่ะเหรอ”

               “ข้าจำไม่ผิดหรอก เป็นคนเดียวกันกับที่ข้าเห็นในวันที่ถูกเรียกไปช่วยวันที่เกิดเพลิงไหม้”

              “เอ๋ แบบนี้ไม่แย่เหรอ ปล่อยให้เข้ามาวิ่งเล่นในนี้เนี่ยนะ”

               “ซีมัส….”

               “........ซีมัส” เจ้าของชื่อมัวแต่ตั้งใจฟังเสียงพูดคุยของนายทหารกับแม่บ้านที่อยู่ชั้นล่าง ที่บริเวณทางเดินเชื่อมไปอาคารฝั่งตะวันออก ในขณะที่เขาอยู่ในห้องทำงานของเจ้าเมืองชั้นสองกับลีนัส เด็กชายตัวน้อยเพิ่งจะค้นพบตัวเองไม่นานมานี้ ว่าเขามีประสาทการรับรู้ที่เหนือกว่าคนทั่วไปอยู่มาก

               แรกๆเขาก็รู้สึกว่ามันออกจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญอยู่ไม่น้อย แต่หลังๆมานี้เขาเริ่มที่จะเคยชินและเลือกที่จะใส่ใจในเฉพาะสิ่งที่ที่จำเป็นได้มากขึ้น

              “ซีมัส...เจ้าเป็นอะไร มีอะไรรึเปล่า” ฝ่ามืออุ่นๆของลีนัสแตะเบาๆที่แก้มเนียนของเด็กชายตัวน้อย ทำให้เจ้าตัวรู้สึกตัวดึงสติกลับมา

              “...ไม่มีอะไรขอรับ” ซีมัสเบี่ยงสายตาหลบผู้ถามก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป

              “... เอาเถอะ เย็นแล้วกลับบ้านกันได้แล้วล่ะ” ลีนัสยืดตัวยืนแล้วยื่นมือส่งให้น้องชายตัวน้อยจับเหมือนปกติ 

              “เด็กที่ท่านเฮมิสพามาเป็นผู้ช่วยก็เหมือนกัน เด็กขนาดนั้นจะทำอะไรได้ เอามาเกะกะปล่าๆ ไม่เห็นวันๆจะทำอะไรเลย” เสียงพูดคุยยังคงแว่วเข้ามาก่อกวนซีมัสอยู่ไม่เว้นวาย บุคคลที่ถูกพาดพิงถึงในบทสนทนาทำให้เด็กชายตัวน้อยขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์

               “เป็นอะไรไปซีมัส ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ลีนัสเอ่ยถามซีมัสที่จับมือเข้าไว้แน่น แต่ยืนนิ่งขมวดคิ้วไม่ยอมขยับไปไหน

              “....” แววตาสีฟ้าใสช้อนขึ้นมองผู้ถามทั้งหัวคิ้วที่ขยุ้มรวมกันอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่พอใจแล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธกลับมาก่อนจะยอมก้าวเท้าตามลีนัสไป

              เห็นท่าทีของเด็กชาย ลีนัสก็พอจะเดาได้ว่าต้องมีอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่อยากจะคาดครั้นมากนัก อีกเดี๋ยวเจ้าตัวก็คงอยากจะเล่าให้ฟังเอง

              ลีนัสพาน้องชายลงมาถึงชั้นล่างเตรียมตัวจะกลับบ้าน ก็บังเอิญเจอแม่บ้านเจ้าเนื้อวัยกลางคนช่างเจรจาคนนั้นพอดี ขณะที่กำลังจะเดินสวนผ่านไปอีกฝั่งหนึ่งพอดี

            “กลับก่อนนะขอรับท่านเบคก้า” ลีนัสเอ่ยทักทายอีกฝ่าย

             “อ้า กลับแล้วเหรอ กลับบ้านดีๆนะจ๊ะเด็กๆ” สาวเจ้าเนื้อคลี่ยิ้มหวานทักทายกลับมา แต่เมื่อก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่ยืนนิ่งทำตาขวางมองเธอกลับมาก็ต้องประหลาดใจ

            “ซีมัส?” ลีนัสเขย่ามือของน้องชายเบาๆเพื่อจะบอกให้เขาหยุดเทำกิริยาแบบนั้น

            “...คนหลอกลวง ต่อหน้าก็พูดอย่างลับหลังก็พูดอย่างนะขอรับ”

           “ฮะ!!?” ทั้งลีนัสและเบคก้าต่างก็ร้องออกมาและทำสีหน้าประหลาดออกมาพร้อมกัน

           “ซีมัส!! ทำไมเจ้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา...ข้าขอโทษด้วยนะขอรับ...ซีมัส!! ขอโทษท่านเบคก้าเดี๋ยวนี้นะ”

            “แต่...ท่านเบคก้าบอกว่าท่านพี่เกะกะ วันๆไม่ได้ทำอะไรเลยนะขอรับ” ซีมัสเถียงกลับมาอย่างฉุนเฉียว

             “....” คำพูดของซีมัสทำให้ลีนัสชะงักไปครู่หนึ่ง ฝ่ายสาวเจ้าเนื้อเองก็หน้าซีดขึ้นมา

             “...ขออภัยด้วยจริงๆที่น้องชายข้าพูดจาอย่างไม่รู้เรื่อง” ลีนัสหันไปก้มหัวขอโทษแม่บ้านวัยกลางคนอย่างนอบน้อม ซีมัสเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธหนักเข้าไปอีก

            “ท่านพี่บ้า!!” มือน้อยๆสลัดมือของพี่ชายออกแล้ววิ่งหนีออกไปทันที

            “อ๊ะ!! ซีมัส!!” ลีนัสรีบหันไปก้มหัวขอโทษให้เบคก้าอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งตามน้องชายตัวปัญหาของเขาไป

            “ซีมัสเดี๋ยวก่อน เจ้าจะวิ่งไปไหน” ลีนัสไม่คิดว่าเด็กตัวเล็กที่มีช่วงขาสั้นกว่าตนนั้นจะวิ่งหนีไปได้เร็วขนาดนี้ แต่ระหว่างที่มัวแต่ใส่ใจกับแผ่นหลังของเจ้าตัวเล็กตรงหน้า เขาก็ไม่ทันระวังประตูห้องที่อยู่ๆก็เปิดพรวดออกมา

             “เหวอ!!” ลีนัสวิ่งไปชนคนที่เปิดประตูออกมาเต็มๆแล้วก็กระเด็นกลับไปนั่งกองกับพื้น

             “อา...ขอโทษ เจ้าเป็นอะไรไหม” พอเงยหน้าขึ้นมองไปที่คู่กรณี ก็เห็นแววตาคมคายสีน้ำเงินเข้มทอดมองลงมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

            “อ๊ะ ท่านดาวิส!! ขออภัย เป็นอะไรไหมขอรับ” ลีนัสรีบเอ่ยขอโทษเอายกใหญ่ เอาให้อีกฝ่ายขำออกมาเบาๆ

            “ข้าน่ะไม่เป็นอะไรหรอก ห่วงตัวเองก่อนดีไหมลีนัส ลุกขึ้นมาก่อนมา” ดาวิสว่าพลางยื่นมือส่งให้ ลีนัสลังเลเพราะเกรงใจอีกฝ่ายแต่ถ้าปฏิเสธไปก็ดูจะทำร้ายน้ำใจเกินไป จริงเอื้อมมือออกมาจับมือหนาที่ยื่นมาหา พอจับมั่นแล้วดาวิสก็ช่วยออกแรงดึงเขาขึ้นมา

               “..!!” แรงดึงที่มากเกินไปทำให้ลีนัสเซเข้าไปพิงร่างหนาที่รีบยกมืออีกข้างขึ้นมารับไว้ได้ทัน

              “...ขอโทษ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเบาขนาดนี้” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาจากข้างหู ทำเอาลีนัสรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมานิดๆที่แก้มจึงรีบผละตัวออกมา

             “...มะ ไม่เป็นไรขอรับ ขอบคุณ” ลีนัสผละตัวเองออกมาแล้วก้มหัวขอบคุณ



หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 3 part1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: pattyyaoi ที่ 28-08-2015 18:23:11
ขำ นิยายไม่ต้องสร้างสารบัญ 5555555555

สนุกดีค่ะ อ่านเพลินๆดี รอติดตามเรื่อยๆนะคะ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 3 part1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 29-08-2015 20:17:52
Act 3: The demon (2/3)


               “ว่าแต่ เจ้าจะรีบวิ่งไปไหนเหรอ”

               “...ข้าวิ่งตาม...ซีมัสน่ะขอรับ” ลีนัสไม่อยากจะบอกเหตุผลเท่าไหร่นัก เพราะไม่อยากจะให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดที่ดันเปิดประตูออกมาขวาง ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดาวิสรีบปิดประตูห้องแล้วหันไปมองที่ทางเดินข้างหลังที่ตอนนี้เงียบกริบ ไม่เหลือร่องรอยของซีมัสแต่อย่างใด

                 “เอ่อ.............ข้าขอโทษจริงๆ ข้าจะช่วยเจ้าหานะ” ดาวิสหันกลับมายิ้มแห้งๆให้กับลีนัส

               “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าหาเองได้ขอรับ ข้าไม่กล้ารบกวนเวลาท่านหรอกขอรับ” ลีนัสรีบปฏิเสธกลับไปด้วยความเกรงใจ

               “เจ้านี่ขี้เกรงใจจริงๆ วันนี้ข้าหมดธุระแล้ว กำลังไม่รู้จะทำอะไรต่อพอดีเลย มา หาซีมัสกัน” ดาวิสตัดสินใจเรียบร้อยก็เดินนำหน้าไปก่อนแล้วกวักมือเรียกลีนัสให้ตามมา

               “...ขอบคุณขอรับ” ลีนัสเดินตามไปเงียบๆ เขาไม่คุ้นเคยกับอะไรหลายๆอย่างในนี้ เขาเพิ่งได้เข้าออกที่ว่าการเจ้าเมืองมาไม่กี่วัน สิ่งที่สร้างความหนักใจให้กับเด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นชินกับการมีตำแหน่งต่างๆในที่แห่งนี้ คือการวางตัวที่ถูกต้องเหมาะสม เขาพยายามทำตัวให้นอบน้อมที่สุดเพื่อจะได้ไม่สร้างปัญหาใดๆ

              “นี่ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นเจ้ารีบวิ่งแบบนี้นะเนี่ย ตกใจหมดเลย”

            “...มันน่าตกใจขนาดนั้นเลยหรือขอรับ” ลีนัสไม่รู้ว่าภาพลักษณ์ของตนที่ปรากฏต่อดาวิสจะเป็นแบบไหน อีกฝ่ายถึงได้พูดแบบนั้น

             “ก็ข้าเห็นเจ้าเป็นคนดูนิ่งๆเงียบๆ ไม่รู้ว่าลีบลาเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดรึเปล่า ข้าก็ไม่เคยเห็นท่านเฮมิสตื่นตกใจกับปัญหาใหญ่ๆ เหมือนรู้อยู่แล้วทุกอย่างอย่างไงอย่างนั้น ข้าเลยแปลกใจที่เห็นเจ้าวิ่งชนข้าแบบนั้นได้”

            “ขออภัยขอรับที่เป็นลีบลาที่ลุกลี้ลุกลน ข้าไม่ได้ตั้งสมาธิสื่อสารกับภูติได้ตลอดเวลาเหมือนท่านเฮมิส” ลีนัสนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ ดาวิส เห็นท่าทางของเด็กหนุ่มที่ดูสำนึกผิดตรงหน้าแล้วก็อดไม่ได้ ที่จะยกมือขึ้นมาลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

           “ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่แปลกใจ ที่เจ้าดูผิดไปจากวันที่เจ้าเข้าไปช่วยซีมัสวันนั้น เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ทำตัวเป็นเด็กๆบ้างจะเป็นไรไป”
 
             “ท่านดาวิสอยู่ตรงนั้นด้วยหรือขอรับ” เด็กหนุ่มหันไปเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

             “ก็ใช่น่ะสิ ตอนที่คานบ้านตกลงมาข้าลุ้นแทบแย่ ข้าถามจริงๆเถอะ นี่เจ้ารู้อยู่แล้วรึเปล่าว่าจะมีภูติเข้ามาช่วย”

             “....เปล่าขอรับ ข้าไม่คิดว่าคานจะตกลงมา…” คำตอบของลีนัสทำให้ดาวิสหยุดฝีเท้าลงกระทันหัน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที

               “.....เจ้านี่มัน...” ลีนัสรู้สึกเหมือนกำลังจะโดนดุขึ้นมาก็ทำหน้าสำนึกผิดออกมาเสียก่อน แต่อีกฝ่ายก็แค่ถอนหายใจออกมาแล้ววางมือลงบนไหล่ตัวเองเบาๆ

               “...วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะรู้ไหม” นัตย์ตาสีน้ำเงินเข้มฉายแววความไม่พอใจแต่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทำให้คนที่ถูกดุรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมาที่กลางอก

              “....ขอรับ” เด็กหนุ่มตอบรับกลับไปเสียงแผ่วเบา เขาไม่คุ้นชินกับการที่มีคนอื่นนอกเหนือจากคนในครอบครัว แสดงความเป็นห่วงตัวเขาแบบนี้

               “อ้าว!! ซีมัส” ดาวิสร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจทำให้ลีนัสต้องรีบหันไปมองข้างหน้า เห็นเด็กชายตัวเล็กเดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

            “...ท่านพี่...ข้าขอโทษ” ซีมัสเดินมาถึงก็โผเข้ามากอดเอวพี่ชายไว้แน่น

             “เป็นอะไรไปซีมัส” ลีนัสถามพลางลูบหัวเด็กชายตัวเล็กอย่างอ่อนโยน

               “ยิ่งข้าดื้อท่านพี่ก็ยิ่งโดนนินทา ข้าขอโทษขอรับ”

                “อ้อ” ลีนัสร้องขึ้นมาสั้นๆแล้วก็ขำออกมา ทำให้ดาวิสเลิ่กคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

                “นี่ยอมกลับมาเพราะไม่อยากให้คนอื่นนินทาข้าน่ะเหรอ เจ้านี่น่ารักจริงๆ” ลีนัสว่าพลางขยี้ผมนุ่มของเด็กชายอย่างเอ็นดู

               “ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านพี่เดือดร้อน ข้าจะไม่ทำให้ท่านพี่ต้องรบกวนเวลาท่านดาวิส จะได้ไม่โดนคนอื่นนินทาอีก” เมื่อซีมัสพาดพิงถึงดาวิสขึ้นมา มือที่ขยุ้มผมของซีมัสก็นิ่งไป

                “ซีมัส...คำนินทามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนหรอกนะ”

               “...ดูเหมือนข้าจะมีส่วนผิดตรงนี้สินะ” ดาวิสพึมพำออกมา

               “ไม่ใช่อย่างนั้นนะขอรับท่านดาวิส…” ลีนัสรีบแก้ความเข้าใจของอีกฝ่ายเสียใหม่ ดาวิสเห็นว่าลีนัสดูเดือดร้อนขึ้นมากลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี

                  “ถ้าอย่างนั้น ข้าพาไปเลี้ยงขนมไถ่โทษก็แล้วกัน”

                 “ขอรับ ?” ข้อสรุปของดาวิสทำลีนัสประหลาดใจ

                 “กินขนม!! ไปกันเลยใช่ไหมขอรับ” ซีมัสที่เมื่อครู่เพิ่งจะกังวลว่าไม่ควรจะดึงเวลาของดาวิสไป กลับร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ปล่อยมือออกจากพี่ชายแล้ววิ่งนำหน้าไปก่อนทันที

                  “...ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ขอรับ” ลีนัสเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ

                 “ไปกันรึยังๆ” ซีมัสหันกลับมาถามย้ำอย่างตื่นเต้น ดาวิสหันไปมองที่ซีมัสทีหนึ่ง แล้วก็หันมายิ้มกว้างให้ผู้ที่เป็นพี่ชายของเจ้าตัว

                 “ดูเหมือนว่าจะจำเป็นแล้วล่ะ”









                    ร้านขนมร้านเล็กๆที่มีกลิ่นแป้งกลิ่นเนยผสานกับกลิ่นชา โชยหอมหวนไปทั้งร้าน ทั้งเค้กและคุ๊กกี้หน้าตาต่างๆวางเรียงรายอยู่ในถาดละลานตาไปหมด ทำให้ซีมัสที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าร้านขนมแบบนี้รู้สึกตื่นเต้นจนลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปสนิท

              “เท่ากับว่าซีมัสได้ยินทุกอย่างที่คนรอบๆพูดสินะ” ดาวิสเอ่ยขึ้นนั่งจิบชาอย่างใจเย็น มองดูซีมัสที่กำลังเอาส้อมจิ้มขนมเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

                 “ถ้ารอบๆเงียบพอก็ได้ยินชัดเจนขอรับ” ลีนัสเอ่ยเสริมขึ้นมาขณะที่ซีมัสพยักหน้าตอบรับ

                  “ถ้างั้นก็คงได้ยินคนเรียกเจ้าว่าเป็นลูกปีศาจอยู่บ่อยๆสินะ” ดาวิสเข้าประเด็นตรงๆ ทำให้ลีนัสหันไปมองหน้าคนพูดด้วยความประหลาดใจทีหนึ่ง แล้วก็หันไปมองปฏิกิริยาของซีมัสที่นั่งอยู่ข้างๆ เด็กน้อยพยักหน้ารับช้าๆ

                   “นี่เป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่าเจ้าไม่เหมือนคนอื่นนะซีมัส เจ้าเองก็ด้วยนะลีนัส เจ้าจะเลี่ยงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้หรอก ที่ถูกเรียกเจ้าว่าปีศาจเพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจก็กลัวเจ้าเท่านั้นแหละ ถ้าเจ้าเป็นเด็กดีทำตามที่พี่เจ้าบอก ไม่นานคนก็จะเข้าใจเจ้ามากขึ้น เชื่อข้าสิ” ดาวิสอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มๆพร้อมด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

                     “ข้าว่าถูกเรียกว่าปีศาจมันเท่ห์ดีออก ไม่คิดว่าอย่างนั้นเหรอ” ดาวิสหันมาขอความเห็นลีนัสที่นั่งนิ่งกระพริบตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ

                    “...ยังไงขอรับ”

                “ก็แปลว่าเจ้าเหนือกว่าคนอื่นน่ะสิ แต่จะไปในทางที่ดีหรือร้ายมันก็ขึ้นอยู่ที่การกระทำของเจ้าเองทั้งนั้นแหละ ว่าไหม”

                “อ้อ!” ซีมัสร้องออกมาอย่างเข้าใจแฝงน้ำเสียงตื่นเต้นมองดูผู้พูดตาเป็นประกาย ลีนัสเองเผลอนั่งมองใบหน้าคมคายของดาวิสอย่างชื่นชมอยู่เช่นกัน กระทั่งแววตาคมสีน้ำเงินเข้มเคลื่อนมาสบมองกลับมา ลีนัสก็รีบหลบสายตากลับลงมา ทำเป็นยกแก้วชาที่เหลือแค่ก้นแก้วขึ้นมาจิบแก้เก้อ โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำแบบนนั้นทำไม

               “แต่มีคนว่าท่านพี่ว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง อ่อนแอ ไร้ประโยชน์ด้วยนะขอรับ” ซีมัสพูดโพล่งออกมา ทำให้ลีนัสรู้สึกเหมือนโดนมีดเล่มเล็กๆหลายเล่มแทงเข้าที่หัวใจ ก็ไม่ใช่ว่าที่ซีมัสพูดมาจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดแต่ก็มีส่วนที่จริงอยู่บ้าง เพราะเขายังไม่คุ้นชินกับระบบงานข้างใน บางครั้งก็ทำอะไรแปลกๆลงไปบ้าง คิดถึงข้อผิดพลาดที่ผ่านๆมาทำให้เด็กหนุ่มวางแก้วชาลงแล้วยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเอง ดาวิสเห็นปฏิกิริยาของผู้ที่ถูกพูดถึงก็ขำออกมาเบาๆ

                  “เจ้าก็พยายามเข้านะลีนัส”

                    “....ขอรับ” ลีนัสตอบกลับมาเสียงแผ่วๆ

                   “ใจเย็นๆน่าลีนัส อายุเท่าเจ้าข้ายังไม่เริ่มทำงานเลย เจ้าไม่ต้องคิดมาก” ดาวิสเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายเพื่อปลอบใจเบาๆ ทำให้ลีนัสรู้สึกอุ่นๆที่แก้มขึ้นมา

                     “ว่าแต่มีใครพูดถึงข้าบ้างไหมซีมัส” ดาวิสหันไปถามเด็กน้อยอย่างอารมณ์ดี

                     “มีเยอะเลยขอรับ...แต่ข้าไม่เข้าใจหลายอย่าง บอกว่าท่านไม่ต้องพยายามอะไรมากเหมือนคนอื่น” ซีมัสเอ่ยตอบมาตรงๆอย่างไม่คิดอะไรมาก

                     “ซีมัส...เจ้าไม่ต้อง” ลีนัสรีบเงยหน้าขึ้นมาปรามน้องชายไม่ให้พูดต่อ แต่คนที่ถูกพูดถึงกลับคลี่ยิ้มขึ้นมา

                   “ใช่แล้ว ข้าไม่ต้องพยายามอะไรมากเพราะท่านพ่อข้าจัดไว้ให้หมดแล้ว ตำแหน่งการงานหน้าที่ข้าถูกวางไว้หมดแล้ว ไม่ต้องไปแข่งกับใคร ต้องมีคนพูดถึงอยู่แล้วเจ้าไม่ต้องห่วงหรอกลีนัส เรื่องนี้ข้ารู้ดี” ดาวิสเล่าให้ฟังเหมือนไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องใส่ใจ

                  “ข้าเองก็ต้องพยายามต่อไปเหมือนกัน แต่บางทีถึงเจ้าจะพยายามมากแค่ไหนแล้วก็ตาม ยังไงก็ต้องมีเสียงแบบนี้แว่วเข้ามาให้ได้ยินอยู่ดี ถ้ามัวแต่ไปฟังเสียงพวกนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรพอดี คราวหน้าเจ้าก็ปล่อยผ่านไปเถอะ ไม่ต้องบอกพี่ชายเจ้าหรอก เข้าใจไหมซีมัส” ดาวิสหันไปอธิบายให้เด็กน้อยฟัง เจ้าตัวก็พยักหน้ารับกลับมาอย่างว่าง่าย

                  “เอาล่ะ เริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวพระอาทิตย์จะตกเสียก่อน อร่อยไหมซีมัส” ดาวิสเอ่ยถามขึ้น

                 “อร่อยขอรับ ขอบคุณมากขอรับท่านดาวิส” เด็กน้อยตอบกลับเสียงฉะฉาน

                  “ท่านดาวิส...ขอบคุณมากนะขอรับ” ลีนัสเพิ่งจะเข้าใจเหตุผลที่อยู่ๆดาวิสก็ชวนมากินขนม เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นว่าเขากำลังมีปัญหาในเรื่องนี้กับซีมัสอยู่ ถึงได้ชวนมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้

                   “อื้ม ไว้มาอีกก็ได้นะ” ดาวิสว่าพลางลุกขึ้นยืนเตรียมตัวเดินออกจากร้าน ลีนัสก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามไปดึงชายแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้เบาๆ

                 “ท่านดาวิส ข้าหมายถึงเรื่องซีมัส ขอบคุณมากนะขอรับ” ดาวิสหันกลับมามองที่เจ้าของมือที่รั้งชายแขนเสื้อของตน ก็สบตาเข้ากับนัยน์ตาสีเพลิงที่ช้อนมองขึ้นมาของเด็กหนุ่มที่ดูเคอะเขิน จะด้วยความขี้เกรงใจของเจ้าตัว หรือเพราะไม่มั่นใจในการวางตัวของเจ้าตัวก็ตาม แววตากลมโตคู่นั้นสะกดให้ดาวิสลืมหายใจไปชั่วขณะ

            “.....อ้า ไม่เป็นไรๆ มีอะไรให้ช่วยอีกก็บอกแล้วกัน” ทันทีที่เรียกสติตัวเองกลับมาได้ ดาวิสก็รีบเอ่ยตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ปั้นขึ้นกลบเกลื่อนความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อครู่

         “เดินกลับบ้านกันดีๆล่ะ ข้าขอตัวก่อน” เมื่อเดินออกมาถึงหน้าร้าน ดาวิสก็รีบปลีกตัวเดินจากไป   















         ตกเย็นสองพี่น้องก็เดินจูงมือกันกลับบ้านเหมือนขามา แต่เด็กชายตัวน้อยเลิกสนใจสายตาและคำพูดของคนรอบข้างไปแล้ว ในใจเขามีแต่แบบทดสอบมากมายที่เฮมิสและลีนัสช่วยกันคิดออกมาเพื่อสอนเขา ทั้งยังขนมอร่อยๆที่ได้กินวันนี้อีก ซีมัสเดินจับมือพี่ชายพลางกระโดดไปกระโดดมาสลับกันอย่างร่าเริง ลีนัสเห็นเช่นนั้นก็สบายใจ พลางคิดในใจว่าคิดถูกแล้วที่รับซีมัสเข้ามาในชีวิต

        เด็กหนุ่มกำลังคิดอยู่ในใจว่ากลับไปถึงบ้านแล้วจะเล่าเรื่องไหนให้แม่ฟังก่อนดี พลันใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มเมื่อครู่ก็ผุดขึ้นมา ทำให้ร่างบางหยุดนิ่งไปแล้วสะบัดหัวตัวเองเบาๆ เพื่อจะสลัดภาพนั้นออกไป
     

     "มีอะไรขอรับท่านพี่" ซีมัสเอ่ยถาม คำเรียกที่เด็กน้อยเปลี่ยนวิธีเรียกใหม่ทำให้ลีนัสคลี่ยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ

     "ไม่มีอะไรหรอก เดินต่อเถอะ" ลีนัสเดินไกวมือน้อยๆของน้องชายไปตามทางอย่างมีความสุข

     แต่เมื่อทั้งสองเดินมาถึงบ้านก็ต้องประหลาดใจกับภาพที่เห็น ข้าวของข้างในบ้านกระจุยกระจายไปหมด มีอเล็กซ์ที่นั่งตาบวมปากบวมอยู่บนโต๊ะกินข้าว นอร่ากำลังป้ายยาให้ตามแผลที่มีอยู่เต็มตัวไปหมด

     "....เกิดอะไรขึ้นขอรับ"

     "....พ่อเจ้ากลับเข้ามาเมื่อครู่นี้ ใช้เงินหมดอีกแล้ว เลยมาเอาเพิ่ม" นอร่าเอ่ยออกมาเรียบๆพลางป้ายยาลงบนบาดแผล

     "....มาอีกแล้วเหรอ" ลีนัสขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงความรังเกียจออกมา ลีนัสไม่เคยมีความทรงจำที่ดีกับบิดาของตนเลยสักนิดเดียว ตั้งแต่จำความได้พ่อก็ทำร้ายแม่มาตลอด จนวันนึงที่ลีนัสเรียนรู้ที่จะใช้เวทย์เป็น และกลายเป็นลีบลา เขาก็ไล่พ่อของเขาออกจากบ้านไปได้สำเร็จ โดยจากไปพร้อมสบถว่าลูกชายว่าเป็นลูกปีศาจ ทว่านานๆทีเขาก็ยังจะกลับเข้ามาเมื่อไม่มีเงินใช้

    "ท่านอเล็กซ์กลับเข้ามาจากงานพอดี เลยช่วยแม่ไว้น่ะ..."

    "ขอโทษทีข้าช่วยอะไรได้ไม่ค่อยมากเท่าไหร่ พ่อเจ้าได้เงินไปอยู่ดีนั่นแหละ" อเล็กซ์เสริมขึ้นมาด้วยเสียงอู้อี้ๆ ลีนัสคลี่ยิ้มจางๆแล้วส่ายหัวกลับมา

    "ขอบคุณท่านมากขอรับ ถ้าไม่ได้ท่านแม่ข้าอาจจะเจ็บกว่านี้" ลีนัสเดินเข้ามาแตะมือเบาๆที่หางตาของอเล็กซ์ แสงสีเขียวอ่อนสว่างวาบขึ้นมารอยบวมก็ค่อยๆยุบหายไป ทำให้เจ้าตัวเลิ่กคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ

    "ท่านพ่อหน้าหายบวมแล้ว" ซีมัสร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

    "สุดยอดเลยท่านพี่ สอนข้ามั่งสิ" ลีนัสขำออกมาเบาๆในความใสซื่อของซีมัส

    "ลูกท่านก็สุดยอดจริงๆนั่นแหละ" อเล็กซ์เอ่ยชมลีนัสให้นอร่าฟัง

    "...ขอบคุณขอรับ" ลีนัสนึกถึงพ่อแท้ๆของตนที่ตอนนี้ต้องว่าเขาว่าเป็นลูกปีศาจแน่ๆถ้าเห็นเขาทำแบบนี้

    "ไม่สิ ข้าต่างหากต้องขอบคุณเจ้า...ตรงนี้ แม่เจ้าป้ายยาให้ข้าแล้วเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอก" อเล๊กซ์ยกมือขึ้นหยุดลีนัสที่จะเลื่อนมารักษาแผลที่มุมปากไว้ พลางเคลื่อนสายตาไปมองนอร่า ลีนัสก็หันไปมองตาม อยู่ๆมารดาก็หน้าแดงขึ้นมาแล้วหลบหน้าไปทำทีเป็นเก็บข้าวของที่รกกระจัดกระจายอยู่แทน ลีนัสเห็นเช่นนั้นก็พอจะเข้าใจ เขาอมยิ้มออกมาแล้วปล่อยแผลเอาไว้อย่างนั้น ก่อนจะเดินออกมาช่วยมารดาเก็บข้าวของ

    "ซีมัสมาช่วยพี่หน่อยม่ะ"

    "ขอรับ" เด็กชายตอบรับเสียงใสแล้ววิ่งไปหาพี่ชายทันที ลีนัสรู้สึกว่าบ้านหลังเล็กๆนี่อบอุ่นและมีความสุขมากขึ้นมาทีละนิดๆ





     เวลาผ่านไปซีมัสเริ่มควบคุมพลังของตัวเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับร่างกายของเด็กชายที่เติบโตขึ้นตามกาลเวลา บ้านหลังเล็กที่นอนเบียดกันสี่คนเริ่มจะอึดอัดขึ้น อเล็กซ์จึงจัดการซ่อมบ้านหลังเก่าของตนและต่อเติมเพิ่มจนสำเร็จ ย้ายสมาชิกทุกคนเข้ามาใหม่ บ้านหลังใหม่แบ่งห้องนอนเป็นสองห้อง แบ่งเป็นห้องของลีนัสกับนอร่า และห้องของอเล็กซ์กับซีมัส แต่ยิ่งซีมัสออกไปไหนมาไหนกับลีนัสมากเข้า ตกดึกก็เริ่มแอบหนีมานอนกับลีนัสเป็นประจำ แล้วยิ่งตัวใหญ่ขึ้นที่นอนก็ยิ่งอึดอัดขึ้น จนวันนึงอเล็กซ์ก็รวบรวมความกล้า เสนอให้แบ่งเป็นห้องเด็กกับห้องผู้ใหญ่แทน ซึ่งก็ไม่มีใครคัดค้านใดๆ

     "ท่านพ่อ" วันนึงที่ซีมัสเอ่ยเรียกนอร่าว่าท่านแม่ อเล็กซ์ยังไม่รู้สึกเคอะเขินเท่ากับวันที่ลีนัสเรียกเขาว่าพ่อวันนี้ ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกหน้าแดงขึ้นมา ลีนัสเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มขี้เล่นออกมา

     "ฝากท่านแม่ด้วยนะขอรับ" เด็กหนุ่มเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกจากบ้านพร้อมซีมัสที่ตอนนี้ตัวสูงเกือบจะเกินไหล่ของเขาแล้ว จากที่เมื่อก่อนสูงเพียงแค่เอว

     วันเวลาผ่านไปจนถึงตอนนี้เกือบสองปี ซีมัสไม่ได้เผลอใช้พลังของภูติเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชาวบ้านที่เมื่อก่อนมองสองพี่น้องคู่นี้เดินผ่านด้วยความระแวดระวัง ก็ปรับชินและเอ่ยทักทายได้อย่างปกติ และยิ่งเมื่อเฮมิสตัดสินใจให้ลีนัสเป็นผู้ช่วยเต็มตัว เขาก็ต้องใส่เครื่องแบบของลีบลาสีขาวไปทำงาน ทำให้ชาวบ้านเริ่มรู้จักและทักทายเขามากขึ้น มีเรื่องไหว้วานให้ช่วยเหลือมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น

     ซีมัสทำให้อะไรหลายๆอย่างในชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เขาได้งานที่ดี และครอบครัวที่อบอุ่น ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี กระทั่งเย็นวันหนึ่งที่เขากำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมกับน้องชาย สายตาไปสบเข้ากับชายที่เขาไม่อยากจะเห็นหน้ามากที่สุดในชีวิต พ่อแท้ๆของเขา

     "เฮ้ ลีนัสนี่นา เป็นไงบ้างไอ้ลูกชาย" ชายร่างสูงหนวดเครายาวเฟิ้มเดินเข้ามากอดคอลูกปีศาจของเขาอย่างสนิทสนม กลิ่นเหล้าลอยเข้ามาตีจมูกลีนัสทันทีที่เข้าใกล้ ซีมัสที่ยืนอยู่ไม่ห่างขมวดคิ้วมองด้วยความระแวงสงสัยแล้วเข้าไปจับมือพี่ชายตัวเองแน่น

     "ได้ข่าวว่าเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองแล้วหนิ น่าภูมิใจจริงๆแบบนี้ต้องไปฉลองกันหน่อย"

     "ข้าเป็นผู้ช่วยมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมายินดีกับข้าอย่างนั้นเหรอ เดี๋ยวหยุดก่อน จะพาข้าไปไหน!!" ชายขี้เมาไม่พูดเปล่า ดึงกึ่งกระชากข้อมือบางให้เดินตามไปแต่โดยดี จนเข้ามาถึงร้านเหล้าที่อยู่ในมุมมืดของซอยลึกๆซอยหนึ่ง พอเปิดม่านที่กั้นร้านเข้าไปก็พบกับบรรยากาศสีแดงจากโคมไฟที่ประดับในร้าน มีกลิ่นเหล้ากลิ่นยาสูบลอยคละคลุ้งไปทั่ว มีหญิงสาวแต่งตัวเย้ายวนเดินไปเดินมาอยู่ในร้าน ลีนัสรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ร้านเหล้าธรรมดาที่จะควรจะพาเด็กอย่างซีมัสเข้ามา

    "เฮ้เดฟ ว่าไงเด็กนั่นเป็นใครน่ะ หน้าตาดีเชียว" เจ้าของร้านเอ่ยทักทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีถูกลูกค้าประจำพาเข้ามา

    "ลูกชายข้าเอง ตอนนี้เป็นถึงผู้ช่วยเจ้าเมืองแล้วนะ เจ๋งไหม" เดฟอวดบุตรชายออกนอกหน้านอกตา ตั้งแต่เกิดมาลีนัสไม่เคยได้ยินพ่อตัวเองเอ่ยชมเขาสักครั้ง ทว่าครั้งนี้เขาอยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนี ไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าคนๆนี้คือพ่อของเขา

     "ฮ้า ไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิดนะ"

     "ใช่ ได้จากแม่มาหมด" พูดขึ้นพลางมือช้อนคางมนของลูกชายขึ้นพินิจมอง แล้วมาหยุดที่แววตาสีเพลิงที่จ้องมองเขากลับมาอย่างโกรธเคือง

     "ดื้อก็ดื้อเหมือนแม่ไม่มีผิด"

     "แล้วอีกคนนึงล่ะ" เจ้าของร้านหันไปมองซีมัสที่ยืนจับมือพี่ชายไม่ยอมปล่อย ทำตาขวางกวาดตามองไปรอบๆร้าน

     "หึม ไม่รู้เหมือนกันมาได้ไง" เดฟไม่รู้จริงๆว่าซีมัสติดมาด้วย

     "ช่างเหอะ เอาเป็นว่าวันนี้ข้าพาลูกชายมาฉลอง จัดเหล้ากับผู้หญิงมาเลย" เดฟกำลังจะลากลีนัสเข้าไปในร้าน

     "เฮ้ จะดีเหรอ เค้าว่าเป็นลีบลาต้องบริสุทธิ์เป็นผ้าขาวมิใช่เหรอ" ลีนัสไม่เข้าใจว่าความเชื่อพวกนี้มันมาจากไหนกัน แต่ดูแล้วก็ไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้น น่าจะพูดเอาสนุกไปอย่างนั้น

     "เดี๋ยวนะ แปลว่าเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่น่ะสิ นี่เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วน่ะ สิบหกได้ไหม"

      "กำลังดี จริงๆมันก็แค่ข่าวลือนะ ถ้าอยากได้ประสบการณ์ ข้ายินดีช่วยนะ" เจ้าของร้านเสนอตัวขึ้นมาพร้อมสงสายตาให้อย่างมีความหมายแฝง ทำลีนัสโกรธขึ้นมาสะบัดมือหลุดจากพ่อของตน

      "ปล่อยข้าซะที ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นพวกเจ้า แล้วก็ไม่ใช่ลูกเจ้าด้วย!!" ลีนัสหันกลับจะเดินออกไปจากร้าน แต่ท่อนแขนเขาถูกคว้าเอาไว้แล้วผลักชิดกำแพง

      "เอวบางร่างน้อย เรี่ยวแรงไม่มีเหมือนแม่มันเป๊ะ ผู้หญิงคงไม่เหมาะกันเจ้าจริงๆ" มือแกร่งของเดฟยกขึ้นบีบคอลูกชายตัวเองด้วยความโกรธ ซีมัสเห็นเช่นนั้นก็จับท่อนแขนแกร่งของเดฟให้ปล่อยลีนัสออก

     "ปล่อยพี่ข้าเดี๋ยวนี้นะ" เดฟปัดร่างเด็กชายกระเด็นออกมากระแทกเข้ากับผนังอีกฝั่งอย่างแรง

     "ซีมัส!!" ลีนัสร้องออกมาอย่างตกใจ ทั้งกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไร และกลัวว่าจะใช้พลังของภูติออกมา

     "พี่เจ้าอย่างนั้นเหรอ นี่นังแพศยานั่นแอบไปมีลูกโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่" เดฟหันกลับมาถามลีนัสที่ตัวเองกุมคอบางไว้ใมือ

     "เจ้าไม่มีสิทธิ์ มาว่าแม่ข้าแบบนี้" ลีนัสยกมือขึ้นทาบไหล่ของเดฟแล้วใช้เวทย์ลมผลักให้ร่างใหญ่กระเด็นออกไปชนโต๊ะรับแขกฝั่งตรงข้าม ลีนัสรีบทรุดลงไปดูซีมัสที่กำลังหายใจหนักๆรัวๆอยู่

     "เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม" โดยรวมแล้วซีมัสไม่ได้มีบาทแผลอะไรรุนแรง แต่ที่หายใจถี่ๆอยู่ เพราะกำลังห้ามไม่ให้ตัวเองกลายร่างอยู่ต่างหาก

     "เก่งมากซีมัส มองข้านะ หายใจเข้าช้าๆลึกๆ" อยู่ๆซีมัสกลับหายใจถี่หนักกว่าเดิม เพราะเห็นเดฟเดินเข้ามาหาลีนัสจากข้างหลังแล้วลากคอเสื้อลีนัสให้ลุกขึ้น

     "เจ้ามีสิทธิ์อะไรทำกับพ่อเจ้าแบบนี้" เดฟง้างหมัดขึ้นมาเตรียมจะซัดเข้าที่หน้าแต่ก็ต้องหยุดชะงักไป เมื่อสัมผัสได้ถึงคมดาบที่แตะมาที่ต้นคอของตน

     "เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแบบนี้กับใครทั้งสิ้นนั่นแหละ" เสียงทุ้มที่คุ้นเคยของผู้ที่เข้ามาช่วยทำให้ลีนัสหันไป ก็พบกับแววตาสีน้ำเงินเข้มของดาวิสจ้องมองเดฟอย่างเย็นชา พอเจ้าตัวรู้ว่าลีนัสหันมามองก็เคลื่อนแววตามาสบมองกลับไปอย่างอ่อนโยน

      "เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม"

      "อื้ม ขอบคุณท่านดาวิส" ลีนัสเอ่ยขอบคุณแล้วปัดมือของพ่อตัวเองออก เดินกลับไปดูซีมัส

      "ท่านเจ้าหน้าที่ถือดาบแบบนี้ก็มีสิทธิ์ทำอะไรได้ทั้งนั้นแหละ" เดฟพูดประชดขึ้นมา ดาวิสจึงปัดหางตากลับไปมองที่คู่กรณีอีกครั้ง ก่อนจะชักดาบเก็บเข้าฟักอย่างใจเย็น เดฟถือโอกาสนั้นพุ่งมัดเข้าหาดาวิสทันที ชายหนุ่มขยับหลบพร้อมศอกกลับเข้าที่หน้า และจับที่หลังหมัดของอีกฝ่ายแน่น พลิกข้อมือหงายกลับ ทำให้ร่างใหญ่ของชายฉกรรจ์ต้องบิดตามไปด้วยความเจ็บปวด

     "ได้ยินว่านี่พ่อเจ้าเหรอ" ดาวิสหันไปถาม ลีนัสส่ายหัวกลับมาเบาๆ

      "แค่ขี้เมาคนนึงขอรับ"

      "ดี" ดาวิสเตะข้อเท้าเดฟล้มลงกดแผ่นหลังแล้วบิดข้อมือของเขาดังกร๊อบออกมาเบาๆ ตามด้วยเสียงร้องโอดครวญดังสนั่นร้าน

      "อ๊าาาากกกกกกก" ดาวิสขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์

      "....หนวกหูชมัด" ชายหนุ่มบ่นออกมาก่อนจะเดินออกไปนอกร้านครู่หนึ่ง กลับมาพร้อมกับลูกน้องตัวเองอีกสองคน

      "เอาไปขังไป จะได้ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอีก" นายทหารสองคนจัดการหิ้วปีกเดฟออกไปในทันที

      "เดี๋ยวนะ เจ้าไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าข้าจะเอาไปขัง" ดาวิสหยุดลูกน้องทั้งสองคนไว้ก่อน ผู้เป็นพ่อก็ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากลูกชายขึ้นมาทันที ลีนัสชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบกลับไป

     ".....ถ้าไม่ลำบากอาหารที่คุมขังเกินไปก็รบกวนด้วยขอรับ" คำตอบนั้นทำมุมปากของดาวิสกระตุกขึ้นมา ก่อนจะส่งสัญญาณบอกลูกน้องให้หิ้วไปต่อ

      "ไอ้ลูกเนรคุณ!!" เดฟตะโกนทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะออกไป ทำให้ร่างบางถอนหายใจยาวออกมา ฝ่ามือแกร่งของอีกฝ่ายยกขึ้นมาตบบ่าของอีกฝ่ายเบาๆ

     "ไม่ต้องห่วงนะ ในนั้นเลี้ยงข้าววันละสามมื้อไม่มีขาดตกบกพร่อง" คำพูดติดตลกของอีกฝ่ายทำให้ลีนัสยิ้มจางๆออกมาได้ พลันก็นึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไป ร่างบางหันควับกลับไปหาน้องชายตัวเองที่นั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

     


เกิน...ช่วยด้วย ขอไปแปะใส่ตอนหน้านะ

หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 3 2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 31-08-2015 12:06:50
        Act 3 : Demon (3/3)


            "เป็นอะไรไหมซีมัส"

            ".....ไม่เป็นไรขอรับ" เด็กชายตอบเสียงเรียบๆพลางลุกขึ้นยืนเอง ลีนัสไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่านายทหารหนุ่มกลับเข้าใจได้ในทันที

          "ซีมัส ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วนะ"

          ".....เก้าขอรับ" ซีมัสไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายถึงถามเรื่องอายุขึ้นมา

          "อื้ม กำลังดีเลย เข้ามาที่โรงฝึกทหารกับข้าดูไหมซีมัส" ดาวิสเสนอขึ้นมา ทั้งลีนัสกับซีมัสก็หันไปมองผู้พูดด้วยความประหลาดใจ

        "ได้ยินว่าเจ้าควบคุมพลังได้ดีพอสมควรแล้วหนิ เมื่อครู่เจ้าก็ทำได้ดี ข้าว่าน่าจะถึงเวลาที่เจ้าจะเป็นคนที่ปกป้องพี่เจ้าบ้างแล้วล่ะ ข้าจะถามท่านเฮมิสให้นะ เจ้าว่าไง" ดาวิสลูบหัวเด็กชายเบาๆ ซีมัสเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกายขึ้นมา

     "ท่านจะสอนข้าเหรอ" ดาวิสเห็นท่าทีของซีมัสก็คลี่ยิ้มออกมา

     "แน่นอน แล้วก็มีคนอื่นจะช่วยสอนเจ้าเยอะแยะเลย"

     "จริงๆนะขอรับ" เด็กชายถามย้ำอีกทีอย่างตื่นเต้น

      "อื้อ เจ้าจะได้ดูแลพี่ชายเจ้าแทนข้าตอนข้าไม่อยู่ได้ยังไงล่ะ" ลีนัสเข้าใจว่าดาวิสเอ่ยไปเพราะจะให้ซีมัสเห็นเป้าหมายในการไปฝึกฝน แต่ก็อดติดใจไม่คิดไม่ได้ ที่พูดเหมือนว่าการดูแลเขาเป็นหน้าที่ของดาวิส พอจะสลัดความคิดนั้นออกไปพลัน แววตาสีน้ำเงินเข้มก็หันมาสบมองเจ้าตัว

      "...ข้าว่าเราออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะขอรับ" ลีนัสหาเรื่องเลี่ยงสบสายคมของอีกฝ่าย ด้วยการเดินนำออกไปจากร้านก่อน ทำให้ร่างสูงคลี่ยิ้มออกมาจางๆก่อนจะชวนซีมัสเดินตามออกไป

      "ว่าแต่ท่านเข้ามาทำอะไรแถวนี้ขอรับ" ลีนัสเอ่ยถามขึ้นเมื่อเดินออกมาจากซอยแคบๆนั้น เห็นมีแต่ร้านเหล้าจำพวกนั้น เป็นจุดเสื่อมโทรมเล็กๆในเขตเมือง

      "ข้าไม่มีธุระอะไรในนี้หรอก แต่เห็นเจ้าโดนลากเข้ามาตั้งแต่ที่ถนนใหญ่แล้ว ถึงได้ตามเข้ามา คิดว่าข้าจะมีธุระอะไรแถวนี้งั้นเหรอ" ดาวิสถามอีกฝ่ายย้อนกลับไป

      "....ก็ไม่น่าจะมีน่ะสิขอรับถึงได้ถาม" ลีนัสทำหน้ายุ่งๆตอบกลับไป ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

      "ยังไงก็....ขอบคุณนะขอรับที่ตามเข้ามาช่วย แล้วยังจะเรื่องของซีมัสอีก" ลีนัสหันมาเอ่ยขอบคุณร่างสูงอีกครั้ง

     "ด้วยความยินดี อ้อแล้วก็ ถ้าเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ อยากให้ข้าเอาเขาออกจากคุกเมื่อไหร่ก็บอกข้าได้นะ" ดาวิสตั้งใจจะเลี่ยงไม่พูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทำให้ร่างบางรู้ว่าอีกฝ่ายใส่ใจความรู้สึกของเขามากแค่ไหน

     "ขอบคุณขอรับ" เขาไม่รู้จะต้องเอ่ยขอบคุณอีกกี่ครั้งถึงจะครบทุกเรื่องที่ดาวิสทำให้ คิดขึ้นมาแบบนี้แล้วใบหน้าหวานก็แดงระเรื่อขึ้นมานิดๆ มือแกร่งของร่างสูงที่เดินอยู่ข้างปัดเฉียดมือเรียวบางไปมา อยู่ๆก็เอื้อมไปคว้ามือเรียวมากุมเอาไว้ ร่างบางสะดุ้งตกใจหันไปมองเจ้าของมือด้วยใบหน้าแดงก่ำ

     "ข้าว่างพอดี วันนี้ข้าเดินไปส่งพวกเจ้าที่บ้านละกัน"

     "..." เด็กหนุ่มไม่คิดว่าอยู่ๆอีกฝ่ายจะคว้ามือเขาไปจับไว้เช่นนั้น ร่างบางไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป ได้แต่หลับหูหลับตาพยักหน้าที่แดงก่ำไปอย่างว่าง่าย

     "ท่านพี่ ขนมปังร้านนี้น่ากินจังเลย แวะซื้อกลับไปที่บ้านได้ไหมขอรับ" ซีมัสที่เดินนำไปก่อนหันมาถามพี่ชายเมื่อเห็นขนมที่ตนอยากกิน ลีนัสตกใจรีบดึงมือตัวเองกลับ แต่ดาวิสกลับไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังเดินจูงมือเข้าไปหาซีมัสทั้งอย่างนั้นอีกต่างหาก

     "ไหนๆ ร้านนี้น่ะข้าแวะมาซื้อประจำแหละ จะบอกให้อันนี้อร่อยมากเลย ม่ะข้าซื้อกลับไปฝากแม่เจ้าด้วยละกัน" ดาวิสจับมือลีนัสเดินเข้ามาถึงในร้าน ค่อยยอมปล่อยมือของเขาออกเพราะจะเลือกขนมปังให้ซีมัส

     "เอ๋ ท่านดาวิสซื้อให้เหรอขอรับ ขอบคุณขอรับ ท่านพี่เอาอะไรไหม" เสียงซีมัสร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

     “....เจ้าเลือกเถอะซีมัส” ตอนนี้สมองของลีนัสไม่เหลือที่ว่างพอจะคิดเลือกขนมปังในร้านแม้แต่น้อย มีแต่คำถามมากมายเกี่ยวกับชายหนุ่มตรงหน้าพรั่งพรูเข้ามา เขาไม่แน่ใจวัตถุประสงค์ของดาวิสเท่าไหร่นัก แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



End Demon (3/3)
บังเอิญจริงๆที่ตั้งแถมท้ายไว้ช่องนึง ไม่งั้นยัดบทที่เพิ่มมาลงไปไม่ได้ ดีใจน้ำตาจะไหล TT TT


แถมท้ายตอนที่ 3 ขำๆ

(http://i61.photobucket.com/albums/h56/hayeena/Libra_heart/growup.jpg) (http://s61.photobucket.com/user/hayeena/media/Libra_heart/growup.jpg.html)

 :-[ พี่น้องคู่จิ้น

หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 4 :1/3)
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 08-09-2015 21:55:19
ฺBrother complex (1/3)   

     ช่วงเช้าตรู่ของวันที่สนามฝึกทหาร เหล่าเด็กหนุ่มรุ่นใหม่กำลังวิ่งออกกำลังแต่เช้ากันเป็นทีม โดยที่คนสุดท้ายของทีมจะต้องวิ่งเร่งความเร็วมาต่อข้างหน้า สลับไปเรื่อยๆรอบลานกว้างของสนามฝึก ที่ตรงกลางก็มีครูฝึกหนุ่มรุ่นใหม่คอยวิ่งตามเร่งให้วิ่งเร็วขึ้น
 
       “เอ้ายอมแพ้แล้วเหรอ นี่ช้าสุดเลยนะ จะโดนแซงอีกรอบแล้ว ทำอะไรกันอยู่” ดามอนต์ รุ่นพี่ที่คุมเด็กใหม่วิ่งตามขู่คนท้ายแถวให้เร่งฝีเท้าขึ้นอีก

        “วิ่งๆๆ ทีมช้าเพราะเจ้าคนเดียวนี่แหละ ฮึดหน่อย!!” รุ่นพี่คุมตบมือเร่งให้คนถัดไปวิ่งเร็วขึ้น ระหว่างนั้นแววตาสีเขียวก็สบเข้ากับนายทหารร่างหนาที่โบกมือเรียกเจ้าตัวอยู่ที่ขอบสนาม เขาจึงวิ่งเหยาะๆออกไปหา

        “ท่านพี่ มาได้ยังไง” ดามอนต์เอ่ยถามพี่ชายที่เรียกเขาออกมา พลางมองไปที่เด็กชายผมสีทองตาสีฟ้าใสคนหนึ่งที่มาด้วยกัน

        “ข้าย้ายมาคุมที่นี่ชั่วคราวน่ะ แล้วก็นี่ซีมัส อาจจะมาช้าไปสองสัปดาห์ แต่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ไว้ข้าจะช่วยสอนเก็บส่วนที่ไม่ทันให้ละกัน” ดาวิสแนะนำเด็กชายวัยกำลังจะก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มให้น้องชายได้รู้จัก ดามอนต์มองไปที่ซีมัสแล้วหันกลับมามองพี่ชายของตนด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะลากพี่ชายตัวเองออกมาคุยห่างๆ ไม่ให้เด็กชายได้ยิน

     “เด็กคนนี้เป็นลูกใครขอรับ ทำไมเพิ่งเข้ามาป่านนี้ ข้าต้องดูแลเป็นพิเศษรึเปล่าเนี่ย ข้าไม่ถนัดเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ต้องประคบประหงมหรอกนะขอรับ” ดามอนต์กระซิบถามด้วยสีหน้ากังวล

     “ข้าไม่ได้เอามาให้เจ้าประคบประหงมหรอกน่า ไม่ต้องห่วง เจ้าสอนในแบบของเจ้าก็พอ”

     “แล้วทำไมท่านพี่ถึงมาส่งด้วยตัวเองแบบนี้ล่ะ แถมย้ายมาดูแลเองตรงนี้อีกต่างหาก” น้องชายทำหน้าระคนสงสัย ถามพี่ชายเหมือนกำลังสอบสวนคนผิด เมื่อถูกซักขนาดนั้นร่างหนาก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้

     “เอาเป็นว่าข้าบอกเจ้าคนเดียวนะ เพื่อความสบายใจของเจ้า แต่เจ้าห้ามบอกคนอื่นนะ ตกลงไหม” ดาวิสยื่นข้อเสนอออกมา ดามอนต์ก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

     “เด็กคนนี้เป็นลูกครึ่งภูติ ที่มีพลังพิเศษ ข้ารับปากกับท่านเฮมิสว่าจะคอยดูแลไม่ให้เกิดปัญหา ข้าถึงย้ายเข้ามาที่นี่ชั่วคราวเพื่อดูว่าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ”

     “พลังพิเศษอะไรขอรับ” ดามอนต์ถามกลับไปทันที

     “.....จำวันที่เจ้าออกไปช่วยข้าดับไฟวันนั้นได้ไหม” ดาวิสชั่งใจสักพักนึงก่อนจะตอบ เด็กหนุ่มก็รับฟังอย่างตั้งใจ

     “อ้อ...นั่นคือซีมัสเหรอขอรับ” ดาวิสพยักหน้ารับนิ่งๆ

     “....ปีศาจชัดๆ” ดามอนต์เอ่ยพึมพำออกมาเบาๆทำให้ดาวิสได้ยินไม่ชัด

     “เจ้าว่าไงนะ ?”

     “เปล่าขอรับ” ดามอนต์คลี่ยิ้มตีหน้าใสซื่อกลับมา

     “เอาล่ะ เอาเป็นว่า เจ้าอย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ล่ะ ข้าไม่อยากให้แตกตื่น แล้วก็ไม่อยากให้มีการเลือกปฏิบัติ เข้าใจไหม” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด

     “แล้วทำไมอยู่ๆท่านไปเกี่ยวอะไรด้วยกับเรื่องนี้ล่ะ” คำถามนี้ทำให้เจ้าตัวนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวันก่อนแล้วก็เผลอคิดถึงพี่ชายของตัวต้นเหตุขึ้นมา ทำให้แววตาคมดูอ่อนโยนลง มุมปากชายหนุ่มกระตุกยิ้มขึ้นมาจางๆ พลันสบตาเข้ากับน้องชายที่มองมาด้วยความงุนงงก็รีบดึงสติกลับมา

     “ท่านเฮมิสเป็นคนที่คอยดูแลซีมัสอยู่ด้วยน่ะ ข้าก็เลยถือโอกาสกลับมาประจำที่นี่พักนึงไง นานๆจะได้กลับมาทำงานกับเจ้านี่ไง ไม่ดีเหรอ” ดาวิสคลี่ยิ้มกว้างตบไหล่น้องชายอย่างอารมณ์ดี

    “คำสั่งท่านเฮมิสนี่เอง…” ดามอนต์ทำน้ำเสียงประชดประชัน เห็นเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ถอนใจออกมา ดาวิสรู้ดีว่าน้องชายไม่ชอบเจ้าเมือง เขาต่อต้านระบบที่ยกลีบลาขึ้นเป็นเจ้าเมืองคอยชี้นิ้วสั่ง ให้บิดาที่เป็นรองเจ้าเมืองเป็นผู้ดำเนินการ งานยุ่งจนไม่มีเวลามาดูแลเจ้าตัวเท่าไหร่นัก ทำให้เวลาส่วนใหญ่ของดามอนต์มาอยู่กับพี่ชายที่ห่างกันห้าปีคนนี้เสียหมด ตอนนี้พี่ชายของตนเริ่มเข้าไปช่วยงานบิดามากขึ้น เวลาที่มีให้ดามอนต์ก็ถูกริดรอนหายตามๆกันไป ดามอนค์ก็ยิ่งโทษไปที่เจ้าเมืองเหมือนเคย

     “ดามอนต์ ต้องให้ข้าบอกเจ้าอีกกี่ทีเรื่องนี้….”ดาวิสพยายามจะปรับมุมมองของน้องชาย ทว่าอีกฝ่ายก็รีบเดินกลับไปหาซีมัสแสร้งคุยด้วยเพื่อเปลี่ยนประเด็น เขาเบื่อที่จะฟังเหตุผลอันน่ารำคาญของพี่ชาย

    “เอาล่ะ ซีมัส เข้าไปวิ่งกับเพื่อนๆเลยไหมวันนี้ อุ่นเครื่องก่อน” แววตาสีฟ้าใสจ้องเขม็งมองดามอนต์เหมือนจะพูดอะไรออกมา

    “มีอะไรรึเปล่า”

    “ถึงท่านพี่ข้าจะไม่ชอบให้ใครเรียกข้าว่าปีศาจสักเท่าไหร่ แต่ข้าไม่ว่าอะไรหรอกขอรับ ข้าถือว่าเป็นคำชม” ซีมัสเอ่ยตอบไปพร้อมแสยะท้าทายให้อีกฝ่าย

     “........” ดามอนต์จ้องหน้าเด็กชายกลับไป แรกเห็นก็ว่าไม่ถูกชะตาอยู่แล้ว เจออวดดีใส่เข้าไปก็ยิ่งแสดงความเป็นอริกันอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

      “พร้อมไหมซีมัส” ดาวิสที่เดินตามมาทีหลังเอ่ยถามซีมัส เขาไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้สองคนนั้นคุยอะไร

      “ขอรับ” ซีมัสละสายตาออกมาที่ดาวิสแล้วตอบกลับไปอย่างว่าง่าย ไม่เหลือคราบเด็กอวดดีเมื่อครู่แม้แต่น้อย

      “ถ้างั้นมานี่ม่ะ ข้าจะอธิบายใให้ฟัง” ดาวิสกวักมือเรียกไปอธิบายใกล้ๆ ซีมัสก็เดินเข้าไปหาแต่โดยดี พออธิบายเสร็จ ก็พาวิ่งไปหาทีมที่วิ่งรั้งท้ายเพื่อแนะนำซีมัสคร่าวๆแล้วปล่อยให้เด็กใหม่วิ่งไปต่อท้ายแถว ดาวิสมองซีมัสตามไปเห็นว่าวิ่งเข้ากลุ่มไปได้ไม่มีปัญหา ก็ละสายตาเดินกลับมาเจอน้องชายตัวเองที่ยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์

     “มีปัญหาอะไรเหรอ นี่ไม่ดีใจที่ได้พี่ชายมาช่วยฝึกให้รึไง”

     "ก็ดี....แต่ท่านพี่ดูเด็กของท่านเอาเองแล้วกัน ข้าไม่ขอยุ่งด้วยนะ" ดามอนต์เอ่ยทิ้งไว้แล้วผละตัวเดินจากออกไป

     ".....อ้าว...เป็นอะไรอีกล่ะ เด็กคนนี้" ดาวิสพึมพำออกมาแล้วหันกลับไปมองกลุ่มของซีมัสที่ตอนนี้วิ่งขึ้นมาจนจะแซงทีมข้างหน้าได้แล้ว เพราะเจ้าตัววิ่งขึ้นนำหัวขบวนไปเมื่อครู่ ทำให้ท้ายขบวนต้องเร่งฝีเท้าตามให้ทัน ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ

     “เฮ้นั่นท่านดาวิสนี่ มาทำอะไรที่นี่น่ะ” พี่เลี้ยงที่คุมเด็กรุ่นพี่ดามอนต์เดินมาเอ่ยถามผู้เป็นน้องด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะได้ยินมาว่ารุ่นที่จบมาโดยมีพี่เลี้ยงรุ่นเป็นดาวิสจบออกมาได้อย่างมีคุณภาพกว่ารุ่นอื่นๆ และผู้ที่จบมารุ่นนั้นรักและกล่าวขานถึงพี่เลี้ยงรุ่นคนนี้ทุกคน

     “ท่านดาวิสถูกย้ายกลับเข้ามาช่วยที่นี่น่ะ...” ดามอนต์ตอบไปอย่างเซ็งๆ

     “จริงเหรอ!! เจ๋งอ่ะ ข้าไปบอกคนอื่นๆก่อนนะ” ก่อนที่ดามอนต์จะบ่นถึงเหตุผลที่ทำให้เดาวิสต้องย้ายเข้ามา อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจจะฟังต่อแล้ว เขาร้องกลับมาด้วยความตื่นเต้นแววตาเป็นประกายก่อนจะวิ่งหายไปกระจายข่าวอย่างรวดเร็ว 

     “....ช่างเหอะ” ดามอนต์พึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะหันไปมองผู้ที่เป็นหัวข้อสนทนา
ดามอนต์ที่จบมาในรุ่นที่ได้พี่ชายตัวเองเป็นพี่เลี้ยง  รู้ถึงเหตุผลที่ทำให้ทุกคนกล่าวถึงดี และรู้ดีด้วยว่าความคาดหวังของมารดาที่อยากให้ตนสมบูนณ์แบบได้เหมือนพี่ชายนั้นเป็นไปไม่ได้ ดามอนต์ไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่มารดาคาดหวังตรงนั้นสักเท่าไหร่ แค่ได้เป็นน้องชายของคนที่สมบูรณ์แบบเช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว ทว่าตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนแย่งตำแหน่งนั้นไป เมื่อเห็นรอยยิ้มพึงพอใจของพี่ชายที่กำลังทอดมองซีมัสที่กำลังนำกลุ่มตัวเองวิ่งแซงกลุ่มข้างหน้าได้สำเร็จ

     “...ชิส์ ไอ้เด็กนรก” ดามอนต์สบถออกมาเบาๆ ทว่าซีมัสที่กำลังวิ่งอยู่กลางสนามหันมาสบตามองเจ้าตัวแล้วคลี่ยิ้มร้ายกาจออกมาก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น

     “...!!!?”  ดามอนต์ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายบังเอิญหันมาเยาะเย้ยเขาตอนนั้น หรือได้ยินที่เขาสบถออกไปเมื่อครู่กันแน่ จึงได้ลองสบถออกมาเบาๆอีกที

     “เจ้าเด็กปีศาจ” รอบนี้ซีมัสไม่มีทีท่าที่จะหันกลับมามองแต่อย่างใด จึงได้เข้าใจว่าเมื่อครู่อาจจะแค่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือไม่เขาอาจจะโดนอีกฝ่ายแกล้งเมินก็เป็นได้


     ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ณ ที่ทำงานของเจ้าเมืองเวลเฮมิน่า นัยน์ตาสีเพลิงทอดมองเอกสารตรงหน้าด้วยความตั้งใจจะอ่านใจความข้างใน แต่สติของเด็กหนุ่มไม่ได้อยู่กับตัวอักษรบนกระดาษนั้นเลย ตั้งแต่เมื่อวานนี้ที่กลับไปถึงบ้าน ลีนัสมีเรื่องให้คิดวุ่นอยู่ในหัวจนเกือบจะลืมเล่าเรื่องของบิดาที่บังเอิญเจอเข้าที่ตลาดให้มารดาฟัง หากเขาไม่ถูกถามถึงที่มาที่ไปของนายทหารหนุ่มที่เดินมาส่งพร้อมของฝาก ซึ่งเรื่องของบิดานั้นก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ทำให้มารดาของตนสนอกสนใจจะซักถามเพิ่มเติมใดๆ หากแต่วกกลับมาถามถึงเรื่องของนายทหารหนุ่มไม่หยุด ซึ่งตัวเขาเองก็ยังตอบคำถามไม่ค่อยได้เช่นกัน

     'รู้จักกันตอนไหน' 'เป็นลูกเต้าเหล่าใคร' 'อายุเท่าไหร่แล้ว' 'บ้านอยู่ที่ไหน' หลายคำถามที่ลีนัสให้คำตอบไม่ได้ เขารู้จักดาวิสมาสองปีแล้วก็จริง แต่ที่ผ่านๆมาเขาเพียงแค่เห็นหน้าในเวลางานแล้วก็เอ่ยทักทายกันไปตามมารยาทเท่านั้น ไม่เคยได้คุยกันมากไปกว่านั้น

     เมื่อเช้านี้ผู้ที่เป็นต้นเหตุให้ร่างบางสับสนวุ่นวายใจ ก็เดินเข้ามาหาเฮมิสเพื่อคุยเรื่องซีมัส เฮมิสก็เห็นด้วยว่าควรจะเริ่มปล่อยซีมัสไปเข้าสังคมอื่นดูบ้าง ไหนเอยน้องชายที่คอยช่วยดึงความสนใจของเขากลับมาก็ถูกพาตัวออกไป ไหนจะความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไหนจะกังวลใจว่าซีมัสจะเข้ากับคนอื่นได้ไหม ไหนจะเรื่องของดาวิสที่ทำให้เขาสับสน

     เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าตั้งสมาธิอยู่กับงานไม่ได้ ก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะพยายามตั้งสมาธิอีกครั้ง เขาไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่มีสมาธิขนาดนี้มาก่อน เสียงถอนหายใจของเด็กหนุ่มที่ถอนออกมาหลายต่อหลายรอบ ทำให้ผู้เป็นนายต้องหันมามองด้วยความสงสัย เห็นใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าไปมา อยู่ๆก็เหม่อลอย อยู่ๆก็ขมวดคิ้วเคร่งเครียดออกมา เดี๋ยวก็สบัดหัวแล้วทำท่าตั้งใจอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ เห็นแล้วก็อดขำออกมาไม่ได้

     “ไหวไหมลีนัส” น้ำเสียงทุ้มของเจ้าเมืองเอ่ยถามขึ้นทำเอาร่างบางสะดุ้งเฮือกขึ้นมา

     “ขอรับ?” เด็กหนุ่มขานรับผู้เป็นนายฉับพลัน

     “ข้าเห็นเจ้าถือเอกสารแผ่นนั้นอยู่นานแล้ว...มันเรื่องอะไรรึ ทำไมสีหน้าเจ้าถึงได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนั้น” เฮมิสยกมือขึ้นเท้าคางแล้วเอ่ยถามอย่างเอ็นดู ลีนัสรีบก้มหน้าอ่านเอกสารตรงหน้าอย่างรวดเร็วอีกรอบ ก็พบว่าเป็นเรื่องร้องเรียนเรื่องเดิมที่ไม่มีอะไรมากมาย และที่สำคัญคือเขาอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบมากแล้วด้วย

     “คือมันก็….ไม่เกี่ยวกับเอกสารแผ่นนี้หรอกขอรับ….” เด็กหนุ่มหน้าแดงระเรื่อยอมรับแต่โดยดี ยิ่งคิดว่าอีกฝ่ายเห็นเขาเปลี่ยนสีหน้าไปมาอยู่นานแล้วก็ยิ่งรู้สึกเขินอาย คนฟังคำสารภาพนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

     “เอาล่ะ ไหนๆวันนี้งานไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่” เฮมิสว่าพลางลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสายตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเดินมายืนพิงข้างหน้าโต๊ะทำงานของตน มือยกขึ้นกอดอกทอดสายตามองมายังผู้ช่วยหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตน

     “ไหนเจ้าว่ามาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น อะไรที่ทำให้ลีนัสผู้เพรียบพร้อมของข้าเป็นได้ขนาดนี้กัน” สถานการณ์ที่เหมือนกำลังโดนไต่สวน ทำให้ลีนัสต้องรีบหาเหตุผลที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจมาตอบคำถาม

     “....ข้าแค่เป็นห่วงว่าซีมัสจะเข้ากับเพื่อนได้ไหม….” ลีนัสตอบคำถามเบี่ยงสายตาหลบนัยน์ตาสีเขียวใสที่จ้องมองมา

     “อืม อันนั้นข้าเข้าใจ ช่วงแรกข้าว่าเจ้าก็คงจะเป็นห่วงอยู่บ้าง.....แล้วไงอีก” คำถามที่ซักไซร้ต่อมาทำให้ลีนัสต้องหันไปสบตากลับด้วยสีหน้าลำบากใจ เฮมิสเห็นปฏิกริยาของผู้ช่วยหนุ่มก็กระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

     “เช่น เรื่องที่บังเอิญว่า ลูกชายรองเจ้าเมืองเดินไปส่งเจ้าที่บ้านเมื่อวานนี้” เมื่อเฮมิสดึงประเด็นนี้ขึ้นมา ทำให้ลีนัสต้องก้มหน้าลงไปซุกไว้หลังฝ่ามือตัวเองที่ประสานวางอยู่บนโต๊ะ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เฮมิสจะรับรู้การเคลื่อนไหวของเขาได้ในฐานะที่เป็นลีบลา ลีนัสมีภูติระดับล่างหลายต่อหลายตัวที่ชอบติดตามเจ้าตัวไปทุกที่ มากพอที่จะเป็นสายข่าวอย่างดีให้กับเฮมิส ยิ่งนึกทวนว่าเฮมิสน่าจะรู้เรื่องอะไรบ้างใบหน้าก็ยิ่งแดงจนมาถึงใบหู ครู่หนึ่งแววตาสีเพลิงก็ช้อนขึ้นมามองดูว่าอีกฝ่ายจะว่ายังไงต่อไป

     “จริงๆข้าก็เห็นสายตาของดาวิสที่มองเจ้ามาได้สักพักแล้วล่ะนะ หึหึ สมเป็นดาวิสจริงๆ ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือจริงๆ” เฮมิสว่าพลางเอามือลูบคางตัวเอง แววตาสีเขียวทอดมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

     “เอ๋…..!?” ลีนัสไม่เห็นจะรู้ตัวสักนิด แววตาเด็กหนุ่มสบมองผู้เป็นนายด้วยความสงสัย ว่าเขาเพียงแค่แกล้งพูดขึ้นมาเพื่อแกล้งเขาหรืออย่างไร

     “สิงโตหนุ่มจะตะครุบเหยื่อ มีหรือจะเผยให้เหยื่อไหวตัวก่อน บังเอิญว่าข้าเป็นอินทรีย์แก่ที่บินอยู่แถวนั้นก็แค่เห็นหมดทุกอย่าง แล้วเจ้าจะเอายังไงต่อไปล่ะ”

     “....ท่านยังไม่แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย ทำไมเรียกตัวเองแบบนั้นล่ะขอรับ” ลีนัสพยายามจะบ่ายเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น ทว่าแววตาเฉียบคมสีเขียวเคลื่อนกลับมาสบมอง”เหยื่อ”ที่ตนพูดถึงเมื่อครู่

     “นี่เจ้าแกล้งปากหวานเพื่อให้ข้าเปลี่ยนประเด็นน่ะเหรอ ง่ายไปนะลีนัส” ตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้ช่วยเฮมิสจนถึงทุกวันนี้ ลีนัสไม่เคยรู้สึกกดดันจากงานหรือจากเจ้าเมืองคนนี้เลย แต่วันนี้กลับต้องมาโดนกดดันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ร่างบางสูดหายใจเข้าแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำท่ายอมแพ้และยอมรับแต่โดยดี

     “ขออภัยข้าไม่ได้มีเจตนาจะปากหวาน มีเพียงเจตนาจะเปลี่ยนประเด็นเท่านั้นขอรับ” เฮมิสยิ้มถูกใจความเถรตรงของเด็กหนุ่ม

     “ข้าแกล้งเจ้าแค่นี้ก่อนก็ได้ เอาเป็นข้าส่งเจ้าไปหาดาวิสที่สนามฝึกละกันวันนี้ จะได้เห็นว่าซีมัสเป็นยังไงด้วย แต่ให้แจ้งว่าข้าส่งเจ้าไปคุยธุระกับดาวิส ซึ่งจริงๆนั่นน่าจะเป็นประเด็นหลักของเจ้านะ อย่าบอกว่าเจ้าตามมาดูซีมัส มันจะทำให้ซีมัสเข้ากับเด็กคนอื่นยากขึ้น เจ้าเข้าใจใช่ไหม แค่ให้ดาวิสพาซีมัสไปส่งเข้าเรียนช้ากว่าคนอื่นเขาก็เป็นอภิสิทธิ์ชนแย่แล้ว”

     “คุยธุระ ?” ลีนัสทวนคำออกมาเบาๆอย่างครุ่นคิด เขาต้องไปคุยเรื่องอะไรกับดาวิส

      “อือ...ธุระ ช่วยทำยังไงก็ได้ให้พรุ่งนี้ข้าได้ผู้ช่วยที่พร้อมจะทำงานกับข้าคืนมาทีเถอะลีนัส”

     “....ขออภัยขอรับ” ลีนัสรู้สึกผิดที่ทำให้เฮมิสต้องมาเสียเวลากับเรื่องแบบนี้

     “ไปได้แล้วไป ไม่งั้นข้าจะจับเจ้าสิงโตหนุ่มมาตีก้นเสียให้เข็ด บังอาจมาหยอกกระต่ายที่ข้าเลี้ยงไว้”




          ดาวิสที่ตั้งใจไว้ว่ากลับมาประจำที่สนามฝึกครั้งนี้ จะได้กลับมาฝึกเด็กรุ่นใหม่ให้เป็นนาทหารคุณภาพชุดใหม่ แต่กลายเป็นว่าบรรดานายทหารรุ่นพี่ที่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ต่างกรูกันเข้ามาขอให้เจ้าตัวช่วยสอนกันยกใหญ่ ในขณะที่กลุ่มเด็กใหม่กำลังเรียนรู้พื้นฐานการต่อสู้มือเปล่าอยู่นั้น กลุ่มพี่เลี้ยงที่ว่างอยู่ก็จับกลุ่มกันดวลมือเปล่าอยู่เช่นกัน โดยมีดาวิสเป็นผู้คอยดูและแนะนำปรับท่าให้ถูกต้อง

         “เลวี่ ฐานที่ขาไม่แข็งแรงนะ วางเท้าแบบนี้ไม่ได้ ส่วนแมค เจ้าต้องไวกว่านี้นะ ถูกต้องแล้วล่ะ แต่ช้าไป เอ้าต่อไป…..นี่ทำไมข้าต้องมาสอนพวกเจ้าด้วยล่ะเนี่ย” ดาวิสอธิบายเสร็จก็เผลอเรียกคู่ต่อไปออกมาอย่างลืมตัว  ทำให้บรรดาพี่เลี้ยงหัวเราะชอบใจ

        “อ่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ดามอนต์ขอข้าดูฝีมือลูกศิษย์ตัวเองหน่อยสิ ” เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ห่างๆถูกพี่ชายเอ่ยเรียก เจ้าตัวที่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากจะร่วมด้วยจะขอปฏิเสธก็ถูกเสียงฮือฮาดังกลบมาเสียก่อน

        “ดามอนต์เป็นลูกศิษย์ท่านดาวิสหรือขอรับ ขอข้าเป็นคู่ซ้อมได้ไหม” พอบรรดาพี่เลี้ยงพากันเสนอตัวกันออกมา ดามอนต์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยอมลุกขึ้นมาแต่โดยดี

        “เดี๋ยวนะ ข้าให้โอกาสคิดดีๆ นี่ศิษย์เอกข้าเลยนะ ถ้าไม่แน่จริงอย่าดีกว่า” ดาวิสรีบออกตัวขู่ไว้ก่อน ทำให้คนน้องแอบยิ้มกริ่มอยู่ในใจ ระหว่างที่ต่างคนต่างก็แย่งจะขอเป็นคู่ซ้อมกับศิษย์เอกของดาวิสอยู่นั้น นายหทารหนุ่มนายหนึ่งก็หันไปเห็นแขกแปลกหน้าในเครื่องแบบสีขาวเดินตรงเข้ามาหา จึงลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหา

        “มีธุระอะไรรึเปล่าขอรับท่านผู้ช่วยเจ้าเมือง” เด็กหนุ่มเอ่ยถามแขกหน้าหวานผู้มีกริยาและการแต่งตัวที่เรียบร้อยดูไม่เหมาะกับสถานที่ห่ามๆอย่างสนามฝึกเลยสักนิด

        “ขออภัยที่เข้ามารบกวน เอ่อ...ท่านเจ้าเมืองสั่งให้ข้ามาคุยธุระกับท่านดาวิสนิดหน่อยน่ะขอรับ” ผู้ช่วยหนุ่มลังเลนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยอ้างตามที่ถูกสั่งไว้ พลางกวาดสายตามองบรรยากาศรอบๆด้วยความสนใจ เขาไม่เคยเดินเข้ามาในนี้มาก่อน

        “เชิญทางนี้ขอรับ” เด็กหนุ่มนำทางแขกมาถึงจุดที่บรรดาพี่เลี้ยงนั่งรวมตัวกันอยู่ ตอนนี้ที่ลานข้างหน้า ดามอนต์ได้คนที่จะประมือด้วยแล้ว กำลังปะทะกันอยู่กลางลานกว้าง

        “เดี๋ยวข้าไปแจ้งท่านดาวิสให้นะขอรับ รอสักครู่” ก่อนที่เด็กหนุ่มจะวิ่งจากไปลีนัสได้คว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้

        “ข้าไม่รีบ รอให้เสร็จก่อนก็ได้” ลีนัสมองชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังจับจ้องไปข้างหน้าอย่างตั้งใจ ดาวิสไม่ได้มองอยู่ที่คู่ต่อสู้รุ่นใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าตน หากแต่กำลังมองเด็กชายรุ่นเล็กคนหนึ่งที่กำลังซ้อมอยู่กับครูฝึกอย่างขยันขันแข็ง แววตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นฉายความภาคภูมิใจออกมาเช่นนั้น ลีนัสก็มั่นใจได้ว่าดาวิสหวังดีและใส่ใจกับน้องชายของเขาจริงๆ คิดได้เช่นนั้นก็สบายใจในส่วนของซีมัสไปได้เปราะหนึ่ง

      ที่ลานกว้างข้างหน้า ดามอนต์ล้มคู่ซ้อมของตนได้อย่างไม่ยากเย็น ตามที่พี่ชายของตนขู่ไว้ไม่มีผิด เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างหันกลับมามองหน้าพี่ชายหวังจะได้คำเชยชม แต่แววตาของดาวิสไม่ได้จับจ้องอยู่ที่เขาสักนิด แววตาแสดงความภาคภูมิใจที่เขาควรจะได้รับ กลับไปอยู่ที่เด็กคนเมื่อเช้า เจ้าเด็กปีศาจที่แย่งพี่ชายของเขาไป ด้วยความหงุดหงิดดามอนต์ก็ระบายอารมณ์ออกมาด้วยการพลิกแขนแกร่งของคู่ซ้อมตนออกไปแรงๆ จนอีกฝ่ายต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เสียงร้องที่ดังลั่นขึ้นมาทำให้ดาวิสดึงความสนใจกลับมาทันที เจ้าของเสียงร้องกำลังนอนดิ้นจับข้อศอกตัวเองอยู่บนพื้น ทันทีที่ดาวิสจะวิ่งเข้าไปดูก็ถูกร่างบางในเครื่องแบบสีขาววิ่งตัดหน้าเขาไปเสียก่อน

     “ลีนัส?” ลีบลาหนุ่มทิ้งตัวลงไปนั่งข้างๆคนเจ็บและจับมือข้างที่กุมศอกของอีกฝ่ายออกเบาๆ

     “ไม่เป็นไรนะขอรับ” ลีนัสเอ่ยบอกคนเจ็บด้วยเสียงนุ่มๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วลากลงไปเบาๆบริเวณที่กระดูกเคลื่อนออกมา แสงสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้นตามรอยที่ปลายนิ้วเรียวลากผ่าน ดาวิสเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรเลยเปลี่ยนเป็นเดินสาวเท้าไปหาน้องชายที่ทำท่าเหมือนจะเดินหนีไปจากตรงนั้น

     “ดามอนต์เจ้าทำแบบนี้ทำไม” ดาวิสคว้าท่อนแขนของน้องชายไว้แน่นพร้อมกับลากไปคุยที่ที่ไม่มีใครดูอยู่

     “ข้าขอโทษขอรับ ข้าพลั้งมือ” ดามอนต์เบี่ยงหลบสายตาของพี่สายตอบกลับไป

    “ข้อศอกหลุดนี่ เจ้าเรียกว่าพลั้งมือน่ะหรือมีเหตุผลกว่านี้หน่อยนะดามอนต์” พี่ชายขมวดคิ้วแค่นถามน้องชายอย่างอารมณ์เสีย

     “ข้าก็ไม่เข้าใจว่าท่านพี่จะเรียกข้าออกมาทำไม ในเมื่อท่านพี่ไม่ได้สนใจข้าเลยสักนิด” ดามอนต์หันไปจ้องตาถามพี่ชายกลับ ดาวิสรู้สึกว่าตัวเองก็ผิดที่ทำเช่นนั้นเหมือนกัน จึงได้ยอมปล่อยท่อนแขนของน้องชายออก

     “....ข้าขอโทษ แต่เจ้าทำแบบนี้มันก็ไม่ถูก”

     “ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ มีลีบลาเข้ามาพอดีนี่”

     “เจ้านี่!! นั่นมันไม่ได้ทำให้มันถูกต้องขึ้นมาเสียหน่อย”

     “เอาเป็นว่าข้าไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วก็แล้วกัน ท่านไปคุยธุระของท่านเถอะ ท่านว่าที่รองเจ้าเมือง” ดามอนต์เบื่อที่จะต้องฟังบทเทศน์อีกยาวเหยียดของพีชายแล้ว จึงได้เดินหนีไปทั้งอย่างนั้น ดาวิสเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคุยกันต่อแล้วในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมฟัง จึงหันกลับไปที่ลานซ้อมอีกครั้ง


      “....หายแล้ว!!?....โห...สุดยอด” คู่มือของดามอนต์เมื่อครู่ลุกขึ้นมานั่งแล้วขยับแขนข้างที่ถูกบิดของตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ

     “ขอบคุณท่านลีบลามากๆขอรับ” นายทหารหนุ่มร่างใหญ่รวบข้อมือบางของอีกฝ่ายมากุมไว้แล้วเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้าซาบซึ้งใจ

     “เป็นยังไงบ้างน่ะวิล ความรู้สึกที่ได้สัมผัสจากเวทย์รักษาน่ะ” เพื่อนร่วมรุ่นเอ่ยถามด้วยความสนอกสนใจ

     “...มือท่านลีบลา….นุ่มมาก” เจ้าตัวหันไปอวดใส่คนอื่นด้วยหน้าตามีความสุขออกนอกหน้า คำตอบนั้นทำให้ลีนัสรู้สึกลำบากใจที่ถูกอีกฝ่ายกุมมือเอาไว้เช่นนั้น แต่ก็ทำได้เพียงคลี่ยิ้มแห้งๆกลับไป

    “ท่านลีบลา เมื่อครู่ข้าโดนเจ้านี่ซัดที่ต้นคอด้านหลัง ยังเจ็บอยู่เลย ช่วยข้าได้ไหม” อยู่นายทหารพี่เลี้ยงรุ่นใหม่คนหนึ่งก็รุดลงมานั่งลงข้างๆลีนัส แล้วชี้จุดที่ปวดให้ดูพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนขอให้ช่วยรักษาให้ พอเห็นว่ามีคนกล้าเสนอหน้าเข้าไปหา คนอื่นๆก็เริ่มขยับเข้าไปหาพลางหาเหตุผลอ้างขึ้นมากันบ้าง แต่อยู่ๆก็มีเสียงกระแอมไอดังขัดขึ้นมาขวางพอดี

     “รูท...ข้าช่วยซัดกลับไปอีกข้างให้มันเจ็บเท่าๆกันดีไหม” น้ำเสียงเยียบเย็นดังมาจากทางข้างหลังของผู้ที่เข้ามาขอให้ช่วยเมื่อครู่ พอหันไปก็เจอดาวิสแสยะยิ้มเย็นยะเยือกส่งมาให้

     “.....ฮะๆๆ ไม่ดีกว่าขอรับ ข้าปวดข้างเดียวดีแล้วขอรับ” แววตาอันเย็นยะเยือกกับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่าย ทำให้รูทค่อยๆถอยห่างออกไปทีละนิดๆ ส่วนผู้ที่จับมือลีนัสไว้เมื่อครู่ก็รีบผละปล่อยออกทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไร

     “พวกเจ้าฝึกกันเองไปก่อนแล้วกัน ข้ามีธุระต้องคุยกับท่านลีนัส...เชิญท่านลีนัสทางนี้ขอรับ” น้ำเสียงราบเรียบของชายหนุ่มร่างสูง ทำให้ลีนัสรู้สึกหวั่นใจอยู่เล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามดาวิสออกไป




(Brother complex1/3)
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 4 :1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 19-09-2015 21:39:45
Act 4 : Brother complex (2/3)


       ดาวิสนำทางลีนัสเดินเข้ามาถึงในห้องพยาบาลในโรงฝึกโดยที่ไม่พูดไม่จามาตลอดทาง ลีนัสเองก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา รู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรผิดลงไป ร่างบางพยายามคิดทบทวนดูว่าตนทำอะไรผิดไปตรงไหน
 
     “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ดาวิสขมวดคิ้วหนาเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่ปิดประตูห้องพยาบาลลง แล้วเดินสำรวจดูรอบๆห้องให้แน่ใจก่อนว่ามีใครหลงเหลืออยู่หรือไม่

      “...ข้าก็แค่อยากจะมาดูว่าซีมัสเข้ากับคนอื่นได้ดีไหม…..” ลีนัสกระซิบตอบเสียงแผ่ว เขายังไม่พร้อมจะพูดถึงวัตถุประสงค์หลักกว่านั้นที่เฮมิสสั่งให้เขามา ยิ่งด้วยตอนที่อารมณ์ของอีกฝ่ายดูคุกรุ่นอยู่ตอนนี้ด้วย

     “นี่เจ้าไม่เชื่อใจข้าเหรอว่าข้าดูแลได้น่ะ” ดาวิสสวนกลับไปทันที ทำให้ลีนัสอยากจะหดตัวลงให้เหลือตัวเล็กๆแล้วหายไปจากตรงนั้นเสียเลย

      “.....ข้าขอโทษขอรับ...ข้าจะไม่เข้ามารบกวนท่านแบบนี้อีก…” นัยน์ตาหวานช้อนมองขึ้นมาอย่างรู้สึกสำนึกผิด ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมายาว ก่อนที่จะเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง ลีนัสก็ได้แต่มองตามร่างสูงไปมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหยุดถอนใจยาวออกมาอีกครั้ง

      “ข้าขอโทษ…” ดาวิสเอ่ยขึ้นโดยไม่หันมามองคู่สนทนา ลีนัสก็ได้แต่มองแผ่นหลังแกร่งของอีกฝ่ายอย่างงุนงง

      “...ข้าผิดเองที่อารมณ์เสียใส่เจ้า ข้าไม่ชอบที่เจ้าโดนรุ่นน้องข้ารุมตอมแบบนั้น ไหนจะจับมือเจ้าอีก...ข้าถึงไม่อยากให้เจ้ามาที่นี่...ข้าขอโทษ ถ้าเจ้าอยากจะมาหาข้าน่ะ เมื่อไหร่ก็ได้เจ้าไม่ผิดหรอก”

      “......” ลีนัสที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทำให้ดาวิสต้องหันกลับมามองว่าอีกฝ่ายยังอยู่ฟังเขาอยู่หรือไม่ เมื่อหันกลับมาก็เห็นเด็กหนุ่มยืนหน้าแดงระเรื่อเป็นลูกมะเขือเทศ

      “...ลีนัส?”

      “ขะ ขอรับ?” เด็กหนุ่มสะดุ้งและรีบขานรับกลับไป พอสบตาเข้ากับแววตาคมของผู้ที่เอ่ยเรียกเมื่อครู่ก็รีบหันหลบไปทางอื่น ท่าทางเขินอายของลีนัสที่ดูน่ารักน่าชังทำให้ดาวิสขำออกมาจากลำคอ

      “หน้าเจ้าแดงไปถึงใบหูแล้วรู้ไหม” ดาวิสว่าพลางเชยคางมนขึ้นมาสบตา มืออีกข้างยกขึ้นไล้เรือนผมนุ่มสีน้ำตาลแดงที่ปรกบังหน้านวลออกอย่างเบามือ ใบหน้าคมค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ แววตาจับจ้องนัยน์ตาสีเพลิงที่มองเขากลับมาอย่างหวาดระแวง ทำให้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเจ้าของใบหน้าคม

     “เจ้ากำลังระแวงว่าข้าจะทำอะไรเจ้าอย่างนั้นหรือลีนัส” ดาวิสเคลื่อนไปกระซิบถามเสียงแผ่วเบาที่ข้างหู ลมหายใจอ่อนๆที่สัมผัสพวงแก้มเนียนยังผลให้ร่างบางสะดุ้งตัวเกร็งไปทั้งร่าง

      “...เปล่านะขอรับ…!!” ยังไม่ทันที่ร่างบางจะเอ่ยแก้ตัวไปมากกว่านี้ ริมฝีปากบางก็ถูกประกบปิดลงด้วยริมฝีปากหนาทันที มือแกร่งย้ายไปโอบรอบเอวบางไว้แน่นแล้วบรรจงบดเบียดริมฝีปากอีกฝ่าย จนข้อมือบางต้องยกขึ้นเกาะไหล่หนาไว้ เพื่อทรงตัวไม่ให้ทรุดลงไป
       
     กว่าริมฝีปากบางจะถูกปล่อยออกให้เป็นอิสระ ร่างบางถึงกับทรุดตัวซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างหายใจหอบรัวพอๆกับหัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

     “ให้ตายเถอะ นี่มันที่ทำงานข้า ถ้าเจ้ามาทำตัวน่ารักแบบนี้ข้าก็ต้องแหกกฏแบบนี้น่ะสิ” ดาวิสเอ่ยกระซิบบอกร่างบางก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าผากอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

     “......ขอโทษขอรับ” ลีนัสตอบกลับมาเสียงแผ่ว ตอนนี้ร่างบางสมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก พอได้ยินอีกฝ่ายพูดเชิงตำหนิก็เอ่ยขอโทษออกมาโดยไม่ได้คิดถึงเจตนาของผู้พูด ดาวิสได้ยินคำตอบที่ไม่ได้คิดจากร่างบางก็ขำออกมา ทำให้เจ้าตัวได้สติแล้วนึกทวนในสิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่แล้ว ก็ต้องหน้าแดงขึ้นมาอีก

      “เอาล่ะ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้วดีกว่า เจ้ามาหาซีมัสใช่ไหม งั้นมากับข้านี่มา อย่าแสดงตัวออกมาชัดนักล่ะ เดี๋ยวจะโดนเพื่อนร่วมรุ่นเอาไปล้อเสียเปล่าๆ” ดาวิสอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วก็กลับเข้าประเด็นที่พาลีนัสมาที่นี่ พร้อมพาร่างบางออกไปจากห้องพยาบาล ลีนัสก็เดินตามออกไปแต่โดยดี ทั้งๆที่จริงๆแล้วนั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของเขาที่มาที่นี่เอาเสียทีเดียว แต่นั่นดูจะไม่จำเป็นเสียแล้ว แค่ท่าทีหึงหวงของร่างหนาเมื่อครู่ ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามออกมาเป็นคำพูด
เสียงปิดประตูห้องพยาบาลดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าของคนสองคนเดินห่างออกไปจนเงียบสนิท เสียงถอนหายใจโล่งอกของเด็กหนุ่ม ก็ดังออกมาจากใต้โต๊ะทำงานแพทย์ที่อยู่คนละมุมห้อง ตอนแรกเขาเดินหนีบทเทศนาที่แสนน่าเบื่อของพี่ชายมาหลบหาที่สงบจิตสงบใจสักพัก พอได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาก็คิดว่าแค่ใครเข้ามาหยิบยา จึงมุดไปแอบใต้โต๊ะเพื่อเลี่ยงคำถามที่ตนขี้เกียจจะตอบ ก็ไม่คิดว่าอยู่ๆพี่ชายของตนจะพาแขกตามเข้ามาคุยกันต่อในนี้ ตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้ายาวของพี่ชายตัวเองเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องก็ทำเอาเจ้าตัวนั่งเกร็งอยู่ใต้โต๊ะจนปวดหลังไปหมด แต่สุดท้ายก็ได้รู้แล้วว่า เจ้าเด็กแสบเมื่อเช้านี้เป็นน้องชายคนรักของพี่ชายนี่เอง คนรักที่ดันเป็นลีบลาที่เขาไม่อยากให้หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้

     

      ผ่านไปไม่นานนัก ลีนัสก็ค่อยๆเริ่มคุ้นชินกับการที่ต้องกลับบ้านคนเดียว นอนในห้องคนเดียว เพราะซีมัสเข้าไปอยู่เป็นนักเรียนทหารประจำที่สนามฝึก กลับบ้านมาเพียงแค่อาทิตย์ละสองวัน กลับมาแต่ละครั้งก็จะมาพร้อมกับเรื่องเล่ามากมาย ที่ทำให้เด็กหนุ่มคุยจ้อจนแทบไม่ได้นอนทั้งคืน ลีนัสเองก็สนุกกับการที่ได้ฟังน้องชายเล่าอะไรต่างๆให้ฟัง เพราะวิถีการเรียนรู้ของทหารนั้น มีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างกับการเขาที่เป็นลีบลาอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญในเรื่องเล่าของซีมัสมักจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับดาวิสเข้ามาปนอยู่ด้วย นั่นทำให้ลีนัสที่ไม่ค่อยได้มีเวลาเจอกับดาวิสที่ไม่มีเวลาพอๆกันนั้น ได้รู้จักอีกฝ่ายมากขึ้นผ่านการเล่าเรื่องของซีมัส

      พอหวนคิดถึงเจ้าตัวเล็กที่เดี๋ยวนี้ไม่เล็กแล้วทีไร รอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทุกทีไป เขาดีใจที่ซีมัสเข้ากับคนอื่นๆได้ดี ระหว่างที่กำลังคิดถึงเรื่องน้องชายเพลินๆอยู่นั้น ได้ยินเสียงกลุ่มชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งโวยวายเสียงดังออกมาจากทางข้างหลังฟาร์มเลี้ยงไก่ จึงหยุดถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับภูติตัวน้อยๆที่อาศัยอยู่แถวนั้นดู พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบวิ่งเข้าไปข้างใน
ที่สวนทางด้านหลังโรงเลี้ยงไก่ มีกลุ่มชาวบ้านชายหนุ่มสองคนถือพลั่วถือคราดกันครบมือ ล้อมรอบอะไรบางอย่างอยู่กลางวง ลีนัสเดินเข้าไปใกล้ๆก็เห็นหมาป่าตัวสีดำทมึนตัวใหญ่ยืนขู่ขนพองอยู่กลางวง ที่ข้างหลังเป็นลูกหมาป่าตัวน้อยขนสีเทา ยืนหูลู่ขาติดกับดักสัตว์อยู่ไปไหนไม่ได้ หมาป่าร่างใหญนี่ไม่ใช่หมาป่าทั่วๆไปที่จะพบเห็นได้ แต่เป็นบริวารของภูติเฟนริล ที่หลงเข้ามาตรงนี้เพราะตามลูกที่เล่นซนมาติดกับดักอยู่ในเขตมนุษย์ตรงนี้ ถ้าหมาป่าตัวนี้เป็นอะไรไปภูติเฟนริลคงจะโกรธไม่ใช่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะนี่เป็นเขตของมนุษย์

       ที่ข้างๆโรงเลี้ยงไก่มีชายคนหนึ่งนอนพิงรักษาตัวอยู่ข้างๆเลือดสีแดงไหลอาบจากหัวไหล่ลงมา ที่ข้างๆมีคุณหมอท่านหนึ่งกำลังเปิดกล่องอุปกรณ์แพทย์รักษาแผลอยู่อย่างสุดความสามารถ ลีนัสรู้จักนายแพทย์คนนี้ดี โลแกนประจำอยู่คลีนิคเล็กๆในเมืองที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านอยู่บ่อยๆโดยไม่ได้สนใจเรื่องของค่าตอบแทน ลีนัสเองก็แวะเวียนเข้าไปหาอยู่บ่อยครั้งเมื่อว่าง เผื่อว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือ ครั้งนี้คงมีคนวิ่งไปเรียกให้มาช่วยดูคนถูกหมาป่าทำร้าย จึงได้หิ้วอุปกรณ์มาพร้อมกับแคทเทอรีน เด็กหญิงตัวเล็กผมยาวสีน้ำตาลอ่อนที่ยืนให้กำลังใจบิดาอยู่ไม่ห่าง ลีนัสลังเลไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปห้ามคนที่จะทำร้ายหมาป่าก่อนดี หรือจะเข้าไปช่วยรักษาบาดแผลก่อนดี แต่พอโลแกนหันมาเห็นเด็กหนุ่มยืนลังเลอยู่ตรงนั้น ก็คลี่ยิ้มทักทายกลับมา ทำให้เขาอุ่นใจว่าคนไข้ของเขาอาการไม่ได้น่าเป็นห่วงขนาดนั้น

     “เจ้าจัดการตรงนั้นก่อนเถอะ ก่อนที่จะมีคนเจ็บเพิ่ม” ลีนัสพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปห้ามชายฉกรรจ์นายหนึ่งที่กำลังจะเอาคราดเข้าฟาดแม่หมาป่า

     “เดี๋ยวก่อนพวกท่าน หยุดก่อน”

     “อย่ามาเกะกะน่า หลบไป!!” อีกฝ่ายไม่ได้สนใจ และผลักร่างบางกระเด็นกลับออกไป ก่อนที่ลีนัสจะเสียหลักล้มลงก็มีมือแกร่งคว้าท่อนแขนของเขาเอาไว้ได้พอดี

     “ทำไมเวลาข้าเดินตามเจ้ามาจะต้องเจอปัญหาอยู่เรื่อยเลยนะ” เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เห็นใบหน้าคมเข้มทำหน้ายุ่งๆมองเขากลับมา ทำให้เด็กหนุ่มใจเต้นขึ้นมา

     “ท่านดาวิส…ขออภัยขอรับ” เด็กหนุ่มยังตกใจทำอะไรไม่ถูก พอถูกอีกฝ่ายพูดเชิงตำหนิมาก็รีบเอ่ยขอโทษออกไปก่อนอย่างเคยชิน พลางพยุงตัวเองกลับขึ้นยืน

      “ขอโทษข้าอีกแล้ว ข้าก็แค่แซวเจ้าเล่นเท่านั้นแหละ" พอถูกร่างหนาเอ่ยกลับไปเช่นนั้น ลีนัสก็ทำหน้าไม่ถูก จะเอ่ยขอโทษออกไปอีกครั้งก็ต้องรีบกลืนคำนั้นลงไป ท่าทางอึกอักเด็กหนุ่มทำให้ดาวิาคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นขยี้เรือนผมนุ่มของอีกฝ่ายเบาๆ

       หลังจากที่ได้สนิทสนมกับลีนัสมากขึ้น และได้รู้จักบิดาของเจ้าตัว ก็ไม่ได้ทำให้ดาวิสแปลกใจอะไรนัก ที่ร่างบางจะเอ่ยคำขอโทษจนติดเป็นนิสัย เขาพอจะเดาได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ผ่านอะไรมาบ้างในวัยเด็ก เขาหวังอยู่ว่าวันหนึ่ง ลีนัสจะไม่มีอาการแบบนี้กับเขา ถึงแม้จะเป็นอาการที่ดูน่ารักน่าชังก็เถอะ

      "รอข้าตรงนี้นะ” ดาวิสเอ่ยขึ้นแล้วเดินตรงไปยังกลุ่มชายหนุ่มทั้งสอง

      “เอาล่ะๆ ข้าว่าตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลีบลาดีกว่านะขอรับ” ดาวิสเดินเข้าไปขณะที่หนึ่งในนั้นกำลังเหวี่ยงพลั่วเตรียมจะเข้าโจมตีหมาป่าเฉียดหัวเจ้าตัวไปนิดเดียว ดาวิสจึงรีบคว้าด้ามจับหยุดเอาไว้ได้ทัน แขนแกร่งที่จับด้ามพลั่วเอาไว้ทำให้ผู้ถือพยายามจะดึงกลับไป แต่ไม่มีแรงพอจะดึงสู้ชายหนุ่มกลับออกมาได้ทั้งๆที่อีกฝ่ายยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ออกแรงอะไรมากนัก เจ้าของพลั่วจึงยอมปล่อยแต่โดยดี  ดาวิสได้พลั่วกลับมาก็วางปักลงไปกับดิน ทำให้อีกคนหนึ่งชะงักไปแล้วหันมามองผู้ที่มาใหม่

      “...จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวกันเพิ่ม” ดาวิสพูดต่อให้จบพร้อมแค่นยิ้มออกมาพลางวางมือลงบนไหล่ของชายคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พอเจ้าตัวทำท่าจะขยับหนีดาวิสก็ออกแรงบีบหัวไหล่เอาไว้แน่น พร้อมเอ่ยถามต่ออย่างเป็นมิตร

     “ดีกว่าไหมขอรับ”

      “ดะ ดีนะ...ข้าว่าให้ลีบลาจัดการน่าจะดีกว่านะ” คนที่ถูกจับไหล่แล้วดิ้นไม่หลุด เห็นว่าชายหนุ่มยังคงยืนแน่นิ่งไม่ได้ใช้แรงเยอะอะไร แต่หัวไหล่ที่โดนบีบอยู่นั้นเจ็บแปลบขึ้นมาเพราะแรงบีบอันมหาศาล ก็ยอมเห็นคล้อยตามไปด้วยดี

     “ถ้าเช่นนั้นก็เชิญท่านลีบลาเถอะขอรับ” อีกคนที่เห็นว่าเพื่อนตนยืนใบหน้าซีดเผือดอยู่ก็ยอมถอยไปแต่โดยดี มือแกร่งจึงยอมคลายหัวไหล่ของชายคนนั้นออกไป ดาวิสก็หันมาทำท่าผายมือเชิญให้ลีนัสเข้าไป

     “ขอบคุณขอรับ” ลีนัสโน้มศีรษะขอบคุณทุกคนที่เปิดทางให้ แล้วเดินเข้าไปหาแม่หมาป่าที่ยังพองขนขู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

      “ระวังด้วยล่ะ” ดาวิสตบไหล่บางเบาๆเอ่ยบอกคนรักด้วยใบหน้าอ่อนโยน ทำเอากลุ่มชายหนุ่มที่ถอยออกมามองคนพูดที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนอย่างไม่เชื่อสายตา

     “ขอรับ” ลีนัสยิ้มรับคำแล้วเดินย่อตัวพร้อมยื่นมือข้างหนึ่งเข้าไปหาหมาป่าช้าๆ แต่แววตาของหมาป่าสาวยังคงดูเกรี้ยวกร้าวเหมือนเดิม ทำให้ดาวิสเริ่มจะเป็นห่วงร่างบางตรงหน้า แต่เมื่อเห็นแววตาที่มั่นใจของลีนัสเช่นนั้นก็ยอมยืนมองอยู่เฉยๆ
ฝ่ามือเรียวค่อยๆเคลื่อนมาใกล้ใบหน้าของหมาป่าตัวโตช้าๆ กระทั่งจมูกเย็นๆสีดำเคลื่อนมาแตะที่ปลายนิ้วของเด็กหนุ่ม แล้วแววตาแข็งกร้าวของหมาป่าก็คลายลง ทำให้ดาวิสที่ยืนมองตัวเกรงอยู่ตรงนั้นหายใจหายคอได้สะดวกขึ้นมาหน่อย

      ลีนัสเคลื่อนมือไปลูบขนนุ่มบนหัวของแม่หมาป่าเบาๆ มีแสงสีฟ้าอ่อนๆกระจายออกมาจากฝ่ามือ ทำให้เจ้าร่างขนตัวใหญ่ล้มตัวลงแล้วหลับไปแต่โดยดี เด็กหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหาตัวลูกที่ขาหลังติดอยู่กับกับดัก เลือดสีแดงไหลออกมาย้อมขนสีเทาที่ขาเป็นสีแดงเข้มทั้งขา แววตาสีแดงข้างหนึ่งม่วงข้างหนึ่งมองมายังเด็กหนุ่มด้วยความหวาดกลัว แต่ก็แยกเขี้ยวพองขนขู่กลับมา พอมือบางยื่นเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กก็ฝั่งเขี้ยวเข้าไปทันที ดาวิสเห็นแล้วสะดุ้งตกใจแต่คนโดนกัดกลับไม่สะทกสะท้านอะไรเหมือนตั้งใจยื่นไปให้กัด แล้วยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบหัวแล้วเจ้าตัวเล็กก็หลับไปอีกตัว ลีนัสรีบช้อนร่างปวกเปียกของลูกหมาป่าเอาไว้ ไม่ให้กับดักเกี่ยวขาเป็นแผลไปมากกว่านั้น แล้วก็หันไปดูที่กักดักตั้งใจจะแกะขาของเจ้าตัวน้อยออก แต่แล้วก็ต้องมึนงงกับกลไกลของกับดักตรงหน้า แล้วทำหน้าลำบากใจออกมา

       "ข้าก็ว่าลีบลาอย่างเจ้าจะรู้วิธีใช้ของพวกนี้ได้ยังไงกัน" ระหว่างที่ร่างบางทำหน้าลำบากใจอยู่ตรงนั้น ดาวิสก็เดินมานั่งลงข้างๆแล้วจัดการเอามือสองข้างกดลงบนกลไกลด้านข้างทั้งสอง แล้วฟันกับดักก็เปิดออก ทำให้ลีนัสอุ้มลูกสุนัขป่าตัวเล็กออกมารักษาบาดแผลได้สำเร็จ

      "ขอบคุณขอรับ" ลีนัสหันไปยิ้มให้ ครู่หนึ่งก็ต้องหุบยิ้มไป เมื่อเห็นชายคนที่ดูอายุน้อยที่สุดที่หลีกทางให้เมื่อครู่เดินตรงเข้ามาหาพร้อมคราดในมือ

      "เรียบร้อยแล้วข้าขอแก้แค้นที่มันทำร้ายพี่ชายข้าเถอะ" ชายร่างใหญ่ว่าพลางยกคราดขึ้นเตรียมจะฟาดลงที่แม่หมา ดาวิสจะรีบลุกขึ้นห้ามไว้ก็ไม่ทัน ลีนัสจึงยกมือขึ้นร่ายกำแพงเวทย์ป้องกันเอาไว้ คราดที่ฟาดลงมาก็กระเด็นสะท้อนกลับไปจนหลุดจากมือคนถือ

      "มันทำร้ายพี่ท่านเพียงเพราะจะปกป้องลูกของมันเท่านั้นเองขอรับ อย่าทำอะไรมันเลย ข้าขอร้อง เดี๋ยวข้าจะรักษาแผลให้พี่ชายท่านเอง" ลีนัสเอ่ยอ้อนวอน

      "แล้วไง เจ้าจะให้ข้าลืมๆมันไปงั้นหรือ พี่ชายข้าเจ็บขนาดนั้นน่ะนะ" การอ้อนวอนของลีนัสไม่เป็นผล อีกฝ่ายโวยวายออกมาอย่างหัวเสีย ดาวิสจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาขวางไว้

      "เอาน่าลูก้า เอาเป็นว่าข้าขอแล้วกันนะ รีบๆให้ลีบลามารักษาบาดแผลของพี่ชายเจ้าจะดีเสียกว่านะ เจ้าจะปล่อยให้พี่ชายเจ้าเจ็บอย่างนี้ไปอีกนานไหม" โลแกนที่นั่งรักษาคนเจ็บอยู่เอ่ยขัดขึ้นมา นอกจากจะโดนเอ่ยรั้งแล้วยังจะเจอกับแววตาเย็นยะเยือกของดาวิส ที่ยืนกอดอกมองกลับมาเหมือนพร้อมที่จะมีเรื่องได้เสมอ

       "ก็ได้ ข้าเห็นแก่หมอโลแกนหรอกนะ" ลูก้ายอมถอยกลับไปยืนรอแถวๆที่พี่ชายตัวเองนอนอยู่

       "พี่ลีนัส ข้าขออุ้มเจ้าขนฟูนี่ได้ไหม" ลูกสาววัยหกขวบของโลแกนเห็นลีนัสอุ้มลูกหมาป่าตัวน้อยเดินเข้ามาด้วยก็ยื่นมือที้งสองข้างมาหาลีนัส

        "ได้สิ ดูแลดีๆนะ" ลีนัสอุ้มลูกหมาป่าส่งให้เด็กหญิงตัวน้อยรับไว้ในอ้อมกอดอย่างเบามือ

        "ว้าว ขนนุ่มจังเลย" แคทร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ลีนัสเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาพร้อมลูบหัวเธออย่างเอ็นดู

        “ข้าฝากแคทไว้ครู่นึงนะขอรับ” ลีนัสเอ่บบอกดาวิสไว้ก่อนจะเดินไปหาโลแกนแล้วทรุดตัวลงไปนั่งลงข้างๆคนเจ็บ ยกมือขึ้นใช้เวทย์รักษาบาดแผลเหวอะจากเขี้ยวของหมาป่าสาว ให้สมานตัวกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว

       “ฮึ !?” เจ้าของบาดแผลลุกขึ้นมานั่งแล้วเอามือลูบบริเวณที่เคยมีรอยแผลด้วยความประหลาดใจ

      “ขอบคุณท่านโลแกน ขอบคุณท่านด้วย” ชายวัยกลางหันมาเอ่ยขอบคุณทั้งสองคน

       “ไม่เป็นไรขอรับ ขอแค่ท่านอย่าโกรธที่หมาป่าตัวนั้นก็พอขอรับ มันไม่ได้ตั้งใจหรอกขอรับ” ลีนัสว่าพลางหันไปช่วยโลแกนเก็บอุปกรณ์เก็บเข้ากล่อง

     “อือ ข้าเข้าใจ ขอโทษเจ้าด้วยที่น้องชายข้าทำตัวแบบนั้น”

     “อะไรนะ ท่านพี่ว่าข้าทำอะไรผิดรึไง” ลูก้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆโวยวายขึ้นมาเมื่อถูกพาดพิง คนเป็นพี่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
      “ข้าขอตัวตรงไปจัดการน้องชายก่อนนะขอนับ ขอบคุณพวกท่านมาก” คนพี่เอ่ยลาก่อนจะลุกขึ้นแล้วตรงไปยังน้องชายเจ้าปัญหาของตนแล้วลากให้ออกไปจากตรงนั้น พร้อมด้วยเพื่อนอีกหนึ่งคน

      “ลูลู่!! ข้าตั้งชื่อมันว่าลูลู่ได้ไหมพี่ลีนัส” อยู่ๆเสียงของเด็กหญิงตัวน้อยก็เอ่ยถามแทรกขึ้นมา พอทั้งคู่หันกลับไปมองที่ต้นเสียง ก็เห็นแววตาที่เป็นประกายสดใสของเด็กหญิงตัวน้อย ลีนัสกับโลแกนต้องหันมามองหน้ากันทันที ลีนัสแอบคิดอยู่ในใจว่าช่างเป็นชื่อที่ไม่เข้ากับเจ้าหมาน้อยตัวผู้ ที่จะโตขึ้นมาเป็นหมาป่าร่างใหญ่สีดำทมึนดูน่าเกรงขามเอาเสียเลย

       “เจ้าจะตั้งชื่อก็ได้นะ....แต่เจ้าเลี้ยงมันไว้ไม่ได้หรอกนะแคท” โลแกนตอบบุตรสาวไป ทำให้เด็กน้อยทำหน้าหงอยกลับมา

       “เอ๋ ไม่ได้เหรอ”

       “มา ข้าขอลูลู่คืนให้แม่ลูลู่ก่อนนะ” ลีนัสยอมใช้ชื่อที่ไม่ได้เข้ากับเจ้าหน้าขนตามใจเด็กหญิงพลางลุกขึ้นเดินไปอุ้มเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งจะถูกตั้งชื่อเมื่อครู่กลับมา ถ้าแคทจากตกหลุมรักมันมากไปกว่านี้คงจะลำบากโลแกนน่าดู
ลีนัสวาง”ลูลู่”ลงไปนอนข้างๆแม่ของมันแล้วหันกลับมา เห็นแคทยืนมองตาละห้อยอยู่ไม่ยอมเดินจากไปไหน เด็กหนุ่มจึงหันไปสบตาดาวิสเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่ก็เปลี่ยนใจแล้วทำสีหน้าลำบากใจออกมา ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็ขำออกมาจากลำคอเบาๆแล้วลุกขึ้นพร้อมอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กขึ้นมา

       “ดาวิสยินดีรับใช้ขอรับ” ดาวิสอ่านใจร่างบางได้ทะลุปรุโปร่ง รู้ดีว่าเจ้าตัวไม่กล้าเอ่ยใช้เขามากนัก จึงได้แกล้งพูดประชดติดตลกออกไปพลางอุ้มแคทกลับไปหาโลแกน พอโดนดาวิสแกล้งเอ่ยออกมาเช่นนั้นก็เขินจนหน้าแดงออกมา

       “...ขอบคุณขอรับ” ลีนัสก้มหัวให้ดาวิสน้อยๆก่อนจะหันกลับมาที่หมาป่าทั้งสองตัว แล้วร่ายเวทย์ถอนเวทย์นอนหลับเมื่อครู่ออกไป หมาป่าร่างใหญ่ตัวแม่ค่อยๆกระพริบตาตื่นขึ้นมา เห็นลีนัสอยู่ตรงหน้าก็แยกเขี้ยวขู่
ดาวิสที่ส่งแคทคืนให้โลแกนแล้วเห็นเช่นนั้นก็ยืนตัวเกร็งขึ้นมาอีก ทำให้โลแกนอดไม่ได้ที่จะขำออกมาเบาๆ

       “ไม่เป็นไรหรอก เห็นอย่างนี้ ลีนัสก็เป็นเด็กที่ดูแลตัวเองได้ดีน่า ไม่ต้องห่วง” โลแกนตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ ทำให้ดาวิสรู้ตัวว่าตัวเองแสดงออกชัดเจนเกินไปจนโลแกนมองออก จึงพยายามยืนดูอยู่นิ่งๆ

       ลีนัสยื่นมือเข้าไปหาแม่หมาป่าอย่างไม่กังวลใจอะไร ทั้งๆที่อีกฝ่ายแยกเขี้ยวใส่ แต่พอลูกชายตัวเล็กลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วลุกขึ้นเดินไปเลียปากแม่หมา เจ้าร่างใหญ่ก็เลิกขู่ไป ปลายหางฟูฟ่องก็ปัดไปมาน้อยๆ พร้อมกับเลียมือของลีนัสกลับมา

      "ไป กลับบ้านพวกเจ้าไปได้แล้ว" ลีนัสคลี่ยิ้มจางๆเอ่ยกระซิบบอกสองแม่ลูกพลางลูบหัวแม่หมาป่าเบาๆ
พอหมาป่าตัวใหญ่ผู้เป็นแม่ลุกขึ้นยืนทำท่าจะจากไป เจ้าตัวเล็กก็กระโดดขึ้นมากระดิกหางเล็กๆเลียหน้าลีนัสยกใหญ่ ก่อนจะเดินตามแม่ของมันไป

      "บัยบายลูลู่" เสียงเด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยตามไล่หลังไป ทำให้เจ้าหมาตัวน้อยหันกลับมามองก่อนครู่หนึ่ง แล้ววิ่งตามแม่หายเข้าไปในป่า ความใสซื่อของแคททำให้ลีนัสขำออกมาเบาๆ

      "ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองคนด้วยนะ ที่ทำให้จบลงด้วยดี" โลแกนเอ่ยขึ้นมาเมื่อลีนัสเดินกลับเข้ามาหา

       "จริงๆข้าต้องขอบคุณที่ช่วยหยุดท่านลูก้าไว้เมื่อครู่ด้วยนะขอรับ" เด็กหนุ่มตอบกลับมาอย่างนอบน้อม

      "ฮะๆ ข้าพูดไปเพราะไม่อยากเพิ่มจำนวนผู้ป่วยข้าต่างหาก ขืนไม่ห้ามไว้ มีหวังต้องมานอนรักษาทั้งพี่ทั้งน้องแน่ๆข้าว่านะ" อีกฝ่ายพูดติดตลกอย่างอารมณ์ดี ลีนัสก็หัวเราะกลับมาบ้างพลางหันไปมองคนที่ถูกเอ่ยถึง เจ้าตัวเพียงคลี่ยิ้มรับนิ่งๆ

       "เอาล่ะๆ ข้าไม่กวนเวลาพวกเจ้าแล้วดีกว่า ขอตัวก่อนล่ะ" โลแกนว่าพลางจูงมือลูกสาวแล้วเดินจากไป คำว่า”เวลาของพวกเจ้า”ของโลแกนที่เอ่ยทิ้งไว้ทำให้ร่างบางเขินหน้าแดงออกมานิดๆ

       “เอาล่ะ ต่อไปนี้ก็เป็นเวลาของพวกเราสินะ” อยู่ๆแขนแกร่งก็เอื้อมมาคว้าเอวบางเข้าหาร่างหนา ทำให้เจ้าของร่างบางสะดุ้งโหยง ยิ่งโดนอีกฝ่ายเอ่ยย้ำเอาแบบนั้นก็ยิ่งหน้าแดงหนักเข้าไปอีก

      “....เอ๊ะ ?” ร่างสูงคลี่ยิ้มกว้างมองใบหน้าหวานที่กำลังหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก

       “หรือไม่ใช่?” ยิ่งเห็นว่าร่างบางทำอะไรไม่ถูกก็ยิ่งรู้สึกอยากแกล้งเข้าไปอีก ลีนัสไม่อยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะตอบรับ จึงทำได้แค่พยักหน้าน้อยๆกลับมา ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาจางๆพร่อมยกมือหนาขึ้นมาขยี้เรือนผมของอีกฝ่าย

      “หัดทำอะไรตามใจตัวเองบ้างนะลีนัส เวลาอยากจะให้ช่วยก็บอก ข้าจะได้ไม่ต้องคอยแปลเอาเองว่าเจ้าต้องการอะไรนะ รู้ไหม”

      “...ขออภัยขอรับ” ลีนัสไม่เคยคิดว่าความขี้เกรงใจของตนจะสร้างความน่ารำคาญให้แก่อีกฝ่ายมาก่อน จึงตอบกลับมาด้วยใบหน้าหงอยๆ

      “เจ้าไม่ต้องขอโทษข้าหรอก คราวหน้ามีอะไรก็พูดออกมาตรงๆก็พอ เป็นต้นว่า….” ดาวิสเห็นว่าทำให้อีกฝ่ายสำนึกผิดแล้วเงียบหงอยไปจึงคิดหาเรื่องอื่นมาเปลี่ยนเรื่อง เมื่อคิดได้ก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นบนใบหน้าคม

       “....ข้าขอหอมแก้มเจ้าได้ไหม” ได้ยินคำถามเช่นนั้นร่างบางก็สะดุ้งเงยหน้าแดงระเรื่อมองผู้ถามด้วยสีหน้าตื่นๆ

      “เอ๋…!?”

       “ไม่ได้รึ?” ดาวิสแกล้งถาม ลีนัสทำหน้าลำบากใจออกมาแล้วเอ่ยตอบกลับมาเบาๆ

      “....แต่...ข้าเพิ่งโดนลูกหมาป่าเลียหน้าไปเมื่อครู่นะขอรับ”

     “อันนี้แปลว่าเจ้าอ้างขึ้นมาปฏิเสธข้าหรือเจ้ากังวลเรื่องนั้นอยู่จริงๆกันแน่ อันนี้ข้าไม่แน่ใจ” ดาวิสพยายามไล่ปิดช่องทางหลีกเลี่ยงของอีกฝ่าย แววตาสีเพลิงช้อนขึ้นมองร่างสูง พอสบเข้ากับนัตน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่คลี้ยิ้มมาก็ต้องหลุบลงไปอีกครั้ง

       “...ข้าไม่ได้ปฏิเสธขอรับ” ร่างบางตอบกลับมาเสียงแผ่วเบา

     “เก่งมาก รอบหน้าขอเข้าใจง่ายกว่านี้นะ” ดาวิสลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะเชยคางมนขึ้นมาแล้วประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ แววตาสีเพลิงเบิกมองกลับมาด้วยความตกใจและงุนงง ดาวิสก็หัวเราะร่ากลับมาพร้อมกับปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ

     “ก็เจ้ากังวลเรื่องน้ำลายลูกหมามิใช่รึ ไป กลับบ้านกันเถอะเย็นแล้ว ข้าเดินไปส่ง” ดาวิสเดินนำไปเล็กน้อยแล้วยืนมือส่งมาให้เด็กหนุ่มข้างหนึ่ง เขาชั่งใจคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือไปจับมือหนาของอีกฝ่ายแล้วเดินกลับบ้านไปพร้อมๆกันบนถนนเส้นเล็กๆที่แสนสงบสุข

(Brother complex 2/3)
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 4 :3/3)
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 19-09-2015 21:53:41
Brother complex : (3/3)


      วันเวลาอันสงบสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากเด็กชายตัวเล็กแขนขายาวเก้งก้างเติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแรง การฝึกฝนที่ผ่านพ้นมาสร้างกล้ามเนื้อแกร่งให้เด็กหนุ่มวัยสิบหก จึงทำให้เจ้าตัวดูจะโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกันที่ไม่ได้ผ่านสนามฝึก ซีมัสเรียนจบหลักสูตรไปได้ด้วยดี และได้รับบรรจุเข้าเป็นนายทหารผู้รับใช้เวลเฮมมิน่าคนหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาซีมัสไม่ได้ใช้พลังของภูติ และได้ใช้ชีวิตปกติเหมือนนายทหารทั่วๆไป จนทำให้ลีนัสแทบจะลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในคืนแรกที่ได้รู้จักกันไปเสียแล้ว

      กระทั่งสิ่งที่ลีนัสเคยกลัวว่าจะเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นจริงๆ ยามเย็นที่แสนสงบวันหนึ่งขณะที่ลีนัสกำลังจะปลีกตัวกลับบ้าน อยู่ๆพื้นห้องทำงานก็สั่นไหวเหมือนมีของหนักชิ้นมหึมากระแทกลงกับพื้นเป็นจังหวะต่อเนื่อง เฮมิสกับลีนัสจึงรีบวิ่งออกไปดูที่ข้างนอกทันที

      "เรย์มอนต์ ช่วยกันคนอออกไปจากพื้นที่ลานกว้างข้างหน้าที ด่วนเลย" เฮมิสสั่งการรองเจ้าเมืองระหว่างที่สาวเท้าตรงออกไปข้างนอก

     "รับทราบ!!" เรย์มอนต์รับคำแล้ววิ่งไปสั่งการลูกน้องทันที ส่วนกาเดี้ยนของเฮมิสก็รีบวิ่งมาประกบที่หน้าประตูคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

     เมื่อเปิดประตูออกไปถึงข้างนอกก็พบกับภูติกึ่งมังกรร่างยักษ์สีดำมันวาว ยืนสูงเด่นอยู่กลางลานกว้าง ส่วนสูงที่สูงกว่าคฤหาสน์ของเจ้าเมืองถึงสองเท่า ทำให้ชาวบ้านมองเห็นจากทุกจุด ต่างก็แห่กันเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เหล่าทหารทั้งหลายก็ต้องรีบวิ่งเข้ามาล้อมกันพื้นที่เอาไว้ ทั้งซีมัสและดาวิสต่างก็ต้องเข้ามาช่วยในพื้นที่นี้

      "เฮมิส" เสียงใหญ่ก้องกังวาลคำรามออกมาจากมังกรร่างยักษ์ เฮมิสหันมาสั่งให้ลีนัสกับกาเดี้ยนของตนหยุดรอตรงนั้น ในขณะเขาก้าวเข้าไปหามังกรร่างยักษ์อย่างไม่เกรงกลัว

      "ท่านออฟีอัส มีปัญหาอะไรขอรับ" เฮมิสเอ่ยถามเหมือนด้วยน้ำเสียงปกติ เหมือนว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไร ทว่าลีนัสรู้ดีว่าถ้าระดับออฟีอัสเข้ามาปรากฏตัวในเขตเมืองขนาดนี้ ต้องไม่ใช่คดีธรรมดาอย่างแน่นอน

      "มนุษย์ของเจ้า แอบเข้ามาในเขตของข้า ซ้ำยังเข้ามาขโมยหินเวทย์ถึงในรังนอนของข้าแบบนี้ เจ้าทำงานประสาอะไรของเจ้า" เมื่อพูดถึงผู้บุกรุกลีนัสก็เพิ่งจะสังเกตเห็นชายวัยกลางคนร่างผอมบางคนหนึ่ง นั่งคุกเข่าตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัวอยู่ข้างๆอุ้งเท้าใหญ่ของออฟีอัส พอเห็นใบหน้าของบุคคลต้นเหตุลีนัสตัวเย็นวาบไปทั้งตัว ชายคนนี้คือโลแกนผู้เป็นที่รักและรู้จักของคนส่วนใหญ่ในเมือง เมื่อไม่นานนี้ลีนัสเพิ่งได้ยินข่าวร้าย ที่ลูกสาวแสนน่ารักของเจ้าตัวเกิดอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิตไป จึงพอจะเดาได้ ว่าอะไรที่ทำให้นายแพทย์ผู้ใจดีคนนี้กล้าฝ่าฝืนกฏเหล็กที่ตั้งเอาไว้ และโทษที่ละเมิดเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามคือประหารสถานเดียว ลีนัสรีบกวาดสายตามองหาทั้งน้องชายและดาวิสที่ช่วยกันยืนกันพื้นที่ด้วยความเป็นห่วง งานนี้ต้องมีจราจลเกิดขึ้นแน่นอน ออฟีอัสตั้งใจจะลงโทษเจ้าเมืองด้วยวิธีนี้ ถึงได้ยอมปรากฏตัวออกมาเรียกความสนใจชาวบ้านขนาดนี้

      "........ท่านโลแกน....ทำไมถึงเป็นท่าน..." แม้แต่เจ้าเมืองที่สุขุมได้ในทุกสถานการณ์เองก็ยังตกใจกับภาพที่เห็น

      "ท่านเฮมิส....ข้าขอโทษ" โลแกนเอ่ยอย่างสำนึกผิด

      "เจ้ามนุษย์ เจ้าคิดว่าเจ้าจะชุบชีวิตคนตายไปแล้วกลับขึ้นมาได้ด้วยหินเวทย์ของ อะไรที่เจ้าคิดว่าเจ้าทำได้" ออฟีอัสฟาดหางแกร่งของตนลงกับพื้นอย่างโมโห เมื่อคืดถึงเห็นผลของมนุษย์ตัวเล็กๆที่คิดจะใช้สิ่งที่เขาสร้างมาห้าสิบกว่าปี แลกกับชีวิตลูกสาวยวัยสิบขวบ เฮมิสได้ยินเช่นนั้นก็ถอนใจออกมาแล้วเดินเข้าไปหาผู้ต้องหาของเขาอย่างใจเย็น

      "ข้าเสียใจเรื่องลูกสาวของท่านด้วยนะ ท่านโลแกน แต่ท่านไม่น่าทำแบบนี้กับข้าเลยจริงๆ" เฮมิสทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่าตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เอ่ยคุยด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น

      "ข้าขอโทษจริงๆ ข้าคิดว่าข้าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว หากข้าต้องเหลือตัวคนเดียวเช่นนี้" เฮมิสเห็นสภาพจิตใจของโลแกนแล้วไม่อาจจะกล่าวโทษไปมากกว่านี้ เขาลุกขึ้นยืนเอ่ยถามอีกฝ่ายกลับไป

      "ท่านลำบากปรากฏตัวมาขนาดนี้ ต้องการจะให้ข้าจบเรื่องนี้อย่างไรขอรับ" แววตาของเจ้าเมืองยังคงจับจ้องอยู่ที่โลแกนด้วยความอาลัย เขาถามไปทั้งๆที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้จะต้องจบลงอย่างไร

      "มนุษย์ของเจ้า เจ้าต้องจัดการเองให้ข้าเห็นตรงนี้ บอกให้ข้ารู้ทีสิว่าเจ้ายังไม่ลืมสิ่งที่เราตกลงกันเอาไว้" น้ำเสียงประกาศก้องดังชัดไปเกือบทั้งเมืองเช่นนี้ ทำให้ชาวบ้านยิ่งกรูกันออกมา ยิ่งคนที่ต้องโทษเป็นที่รู้จักกันทั่วเช่นนี้แล้ว ยิ่งทำให้ชาวบ้านที่ไม่คิดจะรับรู้เรื่องราวตรงนี้ก็ต้องออกมาบ้าง สิ้นเสียงประกาศให้ตัดสินโทษ บรรยากาศก็เงียบกริบ ทุกคนเฝ้ารอคำตัดสินของเจ้าเมืองอย่างตั้งใจ

      เฮมิสนั้นคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ ไม่เช่นนั้นออฟีอัสไม่ยอมปรากฏตัวมาขนาดนี้แน่นอน เจ้าเมืองถอนหายใจยาวก่อนจะก้มหน้าลงมาเอ่ยถามโลแกน

      "ท่านมีอะไรจะสั่งเสียก่อนไหม" สิ้นคำถามของเฮมิส ชาวบ้านที่มุงรอฟังคำตอบก็เริ่มต้นประท้วงทันที เสียงโวยวายไม่พอใจดังขึ้นทั่วบริเวณ เหล่าทหารที่ยืนคุมพื้นที่ต้องออกแรงกันชาวบ้านที่จะแทรกตัวเข้ามาอย่างเต็มกำลัง ราชามังกรยังคงยืนกอดอกหลังตรงจ้องมองลงมาที่เฮมิสไม่เคลื่อนไหวไปไหน

     ".....ท่านตัดสินโทษข้าเถอะ ข้าเข้าใจข้าเตรียมใจไว้แล้วตั้งแต่แคทจากข้าไป แล้วก็ขอโทษด้วยที่มันต้องลงเอยกับท่านแบบนี้" ระหว่างที่โลแกนเอ่ยขอโทษอยู่นั้น อยู่ๆลีนัสก็วิ่งเข้ามาแล้วลงมาคุกเข่าตรงหน้าโลแกนพร้อมเข้าสวมกอดเขาไว้แน่น

      “...ลีนัส” เฮมิสเอ่ยออกมาด้วยความกังวลใจอยู่เล็กน้อยว่า ผู้ช่วยของเขาจะเป็นผู้ที่เข้ามาขวางการตัดสินเสียเอง

      “ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่ผ่านมาขอรับ ข้าจะดูแลในส่วนของท่านต่อให้เอง ท่านสบายใจได้นะขอรับ”  ท่อนแขนสั่นเทาของโลแกนค่อยยกขึ้นมาโอบแผ่ยหลังของอีกฝ่ายกลับไป

      “...ขอบใจลีนัส” โลแกนกระซิบตอบกลับไป เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้กลุ่มคนที่พยายามจะรุกล้ำเข้ามายอมสงบนิ่งไปอย่างมีความหวัง

      “พร้อมไหม ท่านโลแกน” ลีนัสคลายอ้อมกอดออกมาสบตาอีกฝ่ายถามอย่างใส่ใจ

      “ข้าพร้อมแล้ว” โลแกนคลี่ยิ้มออกมาจางๆ ลีนัสจึงคลี่ยิ้มกลับไปแล้วลุกขึ้นยืน หันไปก้มหัวให้กับชาวบ้านทุกคนที่อยู่รอบๆ

      “ข้าขออภัยทุกท่าน ที่วันนี้ข้าต้องพรากคนสำคัญของพวกท่านไป ท่านโลแกนก็เป็นคนสำคัญสำหรับข้าเช่นกัน แต่กฏก็คือกฏข้าไม่อาจจะละเลยได้เช่นกัน”ลีนัสอาศัยจังหวะที่สถานการณ์โดยรอบไม่วุ่นวาย เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาล

      “ขออภัยท่านออฟิอัสที่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น” ลีนัสหันไปก้มหัวให้กับภูตมังกรอีกครั้ง แล้วหันมาพยักหน้าให้กับเฮมิสที่ยืนมองเขาอย่างชื่นชมอยู่ในใจ

        ".....เควิน" เฮมิสหันมาเอ่ยเรียกกาเดี้ยนของตนที่ยืนอยู่เบื้องหลังให้เดินไปหา เขารู้ตัวดีว่าเฮมิสเรียกเขาไปเพื่ออะไร ชาวบ้านรอบๆก็รับรู้ได้เช่นกัน จึงได้เริ่มมีการส่งเสียงตะโกนออกมา ทุกก้าวย่างที่การเดี้ยนหนุ่มเดินไป เขาเฝ้าภาวนาขอให้เฮมิสเปลี่ยนใจและเจรจาต่อรองไม่ให้เขาต้องเป็นคนลงมือ เสียงตะโกนบอกให้เขาหยุดดังกึงก้องไปทั่ว ทุกคู่สายตาจ้องจับมาที่เขา ทั้งอ้อนวอน ทั้งโกรธแค้นทั้งข่มขู่ มือซ้ายของเควินกุมฝักดาบที่เหน็บอยู่ข้างกายไว้แน่นเพื่อปกปิดอาการสั่นเทาของตน

         "...ข้ารู้ว่าข้าอาจจะขอเจ้ามากเกินไป หากเจ้าไม่อยากทำก็บอกข้ามา" เฮมิสเอ่ยถามพลางยกมือขึ้นวางลงบนไหล่แกร่งกาเดี้ยน

        "เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆใช่ไหมขอรับ" เควินเอ่ยถามด้วยความหวังอันริบหรี่ ทว่าเฮมิสส่ายหัวตอบกลับมาอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มจึงต้องสูดหายใจเข้าเต็มปอดรวบรวมสติและตอบกลับไป

        "...รับทราบขอรับ" เควินตั้งสติพยายามจะหยุดมือของตนที่สั่นเทาก่อนจะเอื้อมไปจับที่ด้ามดาบเพื่อดึงออกจากฝัก ทว่ามือแกร่งของชายวัยกลางก็มาวางบนหลังมือของเขาเพื่อปรามเอาไว้

       "ท่านเรย์มอนต์ ?" เรย์มอนต์เดินมาวางมือปราบกาเดี้ยนหนุ่มด้วยสีหน้าที่เรียบสงบ แววตาสีน้ำเงินเข้มทอดมองลงมายังมือที่สั่นเทาของอีกฝ่าย

       "ถ้าคมดาบของเจ้าไม่นิ่ง เจ้าจะทำให้ท่านโลแกนจากไปลำบาก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง" น้ำเสียงราบเรียบของชายวัยกลาง ทำให้เควินรีบถอยออกมาแต่โดยดี แม้ในใจจะรู้สึกผิดอยู่ที่ไม่สามารถทำตามคำสั่งของเจ้าเมืองได้

      "ขอบคุณ ท่านเรย์มอนต์" โลแกนคลี่ยิ้มให้จางๆก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้นเตรียมรอรับชะตากรรมของตัวเอง ดาบคมถูกชักออกมาจากฝักท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวบ้านรอบข้าง ดามอนต์ที่ยืนกันคนอยู่ตรงนั้นเห็นว่าบิดาเป็นผู้จัดการเองก็แทบจะลืมหายใจ กระทั่งคมดาบตวัดลงมาอย่างไม่ลังเล ศรีษะร่วงหล่นลงมาตามด้วยร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางลานก็ล้มตามลงมา

       "แล้วอย่างให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกล่ะท่านเจ้าเมือง" มังกรร่างยักษ์เห็นว่าเป็นไปตามข้อตกลงแล้วก็สลายร่างเป็นแสงสว่างดวงเล็กๆนับพันดวง กระจายฟุ้งหายไปจากตรงนั้น

       เสียงที่ร้องโวยวายนั้นเงียบกริบไปฮวบหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องโศกเศร้า เสียงร้องของชาวบ้านรอบๆดึงสตินายทหารหนุ่มกลับมา เขาจึงหันกลับไปช่วยคนอื่นๆกันชาวบ้านที่ตอนนี้ลุกฮือขึ้นมา ระหว่างความสับสนวุ่นวายทั้งภายนอกและภายในจิตใจของดามอนต์ เขากวาดสายตามองไปรอบๆหาพี่ชาย ที่พึ่งพิงที่เข้าใจเขามากที่สุด ทว่าสายตามาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มผมทองที่พี่ชายของตนพร่ำสอนจนโตขึ้นมาขนาดนี้ เด็กที่มีความสามารถของปีศาจอยู่ ปีศาจที่สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ความแค้นเคืองกับความสับสนอลม่านในตอนนี้ทำให้ดามอนต์ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไป

      "อยู่ในความสงบด้วยขอรับ" เสียงนายทหารหลายต่อหลายนายพยายามจะควบคุมพื้นที่เอาไว้ ร้องขอไปอย่างไร้ซึ่งการตอบรับ ท่ามกลางความวุ่นวายตรงนั้นเอง ซีมัสรู้สึกถีงคมมีดสั้นเล่มหนึ่งเสียบลงมาที่แผ่นหลังของตน ความเจ็บปวดแล่นแปลบเข้าสู่ประสาทรับรู้ เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากปากแผล ปลายนิ้วค่อยๆชาและหมดเรี่ยวแรงล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันที

      "ซีมัส!!" นายทหารข้างๆเห็นว่าอยู่ๆเพื่อนก็ล้มลงไปนอนจึงตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ลีนัสได้ยินเข้าก็หันไปมองที่ต้นเสียงทันที เห็นน้องชายของตนลงไปนอนกองจมกองเลือดตรงนั้นก็ตัวเย็นเฉียบขึ้นมา ชาวบ้านตรงที่ซีมัสกันเอาไว้ก็เริ่มไหลทะลักเข้ามา ลีนัสจึงตัดสินใจร่ายเวทย์ให้น้ำแข็งก้อนใหญ่ตกลงมาขวางหน้ากลุ่มชาวบ้านที่เล็ดลอดเข้ามา ทำให้กลุ่มนั้นชงักไปด้วยความตื่นกลัว เสียงน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่ตกลงมากระทบพื้นเสียงดังสนั่น ทำให้เฮมิสที่ยังทำใจไม่ได้กับร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าได้สติขึ้นมา เขาเพิ่งเห็นว่าตอนนี้กำลังจะเกิดจลาจลขึ้นแล้ว และลีนัสกำลังร่ายเวทย์นำ้แข็งออกมาเป็นรั้วกั้นรอบอาณาเขต จึงลุกขึ้นประกาศเสียงดังกึ่งก้อง

       "ท่านโลแกนก็ยอมรับโทษตามความผิดแล้ว ช่วยกลับบ้านกันไปด้วยความสงบด้วยขอรับ เรามีกฏที่ต้องรักษากรุณาเข้าใจตรงนี้ด้วย หากไม่พอใจเราไม่เคยห้ามให้พวกท่านย้ายออกไปแม้แต่น้อย" เฮมิสประกาศกร้าวออกมาดังกังวาลไปทั่วทั้งลานกว้าง ทำให้มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งยอมถอยกลับออกไปบ้าง ลีนัสเห็นว่าทางสะดวกก็รีบวิ่งเข้าไปหาซีมัสที่นอนกองอยู่กับพื้น
ยังไม่ทันที่ลีนัสจะวิ่งไปถึง ร่างของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆเปลี่ยนไป สีผิวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลส้ม และรูปตราเวทย์ปรากฏขึ้นบนใบหน้า สีผมเปลี่ยนเป็นสีขาวและงอกยาวลงมาถึงเอว เขายาวงอกออกมาจากหน้าผาก

       ".....ซีมัส" อยู่ๆท่อนแขนแกร่งของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆยันร่างตัวเองลุกขึ้นยืน แล้วดึงมีดที่เสียบกลางหลังของตัวเองออกโยนทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี แววตาสีเทากวาดมองไปรอบตัว เห็นชาวบ้านที่มองมายังเจ้าตัวด้วยความหวาดกลัว

        "หนวกหูกันจริงๆ บอกให้กลับบ้านไปแค่นี้ไม่เข้าใจรึไง" ซีมัสคำรามออกมาพร้อมทั้งเสกเปลวเพลิงสีน้ำเงินออกมาข่มขู่ ทำให้ชาวบ้านพากันถอยห่างออกไป บ้างก็วิ่งหนีกลับบ้านไปในทันที

       "...ซีมัส พอแล้ว" ลีนัสเดินเข้าไปคว้าท่อนแขนแกร่งของน้องชายตัวเองไว้พร้อมเอ่ยปราม สัมผัสเบามือของพี่ชายทำให้ซีมัสยอมดับเปลวเพลิงลง ครู่หนึ่งรูปตราเวทย์ตามร่างกายก็หายไป ร่างมนุษย์ของซีมัสก็กลับคืนมาอีกครั้ง ทว่าผมสีทองยังคงยาวเท่าเดิม

       "ขอบคุณซีมัส" ลีนัสเดินเข้าไปเอื้อมมือลูบหัวน้องชายอย่างเคยชิน สถานการณ์ตอนนี้คลี่คลายลงแล้ว ไม่มีชาวบ้านกลุ่มไหนกล้าบุกเข้ามา เหลือแต่เพียงบางส่วนที่ยังเศร้าโศกกับภาพตรงหน้า ซีมัสทำให้การลุกฮือจบลงอย่างง่ายดาย ทว่าเมื่อมองไปรอบข้าง ไม่มีใครคิดจะเอ่ยชมหรือขอบคุณซีมัสสักคน บรรดาทหารที่คุมบริเวณนั้นต่างก็มองมาที่ซีมัสด้วยสีหน้าหวาดกลัว แม้กระทั่งเพื่อนร่วมรุ่นของเขาเอง

      "บาทแผลเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหมซีมัส" ดาวิสวิ่งเข้ามาหาเมื่อเหตุการณ์สงบลง

      "...ดูเหมือนตัวเลือดปีศาจจะรักษาตัวเองได้น่ะขอร้บ" ซีมัสตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกึ่งๆประชด ลีนัสได้ยินน้องชายของตนพูดเช่นนั้นก็ถอนใจออกมา

     "เจ้าไม่ใช่ปีศาจนะซีมัส" ลีนัสว่าพลางเอื้อมมือไปแตะใบหน้าของน้องชายเบาๆ แต่อีกฝ่ายปัดมือของเขาออก

     "จะใช่ไม่ใช่ ยังไงข้าก็เป็นตัวประหลาดอยู่ดี" ซีมัสตวาดตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด แต่พอเห็นแววตาที่แสดงความกังวลของพี่ชายก็รู้ตัวว่ากำลังทำตัวไม่มีเหตุผลอยู่ เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยต่ออย่างใจเย็นลง

     "ข้าไม่เป็นอะไรหรอกขอรับ ขอเวลาข้าครู่หนึ่งเถอะขอรับ" ซีมัสเอ่ยทิ้งไว้ก่อนจะผละหนีจากไปโดยไม่มีใครกล้าเอ่ยรั้ง มีแต่ฝูงคนที่รีบแหวกทางหลบให้ด้วยความหวาดกลัว

     "ท่านเฮมิส..." ลีนัสรีบหันไปหาเจ้าเมืองจะขออนุญาตตามน้องชายไป
     
      "รีบไปเถอะลีนัส ตรงนี้ข้าจัดการเองได้" เฮมิสตอบพลันโดยที่ลีนัสไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มจึงรีบวิ่งตามน้องชายไปในทันที

      ดาวิสเพียงมองตามร่างบางไปด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเดินมาหยิบมีดสั้นที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นมาพิจารณา มีดสั้นที่ดูคุ้นตาทำให้ดาวิสกวาดสายตามองดูรอบตัวหาน้องชายของตนแต่ก็หาไม่เจอ ระหว่างนั้นเองเฮมิสก็เดินมาวางมือบนไหล่ของเขาแล้วก้มลงกระซิบเบาๆบอกเจ้าตัว

      "ดูเหมือนเจ้าเองก็มีเรื่องต้องคุยกับน้องชายเจ้าเช่นกันนะดาวิส"






      "ซีมัส" ลีนัสที่วิ่งตามหลังน้องชายออกมาตะโกนเรียกให้เจ้าตัวหยุดรอ แต่ซีมัสกลับตัดสินใจวิ่งหนีจากไปจนหายลับสายตาผู้เป็นพี่ไปในทันที ด้วยร่างกายที่ด้อยกว่าและกำลังที่น้อยกว่าเด็กหนุ่ม ที่ผ่านการฝึกร่างกายมาแต่เด็กอย่างซีมัสแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่ลีนัสจะวิ่งตามเจ้าตัวได้ทัน แต่ลีนัสพอจะเดาได้ว่าน้องชายของตนจะวิ่งไปหลบที่ไหนจึงค่อยๆเดินไปยังจุดหมายที่คิดอยู่ในใจ ปล่อยให้ซีมัสได้มีเวลาอยู่กับตัวเองสักครู่

     พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้วเมื่อลีนัสเดินเข้ามาในป่าจากทางหลังบ้านของตน เขาร่ายเวทย์ดวงไฟดวงเล็กๆขึ้นมาเพื่อนำทางจนมาถึงธารน้ำตกกลางป่า เห็นเสื้อเครื่องแบบทหารถอดวางอยู่ และมีเงาคนอยู่ใต้น้ำคนหนึ่ง ลีนัสก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดๆที่ตนเดาทางน้องชายตัวเองไม่ผิด ครู่หนึ่งร่างของคนที่มุดอยู่ใต้น้ำก็ผุดขึ้นมา แต่กลับเป็นร่างผิวสีที่มีลายตราเวทย์ไปทั้งตัว ซีมัสยกมือสองข้างขึ้นเสยผมสีขาวอันเปียกชุ่มของตนขึ้นแล้วหันมามองลีนัสที่ยืนรออยู่ข้างๆธารน้ำ

      "ท่านพี่เองก็มองว่ามันประหลาดสินะขอรับ" ซีมัสเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้ากังวลออกมา แต่เมื่อถูกถามเช่นนั้น ผู้เป็นพี่ก็คลี่ยิ้มออกมาจางๆและส่ายหัวกลับมา

     "ข้าแค่กังวลว่าเจ้ายังอามรณ์เสียอยู่รึเปล่าถึงได้อยู่ในร่างนั้น ข้าว่าเจ้าประหลาดในทางที่ดีนะ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่รับเจ้าออกมาวันนั้นหรอก" ได้ยินคำตอบของพี่ชายเช่นนั้นซีมัสก็อดยิ้มออกมาน้อยๆไม่ได้ เขาหวนนึกถึงวันที่ลีนัสเดินมาขวางหน้าเขากับภูติในวันนั้นได้ดี ลีนัสปกป้องเขามาตลอด จนโตขึ้นมาถึงตอนนี้คิดว่าตนน่าจะมีกำลังพอที่จะปกป้องเขาคืนบ้าง แต่หาใช่ไม่ สุดท้ายเขาก็ยังคงต้องทำให้พี่ชายเป็นห่วงและลำบากตามหาเขาถึงกลางป่ายามค่ำมืดเช่นนี้

     "....ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านพี่เป็นห่วง..." ซีมัสว่าพลางเดินขึ้นจากน้ำมาหาพี่ชาย

     "ไม่เป็นไรซีมัส มานี่มา" ลีนัสอ้าแขนรับเด็กหนุ่มในร่างภูติเข้ามากอดไว้ อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้เด็กหนุ่มสงบใจลงไปได้

     "...ท่านพี่ตัวเล็กลงรึเปล่าขอรับ" ซีมัสเอ่ยถามอย่างเด็กหนุ่มขี้เล่นขณะที่กอดอีกฝ่ายแน่น

     "บ้าจริง เจ้าต่างหากล่ะที่ตัวใหญ่ขึ้น ข้าก็ตัวเท่าเดิมนั่นแหละ" ลีนัสตอบอย่างฉุนๆกลับมา จะว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่คิดว่าน้องชายตัวเล็กของเขาจะเติบใหญ่ขึ้นมาได้ขนาดนี้เช่นกัน ทั้งช่วงอกและกล้ามเนื้อแผ่นหลังที่แน่น ท่อนแขนแกร่งที่โอบกอดเขากลับมา สัมผัสเริ่มจะใกล้เคียงกับอ้อมกอดของผู้ที่ฝึกสอนเจ้าตัวมาขึ้นทุกวัน

     "ข้าใกล้จะเป็นเหมือนท่านดาวิสแล้วรึยังขอรับ" คำถามของซีมัสทำให้ร่างบางสะดุ้ง เขาไม่คิดว่าซีมัสพูดถึงเรื่องเดียวกับที่เขาคิดอยู่ จริงๆแล้วซีมัสน่าจะถามเพียงเพราะความทะเยอทะยานของเด็กหนุ่ม ที่อยากจะเป็นเหมือนคนที่ฝึกสอนเขามา ไม่ได้มีความหมายจะเปรียบเทียบในความหมายอื่นที่ทำให้เขาร้อนตัวขึ้นมา

     "อื้อ อีกหน่อยเจ้าก็จะเก่งเหมือนท่านดาวิสเองแหละซีมัส" ลีนัสตอบกลับพลางค่อยๆผละตัวเองออกจากอ้อมกอดแกร่งของน้องชาย แต่ซีมัสกลับกอดเขาไว้แน่น

     "...ซีมัส?"

     "เป็นข้าไม่ได้หรือขอรับ" ซีมัสกระซิบถามร่างในอ้อมกอด ลมหายใจอุ่นๆที่รดมาที่ใบหูลีนัสทำเอายืนตัวเกร็งขนลุกขึ้นมา เขาสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา ไม่คิดว่าน้องชายที่โตขึ้นมาจะคิดกับเขาแบบนั้น

     "หืม เจ้าพูดเรื่องอะไร...อ่ะ เดี๋ยวก่อนซีมัส..!!" ริมฝีปากของซีมัสขยับเข้ามาขบที่ใบหู ลีนัสรีบผลักร่างออกแต่ไม่สามารถจะสู้แรงท่อนแขนแกร่งของอีกฝ่ายได้ อยู่ๆร่างบางก็ถูกรวบตัวขึ้นมาแล้ววางลงบนพื้นดิน โดยมีร่างหนาคร่อมกดท่อนแขนของเขาเอาไว้

      ".....ซีมัส.....!!" ลีนัสไม่มีเรี่ยวแรงพอจะขัดขืนน้องชายแม้แต่น้อย แววตาสีเทาจ้องจับลงมาที่ใบหน้าตื่นตกใจของลีนัส ก่อนจะก้มลงประกบริมฝีปากตนลงกับริมฝีปากบางนุ่มของลีนัส

      "ท่านพี่ ข้ารักท่าน" เด็กหนุ่มก้มลงกระซิบบอกพี่ชายที่ข้างหู แต่เมื่อยืดตัวกลับขึ้นมามองใบหน้าหวาน ก็พบกับสายตาที่ยังคงทอดมองมาที่ตนด้วยสีหน้าลำบากใจ เจือความเป็นห่วงเป็นใยของผู้เป็นพี่ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้เด็กหนุ่มชะงักไป

       "ซีมัสข้าก็รักเจ้า แต่ไม่ใช่แบบนี้ และข้าก็ยังไม่อยากเกลียดเจ้า อย่าทำให้ข้าต้องเกลียดเจ้าเพราะความสับสนของเจ้าเพียงชั่ววูบนี้เลย ข้าขอล่ะ" แววตาเศร้าๆของลีนัสทำให้แขนแกร่งที่กดร่างบางเอาไว้ยอมผ่อนแรงลง คำว่า”เกลียด”ของลีนัส ก้องกังวาลบาดลึกเข้าไปในหัวใจของเด็กหนุ่ม สำหรับเขาแล้วลีนัสเป็นคนเดียวที่รักและให้ความสำคัญกับเขามากกว่าคนอื่น เขาคิดไม่ออกเลยหากลีนัสจะเกลียดเขาขึ้นมา

      "....ข้าขอโทษ" ซีมัสเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าหงอยๆก่อนจะขยับลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆพี่ชายทำหน้าตาผิดหวัง ลีนัสถอนใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วลุกขึ้นมานั่งบ้าง

      "ข้าขอโทษนะซีมัส ข้ารับความรู้สึกนั้นของเจ้าไว้ไม่ได้จริงๆ" ลีนัสยกมือขึ้นลูบหัวน้องชายเบาๆ ซีมัสหันไปมองผู้พูดครู่หนึ่งเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่แล้วก็เบี่ยงหน้าหลบไปทางอื่นแล้วถอนหายใจยาว

      "...ข้าเข้าใจดีขอรับ ท่านมีท่านดาวิสอยู่แล้ว" ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ซีมัสจะรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับดาวิส ที่มักจะจัดเวลามาหามาส่งเขาที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง แต่พอน้องชายเอ่ยขึ้นมาตรงๆแบบนี้ก็อดที่จะเขินจนหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาไม่ได้

      "ถ้าเข้าใจดีแล้วก็กลับบ้านเถอะซีมัส เดี๋ยวท่านแม่จะเป็นห่วง แล้วก็ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องตัดผมให้เจ้าด้วยนะนายทหารซีมัส" ลีนัสลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับมาคลี่ยิ้มเรียกน้องชายให้ลุกตามไป

       ซีมัสคลี่ยิ้มเยาะตัวเองอยู่ในใจก่อนจะลุกตามขึ้นไป การที่ลีนัสทำตัวได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ถือสาว่าความเขามากไปกว่านั้น ทำให้ซีมัสรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปในใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็เป็นได้แค่น้องชายคนเล็กที่พี่ชายคนนี้พร้อมจะให้อภัยเสมอ ไม่มีวันที่เขาจะได้ยืนเคียงข้างอย่างเท่าเทียมในฐานะอื่นได้เลย




เห่อจบตอนนี้ซะที แก้ไปแก้มาจนยาวเฟ้ยฟ้าวไปหมด

ตอนแรกก็ไม่กะจะให้น้องชายขโมยจูบพี่หรอกนะ...แต่เพื่อนมันรีเควสมา ก็เลยจัดให้ซะหน่อย เพื่อหมาน้อยซีมัส
 (เปลืองเนื้อเปลืองตัวนายเอกเหลือเกิน) :katai5:
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 4 :3/3)
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 29-09-2015 09:46:44
Act 5: Controversy (1/3)

          หลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวายจบลง กว่าจะสลายชาวบ้านออกไปได้หมด และเคลื่อนย้ายศพได้สำเร็จ กว่าดาวิสจะกลับถึงบ้าน ก็เกือบจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ส่วนบิดาของตนนั้นยังเหลือเรื่องที่ยังต้องอยู่คุยกับเฮมิสต่อ ดาวิสเองก็มีเรื่องสำคัญที่จะต้องคุยกับดามอนต์เช่นกันจึงตัดสินใจลากลับออกมาก่อน

          ดาวิสเดินตรงไปเคาะประตูห้องของน้องชายทันทีที่มารดาบอกว่าดามอนต์กลับมาถึงบ้านแล้ว เขาไม่รอให้เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาตก็เปิดประตูเข้าไปทันที

         "ดึกดื่นป่านนี้มีธุระอะไรขอรับท่านพี่" ดามอนต์ที่แต่งตัวเตรียมจะเข้านอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันมาถามพี่ชายที่เปิดห้องเข้ามา ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของน้องชายทำให้ดาวิสต้องถอนใจออกมาอย่างหงุดหงิด

          "เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าจะคุยเรื่องอะไร" ดาวิสหยิบมีดสั้นเล่มที่หยิบมาจากที่เกิดเหตุเมื่อครู่ขึ้นมาวางบนโต๊ะอ่านหนังสือที่ตั้งอยู่ในห้อง ดามอนต์เห็นมีดของตนวางอยู่เช่นนั้นก็เลิ่กคิ้วขึ้นถามอีกฝ่ายกลับไปเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

          “ถ้าเจ้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแบบนั้นล่ะก็ อย่างน้อยๆก็ควรจะเก็บหลักฐานหน่อยนะ” ได้ยินพี่ชายพูดขึ้นมาแบบนั้นก็คลี่ยิ้มยียวนกลับมา

           “ท่านพี่จะบอกว่าถ้าข้าเก็บหลักฐานหน่อยจะไม่ว่าอะไรสินะ” ดาวิสไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะขำกับน้องชายด้วยแม้แต่น้อย เขาทอดสายตามองกลับไปที่ดามอนต์ด้วยแววตาเย็นฉา

         “...สุดท้ายมันก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่เหรอ เจ้าปีศาจนั่นน่ะ”

         “.....” ดาวิสยังคงยืนกอดอกนิ่ง รอฟังคำอธิบายที่มีเหตุผลกว่านี้ของน้องชายต่อ

         “อ่ะ เอาอย่างนี้ เพื่อความสบายใจ ท่านพี่ก็จับข้าเข้าคุกไปแล้วกัน โทษฐานทำร้ายปีศาจ” ดามอนต์ยกมือขึ้นสองข้างส่งให้อีกฝ่าย
 
        “เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกเรียกซีมัสว่าปีศาจเสียที”

       “ท่านจะบอกว่ามันไม่ใช่ปีศาจรึไง ดูสิ่งที่มันทำสิ อ้อใช่สิ มันเป็นน้องชายของคนรักท่านพี่นี่นะ จริงๆข้าไม่อยากจะนับลีบลารวมกับคนสักเท่าไหร่หรอกนะ ข้าก็ไม่เข้าใจว่าท่านพี่คิดอะไรอยู่” ดามอนต์ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นกอดอกกลับไปบ้างพร้อมระบายความอึดอัดไม่พอใจกลับมา

        “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าต้องการอะไรดามอนต์ เจ้าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรให้มันดีขึ้นได้สักนิด” ดาวิสขมวดคิ้วหนาเข้าหากันพลางเอ่ยถามน้องชาย

        “แล้วจะให้ข้าทำยังไงเหรอ เจ้าปีศาจนั่นบังคับให้ท่านพ่อฆ่าคนดีๆไปคนนึงต่อหน้าคนทั้งเมือง จะปีศาจตัวไหนก็ไม่คววรจะมีชีวิตอยู่ทั้งนั้นแหละ เจ้าเมืองก็บ้าไปแล้วรึไง ไม่คิดจะปกป้องคนของตัวเองเลยสักนิด ท่านพี่น่ะคิดดีๆเถอะจะเดินตามท่านพ่อจริงๆน่ะหรือ” ดามอนต์ขึ้นเสียงตอบกลับไปชุดใหญ่ ดาวิสฟังเหตุผลของน้องชายที่โพล่งออกมายาวเหยียดก็ชักจะทนไม่ไหว จึงได้พุ่งหมัดต่อยหน้าน้องชายออกไปอย่างแรง ทำเอาดามอนต์เซล้มลงไปนั่งกับพื้น ดามอนต์ยกแขนขึ้นมาปาดคราบเลือดกำเดาที่ไหลออกมาลวกๆ พร้อมกับจ้องมองเจ้าของหมัดและยิ้มเหยียดๆกลับไป

        “หึ หึ ท่านพี่รับไม่ได้กับเหตุผลข้อนี้สินะขอรับ”

        “ข้ารับไม่ได้กับความคิดเช่นนั้นของเจ้าต่างหาก”

        “ท่านพี่ลืมไปรึเปล่าขอรับ ว่าท่านจะสอนข้าให้ทำอะไรก็ได้ แต่ท่านสอนข้าให้คิดแบบท่านไม่ได้หรอกนะ”

       “เจ้าจะคิดอะไรยังไงมันเป็นเรื่องของเจ้า แต่เจ้าไม่ควรจะทำร้ายใครแบบนี้ต่างหาก”

       “แล้วที่เจ้าเมืองฆ่าโลแกนนั่นถูกต้องแล้วสินะขอรับ!!” ดาวิสเจอสวนกลับมาด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ต้องชะงักไป จะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างเต็มปาก

       “เกิดอะไรขึ้นน่ะดาวิส” เสียงมารดาเดินเข้ามาเอ่ยถามหลังจากที่ได้ยินเสียงสองพี่น้องทะเลาะกัน พอเห็นดามอนต์ที่ลงไปนั่งกองกับพื้น ซ้ำยังมีคราบเลือดไหลออกมาจากโพรงจมูก ก็รีบลุดเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที

       “เป็นอะไรมากไหมดามอนต์ ดาวิส นี่เจ้าคุยกันดีๆไม่ได้รึยังไง ทำน้องแบบนี้ทำไม” ดาวิสเห็นมารดาที่ตรงเข้าโอ๋น้องชายเหมือนเมื่อก่อนไม่เปลี่ยนแปลงก็ถอนหายใจยาวออกมา แม้ตอนนี้เจ้าตัวจะอายุขึ้นเลขสองแล้วก็ตาม ไม่น่าแปลกใจนักที่จะโตขึ้นมาเป็นเด็กดื้อรั้นได้ขนาดนี้

        “นี่เจ้าจะไปไหน ได้ยินที่แม่พูดไหมเนี่ย” มารดาเอ่ยรั้งดาวิสที่อยู่ๆก็ปลีกตัวออกไปจากห้องทั้งอย่างนั้น

        “ถ้าวันหนึ่งดามอนต์กลายเป็นฆาตกรขึ้นมา ก็คงจะเป็นความผิดของข้าเองสินะขอรับ” ดาวิสเอ่ยประชดประชันอย่างหัวเสียทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะจากไป

        “พูดอะไรของเจ้าน่ะดาวิส !!…. เฮ้อ เอาเถอะพี่เจ้าก็อารมณ์ร้อนแบบนี้แหละ เดี๋ยวก็มาขอโทษเจ้าเองแหละ” หลังจากที่ดาวิสเดินหายไปจากห้องแล้ว มารดาก็หันกลับมาประคบประหงมดูแลบุตรชายคนเล็กอีกครั้ง


        เมื่อดาวิสเดินลงมาที่ชั้นล่างอย่างอารมณ์เสีย ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่บิดาของตนกลับมาถึงบ้านพอดี สีหน้าเหนื่อยล้าของบิดาทำให้ดาวิสต้องรีบวางท่าทีหงุดหงิดของตัวเองทิ้งไป

         “ดาวิส ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า มานั่งคุยกันหน่อยสิ” เรย์มอนต์เดินมาถึงชุดรับแขกที่ห้องโถงกลางบ้านก็ทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด ดาวิสคาดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เพิ่งสรุปและตัดสินใจออกมาเมื่อครู่ หลังจากที่ได้คุยกับเฮมิสจนดึกดื่นป่านนี้ บุตรชายทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวเล็กข้างๆโดยไม่เอ่ยถามอะไร รอให้บิดาเรียบเรียงสิ่งที่ต้องการจะพูดอยู่เงียบๆสักพัก

          “หลังจากเสร็จสิ้นงานศพท่านโลแกนพรุ่งนี้ ท่านเฮมิสตั้งใจจะประกาศลงจากตำแหน่งส่งมอบต่อให้ลีนัส คนที่รู้จักหมอโลแกนส่วนใหญ่จะรู้จักลีนัสดี ข้าคิดว่านั่นน่าจะเป็นวิธีที่ลดการต่อต้านได้ดี” ดาวิสพยักหน้ารับฟังนิ่งๆ

          "ส่วนข้าเองก็จะส่งต่อให้เจ้าเหมือนกัน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของลีนัสเองด้วย ซึ่งข้าคิดว่าลีนัสคงไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าพร้อมไหม" 

          “ไม่มีปัญหาขอรับ ข้าเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากท่านพ่อแล้ว" คำตอบของบุตรชายทำให้ผู้เป็นพ่อคลี่ยิ้มสบายใจออกมา

          "เจ้าเป็นลูกที่น่าภูมิใจของข้าเสมอ แต่บางทีข้าก็เป็นห่วงที่เจ้าไม่เคยปฏิเสธข้าเลยสักครั้ง ถ้ามีอะไรลำบากใจก็บอกข้าได้นะดาวิส" ในฐานะที่เป็นลูกชายคนโตของตระกูล ดาวิสถูกวางเส้นทางทุกอย่างเอาไว้จนแทบไม่รู้สึกว่าเขามีชีวิตเป็นของตัวเองด้วยซ้ำไป แต่ก่อนที่จะถึงจุดที่เขารับไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ก็ได้รู้จักกับว่าที่เจ้าเมืองคนใหม่เสียก่อน ทำให้เขามีมุมมองใหม่ๆกับเส้นทางสายนี้ พอคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มจางๆก็ฉายขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม

         "ตอนนี้ข้าไม่มีปัญหาอะไรใดๆทั้งสิ้นขอรับ ขอบคุณท่านพ่อที่เป็นห่วง"

         "จะไปมีปัญหาได้ยังไงล่ะขอรับ ในเมื่อว่าที่เจ้าเมืองเป็นคนรักของท่านพี่นี่ขอรับ" ดามอนต์เอ่ยแทรกขึ้นมาขณะที่เดินลงบันไดมาที่ห้องโถงกลางบ้าน ดาวิสไม่แปลกใจที่น้องชายจะรับรู้เรื่องนี้เท่าไหร่นัก และก็ไม่ลำบากใจอะไรที่จะเปิดเผยให้บิดาได้รับรู้เรื่องนอกกรอบเรื่องเดียวในชีวิตของเขาเรื่องนี้ แต่วันนี้มันมากเกินไปสำหรับเขาแล้ว ที่ต้องเจอเรื่องปวดหัวและเรื่องของน้องชายคนนี้ ดาวิสได้แต่ถอนหายใจยาวออกมามองน้องชายที่ลงมาก่อกวนอย่างรำคาญใจ คืนนี้เขาคงต้องคุยกับบิดาอีกยาวแน่นอน ตามมาด้วยเสียงของมารดาที่เดินตามลงมาเพิ่มความน่าปวดหัวเข้าไปอีก

           "เจ้าว่าไงนะ นี่เรื่องจริงหรือดาวิส" เสียงแหลมสูงของมารดาร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ดาวิสต้องยกมือขึ้นมานวดขมับตัวเองเพื่อเตรียมจะคุยกันเรื่องนี้อีกยาว แต่แล้วเรย์มอนต์กลับลุกขึ้นยืนขวางภรรยาของตนเอาไว้

           "โรเซ่ ข้ายังคุยกับดาวิสไม่เสร็จเจ้ากลับขึ้นไปรอข้างบนก่อนได้ไหม” ทั้งดาวิสทั้งดามอนต์ต่างก็ประหลาดใจที่บิดาออกมาขวางมารดาแบบนี้

           “ไม่ได้นะดาวิส ข้ามีคุยเรื่องของเจ้าไว้กับบ้านตระกูลแฮนเดอร์สัน...” ประโยคที่เล็ดรอดออกมาไม่ได้ทำให้ดาวิสประหลาดใจนัก เพราะพักหลังๆมานี้เห็นมารดาสนิทสนมกับตระกูลนี้เป็นพิเศษ ก็คิดเอาไว้แล้วว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้ เขาแค่รอให้มารดาเริ่มเอ่ยก่อนเท่านั้นเขาก็พร้อมจะปฏิเสธไป เขาไม่ต้องการจะเป็นลูกชายที่จะทำตามทุกอย่างอีกต่อไปแล้ว

           “เจ้าปฏิเสธไปเถอะโรเซ่ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของลูก ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตัดสินใจแทน เข้าใจนะ” เรย์มอนต์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คำพูดของเจ้าบ้านนับเป็นคำขาดสำหรับคนในบ้านนี้ ทำให้มารดาเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง

             “แต่…”

            “ขึ้นไปข้างบนก่อนนะโรเซ่ ข้าขอร้องละกัน” เรย์มอนต์ตบไหล่ภรรยาเบาๆก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา น้ำเสียงราบเรียบเป็นสัญญาณบอกว่าเธอกำลังจะข้ามเส้นที่ไม่ควรข้ามแล้ว เธอจึงยอมถอยออกไปแต่โดยดี

            พอภรรยาเดินกลับขึ้นไปข้างบนแล้ว เรย์มอนต์ก็หันมาสบตาบุตรชายทั้งสองที่ยังคงมีสีหน้าประหลาดใจอยู่ เกิดอะไรขึ้นกับบิดาที่มักจะเคร่งครัดต่อทุกสิ่งทุกอย่างของลูกๆ ทำไมถึงออกมาปกป้องดาวิสในประเด็นนี้ได้

           “อะไร เห็นข้าเป็นยังไงกัน นอกจากเรื่องการงานแล้วข้าไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้าหรอกนะ” เรย์มอนต์ไขข้อข้องใจให้ลูกชายทั้งสอง
 
           “แล้วข้าก็รู้อยู่นานแล้วด้วย ลูกชายข้าเองเห็นอยู่ทุกวันมีหรือข้าจะดูไม่ออก เจ้าไม่ได้ปล่อยให้ออกนอกหน้านอกตาจนเสียหน้าที่การงานข้าก็ไม่ว่าหรอก” เรย์มอนต์พูดเชิงขู่เอาไว้นิดๆขณะที่ทรุดตัวกลับลงไปนั่งอีกครั้ง แต่ก็ทำให้ดาวิสต้องยกมือขึ้นเกาท้ายทอยตัวเองแก้เขินที่บิดารู้เรื่องนานแล้ว พลางนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ตัวเองคว้ามือของอีกฝ่ายมาจับไว้กลางที่ชุมชนก็เสียววาบขึ้นมานิดๆ นั้นเป็นครั้งเดียวที่เจ้าตัวยอมแหกกฏการวางตัวในที่ชุมชนภายใต้เครื่องแบบ เพื่อจะคว้าโอกาสที่นานๆจะแวะเวียนเข้ามาสักครั้งเอาไว้ หลังจากนั้นเขาเองกลับถูกเตือนจากลีนัสที่ไม่น่าจะรู้กฏไปมากกว่าเขา

            “ดามอนต์ไหนๆเจ้าก็ลงมาแล้ว ข้าบอกเจ้าด้วยก็แล้วกัน ว่าหลังจากวันนี้ไปข้าก็ไม่รู้ว่าจะไปปลุกระดมคนที่ต่อต้านระบบนี้มากน้อยแค่ไหน คนที่จะเป็นเจ้าเมืองคนต่อไปตามระบบเดิมได้ตอนนี้มีแค่ลีนัสคนเดียว ข้ากังวลอยู่ว่าลีนัสจะตกเป้าหมายได้ เป็นไปได้ข้าก็อยากจะให้ลีนัสย้ายเข้าไปอยู่ในที่ว่าการตั้งแต่พรุ่งนี้ไป” ดามอนต์ลงมานั่งกอดอกฟังอยู่เงียบๆ ดาวิสรู้ดีว่าคนที่ต่อต้านระบบนี้หนึ่งในนั้นก็มีน้องชายเขาอยู่ด้วย ดาวิสจึงได้นั่งกอดอกจ้องมองอีกฝ่ายกลับไปเช่นกัน

           “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเป็นลีบลาด้วยขอรับ เมืองอื่นๆก็อยู่กันเองได้ไม่เห็นต้องลำบากพึ่งพาภูติเลย” ในที่สุดดามอนต์ก็เอ่ยค้านออกมา ทำให้บิดาประหลาดใจนิดๆ แต่ก็อธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น

           “แต่เดิมเมืองนี้ก็ตั้งขึ้นมาโดยลีบลามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะพื้นที่เดิมตรงนี้ไม่ได้สงบอุดมสมบูรณ์อย่างตอนนี้นะ มนุษย์ธรรมดาถึงไม่ได้มาตั้งรกรากกันที่นี่ หากเจ้าเมืองไม่ใช่ลีบลาแล้วพื้นที่ตรงนี้ก็จะไม่ได้รับการดูแลจากภูติ อากาศกลับมาแปรปรวนลมมรสุมเข้ามาบ่อยครั้ง” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวเมืองทุกคนรู้ดี ถูกสั่งสอนมาทุกรุ่น แต่แน่นอนว่าคนที่สงสัยเหมือนดามอนต์ก็มีไม่ใช่น้อย

           “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่่แต่งขึ้นมาเพื่อให้ผลประโยชน์กับพวกพะ...ลีบลา” ดามอนต์เกือบจะเอ่ยคำว่าพ่อมดออกมา ซึ่งเป็นคำพูดของกลุ่มคนที่ดูถูกลีบลาว่าเป็นกลุ่มคนที่ใช้มนต์ดำชั้นต่ำที่พบได้ทั่วไป ถึงจะยังเอ่ยออกมาไม่หมดดาวิสก็รู้ดีว่าดามอนต์จะพูดอะไร แววตาคมกริบของพี่ชายจ้องมองไปที่น้องชายอย่างไม่พอใจทันที หากบิดาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น เขาคงจะลุกขึ้นฝากหมัดหนักๆลงอีกรอบ ให้ครบทั้งสองข้างอย่างแน่นอน

           “เฮ้อ..นี่ล่ะน้าที่เรียกว่าเลี้ยงไว้สุขสบายเกินไปจนต้องสร้างปัญหาขึ้นมาทำแก้เบื่อ เอาเป็นว่านั่นก็เป็นความเชื่อของเจ้า แต่หน้าที่ของข้าคือปกป้องระบบนี้จนถึงที่สุด หวังว่าเจ้าคงไม่สร้างปัญหาให้พ่อเจ้าหรอกนะ” เรย์มอนต์ถอนใจออกมา เขาไม่คิดจะเสียเวลาเปลี่ยนความคิดของบุตรชาย ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันได้เพียงชั่วข้ามคืน

           “....ที่ท่านพ่อต้องฆ่าคนดีๆคนนึงไปนี่เรียกว่าสุขสบายเกินไปหรือขอรับ” คำถามที่ย้อนกลับมาของบุตรชายทำให้ผู้เป็นพ่อลุกพรวดขึ้นมาทันที

           “ดามอนต์...เห็นแก่ข้าที่เป็นพ่อเจ้าเถอะ อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกได้ไหม ข้าจะไม่เสียเวลาสอนสั่งเรื่องนี้แก่เจ้าอีกต่อไปแล้ว” เรย์มอนต์กำหมัดในมือแน่นเพื่อจะสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่ให้ลงไปกับลูกชาย

           “ดาวิส ที่เหลือค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกัน” เขาเอ่ยทิ้งไว้เพียงเท่านั้นก็เดินขึ้นบ้านไปชั้นบน ทิ้งให้สองพี่น้องนั่งมองตากันอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบ

           “น่าแปลกนะ ท่านพ่อพูดเหมือนเสียเวลาเลี้ยงดูข้ามากนักแหละ” ดามอนต์เอ่ยประชดประชันต่อความพยายามอันน้อยนิดของบิดาที่จะสอนสั่งตน นับตั้งแต่ตอนที่ดามอนต์เริ่มเข้าสู่วัยเด็กหนุ่ม เป็นช่วงเวลาที่เรย์มอนต์เริ่มดำรงตำแหน่งรองเจ้าเมืองพอดี จึงไม่มีเวลาที่จะคลุกคลีกับดามอนต์มากนัก คนที่เลี้ยงดูและคอยสั่งสอนเขามักจะเป็นดาวิสและมารดา แต่สุดท้ายดาวิสก็ถูกบิดาเรียกไปช่วยงานอยู่ดี บ่อยครั้งที่เขารู้สึกเหมือนเป็นคนนอก มีเพียงดาวิสที่เพียบพร้อมในสายตาของบิดาเท่านั้นที่ถูกนับเป็นบุตรชายของตระกูล เขาเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆที่ไม่มีวันโต และไม่มีคุณค่าใดๆต่อตระกูล

          “ที่ข้าสอนเจ้ามันไม่เพียงพอรึยังไงดามอนต์” ผู้เป็นพี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันไม่แพ้กัน แววตาสีน้ำเงินเข้มสบมองน้องชายอย่างหงุดหงิด เขาเหนื่อยเกินกว่าจะทำตัวเป็นพี่ชายที่อ่อนโยนได้ หลังจากที่เจออะไรๆมากมายในวันนี้

         “...เกินพอแล้วขอรับ” ดามอนต์ประชดกลับมาแล้วลุกเดินหนีแววตาคมกริบของพี่ชายที่กำลังมองเขาเหมือนเป็นสิ่งที่น่ารำคาญชิ้นหนึ่ง








               แววตาสีแดงเพลิงเบิกโพลงขึ้นมาท่ามกลางความมืดในคืนที่ดึกสงัด ในห้องนอนมีเพียงเสียงหายใจเบาๆของน้องชายที่หลับสนิทอยู่บนเตียงข้างๆ ร่างบางค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วทอดมองไปนอนหน้าต่าง เขาไม่อาจจะหลับตานอนได้ในเวลานี้ ทุกครั้งที่หลับตาลงภาพร่างไร้ศรีษะของโลแกนที่นอนแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางกองเลือดนั้นก็กลับปรากฏขึ้นมาในประสาททุกครั้งไป

         ลีนัสติดสินใจลุกขึ้นจากเตียงมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อสีดำขลับตัวยาว แล้วเดินออกนอกห้องไปอย่างเงียบกริบ เขาไม่อาจจะทนข่มตานอนต่อไปได้อีกแล้ว จึงตัดสินใจเดินไปที่โบสถ์ที่จะทำพิธีศพในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อไปนั่งสงบจิตใจตัวเอง

         แต่พอว่าที่เจ้าเมืองหนุ่มเดินมาเปิดประตูโบถส์ ก็พบว่ามีเงาของชายร่างสูงยืนอยู่ข้างในคนหนึ่ง เสียงเปิดประตูโบถส์ทำให้ร่างนั้นหันกลับมามอง แสงเทียนอ่อนๆไม่อาจจะทำให้เห็นใบหน้าของเจ้าตัวได้ชัดนัก แต่ลีนัสจำบุคลิกท่ายืนอันสง่าผ่าเผยและรูปร่างของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

          “ท่านดาวิส…..มาทำอะไรที่นี่ในเวลานี้ขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นพลางปิดประตูโบถส์แล้วเดินเข้าไปหา

          “มารอเจอเจ้าไง” ดาวิสหันมาคลี่ยิ้มให้จางๆ แววตาสีเพลิงช้อนขึ้นมองคนพูดด้วยความประหลาดใจ ตัวเขาเองยังไม่ได้มีความคิดจะเดินมาที่นี่เลยสักนิดกระทั่งเมื่อครู่นี้ ทำไมถึงได้รู้ว่าเขาจะมาที่นี่

          “ข้าตามเดาใจคนปากหนักอย่างเจ้ามากว่าเจ็ดปี แค่นี้มีหรือข้าจะเดาไม่ออก” มือหนายกขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆแววตาสีน้ำเงินเข้มทอดมองอีกฝ่ายกลับไปอย่างเป็นห่วง

          “...ถ้ามันหนักมากก็ระบายออกมาบ้างนะลีนัส เจ้าไม่ต้องเข้มแข็งต่อหน้าข้าหรอก” น้ำเสียงอันอ่อนโยนของดาวิสทำให้หยาดน้ำตาใสๆร่วงผล็อยลงมาจากนัตน์ตาสีเพลิง แขนแกร่งจึงดึงร่างบางขยับเข้ามาโอบกอดไว้ มือหนาลูบแผ่นหลังที่สั่นตามแรงสะอื้นไห้เบาๆโดยไม่เอ่ยกล่าวอะไรออกมา โบถส์หลังใหญ่ภายใต้แสงสลัวๆตกอยู่ในความเงียบสงัด มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆที่สะท้อนก้องออกมา

           เนิ่นนานกว่าเสียงสะอื้นจะหายไป ความรู้สึกเกรงใจร่างหนาที่ต้องยืนปลอบประโลมให้ เริ่มเข้ามาแทนที่ความรู้สึกโศกเศร้า ร่างบางเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นอกหนาช้าๆ ค่อยๆยกมือขึ้นปากคราบน้ำตาออก ขนตายาวที่เปียกชื้นกระพริบมองเจ้าของแววตาคมเข้มครู่หนึ่งแล้วเคลื่อนหลบสายตาไปอีกครั้ง

          “ถ้าข้าต้องร้องแบบนี้ไปถึงเช้าท่านจะทำยังไงขอรับ” ร่างบางแกล้งเอ่ยถามออกมาอย่างเขินอายนิดๆ

         “ข้าก็ยืนได้ถึงเช้านั่นแหละ แต่ข้ามั่นใจว่า ยังไงเจ้าก็ต้องยอมหยุดก่อนที่บาทหลวงจะเข้ามาตอนเช้านั่นแหละ” ดาวิสคลี่ยิ้มตอบกลับมาอย่างมั่นใจ ทำให้ใบหน้าหวานขมวดคิ้วกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อที่พูดออกมานัก

         “แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่จบเนี่ย ข้าขอย้ายไปนั่งบนเก้าอี้ได้ไหม เผื่อข้าจะแอบหลับได้บ้าง” เห็นว่าลีนัสพอจะมีอารมณ์เล่นออกมาได้ ดาวิสจึงแกล้งพูดติดตลกกลับมาพลางชี้ไปทางเก้าอี้ยาวที่เรียงรายกันอยู่ในโบถส์

         “ขอบคุณที่ท่านลำบากออกมาหาข้าถึงนี่ ข้าไม่เป็นอะไรแล้วล่ะขอรับ ท่านกลับไปพักผ่อนเถอะ” ลีนัสรู้ดีว่าอีกฝ่ายน่าจะเหนื่อยกับการทำงานในวันนี้มามาก หลังจากที่ไกล่เกลี่ยสถาณการณ์ต่างๆเสร็จแล้วยังจะอุตส่าห์ออกมาหาเขาที่นี่อีก 

         “นี่ใช้งานเสร็จแล้วไล่ข้ากลับบ้านเลยสินะ” ดาวิสแกล้งแซวกลับไปทำให้ร่างบางต้องรีบแก้ตัวพัลวัน

          “ไม่ใช่อย่างนั้นนะขอรับ ข้าก็กลัวว่าท่านจะไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้อยากจะให้ท่านกลับจริงๆเสียหน่อยขอรับ” คำแก้ตัวของร่างบางทำให้ดาวิสกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างได้ใจ

          “จริงๆแล้วเจ้าไม่อยากให้ข้ากลับอย่างนั้นสินะ” ดาวิสทวนความหมายของอีกฝ่ายช้าๆ ยังผลให้ร่างบางหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา แม้จะไม่ชัดเจนนักภายใต้แสงเทียนอ่อนๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ร่างสูงอารมณ์ดีขึ้นมา

          “แล้วก็เจ้าไม่ต้องห่วงว่าข้าจะพักผ่อนไม่พอหรอกนะ ไว้หลังจากที่เจ้าย้ายเข้ามาที่ทำการเจ้าเมืองแล้ว ข้าจะให้เจ้ากล่อมข้าให้หลับสนิททุกคืนนชดเชยส่วนของวันนี้” ดาวิสก้มลงกระซิบเสียงแผ่วเบาข้างหู อย่างตั้งใจจะสื่อความหมายบางอย่าง ทำให้ลีนัสยิ่งหน้าแดงก่ำออกมา

           “ ...ท่านดาวิส!?” ลีนัสรีบยกมือตัวเองขึ้นปิดหูข้างที่ดาวิสกระซิบใส่ แล้วทำเสียงดุอีกฝ่ายกลับไปเบาๆพร้อมทั้งตีหน้าค้อนใส่ คนถูกดุกลับหัวเราะออกมาจากลำคอเบาๆอย่างพยายามกลั้นเอาไว้

           “ขออภัยๆ ข้าแกล้งเจ้ามากไปหน่อย มานั่งนี่มา ข้าว่าจะถามเรื่องซีมัสเสียหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง” ก่อนที่เจ้าตัวจะโดนเทศนาเรื่องการเคารพสถานที่ ดาวิสรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพลางเดินไปนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง และทำท่าตบที่นั่งข้างๆเรียกอีกฝ่ายมานั่งลง ลีนัสยอมเดินมานั่งข้างๆอย่างว่าง่าย ทว่าแววตายังฉายแววโกรธเคืองอีกฝ่ายอยู่

          “ซีมัสก็ไม่เป็นอะไรมากนักขอรับ ยังเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายอยู่ อาจจะยังรู้สึกแปลกแยกที่ถูกมองแบบนั้นแล้วก็…” ลีนัสเล่ามาถึงตรงนี้ก็เงียบไป ไม่รู้ว่าจะเล่าให้ดาวิสฟังดีหรือไม่

          “แล้วก็ ?” ดาวิสทวนคำด้วยความสงสัย แววตาที่ไม่ยอมสบมองคนเอ่ยถามยิ่งทำให้ดาวิสสงสัยหนักขึ้น

         “...ท่านอย่าเพิ่งรีบตัดสินอะไรจากสิ่งที่ข้าจะเล่าให้ท่านฟังได้ไหมขอรับ” ลีนัสขมวดคิ้วเอ่ยถามอีกฝ่ายก่อนด้วยสีหน้าลำบากใจ

         “ทำไมหรือ ซีมัสบอกรักเจ้าสินะ” ดาวิสเดาไปตามบริบทที่อีกฝ่ายให้ แต่ลีนัสก็ไม่คิดว่าดาวิสจะเดาได้ตรงขนาดนี้

         “...เอ๋?” เห็นร่างบางทำหน้าตกประหลาดใจที่ถูกเดาถูก ดาวิสก็หัวเราะออกมาจากลำคอเบาๆ

        “เจ็ดปีที่ผ่านมาข้าว่าข้าสนิทกับซีมัสยิ่งกว่าเจ้าอีกนะ ข้าพอจะเดาได้อยู่หรอก“ อดีตครูฝึกทหารเอ่ยขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ แววตาสีน้ำเงินเข้มมองทอดออกไปนอกหน้าต่างพลางนึกย้อนไป ถึงตอนที่ซีมัสยังตัวเล็กๆอยู่

         “รู้ไหม ตั้งแต่ที่ข้าเคยสอนเด็กมาทุกรุ่น ข้าไม่เคยเห็นเด็กคนไหนมีเป้าหมายและทุ่มเทกับการฝึกซ้อมขนาดนี้มาก่อน ข้าเคยถามเหตุผลของซีมัสอีกครั้ง และเหตุผลนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือวันหนึ่งเขาจะแกร่งพอที่จะปกป้องเจ้าให้ได้ เหตุผลของเด็กอายุสิบกว่าขวบวันนั้นทำเอาข้าอายเลยนะ” ดาวิสเริ่มต้นเล่าให้ลีนัสฟัง เรื่องนี้ลีนัสไม่เคยรู้มาก่อน เขารู้แต่เพียงว่าซีมัสเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายคนหนึ่ง 

          “ซีมัสไม่ได้มองว่าเจ้าเป็นพี่ชายหรอกนะลีนัส ไม่ใช่แม่ด้วย เป็นยิ่งกว่านั้น เป็นเจ้าของชีวิตของเขาก็น่าจะว่าได้นะ ถ้าความรู้สึกของเด็กที่เพิ่งเข้าสู่วัยรุ่นจะแปรปรวนออกมาแบบนี้ ข้าก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก”

          “ท่านไม่โกรธซีมัส...ใช่ไหม” ลีนัสเอ่ยถามเสียงแผ่ว เขากังวลไม่อยากจะให้เกิดปัญหาจากเรื่องแบบนี้ขึ้น ดาวิสพอจะทำใจเผื่อเรื่องตรงนี้ไว้แล้วบ้าง แต่คำถามของคนรักที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใย ออกตัวปกป้องซีมัส ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ

             “ถ้าจะบอกว่าข้าไม่โกรธเลยคงจะโกหก แต่ข้าก็เข้าใจ เจ้าช่วยตอบคำถามข้าคำเดียวก็พอลีนัส” ดาวิสช้อนใบหน้าหวานขึ้นสบตา จ้องมองลึกเข้าไปในแววตาสีแดงเพลิงของอีกฝ่ายอย่างจริงจังก่อนจะเอ่ยถามต่อ

            “ซีมัสทำให้เจ้าหวั่นไหวไหม” คำถามที่จริงจังนั้นทำให้ลีนัสกรอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด เขาเอียงคอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แล้วส่ายหน้ากลับมาเบาๆ

            “...เจ้าส่ายหน้าเพราะจะบอกว่าเจ้าไม่หวั่นไหว หรือเจ้าไม่เข้าใจความหมายของข้ากันแน่ลีนัส” แววตาสีน้ำเงินขยับเข้ามาจ้องมองใบหน้าหวานใกล้เข้าไปอีก จนทำให้ลีนัสรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

            “ข้าจะยกตัวอย่างให้เจ้าเข้าใจง่ายๆ” ดาวิสเอื้อมแขนไปรั้งร่างบางเข้ามากอดไว้ แล้วเคลื่อนริมฝีปากไปกระซิบเบาๆที่ข้างหู

            “ลีนัส ข้ารักเจ้า” สิ้นคำกระซิบแผ่วเบา ใบหน้าหวานก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ตลอดเวลาที่ผ่านมาดาวิสไม่เคยได้เอ่ยคำนี้ออกมาตรงๆให้เขาได้ยินสักครั้ง และตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่ามันจำเป็นที่ต้องเอ่ยออกมา ในเมื่อการกระทำของดาวิสที่่ทำอะไรให้เขามากมายขนาดนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่คิดว่าการที่ได้ยินคำนี้กระซิบออกมาจากปากคนรัก จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขได้ขนาดนี้

            “ระหว่างคำพูดของข้า กับซีมัส ใครทำให้ใจเจ้าเต้นได้มากกว่ากัน” ดาวิสคลายอ้อมกอดออกมาเพื่อจะสบตารอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย

             “.....” ลีนัสไม่รู้จะเอ่ยอะไรตอบกลับไป สมองเขาแทบจะขาวโพลนเพียงเพราะคำๆเดียว นิ้วเรียวคว้ามือหนาของอีกฝ่ายขึ้นมาวางบนกลางอกของตน เพื่อให้ดาวิสได้รับรู้ถึงแรงเต้นของหัวใจตัวเองที่เหมือนจะระเบิดออกมาเพราะความสุขที่ถาโถมเข้ามามากเกินไป

             ดาวิสคลี่ยิ้มขึ้นมาจางๆเมื่อสัมผัสถึงเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เขาโน้มศีรษะของลีนัสเข้าหาแผ่นอกกว้างของเขาอย่างนุ่มนวล เพื่อให้คนรักได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเช่นกัน ดาวิสเองก็ไม่เคยคิดว่า การเอ่ยคำง่ายๆคำนี้มันทำให้เขาต้องตื่นเต้นได้ถึงเพียงนี้

            “ข้าก็รักท่าน” ลีนัสกระซิบเบาๆบอกเจ้าของเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างหู ก่อนจะหลับตาลงฟังเสียงหัวใจของคนรักอย่างตั้งใจ โถงกว้างของโบถส์ก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง



Controversy 1/3 end
[คุยคนเดียว]
หวานกันหยดย้อยบ้างไรบ้าง เขียนไปขนลุกไป (แอร์ลง หนาว)
วันนี้ขยันเคาะบรรทัด อ่านง่ายกว่ามั้ยอ่า มีใครมีวิธีเคาะทีเดียวเสร็จเลยป่ะ เมื่อย
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 5 Controversy :3/3) 15 Oct.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 15-10-2015 16:44:15
Act.5 Controversy (2/3)

      แสงแดดอ่อนๆในยามเช้าสาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างโบถส์ แสงสว่างทำให้แพขนตาหนากระพริบลืมขึ้นมาช้าๆ ความรู้สึกปวดหนึบที่เอวและต้นคอเมื่อขยับตัวทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน เมื่อลืมตาขึ้นมาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็หวนกลับเข้ามาโดยสมบูรณ์ เหตุที่เขาปวดเอวกับต้นคอเพราะเขานั่งหลับไปทั้งๆที่ซบอยู่บนแผ่นอกของดาวิส พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าคมนั่งหลับพิงแขนตัวเองที่ยันค้ำไว้กับพนักที่นั่ง เป็นท่าที่ไม่น่าจะเชื่อว่าจะหลับอยู่ได้
   
       ถึงจะรู้จักดาวิสมานานหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ลีนัสได้เห็นใบหน้ายามหลับที่ดูไม่มีพิษมีภัยของอีกฝ่าย ครั้งแรกที่ลีนัสมีเวลานั่งพินิจใบหน้าคมเข้มโดยไม่ต้องเกรงใจแววตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองกลับมา เขาเพิ่งสังเกตเห็นขี้แมลงวันเล็กๆที่แอบอยู่ข้างสันจมูกโด่ง เรื่อยขึ้นมามีรอยแผลเป็นจางๆที่หางตาข้างขวา เขาคิดว่านั่นน่าจะมาจากพฤติกรรมซนๆตอนเด็กของเจ้าตัวเป็นแน่ เพราะรอยนั้นเบาบางจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว ลีนัสพยายามนนึกภาพชายหนุ่มผู้นี้ตอนที่ยังเป็นเด็กดื้อจอมซนคนหนึ่ง ภาพที่จินตนาการขึ้นมาทำให้ร่างบางเผลอขำออกมาเบาๆ แรงสั่นจากการหัวเราะทำให้หัวคิ้วของผู้ที่ถูกมองขยับย่นเข้าหากันนิดๆ แต่ก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมา
       
      ระหว่างที่ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาหรือไม่อยู่นั้น ลีนัสกก็สังเกตเห็นรอยคล้ำนิดๆที่ใต้ตา ช่วงนี้ดาวิสคงจะพักผ่อนไม่ค่อยพอ เมื่อคืนนี้ยังอุตส่าห์ออกมาหาเขาที่นี่ซ้ำยังปล่อยให้เขาหลับไปทั้งท่านี้โดยไม่ปลุกเขาอีก พอคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้หวนนึกถึงคำพูดของดาวิสเมื่อคืนนี้ ที่บอกให้เขาไปชดเชยด้วยการกล่อมเจ้าตัวก่อนนอนทุกคืน จังหวะนั้นเองแววตาสีน้ำเงินเข้มก็ลืมขึ้นสบตาเขากลับมาทันที ทำเอาร่างบางสะดุ้งตกใจ

     “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าทำอะไรของเจ้าอยู่” นัยน์ตาคมเข้มขมวดคิ้วมองร่างบางแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน จริงๆแล้วเขาตื่นตั้งแต่เจ้าร่างบางขยับตัวลุกขึ้นมาแล้ว เพียงแต่แกล้งหลับตาเอาไว้เพื่อจะรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำยังไงต่อไปถ้าเห็นว่าเขายังไม่ตื่น ถึงจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเขาก็สัมผัสได้ว่ากำลังถูกร่างบางจับจ้องอยู่ เขาไม่คิดว่าการแกล้งหลับจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดนี้ ยิ่งรู้ว่าโดนจ้องก็ยิ่งนั่งตัวเกร็งจนเมื่อยไปหมด ซ้ำร้ายอยู่ๆร่างบางก็ขำออกมาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลอีกต่างหาก ดาวิสสุดจะทานทนจึงต้องยอมลืมตาขึ้นมา ก็พบกับใบหน้าหวานกำลังนั่งจ้องมองเขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่ออยู่

     “ช่วยอธิบายสิ่งที่เจ้าขำออกมาเมื่อครู่ด้วยนะหมายความว่าอะไร แล้ว….” ดาวิสหยุดไปครู่หนึ่ง จากใบหน้าที่ดูงุนงงสงสัยอยู่ๆก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา พร้อมโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆแล้วกระซิบถามต่อเบาๆ

     “...ที่เจ้าหน้าแดงอยู่นี่เพราะแอบคิดอะไรไม่ดีอยู่รึเปล่าลีนัส”

     “...!!? ปะเปล่านะขอรับ ท่านนั่นแหละ ตื่นอยู่แล้วแกล้งหลอกข้าว่าหลับอยู่ทำไมล่ะขอรับ” ลีนัสรีบปฏิเสธทันที พร้อมกับรีบไล่ความคิดเมื่อครู่ออกไป

     “ข้าก็แค่ แอบหวังนิดๆว่าเจ้าจะจูบอรุณสวัสดิ์ข้าไหม ไม่คิดว่าเจ้าจะแอบคิดอะไรของเจ้าอยู่คนเดียวแบบนั้น” ยิ่งดาวิสเอ่ยแซวมากเท่าไหร่ ลีนัสก็ยิ่งหน้าแดงมากขึ้นเท่านั้น เห็นแล้วอยากจะฝั่งหน้าลงกับพวงแก้มนุ่มสีมะเดื่อตรงหน้า แต่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของคนข้างนอกกำลังเดินเข้ามาที่โบถส์คนหนึ่ง จึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วจัดท่าทางตัวเองให้เหมาะสม
เสียงประตูโบถส์เคลื่อนเปิดเข้ามาพร้อมกับแสงยามเช้าสาดส่องเป็นเส้นสีทอง ทอดยาวมาถึงกลางโบถส์ เฮมิสเดินเข้ามาในชุดสีดำสนิท แววตาสีเขียวใสทอดมองมายังชายหนุ่มทั้งสองแล้วคลี่ยิ้มออกมา

     “อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านเฮมิส” ดาวิสเอ่ยทักทายเหมือนปกติ

     “มาถึงกันเช้านะ” ลีนัสรู้ดีว่าเฮมิสแกล้งพูดประชด มีหรือที่ลีบลาระดับเฮมิสจะไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ในเมื่อเฮมิสไม่ได้กล่าวถึง ลีนัสก็ทำตัวตามน้ำไป

     “อรุณสวัสดิ์ขอรับ” ลีนัสลุกขึ้นหันไปเอ่ยทักทายบ้าง

     “ข้าขอยืมตัวว่าที่เจ้าเมืองของข้าครู่หนึ่งนะดาวิส ตามข้ามานี่สิลีนัส” เฮมิสเดินเข้ามาถึงก็กวักมือเรียกลีนัสไปคุยที่ห้องพักข้างหลังทันที แน่นอนว่าลีบลาทั้งสองคนนี้สามารถสื่อสารกันผ่านภูตได้ก็จริง แต่เรื่องสำคัญอย่างมอบตำแหน่งเจ้าเมืองนี้ จำเป็นต้องคุยกันต่อหน้าสักครั้งก่อนจะตัดสินใจประกาศออกไป เฮมิสถึงได้มาที่โบสถ์แต่เช้าเช่นนี้
ดาวิสมองตามหลังทั้งสองคนเดินหายไปที่ห้องข้างหลังแล้ว ก็ขยับยืดเส้นยืดสายขยับคลายข้อมือข้างที่ใช้พิงศีรษะตัวเองมาทั้งคืน อยู่ๆก็มีเสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมา

    “อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว บางทีก็ไม่ต้องฝืนขนาดนั้นก็ได้นะขอรับ” ดาวิสหันกลับไปมองที่ต้นเสียงด้านหลัง เห็นซีมัสที่กำลังเดินเข้ามาในโบถส์คลี่ยิ้มทักทายมา
เจ็ดปีที่ผ่านมาทำให้ซีมัสสนิทสนมกับดาวิสพอสมควร การวางตัวที่ไม่ถือตัวอะไรของดาวิส ทำให้ทั้งซีมัสและนายทหารคนอื่นๆ กล้าที่จะแกล้งหยอกเล่นกันบ้างเป็นธรรมดา แต่วันนี้ดูจะข้ามเส้นเกินไป ดาวิสรู้สึกได้ว่าเป็นการหยอกเล่นนี้ ดูจะมีจุดประสงค์แอบแฝงที่ชัดเจนอยู่พอตัว

    "ว่าไงซีมัส มาเช้านะ" ดาวิสเอ่ยทักกลับไปอย่างเป็นปกติ แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจสิ่งที่ซีมัสเอ่ย

    "ข้าก็ตามท่านพี่มาตั้งแต่เมื่อคืนนั่นแหละขอรับ เพียงแต่ไม่อยากเข้าไปขัดเวลาของท่านพี่" ดาวิสรู้ดีว่าซีมัสมีประสาทหูที่ดีกว่ามนุษย์ทั่วไปเพราะลีนัสเคยเล่าให้ฟัง ไม่น่าแปลกใจอะไรถ้าอีกฝ่ายจะได้ยินบทสนทนาถึงเจ้าตัวเมื่อคืน และนั่นคงจะเป็นเหตุผลที่เด็กหนุ่มแกล้งเอ่ยทักเขาเช่นนั้น ดาวิสไม่อยากจะถือสาว่าความเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะโดนคนที่แอบรักปฏิเสธไป แต่ดูเหมือนซีมัสต้องการจะประกาศสงครามกับเขาจริงๆ

    "คนนอนอยู่ข้างๆลุกออกมาข้างนอกกลางดึก มีหรือข้าจะไม่รู้ตัว" ซีมัสเอ่ยขึ้นมาอย่างตั้งใจจะยั่วให้ดาวิสหึง แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเพียงแค่ถอนหายใจยาวออกมา

    "เอาอย่างนี้นะซีมัส เจ้ามีอะไรอยากจะบอกข้าก็พูดมาตรงๆเถอะ ข้าขี้เกียดจะเล่นใบ้คำกับเด็กอย่างเจ้า" ดาวิสเอ่ยจี้เข้าที่ปมของอีกฝ่ายกลับไป ซีมัสนึกอยากพุ่งเข้าไปต่อยเจ้าของคำพูดนั้นสักที แต่ก็รู้ตัวทันว่านั่นจะยิ่งกลายเป็นการกระทำที่บ่งบอกว่าเขายังเด็กอยู่จริงๆ เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจหนักๆกลับมาอย่างหงุดหงิด

    "...ข้าจะบอกว่า ความรู้สึกของข้าที่มีต่อท่านพี่ไม่ได้เกิดจากความแปรปรวนอะไรอย่างที่ท่านว่า ข้ามั่นใจว่าข้ารักท่านพี่ และข้ายินดีรอจนกว่าท่านพี่จะเปลี่ยนใจไปจากท่าน"

    "เจ้าก็รอไปละกันนะ" ดาวิสคลี่ยิ้มตอบกลับไปอย่างสบายใจ ทำให้ซีมัสยิ่งรู้สึกฉุน

     "รอข้าเป็นการ์เดี้ยนของท่านพี่ก่อนเถอะ ข้าจะมีเวลามากพอที่จะทำให้ท่านพี่หันมามองข้าบ้าง คอยดูสิ" ดาวิสดูจะให้ความสนใจกับหัวข้อนี้ขึ้นมานิดๆจึงเอ่ยถามกลับมา

     "ลีนัสคุยกับเจ้าเรื่องการ์เดี้ยนแล้วรึ"

     "ใช่ ต่อไปหน้าที่ดูแลท่านพี่จะเป็นของข้า ท่านก็ทำงานส่วนของท่านไป" ซีมัสเห็นว่าเรียกความสนใจของอีกฝ่ายได้ก็รีบคุยโวทันที แต่ดาวิสกลับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่จนต้องพ่นลมออกมาพร้อมกำมือยกมือขึ้นปิดปาก ทำเอาเด็กหนุ่มขมวดคิ้วทำตาขวางมองอีกฝ่ายกลับไป

     "...ขอโทษๆ ไม่มีอะไร ดีแล้วๆ ข้าเคยบอกแล้วไงว่าเจ้าจะได้ช่วยข้าดูแลลีนัสให้ข้า" ตั้งแต่วันแรกที่เขาได้รู้จักลีนัส เด็กหนุ่มร่างบางที่ดูไม่น่าจะทำอะไรได้มาก เดินลุยกองเพลิงเข้าไปพาซีมัสออกมาได้ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าลีนัสเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าที่เห็นเยอะ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร จุดอ่อนเดียวของลีนัสที่ทำให้ดาวิสได้มีโอกาสเข้าไปเสนอตัวและมีตัวตนในใจของร่างบางได้ทุกวันนี้ ก็คือซีมัส เด็กลูกครึ่งภูติที่เจ้าตัวได้เดิมพันทุกสิ่งทุกอย่าง อ้าแขนรับภาระอันยิ่งใหญ่นี้ไว้
และดาวิสก็รู้เหตุผลของการเลือกซีมัสเป็นการ์เดี้ยนดี นั่นเพราะ เขาจะได้คอยดูซีมัสอยู่ใกล้ๆ ไม่ปล่อยให้คลาดสายตาไปก่อปัญหาได้ คนที่ถูกดูแลจริงๆแล้วคือซีมัสต่างหาก ดาวิสไม่อยากจะพูดออกไป เพราะถ้าทำให้ซีมัสรู้เข้า อาจจะก่อปัญหาน่าปวดหัวให้ลีนัสได้ จึงรีบปิดบทสนทนาเสีย

     "ถ้าอย่างนั้นข้าฝากลีนัสไว้ที่เจ้าละกันนะ ว่าที่การ์เดี้ยนเจ้าเมือง"ดาวิสตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นขยี้ผมของอีกฝ่ายอย่างเคยชิน

     "นี่ลีนัสตัดให้เจ้าใหม่ใช่ไหม น่ารักดีนะ" ดาวิสเอ่ยทิ้งไว้ด้วยน้ำเสียงเอ็นดูเหมือนว่ากำลังคุยกับเด็กตัวเล็กๆก่อนจะเดินออกจากโบถส์ไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มโกรธจนหน้าแดงก่ำอยู่คนเดียวในโบสถ์



      งานศพของโลแกน บุคคลผู้ไร้ซึ่งญาติพี่น้องแล้ว กลับมีแขกเข้าร่วมมากมายและจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ หลังจากที่เสร็จสิ้นงานในช่วงเย็นวันนั้น แขกที่เข้ามาร่วมไว้อาลัยหลายคนยังคงหลงเหลืออยู่เพื่อพูดคุยกับว่าที่เจ้าเมืองหนุ่ม หัวข้อสนทนานั้นไม่ใช่เรื่องที่เฮมิสประกาศจะสละตำแหน่งรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และส่งมอบให้เจ้าตัว แต่หัวข้อสนทนานั้นเกี่ยวกับโลแกนทั้งสิ้น ประหนึ่งว่าเขาเป็นญาติของผู้เสียชีวิตคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ ตั้งแต่เริ่มงานแขกเข้าออกเกือบทุกคนต้องเดินเข้ามาทักลีนัสทั้งสิ้น ถ้าจะมีส่วนที่ไม่ได้เข้าไปทัก ก็เป็นเพราะซีมัสที่ไม่ยอมห่างไปจากพี่ชายแม้แต่น้อย มีคนจำนวนหนึ่งที่ยังจำเขาในร่างภูติ และเปลวเพลิงที่เจ้าตัวทำให้ชาวเมืองตื่นตกใจกันไปยกใหญ่ได้

      ดาวิสที่ยืนมองอยู่ห่างๆแอบคิดอยู่ว่า การแต่งตั้งการ์เดี้ยนที่มีคนเกรงกลัวแบบนี้ก็เป็นข้อดีไม่น้อย ที่ช่วยให้คนไม่กล้าทำอะไรหรือแม้แต่พูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจของลีนัสต่อหน้าการ์เดี้ยน แต่ก็มีคนที่ไม่รู้สึกเกรงกลัวอยู่เช่นกัน

     “ท่านว่าที่เจ้าเมือง ข้าน่ะรู้จักท่านโลแกนมานานมากแล้ว ข้ารู้ว่าท่านก็รู้ดี ว่าท่านโลแกนเป็นคนดี ข้าถามจริงๆเถอะ หากเป็นท่าน ท่านจะทำเช่นนี้ไหม” คำถามที่มีใครหลายต่อหลายคนอยากจะรู้ แต่ไม่กล้าถาม ในที่สุดก็โพล่งออกมาจนได้ ทั้งดาวิสกับบิดาที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนัก ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย ก็รีบหันไปมองคนเอ่ยถามทันที

     “...ดามอนต์” ดาวิสเห็นว่าเป็นน้องชายของตนก็รีบเดินไปหาเพื่อจะดึงตัวออกมา แต่ก็ถูกเฮมิสยกมือขึ้นมาแตะที่ไหล่หนาเพื่อบอกให้เขาหยุดรออยู่ตรงนั้น

     “เจ้าไม่ต้องทำอะไรหรอกดาวิส ถ้าเรื่องแค่นี้ลีนัสจัดการเองไม่ได้ ข้าไม่เลือกให้เป็นเจ้าเมืองหรอก” ดาวิสเข้าใจว่าการปกป้องลีนัสมากเกินไปจะทำให้คนมองว่า ลีนัสเป็นแค่เจ้าเมืองหุ่นเชิดของตระกูลเฮนดริคเซ่น ที่เป็นรองเจ้าเมืองมาหลายสมัย สิ่งที่ดาวิสกังวลไม่ใช่เรื่องคำถามก่อกวนที่ทำร้ายจิตใจนั่น แต่กังวลพฤติกรรมของดามอนต์ที่เคยตั้งใจจะฆ่าซีมัสเมื่อคืนนี้ต่างหาก
แววตาสีเขียวใสของดามอนต์หันมาประทะกับพี่ชายที่มองมาอย่างกังวล ดามอนต์ก็ยกมุมปากขึ้นมานิดๆอย่างตั้งใจจะยียวนพี่ชายตัวเอง ดาวิสอยากจะเข้าไปขวางดามอนต์เดี๋ยวนั้น แต่ฝ่ามือของเฮมิสที่แตะเบาๆอยู่บนไหล่ไม่ยอมยกออกไปไหนจนกว่าเขาจะยอมถอย

     “เจ้าต้องการอะไรดามอนต์” ถึงดาวิสจะไม่ได้เข้าไปขวาง แต่ก็ยังมีซีมัสที่อยู่ใกล้ที่สุด เดินเข้ามายืนข้างหน้าลีนัส

     “ไงซีมัส แข็งแรงดีนะเจ้าน่ะ” ดามอนต์คลี่ยิ้มทักทายอีกฝ่ายกลับไปอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จะขยับปากพูดอะไรบางอย่างออกมา ทำให้อยู่ๆซีมัสก็เดือดดาลขึ้นมา

     “เจ้า!!” ซีมัสยกมือขึ้นจับปกคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาจะเอาเรื่อง แต่ลีนัสรีบยกมือขึ้นมาวางบนมือข้างนั้นของซีมัสทันที เป็นสัญญาณบอกให้หยุดโดยไม่ต้องเอ่ยปากพูดออกมา มือแกร่งยอมปล่อยออกจากคอเสื้อของดามอนต์ทันที แล้วย้ายมาจับมือของลีนัสแทน

     “ขออภัย ที่ทำให้ตกใจ” ลีนัสหันไปขอโทษแขกแถวนั้น พลางดึงมือให้ซีมัสกลับมายืนข้างหลังอย่างว่าง่าย 

     “ส่วนคำถามเมื่อครู่ของเจ้า ขอบใจที่เจ้าถามออกมา ข้าเชื่อว่าหลายคนในที่นี้เองก็อยากจะทราบ แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถาม” ลีนัสกวาดตามองแขกที่ยืนอยู่รอบๆแถวนั้นก่อนจะเอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด

    “ไม่ว่าจะในฐานะไหน ข้าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ขอรับ แต่ข้าก็เคารพการติดสินใจของท่านเฮมิสที่ดูแลเวลเฮมมิน่ามาเกือบยี่สิบปีอย่างราบรื่นด้วยเช่นกัน" ลีนัสตอบกลับมาด้วยความจริงใจ ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านหลายคนที่รอฟังคำตอบอยู่

     "หากข้าเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินเรื่องนี้ ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกันขอรับ หากแต่คนที่เจ็บที่สุด ไม่ใช่ท่านเฮมิส แต่เป็นตัวข้าเอง" ลีนัสรู้ดีว่ามันหนักหนาเพียงไรที่ต้องตัดสินใจไปเช่นนั้น หากเป็นตัวเขาเองอาจจะยังทำใจไม่ได้ถึงตอนนี้ แววตาที่แสดงความเสียใจของลีนัส ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเห็นใจตามไปด้วย แต่ผู้ที่เอ่ยถามกลับไม่พอใจกับคำตอบนั้นสักนิด

     “ข้าไม่เข้าใจพวกเจ้าเลยสักนิด ทำไมถึงได้เชื่ออะไรง่ายอย่างนี้นะ ข้ายังไม่เห็นว่าเรื่องกฏระเบียบนั่นมันควรจะสำคัญขนาดนั้นเลย” ดามอนต์มองคนรอบข้างอย่างหงุดหงิด พร้อมบ่นออกมาก่อนจะปลีกตัวจากไป แต่ลีนัสก็เดินตามไปแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆเพื่อรั้งไว้

    “เดี๋ยวก่อนดามอนต์ ข้ายังมีเรื่องที่......” ไม่ทันได้เอ่ยไปมากกว่านั้น ดามอนต์ก็สะบัดมือของเขาออก

    “อย่ามาจับข้า!! เจ้าพ่อมด” ดามอนต์ตะโกนทิ้งไว้ก่อนจะเดินหนีหายไป แขกในงานได้ยินเช่นนั้นถึงกับตกใจแทนคนที่ถูกกล่าวหาเช่นนั้น ซีมัสเห็นกิริยาของดามอนต์ที่มีต่อพี่ชายของตนก็หงุดหงิด อยากจะตามไปลากตัวกลับมาขอโทษ แต่ลีนัสยังคงจับมือของเขาเอาไว้แน่น เป็นสัญญาณที่บอกให้เขาอยู่เฉยๆ จึงได้แต่อดทนยืนมองแผ่นหลังของดามอนต์วิ่งหายไปด้วยความโกรธเคือง

     “ข้าขอโทษด้วยที่สอนน้องชายตัวเองไม่ดีเอง เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย” ดาวิสเดินมายืนข้างๆลีนัสแล้วเอ่ยขอโทษ ทว่าร่างบางยืนนิ่งงันไม่เอ่ยตอบอะไรกลับมา

     “ลีนัส?” ดาวิสเรียกอีกครั้งกังวลว่าดามอนต์จะพูดแรงเกินไป จนทำให้ลีนัสเงียบไปแบบนี้ ลีนัสหันมาขมวดคิ้วมองดาวิสอย่างแคลบแคลงใจโดยที่ไม่เอ่ยอะไรออกมา ก่อนจะหันกลับไปยิ้มจางๆให้แขกคนอื่นๆ

     “ขออภัยทุกท่านด้วยนะขอรับ ข้ามีภาระกิจอื่นที่ต้องสะสาง ขอตัวเพียงเท่านี้ เอาไว้โอกาสหน้าค่อยคุยกันใหม่นะขอรับ” ลีนัสโค้งศรีษะลาแขกแล้วหันมาเอ่ยสั้นๆกับดาวิส

    “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับท่าน” ลีนัสเรียกให้ดาวิสเดินตามเขาไป โดยที่ยังจับมือซีมัสไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ดาวิสรู้สึกประหลาดใจที่ลีนัสพูดเชิงออกคำสั่งกับเขาเป็นครั้งแรก อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนได้ทำความผิดอันร้ายแรงเข้าให้อย่างบอกไม่ถูก เพราะมีน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นลีนัสโกรธ แค่คำพูดของดามอนต์แค่นั้นไม่น่าจะทำให้ลีนัสโกรธได้ถึงขนาดนี้ ดาวิสคิดไปพลางเดินตามเจ้าตัวเข้าไปในห้องเล็กที่ใช้สำหรับเก็บของอยู่ข้างๆโบถส์

    “ข้าขอโทษนะซีมัส ข้าขอคุยกับท่านดาวิสก่อน” ลีนัสหันไปเอ่ยบอกพร้อมกับยกมือขึ้นแตะเบาๆที่ข้างขมับเด็กหนุ่ม
 
    “ขอรับ?....” ซีมัสเอ่ยถามกลับมาด้วยสีหน้างุนงงแล้วอยู่ๆก็รู้สึกสลึมสลือทันที เปลือกตาอันหนักอึ้งปิดลงมาพร้อมกับร่างหนาที่ทรุดฮวบลงมาพิงที่ลีนัส ดาวิสจึงเดินเข้าไปช่วยพยุงร่างของซีมัสที่หลับไม่รู้เรื่องลงมานั่งพิงกำแพงเอาไว้ ลีนัสทรุดตัวลงมานั่งข้างๆ ไล่ปลายนิ้วเสยปอยผมสีทองของน้องชายขึ้นเบาๆ แววตาสีเพลิงจ้องมองใบหน้าซีมัสที่หลับสนิทด้วยความเอ็นดู ดาวิสแอบคิดอยู่ว่าสายตาที่แอบมองเขาตอนหลับเมื่อเช้านี้จะเป็นแบบนี้เหมือนกันไหม

     “...ไม่คิดว่าปีศาจอย่างเจ้าจะหนังเหนียวขนาดนี้…” ลีนัสเอ่ยออกมาเบาๆ

    “หะ?” แววตาอ่อนโยนนั้นอยู่ๆก็ดูแข็งกร้าวแล้วหันมาจับจ้องที่ดาวิสแทน

    “นั่นคือสิ่งที่ดามอนต์กระซิบบอกซีมัส ท่านรู้ไหมว่าน้องชายท่านเป็นคนแทงซีมัสเมื่อคืนนี้” ลีนัสว่าพลางลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นกอดอกถามดาวิสด้วยสีหน้าจริงจัง

     “อา…..” ในที่สุดดาวิสก็พอจะเข้าใจต้นเหตุของอาการโกรธเคืองของพ่อพระผู้อ่อนโยนคนนี้แล้ว

     “ข้ารู้” ดาวิสตอบรับตรงๆพร้อมกับลุกขึ้นประชันหน้าอีกฝ่ายกลับไปบ้าง เขานึกรำคาญใจนิดๆ ที่ว่าเรื่องที่ทำให้ลีนัสโกรธขึ้นมาขนาดนี้ได้เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับซีมัส

     “แล้วท่านก็ปล่อยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือขอรับ” ลีนัสขมวดคิ้วถามอย่างไม่พอใจ

    “ข้าไม่ได้ปล่อย เมื่อคืนนี้ข้าก็คุยกับดามอนต์เรื่องนี้แล้ว…” ดาวิสคิดย้อนกลับไปถึงเมื่อคืน ที่สุดท้ายแล้วมารดาของตนก็ออกมาปกป้องน้อง แล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น นึกแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาตงิดๆ

    “แล้วยังไงขอรับ” ลีนัสคาดครั้นต่อ

     “แล้วยังไง..?” ดาวิสนึกทวนคำถามอย่างหงุดหงิด  ทำไมลีนัสถึงพูดให้รู้สึกเหมือนการที่ดามอนต์ทำร้ายซีมัสเป็นความผิดของเขาอย่างไรอย่างนั้น ดาวิสถอนหายใจหนักๆพยายามจะสงบสติอารมณ์ตัวเอง

    “ลีนัส เจ้าอยากให้ข้าทำยังไงบอกข้ามาแล้วกัน ข้าก็ไปต่อกับเรื่องนี้ไม่ถูกเหมือนกัน”

     “อย่างน้อยๆท่านก็น่าจะบอกข้าให้รู้เรื่องนี้นะขอรับ” คำตอบนั้นนั้นทำให้ดาวิสต้องหายใจเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง เขารู้สึกว่านี่เป็นด่านสุดท้ายที่เขาจะข่มกลั้นอารมณ์และยังคุยด้วยเหตุผลต่อไปได้

    “ลีนัส เจ้าจะให้ข้ารายงานเจ้าตอนไหนเหรอ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ข้าเพิ่งจะได้คุยกับดามอนต์เมื่อคืนนี้ เจอหน้าเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับเรื่องไปมากกว่านี้ ข้าถึงได้ยังไม่คุยกับเจ้าเรื่องนั้น เข้าใจไหม” ดาวิสตั้งใจเน้นย้ำคำว่า”รายงาน”เพื่อจะประชดประชันอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

     “...ท่านดาวิส บางทีข้าก็เบื่อที่ท่านปกป้องข้ามากเกินไป ข้าไม่ใช่คนที่อ่อนแอขนาดนั้นนะขอรับ บางทีข้ารู้สึกว่าข้าอาจจะอ่อนแอเพราะมีท่านที่คอยปกป้องข้ามากเกินไปอยู่ เช่นกันกับที่ท่านปกป้องน้องชายของท่านเอง ทั้งๆที่ทำผิดลงไปแต่ท่านก็ไม่ทำได้ทำอะไร ถึงได้โตมาเป็นแบบนี้ไงล่ะขอรับ” ดาวิสรู้สึกได้ถึงเส้นบางๆเส้นหนึ่งที่ขวางกั้นอารมณ์ของเขาเอาไว้ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี เขาเป็นคนที่ไม่เคยเห็นด้วยกับการที่มารดาของตนปกป้องดามอนต์เกินเหตุ แต่เขาก็ทำอะไรมากไม่ได้ พอโดนกล่าวหาว่าเป็นคนปกป้องน้องเสียเองแบบนี้ ทำให้เขาล้มเลิกความพยายามที่จะคุยดีๆกับอีกฝ่ายไปในทันที

    “ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าจะกล้าสั่งสอนข้าเรื่องนี้ได้ ทั้งๆที่เจ้านั่นแหละ ที่ปกป้องประคบประงมน้องชายมากเกินไป ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่เจ้าไม่ยอมปล่อยให้ซีมัสอยู่ห่างจากตัว เวลาอยู่กับข้าเจ้าก็ชอบถามถึงแต่ซีมัส จนทำให้ข้าหงุดหงิด ไหนเอยที่เจ้าจะแต่งตั้งซีมัสเป็นการเดี้ยน ก็เพราะกลัวว่าซีมัสจะกลับเข้าไปทำงานกับคนอื่นไม่ได้แล้ว กลัวว่าจะเกิดปัญหา ถึงได้เอามาไว้ใกล้ๆตัวไม่ใช่รึไง ทำไมข้าจะไม่รู้ ไหนบอกข้าสิว่าใครกันแน่ที่ปกป้องน้องมากเกินไป” ดาวิสระเบิดออกมาชุดใหญ่ ทำเอาร่างบางชะงักไปไม่ใช่น้อย จริงอยู่ที่ช่วงแรกๆลีนัสมักจะถามถึงซีมัสอยู่บ่อยๆ นั่นเป็นข้ออ้างที่เจ้าตัวใช้ในการเข้าบทสนทนา และอาจจะใช้มากไปจนเคยชิน ไม่ทันได้รู้เลยว่านั่นจะทำให้ดาวิสแอบหงุดหงิดมาตลอด

     “...ข้า…” 

    “ดูเหมือน ข้าจะเป็นตัวปัญหาตรงนี้นะขอรับ” อยู่ๆซีมัสที่น่าจะนอนหลับพิงผนังห้องอยู่ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

    “...ซีมัส” ลีนัสหันไปมองซีมัสด้วยความประหลาดใจ ทำไมเวทย์ที่ร่ายไปถึงใช้ไม่ได้กับซีมัส

     “ดูเหมือนเวทย์ของภูติระดับล่าง ทำอะไรภูติระดับบนไม่ค่อยได้เท่าไหร่นะขอรับ ทะเลาะกันเสียงดังขนาดนี้ ไม่ให้ข้าตื่นก็แย่แล้วล่ะ” ซีมัสลุกขึ้นยืนบ้างพร้อมกับเอ่ยบ่นเหมือนคนอยากจะนอน แต่ถูกปลุกให้ตื่น

      “ท่านพี่….ข้าขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องลำบากขนาดนี้” ซีมัสเดินมาเตะไหล่พี่ชายตัวเองเบาๆ เอ่ยทิ้งไว้สั้นๆแล้วเดินปลีกตัวออกไปจากห้องๆนั้น

    “เดี๋ยว ซีมัส เจ้าจะไปไหน” ลีนัสเดินไปจะคว้าท่อนแขนของน้องชายเพื่อรั้งตัวเอาไว้ แต่ซีมัสก็สะบัดทิ้งไปอย่างไม่ใยดีแล้วเดินหนีหายออกไป

     “ข้ายังคุยกับเจ้าไม่จบนะลีนัส แล้วเจ้าจะตามไปตอนนี้ยังไงก็ไม่ทันซีมัสหรอกนะ” ดาวิสเอ่ยดักลีนัสไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งตามซีมัสออกไป ร่างบางหันกลับมาที่ดาวิสครู่หนึ่งอย่างลังเลใจ

     “ขอโทษขอรับ เรียบร้อยแล้วข้าจะรีบไปหาขอรับ” ลีนัสก้มหัวขอโทษอีกฝ่ายแล้วรีบผละจากไป เหมือนเห็นเหตุการณ์ซ้ำกับเมื่อคืนนี้อีกครั้ง คิดแล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา

       “...เมื่อไหร่จะโตๆกันเสียที…”


2/3End ต้องใช้3ตอน....เกินมา100ตัว = =''
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 5 Controversy :3/3) 15 Oct.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 15-10-2015 17:06:19
Act 5 : Controversy (3/3)


       ถนนอันเงียบสงัดที่วิ่งตรงเข้าสู่เขตป่า เป็นเส้นทางที่มีเพียงพรานและคนตัดไม้ใช้เดินผ่านเท่านั้น จึงไม่ค่อยมีใครสัญจรไปมาแถวนี้นัก ตอนนี้มีเพียงเงาของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนยกมือพิงต้นไม้อยู่ เสียงหายใจหอบเบาๆแว่วขึ้นมาแทรกเสียงลมอ่อนๆที่พัดโดนใบไม้ใบหญ้า ลีนัสวิ่งตามหลังซีมัสออกไปได้ไม่นานนัก เขาก็วิ่งตามไม่ทันจนคลาดสายตาเหมือนเคย เขานึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ รู้ทั้งรู้ยังไงก็วิ่งตามเด็กหนุ่มที่มีสุขภาพแข็งแรง ซ้ำยังเป็นลูกครึ่งภูติอย่างซีมัสไม่ทัน แล้วยังจะออกมาวิ่งตามแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

      พอคิดถึงเหตุการณ์ซ้ำๆอย่างเมื่อวานนี้แล้ว ทำให้ลีนัสรู้สึกตัวว่าการเลี้ยงดูซีมัสของเขาอาจจะผิดพลาดไปจริงๆอย่างที่ดาววิสว่า พอนึกขึ้นได้เขาก็เลิกที่จะตามหาต่อไป เพราะยิ่งวิ่งตามซีมัสก็มีแต่จะหนีไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เขาควรจะปล่อยให้ซีมัสอยู่นอกสายตาเขาดูบ้าง
 
      ลีนัสยืนพักพอจะหายเหนื่อยก็ตัดสินใจเดินกลับไปเพื่อจะขอโทษดาวิสอีกครั้ง ยิ่งคิดถึงสิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่ก็ยิ่งรู้สึกผิด และคำพูดของดาวิสที่พูดถึงการติดสินใจของเขาเองก็ไม่ผิดเลยสักนิด เขาปกป้องซีมัสมากเกินไปจริงๆ ยิ่งหวนคิดไปก็ยิ่งละอายใจ ทำไมเขาถึงไม่สามารถจะสุขุมได้อย่างดาวิสบ้าง ตัวเองกำลังจะต้องเป็นเจ้าเมืองอยู่แล้วแท้ๆ

      “ทำลูกหมาหลุดหายอีกแล้วหรือ ท่านว่าที่เจ้าเมือง” น้ำเสียงเอ่ยทักอย่างเสียดสีแว่วขึ้นมา ทำให้ลีนัสดึงตัวเองที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดกลับมา เงยหน้าขึ้นมองที่ทางเดินเบื้องหน้า เห็นดามอนต์และทหารนายคนสนิทยืนอยู่อีกสองนาย ลีนัสมองดูรอบข้างก็ไม่เห็นว่าจะเป็นที่ที่เจ้าตัวจะบังเอิญเดินผ่านมาสักนิด หนำซ้ำยังจะรู้เสียอีกว่าเขาออกมาตามซีมัส
   
     “มีธุระอะไรกับข้าหรือดามอนต์” ลีนัสเอ่ยถามไปตามหน้าที่ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายอยู่

     “จริงๆข้าไม่ได้อคติอะไรกับท่านเป็นการส่วนตัวหรอกนะ แต่การมีอยู่ของท่านมันขวางความเจริญของคนที่นี่ ให้ท่านไปอีกคนนึงท่านโลแกนจะได้ไม่เหงาไงล่ะ ท่านว่าดีไหม” ดามอนต์ว่าพลางชักดาบออกจากฝักแล้ววิ่งพุ่งเข้าหาลีนัสพร้อมๆกับทหารอีกสองคนที่มาด้วยกัน

      ลีนัสคิดไว้แล้วว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ เขาเพียงสบัดปลายนิ้วเบาๆ ท่อนน้ำแข็งท่อนใหญ่ปลายแหลมก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดินสูงกว่าส่วนสูงของชายหนุ่มเล็กน้อย เรียงล้อมรอบคนสามคนไว้เป็นกรงขังอย่างดี ทำให้ผู้ที่บุกเข้ามาต้องหยุดวิ่งกระทันหัน
ทั้งสามคนพยายามเอาดาบฟังน้ำแข็งให้แตกออกก็ไม่ออก จะปีนข้ามออกไปก็ลื่นเกินกว่าจะจับไว้ได้ โดยปกติแล้วหน้าที่หลักๆของลีบลานั้น เน้นไปในเรื่องของเรียกลมเรียกฝนช่วยเหลือการเพาะปลูก ไม่ค่อยได้ทำเรื่องพวกนี้ให้เห็นสักเท่าไหร่ จึงมีใครหลายคนเข้าใจว่าลีบลาทำได้แค่เวทย์สนับสนุนเล็กๆน้อย รวมถึงดามอนต์เองด้วย เขาไม่คาดคิดว่าแผนการของเขาที่หวังจะปิดปากว่าที่เจ้าเมือง ในจังหวะที่ไม่มีใครคุ้มกัน จะล้มไม่เป็นท่าได้ง่ายดายเพียงนี้

    “อ๊า!!! เจ้าพ่อมด เจ้าขี้โกง!!” ดามอนต์ตะโกนโวยวายไม่พอใจออกมาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ลีนัสรู้สึกแปลกใจนักว่า ดามอนต์ที่อายุไล่เลี่ยกับเขาทำไมถึงได้ไม่ยอมโตขึ้นมาเหมือนพี่ชายของเจ้าตัวบ้าง เขารู้จักดาวิสมาตั้งแต่เจ้าตัวอายุน้อยกว่าดามอนต์ในตอนนี้ ไม่เคยมีตอนไหนที่ดาวิสจะมีมุมแบบนี้เลยสักนิด

     “วันนี้ข้าไม่มีเวลามานั่งเทศนาให้พวกเจ้าฟัง นั่งสำนึกผิดอยู่ในนั้นกันไปก่อนจนกว่าน้ำแข็งจะละลายก็แล้วกัน” ลีนัสว่าพลางเดินอ้อมกรงน้ำแข็งของเขาผ่านไปอย่างไม่ติดใจอะไร นอกจากแผนการจะล้มเละเทะเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่วางแผนแกล้งผู้ใหญ่แล้ว ลีนัสยังจะเมินเฉยต่อพวกเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่างหาก

      พอลีนัสหันหลังให้เพื่อจะเดินกลับไปตามทาง ดามอนต์ก็ชักมีดสั้นที่เก็บไว้ในรองเท้าบู๊ทออกมาปาใส่ลีนัสตามหลังไปด้วยความโกรธแค้น ลีนัสเองก็ไม่ได้คิดถึงว่าดามอนต์ยังจะยังไม่ละความพยายามและลอบกัดเขาแบบนี้ กว่าที่ภูติตัวน้อยตรงนั้นจะบอกเขาให้หลบไปได้ทัน คมมีดสั้นก็ปักเข้าที่สะบักซ้ายของเขา แรงเหวี่ยงของมีดสั้นที่ปักลงมา ประสานกับความเจ็บปวดที่จู่โจมประสาทสัมผัส ทำให้ลีนัสทรุดลงไปนั่งคุกเข่าลงกับพื้น มือข้างซ้ายของเขาเริ่มสั่นนิดๆและชาที่ปลายนิ้ว ลีนัสใช้มือข้างขวาเอื้อมไปจับด้ามมีดเพื่อจะดึงออกมา แต่ด้วยตำแหน่งที่ยากแก่การดึงและเรี่ยวแรงที่ไม่มากพอ ทำได้แต่ขยับนิดๆยิ่งทำให้ปากแผลมาขยายใหญ่ขึ้น เสียเลือดออกไปมากขึ้น ลีนัสกำลังคิดว่าจะต้องขอแรงภูติมาช่วยดึงมีดเล่มนี้ออกแล้วค่อยรักษาแผลเสียแล้ว


      “ท่านพี่!!!” ลีนัสได้ยินเสียงของซีมัสตะโกนลั่นออกมาจากด้านหลัง แต่ตอนนี้ลีนัสชักจะรู้สึกว่าหูอื้อขึ้นมานิดๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูแว่วไปรึเปล่า จนกระทั่งท่อนแขนแกร่งของซีมัสเข้ามาประคองร่างของลีนัสที่กำลังจะทรุดลงกับพื้นไว้

      “...อ่า ซีมัสจริงๆด้วย พอดีเลย ช่วยดึงมีดออกไปที ข้ารักษาแผลเองไม่ได้” ลีนัสคลี่ยิ้มจางๆหลังจากยกมือขึ้นมาแตะใบหน้าของน้องชาย เพื่อจะยืนยันว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขามีตัวตนจริงๆไม่ได้เสียเลือดจนเพ้อไปเอง 

      ถึงแม้ลีนัสที่อยู่ในชุดสีดำจะบดบังทำให้ไม่เห็นคราบเลือดสีแดงสด แต่สัมผัสจากกลิ่นคาวเลือดที่เลอะเปื้อนบนใบหน้าของซีมัสจากปลายนิ้วของเจ้าตัว กับร่างที่อ่อนปวกเปียกยืนพิงซีมัสอยู่นั้น ทำให้เด็กหนุ่มโกรธจนสมองไม่สามารถจะรับรู้อะไรได้อีกแล้ว

     “ดามอนต์!! นี่มันเกินไปแล้ว!!” ซีมัสตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น จังหวะนั้นเองที่ลีนัสเห็นว่าสีผิวของน้องชายตนนั้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลส้มอีกครั้ง และเรือนผมยาวสีเทาก็งอกยาวลงมา ตามด้วยสัมผัสจากไอร้อนของเปลวเพลิงมาจากด้านหลัง ลีนัสจึงรีบหันกลับไปมองด้วยความตกใจ

     กรงน้ำแข็งของเขาที่ได้ทำเอาไว้มลายหายไปจนหมดสิ้น ตอนนี้กลายเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินกองใหญ่พวยพุ่งสูงลิ่วขึ้นไปบนฟ้า แสงสว่างสีน้ำเงินตัดกับแสงแดดสีส้มในยามเย็นเด่นชัดจนน่ากลัว เสียงร้องโอดครวญทรมานของคนในกองเพลิงแว่วดังออกมา

     “ซีมัส!!!หยุดเดี๋ยวนี้!!” ลีนัสตะวาดน้องชายเสียงเข้ม มือก็บีบท่อนแขนของซีมัสไว้แน่นเพื่อเรียกสติอีกฝ่ายกลับมา
ในที่สุดเปลวเพลิงก็สงบลงและจางหายไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงกลิ่นเหม็นไหม้ที่ลอยคละคลุ้งไปทั่ว และร่างสีดำสนิทสามร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้าที่ไหม้เกรียม ภาพตรงหน้าทำให้ลีนัสต้องยกมือขึ้นกุมขมับ ตอนนี้สมองของเขาว่างเปล่าขาวโพลนคิดอะไรต่อไปไม่ออกอีกแล้ว เข่าสองข้างที่ค้ำยันร่างเอาไว้ก็เหมือนจะหมดเรี่ยวแรงไปด้วย จนต้องทิ้งมือสองข้างลงบนพื้นดินเพื่อพยุงร่างของตัวเองเอาไว้

      “เจ้าทำแบบนี้ทำไมซีมัส!!” ลีนัสหันมาตวาดใส่น้องชายทั้งใบหน้าที่เปื้อนทั้งคราบเลือดและคราบน้ำตา

     “ทุกคนในนั้นตั้งใจจะฆ่าท่านนะขอรับ!!” ซีมัสเเถียงกลับ

      “ข้ารู้!! แต่นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา”

      “มันใช่สิ!!” ไม่ว่ายังไงซีมัสก็ยังเถียงลีนัสกลับมาไม่เลิก จนลีนัสต้องเงียบไปเพื่อตั้งสติ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อปากต่อคำกับซีมัสเลยสักนิด เปลวเพลิงสีฟ้าสว่างเมื่อครู่นี่จะทำให้คนแห่กับมาตรงนี้ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าเขาไม่รีบจัดการเรื่องตรงนี้ให้เสร็จ จะยิ่งปานปลายไปกันใหญ่

      “…...พอแล้วซีมัส นี่มันหนักเกินไปสำหรับข้า” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาเบาๆพร้อมกับขยับตำแหน่งมือทั้งสองข้างทาบลงกับพื้นดินตรงหน้า ปรากฏรูปตราเวทย์สีส้มขึ้นมา

       “...ท่านพี่?” ซีมัสเอ่ยถามอย่างงุนงง ทันใดนั้นเองก็ปรากฏภูติร่างใหญ่ ที่มีศีรษะเป็นกระทิงขนสั้นเตียนสีน้ำตาลส้มมัดกล้ามแน่น ยืนเด่นสง่าอยู่กลางวงเวทย์นั้น ซีมัสจำภูติตนนี้ได้ขึ้นใจ นั่นคือภูติที่ตั้งใจจะเอาชีวิตของเขาไปในวันที่เขาไปพบกับลีนัสนั่นเอง

      “ช่วยพาซีมัสไปจากที่นี่ที” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาเบาๆอย่างคนใกล้จะหมดเรี่ยวแรง

      “ท่านพี่!? ท่านอย่าทำกับข้าแบบนี้!!” ซีมัสเอ่ยค้าน แต่ไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เขาก็โดนภูติร่างยักษ์คว้าเอวแล้วหิ้วขึ้นพาดบ่า แล้วกระโดดหายไปจากตรงนั้นทันที

       “....ลาก่อนซีมัส” ลีนัสกระซิบออกมาแผ่วเบาหลังจากที่น้องชายของตนโดนหิ้วออกไปไกลแล้ว











ตอนนี้เราทำลายสิถิติไปยัง ลงมา5ตอนโดยมีคอมเม้นแทรกขึ้นมาเพียง1คอมเม้นถ้วน มันไม่มีคนอ่านจริงๆใช่มั้ยอ่ะ 555
เลิกอัพเลิกๆ :ling1:





ขออภัยคนที่อ่านไปก่อนหน้านั้น คนเขียนขี้ลืมค่ะ ลืมไปว่าตอนนี้ลีนัสต้องใส่เสื้อสีดำ 55555  เผลอนึกว่าใส่สีขาว บรรยายฉากเลือดโชกซะเมามันส์เลย ตอนนี้แก้ใหม่หมดแล้วนะคะ สีดำค่ะสีดำ

(http://i61.photobucket.com/albums/h56/hayeena/Libra_heart/Sketch18013565_1.jpg) (http://s61.photobucket.com/user/hayeena/media/Libra_heart/Sketch18013565_1.jpg.html)

ตามนั้น5555.....
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 5 Controversy :3/3) 15 Oct.2015
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 15-10-2015 22:19:19
อ่านอยู่จ้า ว่าแต่จะเป็นงัยต่อ หรือจะกลับมายังปัจจุบันยัง
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 5 Controversy :3/3) 15 Oct.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 16-10-2015 09:02:27
อ่านอยู่จ้า ว่าแต่จะเป็นงัยต่อ หรือจะกลับมายังปัจจุบันยัง


ขอบคุณสำหรับการแสดงตัวค่ะ  :hao5:  นี่ต้องขู่ประท้วงก่อนถึงจะออกมา 5555

ใช่ค่ะเดี๋ยวจะกลับไปปัจจุบันแล้ว กลับไปหาเฟริคแล้ว (ลืมกันไปยัง)
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 6 Grew up :1/3) 23 Oct.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 23-10-2015 18:26:11
Act 6 : Grew up (1/3)


   นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสะท้อนเงาขอบฟ้าสีส้มอมชมพูยามเมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า คิ้วหนาสีดำขมวดเข้าหากันด้วยความกังวลใจ สายป่านนี้แล้วคนที่เอ่ยไว้ว่าเรียบร้อยแล้วจะรีบมาหา ยังไม่มีทีท่าว่าจะโผล่หน้ามาสักนิด เรื่องยุ่งๆเพิ่งจะเกิดขึ้นไป เขาไม่น่าปล่อยลีนัสที่อาจจะเป็นเป้าหมายของกลุ่มที่ต่อต้านไปคนเดียวแบบนี้เลย เพียงเพราะคำว่า”เบื่อที่ถูกปกป้อง”ของเจ้าตัว ทำให้เขายอมปล่อยไปแต่โดยดี ร่างหนาถอนหายใจออกมานับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ไม่ยอมห้ามลีนัสให้หนักแน่นกว่านั้น

   “นี่เจ้าฟังข้าอยู่รึเปล่าน่ะดาวิส” เสียงเอ่ยถามของบิดาดึงสติของเขากลับมาสู่ปัจจุบัน กลับมาที่ห้องทำงานของรองเจ้าเมืองณ ที่ว่าการเจ้าเมือง

   “...” ดาวิสหันหลังกลับเข้ามาในห้องกรอกตาขึ้นมองข้างบนนึกทวนดู ว่าเมื่อครู่เขาได้ยินว่าบิดาของตนเอ่ยอะไรออกไปบ้าง

   “เมื่อครู่นี้ท่านพ่อพูดถึงหน่วยที่ดูแลพื้นที่เบอร์สี่….ขออภัยท่านพ่อตอนนี้ข้าไม่มีสมาธิจริงๆ...มีอะไรหรือขอรับ?” ดาวิสกำลังไล่ฟังเนื้อหาที่บิดาพูดถึงเมื่อครู่จากความทรงจำระยะสั้น เขาต้องยอมรับว่าเมื่อครู่นี้เขาใจลอยคิดไปเรื่องอื่นจริงๆ แต่บิดาก็ไม่น่าจะต้องมองเขากลับมาด้วยหน้าตกใจขนาดนั้น

   “ข้างนอกนั่น” เรย์มอนต์ชี้ไปที่นอกหน้าต่างข้างหลังดาวิส เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มพวยพุ่งขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่งของเขตชุมชนแล้วก็ดับวูบหายไป ทิ้งไว้แต่ควันสีเทาลอยฟุ้งตามขึ้นมา
   “...ซีมัส ?” ดาวิสเอ่ยชื่อคนๆเดียวที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ขึ้นมา ในสมองเขารีบคิดหาเหตุผลต่างๆนานาว่าเกิดอะไรขึ้นกัน และสิ่งต่อมาที่เขาคิดถึงคือคนที่เดินตามเจ้าตัวไปเมื่อครู่

   อยู่ๆประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาอย่างรีบร้อน ทำให้สองพ่อลูกพร้อมใจกันหันกลับไปมองผู้ที่เข้ามา เฮมิสยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องสีหน้าซีดเซียว สภาพอันรีบร้อนของเฮมิสทำให้ดาวิสรู้สึกมือเย็นวาบขึ้นมาทันที สิ่งแรกที่เขาทำคือภาวนาอยู่ในใจ ว่าขออย่าได้มีอะไรเกิดขึ้นกับลีนัสเลย

   “เมื่อครู่นี้มาจากถนนที่วิ่งเข้าสู่ป่าเขตตะวันตก ส่งคนเข้าไปในพื้นที่ด่วนเลย แล้วก็…” แววตาสีเขียวใสจ้องมองไปที่เรย์มอนต์เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับไม่เอ่ยอะไรออกมา เจ้าเมืองวัยกลางเบือนหน้าหลบไปมองทางอื่นทำสีหน้ากลัดกลุ้มออกมาก่อนจะยอมเอ่ยขึ้นมา

   “...ลูกชายท่าน...อยู่กลางกองเพลิงเมื่อครู่นี้...” ดาวิสไม่ได้รู้สึกโล่งอกแต่อย่างใดที่เฮมิสไม่ได้พูดถึงลีนัส เขาตอนนี้เขารู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นไปชั่วขณะทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เฮมิสพูดออกมา

   “...แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ” เพลิงที่พุ่งขึ้นมาสูงลิ่วขนาดนั้น จริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นต้องถามคำถามนี้ก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้วในใจ หากแต่เขายังคงหวังอยู่น้อยๆ ว่าน้องชายที่เติบโตมาด้วยกันอาจจะยังมีโอกาสอยู่บ้าง
   “...ข้าเสียใจด้วย” ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดทันทีที่เฮมิสจบประโยค แม้พักหลังๆมานี้ ดามอนต์จะทำเรื่องให้เขาปวดหัวอยู่บ้างก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นน้องชายที่เขาเฝ้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กๆ และทำอะไรด้วยกันหลายต่อหลายอย่าง อยู่ๆจะมาบอกว่าน้องชายของเขาได้จากไปแล้วนั้น เป็นเรื่องที่เจ้าตัวยอมรับไม่ได้

   “....ลีนัสอยู่ตรงนั้นด้วยใช่ไหมขอรับ” ดาวิสเดาลีนัสน่าจะอยู่ตรงนั้นด้วย ในเมื่อเจ้าตัวเป็นคนออกตามหาซีมัสตั้งแต่เมื่อครู่
   
        “...อืม แต่ยังปลอดภัยดีอยู่” เฮมิสตอบเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจในส่วนของลีนัสเพราะคิดว่าเขาน่าจะเป็นห่วงอยู่ แต่ที่ดาวิสถามเพราะสงสัยว่า ทำไมลีนัสที่อยู่ตรงนั้นถึงได้ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

   “ข้าขอตัวตรงไปที่เกิดเหตุก่อนนะขอรับ” ดาวิสรีบปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

   “ดาวิสเดี๋ยว!!.......อา ใจร้อนจริงๆเด็กคนนี้” เรย์มอนต์จะเอ่ยรั้งบุตรชายเอาไว้เพื่อจะให้มาช่วยจัดกำลังคนเสียหน่อย แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

   “ข้าเข้าใจนะเรย์มอนต์ นั่นก็น้องชายทั้งคน ที่ข้าว่าที่แปลกน่าจะเป็นท่านมากกว่า” เฮมิสเอียงคอเอ่ยถามด้วยความสงสัย ถึงแม้เรย์มอนต์จะเป็นคนที่สามารถลงมือปลิดชีวิตโลแกนให้เขาได้โดยไม่ลังเล แต่กับเรื่องของบุตรชายทั้งคนทำไมถึงได้เย็นชาได้ขนาดนี้ เรย์มอนต์ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป

   “....จะไปเร็วไปช้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรได้ไม่ใช่รึไง ไปเถอะ ข้าต้องไปเตรียมกำลังคนไปลงที่พื้นที่อีก” เรย์มอนต์ว่าแล้วก็เดินสวนผ่านเฮมิสออกจากห้องไป
   


   
   หลังจากที่ลีนัสใช้แรงเฮือกสุดท้ายของเขาเรียกภูติออกมาเพื่อจะพาซีมัสไปจากที่เกิดเหตุ เขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะทำอย่างอื่นอีกแล้ว ปลายนิ้วทุกนิ้วของเขาเย็นเฉียบจนยากที่จะขยับได้ สมองของเขาเริ่มจะเบลอจนคิดอะไรไม่ออก ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังไม่ได้รับการรักษาค่อยๆชาหายไปเพราะสติที่กำลังจะดับไป หนังตาอันหนักอึ้งกำลังจะปิดลงโดยไม่สนใจคำสั่งของเจ้าของเลยสักนิด

   “ท่านลีนัส!!” เสียงใสๆที่ไม่คุ้นหูของเด็กสาวคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อเขาขึ้นมา ลีนัสรู้สึกประหลาดใจ จึงได้ฝืนลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง เห็นเด็กสาววัยประมาณสิบสามสิบสี่หน้าตาไม่คุ้นหน้าคนหนึ่ง วิ่งตรงเข้ามาหาเขาด้วยหน้าตาตื่นๆ

   “มีภูติเรียกให้ข้ามาหาท่านที่นี่ ท่านโดนอะ……..!!” เมื่อลีนัสได้ยินว่ามีภูติเรียกให้เธอมาที่นี่ ก็รู้สึกเบาใจนับว่าป็นโชคดีของเขาที่มีลีบลาอยู่แถวนี้พอดี แต่เมื่อเธอทรุดตัวนั่งลง และเห็นมีดเล่มหนาปักอยู่ที่สะบักซ้ายของว่าที่เจ้าเมืองหนุ่มก็หน้าซีดขึ้นมาทันที เพราะเสื้อสีดำที่อำพรางคราบเลือดเอาไว้ ทำให้เธอไม่คิดว่าลีนัสจะบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ พอยิ่งสังเกตเห็นคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าซีดเซียวก็ยิ่งวิตกกังวลหนักเข้าไปอีก

   “...ท่านลีนัส...ข้าต้องทำยังไงดีคะ” น้ำเสียงเอ่ยถามอย่างตื่นๆของเด็กสาว ทำให้ลีนัสได้เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองแล้วว่า จริงๆเขาไม่ได้โชคดีขนาดนั้น แต่กำลังประสบโชคร้ายบนความโชคดีของเขาอยู่ ที่ดันมาเจอลีบลาขาดประสบการณ์คนนี้
   “ข้าเรียกภูติรักษาเลยนะคะ” ลีนัสที่กำลังจะหมดเรี่ยวแรงจนหนังตาหนักอึ้ง ไม่สามารถจะประมวลความคิดตามเด็กสาวได้ทันจึงยังไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไป กระทั่งเด็กสาวใช้เวทย์รักษาบาดแผลของเขา ความรู้สึกร้อนผ่าวแสบแปลบพุ่งเข้าจู่โจมโสตประสาทของเขาทันที

   “อ๊าาาก!! หยุด!! เจ้าทำอะไรของเจ้า!! ใครสั่งสอนให้เจ้ารักษาแผลโดยที่ไม่เอาสิ่งแปลกปลอมออกไปก่อนแบบนี้ นี่มันเหล็กนะ เจ้าจะฆ่าข้าเหรอ!!” ความเจ็บปวดเรียกให้สติของลีนัสกลับมาได้มากพอ ที่จะคำรามสั่งสอนลีบลามือใหม่ไปชุดใหญ่ ทำเอาเด็กสาวรีบหดมือกลับไปอย่างลนลาน ส่วนลีนัสก็ทรุดลงไปนอนหน้ามืดทันทีหลังจากที่ใช้แรงมากเกินไป

   “ขะ...ข้าขอโทษท่านลีนัส...ข้าต้องดึงมีดออกก่อนใช่ไหม” เด็กสาวระล่ำระลั่กเอ่ยขอโทษ แล้วเอื้อมมือไปจับด้ามมีดอย่างไม่มั่นใจ

   “เดี๋ยว...เจ้าอยู่เฉยๆให้ข้าคิดพักนึง..” ลีนัสรีบเอ่ยห้ามไว้ก่อนที่เขาจะต้องเจออะไรที่เลวร้ายไปกว่านี้ ตอนนี้เขาถอนความคิดเมื่อครู่ที่ว่าเขาโชคร้ายบนความโชคดี สู้ปล่อยให้เขาหลับไปเมื่อครู่จะดีเสียกว่าจริงๆ อีกเดี๋ยวเฮมิสจะต้องตามมาหาเขาที่นี่แน่นอน และดาวิส…. ลีนัสหยุดคิดไปแล้วนึกเกลียดตัวเองที่เผลอคิดถึงดาวิสขึ้นมาในเวลานี้ ก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งจะทำปากดีว่าดูแลตัวเองได้อยู่หลัดๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็สูดหายใจลึกๆหนึ่งครั้งเพื่อรวบรวมสติ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการเรื่องนี้โดยไม่ต้องพึ่งดาวิส

   “....เจ้าชื่ออะไรนะ” ลีนัสพยายามหาวิธีทำให้เด็กสาวสงบสติอารมณ์ให้ได้เสียก่อน ที่จะลงมือดึงมือเล่มใหญ่ที่ปักลึกอยู่ที่สะบักของเขาออกไป เขาไม่อยากจะสัมผัสความเจ็บปวดจากการขยับมีดเล่มนี้หลายรอบนัก

   “เอ่อ..เรเชลค่ะ” เด็กสาวตอบด้วยสีหน้างุนงงว่าทำไมถึงถามขึ้นมาตอนนี้

   “...เรเชล…”

   “คะ”

   “ตั้งใจฟังข้านะ”

   “....ค่ะ” เด็กสาวหายใจเข้าออกลึกๆหนึ่งทีก่อนจะเอ่ยตอบกลับมา

   “ดีมาก มีดเล่มนี้ปักเข้าไปลึกพอสมควร ถ้าเจ้าจะดึงเจ้าต้องใช้แรงเยอะหน่อย ข้าอยากได้ครั้งเดียว ถ้ามากกว่านี้ข้าไม่แน่ใจว่าจะยังเหลือสติไว้คุยกับเจ้าอยู่ไหม”

   “....ค่ะ” เรเชลหน้าเสียเล็กน้อย ถ้าลีนัสคุยกับเธอต่อไม่ได้เธอก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

   “เจ้าดูองศาของมีดดีๆ ถ้าเจ้าดึงออกมาแล้วให้รีบใช้เวทย์รักษา เข้าใจไหม”

   “...เข้าใจ…”เรเชลทวนคำพลางมองไปที่ด้ามมีดที่สลักด้ามไว้สวยงามด้วยความกังวลใจ

   “...เรเชล” ลีนัสเอ่ยเรียกพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของเด็กสาวเอาไว้เบาๆเท่าที่เรี่ยวแรงจะมีหลงเหลืออยู่ตอนนี้

   “คะ?” มือที่เย็นเชียบทำให้เด็กสาวตอบรีบหันไปมองหน้าอันซีดเผือดของผู้ที่เอ่ยเรียกทันที

   “ขอบใจนะที่มาช่วยข้า ถ้าเจ้าพร้อมแล้วก็ดึงออกมาเลย เจ้าทำได้อยู่แล้ว” ลีนัสคลี่ยิ้มจางๆให้กำลังใจเด็กสาวก่อนจะก้มลงเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะตามมา


   
   หลังจากที่ได้นำข่าวร้าย ดาวิสก็รีบควบม้านำไปก่อนทันทีที่รู้ว่าที่เกิดเหตุอยู่ตรงไหนโดยไม่ฟังเสียงท้วงติงใดๆจากบิดา ถึงเขาไปถึงช้าหรือเร็วก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ก็จริง แต่ตราบใดที่เขายังไม่ได้เห็นกับตา เขาก็ยังมีความหวังอยู่น้อยๆว่าเฮมิสอาจจะเข้าใจผิดไปก็ได้ จริงๆแล้วลีนัสอาจจะช่วยน้องชายของเขาไว้ได้ทัน

        แต่เมื่อเขามาถึงที่เกิดเหตุ เขาก็เห็นผู้ที่เป็นความหวังเล็กๆของเขานั่งทรุดอยู่กลางผืนหญ้าที่ไหม้เกรียมเป็นวงกลมใหญ่ มีเด็กสาวหน้าตาไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ห่างๆมองมาที่เขาด้วยความสงสัย แต่ดาวิสไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเอ่ยถามที่มาที่ไปของใครในตอนนี้

      ร่างที่ดำไหม้ส่งกลิ่นเหม็นคลัคลุ้งสามร่างตรงหน้าลีนัสนั้น ทำให้ดาวิสเข่าอ่อนจนแทบจะไม่มีแรงทรงตัวอยู่ได้ หลังจากที่กระโดดลงจากอาชาร่างสูงใหญ่ของตน

      “ท่านดาวิส…” ลีนัสหันกลับมามองดาวิสที่เดินตรงเข้ามาอย่างร่องลอย นี่มันแย่กว่าที่ดาวิสคิดเอาไว้มาก นอกจากว่าเขาจะไม่เหลือให้คาดหวังว่าน้องชายจะยังมีชีวิตอยู่แล้ว เขาแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าร่างไหนคือร่างของดามอนต์

      “ข้าขอโทษ ถ้าข้าไม่ออกมาตามซีมัส เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาอย่างสำนึกผิด

      “...ใช่ มันเป็นความผิดของเจ้า” ดาวิสตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ถึงปากจะยอมรับว่าตัวเองผิด แต่เมื่ออีกฝ่ายบอกเห็นด้วยขึ้นมาจริงๆ กลับทำให้เจ้าของคำพูดนั้นเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ

      “แล้วซีมัสอยู่ที่ไหน หนีไปแล้วเหรอ” ดาวิสคาดคั้นเสียงต่ำราบเรียบ ลีนัสรู้ดีว่านั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าพายุใหญ่กำลังจะโหมเข้ามา

      “...ข้าไล่ซีมัสไปอยู่กับภูติขอรับ” ลีนัสยอมรับกลับมาเบาๆ
   
      “ถึงขนาดนี้เจ้าก็ยังปกป้องมันอยู่อย่างนั้นเหรอ!!” ดาวิสหันมาขึ้นเสียงใส่ด้วยความโมโห

      “ไม่ใช่อย่างนั้น ข้ามีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้นะขอรับ” ลีนัสขึ้นเสียงเถียงกลับมาบ้าง

      “ไม่ว่าจะเหตุผลไหนเจ้าก็ปกป้องมันอยู่ดี แล้วเจ้ามาบอกว่าข้าปกป้องน้องชายมากเกินไปอย่างนั้นเหรอ นี่ไง ชัดพอไหมว่าใครที่ปกป้องน้องชายมากเกินไป เจ้าอยากจะรับผิดชอบความผิดทุกอย่างเองคนเดียวขนาดนั้นใช่ไหม บอกข้าสิว่าเจ้าจะรับผิดชอบมันยังไง!!” ดาวิสที่เส้นกั้นอารมณ์ขาดผึ่งออกมาเพราะถูกเถียงด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น จับคอเสื้อของอีกฝ่ายยกตัวขึ้นมาตวาดใส่ ถึงตรงนั้นเองทำให้ดาวิสเพิ่งสังเกตเห็นคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าซีดเซียว และสัมผัสชื้นๆและกลิ่นคาวเลือดมาจากเสื้อสีดำของเจ้าตัว

       “หยุดนะ!!” เด็กสาวที่เมื่อครู่ยืนมองอยู่ห่างๆก็วิ่งเข้ามาผลักดาวิสให้ปล่อยลีนัสไปอย่างสุดแรง ถ้าเป็นเวลาปกติ ดาวิสคงไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร หากแต่สีหน้าของลีนัสที่ทำสีหน้าเจ็บปวดออกมา ทำให้ดาวิสรีบปล่อยมือแต่โดยดี เมื่อปล่อยมือออกมาเขาก็เห็นว่ามือของเขาเลอะคราบเลือดเต็มไปหมด สัมผัสชื้นๆจากเสื้อของลีนัสนั้นเป็นเลือดจริงๆ

      “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” อารมณ์โมโหเมื่อครู่นี้ดับวูบไปในฉับพลัน

      “จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ข้าเพิ่งจะรักษาแผลให้ท่านลีนัสไปเมื่อครู่ เรี่ยวแรงของท่านลีนัสยังไม่กลับมาด้วยซ้ำ แผลก็ยังไม่สมานดีนักด้วย จะทำอะไรคิดหน่อยสิ!!” เรเชลใส่ไปชุดใหญ่อย่างเป็นเดือดเป็นร้อน แผลที่เธอต้องแลกด้วยความกล้าที่ไม่ค่อยจะมีของเธอรักษาจนสำเร็จไปเมื่อครู่ อยู่ๆก็จะโดนดาวิสทำให้พินาศไปอีกครั้ง

      “อ่ะ ท่านลีนัส!!” ลีนัสที่อยู่ถูกฉุดขึ้นมายืนแล้วก็ปล่อยไปเมื่อครู่ รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาอีกครั้งจนจะล้มพับลงไป เรเชลจึงรีบเข้าไปพยุงร่างเอาไว้ พอดาวิสจะยื่นมือเข้าไปช่วย เด็กสาวก็ปัดมือของเขาทิ้งแล้วมองตาขวางกลับมา ทำให้เขาชักสงสัยขึ้นมาแล้วว่าเด็กคนนี้เป็นใคร

      “ว้าย!!” เรเชลร้องขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ เมื่ออยู่ๆก็มีภูติสาวร่างสูงใหญ่ผมยาวสีขาวตัดกับสีผิวสีน้ำเงินเข้มในชุดพริ้วสลวบสีเขียวอ่อนโผล่มาจากข้างหลัง และช้อนร่างอันปวกเปียกของลีนัสขึ้นมาอุ้มไว้ สัมผัสอุ่นสบายจากเวทย์ของภูติทำให้ลีนัสผล่อยหลับไปในทันทีเหมือนเด็กน้อยในอ้อมอกมารดา

      “ดาวิส เจ้าต้องหัดฟังการตัดสินใจของว่าที่เจ้าเมืองบ้างนะ” เฮมิส ผู้ที่เรียกภูติสาวออกมา เพิ่งจะควบม้ามาถึงพร้อมเรย์มอนต์ เอ่ยตำหนิชายหนุ่มเสียงแข็ง

      “....ข้าขออภัยขอรับ” ดาวิสตอบกลับมาเสียงแผ่วๆ

      “แล้วก็ ถึงน้องชายเจ้าจะไม่ตายที่นี่ ข้าก็ต้องตัดสินโทษน้องชายเจ้าที่มีเจตนาฆ่าว่าที่เจ้าเมืองอยู่ดี” เฮมิสว่าพลางหันไปมองมีดสั้นเปื้อนคราบเลือดที่ตกอยู่บนพื้นหญ้าข้างๆ ดาวิสหันไปมองตามก็ตัวเย็นวาบขึ้นมา มันคือมีดเล่มเดิมที่เขาเอาไปคืนให้ดามอนต์เมื่อคืนนี้ เขาตั้งใจจะตำหนิน้องชายและเผลอลืมไว้เพราะหงุดหงิดที่มารดาเข้ามาขัดขวาง เขาไม่ทันได้คิดว่าน้องชายจะทำเรื่องแบบนี้กับลีนัส

      “ซีมัสทำเกินกว่าเหตุก็จริงอันนี้ข้าเข้าใจ แต่ข้าไม่โทษซีมัสหรอกนะดาวิส แล้วที่ลีนัสไล่ซีมัสไป เพื่อป้องกันไม่ให้ซีมัสที่จะถูกคนที่คิดอย่างเจ้าตัดสิน แล้วซีมัสไม่ใช่เด็กที่จะทนรับคำตัดสินแบบนั้นได้อย่างสุขุมหรอกนะ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าถ้าซีมัสระเบิดอารมณ์ออกมากลางเมืองจะเกิดอะไรขึ้น” ทุกคำบอกกล่าวของเฮมิส เหมือนจะทิ่มแทงดาวิสให้ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นทุกขณะ ดาวิสหันไปมองร่างบางที่หลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของภูติร่างใหญ่อย่างรู้สึกผิด เขาอยากจะเอ่ยขอโทษเจ้าตัวเสียตรงนั้น แต่เมื่อรถม้ามาถึง พร้อมกับนายทหารกลุ่มหนึ่งที่ตามมาเพื่อเก็บพื้นที่ เรย์มอนต์ก็อาสารับลีนัสมาจากภูติเพื่อจะอุ้มเขาเข้าไปนอนต่อในรถม้า

      “เจ้าจะตามไปด้วยไหม” เฮมิสหันไปถามเด็กสาวที่กำลังลังเลกล้าๆกลัวอยู่ตรงนั้น

      “ข้าไปด้วยได้หรือคะ” เรเชลถามกลับด้วยความตื่นเต้น เฮมิสคลี่ยิ้มจางๆกลับไปให้
 
      “ถ้าไม่เป็นการรบกวนเวลาของเจ้ามากไป ข้าฝากเจ้าดูแลว่าที่เจ้าเมืองต่ออีกหน่อยได้ไหม ข้าคิดว่าลีนัสคงอยากจะคุยกับเจ้าหลังจากนี้”

      “ได้ค่ะ” เรเชลรีบเอ่ยรับแล้วเดินเข้าไปในรถม้า เมื่อเฮมิสหันกลับมาเจอดาวิสที่ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่เรย์มอนต์เดินมาตบไหล่บุตรชายของตนเพื่อเรียกสติของเขากลับมา

      “ไปทำงานๆ พรุ่งนี้เจ้าค่อยไปหาเวลาคุยกับลีนัสเอาอีกที ลีนัสไม่ได้หายไปไหนหรอก” เมื่อโดนบิดาเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้นก็ต้องยอมละสายตากลับมาที่ภาพความวินาศตรงหน้าอีกครั้ง ภาพของร่างสามร่างที่นอนนิ่งดำสนิทอยู่บนพื้น ที่เขาไม่อาจจะแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร ต้องอาศัยเฮมิสเป็นผู้ชี้แจงผ่านสายตาของภูติที่อาศัยอยู่แถบนั้น ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดาวิสรู้สึกแปลกใจ ก็คือความสุขุมของบิดาที่ไม่ได้ดูทุกข์ร้อนใดๆกับการจากไปของดามอนต์เลยสักนิด 



       ฟูกนุ่มๆกับกลิ่นหอมจางๆจากผ้าห่มหนานุ่มไม่คุ้นสัมผัส เรียกให้สติของร่างที่นอนซุกอยู่บนเตียงหลังใหญ่ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา เขาไม่เคยรู้สึกหลับสบายขนาดนี้มาก่อนจนยังไม่อยากจะลุกขึ้น แต่เมื่อสายตาค่อยๆปรับแสงสว่างได้แล้วก็พบกับภาพห้องนอนห้องใหญ่ที่ไม่คุ้นตา และแสงสว่างจากนอกหน้าต่างที่เจิดจ้าเกินกว่าจะเป็นเวลาในตอนเช้าแล้ว ความทรงจำก่อนที่สติเขาจะดับวูบไปเมื่อคืนนี้ก็หวนกลับเข้ามา สาเหตุที่ทำให้เขามานอนบนเตียงนุ่มสบายหลังนี้ช่างน่าขมขื่น
ลีนัสถอนหายใจออกมา เมื่อนึกถึงภาระและปัญหามากมายที่เกิดขึ้นช่วงวันสองวันนี้ ก่อนที่เขาจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นสองสามครั้งก่อนจะแง้มเปิดออกมา ตามด้วยใบหน้าหวานของเด็กสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวปะบ่า เมื่อแววตาสีฟ้าใสสบเข้ากับว่าที่เจ้าเมืองหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงก็คลี่ยิ้มหวานทักทาย

      “เป็นยังไงบ้างคะท่านลีนัส”

       “เจ้านี่เอง เมื่อวานนี้ขอบใจเจ้ามากนะเรเชล อุตส่าห์มาส่งข้าที่นี่ แถมยังช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวให้ข้าอีก ข้าไม่รู้จะขอบใจเจ้าอย่างไรดี” ลีนัสเดาว่าเด็กสาวน่าจะเป็นผู้ที่จัดการเปลี่ยนเสื้อและเช็ดตัวให้เขาเมื่อมาถึงที่นี่เมื่อคืนนี้

      “ไม่เป็นไรค่ะข้าก็ไม่ค่อยจะทำประโยชน์ได้สักเท่าไหร่ข้าไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนเสื้อให้ท่านหรอกนะคะ แค่พามาส่งเฉยๆ” เด็กสาวปฏิเสธกลับมา ทำให้ลีนัสเผลอถึงคนอื่นอีกคนหนึ่งที่อาจจะเป็นผู้เปลี่ยนเสื้อและเช็ดตัวให้แล้วก็พาลหน้าแดงออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

      “ข้าให้หัวหน้าแม่บ้านเป็นคนจัดการให้น่ะค่ะ รวมทั้งเสื้อผ้าในตู้ก็ด้วย” เรเชลอธิบายพร้อมหัวเราะแห้งๆกลับมา ลีนัสนึกตำหนิตัวเองที่มัวแต่คิดเรื่องอะไรไร้สาระอยู่ เรื่องเกิดขึ้นมากมาย น้องชายเพิ่งจะเสียไปทั้งคนจะมีเวลามาดูแลเขาได้อย่างไร

      “ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ที่บ้านไม่เป็นห่วงหรือเรเชล บอกที่บ้านไปรึยัง” ลีนัสรีบย้ายหัวข้อสนทนาพลางลุกขึ้นมาจากเตียง เมื่อถูกถามขึ้นมาเช่นนั้นเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมองเพดานทำท่านึก

      “...นั่นสินะ ลืมไปเลย ข้าควรจะบอกเสียหน่อยสินะ” คำตอบนั้นทำให้ลีนัสรู้สึกสงสัยที่มาที่ไปของลีบลาคนนี้ขึ้นมา ทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงดูไม่ได้ใส่ใจกับคนที่บ้านขนาดนี้

      “...เจ้าจะบอกว่าไม่มีคนเป็นห่วงเจ้าสักเท่าไหร่หรือไง หนีออกจากบ้านมารึเปล่าเนี่ย” ลีนัสขมวดคิ้วยกมือขึ้นกอดอกเอียงคอถาม

      "มะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ข้าก็แค่...." เด็กสาวระล่ำระลักปฏิเสธ แต่เมื่อจะอธิบายก็ทำเสียงแผ่วลงเหมือนไม่อยากจะพูดถึง

      "เอาอย่างนี้ เจ้าไปบอกที่บ้านเจ้าเสียให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับมาหาข้าที่นี่อีกทีละกัน ข้ายังมีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าอยู่" ลีนัสตัดบทให้พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้เรือนผมสีน้ำตาลเข้มของเด็กสาวด้วยความเอ็นดู

      "ตกลงไหม" น้ำเสียงอันอ่อนโยนของลีนัสทำให้เด็กสาวหน้าอุ่นซ่านขึ้นมา

      "...ค่ะ" เรเชลพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

      "อ่ะ ไปได้ละ ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังมีเรื่องต้องทำเยอะเลยวันนี้"

      "ถ้างั้นข้าจะรีบไปรีบกลับมานะคะ" เรเชลได้ยินว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รีบปลีกตัวออกจากห้องไปในทันที ลีนัสมองตามปรตูห้องที่ปิดลงไปแล้วก็ขำออกมาเบาๆในความใสซื่อของเด็กสาว

      ลีนัสเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องออกมา เสื้อผ้าของตัวเองถูกขนมาจากบ้านวางเรียงในตู้ไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องสงสัยว่ามารดาน่าจะรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ปลายนิ้วเรียวจัดการปลดกระดุมเสื้อนอนถอดออก เขายกมือขึ้นลูบที่สะบักข้างซ้ายตัวเองที่ตอนนี้กลับมาเรียบเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความรู้สึกเจ็บปวดยังคงฝั่งลึกอยู่ในใจ เจ็บที่รู้ว่ามีคนเกลียดและต่อต้านเจ้าเมืองที่เป็นลีบลา และต้องจบลงอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้

      "ท่านลีนัส...อย่าลืมทานอะไรก่อนออกไปนะคะ....." อยู่ๆเรเชลก็เปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามาเนื่องจากนึกถึงสิ่งที่เฮมิสกำชับเอาไว้เธอเอาไว้ก่อนจะออกไปทำธุระขึ้นมาได้ แต่เมื่อเปิดเข้ามาเห็นแผ่นหลังขาวเนียนของอีกฝ่ายที่ปลดเสื้อลงมาครึ่งตัว ก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที

      "ขะขอโทษค่ะ!!" เรเชลรีบปิดประตูหนีหายไปในทันที ทิ้งให้เจ้าของห้องมองตามหลังไปด้วยความงุนงง


หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 6 Grew up :2/3) 30 Oct.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 30-10-2015 14:45:16
Grew up (2/3)



          งานศพที่เพิ่งจะจบลงไปตอนช่วงเย็น แขกที่เข้ามาร่วมกันก็ค่อยๆทยอยกลับกันไป ลีนัสที่เพิ่งก้าวเข้ามาถึงงาน พบกับบรรยากาศเดิมๆ เสียงพูดคุยแผ่วเบาฟังดูน่าอึดอัด และเศร้าสร้อยของผู้คนในเสื้อผ้าสีดำทั่วบริเวณ เหมือนเวลาของเขายังไม่ได้ขยับไปไหน ยังหยุดอยู่ที่งานศพเมื่อวานนี้ของโลแกน เพียงแต่วันนี้เป็นงานของดามอนต์และนายทหารอีกสองคนที่ถูกซีมัสเผาทั้งเป็นไปเมื่อคืนนี้

         ลีนัสรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพของดามอนต์ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องราวครั้งนี้อย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งคิดถึงสิ่งที่ดาวิสพูดใส่เขาเมื่อคืนนี้ ก็ยิ่งรู้สึกผิด ถึงจะไม่ได้เป็นคนลงมือเอง แต่เขาก็เป็นคนที่พาซีมัสหนีไป ถ้าคิดถึงมุมมมองของดาวิสบ้างก็ไม่น่าแปลกใจนักที่เจ้าตัวจะโกรธเขาขนาดนี้

      “ท่านลีนัส” เสียงเอ่ยทักแว่วมาจากข้างหลัง เมื่อหันกลับไปก็พบกับหญิงวัยกลางคนผมสีน้ำตาลทองที่มักจะดูแลตัวเองดี จนดูสาวกว่าวัยจริงของเจ้าตัวไปเยอะ แต่ทว่าวันนี้ไม่ได้ดูสดใสเหมือนทุกๆวัน เพราะความเศร้าหมองที่เพิ่งสูญเสียบุตรชายที่รักไป เธอพยายามคลี่ยิ้มทักแขกที่มาเอาตอนงานเลิกของเธอด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ แววตาที่เศร้าหมองและรอยคล้ำบวมใต้ตา บ่งบอกว่าเธอนั้นไม่ได้หลับไม่ได้นอน และร้องไห้หนักเพียงไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ความรู้สึกผิดยิ่งถาโถมจู่โจมใส่ลีนัสเข้าไปอย่างหนักหน่วง จนเจ้าตัวรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง

      “ท่านโรเซ่ ข้าเสียใจกับการสูญเสียของท่านด้วยขอรับ” ลีนัสพยายามปิดบังความรู้สึกที่แสนอึดอัดใจเอาไว้ และเอ่ยกลับไปอย่างเป็นปกติ

      “ได้ยินว่าดามอนต์ตั้งใจทำร้ายท่าน ข้าไม่คิดว่าท่านจะแวะเข้ามาแสดงความเสียใจ ขอบคุณท่านมาก”

       “...ไม่เป็นไรขอรับ” ลีนัสเอ่ยตอบแล้วหันกลับมาจ้องมองที่ป้ายหน้าหลุมศพอีกครั้งอย่างทำตัวไม่ถูก เขาไม่เคยได้คุยกับโรเซ่มาก่อน เขาไม่รู้ว่าโรเซ่คิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนร้ายที่แกล้งทำตัวเป็นคนดีอย่างไรอย่างนั้น ไหนเอยจะความสัมพันธ์ของเขากับบุตรชายคนโตอีก อะไรหลายๆอย่างทำให้ลีนัสรู้สึกวางตัวไม่ถูก ไม่คิดว่าการมาที่งานศพของดามอนต์จะเป็นเรื่องที่หนักหน่วงขนาดนี้

      “ข้าหวังว่าท่านจะให้อภัยเด็กคนนี้นะ จริงๆแล้วดามอนต์ก็เป็นเด็กที่น่ารักนะ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเห็นสักเท่าไหร่ จึงต้องพยายามทำอะไรบางอย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจ ซึ่งมันอาจจะมากเกินไป...ข้า น่าจะใส่ใจเขาให้มากกว่านี้” โรเซ่ว่าพลางทำท่าจะสะอื้นไห้อีกรอบ ทำให้ลีนัสยิ่งรู้สึกลำบากใจเข้าไปอีก เขารีบกวาดสายตามองรอบตัว หวังอยู่นิดๆว่าดาวิสจะผ่านเข้ามาแถวนี้เพื่อเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์อันน่าตรึงเครียดนี้ที แต่แล้วลีนัสก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นวี่แววของเจ้าตัวเลยตั้งแต่มาถึง ดูเหมือนเขาจะต้องรับมือกับเรื่องนี้เองจริงๆ

      “ท่านโรเซ่ ข้าเข้าใจ ข้าเสียใจด้วยจริงๆ ข้าไม่คิดโทษดามอนต์ที่แค่หลงผิดไปชั่ววูบเช่นนั้นหรอกขอรับท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น...” ลีนัสเอื้อมมือไปยกมืออันสั่นเทาของผู้ที่สูญเสียบุตรชายขึ้นมากุมไว้

      “ท่านช่างใจดีนัก แต่ข้าไม่อาจจะให้อภัยน้องชายของท่านได้หรอกนะ ที่สร้างความปวดร้าวให้ข้าแล้วหนีไปเช่นนั้น” น้ำเสียงตัดพ้อของผู้เป็นแม่ ทำให้ลีนัสรู้สึกเหมือนโดนเข็มเล่มยาวทิ่มแทงลึกเข้าไปกลางอก ลีนัสไม่ถูกใจกับการที่เฮมิสสรุปบิดเบือนเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นว่าซีมัสหนีความผิดไปเอง โยนความผิดไปให้คนที่ไม่อยู่ตรงนี้ตอนนี้ ทั้งๆที่สิ่งนั้นเป็นการตัดสินใจของเขา แต่ก็เข้าใจสิ่งที่เฮมิสทำลงไป เพื่อรักษาชื่อของเขาเองที่กำลังจะเป็นเจ้าเมืองคนต่อไป

      “...ท่านโรเซ่ ข้าต้องขอโทษแทนสิ่งที่น้องชายของข้าทำลงไปด้วยขอรับ หากข้าสามารถจะช่วยเหลือในด้านไหนแทนได้ ข้าก็ยินดี” ลีนัสที่อดไม่ได้ที่จะเสนอรับผิดชอบเองแทนน้องชาย จังหวะนั้นลีนัสรู้สึกเหมือนจะเห็นว่าอีกฝ่ายคลี่ยิ้มมุมปากขึ้นมานิดๆ มือที่ลีนัสกุมเอาไว้ ตอนนี้กลายเป็นเขาเป็นฝ่ายที่ถูกจับเอาไว้เสียแน่นไม่ยอมปล่อย

      “ในฐานะที่ท่านกำลังจะเป็นเจ้าเมือง ท่านสัญญากับข้าได้ไหม ว่าจะจับเด็กคนนั้นมาลงโทษให้สมกับสิ่งที่เขาทำไว้” แววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดแค้นของโรเซ่ ทำให้ลีนัสไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกไป เพราะเขาเองไม่กล้าที่จะเอ่ยรับปากในสิ่งที่เขาไม่อาจจะทำได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อาจจะเอ่ยปฏิเสธออกไปได้

      “.....” เมื่อเห็นความลำบากใจของลีนัสเช่นนั้น โรเซ่ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมปล่อมมือของลีนัสลง

      “....ท่านทำไม่ได้สินะ…..ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจท่านหรอกนะ คนที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต ถึงจะทำผิดยังไงก็รัก ต่อให้เป็นเจ้าเมืองที่ต้องตัดสินทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมาก็ตาม” โรเซ่หันไปทอดสายตามองไปยังหินหน้าหลุมศพของดามอนต์อีกครั้งด้วยแววตาที่อาลัยอาวรณ์ พร้อมพูดเสียดแทงตำแหน่งหน้าที่ของลีนัสอย่างนุ่มนวล ทำเอาเขารู้สึกเหมือนตัวเองไร้ซึ่งคุณสมบัติไปในทันที

      “แต่ข้าขออย่างหนึ่งได้ไหมท่านลีนัส” แววตาสีเขียวใสที่ยังคงมีคราบน้ำตาลเอ่อคลออยู่ในดวงตา หันมาจับจ้องลีนัสอย่างจริงจัง

      “ลูกชายข้า เหลืออยู่คนเดียวแล้ว คืนเขาให้ข้าได้ไหม”

       “.....” ลีนัสรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าโรเซ่จะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขา แต่ไม่ว่าจะคิดยังไง เขาก็ไม่อาจจะตีความหมายของผู้เป็นมารดาเป็นอย่างอื่นไปได้

      “ข้าไม่ได้รังเกียจท่านเป็นการส่วนตัวหรอกนะท่านลีนัส หากท่านเป็นผู้หญิงข้าก็ยินดีจะยกบุตรชายให้ ตระกูลเฮนดริคเซ่นเองก็มีหน้ามีตาที่ต้องรักษา ท่านเองก็เช่นกัน”

      “.......” อีกครั้งที่โรเซ่ทำให้เขาไม่อยากที่จะเอ่ยรับปาก แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธความจริงได้

      “ข้าหวังว่าข้าคงไม่ได้ขอเยอะเกินไป“ หลังจากที่ไม่อาจจะตอบรับคำขอร้องแรกได้ ลีนัสก็ยิ่งไม่อาจจะปฏิเสธคำขอร้องที่สองนี้ได้เข้าไปใหญ่ ถ้าเรื่องนี้เขาไม่อาจจะรับปากได้อีกเรื่องหนึ่ง ก็ดูเหมือนเขาจะไร้ซึ่งคุณสมบัติของการเป็นเจ้าเมืองจริงๆ
ที่ผ่านมาลีนัสเองก็ใช่ว่าจะไม่คิดว่าวันหนึ่งเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น เฮมิสเองถึงจะไม่ขัดขวางเรื่องนี้ แต่ก็เฝ้าเสี้ยมสอนบอกอยู่บ่อยครั้ง ว่าเป็นเจ้าเมืองต้องพร้อมที่จะสละความรู้สึกส่วนตัวทิ้งไปให้หมด

       “...ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” ลีนัสตัดสินใจแล้วน้อมศีรษะตอบโรเซ่กลับไป ทำให้อีกฝ่ายคลี่ยิ้มพอใจขึ้นมาจางๆ แม้ลีนัสจะเฝ้าเตือนตัวเองในเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อต้องตัดใจขึ้นมาจริงๆกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

       “ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” หลังจากที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว อยู่ๆคำกระซิบบอกรักของดาวิสที่เขาเพิ่งได้ยินครั้งแรกเมื่อวันก่อนก็แว่วขึ้นมาให้ได้ยิน รู้สึกว่าตาของตนร้อนผ่าวขึ้นมาฉับพลัน เขาจึงรีบขอตัวแล้วเดินจากไปให้ไกลจากผู้คนตรงนั้นทันที เหลือเพียงโรเซ่ที่เพียงปลายตามองตามแผ่นหลังของลีนัสไปอย่างผู้มีชัย

      “ตระกูลยังมีหน้าตาให้รักษาอยู่ด้วยหรือโรเซ่ ไม่น่าเชื่อว่าคำๆนี้จะหลุดออกมาจากปากเจ้าได้” เรย์มอนต์เดินเข้ามาเอ่ยประชดภรรยาหลังจากที่ลีนัสเดินจากไปแล้ว ทำให้แววตาสีเขียวปลาดมองสามีอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที

      “พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงคะ”

      “ที่พูดออกมาน่ะคิดถึงสิ่งที่เจ้าทำไว้กับข้าบ้างไหมล่ะโรเซ่ ยี่สิบสามปีที่ข้าถูกเจ้าหยามเหยียดข้า แต่ก็ข้าต้องอดทนเพื่อหน้าตาของตระกูล ข้าว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์พูดคำนั้นออกมาหรอกนะ” เรย์มอนต์ยกมือขึ้นกอดอกพลางทอดสายตามองไปยังป้ายหลุมศพของดามอนต์

      “....ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่…” โรเซ่เอ่ยถามเสียงสั่นเครือ แววตาสีน้ำเงินเข้มของสามีหันมามองใบหน้าคนถามอย่างเย็นชา

     “นี่เจ้าคิดว่าข้าทำงานหนักจนนับวันนับเดือนไม่ได้เลยจริงๆน่ะหรือ ให้ตายเถอะ ข้าไม่น่าเห็นแก่หน้าตาของตระกูลและปล่อยให้มันโตขึ้นมาสร้างปัญหาขนาดนี้เลยจริงๆ”

      “....” โรเซ่ทรุดลงไปทันทีเมื่อรู้ว่าสามีรู้ความจริงมาตั้งนานแล้ว เรย์มอนต์ไม่เคยพูดอะไรออกมา เพียงแต่เริ่มกลับบ้านน้อยลงเรื่อยๆโดยอ้างว่าติดงานตั้งแต่ดามอนต์เกิดขึ้นมา เพราะเขารู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยามทุกครั้ง ที่กลับบ้านมาเจอหน้าบุตรชายที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคนที่เขาเองก็รู้จักดี

       “นับวันก็ยิ่งหน้าเหมือนเจ้าบ้านั่นขึ้นทุกวัน ข้าขอโทษที่ต้องบอกเจ้านะโรเซ่ ว่าข้าดีใจที่มันจบลงเสียที” เรย์มอนต์เอ่ยทิ้งไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ภรรยานั่งสำนึกผิดอยู่หน้าหลุมศพของบุตรชายที่ไม่เคยได้รับความรักที่จริงใจจากบิดาแม้เพียงสักครั้ง



     



        “ลีนัส” น้ำเสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยเรียกเจ้าตัวดังมาจากโถงชั้นสอง ทันทีที่เดินกลับเข้ามาถึงที่ว่าการฯ ต้นเสียงนั้นมาจากคนที่เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ามากที่สุดในเวลานี้ ว่าที่รองเจ้าเมืองที่อีกไม่นานเขาต้องทำงานร่วมกัน ก่อนหน้านั้นมันยังเป็นเรื่องที่เขาเฝ้ารอให้เกิดขึ้น ทว่าตอนนี้กลับเป็นเรื่องที่ทำให้ลีนัสรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา ณ ตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะคุยอะไรกับอีกฝ่ายไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม หลังจากที่เขาเพิ่งจะรับปากที่จะ”ปล่อย”อีกฝ่ายไปเมื่อครู่ เขาจึงตัดสินใจเดินหลบไปทางปีกซ้ายของคฤหาสน์ ทำเหมือนไม่ได้ยินที่ดาวิสเอ่ยเรียก

        “เดี๋ยวก่อน เป็นอะไรของเจ้าน่ะ” เมื่อเห็นว่าร่างบางเดินเบี้ยงหลบไปทางอื่น ดาวิสจึงรีบเดินลงบันไดที่โถงหลักตามไปในทันที

        “ดาวิส” เฮมิส เจ้าเมืองผู้เป็นใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ เปิดประตูห้องทำงานออกมาพร้อมกับเอ่ยเรียกชายหนุ่มเอาไว้ ทำให้เจ้าตัวต้องหยุดเดินตามร่างบางไปในทันที

      “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า เข้ามาคุยกับข้าครู่หนึ่งสิ” เฮมิสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบๆ ทำให้ดาวิสบอกไม่ถูกว่าเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนขนาดไหน

      หลังจากที่เฝ้ารอลีนัสฟื้นกลับขึ้นมาทั้งเช้าเย็น และรีบเร่งขอตัวกลับออกมาจากงานศพของน้องชายตัวเอง เพื่อจะได้เอ่ยขอโทษกับเจ้าตัวที่ไม่ได้เอ่ยไปเมื่อคืนนี้ ก็ดันสวนทางกันอีก พอถูกดักขึ้นมาตอนนี้ ดาวิสก็รู้สึกขัดใจ ทำสีหน้าลำบากใจออกมาพลางมองเฮมิสสลับกับแผ่นหลังของลีนัสที่ค่อยๆเดินห่างจากออกไป

      “ข้าหมายถึงตอนนี้” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเจ้าเมืองทำให้ดาวิสต้องตัดใจปล่อยลีนัสไปก่อน และยอมเดินกลับขึ้นไปหาเฮมิส

      “...มีเรื่องอะไรหรือขอรับ” ดาวิสเดินตามหลังเฮมิสเข้ามาในห้องทำงานแล้วเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ปิดประตูลง เฮมิสก็หันกลับมายกมือขึ้นกอดอกพร้อมเริ่มต้นสั่งสอนชุดใหญ่

      “พรุ่งนี้ข้าจะทำการมอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้ลีนัส ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าสนิทกัน แต่ก็อยากให้เจ้าระวังกิริยาของเจ้าที่ปฏิบัติกับเจ้าเมืองด้วย อย่างน้อยก็ต่อหน้าคนอื่นๆทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนในที่ว่าการฯเองก็ตาม เจ้าเข้าใจไหม ต่อไปนี้ไม่มีการเรียกห้วนๆกันกลางที่ว่าการฯแล้วนะ”

      “...ขออภัยขอรับ” ดาวิสทำหน้าสำนึกผิดออกมาเมื่อครู่นี้เขาเองก็ลืมตัวไปจริงๆ

      “บางทีเราก็ต้องทำเรื่องที่ไม่ถูกใจบ้าง ข้าก็ไม่ชอบเท่าไหร่หรอกที่ชาวเมืองบางกลุ่มเองก็ยกให้เจ้าเมืองอยู่สูงจนแตะต้องไม่ได้ก็มี แต่มันก็ทำให้ปกครองได้ง่ายขึ้น เจ้าเข้าใจใช่ไหม”

      “เข้าใจขอรับ” ดาวิสตอบรับอย่างว่าง่าย

       “เอาล่ะๆเข้าใจก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้าแค่นั้นแหละ จากนี้ข้าก็ฝากลีนัสไว้ที่เจ้าด้วยก็แล้วกัน”

       “ขอรับ” ดาวิสน้อมศรีษะรับแล้วหันกลับไปเตรียมจะออกจากห้อง แต่ก็ถูกเอ่ยดักขึ้นมาอีกครั้ง

       “อ้อ...ช่วงนี้ลีนัสอาจจะเครียดเรื่องตำแหน่งและอะไรหลายๆอย่าง เจ้าก็อดทนหน่อยแล้วกัน” ดาวิสหักลับไปมองหน้าเจ้าเมืองด้วยสีหน้างุนงง เขาต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม แต่เฮมิสเพียงแค่คลี่ยิ้มจางๆกลับมา พร้อมทำท่าปัดมือเบาๆบอกให้ดาวิสออกไปทำธุระของเขาต่อ

      ดาวิสเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าครุ่นคิด หรือที่ลีนัสวิ่งหนีเขาเมื่อครู่ก็เป็นผลของความเครียดที่ว่า คิดแล้วดาวิสก็ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจเหตุผล






       หลังจากที่หนีดาวิสออกมาได้สำเร็จ ลีนัสก็เดินมาหาเรเชลที่ห้องรับรองแขกตามที่ได้รับแจ้งจากแม่บ้าน เด็กสาวนั่งรอเขาอยู่บนโซฟาตัวยาวกลางห้องรับรองแขก แววตาสีเขียวเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างที่ทำให้แววตาคู่นั้นดูเศร้าๆ

       “...เรเชล?”

       “คะ?” เด็กสาวสะดุ้งขึ้นมาแล้วรีบหันกลับมาตีหน้ายิ้มหวานให้ลีนัสทันที

       “เจ้ากลับไปบอกที่บ้านมาแล้วหรือ” ว่าที่เจ้าเมืองหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

      “เรียบร้อยค่ะไม่มีปัญหา” เรเชลพยายามปั้นหน้ายิ้มสดใสกลับมา แต่สำหรับลีบลาด้วยกันอย่างลีนัส ที่มองเห็นภูติรอบข้างตัวเล็กๆที่แสดงอารมณ์หดหู่ออกมา ก็รู้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างไม่ค่อยดีเกิดขึ้น

       “ขอโทษนะเรเชล ข้าว่ามันไม่ได้ไม่มีปัญหาอย่างที่เจ้าว่านะ มีอะไรเล่าให้ข้าฟังได้ไหม” ลีนัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้เด็กสาวขมวดคิ้วและเม้มริมฝีปากแน่น พร้อมจะระเบิดบ่อน้ำตาตัวเองออกมาได้ทุกเมื่อ

      “มานี่มา” ลีนัสเอื้อมมือไปโน้มไหล่บอกบางของเด็กสาวเข้ามากอด ทำให้เรเชลร้องไห้ยกใหญ่ พร้อมพรั่งพรูสิ่งต่างๆที่อัดอั้นเอาไว้ในใจออกมา

       “ข้าทนครอบครัวนี้ไม่ไหวแล้วท่านลีนัส ข้าเป็นแค่คนนอกคนหนึ่งที่ต้องอยู่บ้านเดียวกัน ท่านแม่ข้าจากไปได้สักพักพ่อเลี้ยงข้าก็แต่งงานใหม่กับแม่หม้ายลูกติด ไม่มีใครสนใจข้าสักคนเดียว….ข้าไม่อยู่คืนเดียว….แม่เลี้ยงข้าเก็บของๆข้าออกจากห้องทิ้งไปหมดแล้ว….” ลีนัสนึกสงสัยตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วว่า เด็กสาวคนนี้ดูเหมือนจะมีปัญหากับทางบ้าน ที่แท้ก็เป็นเรื่องแบบนี้นี่เอง

       “ไม่เป็นไรนะเรเชล เจ้ามาอยู่กับข้าที่นี่ก็ได้” ว่าพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวเด็กสาวเบาๆเพื่อปลอบประโลม เมื่อเด็กสาวได้ยินเรื่องที่ไม่น่าจะเชื่อหูตัวเองก็เงยหน้าขึ้นมองผู้พูดด้วยความประหลาดใจ แต่ด้วยตำแหน่งที่เจ้าตัวซบไหล่ของอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้น ทำให้หันไปเจอใบหน้าเนียนอยู่ห่างไม่ถึงคืบ  ทำเอาเด็กสาวลืมเรื่องที่จะถามไปเสียสนิท

       อยู่ๆประตูห้องรับแขกก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ทำให้ทั้งคู่ต้องหันไปมองผู้ที่เข้ามา

       “...ขออภัย ข้าไม่คิดว่ามีคน....อยู่…” ดาวิสที่เดินตามหาลีนัสทั่วคฤหาสน์มาจบลงที่ที่ไม่คิดว่าจะอยู่ เลยเปิดประตูเข้ามาโดยที่ไม่ทันได้เคาะก่อน และภาพที่เห็นตรงหน้าเขาตอนนี้ ทำให้เจ้าตัวเอ่ยสะดุดไป แววตาสีน้ำเงินเข้มที่ทอดมองมายังเด็กสาวในอ้อมแขนของลีนัสดูเยียบเย็นพิกล จนทำให้เรเชลตัดสินใจขยับตัวห่างออกมาจากลีนัสช้าๆอย่างไม่เข้าใจเหตุผลสักเท่าไหร่

       “ไหนๆท่านก็มาแล้ว นี่เรเชล ผู้ช่วยข้า แล้วก็ข้ายังคุยกับเรเชลไม่เสร็จรบกวนท่านออกไปก่อนได้ไหมขอรับ” ลีนัสลุกขึ้นยืนแนะนำเรเชลเหมือนว่าไม่มีอะไรที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น

       “คะ?” เรเชลที่ยังไม่ทันได้รับรู้เรื่องที่ลีนัสพูดถึงเมื่อครู่หันไปมองหน้าลีนัสด้วยสีหน้างุนงง ดาวิสที่รอคุยกับลีนัสมาทั้งวัน ไม่คิดจะยอมปล่อยโอกาสนี้ไปง่าย จึงเดินตรงเข้าไปหาเรเชลทำให้ลีนัสต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

      “ข้าดาวิส ว่าที่รองเจ้าเมือง ขอโทษด้วยที่เมื่อวานนี้เสียมารยาทไปหน่อย จากนี้ไปยังไงก็ต้องทำงานด้วยกัน หวังว่าเจ้าคงไม่ถือสาว่าความกัน” ดาวิสแนะนำตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรพร้อมยื่นมือออกไปหาเด็กสาวที่กำลังทำอะไรไม่ถูก พอมือแกร่งยื่นเข้ามาหา เธอก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือกลับไปจับพอเป็นมารยาท

      “...ค่ะ”

      “ข้าขอโทษนะเรเชล แต่ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับว่าท่านว่าที่เจ้าเมืองสักครู่ ข้าขอเวลาได้ไหม” ดาวิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและรอยยิ้มที่เป็นมิตร แต่อะไรบางอย่างทำให้เรเชลรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา มือแกร่งที่จับมือเธอไว้ไม่ได้ออกแรงอะไรเยอะ แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือเธอออก

     “ท่านดาวิส ข้าบอกว่าข้ายังคุยกับเรเชลไม่เสร็จไงล่ะ ไม่เข้าใจหรือขอรับ” ลีนัสยกมือขึ้นกอดอกเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียงแข็ง ทำให้เรเชลหันกลับไปมองลีนัสที แล้วก็กลับไปมองที่ดาวิสอีกที

     “...เอ่อ...ข้าออกไปรอข้างนอกครู่หนึ่งก็ได้ค่ะ” เรเชลตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ

    “เรชะ..”

    “ขอบใจเจ้ามาก” ดาวิสเอ่ยแทรกลีนัสที่กำลังจะเอ่ยรั้งเด็กสาวขึ้นมา พร้อมปล่อยมือเธอออก

      “ข้ารออยู่ข้างนอกนะคะ” เรเชลหันไปบอกลีนัสแล้วรีบเดินออกจากห้องไปในทันที
เมื่อคนในห้องเหลือเพียงสองคน ลีนัสก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที ร่างบางตัดสินใจเดินหนีออกห่างจากอีกฝ่ายออกไปยืนข้างหน้าต่างห้อง เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะฝืนขัดใจตัวเองได้นานแค่ไหนเมื่อถูกแววตาคมคายจ้องมองเช่นนั้น จึงเบือนหน้าหนีหันออกไปมองข้างนอก

      “...ท่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าขอรับ” ลีนัสเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่หันมองคู่สนทนา

      “.....................” ดาวิสไม่เอ่ยตอบกลับมา ความเงียบงันยาวนานทำให้ชายหนุ่มร่างบางจำต้องหันกลับมามองคู่สนทนาด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

     “ข้าขอโทษที่ข้าว่าเจ้าไปเช่นนั้นเมื่อคืนนี้ ข้าจะไม่ทำตัวใจร้อนแบบนั้นอีก ยกโทษให้ข้าเถอะลีนัส” ดาวิสรอจังหวะที่ลีนัสหันมาสบตาค่อยเอ่ยขึ้นมา คำขอโทษนั้นทำให้ลีนัสรู้สึกปวดใจขึ้นมา ทำไมดาวิสถึงต้องดีกับเขาเช่นนี้ เมื่อเริ่มรู้สึกข่มกลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหว ลีนัสก็เบือนหน้าหลบไปมองข้างนอกอีกครั้ง

      “ข้าไม่โทษท่านหรอกขอรับ จริงๆแล้วเรื่องนี้ข้าผิดเองขอรับ”

      “เจ้าอย่าพูดแบบนั้นได้ไหมลีนัส เจ้าจะแบกภาระไว้คนเดียวแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ” ดาวิสก้าวเท้าเข้าไปหา ตั้งใจจะเข้าไปโอบกอดร่างบางตรงหน้าเอาไว้ แต่เขากลับชนเขตกั้นเวทย์ที่มองไม่เห็นของเจ้าตัว

      “ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอกขอรับ ถ้ามีเรื่องพูดแค่นี้ก็กลับไปได้แล้วขอรับ” ลีนัสเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยไม่หันมามองดาวิสแม้แต่น้อย ดาวิสจึงยอมก้าวถอยออกมาหนึ่งก้าว แต่เมือสังเกตเห็นเงาสะท้อนจะแสงแดดยามเย็นนอกหน้าต่างตกกระทบกับเขตกั้นเห็นเป็นเงาจางๆ ดาวิสตัดสินใจกำหมัดแน่นแล้วพุ่งหมัดตรงเข้าใส่ฉากกั้นใสๆเต็มแรง
ลีนัสได้ยินเสียงกระแทกอย่างแรงดังขึ้นก็รีบหันกลับไปดู เห็นฉากกั้นของตัวเองแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ แล้วฟุ้งกระจายหายไปกับอากาศรอบๆ หลังมือแกร่งข้างที่ต่อยเมื่อครู่ขึ้นรอยแดงช้ำขึ้นมา ลีบลาหนุ่มที่มัวแต่เป็นห่วงรอยฟกช้ำนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ถูกร่างสูงเอนร่างลงมาพิงคร่อมตัวเองไว้กับกำแพงห้อง

      “ถ้าเจ้าหลบหน้าข้าแบบนี้ ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าอภัยให้ข้าจริง”ดาวิสโน้มตัวลงมาคุยกับลีนัสระยะประชิด ทำเอาเจ้าของใบหน้าหวานใจเต้นแรงขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่เหลือหนทางจะหนีไปไหนแล้ว ทั้งซ้ายขวาก็มีท่อนแขนแกร่งขวางกั้นเขาอยู่ ตรงหน้าก็เป็นใบหน้าคมกับแววตาที่แน่วแน่จ้องมองมา พร้อมจะทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองได้ทุกเมื่อ

       “อย่า…!!” ลีนัสรีบปัดปลายนิ้วของดาวิสที่กำลังจะเชยคางของเขาให้หันมาสบตามอง พร้อมกับเบือนหน้าหลบ

      “ลีนัส...เจ้าโกรธข้าอยู่ใช่ไหม ถึงต้องลงโทษข้าแบบนี้ ข้าอาจจะผิดเองที่ไม่ได้ตั้งใจดูแลน้องชายตัวเองจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทำให้เจ้าต้องไล่ซีมัสไป ข้าขอโทษ อย่าทำแบบนี้ได้ไหม” ลีนัสให้อภัยดาวิสตั้งแต่ยังไม่ทันได้ฟังคำขอโทษของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่หากว่าเหตุผลนี้จะทำให้ดาวิสยอมห่างเขาได้ ก็ขอข่มกลั้นใจตัวเองที่อยากจะยกมือขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายและเข้าไปออดอ้อนอย่างสุดความสามารถ

      “....!!” มือแกร่งยกขึ้นจะไล้ปลายนิ้วลงบนเรือนผมนุ่มที่ปรกลงมาบังหน้าหวานขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าลีนัสขมวดคิ้วยืนตัวเกร็งเหมือนกลัวการสัมผัสจากเขา ทำให้ดาวิสหยุดมือของเขาไว้เพียงเท่านั้น แล้วถอนใจออกมา

      “...ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่แตะต้องเจ้าจนกว่าเจ้าจะให้อภัยข้าแล้วกัน” ดาวิสเอ่ยจบก็เดินจากออกไปในทันที ลีนัสต้องข่มกลั้นใจตัวเองไม่ให้เอ่ยรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วมองแผ่นหลังนั้จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์



End Act 6 : Grew up 2/3

ช่วงนี้ใครมันโพสรูป 壁ドンไว้น้า เลยเอามาใช้ซะเลย......นี่มันช่างต่างจากที่ร่างโครงไว้จริงๆ  = =''
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act 6 Grew up :3/3) 3 Nov.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 03-11-2015 18:08:51
Act:6  Grew up (3/3)



          พิธีส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมืองจบลงได้ด้วยดี ไม่มีใครกล่าวถึงเรื่องเลวร้ายต่างๆที่เพิ่งเกิดขึ้นไป หรือต้องเรียกว่าไม่กล้าที่จะเอ่ยถึงเสียมากกว่า ข่าวที่ซีมัสผู้เป็นลูกครึ่งภูติได้แสดงวีรกรรมทิ้งเอาไว้ยังคง หลอกหลอนชาวเมืองอยู่ไม่ใช่น้อย เฮมิสเองกลับใช้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นข้อดีที่ช่วยให้ชาวเมืองทำตัวอยู่ในกรอบมากขึ้น

          เด็กสาวที่เพิ่งเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยเจ้าเมือง เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องรองเจ้าเมืองที่ตัวเองไม่ค่อยจะถูกชะตาด้วยสักเท่าไหร่ ในเมื่อการเจอหน้ากันแต่ละครั้งที่ผ่านมาอีกฝ่ายเหมือนพร้อมจะฆ่าเธอได้ถูกเมื่อย่างบอกไม่ถูก ถึงจะไม่อยากจะคุยด้วยเท่าไหร่นัก แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเนื้องานหลักของเธอก็ว่าได้ เพราะเจ้าเมืองดูจะเป็นคนที่ไม่อยากจะคุยด้วยเองมากที่สุด ถึงได้ส่งเธอมาคุยให้ทุกครั้งไป

          ถึงจะไม่ชอบเนื้องานแค่ไหน แต่จะว่าเธอคิดผิดที่รับงานนี้ก็ไม่ถูก ยังไงก็ยังดีกว่าต้องกลับไปเป็นบุคคลไร้ตัวตนในบ้านหลังเดิมเป็นไหนๆ ซ้ำลีนัสยังอุตส่าห์ไปที่บ้านของเธอเพื่อจะเอ่ยขอตัวเธอไปทำงานด้วยตัวเองอีกต่างหาก แค่นึกถึงสีหน้าของทั้งพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงตนที่ทำหน้าประหลาดใจออกมาก็อดไม่ได้ที่จะขำขึ้นมา ตอนนั้นเธอรู้สึกเหมือนเป็นนางซินเดอรเรอล่าที่มีเจ้าชายมาสวมรองเท้าแก้วให้ แล้วพากลับเข้าวังหยามหน้าแม่เลี้ยงและบรรดาลูกติดของนางยังไงอย่างนั้น

          ประตูห้องทำงานของรองเจ้าเมืองเปิดออกมาโดยที่เรเชลยังไม่ทันได้เคาะ เบื้องหลังประตูบานนั้นปรากฏใบหน้าคมเข้าขมวดคิ้วมองมาที่เธอด้วยแววตาสงสัย

          “เป็นอะไร จะเคาะประตูก็ไม่เคาะ มายืนอมยิ้มอยู่หน้าห้องอยู่คนเดียว ไหวไหม” รอยยิ้มเพ้อฝันของเธอเมื่อครู่หุบหายไปในทันทีเมื่อเห็นสีหน้ายุ่งๆของอีกฝ่ายเข้า

          “...ท่านดาวิสจะออกไปข้างนอกเหรอคะ” เรเชลรีบถามกลับเพื่อบ่ายเบี่ยงประเด็น

          “เจ้ามีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า”

          “ไม่ค่ะ ท่านลีนัสฝากเอกสารมาให้ตรวจสอบอีกทีค่ะ” เรเชลยื่นเอกสารกองหนึ่งในมือส่งให้ ดาวิสปลายตามองแล้วถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะรับไปแล้วเดินวกกลับไปวางไว้บนโต๊ะในห้อง

         “อ้อ เรเชล รอข้าเดี๋ยวนึง” เด็กสาวที่ทำท่าจะเดินหนีไปเมื่อเสร็จธุระถูกเรียกตัวก็ทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วถอนหายใจออกมา  ก่อนจะกลับไปตีหน้ายิ้มแย้มกลับไปเป็นปกติ

         “มีอะไรให้นำกลับไปให้ท่านลีนัสหรือคะท่านดาวิส” เรเชลเตรียมรับเอกสารกลับ เธอเริ่มจะเคยชินกับหน้าที่คนส่งสารและส่งของไปมาระหว่างสองคนนี้เข้าไปทุกที

        “อ่ะ ข้าฝากกลับไปที แล้วก็….” ดาวิสหยิบเอกสารอีกกองกลับไปให้เด็กสาว

         “คะ?” เรเชลเอ่ยถามรองเจ้าเมืองที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ลังเล

        “ข้ารบกวนเจ้านิดนึงสิ อีกสักสิบนาทีเจ้าลงไปตามข้าที่หน้าประตูทางเข้าใหญ่ทีสิ บอกว่าท่านเจ้าเมืองมีเรื่องด่วนหรืออะไรก็ได้ ช่วยหน่อยได้ไหม” เรเชลได้ยินคำขอร้องประหลาดๆนี้ก็ขมวดคิ้วกลับไป ฟังดูเหมือนเป็นงานที่ต้องทำให้ใครไม่พอใจแน่ๆ สีหน้าแสดงความไม่ไว้วางใจของเด็กสาวทำให้ดาวิสถอนใจออกมา

         “เอาเถอะ ไม่ต้องก็ได้ ขอโทษด้วยที่ขอให้ทำอะไรแปลกๆ” ดาวิสผ่านเรเชลลงบันไดไปชั้นล่างอย่างเงียบๆ เด็กสาวไปแต่มองตามด้วยความงงงวยก่อนจะหันกลับ แล้วเดินไปที่ห้องทำงานของเจ้าเมือง

         “เอกสารถึงมือท่านดาวิสแล้วนะคะ แล้วก็อันนี้ท่าดาวิสฝากกลับมา” เรเชลเอ่ยรายงานผล”งานส่งเอกสาร”ของเธอให้ลีนัสฟัง พร้อมวางเอกสารชุดใหม่ลงบนโต๊ะ ทว่าเจ้านายของเธอไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะรับฟังเธอเลยสักนิด แววตาสีเพลิงทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างห้องทำงานอย่างล่องลอยออกไปข้างนอก

         “ท่านลีนัส มีอะไรหรือคะ?” เรเชลเอ่ยถามพลางชะเง้อหน้ามองออกไปข้างนอกบ้าง เห็นหญิงสาวผมสีบลอนทองแต่งตัวดีผิวขาวสวยตัดกับริมฝีปากสีแดงสดคนหนึ่งยืนรอใครบางคนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าที่ว่าการด้วยใบหน้าสดใส เหมือนหญิงสาวที่เพิ่งจะเริ่มมีความรัก กำลังเฝ้ารอที่จะเจอคนรักอย่างอารมณ์ดี

        “โฮ่...” เรเชลร้องอุทานขึ้นมาเพราะกำลังตะลึงในความงามของหญิงสาวข้างนอกนั่น ทำเอาลีนัสสะดุ้งแล้วละสายตากลับมา ยังเด็กสาวที่เขย่งเท้าชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความสนอกสนใจ

       “ใครหรือคะ?” ตากลมโตของเด็กสาวกรอกกลับมาถามเจ้านายของเธอด้วยความสนอกสนใจ

      “ท่านดาวิสฝากอะไรกลับมานะ” ลีนัสแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเรเชล แล้วทำทีเป็นหยิบเอกสารที่เรเชลหยิบมาวางเมื่อครู่ขึ้นมาเปิดดู

       “......” เรเชลรู้ดีว่าการที่ลีนัสแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็เพราะไม่อยากจะพูดถึง จึงไม่เซ้าซี้ที่จะถาม ทว่าอาการใจลอยแปลกๆของลีนัสพอจะทำให้เด็กสาวเดาอะไรไปเองได้อยู่ ปกติลีนัสไม่ใช้เวลานั่งจ้องเอกสารหน้าแรกนานขนาดนี้ เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ

       “อ้อ….วันนี้ก็เย็นแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าไม่มีอะไรที่จะต้องให้เจ้าช่วยแล้ว” ลีนัสเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปล่อยให้เรเชลยืนรออยู่

       “อา..ค่ะ ถ้านั้นข้าขอตัวแค่นี้นะคะ” เรเชลที่ปกติไม่ได้มีอะไรทำหลังเลิกงาน ปกติลีนัสมักจะจัดเวลาสอนทักษะการเป็นลีบลาให้ แต่วันนี้ดูเหมือนเรื่องนั้นจะไม่เกิดขึ้น เธอตัดสินใจปล่อยให้เจ้านายของเธอได้มีเวลากับตัวเองบ้างสักพัก เธอเลยขอตัวเเอกมาก่อน ระหว่างที่ปิดประตูห้องลงเธอก็เห็นว่าลีนัสวางเอกสารลง แล้วหันกลับออกไปมองที่ข้างนอกหน้าต่างอีกครั้ง

       ………..ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?? เรเชลสงสัยขึ้นมาตงิดๆ จะว่าเจ้านายเธอจะแอบหลงรักหญิงสาวคนนั้นก็แล้วทำไมไม่ออกไปหาเสียให้สิ้นเรื่อง เป็นถึงเจ้าเมืองมีหรือจะถูกเมินเฉย เธอตัดสินใจเดินออกไปดูด้วยตัวเอง แต่เมื่อจะเดินออกไปข้างนอกก็เห็นว่า มีคนเดินเข้าไปคุยกับหญิงสาวคนนั้นแล้ว แววตาสีฟ้าใสที่มองอีกฝ่ายดูเปล่งประกายออกมา จนเรเชลสัมผัสได้ ว่านี่แหละคือคนที่เธอรออยู่

      …..ท่านรองเจ้าเมือง...ยังไงล่ะทีนี้….เด็กสาวเริ่มงุนงงในข้อสันนิษฐานของตัวเอง ถ้าเมื่อครู่ที่ดาวิสขอให้เธอไปเรียกเขากลับมา โดยอ้างว่าเป็นธุระด่วน ก็เพื่อจะปลีกตัวออกมาจากหญิงสาวผู้น่ารักเพรียบพร้อมคนนี้ เรเชลเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงตัดสินใจที่จะแอบฟังอยู่ห่างๆเพื่อประเมินสถานการณ์ใหม่

       “ขออภัยด้วยที่ท่านแม่ข้าทำให้ท่านต้องลำบากมาถึงนี่” ดาวิสรับห่อขนมอบที่มารดาของเขาเพียงใช้อ้างให้หญิงสาวผู้นี้มาส่งให้เขากับมือ เพื่อให้ดาวิสได้เจอหน้ากับเธอสักครั้ง ซึ่งก็ไม่แปลกใจอะไรนักที่มารดาต้องการให้เขาได้เจอหน้ากันสักครั้งให้ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นหญิงสาวที่งดงามเหมือนตุ๊กตาที่ประณีตบรรจงปั้นขึ้นมาขนาดนี้ หากเขายังไม่มีใครอยู่ในใจก็คงจะหวั่นไหวได้อยู่เหมือนกัน

         “ไม่เลยท่าดาวิส ข้าเต็มใจที่จะมาเอง ดีเสียอีกที่นานๆข้าจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง ว่าแต่ว่าข้ารบกวนเวลาของท่านมากเกินไปไหมที่แวะเข้ามาหาแบบนี้” หญิงสาวคลี่ยิ้มหวานแฝงด้วยแววตาข่มขื่นเล็กน้อย ดาวิสก็พอจะเข้าใจว่าเกิดเป็นลูกสาวตระกูลผู้ดี มักจะไม่ได้ปล่อยออกไปนอกบ้านสักเท่าไหร่ จนกว่าจะได้ลงหลักปักฐานกับตระกูลอื่น ซึ่งก็ไม่ได้รับรองได้ว่าเธอจะได้รับการปฏิบัติอย่างไรต่อ แต่ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่เขาจะต้องช่วยอีกฝ่ายแก้ไขแต่อย่างใด
   
         “ถ้าวันที่งานไม่เยอะเท่าไหร่อย่างวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรขอรับ” ดาวิสเอ่ยดักไม่ให้อีกฝ่ายตั้งความหวังอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด

         “ถ้าเช่นนั้น หลังจากกนี้ท่านพอจะมีเวลาไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาเหมือนไม่ค่อยกล้าที่จะเอ่ยนัก

        “อา….” ดาวิสเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเผลอหลุดปากพูดออกไปแล้วว่าวันนี้งานไม่เยอะ จะเอ่ยปฏิเสธไปตอนนี้ก็ดูจะเสียมารยาท ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลี่ยงเสียแล้ว

        “เอ่อ...ท่านดาวิสคะ” เรเชลตัดสินใจเดินเข้าไปหา แววตาสีฟ้าของหญิงสาวจ้องมองมาที่เด็กสาวเหมือนกำลังอ้อนวอนอย่าให้เธอได้พาดาวิสไปที่ไหนเลย แววตาคู่นั้นทำให้เด็กสาวต้องกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ส่วนแววตาสีน้ำเงินเข้มนั้นจ้องมองเธอมาอย่างมีความหวัง เด็กสาวเริ่มจะรู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงลีนัสที่นั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องทำงานเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ทำให้เธอตัดสินใจเอ่ยขึ้นมา

       “...ท่านเจ้าเมือง มีเรื่องด่วนอยากจะปรึกษาท่านค่ะ” พอได้ยินที่เรเชลเอ่ยขึ้น ดาวิสก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นนิดๆ แล้วขยับปากเอ่ยขอบคุณเรเชลก่อนที่จะหันกลับไปคุยกับหญิงสาว

       “ข้าขอโทษด้วยนะขอรับท่านเมดิลิน ดูเหมือนข้าจะไม่ว่างเสียแล้ว ข้าให้คนไปส่งท่านที่บ้านไหมขอรับ” ดาวิสรีบฉวยโอกาสนี้ปิดช่องทางของอีกฝ่ายทันที

       “อา...ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้ค่ะ” เมดิลินเอ่ยตอบกลับมาด้วยแววตาเศร้าๆก่อนจะก้มศีรษะและย่อตัวนิดๆก่อนจะลาจากไป

       “....ข้ารู้สึกเหมือนทำบาปอันใหญ่หลวงลงไปอย่างไรอย่างนั้น…” เรเชลบ่นขึ้นหลังจากที่เมดิลินเดินจากไปได้สักพัก

      “ขอบใจนะเรเชล ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้ารู้สึกผิดแบบนี้ เอาไว้เจ้าอยากให้ข้าช่วยเรื่องอะไรก็บอกแล้วกัน” ดาวิสคลี่ยิ้มพลางตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

        “ข้าว่านางก็น่ารักดีนี่นา ทำไมถึงต้องเย็นชากันขนาดนั้นด้วย”

        “ข้ามีคนที่ชอบอยู่แล้วก็แค่นั้นแหละ” พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็นึกขึ้นได้ว่าห้องทำงานของลีนัสมองลงมาถึงตรงนี้ได้ จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่หน้าต่างห้องทำงานของเจ้าเมือง ก็สบตาเข้ากับคนที่ตนกำลังคิดถึงอยู่พอดี ลีนัสที่แอบมองมาจากชั้นบนเห็นว่าดาวิสมองกลับมาก็รีบลุกเดินหนีออกห่างไปจากหน้าต่างทันที

       “เอ๋!!? ” เด็กสาวร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินดาวิสที่ยอมรับเรื่องนี้ออกมาอย่างง่ายดาย

       “อ่ะ คุ๊กกี้ ข้าว่าน่าจะอร่อยนะ ข้ายกให้” อยู่ๆดาวิสก็ยกห่อขนมให้เธอทั้งห่อ แล้วรีบเดินกลับเข้าไปข้างในทันที

      “อ้าว ท่านดาวิส...เดี๋ยวสิ…” เรเชลหันไปมองแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปอย่างงุนงง สลับกับห่อขนมในมือ

      “....จะว่าไป...นี่มันหอมดีจัง”


           ดาวิสรีบเดินกึ่งวิ่งกลับเข้าไปข้างในส่วนของคฤหาสน์ เพื่อจะไปหาลีนัสที่มองเขาลงมาจากในห้องทำงาน ถึงแม้ตอนนี้ดาวิสจะพยายามเลี่ยงไม่พูดคุยกับลีนัสจนกว่าลีนัสจะยอมคุยกับเขาก็ตาม แต่เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไป ซ้ำแววตาที่มองลงมาเมื่อครู่ทำให้เขามีความหวังขึ้นมานิดๆว่าลีนัสจะยอมกลับมาคุยกับเขาอีกครั้ง
แต่เมื่อเขาเคาะประตูและถือวิสาสะเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป ก็พบกับเอกสารต่างๆที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างลวกๆบนโต๊ะ และห้องที่ว่างเปล่า ไม่เหลือร่องรอยของเจ้าของห้องแม้แต่นิดเดียว ลีนัสรู้ว่าเขาจะมาจึงได้รีบหนีออกไปเสียก่อน เพื่อเลี่ยงการสนทนา

          “.....” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวังก่อนจะถอยกลับออกมาแล้วปิดประตูห้องลง
สิ้นเสียงปิดประตูห้องและฝีเท้าที่เดินจากไปได้สักพัก ก็มีเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกแว่วออกมาจากใต้โต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดหน้าต่างห้อง ชายหนุ่มร่างบางผู้เป็นเจ้าเมืองนั้น นั่งขดตัวแอบอยู่ใต้โต๊ะ หลังจากที่รู้ว่าดาวิสกำลังจะขึ้นมาหา เขาก็รีบเก็บของบนโต๊ะให้เรียบร้อยและเตรียมจะหนีออกไปข้างนอก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหาแล้ว ทางออกสุดท้ายของเขาคือใต้โต๊ะทำงานตรงนี้นั่นแหละ

         …......ทำไมข้าต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย



           สุดท้ายแล้ววันนี้ดาวิสก็หาลีนัสไม่เจอ อยู่ๆก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยกระทั่งตกดึก ดาวิสตัดใจที่จะออกตามหาแล้ว เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหลบหน้าเขา พอคิดว่าลีนัสยังจะตั้งใจหลบหน้าเขาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเขาก็ถอนหายใจออกมา แววตาเหม่อมองออกไปที่สวนข้างหลังคฤหาสน์ในยามค่ำคืน ทันใดนั้นเองที่เขาเห็นเด็กหนุ่มร่างบางในเสื้อผ้ารัดกุมสีดำ มีผ้าคลุมหัวเดินกึ่งวิ่งเลาะกำแพงคฤหาสน์ออกไปทางป่าด้านหลัง ลักษณะท่าทางที่ดูคุ้นตาทำให้ดาวิสรีบออกจากห้องนอนตัวเอง ลงไปชั้นล่างและออกตามร่างบางไปที่สวนด้านหลังทันที

         ดาวิสค่อยๆเดินตามรอยเท้าที่เหลือทิ้งไว้ให้เห็นบนพื้นดินที่เปียกชื้นจากฝนที่ตกลงมาเมื่อช่วงเย็น แต่เมื่อเข้าไปลึกเข้าไปเรื่อยๆ เงาต้นไม้ใหญ่ก็เริ่มจะกลบแสงจันทร์จนมองไม่เห็นร่องรอยอะไรแล้ว ดาวิสจึงย่อตัวลง หลับตาเงี่ยงหูฟังหาทิศทางของเสียงย่ำเท้าอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรเหมือนว่าอีกฝ่ายหยุดเคลื่อนที่ไปแล้ว
ขณะที่กำลังคิดว่าจะต้องถอดใจเดินสุ่มหาดูแล้ว อยู่ๆก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาจากมุมป่าฝั่งที่เข้าไปใกล้เขตของภูติ ดาวิสจึงค่อยๆย่องเข้าไปหาเงียบๆ

        เมื่อเดินมาถึงลานหินกว้างที่ตรงนี้ไม่มีเงาต้นไม้ใหญ่บังแสงจันทร์เลย ปรากฏร่างภูติกึ่งกกระทิงร่างใหญ่ยืนเด่นสง่าอยู่ ที่ตรงหน้ามีร่างของชายหนุ่มที่ดาวิสตามมาเมื่อครู่ยืนอยู่ เมื่อเปิดผ้าคลุมหัวสีดำออกมาก็เห็นเรือนผมสีน้ำตาลแดงสะท้อนแสงจันทร์ออกมาชัดเจน ใช่คนที่เขาคิดไว้ไม่ผิดจริงๆ
แววตาคมสีแดงเข้มของภูติร่างใหญ่ปลายตามองมายังดาวิสทันทีที่เขาเข้ามาถึง เจ้าตัวจึงรีบพลิกตัวหลบไปหลังต้นไม้ใหญ่ทันที ผู้ที่ปลายตามองเมื่อครู่ก็เพียงยักไหล่เบาๆแล้วหันกลับมาที่คู่สนทนาของตนอีกครั้ง

         “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ซีมัสสบายดี แค่ไม่พร้อมจะเจอเจ้าเท่านั้นเอง” กระทิงร่างสูงใหญ่กว่าลีนัสสามเท่าเอ่ยพูดขึ้นมา

        “.....ข้าขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนท่าน” ลีนัสเอ่ยอย่างรู้สึกผิด อาการซึมเศร้าของเจ้าเมืองหนุ่มทำให้ภูติรู้สึกอึดอัดจนต้องถอนใจออกมา กล้ามเนื้ออกหนากระเพื่อมจากการถอนหายใจหนักของภูติร่างใหญ่ ควันร้อนลอยฟุ้งออกมาจากปลายจมูก

       “ข้ามีส่วนต้องรับผิดชอบชีวิตเด็กคนนี้เหมือนกัน เจ้าอย่าได้คิดมากนัก เจ้าเป็นเจ้าเมืองแล้ว มีภาระสำคัญที่ต้องดูแลมากมาย” ภูติร่างยักษ์ว่าพลางตวัดสายตากลับมาตรงที่ดาวิสแอบอยู่อีกครั้ง

      “รีบกลับไปได้แล้วอย่าทำให้คนอื่นเป็นห่วงเจ้านักเลย” คำพูดทิ้งท้ายของภูติก่อนที่จะสลายตัวกลายเป็นแสงสว่างดวงเล็กๆกระจายตัวหายจากไปนั้น ทิ้งให้ลีนัสงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร คิดว่าพูดรวมๆถึงทั้วชาวเมืองและชาวภูติที่ต้องพึ่งพาเขา แต่ดาวิสที่แอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่นั้นพอจะเดาได้ว่าตัวเองถูกพาดพิงถึง เขารู้ดีว่าถึงตัวเองจะหลบยังไงก็ไม่พ้นสายตาของภูติไปได้อย่างแน่นอน และดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ต้องการจะแจ้งให้ลีนัสได้รู้ด้วยจึงไม่เปิดเผยตัวออกมา ไหนเลยลีนัสก็ยังหลบหน้าเขาอยู่ ออกไปตอนนี้มีแต่สร้างความอึดอัดใจให้อีกฝ่ายหนักขึ้นไปเท่านั้น

       “อ่ะ…” เสียงร้องอุทานขึ้นมาของลีนัสทำให้ดาวิสต้องชโงกหน้าออกไปดู เห็นหมาป่าร่างสูงใหญ่ขนสีดำขลับเดินเข้ามาหาลีนัสช้าๆ ดาวิสเตรียมจะลุกขึ้นไปขวางแต่เมื่อเห็นว่าลีนัสย่อตัวลงแล้วแบมือยื่นไปหาหมาป่าขนดกดำก็ทำให้เขานึกขึ้นได้

       “....ลูลู่…” ลีนัสเห็นนัยน์ตาข้างนึงสีแดงข้างนึงสีม่วงของหมาป่าร่างใหญ่ก็ร้องขึ้นมา เขาจำได้ว่าชื่่อนี้เป็นชื่อที่เด็กหญิงตัวน้อยเป็นคนเอ่ยตั้งให้ โดยที่เขาเองก็คิดว่าไม่ได้เข้ากับเจ้าตัวเลยสักนิด แต่เพราะเขาไม่รู้จะเอ่ยเรียกอะไรออกมาเลยต้องใช้ชื่อนี้ไปโดยปริยาย หมาป่าร่างใหญ่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเรียกชื่อก็ค่อยๆกระดิกหางฟูๆของตัวเองไปมา แล้วเดินมาเลียมือของลีนัสชุดใหญ่ ก่อนจะลามไปเลียแก้มเลียหน้าอย่างดีอกดีใจ ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

       “จะว่าไปชื่อนี้ก็เข้ากับเจ้าอยู่นะ ว่าไง” ลีนัสใช้มือสองข้างขยี้แผงคอนุ่มหนาของเจ้าหมาป่าร่างใหญ่อย่างสนุกสนาน ดาวิสแอบนั่งดูลีนัสที่นั่งเล่นอยู่กับหมาตัวใหญ่อย่างสนุกสนานอยู่ก็คลี่ยิ้มออกมา หลายวันมานี้เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของลีนัสเลยตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น นึกๆแล้วก็แอบอิจฉาลูลู่ขึ้นมา
แต่ไม่นานนักรอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆจางหายไป ลีนัสขยี้หัวลูลู่เบาแล้วก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน

        “ขอบใจนะลูลู่ ข้าต้องกลับแล้วล่ะ ไว้ข้าจะมาใหม่นะ” หมาป่าตัวใหญ่ที่นอนหงายท้องอยู่ เห็นว่าลีนัสลุกขึ้นยืนก็รีบพลิกตัวลุกขึ้นแล้วเดินตามไปส่งอย่างอารมณ์ดี ดาวิสรอให้ลีนัสเดินนำกลับไปก่อนสักพักหนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นเพื่อจะเดินกลับไปบ้าง

     
   
      “เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกท่านหรือขอรับ” เสียงยียวนที่คุ้นหูดังแว่วออกมาจากบนต้นไม้สูงระหว่างทางที่ดาวิสจะเดินกลับ ทำให้เขาหยุดฝีเท้าลงไปในทันที

      “...ข้าว่า เจ้าจัดการปัญหาของตัวเจ้าเองก่อนดีไหม เข้าสู่วัยต่อต้านผู้ปกครองแล้วหรือไงซีมัส แม่อุตส่าห์มาตามถึงที่ไม่ยอมออกมาหาน่ะ” ดาวิสที่ถูกเอยจี้ใจดำขึ้นมาก็ยียวนอีกฝ่ายกลับไปบ้าง ทำให้เจ้าตัวกระโดดลงมาตรงหน้าพร้อมออกหมัดต่อยเข้าที่หน้าของเขาทันที จึงรีบเบียงตัวหลบพร้อมตีเข่าอีกฝ่ายกลับไปอย่างแรง ทำเอาเด็กหนุ่มเซไปเล็กน้อยก่อนจะกระโดดถอยไปตั้งหลักเสียใหม่

      “นี่จะไม่คิดจะคุยกันดีๆบ้างรึไง” ดาวิสขมวดคิ้วถาม แต่ยกมือขึ้นตั้งท่าเตรียมรับการโจมตีของอีกฝ่ายเต็มที่

      “ไม่ล่ะ ทุกอย่างมันเป็นเพราะท่านนั่นแหละ ที่ข้าไม่เหลือจุดให้ข้ายืนในสังคมก็เพราะท่าน” ซีมัสเอ่ยโทษดาวิสอย่างหงุดหงิดพร้อมกับกระโดดเตะใส่ แต่ดาวิสยกแท่นแขนแกร่งขึ้นมากันไว้ แต่แรงเตะของอีกฝ่ายก็แรง จนทำให้ดาวิสต้องถอยหลบไป

      “เดี๋ยวก่อนซีมัส มันเป็นความผิดของข้าไปได้ยังไง” ดาวิสค่อยๆถามอย่างใจเย็น อย่างน้อยสภาพของซีมัสตอนนี้ก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาอยู่ ยังไม่ได้มีตราเวทย์ปรากฏขึ้นตามร่างกาย มีเพียงผมสีบลอนที่ยาวลงมาดูเกะกะรุงรังเท่านั้น แปลว่าซีมัสยังไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าเขา อย่างน้อยๆก็ตอนนี้
   
      “มันไม่มีทางหรอกที่ท่านจะไม่รู้ว่ามีดที่แทงข้าวันนั้นเป็นของใคร แล้วทำไมมันกลับไปอยู่กับดามอนต์อีกครั้ง มีแต่ท่านเท่านั้นแหละที่ทำได้” ซีมัสตรงหมัดพุ่งเข้าใส่ดาวิสอีกครั้ง รอบนี้ดาวิสยกแขนขึ้นบังพร้อมตวัดแขนอ้อมมายึดท่อนแขนของอีกฝ่ายเอาไว้

     “ซีมัส ถ้าเจ้าจะโทษข้าเรื่องนั้น ข้าขอโทษ ข้าคาดไม่ถึงจริงๆว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ข้าไม่ได้ต้องการให้มันลงเอยแบบนี้หรอกนะ…!!” ระหว่างที่ยึดท่อนแขนของซีมัสไว้ เด็กหนุ่มก็ใช้แขนอีกข้างจับไหล่ของดาวิสแล้วพลิกตัวทุ่มร่างหนาลงกับพื้น

      “ชิส์!!” ดาวิสรีบพลิกตัวลุกขึ้นมาก่อนที่ซีมัสจะลงมาซ้ำอีกรอบ

     “ท่านจะพูดตอนนี้ว่ายังไงมันก็ได้ทั้งนั้นแหละ"  ซีมัสตรงเข้าไปพุ่งหมัดเข้าไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ดาวิสเพียงแค่เอียงหน้าไปด้านข้าง ปล่อยให้หมัดหนักๆของเด็กหนุ่มกระแทกเข้าที่หน้าฝั่งซ้ายของตัวเองอย่างเต็มแรง ทำให้ร่างสูงเซถอยไปพิงกับต้นไม้ใหญ่ข้างหลัง

    “......” ซีมัสที่อารมณ์เดือดดาลอยู่เมื่อครู่ พอต่อยอีกฝ่ายได้สำเร็จกลับรู้สึกผิดขึ้นมา

    “ดีขึ้นไหม” ดาวิสเอ่ยถามหลังจากที่ถ่มน้ำลายผสมคราบเลือดตัวเองทิ้งแล้วยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากออกลวกๆ

    “ทำไมถึงยอมให้ข้าต่อย…” ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจปล่อยให้เขาต่อยก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปอีก

    “ถ้าเจ้าโทษข้าแล้วมันรู้สึกดีขึ้นข้าก็ปล่อยให้เจ้าโทษข้านี่ไง รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม ข้าจะได้โทษที่เจ้าฆ่าน้องชายข้าบ้าง”

     “...................” คำตอบของดาวิสทำให้ซีมัสเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง สิ่งที่เขาพรากไปจากดาวิสนั้นมากกว่าสิ่งที่เขาถูกพรากออกไปเยอะนัก ยิ่งเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อให้เขาเข้าใจ ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ ที่รู้ว่าตัวเองเทียบกับอีกฝ่ายไม่ได้เลยจริงๆ

      “ซีมัส…” ดาวิสเดินเข้ามาวางมือลงบนไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ

     “ถ้าวันนั้นเป็นข้าที่อยู่ตรงนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรลงไปกับน้องชายตัวเองเหมือนกัน ฉะนั้นข้าไม่โทษเจ้าเรื่องนี้หรอกนะ” ซีมัสได้ยินสิ่งที่ดาวิสเอ่ยขึ้นมาก็รู้สึกว่าควาอึดอัดใจของตนเองเบาลงไปในทันที นี่นับเป็นคำให้อภัยคำแรกที่เขาได้รับหลังจากวันที่เขาถูกคนทั้งเมืองตราหน้าว่าเป็นฆาตกร

     “ลีนัสเองก็ไม่ได้โกรธเจ้าขนาดนั้นหรอก ไม่งั้นคงไม่ออกมาตามหาเจ้าถึงในนี้ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อตัวเจ้าทั้งนั้น เข้าใจไหม” พอดาวิสเอ่ยถึงลีนัสขึ้นมา ทำให้เด็กหนุ่มที่รู้สึกเหมือนกำลังถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง จึงรีบปัดมือของดาวิสออกแล้ววิ่งหายกลับเข้าไปในป่าลึกอีกครั้ง

      “....โรคเข้าใจยากนี่มันเป็นกันทั้งพี่ทั้งน้องรึไงเนี่ย….เฮ้อ พรุ่งนี้จะอ้างว่าไปโดนอะไรมาดีล่ะ” ดาวิสบ่นขึ้นมากับตัวเองพลางยกมือขึ้นขยับกรามตัวเองเบาๆ

      “....หมัดหนักเป็นบ้าเลย” 







โยสสสสสส ตอนหน้าเฟริคคุงกลับมาแล้วนะ (ซะที) อ่านๆมาถึงตรงนี้ก็คอมเม้นกันบ้างก็ได้นะ คือเหงาอ่ะ ถึงเราจะปลงตกไปแล้วก็ตาม 55555
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:6 special fan service) 4 Nov.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 04-11-2015 18:28:56
Act 6 : Special fan service

เอาจริงๆมันคือ writer service  บทนี้ออกมาสนองนิ๊สคนเขียนค่ะ เก็บกดเล็กน้อย  5555 :hao6:








Act 6.5 :  Special fan service (writer service)


   เสียงประตูห้องที่ถูกปิดลงอย่างเบามือ ตามด้วยเสียงบิดกลอนประตูลง ทำให้ร่างบางที่นั่งกอดเข่าแอบอยู่ใต้โต๊ะสะดุ้งตัวน้อยๆ เสียงส้นรองเท้าหนังกระทบพื้นไม้เป็นจังหวะการก้าวย่างอย่างใจเย็น เสียงกระทบนั้นดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

   เก้าอี้ที่วางบังอยู่ถูกลากถอยออกไปข้างหลัง ฝีเท้าคู่นั้นในรองเท้าหนังสีน้ำตาลไหม้เดินมาข้างหน้า แล้วทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น ร่างสูงยกมือขึ้นประสานไว้บนตักก่อนจะโน้มตัวลงมาหาผู้ที่นั่งแอบอยู่ใต้โต๊ะตัวนั้น

   “ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้นะท่านเจ้าเมือง” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มลอบขำออกมาน้อยๆก่อนจะเอ่ยทักผู้ที่นั่งกอดเข่าหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายอยู่ข้างล่างนั่น

   “ออกมาเถอะ” แววตาสีน้ำเงินเข้มทอดมองอีกฝ่ายแล้วคลี่ยิ้มจางๆออกมาพร้อมกับยื่นมือแกร่งส่งให้ ใบหน้าหวานขมวคคิ้วทำหน้ามุ่ยใส่อีกฝ่ายกลับมา ก่อนจะคลานออกมาแล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง มือสองข้างขยับจัดเครื่องแบบอันทรงเกียรติของตนให้เข้าที่เข้าทาง
   “อ่ะ!!” ไม่ทันไรข้อมือบางก็ถูกอีกฝ่ายที่นั่งดูอยู่อย่างใจเย็นคว้าไว้ได้แล้วออกแรงดึงร่างบางเข้ามานั่งคร่อมร่างหนาบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน

   “....” ท่อนขาที่ไม่มีที่ค้ำยัน จำต้องทิ้งน้ำหนักสะโพกลงบนท่อนขาแกร่งที่นั่งอยู่ข้างล่าง เป็นตำแหน่งที่ทำให้ลีนัสรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด ไหนเอยจะท่าบังคับที่ทำให้ร่างบางต้องประชันหน้ากับแววตาคมสีน้ำเงินเข้ม ที่เหมือนจะมองทะลุทุกความคิดของเขาได้โดยไม่ต้องเอ่ยถาม ลีนัสจึงรีบเบือนสายตาหลบ

   “เจ้าหลบหน้าข้าแบบนี้ตั้งใจจะยั่วข้ารึไงลีนัส” ดาวิสกระซิบถามที่ร่างบางที่ข้างหูก่อนจะฝั่งหน้าลงบนพวงแก้มเนียนนุ่มที่ตอนนี้แดงเป็นลูกมะเดื่อ แล้วไล้ลงมาที่ซอกคอ สัมผัสหยาบกร้านจากเคราที่สั้นคมไล้ไปตามซอกคอทำให้ร่างบางเริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมา

   “อ๊ะ!! ท่านดาวิส!!” ลีนัสร้องปรามขึ้นมาพร้อมยกมือขึ้นมาจับข้อมืออีกฝ่าย ที่ไล่ลงมาเค้นคลึงที่สะโพกบาง แล้วลากปลายนิ้วแกร่งลงลึกไปหยอกล้อเบื้องล่างผ่านเนื้อผ้านุ่ม

   “หืม? มีอะไรหรือลีนัส” ร่างหนาทำเสียงทุ่มต่ำถามผ่านลำคอเบาๆพลางไล้สันจมูกไปตามซอกคออีกฝ่ายเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น

   “อย่าทำแบบนี้สิ นี่มันห้องทำงาน….ย๊ะ…” อยู่ๆร่างบางก็นั่งตัวเกร็งขึ้นมาเมื่อถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายขบเม้มเบาๆที่ใบหู

   “เจอจุดอ่อนเจ้าเมืองแล้วจุดที่หนึ่ง” ดาวิสกระซิบบอกเจ้าตัวเบาๆที่ข้างหูพลางไล่ปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดจนหมด เผยให้เห็นผิวขาวเนียนไม่แพ้สีเครื่องแบบสีขาวของเจ้าตัว

   “ท่านดาวิส?” ลีนัสเห็นว่าอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาอังปากพ่นลมออกมาแล้วถูมือตัวเองให้อุ่น ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
ดาวิสคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไร เมื่อรู้สึกว่ามือของตนอุ่นได้ที่แล้ว ก็ล้วงมือเข้าไปสัมผัสหน้าท้องเนียนขาวตรงหน้าเบาๆ ถึงแม้สัมผัสที่แตะลงมาไม่ได้เย็นเฉียบ แต่ก็ทำให้ลีนัสสะดุ้งหลบไปนิดๆอยู่ดี

        “ขอโทษๆ ยังเย็นอยู่หรือ”

        “.....” เจ้าเมืองหนุ่มที่ตอนนี้เสื้อผ้าหลุดลุยไม่เหลือสถาพเจ้าเมืองอีกต่อไป ส่ายหน้าที่แดงระเรื่อกลับมาเบาๆ เขาไม่ได้สะดุ้งเพราะความเย็น แต่สะดุ้งเพราะพื้นที่ตรงนั้นไม่เคยโดนคนอื่นสัมผัสโดยตรงมาก่อน ท่าทางของร่างบางทำให้ดาวิสหัวเราะออกมาจากลำคอเบาๆอย่างพออกพอใจ ก่อนจะลากฝ่ามือกร้านขึ้นมาขยี้ยอดอกสีชมพูช่วงบน

        “ฮ้า!!...” เสียงหวานหลุดครางออกมาด้วยความตกใจจากสัมผัสวาบหวามที่ได้รับ

        “จุดที่สองสินะ” ดาวิสเอ่ยขึ้นเบาๆก่อนจะก้มลงประจงบดริมฝีปากขยี้ยอดอกตรงหน้าอย่างหนักหน่วง

        “อ๊าา !! ดะ..ดาวิส พอ.ละ.วว.อื้อออ.. “ ร่างบางครางเสียงกระเส่าพยายามบิดร่างหนีสัมผัสอันรุนแรงที่ทำให้สติของตนกระจุยกระจายแทบจะไม่เหลือชิ้นดี แต่อ้อมแขนแกร่งของดาวิสไม่ยอมปล่อยให้เขาขยับหนีไปไหนได้
 
       เสียงเปียกชื้นจากปลายลิ้นที่โลมเลียดูดกลืนยอดอกดังแทรกเสียงครางกระเส่าขึ้นมา กระตุ้นให้ผู้ถูกโลมเลียรู้สึกเสียวซ่านขึ้นมาที่หว่างขา เมื่อลุกหนีสัมผัสอันวาบหวามนี้ไปไม่ได้ ท่อนแขนเรียวจึงตวัดมาเกาะที่แผ่นหลังแกร่งไว้แน่น ปลายนิ้วเรียวเกร็งแน่นจิกลงบนแผ่นหลังเพื่อข่มกลั้นความเสียวซ่านนั้นไว้

         “อา...แดงหมดแล้ว น่ารักจริงๆ” แววตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองดูผลงานของตัวเองอย่างพอใจ ก่อนจะเงยขึ้นมองใบหน้าหวานที่แดงไม่แพ้รอยที่เขาทำทิ้งไว้

          “เอาล่ะ ตรงนี้มันชักจะดูอึดอัดขึ้นมาแล้วสิ” มือแกร่งลากปลายนิ้วจากมาตามขอบเอวบางมาหยุดที่ตะขอกางเกงตรงกลาง ลีนัสก็รีบยกมือขึ้นมาขวางไว้ เจ้าของปลายนิ้วเงยหน้ากลับขึ้นมองใบหน้าหวานที่ขมวดคิ้วทำหน้าลำบากใจอยู่ ก็กระตุกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก

         “ข้าชักไม่แน่ใจว่านี่เจ้าจะห้ามข้าหรือจะยั่วข้ากันแน่ลีนัส เพราะถ้าเจ้าตั้งใจจะยั่วข้า ข้าจะบอกว่ามันได้ผลทีเดียวล่ะ” ดาวิสคว้ามือเรียวที่เข้ามาขวางทางเขาเมื่อครู่ยกขึ้นจุมพิตทั้งที่หลังมือและหน้ามืออย่างเอ็นดู

         “เจ้าไม่ต้องอายหรอกนะลีนัส ตอนนี้ข้าก็ไม่ต่างไปจากเจ้าหรอก” ริมฝีปากหนาขยับเข้ามากระซิบบอกที่ข้างหูลีนัสเบาๆ พร้อมทั้งจับมือเรียวมาวางลงมาที่หว่างขาของตน ขนาดและสัมผัสอุ่นๆจากสิ่งที่อยู่ใต้เนื้อผ้านั่นทำให้ร่างบางสะดุ้งตกใจและรีบชักมือตัวเองกลับเข้ามา

            นัยน์ตาสีเพลิงเบิกโพลงขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด เสียงนกตัวน้อยใหญ่แว่วดังเข้ามากระทบหู บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเวลาเช้ามืดแล้ว ร่างบางเหยียดกายลุกขึ้นมานั่งบนเตียงหลังใหญ่ ภาพที่เกิดขึ้นในความฝันย้อนขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง ใบหน้าหวานก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึง

             …..เลวร้าย….ทำไมอยู่ๆถึงเอาเรื่องที่เขาแอบใต้โต๊ะห้องทำงานตัวเองเมื่อสามปีที่แล้ว กลับมาฝันเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้ ซ้ำร้ายยังละเอียดชัดเจนเสียราวกับเพิ่งจบลงไปหมาดๆ สัมผัสอุ่นๆที่เมื่อครู่ยังหลงเหลืออยู่ด้วยซ้ำ เขาก้มลงมองที่ฝ่ามือตัวเองข้างนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเผลอคิดถึงขนาดที่เต็มไม้เต็มมือของสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้สัมผัสไป
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนฉ่าขึ้นมา ชายหนุ่มรีบสะบัดหน้าตัวเองแรงๆเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป พร้อมลุกขึ้นจากเตียงเดินออกไปเปิดหน้าต่างห้องสูดอากาศในยามเช้าให้เต็มปอด

              แววตาทอดมองออกไปที่ขอบฟ้าสีส้มจางๆ พลางนึกย้อนขึ้นมาว่าเขาได้ยืนอยู่บนตำแหน่งเจ้าเมืองได้ครบสามปีกว่าแล้ว และที่น่าตกใจกว่านั้นคือเขาไม่ได้พูดกับรองเจ้าเมืองเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องงานมากว่าสามปีแล้ว...ทำไมถีงฝันเช่นนั้นออกมาได้

               ร่างบางถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดที่ไม่สามารถจะสลัดเรื่องนี้ออกจากหัวไปได้ แล้วก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เมื่อหยิบเครื่องแบบสีขาวมาคลุมทับร่างและบรรจงติดกระดุมอยู่นั้น ภาพมือกร้านไล่ปลดกระดุมออกก็หวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
…...จะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้อีกไหม เครื่องแบบที่เขาต้องใช้ประจำได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาไปเสียแล้ว….นี่ยังไม่รวมถึงเก้าอี้ที่เจ้าตัวต้องใช้นั่งทำงานทุกวันตัวนั้นด้วย

                 “...บ้าที่สุด”











  :katai3: :katai3: :katai3: :katai3: :katai3: :katai3: :katai3: :katai3: :katai3:




ปล.อันนี้ยังไม่นับว่าทะลุไปเรทเอ๊กซ์ใช่มั้ย (ถ้าทะลุไปบอกได้นะ จะตัดออก)


หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:7 Decision 1/4) 10 Nov.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 10-11-2015 14:36:00
Decision (1/3)


            “ตารางงานวันนี้ช่วงบ่ายท่านลีนัสจะออกไปเรียกฝนตามที่แจ้งไว้ก่อนหน้านั้นนะคะ แล้วก็วันนี้องค์ชายจากบริงไฮด์น่าจะเดินทางมาถึงช่วงบ่ายเช่นกัน ยังไงคงจะเผื่อเวลาฝนไว้ให้แขกเดินทางมาถึงเรียบร้อยก่อน” เรเชลเอ่ยสรุปตารางงานเจ้าเมืองให้ดาวิสฟังอย่างคล่องแคล่ว เธอทำแบบนี้มาสามปีแล้ว ถึงแม้ช่วงแรกเธอจะไม่ค่อยถูกชะตากับรองเจ้าเมืองที่ชอบแผ่รังสีอำมหิตออกมาขู่เธออยู่บ่อยๆ ไม่แปลกใจที่ลีนัสไม่ยอมคุยงานด้วยโดยตรง ชอบใช้ให้เธอเป็นคนส่งสารให้อยู่บ่อยๆ แต่ทำงานด้วยนานๆเข้าก็ยิ่งรู้จักตัวตนที่แท้จริงที่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้น

             “แล้วก็รบกวนท่านดาวิสช่วยต้อนรับแขกแทนสำหรับวันนี้ทีนะคะ ท่านลีนัสจะรับช่วงต่อให้ในวันถัดไปเอง” เรเชลเสริมท้ายด้วยใบหน้าที่พยายามปั้นยิ้มขึ้นมา

            เมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กสาวเอ่ยเสริม หัวคิ้วของดาวิสก็ขยับเข้ามาชนกันทันที นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มหรี่ลงอย่างไม่สบอารมณ์…….พายุเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างที่คาดไว้จริงๆ

            “นี่องค์ชายจากบริงไฮด์ ยังจะแบ่งวันเจออีกเนี่ยนะ ฝากถามกลับไปด้วยนะว่าคิดดีแล้วใช่ไหม”

           “นี่เป็นเรื่องที่ท่านลีนัสตัดสินใจไปแล้วค่ะ ไม่อนุญาตให้เอามาทบทวนใหม่ค่ะ” เรเชลตอบกลับไปด้วยประโยคที่เธอพูดออกมาบ่อยจนจะกลายเป็นคำพูดที่ติดปากไปแล้ว ดาวิสได้ยินประโยคอาญาสิทธิ์นี้ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมทิ้งแผ่นหลังหนาลงไปกับพนักพิงเก้าอี้
 
           “มีอะไรอีกไหม” ดาวิสเอ่ยถามอย่างจำยอม เรเชลคิดว่าการที่ดาวิสต่อรองอะไรผ่านเธอไม่ได้ก็ดูจะเป็นอีกเหตุผลที่ลีนัสเลือกใช้วิธีนี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือมีเพียงงานที่ติดต่อกับรองเจ้าเมืองเท่านั้นที่ลีนัสใช้ให้เธอมา กับเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายอื่น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการคลังหรือแม้แต่หน่วยลาดตระเวนเล็กๆ บางทีลีนัสก็เดินเข้าไปหาด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น ทำเอาคนในฝ่ายตกอกตกใจกันไป

           “หมดแล้วค่ะ...ข้าถามอะไรท่านได้ไหม”

           “ว่ามา” ดาวิสว่าพลางเปิดสมุดบันทึกของตัวเองออกมาตรวจสอบตารางงาน

           “ท่านไปทำอะไรท่านลีนัสไว้หรือคะ ทำไมถึงมีแต่ท่านที่ท่านลีนัสไม่ยอมคุยด้วย” ปลายนิ้วที่กำลังพลิกเปิดสมุดสะดุดกึกไปในฉับพลัน ดาวิสพลิกมือปิดสมุดเล่มนั้นลงแล้วขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองผู้ถามช้าๆ ทำเอาเรเชลขนลุกซู่ขึ้นมา

           “เจ้าไม่ต้องมาตอกย้ำเรื่องนี้ให้ข้าฟังได้ไหม”

           “...ขะ ขออภัย ข้าไม่ถามก็ได้ค่ะ” เรเชลรีบก้มหัวขอโทษของโพยยกใหญ่ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ดูอารมณ์เสียขนาดนั้น

           “ไม่มีธุระอะไรก็ไปได้แล้ว”

          “ค่า” เรเชลรีบสบโอกาสหนีออกจากห้องไปในทันที เห็นดาวิสที่น่ากลัวแบบนี้ แต่กลับไม่มีใครเกลียดเจ้าตัวสักคน อาจเพราะไม่มีใครได้เห็นมุมอารมณ์เสียของเจ้าตัวบ่อยๆเหมือนเรเชล กลับกัน เวลาที่เจ้าตัวอารมณ์ดียิ้มแย้มขึ้นมา ก็ทำเอาสาวๆในที่ว่าการฯเคลิ้มกันไปเป็นวันๆเหมือนกัน เรเชลเองก็พอจะเข้าใจเหตุผลของสาวๆพวกนั้นอยู่บ้าง แต่กับเธอที่มักจะเจอตอนพายุเข้า ไม่กล้าที่จะเคลิ้มตามด้วยเลยสักนิด ซ้ำยังรู้ดีว่าเจ้าตัวมีคนรักอยู่แล้วอีกต่างหาก แต่ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ เรเชลก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนรักที่ว่าเลยสักนิด

          เสียงถอนหายใจหนักๆแว่วขึ้นมาเมื่อเด็กสาวเดินจากออกไปแล้ว ดาวิสไม่ได้ใส่ใจในประเด็นของมารยาทในการรับแขกระดับองค์ชายสักเท่าไหร่นัก แต่ประเด็นที่เจ้าเมืองหนุ่มทำทุกวิถีทางเพื่อจะเลี่ยงการเจอหน้ากันให้ได้มากที่สุด ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ

           “สามปีเข้าไปแล้วหรือนี่…” แววตาคมเคลื่อนไปมองปฏิทินตารางงานที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เขาไม่คิดว่าลีนัสจะหลบหน้าเขานานขนาดนี้ ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมอภัยให้เขาเลยจริงๆ











            ณ ลานกว้างบนเนินเขาสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปพอสมควร ที่กลางลานกว้างนั้นปรากฏร่างของชายหนุ่มยืนหลับตากุมมือตั้งสมาธิในชุดสีขาวคลุมยาวลงมาถึงข้อเท้า ตัดด้วยผ้าสีแดงชาดเนื้อดีบนไหล่ผืนหนึ่ง

           ก้อนเมฆสีเทาที่อยู่เหนือหัวค่อยๆขยับรวมตัวแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มขึ้นเรื่อยๆ แสงแดดในยามบ่ายที่ร้อนแรงเมื่อครู่ถูกกลุ่มเมฆก้อนใหญ่บดบังไปจนพื้นดินเบื้องล่างมืดมนลงไป

          ไม่นานนักเม็ดฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมากระทบพวงแก้มเบาๆ เจ้าเมืองหนุ่มก็ลืมตากลับขึ้นมาช้าและคลี่ยิ้มจางๆ พร้อมแบมือออกไปเพื่อรอรับเม็ดฝนอันเย็นชุ่มฉ่ำ

           ขณะที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อรอรับเม็ดฝนเย็นๆ เสียงกางร่มพรึ่บก็ดังขึ้นที่ข้างหู เงาร่มคันใหญ่เคลื่อนมาขวางกั้นภาพท้องฟ้าเบื้องบนในฉับพลัน

           “กลับกันเถอะขอรับท่านลีนัส ก่อนที่ฝนจะลงหนักกว่านี้ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา” เด็กหนุ่มในเครื่องแบบทหารคลี่ยิ้มเอยออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่าผู้ที่ได้รับความเป็นห่วงนั้นกลับมองมาอย่างไม่สบอารมณ์

            “ลุคซ์…” น้ำเสียงโทนต่ำที่เปล่งออกมาทำเอาเจ้าของชื่อขนลุกขึ้นมาทันที

            “ขะขอรับ?” 

            “ใครสั่งให้เจ้ากางร่ม”

            “ท่านดาวิสสั่งให้ข้าดูแลความปลอดภัยท่านลีนัสทุกย่างก้าวขอรับ ห้ามไม่ให้ท่านลีนัสตากฝนแล้วเป็นหวัดด้วยขอรับ” เด็กหนุ่มตอบกลับมาเสียงดังฟังชัดราวกับท่องไว้อย่างดี

            ลีนัสได้ยินชื่อเจ้าของความคิดนี้เข้าก็เผลอยิ้มออกมานิดๆ ดาวิสรู้จักเขามานาน รู้ดีว่าทุกครั้งที่ฝนตกเขามักจะหาโอกาสแอบออกไปเดินเล่นอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้กลับมาแล้วเป็นหวัดทุกครั้งไปอย่างที่เป็นห่วงขนาดนั้น…….ชอบห่วงเกินเหตุอยู่เรื่อย

            “กลับกันเถอะขอรับ” เมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆของเจ้าเมืองหนุ่ม ลุคซ์ก็รู้สึกเบาใจ นึกว่าอีกฝ่ายยอมเข้าใจแต่โดยง่าย แต่รอยยิ้มนั้นอยู่ๆก็ดูท้าทายขึ้นมา ลีนัสยิ่งไม่ชอบให้อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาเหมือนไข่ในหินมาแต่ไหนแต่ไร

             “พนันกันไหมลุคซ์”

            “ขอรับ?”

            “ถ้าข้าตากฝนแล้วไม่เป็นหวัดข้าไม่เอาอะไรหรอก แต่ถ้าพรุ่งนี้ข้าเป็นหวัดข้าจะให้เจ้าขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง” ข้อเสนอของลีนัสทำให้เด็กหนุ่มเผลอจินตนาการข้อแลกเปลี่ยนที่ตนจะขอได้อย่างลืมตัว แต่เมื่อใบหน้าอันเคร่งครัดของดาวิสลอยขึ้นมา เขาก็สะบัดหน้าปฏิเสธไปทันที

            “ไม่ได้หรอกขอรับ ถ้าเป็นแบบนั้นข้ามีหวังต้องขอชีวิตตัวเองคืนจากท่านดาวิสน่ะสิขอรับ!!”

            “ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า คิดดีๆนะลุคซ์ เจ้าจะขออะไรก็ได้จากเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่านะ” ลีนัสตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะขยับเข้าไปเอ่ยกระซิบใกล้ๆ การได้เห็นใบหน้าเนียนหวานของอีกฝ่ายระยะประชิด ทำเอาเด็กหนุ่มเผลอปล่อยให้ร่มในมือหลุดลงไปกับพื้นสมองชาไปชั่วขณะ กว่าจะรู้ตัวอีกที เจ้าเมืองหนุ่มก็วิ่งไปกระโดดขึ้นม้าของตนที่ควบประกบรถม้าของเจ้าเมืองเมื่อครู่ตอนขามา

           “ว้าก!! ฮิวส์!! ออกรถ!!” ลุคซ์ร้องลั่น ตะโกนบอกเพื่อนที่เป็นคนคุมรถม้าด้วยความตกใจ รีบเก็บร่มแล้ววิ่งไปหารถม้าที่กำลังออกตัวในทันที

           ลีนัสที่กระโดดขึ้นอาชาสีดำของลุคซ์ได้ก็ควบหนีไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ เม็ดฝนที่ตกลงมากระทบใบหน้าก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น แต่เจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย ในใจของเขายังเฝ้าตำหนิตัวเองที่เผลอรู้สึกดีที่ดาวิสยังใส่ใจและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ

           ….เมื่อไหร่จะตัดใจไปจากเขาเสียที วันเวลาที่ยิ่งผ่านไปแทนที่ลีนัสจะรู้สึกเคยชินกับการห่างเหิน เขากลับยิ่งรู้สึกว่าอยากจะครอบครองอีกฝ่ายมากขึ้นทุกวัน หนำซ้ำการกระทำของอีกฝ่ายที่ยังคงเป็นห่วงและคอยดูแลอยู่ห่างๆตลอดเวลาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ตัวเขาเองจะกลายเป็นฝ่ายที่ตัดใจจากไปไม่ได้เช่นกัน

            อาชาฝีเท้าเร็ววิ่งเข้ามาถึงที่ว่าการฯในเวลาที่ไม่นานนัก ลีนัสก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้วเอ่ยชมอาชาสีดำพร้อมกับขยับไปจุมพิตที่กลางหน้าผากของเจ้าม้าด้วยความเอ็นดู ระยะทางที่ยาวไกลกับสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วง ทำให้ร่างกายเปียกโฉกไปตั้งแต่หัวจรดเท้า สภาพที่เหมือนเด็กๆที่เพิ่งไปเล่นซนกลับมาไม่มีผิด

           ตั้งแต่ขึ้นเป็นเจ้าเมือง ลีนัสต้องคอยรักษาภาพพจน์ของตัวเองตลอดเวลา นานๆทีได้ทำอะไรแบบนี้บ้างก็เหมือนได้ปลดปล่อย ขณะที่กำลังคิดว่าจะต้องรีบกลับไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ให้ดูเหมาะสมกับตำแหน่งก่อนที่จะมีใครมาเห็นเข้า ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีใครบางคนยืนมองเขาอยู่ได้สักพักหนึ่งแล้ว เมื่อหันกลับไปมองผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกเหมือนหัวใจเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะ

           “...ซีมัส” ลีนัสหลุดปากเอ่ยชื่อที่ไม่ได้เอ่ยขึ้นมานานมากแล้ว ชายหนุ่มผิวสีและเรือนผมยาวสีเทาทำให้เขาเข้าใจผิดไปชั่วขณะ นึกถึงน้องชายตัวเองที่ตนไล่ออกจากเขตมนุษย์ไปเองกับมือ และไม่เคยได้เห็นหน้ากันมาสามปีกว่า

           “อะไรนะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ไม่คุ้นหูเอ่ยถามเขากลับมา ทำให้ลีนัสได้สติขึ้นมา เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆน้องชายของเขาจะโผล่มาที่นี่ได้ เขายกมือเสยผมเปียกชื้นขึ้นเพื่อให้มองเห็นอีกฝ่ายให้ชัดขึ้น พลางคิดว่าชายหนุ่มที่หน้าตาไม่คุ้นหน้าคนนี้จะเป็นใคร

           ….คนแรกที่ได้เห็นสภาพที่ดูไม่ได้ของเจ้าเมืองคนแรกคนนี้ ดูจะเป็นแขกคนสำคัญระดับองค์ชายจากเมืองหลวงบริงไฮด์นั่นเอง

           “ขออภัย ท่านคงจะเป็นองค์ชายเฟริค ข้าทำให้ท่านเปียกรึเปล่า” ลีนัสคลี่ยิ้มทักทายซ่อนความกลุ้มอกกลุ้มใจเอาไว้เบื้องลึก

           “ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียวเท่านั้นแหละ ว่าแต่ท่านคือ?” ลีนัสเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจริงๆแล้วเขาไม่น่ารีบเข้ามาแนะนำตัวให้ดูแย่เอาเสียเลยจริงๆ ตอนนี้เขาอาจจะบ่ายเบี่ยงเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าเมืองไปก่อนน่าจะดีอยู่ไม่น้อย

            “ท่านลีนัส ทำไมถึงกลับมาคนเดียวก่อนล่ะคะ ทิ้งลุคซ์ไว้แบบนั้นก็แย่สิ” โอกาสแก้ตัวของเขาหมดไปอย่างสิ้นเชิงทันทีที่เรเชลเปิดประตูออกมาพร้อมผ้าผืนใหญ่ผืนหนึ่ง

            “อ้าว ท่านเฟริค กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้านึกว่าท่านติดฝนอยู่ข้างนอกเสียอีก” เรเชลหันไปเอ่ยถามองค์ชายพร้อมกับยื่นส่งผ้าให้ลีนัส

             “ขอบคุณเรเชล” ลีนัสแอบนึกอยู่ในใจว่าเขาได้สอนให้เด็กสาวคนนี้ทำงานได้คล่องแคล่วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อมาถึงขนาดนี้คงไม่มีทางเลี้ยงอื่นอีกต่อไป เจ้าเมืองหนุ่มรีบหยิบผ้ามาซับน้ำฝนออกอย่างลวกๆก่อนจะยื่นมือออกไปเอ่ยทักทายแขกคนสำคัญของเขา

             “อาจจะตะกุกตะกักไปนิดนึงท่านคงไม่ถือสา ข้าลีนัส เจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า ยินดีต้อนรับขอรับ” ลีนัสไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายมีท่าทางประหลาดใจเช่นนั้น ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากจะมาแนะนำตัวในสภาพนี้เอาเสียเลยจริงๆ

            “อ่า...ขอบคุณสำหรับการเตรียมการอะไรให้หลายๆอย่าง” มือแกร่งของอีกฝ่ายยื่นกลับมาจับมือทักทาย แต่แล้วอยู่ๆก็เอามืออีกข้างมากุมมือของเขาเอาไว้

           “!!?” ลีนัสตกใจนึกว่าเขาทำอะไรผิดไป การทักทายองค์ชายจากเมืองหลวงไม่ควรจะทำแบบนี้หรืออย่างไร เขาเริ่มรู้สึกลนลานอยู่ในใจแต่เพียงตีประหลาดใจออกไปนิ่งๆ

          "มือท่านเย็นมาก กลับเข้าไปแช่น้ำอุ่นเสียก่อนเถอะเดี๋ยวจะเป็นหวัด” ลีนัสได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่ยังคงประหลาดใจกับการกระทำขององค์ชายอยู่

           “เอ่อ ข้าขอโทษ….แต่ท่านควรจะรีบเข้าไปข้างในได้แล้ว” เห็นเฟริคที่รีบปล่อยมือเขาออกแบบเก้อๆเขินๆ ลีนัสก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา เขาจะมัวกังวลเรื่องมารยาทอะไรทำไมนักหนา ในเมื่ออีกฝ่ายดูจะไม่ใช่คนที่ติดพิธีรีตรองอะไรอย่างที่เขากังวลสักนิด

            “ ท่านเฟริคนี่ใจดีจังนะขอรับ ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าขอตัวก่อน” เมื่อเอ่ยจบสายตาก็ไปชนเข้ากับดาวิสที่เพิ่งเดินตามออกมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ดาวิสเป็นคนสุดท้ายที่ลีนัสไม่อยากให้เห็นเขาในสภาพนี้ที่สุด สีหน้านิ่งเรียบที่มองมาบ่งบอกได้ว่าไม่พอใจที่เขาแอบหนีลุคซ์มาอย่างแน่นอน เขาถอนหายใจออกมานิดๆก่อนจะรีบเดินผ่านดาวิสไปโดยพยายามที่จะไม่สบตา





           ลีนัสยืนอยู่กลางบ้านไม้หน้าตาคุ้นตาหลังหนึ่ง ที่ตรงหน้ามีโต๊ะกินข้าวสำหรับครอบครัวขนาดเล็กตั้งอยู่ รอบๆโต๊ะมีเก้าอี้ตั้งอยู่สามตัว แต่มีเพียงเด็กชายตัวเล็กที่นั่งหันหลังให้เขาอยู่ตรงนั้นคนเดียว

          “ซีมัส...” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เด็กชายตัวน้อยก็หันกลับมา

          “พี่ชาย!!” เด็กชายตัวน้อยหันกลับมายิ้มกว้างด้วยความดีใจ ลีนัสก็คลี่ยิ้มกลับไปพร้อมเดินเข้าไปหา แต่แล้วอยู่ๆก็มีเปลวเพลิงสีฟ้าเข้ามาขวางหน้า แล้วเริ่มขยายวงกว้างไปจนคลุมไปทั่วบ้าน

          “ท่านพี่แน่ใจแล้วเหรอ” เสียงชายหนุ่มแว่วดังมาจากเบื้องหลัง เมื่อลีนัสหันกลับไป ก็เห็นซีมัสอีกคนที่อยู่ในร่างเด็กหนุ่มผิวสีน้ำตาลแดง นัยน์ตาสีเทาผมสีขาวยาวลงมาถึงเอว

          “...ซีมัส ??” ลีนัสหันกลับไปมองเด็กชายตัวน้อยเมื่อครู่อีกครั้งหนึ่ง ก็เห็นแววตาเว้าวอนขอความช่วยเหลือสีฟ้าใสสบมองมาด้วยความหวาดกลัว

          "อย่าเลย ท่านพี่" ท่อนแขนแกร่งคว้าต้นแขนของลีนัสเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินเข้าไปหาเด็กชายตัวเล็ก

           "ปล่อยข้าซีมัส!!" เรี่ยวอันน้อยนิดของลีนัสไม่อาจจะต้านทานแรงยึดอันเหนียวแน่นของเด็กหนุ่มได้เลย

         "พี่ชาย ช่วยข้าด้วย!!" เด็กชายตัวน้อยร้องเสียงแหลมขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว เมื่อลีนัสหันไปมองอีกที เด็กชายตัวเล็กก็อยู่กลางกองเพลิงสีฟ้าเข้มนั้นแล้ว และค่อยๆสลายหายไปกับตา แรงจับยึดที่ท่อนแขนของเขาก็เบาบางลงไป

          "ให้มันจบแบบนี้แหละ ข้าเจ็บปวดน้อยกว่า" ซีมัสในร่างเด็กหนุ่มเอ่ยทิ้งไว้ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยๆจางหายไป


           "ซีมัส!!!" ลีนัสตะโกนเรียกซีมัสพร้อมกับลืมตาขึ้นมาจากความฝัน เสียงน้ำในอ่างน้ำกระเพื่อมไหวจากการที่ร่างบางสะดุ้งตัวลุกขึ้นมากระทันหัน

           ลีนัสเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเผลอหลับไปทั้งๆที่นอนแช่น้ำหลังจากที่กลับมาเมื่อสักครู่ ไม่คิดว่าการเรียกภูติเพื่อทำฝนจะทำให้เขาเพลียได้ขนาดนี้ ร่างบางขยับลุกขึ้นออกจากอ่างอาบน้ำไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาคลุมร่างอันเปลือยเปล่าเอาไว้ แล้วเดินไปยืนมองที่นอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าที่มืดสนิทขับแสงจันทร์ดวงกลมที่ส่องสว่างออกมาให้เห็นเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ตำแหน่งของดวงจันทร์ตอนนี้บอกเวลาให้ลีนัสได้รับรู้ ว่าเขาเผลอหลับไปนานทีเดียว

            "....ซีมัสอย่าทำแบบนี้กับข้าได้ไหม" ลีนัสเอ่ยขึ้นแล้วก็ถอนใจออกมาหนักๆก่อนจะเดินกลับเข้าไปแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทะมัดทะแม่งสีดำทั้งชุด เตรียมตัวจะแอบเข้าไปในป่าอีกครั้ง







               "......ลูลู่" ลีนัสเอ่ยขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเมื่อมาหยุดประชันหน้ากับหมาป่าตัวใหญ่ขนสีดำขลับ ที่กำลังพองขนขู่ขึ้นมา เขาจึงเปิดผ้าที่คลุมหัวตัวเองออกมา แต่ก็ไม่คิดว่าลูลู่จะจำเขาไม่ได้เพียงเพราะผ้าคลุมหัว

               "ท่านลีนัสหลบไป" เสียงร้องของใครบางคนดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง เมื่อหันไปก็พบกับองค์ชายเฟริค แขกคนสำคัญของเขาผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูลู่ทำตัวดุร้ายขึ้นมา

               "ลูลู่…..!!" ลีนัสรีบหันกลับไปห้าม แต่เจ้าหมาป่าร่างใหญ่ก็กระโดดพุ่งตัวออกไปเพื่อจู่โจมองค์ชายทันที ลีนัสจึงรีบยกมือจะคว้าตัวลูลู่เพื่อจะกันไม่ให้เข้าไปทำร้ายเฟริค แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ของอีกฝ่ายทำให้ลีนัสเสียหลักล้มลง

              เมื่อหมาป่าร่างใหญ่รู้ว่าตัวเองถูกลีนัสเข้ามาขวางและล้มลง ก็หันกลับมามองด้วยความเป็นห่วง ลีนัสก็ทำหน้าดุใส่และปัดมือทำท่าไล่กลับไป เป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายชักดาบออกมาจากฝักเพื่อเตรียมจะจัดการลูลู่ เจ้าหมาป่าร่างใหญ่จึงรีบวิ่งหนีหายไปในทันที

               “เป็นอะไรมากไหมท่านลีนัส” เมื่อถูกเอ่ยถามขึ้นมาเช่นนี้ ลีนัสก็เพิ่งจะก้มไปมองบาดแผลที่ต้นขาของตัวเองที่รู้สึกเจ็บจนชาอยู่เมื่อครู่ เขาดันล้มลงไปทับกิ่งไม้คมที่บาดลึกลงไป ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะทันได้ตั้งตัวรักษาแผลตัวเอง องค์ชายก็ลงมาจัดการฉีกขากางเกงที่เป็นบาดออกมาเพื่อดูบาดแผล ทำเอาร่างบางเผลอสะดุ้งโหยงขึ้นมา

           “แผลท่าจะลึกพอสมควร ท่านอยู่นิ่งๆก่อนนะ” เฟริคจัดการปลดกระดุมเสื้อแล้วถอดเสื้อของตัวเองออกมา

           “เอ่อ ท่านไม่ต้อง…” ลีนัสรีบเอ่ยรั้งเอาไว้ แต่ยังพูดไม่ทันจบเสียงฉีกเสื้อขาดก็ดังแทรกขึ้นมา เฟริคใช้เศษผ้าผืนหนึ่งเอามาพันรอบมือตัวเองให้เป็นก้อนแล้วประกบรอยบาดแผลเอาไว้ แล้วเอาอีกผืนหนึ่งพันรัดเอาไว้ให้แน่น ความช่ำชองของอีกฝ่ายทำให้ลีนัสไม่กล้าที่จะขัดไปมากกว่านี้ ถ้าเขาจะรักษาแผลตัวเองตรงนี้ก็กลัวจะทำให้แขกเขาเสียหน้าเอาเปล่าๆ จึงยอมปล่อยเลยตามเลยไป

            “ทนหน่อยนะ ข้าจะพาท่านกลับเดี๋ยวนี้แหละ” เฟริคช้อนร่างบางขึ้นอุ้มอย่างเบามือ

            “....ขอบคุณท่านเฟริค” ลีนัสไม่คิดอยากจะลำบากอีกฝ่ายที่มียศเป็นองค์ชายขนาดนี้เลย แต่ต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องเจ็บตัวแบบนี้ก็เพราะเจ้าตัวนั่นแหละที่แอบตามเขามา ทำแผนการเขาพังไม่เป็นท่า


           “ท่านออกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆในที่แบบนี้น่ะ” ลีนัสคิดไว้แล้วว่าต้องถูกถาม ตลอดสามปีที่ผ่านมาเขาเองก็แอบเข้าไปในป่าบ่อยๆ ไม่มีครั้งไหนที่มีปัญหาเลยสักนิด ใครจะคิดว่าแขกที่เข้ามาวันแรกจะสร้างปัญหาให้เขาได้

            “...ข้าขออภัย เรื่องนี้ข้าไม่อาจจะบอกท่านได้” ลีนัสไม่รู้จะสรรหาเหตุผลอะไรมาตอบ หรือถ้าจะตอบความจริงไปคงต้องเล่ากันยาว

            “ฮึ...แล้วข้าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยสินะ” ลีนัสพยักหน้าตอบกลับเบาๆ

            “เอาอย่างนี้ ท่านบอกข้าว่าท่านออกมาทำอะไร แล้วข้าสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ” อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอขึ้นมา ลีนัสก็คิดเอาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆแน่ ร่างบางขมวดคิ้วครุ่นคิดหาเหตุผลมาอ้าง แต่ก็คิดหาเรื่องที่จะมาเล่าไม่ได้ หนำซ้ำก็รู้ตัวดีอยู่ว่าโกหกไม่เก่ง

             “ข้าเป็นคนช่วยท่านออกมานะ สมควรที่จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นสิ”

             “.......” ลีนัสนึกหงุดหงิดอยู่ในใจ ถ้าอีกฝ่ายไม่ตามเขามาเรื่องแบบนี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลยต่างหาก

             “หรือข้าควรจะเล่ารื่องนี้ให้ท่านรองเจ้าเมืองฟังดี” ผู้ที่ถูกเอ่ยอ้างขึ้นมาทำให้ลีนัสหน้าถอดสีไป คนเดียวที่ไม่อยากให้ยุ่งกับเรื่องนี้มากที่่สุดก็คือดาวิสนั่นแหละ ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขายังแอบออกมาหาซีมัสอยู่บ่อยๆแบบนี้ มีหวังโดนหาว่าตามโอ๋น้องชายเกิดเหตุอีกเป็นแน่แท้ ลีนัสเบือนหน้าหนีกัดริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะตัดใจยอมเอ่ยตอบกลับมา

             “ตามใจท่านเถอะ” เขาคิดไว้แล้วว่าถึงจะแย่ยังไงก็ดีกว่าให้คนนอกรับรู้เรื่องของเขา

             “เอาเถอะ ข้าไม่บอกใครก็ได้ แต่พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องมีคนถามถึงบาดแผลของท่านอยู่ดี”

            “เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก” ลีนัสตอบกลับมาอย่างมั่นใจ เขาเหนื่อยจะตอบคำถามอีกฝ่ายแล้ว จึงแกล้งพิงศีรษะลงบนแผ่นอกหนาของอีกฝ่ายแล้วหลับตาลงทำเป็นพักผ่อนไป




End Decision part :1/3


หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:7 Decision 3/3) 18 Nov.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 17-11-2015 15:30:54
Decision 2/3


              ดาวิสมักจะมองลงมาจากหน้าต่างห้องตัวเองแล้วเห็นลีนัสที่แอบหนีออกไปตอนกลางคืนอยู่บ่อยครั้ง จนเห็นเป็นเรื่องปกติ เขาเลิกเป็นห่วงและเลิกตามไปตั้งแต่ครั้งแรกสุด แต่คราวนี้ดันมีองค์ชายเฟริคแอบตามไปเช่นนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบเดินลงไปดูที่สวนด้านหลัง และเดินวนไปวนไปด้วยความลังเลใจว่าจะตามเข้าไปดีหรือจะรอตรงนี้ดี ระหว่างที่คิดอยู่ตอนนั้นเอง ก็เห็นว่าองค์ชายเฟริคเดินกลับมาแล้ว ในสภาพเปลือยท่อนบน พร้อมกับอุ้มลีนัสที่มีบาดแผลที่ขาอยู่ในอ้อมกอด

           “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ดาวิสรีบวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที ภาพลีนัสที่หันมามองเขาด้วยความตกใจแล้วรีบหลบหน้าไปซุกกับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย ทำให้ดาวิสรู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้า แต่ก็พยายามจะข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้ทำตัวเสียมารยาทกับแขกออกไป

           “ขออภัยองค์ชายที่ทำให้เดือดร้อน ข้ารับท่านลีนัสไปดูแลต่อเองขอรับ ท่านกลับไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องพักก่อนเถอะขอรับ” ดาวิสว่าพลางเดินเข้าไปช้อนร่างของลีนัสกลับมาโดยไม่รอฟังความเห็นใดๆจะอีกฝ่าย

           “ไม่เป็นไรหรอก มาถึงนี่แล้วข้ายินดีช่วย” ถึงแม้เฟริคจะพยายามเอ่ยรั้งเอาไว้ แต่ดาวิสไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะหยุดฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้นในตอนนี้

            “ท่านเป็นแขกของเรา อย่าได้ลำบากเลย ขอบคุณน้ำใจท่านมาก” ดาวิสพยายามทำตัวให้สุภาพที่สุดถึงพร้อมอุ้มลีนัสขึ้นมาแล้วรีบเดินจากเฟริคไปในทันที

             “รักษาแผลเสร็จแล้วช่วยกรุณาเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังด้วยนะขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาร่างบางรู้สึกเสียววาบไปทั้งตัว

             “...ท่านปล่อยข้าได้แล้วล่ะข้าเดินเองได้” หลังจากที่พ้นสายตาของเฟริคมาแล้วลีนัสก็ใช้เวทย์รักษาบาดแผลที่ขาตัวเอง แล้วรีบหาวิธีหลีกหนีดาวิสไปให้เร็วที่สุด แต่ท่อนแขนแกร่งที่อุ้มเขาอยู่นั้นไม่มีทีท่าว่าจะยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อย

            “ก็แล้วทำไมไม่เดินเองตั้งแต่เมื่อครู่ล่ะ หรือจะเป็นแผนเชื่อมสัมพันธ์กับบริงไฮด์ของท่าน” ดาวิสยังคงตอบมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังข่มกลั้นอารมณ์โกรธที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

           “พูดอะไรของท่าน ข้าไม่อยากให้คนนอกเห็นพลังของลีบลาต่างหาก หนำซ้ำองค์ชายมาที่นี่เพื่อหากำลังเสริมมิใช่หรือ ถ้าบริงไฮด์อยากจะได้เจ้าเมืองเข้าไปร่วมรบขึ้นมาจะให้ข้าทำยังไงเล่า” ลีนัสรีบแก้ตัวออกมาทันทีเที่รู้ว่าอีกฝ่ายชักจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่

            “....” ดาวิสมองร่างบางในอ้อมแขนของตนด้วยสีหน้าประหลาดใจ

            “ข้าพูดอะไรผิดรึไง?” ใบหน้าหวานขมวดคิ้วถามกลับไป

            “เปล่า ข้าแค่คิดว่าท่านจะบอกว่า นั่นมันเรื่องของข้า เสียอีก” ดาวิสว่าพลางขำออกมาเบาๆจากลำคอ ทำให้ลีนัสนึกขึ้นได้ ว่าเขาไม่น่าจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่ายเอาเสียเลย

           “ขอบคุณที่ช่วยอธิบายให้ข้าได้เข้าใจ” ดาวิสยิ่งตอกย้ำลีนัสก็หน้าแดงขึ้นมา แล้วดาวิสก็ขยับร่างบางในอ้อมแขนเข้ามาใกล้แผ่นอกแกร่งมากขึ้น ก่อนที่จะอุ้มขึ้นบันไดไปชั้นบน

           “...ข้าบอกว่าเดินเองได้ไงเล่า ปล่อยข้าได้แล้ว” ลีนัสท้วงขึ้นมาเบาๆ

           “ไม่เป็นไรแค่นี้เอง ปกติข้าฝึกกับอย่างอื่นที่หนักกว่านี้เยอะ” ดาวิสดูอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้เห็นสีหน้าเขินอายขของอีกฝ่ายที่ไม่ได้เห็นมานาน

           “...ขี้อวด” ลีนัสบ่นออกมาเบาๆด้วยความหมั่นไส้ ทำให้อีกฝ่ายขำออกมาอย่างถูกใจ เขาไม่ได้คุยกับดาวิสแบบนี้มานานมากแล้ว การได้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้งแบบนี้ทำให้หัวใจของเขารู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมา

            ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก กระทั่งดาวิสพาลีนัสเข้ามาถึงในห้องและวางร่างบางลงไปนั่งโซฟานุ่มหน้าเตียงนอน แล้วก็รีบลุกเดินหายเข้าไปในส่วนห้องน้ำทันที

            “ท่านดาวิส?” ลีนัสหันไปเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาตกอยู่ในสถาพที่ทำอะไรไม่ถูก จะไล่อีกฝ่ายกลับไปอย่างทุกครั้งก็ทำไม่ลง ไหนเอยจะรู้สึกผิดที่แอบหนีออกไป ไหนจะลำบากให้อีกฝ่ายอุ้มขึ้นมาส่งถึงที่ห้องอีก ไม่นานนักดาวิสก็กลับมาพร้อมกับชามใส่น้ำใบใหญ่ใบหนึ่งและผ้าหนึ่งผืน

           “....ข้าจัดการเองได้ ท่านกลับไปเถอะ” ลีนัสรีบเอ่ยปรามไว้เมื่อดาวิสเดินมาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นตรงหน้าเขา พร้อมจัดแจงเอาผ้าชุบน้ำเอาขึ้นมาบิด มือที่ยกขึ้นมาห้ามถูกอีกฝ่ายคว้าไปเช็ดคราบเลือดออกอย่างทะนุถนอม

             “นี่ฝีมือลูลู่สินะ” อยู่ๆดาวิสก็เอ่ยสรุปเหตุการณ์ขึ้นมาอย่างเรียบง่าย ทำเอาลีนัสสะดุ้งโหยง

            “...!?” หน้าตาตกอกตกใจของลีนัสทำให้ดาวิสกระตุกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก พร้อมหยิบขนสุนัขป่าสีดำที่ติดมากับแขนเสื้อออกมาให้ดู แต่นั่นก็ไม่ได้ตอบคำถามได้ว่าทำไมดาวิสถึงรู้ว่าเป็นลูลู่ได้

           “ข้าเดาถูกสินะ” ลีนัสเกลียดดาวิสที่อ่านสีหน้าของเขาได้ทะลุปรุโปร่งเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวนโดยที่เขายังไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

             “ท่านรู้ได้ยังไงว่าเป็นลูลู่...เดี๋ยวท่านจะทำอะไรน่ะ” ลีนัสขมวดคิ้วถามขณะที่ดาวิสบรรจงถอดรองเท้าบู๊ทหนังของอีกฝ่ายออกอย่างช่ำชอง

              “นี่ท่านรู้รึเปล่าว่าจากหน้าต่างห้องนอนข้ามองลงมาเห็นสวนข้างหลังน่ะ” คำถามสั้นๆของดาวิสทำให้ลีนัสสมองว่างเปล่าไปในฉับพลัน เขาไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้ ว่าเขาแอบหนีเข้าไปในป่ามาโดยตลอดแต่ไม่ได้พูดอะไร

              “ไม่ใช่แค่ข้าหรอกนะ ทหารการ์ดเองก็เห็นจะเป็นเรื่องปกติแล้วเหมือนกัน ข้าเป็นคนบอกเองว่าปล่อยท่านเจ้าเมืองได้ออกไปวิ่งเล่นบ้าง” ยิ่งตอกย้ำลีนัสก็หน้าแดงขึ้นมาเพราะอับอาย โดยเฉพาะที่ดาวิสแกล้งใช้คำว่า”ออกไปวิ่งเล่น”เหมือนว่าเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ เมื่อครู่นี้เขากลัวที่จะต้องบอกความจริงกับดาวิสอยู่แทบแย่ แต่อีกฝ่ายกลับรู้ดีอยู่แล้วเสียอีก ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายนัก

              ลีนัสที่มัวแต่รู้สึกอับอายไม่เหลือหน้าจะสู้กับอีกฝ่าย ไม่ทันได้รู้ตัวว่ารองเท้าทั้งสองข้างของเขาถูกถอดออกมาแล้ว ไม่ทันได้คิดตามว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อไปสักนิด

               “ดูเป็นองค์ชายที่ทำอะไรเองเป็นหลายอย่างอยู่นะขอรับ” ดาวิสเอ่ยชมองค์ชายขึ้นมาขณะที่แกะเสื้อที่พันแผลเอาไว้อย่างมืออาชีพ ลีนัสรู้สึกว่าเขาไม่ต้องเล่าอะไรให้มากความเลย ในเมื่อดาวิสค่อยๆวิเคราะห์เรื่องราวได้เองตามทุกอย่างที่เขาเห็น ซ้ำยังจะดูเหมือนว่ารู้ไปหมดทุกอย่างอีก

              “ขออนุญาตนะขอรับท่านลีนัส” อยู่ๆดาวิสก็ลุกขึ้นแล้วโน้มตัวเข้ามาหาพร้อมกับเคลื่อนมือมาปลดกระดุมกางเกงของเขาออก

              “เดี๋ยว!! ท่านดาวิส...ตรงนี้ปล่อยข้าจัดการเองเถอะขอรับ...ขอบคุณท่านมาก...” ลีนัสรีบจับมือทั้งสองข้างของดาวิสออกมาให้ห่างจากขอบกางเกงของเขาอย่างว่องไว

            “ข้าบอกแล้วว่าจะให้ท่านเล่ารายละเอียดให้ฟังไงล่ะขอรับ” ดาวิสเอ่ยตอบกลับมาเบาๆที่ข้างหูของอีกฝ่าย ทำเอาร่างบางขนลุกซู่ขึ้นมา

             “แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนขอรับ!!”

             “ก็ในเมื่อท่านไม่เล่าให้ข้าฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ต้องค่อยๆสืบเอาเองน่ะสิ” ดาวิสไม่พูดเปล่า เคลื่อนมือหนาเข้าไปจับขอบกางเกงของร่างบางอีกครั้ง

              “ก็ได้ๆ ข้าเข้าไปหาซีมัส แต่องค์ชายเฟริคแอบตามข้าไป ลูลู่ก็เลยจะจู่โจมองค์ชายแต่ข้าเข้าไปกันไว้ ก็เลยล้มเป็นแผล พอใจรึยังขอรับ…..ให้ตายสิข้าไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหนเลย”  ลีนัสรีบอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดาวิสจึงถอนกำลังออกไปแต่โดยดี ทำให้ร่างบางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

              “ซีมัสยังไม่ยอมออกมาเจอหน้าท่านสินะ” คำถามนั้นทำให้ลีนัสขมวดคิ้วมองคนถามด้วยความประหลาดใจ

              “ทำไมท่านถึงรู้?” ดาวิสคลี่ยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าขึ้้นมา

             “ก็บอกว่าห้องนอนข้ามองลงมาเห็นสวนข้างหลัง เห็นท่านเดินมาทำหน้าผิดหวังทุกครั้งนั่นแหละ” ลีนัสนึกโทษตัวเองที่ไม่รู้จักคิดอะไรให้รอบคอบ ปล่อยให้ดาวิสเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้ละเอียดขนาดนี้ รู้สึกเหมือนพ่ายแพ้ยับเยิน

             “ข้าจะบอกอะไรเกี่ยวกับซีมัสให้เจ้าฟังเอาไหมลีนัส แต่เจ้าต้องปล่อยให้ข้าตรวจดูบาดแผลที่ต้นขาของเจ้าก่อน” ข้อเสนอของดาวิสทำให้ลีนัสรู้สึกลำบากใจขึ้นมา ดาวิสไม่พูดเปล่า หยิบเศษเสื้อของเฟริคที่ทำเป็นผ้าพันแผลเมื่อครู่ขึ้นมาคลี่ออก แล้ววางคลุมช่วงเอวอีกฝ่ายเอาไว้

             “ข้าบริการให้สำหรับคนหน้าบางเช่นท่านก็แล้วกัน” หลังจากที่คลุมผ้าลงมาก็ล้วงมือเข้าไปข้างใต้ผ้าผืนนั้นเพื่อปลดกางเกงอีกฝ่ายออกแล้วรูดลงมาทันที

             “ท่านดาวิส!!?” ลีนัสรีบจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่นเพื่อขัดขืน แต่แล้วดาวิสขยับตัวเข้ามากระซิบเสียงแผ่วๆที่ข้างหู

             “รบกวน ยกสะโพกขึ้นให้หน่อยได้ไหมขอรับ” เสียงทุุ้มต่ำที่กระซิบบอกที่ข้างหูฟังดูกำกวม ทำเอาใบหน้าหวานแดงซ่านขึ้นไปถึงใบหู ในหัวของเขารู้สึกสับสนขึ้นมาจนยอมขยับยกสะโพกขึ้นมาแต่โดยดี

ช่วงเวลาสั้นๆที่ลีนัสเหมือนโดนสะกดจิตให้ทำตาม มากพอที่ดาวิสจะรูดกางเกงลงมาได้อย่างฉับไว ลีนัสก็รีบเลื่อนมือตัวเองมาปิดจุดสำคัญของตัวเองทันที ดาวิสเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเช่นนั้นก็อดขำออกมาไม่ได้

                “ขำอะไรของท่านเล่า จะทำอะไรก็รีบๆทำ” ลีนัสเบือนหน้าหลบสายตาคมของอีกฝ่ายไปทางอื่นแล้วโวยวายออกมา

                “อนุญาตข้าแบบนี้จะดีหรือท่านลีนัส” ดาวิสแกล้งพูดให้ฟังดูมีนัยะแฝง พลางกลับลงไปนั่งชันเข่ากับพื้นอีกครั้งเพื่อที่จะบิดผ้าขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่ต้นขาของอีกฝ่ายออก

             “ข้าหมายถึง….อะ!!” ร่างบางพยายามจะแก้คำพูดตัวเอง แต่เมื่อสัมผัสเย็นๆจากผ้าในมือของดาวิสแตะลงมาที่ต้นขาเนียนขาว เขาก็ต้องสะดุ้งตัวขึ้นมาด้วยความตกใจ     

              “อย่ายั่วข้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็ไม่เสร็จเสียที” ดาวิสยังคงสนุกสนานกับการแกล้งร่างบางตรงหน้า

             “ข้าไม่ได้จะยั่วเสียหน่อย หยุดพูดแบบนั้นเสียทีได้ไหม….” ลีนัสหันมาขมวดคิ้วบ่นอีกฝ่ายกลับไป ในจังหวะที่ดาวิสกำลังก้มลงเอาผ้าไปชุบน้ำในชามแล้วเงยหน้ากลับขึ้นมาพอดี

              “.......” แววตาทั้งสองสบมองกันแล้วนิ่งไป ด้วยตำแหน่งที่ดาวิสนั่งลงกับพื้นตรงหน้าลีนัสนั้นดูวาบหวาบนัก ทำให้ลีนัสเผลอขยับขาทั้งสองข้างให้เข้ามาชิดกันมากขึ้น ปฏิกิริยาของลีนัสทำให้ดาวิสกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

            “มุมนี้นี่ไม่เลวเลยทีเดียว” ดาวิสเอ่ยแซวขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

             “...อะ!!” ดาวิสหยิบผ้าชุบน้ำขึ้นมาเช็ดต้นขาขาวของอีกฝ่ายอีกครั้ง และแกล้งรูดปลายนิ้วไปตามซอกขาด้านล่าง ทำให้ร่างบางเผลอจิกปลายเท้าลงกับขอบโซฟาแน่น

             “พอแล้ว!! ตกลงท่านจะเล่าอะไรให้ข้าฟังเกี่ยวกับซีมัสก็รีบๆเล่ามาได้แล้ว แค่นี้น่าจะพอใจท่านแล้วนะ” ลีนัสรีบผลักแขนของดาวิสออก แล้วรีบดึงหัวข้อสนทนากลับมาก่อนที่เขาจะถูกอารมณ์พาไปไกลกว่านั้น ส่วนดาวิสนั้น เมื่อได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาก็ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

               “ก็ไม่มีอะไรมาก ข้าก็แค่พอจะเข้าใจเด็กหนุ่มวัยกำลังต่อต้าน ท่านไม่ต้องคิดอะไรมากนักหรอก”

               “....นี่มันสามปีกว่าเข้าไปแล้วนะขอรับ ซีมัสคงจะโกรธข้าจริงๆ” ลีนัสขมวดคิ้วทำสีหน้ากังวลใจออกมา

              “ก็นั่นน่ะสิ สามปีกว่าแล้ว ข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน...” ดาวิสทิ้งผ้าลงไปในชามแล้วลุกขึ้นยืน

               “...ว่าตกลงเจ้ายังโกรธข้าอยู่ หรือจะทดสอบอะไรข้ากันแน่” ดาวิสเอ่ยพลางเชยคางมนขึ้นมองสบตา แต่แล้วนัยน์ตาสีเพลิงก็รีบหลบไปทันที ท่าทีของลีนัสทำให้ดาวิสต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

              “ดึกมากแล้วข้ารบกวนท่านเพียงเท่านี้แล้วกันขอรับ” ดาวิสปล่อยคางมนให้เป็นอิสระแล้วเดินจากไปแต่โดยดี ทิ้งให้ร่างบางที่ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอยู่บนโซฟา

              สิ้นเสียงปิดประตูห้องลง ร่างบางก็ทิ้งตัวลงไปนอนบนโซฟาแล้วซุกหน้าลงกับหมอนนุ่มใบใหญ่ทันที…..ทำไมท่านไม่ปล่อยข้าไปเสียที








                 “อ้าว ท่านดาวิส เพิ่งตื่นเหรอคะ วันนี้แปลกจัง” น้ำเสียงหวานใสที่เอ่ยทักขึ้นมาตั้งแต่เขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าลงมายังชั้นล่าง ราวกับประกาศให้คนในที่ว่าการได้รับทราบถึงการตื่นสายของเขา ทุกทีดาวิสจะตื่นออกไปออกกำลังตอนเช้าที่สนามฝึกตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ทำให้เขากลับมานึกย้อนกลับไปด้วยความเสียดายจนนอนไม่หลับแทบทั้งคืน

                 นานๆทีลีนัสจะยอมเปิดโอกาสให้เขาเข้าใกล้ได้ขนาดนี้ เขาไม่น่ายอมปล่อยลีนัสออกมาง่ายๆแบบเมื่อคืนนี้เลยจริงๆ คิดพลางก็นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะนอนหลับได้ปกติดีหรือไม่ จึงแกล้งเอ่ยถามเรเชลไป

                “อืม โทษที ท่านลีนัสตื่นรึยังน่ะ”

                “ท่านลีนัสเคยตื่นสายด้วยเหรอคะ” เด็กสาวขมวดคิ้วถามกลับมา ทำให้ดาวิสแอบคิดอยู่ในใจว่าเขาจะทำให้เจ้าเมืองตื่นสายให้ดูสักวันเป็นขวัญตาเสียนี่
             
               “อืม นั่นสินะ ข้าออกไปข้างนอกก่อนนะเดี๋ยวเข้ามา” ดาวิสทำเป็นตอบกลับมาเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนักก่อนจะปลีกตัวออกไปจัดการธุระตามตารางงานของตน

               ทว่าวันนี้ดูจะมีเรื่องวุ่นวายแต่เช้า เมื่อมีคนวิ่งเข้ามาแจ้งเรื่องเหมืองที่อยู่ๆก็ถล่มลงมา ทำให้ดาวิสต้องรีบเกณฑ์คนลงพื้นที่ไปดูสถาณการณ์เบื้องต้น เมื่อพบว่าประตูเหมืองที่ถล่มยับลงมาสาหัสเกินกว่าที่กำลังทหารแกร่งของเขาจะทำอะไรได้ ยิ่งต้องแข่งขันกับเวลาที่อากาศข้างในจะหมดไปก่อนด้วยแล้ว ดาวิสจึงตัดสินใจส่งคนไปเรียกเจ้าเมืองมาทันที

              ดาวิสยืนมองเจ้าเมืองหนุ่มร่างบางร่ายเวทย์เรียกภูติร่างยักษ์ออกมาคลี่คลายสถานการณ์ไปอย่างง่ายดาย เขาแค่นยิ้มออกมานิดๆเมื่อคิดว่า สุดท้ายแล้วคนที่แกร่งที่สุดในเมืองเวลเฮมมิน่า กลับเป็นเพียงชายหนุ่มร่างบางเบาที่เมื่อคืนนี้เขาอุ้มเดินขึ้นบันไดได้อย่างสบายๆคนนึงเท่านั้นเอง

               ระหว่างที่ภูติร่างยักษ์ปรากฏตัวขึ้นมานั้น บรรดาชาวบ้านก็ต่างเข้ามามุงดูกันยกใหญ่ ทำเอาบรรดาทหารต้องเข้ามากันพื้นที่เอาไว้ ขณะที่ดาวิสกวาดสายตามองสถานการณ์รอบๆอยู่นั้น ต้องสะดุดไปเมื่อเห็นแขกคนสำคัญของเขาอยู่ในบริเวณนั้นด้วย

               นัยน์ตาสีทองขององค์ชายจ้องมองภูติร่างยักษ์ที่ลีนัสเรียกออกมาอย่างชื่นชม ก่อนจะคลี่ยิ้มกริ่มขึ้นมา ทำให้ดาวิสรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา

              “ท่านดาวิส” เสียงลุคซ์เอ่ยเรียกเมื่อปากเหมืองถูกเปิดออกแล้ว ดาวิสจึงละสายตาออกมาจากเฟริคแล้วเดินนำนายทหารกลุ่มเล็กๆเข้าไปข้างใน เพื่อนำผู้ที่ติดอยู่ข้างในออกมา

              เมื่อเดินกลับออกมาจากเหมืองแล้วดาวิสก็รีบกวาดสายตามองหาเฟริคอีกครั้ง แล้วก็เห็นว่ากำลังคุยอะไรบางอย่างกับลีนัสอยู่ นอกจากองค์ชายจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจที่ทำตัวเหมือนจะมีแผนการอะไรบางอย่างแล้ว ยังจะทำตัวลุ่มล่ามกับลีนัสของเขาอีก

             “เอ่อท่านดา...วิส…”ลุคซ์ที่เดินเข้ามาเพื่อจะขอเวลาให้ญาติของคนที่ดาวิสเพิ่งจะช่วยออกมาได้เอ่ยขอบคุณ แต่เมื่อเห็นแววตาที่หรี่มองยังที่เฟริคกับลีนัสอย่างไม่สบอารมณ์เช่นนั้น ก็รีบผ่อนเสียงเบาลงไม่กล้าเข้าไปรบกวน เด็กหนุ่มรีบเดินวกกลับไปแจ้งว่าเจ้าตัวไม่สะดวกคุยด้วยทันที

           ดาวิสต้องข่มกลั้นตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปผลักเฟริคให้ออกไปจากลีนัส ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นองค์ชายจากบริงไฮด์ ถ้าเขาปล่อยตัวเองเข้าไปทำเรื่องเสียมารยาทขึ้นมา คงจะทำให้เกิดปัญหาปวดหัวตามมาให้ลีนัสไม่น้อย เขาจึงรอจนกระทั่งลีนัสเดินจากองค์ชายออกมา

             แต่เมื่อแววตาของลีนัสสบเข้ากับดาวิส ร่างบางก็รีบเปลี่ยนทิศทางเดินไปหาม้าที่ตนควบมาเมื่อครู่ทันที ดาวิสจึงรีบเดินเข้าไปหาและรั้งแขนของลีนัสเอาไว้

            “ท่านลีนัส…..” แววตาสีเพลิงหันกลับมองอย่างหน่ายระอา แล้วปลายตามองลงไปยังมือของดาวิสที่จับท่อนแขนของเขาอย่างตำหนิ ทำให้ดาวิสชะงักไป และเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาไม่ควรจะจับตัวลีนัสในที่ชุมชนตามอำเภอใจแบบนี้จึงรีบปล่อยมือ

            “มีปัญหาอะไรที่ข้าควรจะทราบไหมขอรับ”

             “ไม่เป็นไร ข้าจัดการเองได้ ถ้ามีอะไรจะให้เรเชลแจ้งให้ทราบ” ลีนัสเอ่ยตัดบทก่อนจะกระโดดขึ้นม้าแล้วควบหนีกลับไป ดาวิสอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจหนักออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปมององค์ชายที่ยืนยิ้มกริ่มอย่างสบายใจอยู่ตรงนั้น ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา








              กลางดึกสงัดคืนนั้น หลังจากที่องค์ชายเข้ามาแจ้งว่าจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ พร้อมทั้งประกาศจุดประสงค์ของตัวเองด้วยความั่นใจ

               “อยากจะรู้นักว่า ถ้าอยู่ๆท่านตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ในบริงไฮด์แล้วท่านจะยังปากดีแบบนี้อยู่ไหม” ลีนัสนั่งขมวดคิ้วจ้องมองแสงเทียนในห้องทบทวนสิ่งที่เฟริคได้เอ่ยไว้ มือสองข้างประสานวางไว้บนโต๊ะกุมมือตัวเองไว้แน่น ก่อนที่จะตัดสินใจยันมือลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมร่างในชุดนอนสีขาวตัวยาว แล้วเดินออกจากห้องไป

                 ร่างบางเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพักของรองเจ้าเมือง เขาหายใจเข้าลึกๆทีหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นมาทำท่าจะเคาะประตูห้อง แต่แล้วก็หยุดมือไว้แค่ตรงนั้นแล้วถอนหายใจออกมา

                 แต่แล้วอยู่ๆประตูห้องก็เปิดออกโดยเจ้าของห้องเอง ทำให้ลีนัสสะดุ้งตกใจรีบถอยหลังออกมาสองก้าว เจ้าของห้องก็เลิกคิ้วขึ้นมองผู้ที่ยืนอยู่ข้างหน้าด้วยความงุนงง

                  “...ท่านลีนัส?”

                 “ท่านจะออกไปข้างนอกหรือขอรับ?” ลีนัสถามกลับไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแต่งตัวนอกเครื่องแบบเหมือนเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก

               “อ้อ...เอ่อ...ข้านอนไม่หลับน่ะ เลยว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกเสียหน่อย แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องแล้ว”

               “...เอ่อ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่เวลางานอยู่ดี ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่าขอรับ” ลีนัสตัดสินใจปลีกตัวกลับไป แต่ถูกแขนแกร่งของอีกฝ่ายคว้าข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน

               “ถ้ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ท่านคงไม่มาหาข้าเวลาแบบนี้ ข้าปล่อยท่านไปแบบนี้ไม่ได้หรอกขอรับ” ดาวิสเคลื่อนมือลงมาจับที่อุ้งมือนุ่มของอีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามาหาตัวเองเบาๆ

                 “เข้ามาคุยข้างในก่อนเถอะขอรับ” เมื่อลีนัสถูกมือที่อ่อนโยนของอีกฝ่ายจูงเข้ามาในห้องอย่างง่ายดาย

                “เชิญท่านเจ้าเมือง” ดาวิสผายมือไปที่โซฟาตัวยาวในห้อง ส่วนตัวเองนั้นเดินไปลากเก้าอี้ทำงานมาจากโต๊ะทำงานเล็กๆในห้องมานั่งลงข้างๆ เขาตั้งใจเรียกชื่อตำแหน่งของอีกฝ่ายเพื่อให้รู้สึกว่าเขาพร้อมจะรับฟังเรื่องงาน ไม่คิดจะลามปามไปเรื่องส่วนตัวที่เขายังมีเรื่องค้างคากับอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย

               “เรื่องที่เหมืองวันนี้น่ะ เป็นฝีมือขององค์ชายเฟริคเอง” ลีนัสเริ่มต้นเล่าดาวิสก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เขามีลางสังหรณ์แปลกๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าอยู่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของเฟริค ดูเหมือนว่าเขาต้องระวังองค์ชายมากขึ้นกว่านี้

               “เพื่อจะทดสอบความสามารถของท่านน่ะหรือขอรับ” ดาวิสเอ่ยถาม ลีนัสจึงพยักหน้ารับช้าๆ

               “ดูเหมือนองค์ชายต้องการจะยืนยันแค่นั้นจริงๆ เพราะพรุ่งนี้องค์ชายจะเดินทางกลับ ข้าไม่รู้ว่าองค์ชายรู้เกี่ยวกับลีบลามากแค่ไหน และข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริงไฮด์ ข้าไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้องค์ชายดูมั่นใจนักว่าข้าจะต้องยอมไปบริงไฮด์” ลีนัสขมวดคิ้วทอดสายตาไปยังพื้นตรงหน้าที่ว่างเปล่าอย่างครุ่นคิด

               “แต่ในเมื่อองค์ชายต้องการกำลังเสริมทัพหลัก หากท่านไม่คิดจะร่วมมืออยู่แล้ว ก็ไม่มีความหมายอะไรมิใช่หรือ”

               “เรื่องนั้นข้าเองก็สงสัย...ท่านดาวิส” ลีนัสสะดุดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

                “ขอรับ?”

               “ข้าฝากท่านส่งคนไปดูแลครอบครัวข้าได้ไหม แล้วก็ข้าอยากได้คนดูแลเรเชลใกล้ๆด้วยในช่วงนี้…” ลีนัสเริ่มนั่งไม่ติด ต้องลุกขึ้นมาแล้วเดินวนไปรอบๆพลางไล่คิดถึงความเป็นไปได้ที่เฟริคจะใช้อะไรมาบีบบังคับให้เข้ายอมร่วมรบ พอคิดขึ้นมาก็ต้องคำรามออกมาอย่างหงุดหงิด

                “อา….ให้ตายเถอะ ให้ข้าไล่ทวนดูว่าข้าจะเหลือจุดอ่อนตรงไหนบ้าง ที่องค์ชายจะเอามาบีบข้า ก็เป็นไปได้ทุกอย่างนั่นแหละแม้แต่ท่านก็ใช่” ลีนัสพล่ามออกมายาวจนหลุดปากออกมา พอหันกลับมามองหน้าคู่สนทนาที่กำลังเลิ่กคิ้วขึ้นมองมา ก็รีบเบือนหน้าหันไปทางอื่น

                 “...ข้าหมายถึงทุกคนในเวลเฮมมิน่านั่นแหละ” ลีนัสรีบกลบเกลื่อนไปเหมือนเป็นเรื่องปกติ ดาวิสไม่คิดว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากอย่างไม่ตั้งใจของอีกฝ่ายนั้น จะทำให้เขารู้สึกเขินขึ้นมาได้เหมือนกัน ดีว่าอีกฝ่ายหลบหน้าเขาไปก่อน จึงกระแอมไอขึ้นมาแล้วพยายามเอ่ยสรุปให้เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น

               “....เอาเป็นว่าช่วงนี้ข้าจะจัดคนดูแลให้เป็นพิเศษแล้วกันขอรับ”

              “ข้าฝากท่านอีกเรื่องหนึ่งได้ไหมท่านดาวิส” ลีนัสหยุดเดินวนแล้วหันกลับมาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

              “ถ้าข้าต้องไปบริงไฮด์จริงๆ ข้าฝากดูแลเวลเฮมมิน่าด้วย ท่านอาจจะต้องไปรบกวนท่านเฮมิสอีกครั้งนึง แต่ข้าคิดว่าท่านเฮมิสจะเข้าใจ”

               “....ทำไมท่านถึงได้พูดแบบนั้นขอรับ” ดาวิสลุกขึ้นยืนบ้าง เหมือนจะคัดค้านในสิ่งที่ลีนัสฝากฝั่ง

              “ถ้าข้าถูกบังคับให้ต้องเป็นเครื่องมือเพื่อสงครามขึ้นมา ข้ายอมตายเองเสียดีกว่าน่ะสิ…!!” ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรจบดีนัก ดาวิสก็เข้ามากอดเขาไว้แน่น

             “อย่าแม้แต่จะคิดที่จะทำแบบนั้นเลยได้ไหม” ดาวิสกอดลีนัสไว้แน่นเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลุดหายไปตรงหน้า

             “ท่านดาวิส?”

             “ถึงท่านถูกพาไปบริงไฮด์ ข้าก็จะตามท่านกลับมา ข้าสัญญา” ดาวิสเอ่ยกระซิบบอกร่างบางที่ข้างหู ทำให้หัวใจของลีนัสรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมา นานมากแล้วที่เขาไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้

              “.....ข้าบอกท่านให้ดูแลเวลเฮมมิน่าแทนข้า ไม่ใช่มาตามข้า ตั้งใจฟังข้าบ้างไหม” ลีนัสรีบผละตัวเองออกจากอ้อมอกแกร่งก่อนที่ตัวเองจะเผลอจมเข้าไปสู่ความอบอุ่นนั้น และไม่อาจจะถอนตัวออกมาได้อีก

            “ข้ามีเรื่องจะรบกวนท่านเพียงเท่านี้แหละ ข้าขอตัว” ลีนัสรีบเอ่ยลาแล้วเดินไปที่ประตูห้องจะเปิดออก แต่แล้วอยู่ๆคำพูดของเฟริคก็หวนขึ้นมาในความคิด ถ้าคืนนี้เขาหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอยู่ที่บริงไฮด์จริงๆ เขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าดาวิสอีก นึกขึ้นได้เช่นนี้มือข้างที่จับลูกบิดประตูห้องก็นิ่งไป ระหว่างนั้นท่อนแขนแกร่งของเจ้าของห้องก็เท้าลงมาพิงที่บานประตูห้อง แล้วโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูเจ้าเมืองร่างบางที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

            “อย่าลังเลให้ข้าเห็นแบบนี้สิขอรับ” เสียงทุ้มๆนุ่มหูกระซิบขึ้นมาเบาๆ ทำเอาหัวใจของลีนัสเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล






End 2/3

ไม่อยากจะบอกเลยว่าเกินมา200ตัว ขอตัดฉากต่อไปไปก่อนนะ ให้เวลาเตรียมทิชชู่ไว้รอซับเลือดก่อน   :hao3:
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:7 Decision 3/3) 18 Nov.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 18-11-2015 15:34:48
Act 7 Decision (3/3) เตรียมทิชชู่ซับเลือดกับสภาพแวดล้อมในการอ่านที่ห่างจากผู้คนด้วยนะ เดี๋ยวจะยิ้มหื่นๆออกมากลางที่ชุมชนแล้วเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน 555         





            แววตาสีเพลิงค่อยๆช้อนขึ้นมองอีกฝ่ายกลับมาช้าๆ สายตาที่ดูออดอ้อนทำให้ดาวิสอดไม่ได้ที่จะรวบเอวบางตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่น และก้มลงบดเบียดริมฝีปากบางตรงหน้าทันที แขนอีกข้างที่ค้ำยันประตูไว้ เลื่อนลงมาขยับลงกลอนประตูห้องอย่างว่องไว ก่อนจะเคลื่อนมาโอบรอบเอวบางโดยสอดมือเข้าไปข้างใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่ เนื้อผ้าของชุดนอนอีกฝ่ายที่บางเบา ทำให้ดาวิสสัมผัสได้ถึงอุณภูมิร่างกายอุ่นๆที่อยู่ใต้เนื้อผ้า สัมผัสเพียงเล็กน้อยนั้นไปกระตุ้นให้ร่างหนารู้สึกตะกละตะกลามอยากจะสัมผัสให้มากขึ้น มือแกร่งลูบไล้จากเอวบางขึ้นมาช่วงไหล่ ปัดเสื้อคลุมสีแดงเข้มที่เย็บปักอย่างงดงามปราณีตทิ้งลงไปกองกับพื้นอย่างไม่ใยดี

             สัมผัสอันหนักหน่วงจากริมฝีปากหนา สัมผัสวาบหวามจากท่อนแขนแกร่งที่ลูบไล้เรือนร่างของเขาไปจนทั่ว อุณหภูมิร่างกายอุ่นๆของอีกฝ่ายที่ทาบทับ และปลายลิ้นที่ถูกอีกฝ่ายดูกลืนอย่างหิวกระหาย ทำให้ลีนัสถูกคลื่นอารมณ์พัดพาไปจนยอมละทิ้งตำแหน่งและภาระความรับผิดชอบของตนทิ้งไปจนหมดสิ้น แล้วยกแขนเรียวสองข้างขึ้นโอบรอบคอหนาของอีกฝ่ายกลับไปทันที

            “ฮ้า..!!” ลีนัสสะดุ้งตัวรีบถอนริมฝีปากตัวเองออกมาจากรสจูบที่หนักหน่วง ถอยตัวหลบสัมผัสเสียวซ่านจากปลายนิ้วแกร่ง ที่ลูบไล้เรือนร่างของเค้าขึ้นมาหยอกเย้ากับยอดอกผ่านชุดนอนสีขาวเนื้อบาง

            “ย้ายที่เถอะขอรับ เดี๋ยวเสียงจะหลุดออกไปข้างนอก” ดาวิสเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังก้มลงไซร้ซอกคอขาว ลีนัสที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมา

             “....อ่ะ!?” ดาวิสช้อนร่างบางลอยขึ้นมาอย่างง่ายดาย แล้วเดินเข้ามาในห้องผ่านโซฟาไป ตรงไปวางร่างในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล แล้วรีบก้มลงถอดรองเท้าหนังของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว

          “....ท่านดาวิส…” ลีนัสรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเมือถูกวางลงบนเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลิ่นของดาวิส เขาเอ่ยท้วงขึ้นมาเบาๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้รับปากไว้กับมารดาของอีกฝ่าย

         “มีอะไรขอรับ” ดาวิสที่เพิ่งถอดรองเท้าทิ้งไว้ข้างเตียงเงยหน้ากลับขึ้นมาถาม หลังจากที่ยกมือเรียวของอีกฝ่ายขึ้นมาจุมพิตเบาๆอย่างนุ่มนวล

         “....” ลีนัสรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะปล่อยให้เรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นให้เกิดขึ้น แต่เมื่อสบตาเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคมคายตรงหน้าแล้ว เขาอยากจะจมกลืนหายไปกับอารมณ์ที่พลุ่นพล่านอยู่ในตอนนี้เสียเหลือเกิน

ร่างบางตัดสินใจหลบสายตาลงกลั้นใจจะเอ่ยปฏิเสธออกไป แต่กลับถูกริมฝีปากหนาประกบปิดลงมาเสียก่อน รสจูบที่เร่าร้อนบดเบียดริมฝีปากบางลงมาอย่างรุนแรง จนสติสำนึกทุกอย่างโดนคลื่นอารมณ์ซัดกระเจิดกระเจิงหายไปจนหมดสิ้น

           เมื่อริมฝีปากหนายอมปล่อยให้ร่างบางได้หายใจหายคอบ้าง ก็เคลื่อนไปพรมจูบทั่วไปใบหน้าหวาน สันจมูกโด่งไซร้ไล่ลงมาตามซอกคอขาว สูดกลิ่นกายหอมระคนกลิ่นไพรอ่อนๆจากการที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ทำเอาร่างหนาไม่สามารถจะคุมสติของตัวเองต่อไปได้อีก เขาจึงเคลื่อนใบหน้าขึ้นมากระซิบเบาๆบอกที่ข้างหูของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

           “.....พอ...หมดเวลาแล้วขอรับ”





 




                ร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มร่างสูงค่อยๆลงมาจากเตียงหลังใหญ่อย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเกรงว่าจะทำให้ชายหนุ่มร่างบางที่นอนหลับสนิทอยู่จะตื่นขึ้นมา เขาเดินไปคว้ากางเกง เสื้อ ชิ้นส่วนต่างๆของตนที่กองกระจัดกระอยู่ปลายเตียง และบริเวณพื้นข้างเตียงรอบๆขึ้นมาสวมใส่ให้เรียบร้อย

                 ดาวิสหันกลับมามองชายหนุ่มที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงของตน แพขนตาหนาและเสียงหายใจเบาๆทำให้เขาอยากจะก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากเนียน แต่ก็ต้องรั้งความต้องการของตัวเองไว้ เพราะกลัวจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดของอีกฝ่าย เขาเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มหนาขึ้นมาคลุมหัวไหล่เปลือยเปล่าตรงหน้าอย่างเบามือ ก่อนจะก้มไปหยิบรองเท้าหนังที่ถอดใส่ลำบากของเขาจากพื้นข้างเตียง เดินไปใส่ที่หน้าประตูห้อง แล้วค่อยๆปลดกลอนประตูห้องและเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบกริบ


                  “...ลีนัส….ท่านลีนัส” เสียงนุ่มๆเรียกสติให้เจ้าเมืองหนุ่มตื่นขึ้นมา แพขนตาหนาค่อยๆกระพริบลืมขึ้นมาช้าๆ เจอแสงสว่างยามเช้าเข้าไปก็ต้องหรี่ตากลับลงมาอีกครั้ง

                 คิ้วบางขมวดเข้าหากันอย่างงัวเงีย เขารู้สึกแปลกใจที่ทุกอย่างมันแปลกไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดยามเช้าที่สว่างเกินไป เขาไม่เคยตื่นขึ้นมาในเวลาแบบนี้นานมากแล้ว สัมผัสของผ้าปูเตียงก็ต่างจากเดิม กลิ่นที่ไม่คุ้นเคย ร่างกายที่รู้สึกหนักแปลกๆ

                   …..ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าอยู่ที่บริงไฮด์แล้วท่านจะยังปากดีแบบนี้อยู่ไหม…..สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาในหัว ทำให้ลีนัสรีบตื่นขึ้นมาเต็มตา และลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว แต่หัวกลับขึ้นมากระแทกกับอะไรแข็งๆข้างบนอย่างแรง ทำให้เขาล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง

                  “...อือ….” ลีนัสครางโอดครวญออกมาเบาๆพร้อมยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง

                  “....ไปเรียนรู้วิธีจู่โจมแบบนี้มาจากไหนขอรับ” เสียงบ่นดังมาจากคนที่ยืนกุมหน้าผากตัวเองอยู่ข้างๆเตียงเช่นกัน

                 “...ท่านดาวิส…ข้าขอโทษ...” ลีนัสรู้แล้วว่าที่แปลกไปจากปกติทุกครั้ง เพราะที่นี่คือห้องนอนของรองเจ้าเมืองนั่นเอง เขายังไม่ได้ตื่นขึ้นมาแล้วไปโผล่ที่บริงไฮด์แต่อย่างใด นึกขึ้นได้ก็โล่งอก แต่เมื่อนึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้เขามานอนอยู่บนเตียงของดาวิส ในสภาพเปลือยเปล่าทั้งตัวแบบนี้ ก็ต้องหน้าแดงขึ้นมา

                  “...กี่โมงแล้วขอรับ” ลีนัสพยายามจะไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

                 “สายนิดหน่อยขอรับ ข้าไปหยิบเสื้อผ้าของท่านมาให้แล้ว ใช้ห้องน้ำข้าไปก่อนก็ได้ขอรับ ข้าเตรียมน้ำไว้ให้แล้ว” ดาวิสหันไปมองกองเสื้อที่พับวางไว้อย่างดีบนโต๊ะตัวเล็กหน้าห้องน้ำ

                 “....ขอบคุณ” ลีนัสทั้งอายทั้งรู้สึกผิดทำอะไรไม่ถูก พอจะขยับตัวลุกขึ้นก็รู้สึกถึงของเหลวบางอย่างที่ไหลออกมาจากเบื้องล่างขณะที่จะพลิกตัว เขาก็ทรุดกลับลงมานั่งที่เดิมทันทีด้วยความตกใจ

                “เจ็บตรงไหนรึเปล่าขอรับ ขอโทษด้วยที่เมื่อคืนนี้รุนแรงไปหน่อย ข้าอุ้มไปที่ห้องน้ำไหม…” ดาวิสขยับเข้ามาทำท่าจะอุ้มด้วยความเป็นห่วง แต่ลีนัสรีบยกมือทำท่าห้ามขึ้นมาแล้วก้มหน้าส่ายหัวปฏิเสธกลับมา

                “ข้า...ไม่เป็นอะไร ท่านออกไปก่อนเถอะ ปล่อยข้าจัดการเอง...” ใบหน้าหวานตอนนี้แดงก่ำไปทั้งหน้าไปจนถึงใบหู

                “หืม ?” ดาวิสเลิ่กคิ้วขึ้นมองลีนัสอย่างงุนงง แต่แล้วเขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วร้องอุทานออกมา

                 “อ้อ!!”

                “หยุดเลย ท่านไม่ต้องเดาอะไรทั้งนั้น ออกไปได้แล้ว!!” ลีนัสโวยวายไล่อีกฝ่ายออกจากห้อง แต่เขากลับได้ผลที่กลับกัน ดาวิสสะบัดผ้าห่มที่คลุมร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายออกอย่างว่องไว แล้วเข้าไปช้อนร่างบางอุ้มขึ้นมาจากเตียงเดินไปที่ห้องน้ำ

                “ท่านจะอายทำไมนักหนา คนที่ทำทิ้งไว้ก็เป็นตัวข้าเอง ให้ข้าช่วยรับผิดชอบเถอะขอรับ”









               ช่วงสายของวัน ดาวิสลงมาช่วยดูแลแขกต่างเมืองที่มาพักทยอยเก็บข้าวของเตรียมตัวจะเดินทางกลับ ดาวิสสังเกตดูตั้งแต่วันที่มาแล้วว่า ผู้ติดตามขององค์ชายเฟริค เป็นทหารองครักษ์ล้วนๆ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดนักสำหรับการเดินทางมาเพื่อคุยเรื่องงานในเวลาสั้นๆ หากแต่เรื่องที่ทำให้ลีนัสรู้สึกหนักใจ ก็ทำให้ดาวิสต้องคิดมากขึ้นมาด้วยเสียไม่ได้ องค์ชายที่ทำอะไรเองเป็นหลายอย่าง และไม่ค่อยชอบให้มีผู้ติดตามไปไหนอย่างเฟริค ทำไมถึงได้มีองครักษ์ตามมาเยอะขนาดนี้

               หลังจากที่ดูความเรียบร้อยของผู้ติดตามเสร็จ เขาก็เดินกลับเข้ามาที่อาคารหลักของที่ว่าการฯ เห็นองค์ชายเดินหายเข้าไปในห้องทำงานของลีนัสที่ชั้นบน จึงเดินตามขึ้นไปด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ลีนัสจะกำชับเอาไว้ว่าไม่ต้องกังวลเกินเหตุก็ตาม

               “ท่านดาวิส มีธุระอะไรกับท่านลีนัสรึเปล่าคะ ฝากข้าไปไหมคะ” เรเชลที่เดินถือเอกสารผ่านมาเอ่ยถามดาวิสที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา เมื่อถูกเอ่ยทักขึ้นดาวิสก็ก้มมองไปที่เอกสารในมือของเด็กสาวกลับไป

                “นั่นเอกสารจะให้ท่านลีนัสใช่ไหม?”

                “ใช่ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”

                “งั้นข้าเอาเข้าไปให้เอง ข้ามีเรื่องต้องคุยกับท่านลีนัสพอดี เจ้าไปได้แล้วไป” ดาวิสว่าพลางคว้าเอกสารในมือของเรเชลขึ้นมาทันที

                “เอ๋!?”

                “มีอะไรจะฝากอีกไหม”

                “...ไม่มีค่ะ...ขอบคุณค่ะ” เรเชลตอบกลับมาตะกุกตะกักเพราะรู้สึกไม่คุ้นกับสถานการณ์แบบนี้ เธอไม่เข้าใจว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้น อะไรหลายๆอย่างดูแปลกไปหมด ตั้งแต่เห็นดาวิสเดินอมยิ้มออกมาแต่เช้า ทำเอากลุ่มแม่บ้านถึงกับรวมกลุ่มกันเพื่อคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้วยังจะมาเสนอตัวช่วยงานเธออีก

               “ขอบใจ” ดาวิสคลี่ยิ้มแตะไหล่เธอเบาๆแล้วเดินตรงไปยังหน้าประตูห้องทำงานของเจ้าเมือง เรเชลทำหน้างุนงงว่าทำไมดาวิสถึงเป็นฝ่ายเอ่ยขอบคุณ และการได้เห็นรอยยิ้มของดาวิสระยะใกล้ๆแบบนี้ทำเอาให้เธอยืนตะลึงไปพักใหญ่

                เรเชลเดินลงบันไดไปชั้นล่างด้วยสมองเบลอๆ รอยยิ้มเมื่อครู่นี้มันสว่างไสวเกินไปจนสมองของเธอพล่าไปหมด

               “ท่านเรเชลหลีกไป เร็วเข้า!!” เสียงลุคซ์ตะโกนมาแต่ไกลด้วยน้ำเสียงร้อนรนเมื่อเธอก้าวลงมาถึงโถงชั้นล่าง

              “อะไรนะ” เรเชลหันไปถามเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่พอหันไปเห็นว่าข้างหลังลุคซ์ มีนายทหารวิ่งตามออกมาให้วุ่นไปหมด เสียงร้องโวยวายแว่วเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ทำเอาเรเชลได้แต่ยืนงงอยู่กับที่

              “ก็บอกให้เร็วๆไงเล่า มานี่” ลุคซ์วิ่งเข้ามาหาคว้าข้อมือของเรเชลได้ก็รีบดึงเธอให้วิ่งตามออกไปที่ปีกตึกฝั่งทิศตะวันตก

               “เดี๋ยวก่อน!! เจ้าไม่ได้ต้องวิ่งขึ้นไปคุ้มกันท่านลีนัสก่อนหรอกรึ!!” เรเชลนึกขึ้นได้ก็ดึงมือตัวเองกลับมา

                “ก็ท่านนั่นแหละ มัวแต่ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะขอรับ บอกให้หลบไปตั้งนานแล้ว” ลุคซ์ขึ้นเสียงกลับมา ทำเอาเรเชลเงียบไปครู่หนึ่ง

               “...เอ่อ ขอโทษ...จริงๆท่านดาวิสก็อยู่ด้วยคงไม่เป็นอะไรล่ะมั้ง” ลุคซ์ได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาก็หน้าซีดไปทันที “เป็นการ์เดี้ยนภาษาอะไรทำไมเกิดเรื่องแล้วไม่อยู่กับเจ้าเมือง” น้ำเสียงตำหนิของดาวิสดังก้องขึ้นมาในสมองเด็กหนุ่มพลัน

               “อ่า!!….ท่านอยู่ห่างๆผู้บุกรุกด้วยนะขอรับ ข้าต้องรีบไปหาท่านลีนัส” ลุคซ์คำรามออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะรีบวิ่งกลับไปที่ห้องโถง

               กลับมาที่ห้องโถงตอนนี้เพื่อทหารของเขาหลายคนนอนล้มบาดเจ็บอยู่ที่หน้าประตูเต็มไปหมด ผู้บุกรุกร่างสูงหนาผมยาวสีเทาผิวสีน้ำตาลแดงคาดด้วยรอยสักประหลาดๆตามตัวเดินก้าวขึ้นบันไดอย่างใจเย็น ผู้บุกรุกคนเดียวทหารแทบทั้งกองต้านเอาไว้ไม่อยู่ ลุคซ์เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้เม็ดเหงื่อเย็นๆไหลซึมออกมาจากหน้า

              “ลีนัส!!” ผู้บุกรุกตะโกนเรียกชื่อบุคคลที่เขาต้องการจะพบเสียงดังสนั่นไปทั้งห้องโถง ทำให้คนที่มีหน้าที่เป็นการ์เดี้ยนอย่างเขาต้องรีบก้าวเท้าออกไปหาทันที

           “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เจ้ามีธุระอะไรกับท่านเจ้าเมือง ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” เด็กหนุ่มไม่รู้เลยจริงๆว่าจะรับมือชายประหลาดผู้นี้ได้อย่างไร แต่เขาจะไม่ยอมที่จะปล่อยให้คนอันตรายผู้นี้เข้าไปหาเจ้าเมืองได้ง่ายๆโดยที่เขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจจะมองมาทางเขาเสียด้วยซ้ำ

            “ลุคซ์ ถอยไป” เสียงเจ้าเมืองตะโกนลงมาจากชั้นสองทำให้ผู้บุกรุกกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก นัยน์ตาสีเทาหันมาสบมองที่เด็กหนุ่มทันที เพียงแค่ถูกจ้องมองมาเด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ามือตัวเองเย็นเฉียบขึ้นมา

             “....เจ้านี่เอง” ผู้บุกรุกเอ่ยพึมพำขึ้นมาสั้นๆ แล้วอยู่ๆก็มีเปลวเพลิงสีน้ำเงินก็ลุกโชนออกมาล้อมรอบตัวเด็กหนุ่ม เพลิงสีน้ำเงินที่เจ้าตัวไม่เคยพบเคยเห็น เคยแต่ได้ยินที่ชาวบ้านเล่าขานให้ฟัง หรือคนๆนี้จะเป็นเด็กปีศาจที่เขาพูดถึงกัน ความร้อนระอุจากเปลวเพลิงรอบด้านทำให้ลุคซ์เริ่มรู้สึกมึนหัวแล้วสติก็หลุดหายไปทันที

              “หยุดเดี๋ยวนี้นะซีมัส!!” ลีนัสตะโกนลั่นลงมาด้วยเสียงดังกังวานไปทั้งห้องโถง เปลวเพลิงที่ลุกโชนเมื่อครู่ก็เบาลงไป ชายหนุ่มผู้บุกรุกหยุดยืนรอเจ้าของเสียงเผยตัวออกมาอย่างใจเย็น

              เมื่อลีนัสก้าวเท้าออกมายืนที่ระเบียงโถงชั้นบน ทอดสายตาลงมาที่น้องชายผู้ก่อเรื่อง น้องชายที่หนีหน้าเขามาตลอด จริงๆแล้วลีนัสก็แอบหวังอยู่นิดๆว่าการแต่งตั้งการ์เดี้ยนที่เขาเคยรับปากว่าจะให้กับซีมัสไว้นั้น จะทำให้ซีมัสยอมแสดงตัวออกมา แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ผลที่ออกมาแบบนี้

               “ดูสุขสบายดีนะท่านเจ้าเมือง” แววตาสีเทาอ่อนสบมองกลับมาอย่างท้าทาย เขาคงจะทำให้ซีมัสโกรธจริงๆ ซีมัสไม่เคยเรียกชื่อเขาห้วนๆแบบนั้นมาก่อน ทำเหมือนว่าเขาไม่ยอมรับการเป็นพี่ชายอีกต่อไปแล้ว

               “สามปีสองเดือน ยี่สิบเอ็ดวันที่เจ้าหนีหายไป……...นี่คือคำพูดของน้องที่เอ่ยทักพี่ชายน่ะหรือ ซีมัส” ลีนัสตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาอย่างน้อยใจนิดๆ

                “ถ้าพี่ชายที่โยนความขี้ขลาดให้น้องชายเพื่อจะได้ขึ้นตำแหน่งเจ้าเมืองอย่างราบรื่น ข้าไม่อยากจะนับเป็นพี่ชายหรอก” คำพูดของซีมัสเหมือนจะเหล็กแหลมคมทิ่มแทงลึกเข้ามาในใจของผู้เป็นพี่ ลีนัสรู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าเขาได้สร้างตราบาปให้ชาวบ้านว่าร้ายซีมัสเองกับมือ ยิ่งถูกตอกย้ำเช่นนั้นยิ่งรู้สึกเจ็บลึกเข้าไปข้างใน

             “..ซีมัส ข้าไม่ได้ต้องการให้มันลงเอยแบบนั้น แต่เจ้าจะเอาคนอื่นเข้ามาแบบนี้มันก็ไม่ถูกต้อง หยุดเถอะซีมัส”

             “มันไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้ท่านยอมลงมือฆ่าข้าเสีย”

            “เจ้าว่าไงนะ…”ลีนัสรู้สึกสมองชาไปชั่วขณะเมื่อรับรู้สิ่งที่ซีมัสต้องการ

              “ท่านริดรอนจุดยืนของข้าไปหมดแบบนี้ สู้ฆ่าข้าเสียยังจะดีกว่า ชีวิตของข้าอยู่ใต้ความรับผิดชอบของท่าน ฉะนั้นข้าจะอนุญาติให้ท่านเป็นคนลงมือคนเดียวเท่านั้นขอรับ”

             “ซีมัส...นี่เจ้า..”

             “ไม่งั้นข้าจะฆ่าการ์เดี้ยนที่ไม่ได้ความของท่านก่อน” ลีนัสตกอยู่ในสภาวะกดดันอย่างหนัก เมื่อเปลวเพลิงรอบๆร่างของลุคซ์ที่นอนหมดสติพุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้งและค่อยๆขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ
 
              “ซีมัส หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ลีนัสรีบกางเวทย์ป้องกันร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงนั้นทันที แต่ซีมัสก็ยิ่งทำให้เปลวเพลิงร้อนแรงขึ้นไปอีก จนลีนัสชักจะต้านเอาไว้ไม่ไหว

              “ข้าบอกให้ฆ่าข้าไงล่ะ ท่านพี่”

              “เจ้าจะให้ข้าทำแบบนั้นได้อย่างไร ถ้าเจ้าจะบังคับข้าแบบนี้…” ลีนัสวางมือลงบนราวระเบียง จ้องมองเขม็งไปที่แววตาสีเทาของอีกฝ่ายอย่างมุ่งมั่น

               “เจ้าก็ฆ่าข้าเสียเถอะ” เจ้าเมืองหนุ่มยันตัวกระโดดลงมาจากระเบียงห้องโถงสูง ที่เบื้องล่างเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงินที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างที่สัมผัสโดนทันที



End Act.7 Part 3/3 Decision
___________________________________________________________________________________________






ฮ้า.............สงสัยจะไม่มีคนอ่านจริงๆ  เลิกอัพละ งอน (ซึน)   :katai5:

หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:7 Decision 3/3) 18 Nov.2015
เริ่มหัวข้อโดย: plakz ที่ 20-11-2015 20:27:19
สนุกดีครับมาต่อไวๆนะอยากให้เพิ่มแฟนตาซีกว่านี้อีกอ่ะครับ เนื้อเรื่องเครียดไปนิดนึ่ง :katai5:
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:7 Decision 3/3) 18 Nov.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 23-11-2015 08:34:38
สนุกดีครับมาต่อไวๆนะอยากให้เพิ่มแฟนตาซีกว่านี้อีกอ่ะครับ เนื้อเรื่องเครียดไปนิดนึ่ง :katai5:

อ๋า ตามเข้ามาอ่านจริงๆด้วย ขอบคุณค่า 
ทำไงดี เนื้อเรื่องหลังจากนี้จะเครียดหนักขึ้นไปอีกแหละค่ะ 555 มันใกล้ไคล์แมกซ์แล้ว

(เครียดไม่เครียดคนเขียนนั่งวางแผนแก้ไปแก้มาเป็นหน้าๆเลย555)
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:8 Weakness 1/3) 22 Dec.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 22-12-2015 11:05:32
Act 8 : Weakness (1/3)


               กลางดึกสงัดท่ามกลางแมกไม้สูงใหญ่ มีเพียงเสียงแมลงแว่วเบาๆออกมาตามโพรงหญ้า เสียงฝีเท้าที่แหวกหญ้าของชายหนุ่มแว่วขึ้นมาจากเบื้องหลัง ทำให้ชายหนุ่มร่างหนาที่ยืนรออยู่หันกลับมามองที่ต้นเสียง เห็นเงาตะคุ่มของเด็กหนุ่มผมยาวเดินเข้ามาหาพร้อมเอ่ยบ่นอย่างไม่พอใจ

               “คิดว่าเป็นรองเจ้าเมืองแล้วนึกอยากจะเรียกใช้ใครตอนไหนก็ได้รึไง” น้ำเสียงยียวนของเด็กหนุ่มทำให้อีกฝ่ายต้องลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

               “...ก็มาไม่ใช่เหรอ” โดนย้อนกลับมาเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็มองหน้าคนพูดกลับไป พร้อมทั้งถอนหายใจยาวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

               “...มีอะไรก็ว่ามา”

              “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเรามีแขกมาจากบริงไฮด์”

             “อา...เรื่องนั้นพอจะรู้ แล้วยังไง” ซีมัสขมวดคิ้วถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย

             “พรุ่งนี้เจ้าช่วยมาทักทายแขกที ข้าคิดว่าองค์ชายคงอยากจะเจอเจ้า” ดาวิสพูดเหมือนเรื่องที่ขอเป็นเรื่องปกติเรื่องนึง ที่พี่ชายจะขอให้น้องชายออกมาเจอแขกที่มาเยี่ยมบ้าน

            “...ฮะ? พูดเรื่องไร้สาระอะไรของท่าน ข้าไม่ได้นับรวมกับมนุษย์นานมากแล้วนะ ลืมไปรึไง” คำสั่งรวบรัดง่ายๆของดาวิสทำให้คิ้วที่ขมวดกันเมื่อครู่ ยิ่งขมวดเข้าหากันเข้าไปอีก

            “ข้าก็ไม่เห็นว่าลีนัสเลิกนับเจ้าเป็นมนุษย์นะ ไม่งั้นจะเฝ้ากลับมาตามหาเจ้าหลายต่อหลายครั้งหรอกนะ เจ้านั่นแหละที่ไม่ยอมกลับไปเอง”

           “...........” ซีมัสไม่เถียงอะไรออกมา เขารู้ว่าตัวเขาเองเป็นคนที่เลี่ยงไม่เจอหน้าลีนัสเอง เขาหวังอยู่ลึกๆว่า วันเวลาจะช่วยให้เขาลืมความรู้สึกที่ไม่ได้รับการตอบรับของตนที่มีต่อพี่ชายของเขาไปได้บ้าง ถึงแม้ว่ามันจะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสความอบอุ่นและอ่อนโยนจากลีนัส แต่เขายังไม่อาจจะลืมความรู้สึกที่ได้รับนั้นไปได้

              “ซีมัส?” ดาวิสเรียกอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะจมเข้าไปในห้วงความคิดอะไรบางอย่างอยู่ ซีมัสจึงสะบัดหน้าไล่ความคิดนั้นออก แล้วรีบทำทีเป็นกลับเข้าเรื่อง

              “....แล้วยังไง จะให้ปีศาจอย่างข้าออกไปทักทายแขกในฐานะมนุษย์หรือปีศาจล่ะ” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันนิดๆ

             “ในฐานะอาวุธสงครามชิ้นนึง นั่นเป็นวัตถุประสงค์หลักขององค์ชายที่มาที่นี่” ซีมัสได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจหนักๆออกมาอีกครั้งพร้อมด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์   

             “...นอกจากข้าจะเป็นปีศาจแล้วยังจะให้ข้าเป็นอาวุธสงครามอีก นึกอยากจะใช้ข้าเป็นอะไรก็ใช้รึไงกัน“

              “เจ้าคิดว่าอยู่ๆข้าจะส่งอาวุธสงครามให้บริงไฮด์ไปใช้เล่นงั้นเหรอ อาวุธชิ้นแรกที่องค์ชายต้องการจะเอาไปน่ะ คือพี่ชายเจ้านะซีมัส ข้าให้เจ้าออกมาในฐานะอาวุธสงคราม เพื่อให้องค์ชายนำเจ้ากลับไปบริงไฮด์ด้วย”

             “เดี๋ยวก่อน ท่านพี่ตกลงจะไปบริงไฮด์หรือ” สิ่งที่ดาวิสเล่าให้ฟัง ทำให้ซีมัสเริ่มรู้สึกกังวลใจขึ้นมา

              “ไม่ ลีนัสไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แต่กังวลว่าจะต้องลงเอยแบบนั้น”

             “....จะเป็นไปได้ยังไง” 

             “ข้าก็ไม่รู้ แต่ลีนัสมาสั่งเสียกับข้าเมื่อครู่ข้าก็ยิ่งปล่อยผ่านไปไม่ได้ ก็เผื่อเอาไว้สำหรับสถาณการณ์เลวร้ายที่สุดแล้วกัน อย่างน้อยก็มีเจ้าที่ข้าพอจะไว้ใจได้อยู่ไม่ห่าง เจ้าน่าจะดีใจนะ ข้ากำลังขอให้เจ้ากลับมาในฐานะการ์เดี้ยนที่เหมาะสมกับเจ้าเมืองที่สุดอยู่ตอนนี้นะซีมัส” คำว่า”การ์เดี้ยนที่เหมาะสมที่สุด”ของดาวิส ทำให้ซีมัสหัวใจพองโตขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าหวังจะเป็นมาตลอด หากไม่เกิดเรื่องเมื่อสามปีก่อนขึ้น แต่ขณะเดียวกัน เขาก็พยายามจะลืมความหวังลมๆแล้งๆนี้ไปตลอดเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่นั้น
 
            “แล้วการ์เดี้ยนที่ท่านพี่เพิ่งจะแต่งตั้งไปล่ะ” ซีมัสเอ่ยอย่างน้อยใจอยู่นิดๆ ดาวิสคิดถึงการ์เดี้ยนคนปัจจุบันก็อดกรอกตามองไปทางอื่นอย่างหน่ายระอาขึ้นมาไม่ได้ ที่ลีนัสแต่งตั้งขึ้นมาเพียงเพราะว่า เป็นเด็กหนุ่มที่แกล้งแล้วสนุกดีเท่านั้นจริงๆ แต่ดาวิสไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

            “ลีนัสแค่แต่งตั้งขึ้นมาให้จบๆไปเท่านั้นแหละ….สถานการณ์ตอนนี้ ถ้าข้าให้การ์เดี้ยนไปด้วยได้ ข้าคงไปเองแล้วล่ะซีมัส ตอนนี้มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่เหมาะกับอาวุธสงครามอีกชิ้นที่องค์ชายต้องการ”

            “............” ท่าครุ่นคิดของเด็กหนุ่ม ทำให้รองเจ้าเมืองต้องพูดแทงใจอีกฝ่ายออกมา

            “แล้วก็เรื่องการ์เดี้ยนคนใหม่ ลีนัสคงคิดจะตัดใจเลิกตามหาเจ้าไปแล้วล่ะซีมัส เพราะเจ้ามัวแต่ทำตัวเป็นเด็กวัยต่อต้านผู้ใหญ่ไม่ยอมโตเสียทีไงล่ะ”

            “ว่าไงนะ ข้าไม่ใช่เด็กไม่ยอมโตนะ!!” ซีมัสเถียงกลับไปทันที ดาวิสก็กระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ยตอบไป

            “ถ้าโตแล้วก็ช่วยเข้าใจ แล้วพรุ่งนี้ก็ออกมารับบทอาวุธสงครามให้ข้าหน่อยแล้วกัน ข้าจะเตรียมคนไว้เล่นกับเจ้าส่วนนึง เพลาๆมือหน่อยล่ะ อย่าให้ช้ำมากนัก ข้ากลับไปดูแลเจ้าเมืองต่อล่ะ” ดาวิสเอ่ยสรุปและคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ทิ้งท้ายกวนประสาทอีกฝ่ายไปอย่างตั้งใจ ก่อนจะหลังหลังเดินจากไปอย่างใจเย็น

            “...!!” ซีมัสรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วตั้งแต่ถูกดาวิสเรียกออกมา การมีประสาทรับรู้ทั้งหูทั้งจมูกที่ดีกว่าคนทั่วไป ทำให้ซีมัสพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่ดาวิสจะออกมาหาเขา จากกลิ่นของพี่ชายตัวเองที่เขาสัมผัสได้ เขาคิดว่าลีนัสออกมาด้วยกันเสียด้วยซ้ำไป ยิ่งถูกตอกย้ำเช่นนั้นก็ยิ่งเจ็บใจ

           “ข้ายังไม่ได้บอกตกลงเล่นด้วยกับท่านเสียหน่อย!!” ซีมัสตะโกนไล่หลังดาวิสไปอย่างไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะช่วยพี่ชายตัวเอง แต่เพราะรู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายที่ได้ทุกอย่างตามที่เขาต้องการทั้งหมด

             “ซีมัส…” ดาวิสหยุดหันกลับมาเอ่ยกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง

             “ข้าก็ไม่รู้จะเสียเวลาฝึกสอนเจ้ามาขนาดนี้ทำไม ถ้าจะทิ้งให้เจ้าทำตัวไร้ประโยชน์อยู่ในป่าในดงแบบนี้  รึเจ้าไม่ได้คิดอย่างที่ข้าคิด ข้ารู้ว่าเจ้าโตพอจะแยกแยะได้นะ”







   ซีมัสไม่เข้าใจคำว่าเตรียมคนไว้เล่นด้วยของดาวิสเลยสักนิด เขาไม่เห็นว่าดาวิสจะต้องเตรียมอะไรเลย แค่เขาโผล่เข้ามาในร่างกึ่งภูติก็สร้างความโกลาหลได้มากพอแล้ว หน้าตาแตกตื่นตกใจของทหารที่เฝ้าบริเวณที่ว่าการฯทุกคนไม่ได้เสแสร้ง ทุกคนมองเขาเป็นปีศาจที่อันตรายตัวหนึ่งอย่างไม่มีข้อกังขา

   แววตาหลายต่อหลายคู่ที่มองเขามาด้วยความหวาดกลัวและความแค้นเคือง ยิ่งตอกย้ำการไม่มีจุดยืนในพื้นที่ของมนุษย์ของตัวเองอย่างชัดเจน ซีมัสรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นทุกขณะที่ได้เห็นทุกคู่สายตาที่มองปีศาจอย่างเขา

             ทุกคนที่เข้ามา มีหน้าทีกำจัดเขาก่อนที่จะเขาไปถึงที่ว่าการฯได้สำเร็จ แต่ไม่มีใครเอะใจเลยสักนิด ว่าเขาไม่ได้เริ่มทำร้ายใครก่อนเลยถ้าไม่จำเป็น และถึงจำเป็นก็ไม่ได้สร้างความบาดเจ็บที่ร้ายแรงเลยสักนิด

             ทั้งความน้อยใจความโกรธแค้น ถาโถมเข้ามาจุกอยู่ในอกของเด็กหนุ่มที่ไม่มีใครต้อนรับ ทันทีที่เดินเข้ามาถึงห้องโถงกลางของที่ว่าการฯ ซีมัสก็ตะโกนเรียกชื่อของผู้ที่เป็นต้นเหตุของทุกอย่างที่เขาต้องเจอวันนี้อย่างอัดอั้น

              “ลีนัส!!” เสียงกังวาลสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ การที่ได้ตะโกนออกมาแบบนี้สักครั้งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย

              “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เจ้ามีธุระอะไรกับท่านเจ้าเมือง ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” ซีมัสหันกลับไปมองที่ต้นเสียง เห็นเด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งพยายามตะเบ็งเสียงดังทำตัวให้ดูน่ากลัว ภาพที่เขาเห็นเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆที่เห่าเสียงดังแต่หางลู่จุกตูดอยู่ตัวหนึ่ง

               “ลุคซ์ ถอยไป” เสียงลีนัสตะโกนบอกมาจากชั้นบนทำให้ซีมัสรู้ว่าเด็กคนนี้คือการ์เดี้ยนคนใหม่ที่ถูกพูดถึงนั่นเอง

               “....เจ้านี่เอง” ซีมัสพิจารณาเด็กหนุ่มที่ดูหน่วยก้านไม่ได้เหมาะสมกับการเป็นทหารสักเท่าไหร่นัก พอคิดว่าตำแหน่งที่มันควรจะเป็นของเขา โดนเด็กไม่เอาไหนคนนี้แย่งไปแล้วแค้นใจนัก หนำซ้ำลีนัสยังจะมาทำตัวเป็นห่วงเป็นใยปกป้องการ์เดี้ยนตัวเองอีก ด้วยความโกรธแค้นจึงอยากจะสั่งสอนเด็กใหม่ให้รู้จักรุ่นพี่เสียบ้าง จึงเรียกเพลิงสีน้ำเงินออกมาล้อมรอบตัวเด็กหนุ่ม ไม่นานนักความร้อนระอุก็ทำให้เด็กหนุ่มหมดสติไป

               “อ่อนแอเป็นบ้าเลย” ซีมัสพึมพำออกมาเบาๆ ยิ่งคิดถึงสิ่งคำพูดของดาวิสที่ว่าเขาทำตัวเป็นเด็กไม่ยอมโต แล้วมาเจอการ์เดี้ยนที่ดูไม่ประสีประสาคนนี้มาแทนที่เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดหนัก

               “หยุดเดี๋ยวนี้นะซีมัส!!” เสียงลีนัสตะโกนลงมาเขาจึงยอมลดความแรงของเวทย์ลง ยังไงเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใครอยู่แล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมองข้างบนก็พบกับใบหน้าของคนที่เขาอยากจะเจอมากที่สุด แต่ก็กลัวที่จะเจอมากที่สุดเช่นกัน

               “ดูสุขสบายดีนะท่านเจ้าเมือง” ซีมัสเอ่ยประชดประชันออกมา หลังจากที่ต้องฟันฝ่าทหารที่ปกป้องลีนัสที่แสนจะเกลียดชังเขาหลายสิบคนเข้ามา

              “สามปีสองเดือน ยี่สิบเอ็ดวันที่เจ้าหนีหายไป……...นี่คือคำพูดของน้องที่เอ่ยทักพี่ชายน่ะหรือ ซีมัส” น้ำเสียงที่น้อยอกน้อยใจของพี่ชายทำให้ซีมัสหวั่นใจอยู่ไม่น้อย แต่เขายังมีเรื่องที่อยากจะกล่าวโทษลีนัสอยู่ ที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

               “ถ้าพี่ชายที่โยนความขี้ขลาดให้น้องชายเพื่อจะได้ขึ้นตำแหน่งเจ้าเมืองอย่างราบรื่น ข้าไม่อยากจะนับเป็นพี่ชายหรอก”

              “..ซีมัส ข้าไม่ได้ต้องการให้มันลงเอยแบบนั้น แต่เจ้าจะเอาคนอื่นเข้ามาแบบนี้มันก็ไม่ถูกต้อง หยุดเถอะซีมัส” ซีมัสเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันลงเอยแบบนี้เหมือนกัน แต่ทุกคู่สายตาของเหล่าทหารที่นอนบาดเจ็บอยู่รอบๆมองมาด้วยความหวาดกลัวนั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้สวมบทตัวร้ายไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ จึงได้ตัดสินใจเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาหวังจะวัดใจผู้เป็นพี่

               “อยากให้ข้าหยุดก็ฆ่าข้าเถอะ”

                “เจ้าว่าไงนะ…” เห็นใบหน้าที่ถอดสีของพี่ชายทำให้ซีมัสรู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดๆ และรู้สึกอยากจะเรียกร้องทำตัวเอาแต่ใจเพิ่มมากขึ้นอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่

               “ท่านริดรอนจุดยืนของข้าไปหมดแบบนี้ สู้ฆ่าข้าเสียยังจะดีกว่า ชีวิตของข้าอยู่ใต้ความรับผิดชอบของท่าน ฉะนั้นข้าจะอนุญาติให้ท่านเป็นคนลงมือคนเดียวเท่านั้น” ถึงจะเป็นเพียงอารมณ์ที่ต้องการเรียกร้องความสนใจ หากคนๆเดียวที่ยังเปิดพื้นที่ยอมรับในตัวเขาอยู่ตัดสินใจลงมือฆ่าเขาขึ้นมาจริงๆ ซีมัสก็คิดว่าสมควรที่เขาจะจากโลกนี้ไปจริงๆอย่างที่ขู่เอาไว้

                “ซีมัส...นี่เจ้า..” ท่าทางอึดอัดลังเลใจของลีนัสทำให้ผู้เป็นน้องตัดสินใจบีบครั้นด้วยการร่ายเปลวเพลิงให้แรงขึ้น

                 “ไม่งั้นข้าจะฆ่าการ์เดี้ยนที่ไม่ได้ความของท่านก่อน”
 
                “ซีมัส หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ลีนัสรีบกางเวทย์ป้องกันการ์เดี้ยนหนุ่มที่ไม่ได้เรื่องตรงหน้า

               “ข้าบอกให้ฆ่าข้าไงล่ะ ท่านพี่” ซีมัสที่ถูกอารมณ์ทั้งโกรธทั้งน้อยใจพัดพาตอนนี้ รู้สึกไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆจึงตะโกนกลับไปให้ลีนัสเลือกอีกครั้ง


              “เจ้าจะให้ข้าทำแบบนั้นได้อย่างไร ถ้าเจ้าจะบังคับข้าแบบนี้…เจ้าก็ฆ่าข้าเสียเถอะ” ซีมัสไม่คิดว่าความงี่เง่าของตัวเองจะลงเอยด้วยการที่เห็นร่างของคนรักร่วงลงมาจากชั้นบน

             “ลีนัส!!!” ดาวิสรีบวิ่งเข้าไปเพื่อจะคว้าร่างที่กระโดดลงไปโดยไม่บอกไม่กล่าว แต่ก็คว้าเอาไว้ไม่ทัน ร่างบางทิ้งดิ่งลงมากลางเปลวเพลิงสีน้ำเงินเบื้องล่าง แต่พลันเปลวเพลิงก็ดับวูบหายไปจนหมดสิ้น ซีมัสที่ยืนอยู่บนบันไดรีบถลาตัวเข้ามารับร่างที่ทิ้งดิ่งลงมาทันที

   เมื่อมือแกร่งคว้าร่างที่ร่วงลงมาไว้ได้ ซีมัสก็รีบดึงร่างบางเข้ามากอดไว้แน่น เอาท่อนแขนตัวเองบังศีรษะอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะล้มลงเอาไหล่ตัวเองลงกระแทกกับพื้น

   “อ่า….” ร่างหนากัดฟันคำรามเสียงต่ำออกมาเบาๆเพราะรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวไหล่ แต่พอรู้สึกว่าร่างที่เขากอดเอาไว้นั้นยังอนอนนิ่งอยู่ เขาก็รีบคลายมือออกแล้วยันร่างลุกขึ้นนั่ง

   “ท่านพี่...” ซีมัสเรียกผู้ที่นอนหมดสติอยู่เบาๆน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความกังวลใจ รอยสักตามร่างของเจ้าตัวค่อยๆจางหาย สีผิวกลับมาเป็นสีปกติ เขายาวกลางหน้าผากก็สลายหายไป กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มร่างหนาธรรมดาคนหนึ่ง

เสียงฝีเท้าของทั้งดาวิสและองค์ชายเฟริครีบวิ่งลงบันไดมาหาด้วยสีหน้าตื่นๆ ดาวิสเห็นร่างบางที่นอนแน่นิ่งที่พื้นก็แทบจะลืมหายใจไปในทันที

              อยู่ๆร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นก็ค่อยลุกขึ้นมานั่ง แววตาสีเพลิงจ้องเขม็งไปยังหน้าของน้องชายอย่างโกรธเคือง แล้วยกมือขึ้นมาตบหน้าของน้องชายตัวเองอย่างแรง เสียงตบดังก้องไปทั้งโถงกว้างที่เงียบกริบอยู่ ณ ตอนนี้

              “ถ้าจะให้ข้ารับผิดชอบชีวิตเจ้าน่ะ ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าตายเจ้าห้ามตาย เข้าใจไหม!!” ลีนัสตวาดใส่น้องชายอย่างโมโหจนใบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า

             “...ท่านพี่” ซีมัสรู้สึกเหมือนสติของตนได้กลับมาอย่างสมบูรณ์ หลังจากเสียงตบหน้าที่ดังสนั่นโถงเมื่อครู่

             “คำตอบล่ะ!!”

             “เข้าใจ..ขอรับ” ซีมัสที่ไม่เคยเห็นพี่ชายตัวเองโกรธขนาดนี้มาก่อน ถึงกับทำตัวไม่ถูก ตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจนัก ไม่ได้มีแต่ซีมัสคนเดียวที่ประหลาดใจกับเจ้าเมืองหนุ่มผู้อ่อนโยนแสนใจดี ที่ตอนนี้เปลี่ยนไปราวคนละคน ทั้งดาวิสและเรเชลเองก็ยืนตะลึงงันอยู่ไม่แพ้กัน

               ท่าทางที่ตอบรับอย่างว่าง่ายของน้องชายทำให้ลีนัสอารมณ์เย็นลง ร่างบางๆที่สั่นเทิ้มจากการหายใจหนักๆด้วยความโกรธเคืองค่อยๆนิ่งสงบลง เขาหลับตาลงหายใจเข้าออกลึกๆช้าๆสองสามทีก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆอีกครั้ง

              “เอาแขนมาดูสิ” หลังจากปรับอารมณ์ตัวเองกลับมาได้ ลีนัสก็ดึงแขนของน้องชายเข้ามาดูไหล่ข้างที่ลงไปกระแทกกับพื้นเมื่อครู่ มือเรียวลูบผ่านรอยช้ำเบาๆเพื่อรักษา

              “.....” ลีนัสที่กลับมาเป็นพี่ชายผู้ใจดีเหมือนปกติ ทำให้ซีมัสปรับอารมณ์ตามไม่ถูก เขายอมปล่อยให้พี่ชายรักษารอยช้ำให้อย่างเกร็งๆ

              “อย่าทำแบบนี้อีกนะ” ลีนัสกำชับขึ้นมาอีกครั้งต้องน้ำเสียงต่ำราบเรียบ เมื่อซีมัสหันไปมองที่ต้นเสียงก็เห็นสีหน้านิ่งเรียบของใบหน้าหวานที่อยู่ห่างกันเพียงคืบเดียว ทำให้หัวใจของเจ้าตัวเต้นรัวขึ้นมา จึงรีบหลบสายตากลับไป

             “...ขอรับ” ซีมัสตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

            “ท่านลีนัส…” ดาวิสที่เดินลงมาเอ่ยเรียกเจ้าตัวเบาๆ ทำให้ลีนัสปล่อยท่อนแขนหนาของน้องชายออกไปหันมองดูสภาพรอบๆแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

           “เจ้าอยู่ตรงนี้นะ” ลีนัสหันมากำชับซีมัสก่อนจะหลับตาลง วางมือทั้งสองข้างประกบกันลงบนพื้น แล้วตราเวทย์วงกลมสีเขียวก็ปรากฏขึ้นที่พื้นห้อง เส้นสีเขียวกระจายตัวออกมาจากวงเวทย์นั้นทอดยาวออกไปเหมือนเถาวัลย์ที่เลื้อยไปตามพื้นห้อง

             จุดแรกที่รอยเวทย์สีเขียวขยับไปถึงคือการ์เดี้ยนหนุ่มที่นอนสลบเหมือดอยู่ แสงสว่างสีเขียวอ่อนสว่างวาบขึ้นมารอบๆร่างของเด็กหนุ่ม แล้วเส้นสีเขียวนั้นก็เลื้อยไปต่อ ผ่านปลายเท้าขององค์ชายที่ยืนมองอยู่ความสนอกสนใจ ผ่านไปหาร่างทหารคนอื่นที่นอนเจ็บอยู่และก็มีแสงสีเขียวอ่อนสว่างวาบขึ้นมาเหมือนเดิม ไม่นานนักผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็มีแรงลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง เฟริคเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มกริ่มออกมาอย่างถูกใจ เขารู้สึกดีใจจริงๆที่ได้มาเวลเฮมมิน่าในครั้งนี้

              “ซีมัส ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ” ลีนัสหันมากำชับน้องชายที่หนีหายไป3ปีอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทำหน้าที่เจ้าเมืองที่ได้ทำค้างไว้ต่อ

               “ขออภัยด้วยองค์ชาย ที่ทำให้ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ลีนัสเดินไปโน้มตัวลงขอโทษแขกผู้สูงศักดิ์ของตน

                “หากมีผู้ติดตามที่ได้รับบาดเจ็บหรือข้าวของที่เสียหายขอให้บอกข้าได้ทันทีขอรับ” ดาวิสเดินมายืนข้างๆแล้วเสนอตัวออกมา เขารู้สึกไม่ไว้วางใจที่จะปล่อยให้เฟริคเข้าใกล้ลีนัส ถึงแม้จะยังอยู่ในสายตาของเขาเองก็ตาม เฟริคเห็นเช่นนั้นก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

               “วันนี้ดูท่านรองจะเป็นห่วงท่านเจ้าเมืองเป็นพิเศษนะ เป็นผลจากการปรึกษางานของพวกท่านเมื่อคืนนี้รึเปล่านะ ข้าชักจะสงสัย” คำพูดแฝงนัยขององค์ชายทำให้ลีนัสหน้าแดงขึ้นมานิดๆ

               “ต้องขออภัยด้วยถ้าการปรึกษางานของข้าจะไปรบกวนการพักผ่อนของท่าน” ดาวิสยิ้มมุมปากเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมองว่าอย่างไร

              “ข้าก็แค่บังเอิญเห็นว่าท่านเจ้าเมืองออกมาจากห้องท่านเมื่อเช้าเท่านั้นเอง ห้องข้าห่างไปตั้งสองห้องจะไปรบกวนได้ยังไงกัน พวกท่านปรึกษากันเสียงดังขนาดนั้นเลยเหรอ” คำตอบของเฟริคทำให้ซีมัสที่ยืนอยู่เบื้องหลังชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ส่วนเรเชลที่เข้ามาดูแลคนเจ็บตรงนั้นก็ต้องหันมามองที่วงสนทนาด้วยความสงสัย

               ลีนัสรู้สึกว่าเฟริคเพียงแค่แกล้งเดาถามไปกว้างๆ แต่เจอคนขี้อวดอย่างดาวิสเข้าไป ยิ่งถูกพาไปตามที่เฟริคต้องการ มือเรียวกระตุกชายแขนเสื้อดาวิสเพื่อรั้งเอาไว้เบาๆ

             “ท่านเฟริค ถ้าไม่มีปัญหาอะไร…” ลีนัสเอ่ยตัดบทขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยจบดี เฟริคก็เอ่ยแทรกกลับขึ้นมาเสียก่อน

             “ว่าแต่นั่นคือลูกครึ่งภูติที่ชาวบ้านพูดถึงกันนะเหรอ” สีหน้าของเจ้าที่แสนใจดีก็ดูเย็นชาขึ้นมาทันที

              “ท่านพูดเรื่องอะไรขอรับ”

              “ข้าบังเอิญได้ยินเข้าน่ะ ว่าท่านเจ้าเมืองเลี้ยงเอาไว้ ไม่คิดว่าจะเลี้ยงไว้ได้เชื่องขนาดนี้เลยจริงๆ” เฟริคแสร้งทำเป็นไม่สนใจทีท่าที่ไม่ต้องการจะพูดถึงของลีนัส ทางด้านซีมัสที่ถูกกล่าวถึงก็เดินก้าวเท้าเข้ามาหาเฟริค ยืนหรี่ตามองสบตากลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ในระยะประชิด

              “ท่านพี่ ถ้าแขกของท่านไม่ยอมกลับไปดีๆ จะให้ข้าฝั่งไว้ที่นี่ไหมขอรับ” ซีมัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตายังไม่ยอมละออกไปจากเฟริค ทว่าอีกฝ่ายกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

               “ฮะๆ ข้าเชื่อแล้วว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ ขู่เก่งเหมือนกันทั้งคู่” ท่าทางดูไม่ทุกข์ร้อนของเฟริคทำให้ซีมัสรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม ลีนัสจึงต้องจับต้นแขนของน้องชายเอาไว้ เพื่อเตือนว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามออกไป

               “ขออภัยที่น้องชายของข้าเสียมารยาท ยังไงขอให้ท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพขอรับ” ลีนัสพยายามจะตัดบทสนทนาให้จบลงอีกครั้ง พร้อมยื่นมือออกไปจะจับมือของเฟริคเพื่อร่ำลา แต่เมื่อเฟริคยื่นมือจะจับกลับไป ดาวิสก็เข้ามาขวางเสียก่อน

               “ขอให้เดินทางปลอดภัยขอรับองค์ชาย” ดาวิสเอ่ยร่ำลาด้วยสีหน้าปกติ เหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดปกติออกไป

                “ช่างระมัดระวังเหลือเกินนะท่านรอง” เฟริคเอ่ยประชดประชันหน้าเป็นกลับไป แล้วหันไปทางซีมัสที่ทำหน้าเหมือนพร้อมจะเอาเรื่องเขาได้ทุกเมื่อ แต่เฟริคกลับคลี่ยิ้มยียวนกวนประสาทกลับไปได้อย่างไม่สะทกสะท้านอะไร

                “เจ้าคือซีมัสสินะ ไหนๆก็ไหนๆ ยินดีที่ได้รู้จัก สนใจจะไปทำงานที่บริงไฮด์กับข้าไหม ข้ายินดีจ้างเจ้าในราคาสูงทีเดียว” เฟริคยื่นมือไปทำความรู้จักซีมัสพร้อมยื่นข้อเสนอออกมาหน้าตาเฉย

               “ท่านเฟริค ข้าไม่อนุญาตให้น้องชายข้าไปไหนทั้งสิ้น เชิญกลับไปได้แล้วขอรับ” ลีนัสเดินเข้ามาขวางพร้อมยกมือผลักมือของเฟริคกลับออกไป จังหวะนั้นเองที่เฟริคกระตุกยิ้มขึ้นมาพร้อมคว้าข้อมือบางของลีนัสเข้าหาตัว ร่างบางถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเฟริคทันที พลันมืออีกข้างที่ว่างอยู่ของเฟริคก็หยิบเข็มฉีดยาเล็กๆที่เหน็บแอบไว้ที่เอวขึ้นมา ปักปลายเข็มลงที่คอของลีนัสอย่างรวดเร็ว

              “ข้าถามใหม่อีกทีแล้วกันซีมัส เจ้าจะไปทำงานกับข้า แลกกับยาแก้พิษให้พี่ชายเจ้าไหม” เฟริคก้าวถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ปล่อยให้ร่างเล็กๆของเจ้าเมืองทรุดร่วงลงไปนั่งกับพื้นทันที ดาวิสก็รีบเข้าไปรับร่างอันปวกเปียกนั้นทันที

               “ทำอะไรของเจ้าน่ะ!?” ซีมัสนั้นพุ่งตัวเข้าไปจับตัวเฟริคไว้ทันที พร้อมทั้งชักดาบของอีกฝ่ายขึ้นมาจ่อที่คอ บรรดาผู้ติดตามองค์ชายต่างก็กรูกันเข้ามาล้อมรอบซีมัสในทันที เช่นเดียวกันกับทหารที่ดูแลที่ว่าการฯ หลังจากที่ได้รับการรักษาและเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็รีบลุกขึ้นยืนตั้งท่าเตรียมรับมือกับความอลม่านที่กำลังจะเกิดขึ้น เฟริคกลับยกมือขึ้นห้ามทหารฝ่ายตัวเองเอาไว้อย่างใจเย็น

               “ลีนัส…..” ดาวิสที่ประครองศีรษะของคนรักเอาไว้อย่างระมัดระวัง มือหนากุมมืออันเย็นเฉียบของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ก้มมองดูใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความทรมานจากพิษร้ายเมื่อครู่ด้วยความเจ็บปวดใจ

              “...ท่านดาวิส...ข้าขอโทษ..” ลีนัสพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดที่กระจายวงกว้างจากต้นคอไปทั้งร่าง ทั้งๆที่เมื่อครู่ดาวิสพยายามปกป้องเขาขนาดนั้น เขากลับโดนเฟริคหลอกล่อเอาเสียง่ายๆเช่นนั้น

              “… ไม่เป็นไรลีนัส เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด” ดาวิสลูบผิวแก้มอันเย็นเฉียบของลีนัสเบาๆ หวังอยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดมาจากอีกฝ่ายบ้าง

             “ท่านลีนัส!!” เรเชลรีบวิ่งเข้ามาหาลีนัสเพื่อจะดูอาการ แต่อยู่ๆก็มีภูติในชุดเกราะร่างสูงใหญ่กระโดดลงมาขวางไว้

              “เรเชลอย่าเข้ามา เจ้าแก้พิษจากศาสตร์มืดของพ่อมดไม่ได้…” ลีนัสแค่นเสียงเอ่ยห้ามผู้ช่วยสาวของตนเอาไว้

              “โฮ่ ขนาดนี้ยังเรียกภูติออกมาได้อีก ไม่ธรรมดาจริงๆท่านเจ้าเมือง” เฟริคเอ่ยชมลีนัสอย่างไม่สนใจว่ามีคมดาบของตัวเองจ่ออยู่ที่คอ

               “เอายาแก้พิษออกมาเดี๋ยวนี้!!” ซีมัสตวาดออกคำสั่งใส่แขกผู้สูงส่งอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร

              “โทษที ข้าไม่ได้พกมาด้วย แน่นอนว่าข้าก็ยินดีจะรักษาให้ทันทีที่ท่านเจ้าเมืองเดินทางถึงบริงไฮด์ แต่ระหว่างนี้ ข้ามีแค่ยานอนหลับเท่านั้น” เฟริคหยิบเข็มฉีดยาอีกกระบอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

              “เจ้ายังจะให้ข้าฉีดยาบ้าๆนั่นใส่ท่านพี่อีกหรือ!!” ซีมัสกัดฟันแน่นอย่างโกรธแค้น มือขยับคมดาบเข้ามาใกล้คอของเฟริค จนคมดาบบาดผิวคออีกฝ่ายเป็นรอยบางๆ

               “ว่าไงท่านรองเจ้าเมือง ข้าไม่ได้อยากจะให้อาวุธสงครามของข้าตายไปอย่างนั้นหรอกนะ ท่านก็น่าจะรู้ดี” เฟริคเหลือบสายตาลงมาถามดาวิสที่นั่งประครองลีนัสอยู่กับพื้น เมื่อดาวิสเงยหน้าขึ้นสบตาเฟริคก็สะบัดข้อมือโยนเข็มฉีดยากระบอกเล็กในมือลงมาให้ มือหนายกขึ้นมารับไว้ในทันที

              “ข้าสัญญาว่าจะตามไปรับเจ้ากลับมานะลีนัส” ดาวิสกระซิบบอกร่างที่นอนพิงตัวเองอยู่ก่อนจะดึงฝาเข็มฉีดยานั้นออกมาแล้วปักเข็มลงไปที่ต้นคอของลีนัส







............ทำไมต้องเกินด้วยนะ จะเอาให้ครบฉากซะหน่อยก็ไม่ได้  :ling1:

           
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:8 Weakness 2/3) 24 Dec.2015
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 24-12-2015 15:28:51
   8. Weakness (2/3)


         

            มือเย็นๆที่จับมือหนาเอาไว้แน่นเมื่อครู่ค่อยๆผ่อนแรงลง แล้วปล่อยมือตกลงไปกองกับพื้น คิ้วที่ขมวดแน่นก็คลายออกแล้วหนังตาก็ค่อยๆปิดลง ร่างที่ขยับไหวจากการหายใจหอบก็นิ่งสงบไป ระดับการหายใจก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

              “ยานี้ช่วยให้อยู่ในสภาพนี้ได้แค่ครึ่งวัน ถ้ายังไม่ปล่อยข้ากลับไปบริงไฮด์ตอนนี้ ข้าไม่รับประกันชีวิตของท่านเจ้าเมืองหรอกนะ” เฟริคอธิบายน้ำเสียงสบายใจ

               “เจ้าคิดจะจะหลอกอะไรข้าอีก!!” ซีมัสยังคงถือดาบจ่อคออีกฝ่ายไว้มั่น ทำให้เฟริคกรอกตามองขึ้นข้างบนด้วยความเหนื่อยระอา

              “ให้ตายเหอะ ข้าหลอกอะไรเจ้าบ้างรึยัง นี่ข้ายังไม่ได้พูดโกหกเลยสักอย่างนะ ไม่ว่าจะเป็นจุดประสงค์หลักของข้า ฤทธิ์ยา เรื่องที่ข้าจะจ้างเจ้าข้าก็พูดจริง แค่ไม่เข้าหูเจ้าเท่านั้นเอง”

             “......” ซีมัสนิ่งคิดไปพลางหันไปสบตามองที่ดาวิสครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เด็กหนุ่มยอมคลายคมดาบออกจากต้นคอองค์ชายแล้วเสียบคืนกลับเข้าฝักไปอย่างรวดเร็ว

             “ก็แค่ไปบริงไฮด์ใช่ไหม รีบไปจะได้รีบกลับ” ซีมัสบ่นอย่างหงุดหงิดพลางเดินไปอุ้มลีนัสที่นอนนิ่งขึ้นมาจากดาวิส

             “ดี ข้าชอบคนเข้าใจอะไรง่ายๆ คาวิว พาแขกไปที่รถสิ” เฟริคออกคำสั่ง บรรดาผู้ติดตามต่างก็เก็บอาวุธตัวเองกลับลงไป ในขณะที่ทหารของเวลเฮมมิน่ายังคงยืนเตรียมพร้อมรอรับคำสั่งจากดาวิสอยู่

              “ข้าสัญญาว่าจะใช้งานอย่างทนุถนอมนะท่านรอง เรียบร้อยแล้วจะพามาคืนอย่างแน่นอน” เฟริคตั้งใจเอ่ยอย่างมีนัยยั่วให้อีกฝ่ายโกรธก่อนจะเดินหายตามซีมัสที่อุ้มลีนัสจากออกไป

               “ท่านดาวิส ?” ลุกซ์ที่ตอนนี้ฟื้นกลับขึ้นมาได้สักพักแล้ว หันมาเอ่ยถามหัวหน้าตัวเองอีกครั้งด้วยความข้องใจ ดาวิสไม่คาดคิดเลยจริงๆว่าเขาจะกลายเป็นคนที่อนุญาตให้เฟริคพาลีนัสไปที่บริงไฮด์เสียเอง









              เฟริคที่นั่งเอินร่างพิงหน้าต่างรถม้าที่กำลังเคลื่อนไปตามทาง ทอดสายตามองไปยังแขกคนพิเศษของเขาทั้งสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยซีมัสนั่งชิดริมหน้าต่างวางศีรษะของพี่ชายนอนหนุนที่ตักตัวเอง แววตาสีฟ้าใสทอดมองใบหน้าหวานที่นอนหลับอย่างสงบนิ่ง เฝ้ามองกระบังลมที่ขยับน้อยๆจากการหายใจอย่างเป็นปกติไม่ยอมละสายตาออกมา

              “เจ้านี่ ท่าจะรักพี่ชายเจ้าน่าดู” เมื่อถูกเอ่ยทักขึ้นมา ซีมัสก็เงยหน้าขึ้นมองผู้พูดด้วยแววตาที่ไม่สบอารมณ์ แล้วก็เบือนหน้ามองออกไปที่นอกหน้าต่างแทน

             “ถ้ารักกันขนาดนี้แล้วจะหนีหายออกไปทำไมตั้งสามปีกว่า” เฟริคยิงคำถามต่อไป แต่ซีมัสยังคงนิ่งอยู่เหมือนไม่ได้ฟัง

              “ให้ข้าเดาเจ้าคงจะรับความสัมพันธ์ของพี่ชายเจ้ากับรองเจ้าเมืองไม่ได้สินะ” เจอคำถามนี้เข้าไปทำให้หัวคิ้วของซีมัสขยับเข้าหากัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบที่เฟริคต้องการ

               “ไหนๆเจ้าก็จะทำงานให้ข้าแล้วจะไม่ทำความรู้จักกันเสียหน่อยเหรอ” เฟริคยังไม่ละความพยายามที่จะเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย ซีมัสเริ่มทนไม่ไหวก็ถอนหายใจออกมา

              “ข้อแรกข้าไม่ทำงานให้เจ้า ทันทีที่เจ้าถอนพิษพี่ชายข้า ข้าก็จะพากลับ ข้อที่สอง ข้ารู้จักท่านดีพอแล้ว จากคำนินทาของผู้ติดตามของเจ้าจากรถคันข้างหน้า เจ้าชายแกะดำสินะ คิดว่าการเอาชนะกรีฟิทจะทำให้ชื่อแกะดำนั้นหายไปได้น่ะเหรอ” คำตอบของซีมัสสร้างความประหลาดใจให้กับเฟริคเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้แปลกใจถ้าผู้ติดตามของเขาจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้ยินทุกอย่าง พอได้รู้ความสามารถนี้ของซีมัสเฟริคก็ยิ้มกริ่มที่มุมปากขึ้นมา

              “ในที่สุดก็ยอมปริปาก ไม่ธรรมดาจริงๆ งั้นข้าบอกเป็นข้อบ้างนะ ข้อแรก ถ้าเจ้าไม่ต้องคิดเลยว่าข้าจะยอมปล่อยพวกเจ้ากลับไปง่ายๆตราบใดที่ยังทำงานให้ข้าไม่เสร็จ ข้อที่สองข้าไม่ได้ต้องการจะลบชื่อแกะดำของข้าออก ข้าจะเป็นแกะดำที่ทุกคนต้องจดจำต่างหาก ว่าแต่เจ้าเถอะ พยายามจะลบภาพลักษณ์การเป็นปีศาจของเจ้าออกไปอยู่รึเปล่าล่ะ” เฟริคถามกลับไปโดยที่ไม่ละสายตาออกจากคู่สนทนาแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาสามารถดึงความสนใจของซีมัสมาได้สำเร็จแล้ว

               “ข้าว่าเรามีอะไรที่เหมือนกันนะซีมัส ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการของสังคมเท่าไหร่ เราน่าจะเข้ากันได้ดีนะ”

               “อย่าเอาข้าไปเทียบกับคนอย่างเจ้า ข้าไม่มีวันทำเรื่องต่ำๆแบบนี้เหมือนเจ้าเป็นอันขาด” ซีมัสสบตามองเฟริคกลับไปด้วยความเกลียดชัง

               “....เจ้าพูดแบบนี้ข้าก็เจ็บเป็นเหมือนกันนะ” เฟริคยกมือขึ้นกุมอกแกล้งทำสีหน้าเจ็บปวด แล้วพูดติดตลกกลับมา ยียวนทำให้ซีมัสรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ถ้าไม่ติดปัญหาอะไรเขาอยากจะเผาคนตรงหน้านี้ให้แหลกสลายไปเสียเดี๋ยวนี้







                 เมื่อเดินทางเข้าสู่เขตราชวังของเมืองบริงไฮด์อันยิ่งใหญ่ ซีมัสก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่เคยเห็นสถาปัตยกรรมที่ไหนที่สร้างออกมาได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่เคยเห็นเมืองใหญ่ๆและจำนวนประชากรที่มากมายขนาดนี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาชื่นชมเรื่องพรรค์นี้ ซีมัสพยายามจะเก็บอาการของตนเอาไว้ อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้เฟริคเอามาเป็นหัวข้อเอ่ยแซวให้เสียอารมณ์

                 “เจ้าไม่เคยเข้ามาบริงไฮด์สินะ” ยังไม่ทันไรเฟริคก็ดึงหัวข้อสนทนานี้ขึ้นมาทันที ทำให้ซีมัสต้องถอนหายใจออกมา

                   “เจ้าจะถามทำไม ข้าไม่มีธุระอะไรข้างนอกเวลเฮมมิน่าหรอกนะ” ซีมัสตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด

                  “จะว่าไป…” เฟริคว่าพลางลุกขึ้นเปิดช่องเก็บของในรถม้าออกมา รื้อหาเสื้อออกมาจากกล่องตัวนึงโยนส่งให้ซีมัส

                 “ช่วยใส่อะไรบ้างจะได้ไหม เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าข้าจับคนบ้านป่าเมืองเถื่อนเข้าวัง”

               “.....” ซีมัสมองเสื้อในมือเหมือนไม่อยากจะใส่ เขาไม่ได้มีปัญหากับการใส่เสื้อ เพียงแค่ไม่อยากจะทำตามคำสั่งของเฟริคเท่านั้น

             “เจ้าอย่าทำให้ข้าพาเจ้าเข้าวังยากนักจะได้ไหม จะได้รีบๆรักษาพี่เจ้า” เฟริคทอดสายตาลงไปมองลีนัสที่นอนหลับอยู่บนตักของซีมัส ทำให้เด็กหนุ่มต้องยอมทำตามแต่โดยดี

              “ก็แค่นั้น” เฟริคยักไหล่มองดูซีมัสที่ยอมทำตามอย่างภาคภูมิใจ เป็นจังหวะที่รถม้ามาจอดเทียบหน้าราชวังพอดี เฟริคก็เปิดประตูลงมา แล้วเดินนำซีมัสที่อุ้มร่างอ่อนปวกเปียกของพี่ชายตามลงมา

              “อ้าว ไงเฟริค กลับมาแล้วเหรอ” ระหว่างทางที่ยังไม่ทันได้ไปไหนไกล เฟริคก็ถูกเอ่ยทักขึ้นมาเสียก่อน คนที่เดินสวนมาเป็นชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวผมสีทองเหยียดตรงยาวประบ่า ในชุดสีขาวที่ตัดเย็บอย่างปราณีตปักฉะลุสวยงาม

              “...ท่านพี่วินเฟรด..” เฟริคปั้นหน้ายิ้มเอ่ยกลับไป

            “ได้ข่าวว่าไปเมืองเทพนิยายมาเอาอะไรกลับมาล่ะ” ผู้เป็นพี่คลี่ยิ้มกว้างถามพลางหันไปมองเด็กหนุ่มผมทองผมยาวยุ่งเหยิงลงมาถึงเข่า ที่อุ้มชายหนุ่มร่างบางที่นอนหลับไม่รู้เรื่องใว้ในอ้อมแขนแกร่ง

              “.....” เฟริคถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย

             “ฮานเซลกับเกรเทลเหรอ หรือเจ้าหญิงนิทรา” องค์ชายคนพี่หันมาถามน้องชายต่างมารดาอย่างติดตลก

             “เฮ้ อะไรนะ เฟริคเอาฮานเซลกับเกรเทลกลับมางั้นเหรอ” เสียงร้องทักขององค์ชายอีกคนแว่วดังลงมาจากทางเดินอีกฝั่งหนึ่ง

            “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่าจะเอามารบกับกรีฟิท อย่าทำให้กองทัพข้าขำจนหมดแรงดีกว่าน่า”

             “....ข้ามีธุระที่ต้องจัดการ ข้าขอตัวก่อน ไว้ข้าจะเล่านิทานก่อนนอนให้พวกท่านฟังทีหลังนะขอรับ” เฟริคเอ่ยขอตัวก่อนที่จะมีองค์ชายน่ารำคาญมารวมตัวกันมากกว่านี้

              “เจ้าก็ช่างพูดนะเฟริค เจ้าน่าจะดีใจที่ข้าใส่ใจเป็นห่วงน้องชายของข้านะ” วินเฟริดยกมือขึ้นจับไหล่เฟริคไว้

               “ถ้าใส่ใจก็ช่วยหลีกทางไปได้ไหม คนกำลังรีบ” ซีมัสที่ยืนรออยู่ได้พักหนึ่งเริ่มจะทนไม่ได้ เรียกเพลิงสีน้ำเงินออกมาขู่

               “ว้าก!!” วินเฟรดรีบสบัดมือและถอยหลังหลบเปลวเพลิงหน้าตาประหลาดด้วยความตกใจ เมื่อหันไปมองที่ต้นเสียงก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก เมื่อเห็นซีมัสในร่างภูตผิวสีแดงส้มยืนอยู่

                เฟริคเห็นใบหน้าแสดงความตกอกตกใจของพี่ชายตนเองเช่นนั้นก็ขำออกมา ก่อนจะหันไปยิ้มขอบคุณซีมัส แต่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนุกด้วยสักนิด

                 “ข้าเมื่อยแล้ว อย่ามัวแต่ชักช้าได้ไหม เอายาแก้พิษมาเร็วๆเข้า” ซีมัสชักสีหน้ารำคาญใจกลับมา

                 “รับทราบขอรับท่านซีมัส” เฟริคแกล้งรับบทเป็นผู้ตามอย่างนึกสนุกขึ้นมา ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นด้วยเลยสักนิด

เฟริคเดินนำซีมัสเข้ามาถึงห้องพักอันโอ่อ่าของตน เขาเดินนำเข้ามายืนที่ข้างเตียงหลังใหญ่แล้วผายมือเชิญให้ซีมัสวางลีนัสลง

             “...ยาแก้พิษอยู่ไหน” ซีมัสที่ยืนอุ้มลีนัสไว้ ไม่มีทีท่าว่าจะยอมวางพี่ชายตัวเองลงบนเตียงนอนของคนอื่น โดยเฉพาะเตียงของคนที่ไม่น่าไว้ใจมากที่สุดอย่างเฟริค

                “เมื่อครู่เห็นบ่นว่าเมื่อยอยู่ไม่ใช่เหรอ” เฟริคยกมือขึ้นกอดอกยักไหล่ปลายตาไปมองที่เตียง ซีมัสหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ แต่แล้วก็ตัดสินใจบรรจงวางร่างของลีนัสลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง

                “อา!!” ซีมัสคำรามเสียงต่ำออกมาเมื่อสัมผัสถึงปลายเข็มเล็กๆที่แทงลงมาที่ต้นคอของตน ขณะที่วางร่างของลีนัสลงบนเตียง เมื่อหันกลับไปมองที่เฟริคก็เห็นว่าเขากำลังหยิบเข็มที่เพิ่งฝังลงไปที่ต้นคอของซีมัสขึ้นมา ตรวจดูว่ายานอนหลับของเขาฉีดออกไปจนหมดครบทั้งหลอด

                “เจ้า!!” ฝ่ามือแกร่งวางลีนัสลงแล้วก็ไปกุมคอหนาของเฟริคไว้ทันที

               “!!!!” แรงบีบอันมหาศาลของเด็กหนุ่มทำให้เฟริคตกใจ เขากำลังคิดว่ายานอนหลับของเขาจะทำอะไรเด็กปีศาจคนนี้ไม่ได้เสียแล้ว แต่แล้วแรงบีบนั้นก็อ่อนแรงลงแล้วคลายมือออกไปในที่สุด เด็กหนุ่มร่างหนาทรุดลงไปนอนกองกับพื้นในทันที

               เฟริคเขาคิดว่าจะพลาดท่าเสียแล้วซะอีก เขาถอนใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมยกมือขึ้นลูบคอตัวเอง อย่างรู้สึกใจหายอยู่นิดๆ แต่เมื่อหันไปมองดูชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงก็กลับมาคลี่ยิ้มอารมณ์ดีออกมาได้อีกครั้ง เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วลูบเรือนผมนุ่มของอีกฝ่ายอย่างทนุถนอม

                 “ทีนี้ก็ไม่มีใครมาขวางระหว่างเราละนะ ท่านลีนัส”







                กลิ่มหอมของน้ำหอมที่ถูกรนไฟอ่อนๆโชยมาแตะจมูก เป็นอย่างแรกที่ประสาทสัมผัสได้รับรู้ แพขนตาหนากระพริบลืมขึ้นช้าๆเห็นเป็นแสงสลัวๆสีส้ม ร่างบางขยับแขนของตัวเองลงมาเพื่อจะขยี้ตาตัวเองแต่กลับดึงแขนลงมาไม่ได้ กลับมีเสียงกระทบกันของโซ่เส้นเล็กๆแว่วมากระทบหู

              “!!!” ลีนัสสะดุ้งตื่นขึ้นมาเต็มตา เงยหน้าขึ้นมองที่ข้อมือของตัวเอง เห็นสายหนังรัดข้อมือทั้งสองข้างคล้องด้วยโซ่เกี่ยวพันไว้กับหัวเตียง ก้มกลับมาพิจารณาสภาพของตัวเองอีกทีที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนสีขาวบางๆตัวหนึ่ง

             “ตื่นเสียที นึกว่าต้องให้เจ้าชายจุมพิตปลุกขึ้นมาเสียแล้ว” น้ำเสียงที่คุ้นเคยแว่วดังจากมุมห้องฝั่งหนึ่ง ลีนัสหันไปเห็นชายหนุ่มผมยาวสีเทาอ่อนผิวสีค่อยๆย่างเท้าเข้ามาหาอย่างใจเย็น จึงออกแรงกระชากพันธนาการของตัวเองให้หลุด แต่โซ่เส้นบางๆไม่ยอมหลุดออกไปได้อย่างใจคิด

              “...ท่านเฟริค…จับข้าไว้แบบนี้ไม่ได้ช่วยให้ข้ายอมร่วมรบกับท่านหรอกนะ” ลีนัสขมวดคิ้วขู่อีกฝ่ายกลับไป ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะขู่ได้เลยสักนิด

               “อา..เรื่องนั้นน่ะพักเอาไว้ก่อนก็ได้ ตอนนี้ข้าขอรางวัลสำหรับความเหนื่อยยากในการพาท่านมาที่นี่ก่อนได้ไหม” เฟริคนั่งลงบนเตียงนุ่มพลางลากปลายนิ้วลงบนแก้มเนียน เรื่อยลงมาถึงริมฝีปากบาง ลีนัสพลิกหน้าหลบแต่ก็หลบไปได้นิดเดียวเพราะแขนทั้งสองข้างถูกพันธนาการให้อยู่ตรงนั้น ปลายนิ้วขยับตามมารุกรานเข้ามาข้างใน ลีนัสจึงกัดเข้าเต็มแรง เจ้าของนิ้วจึงรีบชักมือกลับมาสะบัดเบาๆ แต่ยังคงคลี่ยิ้มอารมณ์ดีอยู่

                  “ท่านจะสู้ไปทำไมในเมื่อก็รู้ๆอยู่ว่าผลมันจะเลวร้ายไปกว่าเดิม” เฟริคยกมือล้วงกระเป๋าเสื้อตัวเองหยิบเม็ดยากลมๆสีนวลเม็ดเล็กๆเม็ดหนึ่งออกมา ลีนัสเห็นก็สังหรณ์ใจไม่ดีขมวดคิ้วมองยาเม็ดนั้นอย่างกังวล

                  “ท่านจะทำอะไร…”

                “ข้าทำให้ดูเลยดีกว่า” มือแกร่งจับคางของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น มืออีกข้างก็ยัดยาเม็ดเล็กๆนั่นลงไปพร้อมกดโคนลิ้นบังคับให้ลีนัสกลืนลงไปอย่างช่ำชอง ร่างบางพลิกตัวพยายามจะเอายาเม็ดนั้นกลับออกมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว

“เก่งมาก” เฟริคเอ่ยพลางลูบผมนุ่มของอีกฝ่ายเหมือนเอ่ยชมเด็กตัวเล็กๆที่กินยาลงไปสำเร็จ ลีนัสหายใจหอบหนักจากการพยายามขัดขืนเมื่อครู่ จ้องมองใบหน้าอารมณ์ดีของอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้น

                 “...!!” ไม่นานนักลีนัสก็รู้สึกว่าร่างกายร้อนลุ่มขึ้นมา แววตาโกรธเคืองเมื่อครู่ก็ค่อยจางหายไป แทบที่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ท่อนขาเรียวทั้งสองข้างขยับแนบชิดเข้าหาเสียดสีกันเบาๆเพื่อระงับความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นมา เห็นปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปของลีนัสเช่นนั้น เฟริคก็คลี่ยิ้มกริ่มออกมาอีกครั้ง

                 “โทษฐานที่กัดนิ้วข้าเมื่อครู่่นี้ ข้าจะปล่อยท่านไว้แบบนี้ดีไหมนะ”

               “อ๊ะ!!” เพียงแค่เฟริคใช้ปลายนิ้วสัมผัสพวงแก้มที่อุ่นซ่านเบาๆ ก็ทำให้ร่างบางสะดุ้งขึ้นมา หลังจากหลุดเสียงครางหวานๆออกไปเมื่อครู่ ลีนัสก็รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ตัวเองทำไปเมื่อครู่

               “ชักจะสนุกแล้วสิ” เฟริคปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนตัวเองออกพลางทอดมองใบหน้าที่แดงระเรื่อหายใจหนักๆอยู่บนเตียง

                “..ท่านทำแบบนี้ข้าก็ไม่ยอมเป็นอาวุธให้ท่านฆ่าคนระ...อื้อ..!!...อย่า…ฮ้า !!” ยังไม่ทันที่ลีนัสจะพูดได้จบ เฟริคก็ลากปลายนิ้วลงมาตามสันคอ เรื่อยลงมาที่ไหปลาร้า แล้วมาจบลงที่ยอดอก

                 “ข้าบอกแล้วไงว่าเรื่องนั้นพักเอาไว้ก่อน” เฟริคเอ่ยไปพลางวนปลายนิ้วไปรอบๆยอดอกของอีกฝ่ายช้าๆผ้าเนื้อผ้าบาง ทำให้ร่างบางเบียดเรียวขาแนบชิดเข้าหากันมากขึ้น ปลายเท้าจิกลงกับฟูกนุ่ม

                  “...ท่านเฟริค…” ลีนัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระเส่าปนเสียงหอบอ่อนๆ

                 “ว่าไงท่านลีนัส ต้องการอะไรขอรับ” เฟริคก้มลงกระซิบถามที่ข้างหู

                 “ปะ..ปล่อยข้า….ยะ..อ๊าา!!” จมูกโด่งไล่โลมเลียลงมาตั้งแต่หลังหู จนมาหยุดที่แผ่นอกที่หอบไหวตามแรงหายใจ เฟริคขบเม้มยอดอกที่ชูชันขึ้นมาเบาๆ เรียกเสียงหวานครางกระเส่าออกมา

               “แน่ใจเหรอว่าอยากให้ข้าปล่อย” เฟริคยันร่างลุกกลับขึ้นมาทอดสายตามองลงไปยังเจ้าเมืองหนุ่มที่ไม่ยอมทิ้งฐานะและความเย่อหยิ่งไปแต่โดยดี แม้จะหายใจเหนื่อยหอบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า ก็ยังคงมองเฟริคกลับมาด้วยแววตาแข็งกร้าว

                  “...ปล่อย”

                “ได้ ข้าเริ่มจากตรงนี้ก่อนแล้วกัน” เฟริครับคำพลางเลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายออก เผยแผ่นอกเนียนขาวปรากฏออกมา มือแกร่งยังคงไล่ปลดกระดุมเรื่อยลงมาถึงหน้าท้อง

               “อย่า..” ร่างบางดีดดิ้นหลบ ทั้งเตะทั้งถีบให้อีกฝ่ายหลบไป แต่ไม่ทันไรเฟริคก็คว้าข้อเท้าของเขาเอาไว้ได้

               “ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้นะท่านเจ้าเมือง” เฟริคบรรจงจุมพิตลงบนข้อเท้า แล้วค่อยๆไล่สูงขึ้นมาจนถึงใต้ขาอ่อนเนียนขาว

               “อึก..!! หยุดเถอะ อือ…อย่าลงไป...อา อ๊าา” สัมผัสนุ่มนวลยิ่งไต่เข้าใกล้จุดอ่อนไหวมากเท่าไหร่ ร่างบางก็เริ่มครางออกมาจนพูดไม่รู้เรื่อง

               “ย้า….!!” เฟริคจับเรียวขาทั้งสองข้างที่พยายามเบียดบังจุดสำคัญแยกออก เมื่อจุดที่ตัวเองพยายามปิดบังถูกเผยออกมาตรงหน้า ร่างบางก็ซุกหน้าหลบลงไปที่หมอนด้วยความอับอาย

               “ท่านลีนัส ปล่อยไว้แบบนี้จะดีเหรอ” ถึงแม้ลีนัสจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองก็พอจะรู้ได้ ว่าผู้พูดนั้นกำลังจ้องมองอยู่ที่จุดๆนั้น

               “...ปะ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ” ร่างบางเอ่ยเสียงอู้อี้ผ่านหมอนที่ตนเอาหน้าซุกไว้กลับมา

               อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป ไม่มีเสียงตอบกลับมาหรือการเคลื่อนไหวใด แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ดีอยู่ นั่นคือเขายังถูกจ้องมองจุดๆนั้นอยู่ หลังจากความเงียบงันชั่ววูบได้ผ่านพ้นไป เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายกลับมา

              “ข้าปล่อยเอาไว้ไม่ได้จริงๆท่านลีนัส”

             “...อ่ะ...อ้า!!! ฮ้า…!!” เอวบางสะดุ้งเกร็งแอ่นกายขึ้นพลัน เมื่อสัมผัสอุ่นๆเปียกชื้นเข้ามาครอบครองจุดอ่อนไหว ณ จุดที่สติกันความหยิ่งผยองอันน้อยนิดของลีนัสกำลังจะขาดวิ่นสลายหายไป เพราะรสอารมณ์อันเร่าร้อนที่โหมกระหน่ำเข้ามา แต่แล้วอยู่ทุกอย่างก็หยุดลงไปอย่างฉับพลัน

              “เอาล่ะ ได้เวลาปล่อยเจ้าแล้วล่ะ” เฟริคว่าพลางลุกออกมาเสียอย่างนั้น ความเร่าร้อนที่ก่อตัวขึ้นมาแต่ไม่ได้รับการปลดปล่อย ทำให้ร่างบางที่ถูกพันธนาการแขนไว้ทั้งสองข้าง ทำได้เพียงบิดเบียดเรียวขาเข้าหากัน

              “....ท่านเฟริค...” ลีนัสเอ่ยเรียกเสียงกระเซ่ามองตามเฟริคที่ลุกจากไปอย่างหวั่นใจ เฟริคคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์มองใบหน้าหวานที่แดงเป็นลูกมะเดื่อ มองเขากลับมาด้วยแววตาปรือๆพลางหัวเราะออกมาจากลำคออย่างถูกใจ

             “มีอะไรก็พูดออกมาท่านลีนัส” เฟริคแกล้งถามเหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ลีนัสเบือนหน้าหลบเลี่ยงสายตาคมกริบสีทองของอีกฝ่าย แล้วค่อยๆกั้นใจเอ่ยกลับมา

                 “...อย่า...อย่าปล่อยข้าไว้แบบนี้…ข้าขอรัอง...”


End Weakness 2/3
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:9 Mastermind 2/3) 4 Feb. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 04-02-2016 16:13:32
Weakness 3/3



           “ท่านพี่!!” ร่างหนาสะดุ้งตื่นขึ้นมา นัยน์ตาสีฟ้าเบิกโพลงขึ้นมาท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ แผ่นหลังไหวกระเพื่อมเพราะหายใจหอบหนักหลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ประสาทสัมผัสค่อยๆรับรู้ถึงกลิ่นชื้นๆจากพื้นหินเย็นๆที่ร่างของเขานอนอยู่

            ซีมัสขยับตัวจะลุกขึ้น ก็รู้สึกได้ว่ามีเชือกเส้นใหญ่พันรัดแขนทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้างไว้อย่างหนาแน่น ซีมัสชักสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาก่อนที่จะเปลี่ยนร่างเป็นภูติแล้วเผาเชือกให้ขาดอย่างง่ายดาย

            ซีมัสลุกขึ้นยืนแล้วรู้สึกมึนหัวจากพิษยาที่ยาไม่สร่างดี ก็เดินเซไปพิงเข้ากับกรงเหล็กเย็นๆ เขายาวๆที่งอกออกมาก็ไปเกี่ยวชนกับซี่กรง เสียงแหลมๆดังสะท้อนก้องแทรกความเงียบสงัดของคุกใต้ดิน

           “อา…” ทั้งอาการมึนหัวทั้งเสียงแหลมๆที่สะท้อนก้องอยู่ในหู ทำให้ซีมัสคำรามออกมาเบาๆด้วยความหงุดหงิด

           “เสียงอะไรน่ะ เหวอ!!” นายทหารที่คุมคุกเดินเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นชายหนุ่มในร่างภูติก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ แววตาสีเทาหันไปมองที่ผู้คุมที่กำลังจะวิ่งหนีไป ก็เรียกเพลิงสีน้ำเงินออกมาขวางหน้าทันที

              “ว้าก!!”

              “เอากุญแจมา” ซีมัสแค่นเสียงออกคำสั่ง

              “ขะ ข้าไม่ได้เอามาด้วย…!!”

              “ไปเอามาเซ่!!” ซีมัสตวาดออกมาอย่างหงุดหงิด และปล่อยให้นายทหารวิ่งหายไป

             “....อา...น่ารำคาญจริงๆ” เงียบหายไปสักพัก ซีมัสก็ค่อยๆมีสตินึกขึ้นได้ว่าตัวเองยืนรออะไรไร้สาระอยู่ ก็เรียกเพลิงออกมาเผากลอนเหล็กจนแดงแล้วถีบประตูเปิดออกมา เขาเดินตามผู้คุมคนเมื่อครู่ออกไปก็เจอเจ้าตัวกำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ผู้คุมอีกคนนึง

           “เหวอ!!” นายทหารทั้งสองเห็นปีศาจที่แหกคุกก็มาก็พากันทำอะไรไม่ถูก ผู้คุมคนแรกที่ซีมัสเพิ่งปล่อยตัวออกมาก็รีบเปิดลิ้นชักออกมาแล้วโยนกุญแจส่งให้

           แกร้ง!!...เสียงลูกกุญแจร่วงกระทบลงกับพื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่หางคิ้วของซีมัสกระตุกขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์

            “เจ้านี่มัน...บ้ารึเปล่าเนี่ย” ซีมัสคิดว่าน่าจะมีแต่เขาที่เมาพิษยาของเฟริคคนเดียวเสียอีก ไม่คิดว่าจะลามมาถึงผู้คุมด้วย

           “ขะ ขอโทษขอรับ ไว้ชีวิตพวกข้าเถอะ ข้ามีลูกมีเมียต้องดูแล!!” ผู้คุมรีบลงไปคุกเข่าวอนขอชีวิตยกใหญ่

           “โว้ย หนวกหู!!” ซีมัสคำรามลั่นออกมา ทั้งสองก็เงียบกริบไปทันที เด็กหนุ่มหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา

           “...ถ้าไม่อยากตายก็ถอดเสื้อออกมา”

         “ขะ ขอรับ!?”








            ระเบียงทางเดินกว้างหน้าห้องส่วนตัวขององค์ชายเฟริค มีทหารองครักษ์ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย และรักษาความเป็นส่วนตัวให้แก่องค์ชาย งานที่แสนน่าเบื่อนี้ทำให้นายทหารหนุ่มแอบพักไปคิดถึงเรื่องอื่นบ้างเป็นพักๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงส้นเท้าแข็งที่กระทบพื้นหิน ก้าวย่างเข้ามาหาก็รีบยืดตัวตรงขึ้นมาทันที เมื่อหันไปมองที่ต้นเสียงก็เห็นนายทหารหนุ่มผมทองหน้าใหม่คนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา

            “ข้ามาผลัดเวร เจ้าไปได้แล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น

            “หา...เจ้านี่ บ้ารึเปล่า” องครักษ์ชักดาบออกมาวางพาดจ่อคอของนายทหารหนุ่มกลับไปทันที

           “แถบสีทหารคุมห้องขังมาทำอะไรแถวนี้ เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไร” องครักษ์คาดคั้น เด็กหนุ่มก็กรอกตาทำท่าเบื่อหน่ายออกมา เขาไม่คิดว่าจะโดนคำถามที่ตัวเองเพิ่งจะถามผู้คุมนั้นย้อนกลับมาหาตัวเองแบบนี้

          “ถ้าข้าบอกว่าข้าต้องการอะไรเจ้าจะทำให้ข้าไหมล่ะ”

           “เรื่องอะไรข้าจะทำให้ เจ้านี่บ้ารึเปล่า” ซีมัสโดนถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง ก็ถอนใจออกมาอย่างหงุดหงิด แล้วรีบก้มตัวหลบคมดาบ วางมือลงกับพื้นหมุนตัวเตะข้อเท้าอีกฝ่ายล้มลงอย่างรวดเร็ว

           “เจ้า!!” ทหารองครักษ์รีบยันตัวลุกขึ้นกลับขึ้นมา แต่ซีมัสก็ลงไปตีข้อศอกซ้ำที่กลางท้ายทอย ทำให้อีกฝ่ายหมดสติไปในทันที

            “ก็แล้วจะถามทำไม บ้ารึเปล่า” ซีมัสพูดเกทับทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินเปิดประตูเข้าห้องไป



   กลับเข้ามาที่ห้องๆเดิมที่เขาพลาดท่าโดนเฟริควางยาสลบไป ทำให้เข้าหลับไปถึงหนึ่งวันเต็มๆจากคำบอกเล่าของผู้คุมขัง บรรยากาศในห้องที่แสงแดดข้างนอกส่องผ่านผ้าม่านสีส้มเข้ามา ผสานกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่ลอยมาแตะจมูก ทำให้เขานึกถึงความฝันอันเลวร้ายเมื่อครู่ขึ้นมา

   ซีมัสเดินตรงไปที่เตียงหลังใหญ่กลางห้อง เห็นร่างของลีนัสนอนหลับสนิทในสภาพเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาวางร่างนี้ทิ้งไว้คราวก่อน

   “ท่านพี่…” เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง เอื้อมมือไปสัมผัสต้นแขนของพี่ชายและเอ่ยเรียกเบาๆ ในใจนั้นเต็มไปด้วยความกังวลใจมากมาย ไม่รู้ว่าพี่จะยอมตื่นขึ้นมาไหม พิษที่ได้รับนั้นหมดไปแล้วหรือยัง เฟริคไม่น่าจะยอมปล่อยอาวุธสงครามของเขาเอาไว้เฉยๆแบบนี้แน่ ทว่าอยู่ๆสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆลีนัสก็ลืมตาขึ้นมา

   “...ซีมัส…” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขากลับมาทำให้เด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นมาทันที ลีนัสยันตัวลุกขึ้นมาแล้วสวมกอดน้องชายไว้แน่น

   “ท่านพี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ซีมัสกระซิบถามขณะที่กอดอีกฝ่ายกลับไป ลีนัสก็ส่ายหน้าตอบกลับไป

   “ถ้างั้นเรารีบกลับกันเถอะขอรับ” ซีมัสคลายอ้อมกอดออกมา เขาไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีคนเดินมาเห็นทหารองครักษ์ที่นอนสลบอยู่หน้าห้อง หรือเมื่อไหร่ที่ผู้คุมขังจะฟื้นขึ้นมาแล้วประกาศตามหาเขา

   “...ซีมัส” ปลายนิ้วเรียวเอื้มมาแตะที่แก้มของซีมัสเบาๆ แล้วเจ้าตัวก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าหวานที่แววตาดูล่องลอยขยับมาใกล้ขึ้น จนซีมัสไม่กล้าขยับตัว แล้วริมฝีปากนุ่มๆของพี่ชายก็บดเบียดลงมาที่ริมฝีปากของเขา

   “...ท่านพี่...ดะ..อื้อ!!?” ซีมัสที่ไม่กล้าออกแรงผลักพี่ชายที่ตอนนี้ทำตัวผิดปกติออก กลับถูกอีกฝ่ายรุกรานหนักขึ้น ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น แต่การที่ได้สัมผัสริมฝีปากนุ่มๆนั้น ทำให้ให้สมองของเขาปั่นป่วนไม่ใช่น้อย ยิ่งเมื่อลิ้นอุ่นๆลุกล้ำแทรกเข้ามาแล้ว ทำให้สมองของเขาขาวโพลนไปวูบหนึ่ง

   “เหวอ!!?” มือเรียวยึดแผ่นหลังหนาของซีมัสได้ก็ทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับดึงร่างของอีกฝ่ายลงมาคร่อมทับตัวเอง

   “...ท่านพี่...เกิดอะไรขึ้น” ซีมัสขมวดคิ้วมองนัยน์ตาสีเพลิงของพี่ชายที่ดูล่องลอยด้วยความกังวลใจ ระหว่างนั้นมือของลีนัสก็เลื่อนลงมาจับที่หัวเข็มขัดของเขาเพื่อจะปลดออก ซีมัสจึงรีบยันตัวลุกออกมาจากเตียงทันที พลันประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาโดยเจ้าของห้อง องค์ชายประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ถอนหายใจและส่ายหัวกลับมาทำหน้าเสียดาย

   “โธ่ ข้าอุตส่าห์เตรียมรางวัลที่เจ้าหนีออกจากคุกมาได้ไว้ให้เจ้าแท้ๆ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆหรอกนะ ไม่สิ คงไม่มีอีกเลยถ้าปล่อยให้กลับไปอยู่ในอ้อมอกของท่านรองเจ้าเมืองอีกครั้งน่ะ ใช่ไหม”

   “...เจ้าทำอะไรลงไป” ซีมัสรู้สึกพ่ายแพ้ที่ตามเกมส์ของเฟริคไม่ทัน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอ่านการเคลื่อนไหวของเขาได้ขาดขนาดนี้ ซ้ำยังรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับพี่ชายตัวเองอีก

   “ข้าทำอะไรน่ะเหรอ ลีนัสมานี่สิ” เฟริคหันไปกวักมือเรียกลีนัสให้ลุกขึ้นเดินมาหาอย่างว่าง่าย เมื่อเดินมาถึงเฟริคก็โอบเอวบางของเจ้าเมืองหนุ่มเข้ามากอดไว้แล้วคลี่ยิ้มยียวนส่งให้

   “ข้าก็ยืมมาใช้งานไงล่ะ”

   “ท่านเฟริค ท่านก็อย่าได้แกล้งเด็กนักเลยน่า” หญิงสาวร่างอรชรอ้อนแอ้นแววตาคมกริบในชุดกระโปรงยาวสีดำเข้ารูป เน้นรูปร่างที่โค้งเว้าและช่วงอกที่อวบอิ่มไว้อย่างชัดเจน เดินตามเฟริคเข้ามาในห้องทีหลัง พูดจาเหมือนสาวใหญ่ที่เอ่ยปรามน้องชาย

   “นิดๆหน่อยๆทำเป็นบ่น เจ้าก็เห็นเด็กหนุ่มๆเป็นไม่ได้ รีบเข้าข้างเชียว” เฟริคหันไปทำหน้าหน่ายๆถอนหายใจออกมาเอ่ยใส่ผู้ที่เดินตามเข้ามา

   “แน่นอน ทั้งหนุ่มทั้งแน่นกว่าเจ้า ข้าก็ต้องเข้าข้างบ้างเป็นธรรมดา เจ้าชื่อซีมัสสินะ ส่วนข้าเฮลีเวีย” หญิงสาวหันไปโปรยยิ้มหวานทำตาพริ้มเอ่ยแนะนำตัวกับเด็กหนุ่ม 

   “...เจ้าเป็น...ตัวอะไร” ซีมัสขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายอยู่สักพักหนึ่ง แล้วตัดสินใจเอ่ยถามออกมา

   “....” เฟริคที่ยืนอยู่ข้างๆก็พ่นเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ส่วนเจ้าตัวที่ถูกถามนั้นก็หายใจเข้าปอดไปฟอดใหญ่เพื่อจะตวาดเสียงดังกลับมาอย่างหัวเสีย

   “นี่ไม่มีใครสอนมารยาทเจ้ารึไงกัน ใครให้ถามคำถามสุภาพสตรีกันอย่างนั้นยะ!!” สำหรับเฮลีเวียที่เดินผ่านผู้ชายสิบคนก็ต้องหันกลับมามองสิบคน เจอคำถามเช่นนี้ของซีมัสเข้าไปก็ต้องระเบิดกลับออกมาอย่างไม่พอใจทันที

   “นี่เจ้าไม่ชินกับคำถามนี้หรอกหรือ ในเมื่อกลิ่นตัวเจ้าเหม็นเน่าแรงกว่าคนทั่วๆไป ข้าถึงต้องถามว่าเจ้าเป็นตัวอะไร” ซีมัสเอียงคอถามอีกฝ่ายกลับไป อย่างไม่เข้าใจว่าเขาถามอะไรผิดไป ทำให้เฟริคสงสัยจึงเอนตัวยื่นจมูกเข้าไปทำท่าดมดูบ้าง แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไร นอกเหนือไปจากกลิ่นเครื่องหอมที่เจ้าตัวพรมใส่เป็นประจำ

   “......” แววตาคมกริบของหญิงสาวปรายตาจิกมองเฟริคกลับไปอย่างหงุดหงิด ทำให้เจ้าตัวเอนตัวกลับไปช้าๆแล้วคลี่ยิ้มหน้าเป็นกลับมา

   “อ่ะ ไหนๆก็ไหนๆ นี่เฮลีเวียเป็นแม่มดประจำตัวข้า ส่วนนี่ซีมัสลูกครึ่งภูติ อาวุธลับของข้า” เฟริคแนะนำตัวแต่ละคนให้อีกครั้ง

   “ต้นเหตุอยู่นี่นี่เอง มิน่ากลิ่นเหมือนซากศพ อยู่มากี่ร้อยปีแล้วล่ะ” ซีมัสหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความเกลียดชังทันที

   “อ้าย นังเด็กนี่ ข้าเพิ่งจะร้อยนิดๆ ปากเสียจริงๆ” เฮลิเวียเถียงเด็กหนุ่มกลับไปอย่างหัวเสีย เฟริคที่ไม่เคยถามอายุที่แท้จริงของอีกฝ่าย ก็เลิกคิ้วขึ้นมองเจ้าตัวด้วยสีหน้าประหลาดใจนิดๆ

         “งั้นก็อย่าปล่อยให้อยู่นานกว่านี้เลยละกัน!!” ซีมัสไม่รอช้า เปลี่ยนร่างตัวเองแล้วเรียกเพลิงสีน้ำเงินออกมาหวังจะเผาแม่มดร้ายในทันที

          “ว้าย!!” เฮลีเวียร้องออกมาอย่างตกใจ ลีนัสเดินเข้ามายืนขวางพร้อมร่ายเวทย์ออกมาป้องกันทันที ซีมัสจึงรีบหยุดมือ

          “...ท่านพี่...” ซีมัสเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด

          “ฮิๆๆ ไม่คิดเลยว่าวันที่ลีบลาออกมาปกป้องแม่มดอย่างข้าจะมาถึง นี่มันสุดยอดจริงๆ ข้าคิดไม่ผิดที่เข้าหาท่านจริงๆ ท่านเฟริค” แม่มดสาวหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ ในขณะที่ซีมัสขมวดคิ้วจนเกิดร่องลึกกลางหน้าผาก

         “แย่หน่อยนะซีมัส ถ้าเจ้าจะฆ่าเฮลิเวีย เจ้าต้องข้ามศพพี่ชายเจ้าไปก่อน เพราะตุ๊กตาตัวนี้ไม่ยอมปล่อยให้ใครทำอันตรายมาสเตอร์ของมันหรอก อ้อ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าลีบลาสามารถแลกชีวิตตัวเองให้กับคนที่เพิ่งตายได้น่ะ” เฟริคยกมือเชยคางมนของลีนัสที่แววตาดูล่องลอยขึ้นเบาๆ พร้อมคลี่ยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัย

           “เจ้า!!”  ซีมัสเดินเข้าไปคว้ามือเฟริคออกมาทันที ในขณะที่ลีนัสก็จับข้อมือของเขาเอาไว้แน่นเช่นกัน ซีมัสจึงยอมคลายมือออกมา

           “อ้อ ข้าลืมบอกไปว่าข้าเองก็เป็นมาสเตอร์เหมือนกัน...เจ้าทำอะไรน่ะ?” เฟริคเห็นซีมัสจับมือลีนัสไว้แล้วถกแขนเสื้ออีกฝ่ายออกมาเพื่อตรวจดูอะไรบางอย่าง

           “....เปล่า” ซีมัสเห็นข้อมือขาวไร้ร่องรอยก็ปล่อยออกแล้วถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

           “อะไร คิดว่าข้าจะทำอะไรพี่ชายเจ้ารึไง ข้ายังไม่ได้ทำอะไรหรอกน่า ตอนนี้น่ะนะ ถ้าเจ้าทำตัวดีๆข้าอาจจะไม่ทำอะไรก็ได้” คำตอบกำกวมของเฟริคทำให้ซีมัสหันไปทำตาขวางใส่ผู้พูด

           “หมายความว่ายังไง”

           “เอาล่ะๆเราค่อยๆมานั่งคุยธุระของเรากันดีกว่านะ” เฟริคเดินนำมานั่งลงที่ชุดโซฟาในห้องอย่างใจเย็น โดยมีลีนัสเดินตามไปติดๆ เฮลิเวียก็เดินไปนั่งประกบแนบชิดเฟริคคนละฝั่งกับลีนัส

          “มานั่งนี่มาซีมัส ยืนนานเมื่อย” เฟริคชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ แต่ซีมัสยังคงยืนกอดอกนิ่งทำหน้าไม่สบอารมณ์กลับมา

         “ลีนัส ไปเรียกน้องมานั่งสิ” เฟริคเอ่ยขึ้นลีนัสก็ลุกขึ้นเดินมาทางเขาทันที

          “อา..!!!” ซีมัสคำรามออกมาอย่างหงุดหงิดแล้วเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ที่เฟริคชี้ โดยที่ไม่ปล่อยให้ลีนัสเดินมาถึงตัว เดินมาถึงเก้าอี้ก็ทิ้งตัวลงนั่งแล้วยกมือขึ้นกอดอกอย่างไม่พอใจ และทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ เฟริคเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะถูกใจออกมา

           “ซีมัส ประเด็นก็คือว่า ข้ารู้ว่าเจ้ารักพี่ชายเจ้ามากแค่ไหน ข้าสัญญาว่าข้าจะคืนพี่ชายให้เจ้าแน่นอน ถ้าเจ้านำชัยชนะมาให้ข้า ตกลงไหม” เฟริคอธิบายพลางลากปลายนิ้วลูบเรื่อนผมนุ่มสีน้ำตาลแดงของลีนัส ที่เดินกลับมานั่งข้างๆอย่างสบายใจ

           “ข้าไม่คิดว่าคำสัญญาจากคนอย่างเจ้าจะเชื่อถือได้หรอกนะ” ซีมัสตอบกลับหน้านิ่งๆ

           “ใช่แล้ว ข้าเองก็ไม่เชื่อเจ้าเท่าไหร่นักหรอก ข้าถึงต้องพึ่งเฮลิเวียนี่ไงล่ะ” เฟริคหันไปสบตาเฮลิเวียที่นั่งเบียดแนบชิดอยู่ข้างๆ เจ้าตัวก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาแล้วลุกขึ้นไปหยิบกล่องใส่อะไรบางอย่างกลับมา วางลงบนโต๊ะเล็กหน้าชุดโซฟา

           “รู้จักบลอทัน มิแยร์ไหมซีมัส” เฟริคเอ่ยถามขณะที่แม่มดสาวเปิดฝากล่องออก อีกฝ่ายเริ่มขมวดคิ้วเข้ามาอีกครั้ง เขาไม่เคยได้ยินคำๆนี้มาก่อน และเขาก็รู้สึกไม่ดีกับคำๆนี้เสียด้วย ยิ่งเห็นมีดเล่มเล็กๆที่มือเรียวของแม่มดสาวหยิบออกมาวางลงบนโต๊ะ ก็ยิ่งรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

         “โธ่เด็กน้อยจะรู้จักได้อย่างไรกันท่านเฟริค ให้พี่สาวคนนี้อธิบายให้ฟังดีกว่า” เฮลิเวียหัวเราะคิกคักเสียงแหลมออกมา ขณะที่ค่อยๆวางแผ่นกระดาษสีน้ำตาลเก่าๆแผ่นหนึ่งคลี่กางออกมา แล้ววางเชิงเทียนทับไว้ทั้งสี่มุม

          “บลอทัน มิแยร์ คือการทำสัญญาด้วยเลือด ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา คู่สัญญามีสิทธิ์เลือกที่จะทำโทษหรือสั่งให้ตายไปเลยได้” เจ้าของมือเรียวอธิบายไปพลางไล่จุดเทียนไปทีละเล่มจนครบ ซีมัสก็มองตามไปอย่างระแวงระวังทุกๆอริยาบถ

           “ฟังดูดีไหมล่ะซีมัส นี่ข้ายอมแลกขนาดนี้เลยนะ เจ้าน่าจะดีใจ” เฟริคคลี่ยิ้มถาม ซีมัสยังคงไม่ละสายตาออกไปจากเฮลิเวีย ที่กำลังหยิบมีดเล่มเล็กขึ้นมากรีดที่ฝ่ามือตัวเองเบาๆ พร้อมทั้งพึมพำอะไรบางอย่างเป็นภาษาที่ฟังไม่ออก หยดเลือดสีแดงเข้มหยดลงบนพื้นกระดาษที่ปูกางเอาไว้

            หยดเลือดนั้นซึมลงบนกระดาษอย่างรวดเร็วและหายไปในทันที ไม่นานนักก็มีอัครอักษรประหลาดๆปรากฏขึ้นที่หัวกระดาษแผ่นนั้น แววตาคมของแม่มดสาวพินิจพิจารณาข้อความตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยื่นมือทั้งสองข้างส่งให้เฟริคและซีมัส

           “จับมือข้าแล้วค่อยตกลงเนื้อหาพันธะสัญญาของพวกท่าน สัญญาจะมีผลหลังจากที่พวกท่านกรีดเลือดลงบนกระดาษแผ่นนี้ด้วยตัวท่านเองเท่านั้น” เฮลิเวียเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่ซีมัสยังคงขมวดคิ้วแน่น ไม่ยอมขยับตัวไปไหน

           “เจ้าจะหลอกอะไรข้าอีก” เฟริคได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา

           “ข้าก็บอกแล้วนี่ ว่าข้าไม่เคยโกหก”

           “ใช่เจ้าก็แค่ไม่พูดความจริงทั้งหมด”

           “ได้ ข้าจะอธิบายให้ฟังว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ข้าสั่งให้พี่ชายเจ้าทำอะไรก็ได้ แต่ข้าไม่สามารถจะสั่งให้เรียกภูติระดับสูงออกมาได้ ดูเหมือนข้าจะคำนวณตรงนี้พลาดไป แต่ข้ามีแผนสอง เพราะดันมีเจ้าที่เป็นน้องผู้มีปมพี่ชายที่พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อพี่ชาย ข้าก็แค่ต้องการให้เจ้าสัญญาว่าจะทำตามคำสั่งข้าทุกอย่าง แลกกับความปลอดภัยของพี่ชายเจ้า และจะส่งคืนให้ทันทีที่เจ้าทำงานให้ข้าเสร็จสมบูรณ์ ถ้าเจ้าไม่ทำบลอทัน มิแยร์กับข้า ก็ถือซะว่าข้าได้ตุ๊กตาน่ารักๆมาตัวหนึ่งก็แล้วกัน ถ้าข้าเบื่อแล้วอาจจะส่งไปลงสนามรบเล่นๆ” เฟริคอธิบายพลางสอดแขนเข้าไปรวบเอวของลีนัสเข้ามากอดไว้ เอนร่างบางลงมาซบลงที่อก พร้อมทั้งคลี่ยิ้มยียวนกลับไปมองซีมัส

          “ปล่อยมือของเจ้าออกไปจากท่านพี่เดี๋ยวนี้นะ” ซีมัสลุกพรวดขึ้นมาอย่างเดือนดาล

           “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ระบุลงไปในบลอตัน มิแยร์สิซีมัส” เฟริคว่าพลางยื่นมือไปจับมือข้างหนึ่งของเฮลิเวีย ซีมัสถลึงตามองเฟริคด้วยความโกรธเคืองก่อนจะยกมือขึ้นมาจับมืออีกข้างของเฮลิเวียบ้าง

           “ฮิฮิ แน่นจริงๆ อยากจะจับดูทั้งตัวจริงๆ” เฮลิเวียอมยิ้มหัวเราะออกมาเบาๆ ดูถูกอกถูกใจที่ได้จับมือของเด็กหนุ่ม แต่อีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจ

        “เจ้าต้องไม่แตะต้องท่านพี่แม้แต่ปลายเส้นผม แล้วก็ห้ามออกคำสั่งกับท่านพี่อีกเป็นอันขาด” ซีมัสเอ่ยออกมา พลันก็มีตัวอักษรปรากฏขึ้นมาบนกระดาษแผ่นนั้นในฝั่งของซีมัส

        “หึ หึ เจ้านี่หวงพี่จริงๆเลยนะ ได้ ไม่มีปัญหา ถ้าเจ้ายอมฟังคำสั่งของข้าแทนพี่ชายเจ้า เจ้าไปนั่งตรงนั้นไปลีนัส” เฟริคเอ่ยรับแล้วปล่อยมือออกจากเอวบาง ลีนัสก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่งที่ว่างอยู่ ทันทีที่เฟริคเอ่ยตอบ ก็ปรากฏตัวอักษรขึ้นที่ฝั่งของเฟริค

         “อย่าลืมคลายคำสาปออกจากท่านพี่ด้วย” ซีมัสเอ่ยเงื่อนไขออกมาเพิ่มเติม หลังจากที่ค่อยๆเข้าใจหลักการ

          “แน่นอน ทันทีที่เจ้าได้รับชัยชนะที่กรีฟีท” เฟริคตอบด้วยเงื่อนไขกลับมาเหมือนเคย

          “เดี๋ยวนะ ถ้าเกิดข้าตายในสนามรบขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น” ซีมัสนึกขึ้นมาได้หันไปเอ่ยถามเฮลิเวีย

          “ข้อผูกพันทุกอย่างในบลอตัน มิแยร์จะจบลงทันที” แม่มดสาวอธิบาย

         “โอ้ ถ้างั้นเจ้าต้องไม่ฆ่าข้า ไม่งั้นเจ้าจะตายทันที แล้วข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า แต่ถ้าเจ้าเซ่อซ่าตายในสนามรบก็อีกเรื่องนึง พยายามอย่าตายก็แล้วกันซีมัส ไม่งั้น พี่ชายเจ้าจะตกเป็นของข้าโดยสมบูรณ์แบบ” เฟริคสรุปให้พร้อมเสนอเงื่อนไขอีกรอบ

          “ข้าตายเจ้าก็ต้องถอนคำสาป”

          “เอ๋ ถ้าเจ้าแกล้งเซ่อซ่าตายขึ้นมาข้าก็ขาดทุนสิ นี่ข้ายอมไม่แตะต้องพี่ชายเจ้าแล้วนะ ถ้าเจ้าจะให้ข้ายอมรับข้อนั้นเจ้าต้องยอมให้ข้าแตะต้องพี่ชายเจ้า เอาไหมล่ะ ข้าจะได้ดูแลอย่างดีทุกคืนหลังจากนี้ไป ถือว่าเจ้าอนุญาตแล้ว” ระหว่างที่ถกเถียงอยู่นั้น ข้อความบนกระดาษก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ รอยยิ้มที่แฝงความนัยบางอย่างของเฟริค ทำให้ซีมัสอารมณ์เดือดขึ้นมาอีก

          “ก็ได้!! ก็แค่ไม่ตายใช่ไหมล่ะ เจ้าห้ามแตะต้องท่านพี่เป็นอันขาด” เฟริคคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อทำให้อีกฝ่ายยอมตกลงได้สำเร็จ

          “ก็แค่นั้นแหละพ่อน้องชายที่แสนดี” เฟริคว่าแล้วก็ปล่อมมือเฮลิเวียออกแล้วหยิบมีดเล่มเล็กขึ้นมากรีดที่ฝ่ามือตัวเอง ยื่นมือออกไปปล่อยให้เลือดสีแดงสดหยดลงบนกระดาษ เสร็จแล้วก็ส่งมีดเล่มนั้นให้ซีมัส

          ซีมัสรับมาแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หันไปมองลีนัสที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา

          “เจ้าจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ แต่แน่นอนว่าข้าจะไม่คืนพี่ชายให้เจ้า”


End weakness 3/3
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:9 Mastermind 2/3) 4 Feb. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 04-02-2016 16:19:17
Mastermind 1/3


   เสียงแว่วบรรดานกตัวน้อยใหญ่ที่หากินในตอนเช้าประสานกับเสียงหัวเราะคิกคักสนุกสนานของบรรดาเด็กตัวเล็ก ที่วิ่งเล่นกับเพื่อนๆรอมารดาและพี่สาวที่นำเสื้อผ้ามาซักข้างลำธารใหญ่ กิจกรรมยามเช้าอันรื่นเริงสนุกสนานของชาวเมืองบริงไฮด์ดำเนินไปอย่างปกติเหมือนเช่นทุกวัน

   “เจ้าว่าวันนี้น้ำมันเย็นกว่าปกติรึเปล่า” แม่บ้านสาวนางหนึ่งเอ่ยถามกลุ่มเพื่อนที่ซักผ้าอยู่ด้วยกันข้างๆ

   “นั่นน่ะสิ ข้าไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียวใช่ไหม”

   “ต้นฤดูร้อนแท้ๆ ทำไมน้ำเย็นขนาดนี้”

   “นี่มันเย็นขึ้นอีกรึเปล่าเนี่ย เย็นจนมือข้าแข็งไปหมดแล้วนะ”

   “ข้าว่ามันแปลกๆนะ”

   “แม่!!” เสียงเด็กชายตัวน้อยตะโกนเรียกมารดาเสียงแหลมขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ทำให้กลุ่มแม่บ้านหันไปที่ต้นเสียง เห็นเด็กชายตัวเล็กชี้ให้ดูที่พื้นขอบลำธาร สักพักก็ก้มลงไปหยิบก้อนอะไรบางอย่างขึ้นมา

   “มีน้ำแข็งด้วย หน้าหนาวอีกแล้วเหรอแม่?” เด็กน้อยหยิบก้อนน้ำแข็งใสๆที่เกาะอยู่ที่ริมลำธารขึ้นมาโชว์ให้แม่ดูด้วยความตื่นเต้น ทำให้บรรดาแม่บ้านพร้อมใจกันร้องขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

   “เอ๋!!?”



   
   “จากที่ลูกตรวจสอบดูจากรายได้และเงินกองคลังในตอนนี้ หักด้วยค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนนี้ และค่าใช้จ่ายใหญ่ๆที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้แล้ว ลูกเห็นว่า เราค่อนข้างจะเหลืองบประมาณมากพอที่จะสนับสนุนกองทัพให้แกร่งขึ้น เผื่อรับสถานการ์ณที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกไม่นานกับกรีฟิท” วินเฟรด องค์ชายคนโตแห่งบริงไฮด์ เอ่ยสรุปสถานการณ์ทางการเงินให้บิดาฟัง ณ ห้องว่าราชการอันโอ่โถงของกษัตริย์แห่งบริงไฮด์

   “ไหนขอข้าดูรายงานของเจ้าสิ” เอลลอนกษัตริย์วัยย่างเข้าเลขหกที่ยังดูแข็งแรงกำยำ นั่งฟังบุตรชายสรุปเนื้อหาอย่างตั้งใจที่โต๊ะทรงงานตัวใหญ่เอ่ยขึ้น

   “ขอรับ” วินเฟรดวางเอกสารที่ตนได้จัดเตรียมมาอย่างดียื่นส่งให้บิดา เจ้าตัวหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมแล้วตรวจตรารายละเอียดในเอกสารอย่างตั้งใจ จังหวะนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้กษัตริย์เอลลอนต้องถอดแว่นออกมาพร้อมขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด

   “ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนอย่าเข้ามารบกวน” เอลลอนถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นบอกผู้ที่อยู่หน้าห้อง

   “ขออภัยท่านเอลลอน เรื่องนี้ด่วนมากขอรับ” เสียงที่ตอบกลับมามีมากกว่าหนึ่งคน ทำให้สองพ่อลูกเลิกคิ้วมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องด่วนจริงๆ

   “งั้นก็เข้ามา”

   “ท่านเอลลอน ตอนนี้แหล่งน้ำทุกแหล่งในบริงไฮด์กลางเป็นน้ำแข็งหมดแล้วขอรับ” เมื่อประตูห้องถูกเปิดเข้ามา มีขุนนางกรูกันเข้ามาถึงสามคน โดยที่คนที่ก้าวเข้ามาคนแรกรีบอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทันที

   “หา...เป็นไปได้ยังไง นี่มันต้นฤดูร้อนไม่ใช่เหรอ” วินเฟรดขมวดคิ้วถามด้วยสีหน้างุนงง

   “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบขอรับ เหวอ!!” ขณะที่ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยตอบมานั้น ที่นอกหน้าต่างก็ปรากฏฝูงนกพิราบสีขาวปรอดฝูงใหญ่บินถลาเข้ามาในห้อง แล้วมารวมตัวกันที่หน้าโต๊ะทรงงานของกษัตริย์ กลายร่างออกมาเป็นภูติสาวร่างสูงในชุดสีขาวสะอาดยาว มีปีกสีขาวอยู่ในตำแหน่งของหูสามคู่ เรือนผมสีเงินยาวดูนุ่มละมุน

   ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ทุกคนในห้องยืนนิ่งขาแข็งทำอะไรไม่ถูก ความงามของภูติสาวที่เป็นผู้บุกรุกนั้นเป็นที่ตรึงตาบุรุษทุกคนในห้อง จนไม่มีใครคิดว่าจะต้องขับไล่กลับออกไป

   ปลายเท้าเรียวยาวย่างกรายประหนึ่งลอยเคลื่อนกายอันเบาบางเข้าไปหากษัตริย์ที่ยืนตาค้างอยู่ นางวางกระดาษจดหมายสีขาวที่ม้วนผูกริบบิ้นสีทองอร่ามลงบนโต๊ะ คลี่ยิ้มหวานหยดย้อยให้ครู่หนึ่งก่อนจะสลายร่างกลายเป็นดวงไฟดวงเล็กๆที่ลอยหายไปในอากาศ

   “.....” เหล่าขุนนางทั้งสามต่างก็อ้าปากค้างงวยงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ผู้เป็นกษัตริย์นั้นดึงสติตัวเองกลับมาแล้วหยิบจดหมายม้วนนั้นขึ้นมาอ่าน

   “มีอะไรขอรับท่านพ่อ” วินเฟรคเห็นหัวคิ้วสีทองที่แซมสีขาวขมวดชิดเข้าหาจนเกิดร่องลึกกลางหน้าผากของบิดาก็เอ่ยถามขึ้น

   “พวกเจ้าสามคน” เอลลอนถอนหายใจหนักออกมาก่อนจะหันไปหาขุนนางทั้งสาม

   “ขอรับ”

   “ช่วยไปรับแขกที่มาจากเวลเฮมมิน่าที่หน้าประตูวังเข้ามารอที่ห้องรับรองใหญ่ที ดูแลแขกให้ดีที่สุดด้วย” คำสั่งของกษัตริย์ทำให้ขุนนางทำหน้างุนงงกลับมา

   “ท่านเอลลอน แล้วเรื่องแหล่งน้ำ…”

   “นั่นแหละ เรื่องเดียวกัน ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”

   “รับทราบขอรับ” ทั้งสามตอบรับพร้อมกัน แล้วรีบหายไปจากห้องทันที

   “เกิดอะไรขึ้นขอรับ” ผู้เป็นบุตรชายเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ผู้เป็นบิดาไม่มีเวลาที่จะอธิบาย เขาเดินออกมาจากโต๊ะทรงงานแล้วเอ่ยถามบุตรชายกลับไปด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่วินเฟรดรู้ดีว่าน้ำเสียงโทนต่ำของบิดา บ่งบอกว่าพายุใหญ่กำลังจะก่อตัวขึ้นมา

   “เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เฟริคอยู่ที่ไหน”









   หยดเลือดสีแดงข้นหยดลงบนแผ่นกระดาษสัญญาสีน้ำตาลอ่อน ซึมหายไปปรากฏข้อความขึ้นที่ปลายกระดาษครบทั้งสองฝั่ง เปลวเพลิงบนเชิงเทียนก็ดับวูบหายไปพร้อมกันทั้งๆที่ไม่มีกระแสลมเข้ามาแม้แต่น้อย

   “เอาล่ะเรียบร้อย” เฮลิเวียพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับคลายมือคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายออก ซีมัสรู้สึกเหมือนได้ทำอะไรบางอย่างผิดไปหลังจากที่ได้ยินคำๆนั้นของนางแม่มด เขาเฝ้าทบทวนแล้วทบทวนอีก ว่าเขาเพียงแค่โดนเฟริคยั่วโมโหให้ต้องทำบลอตัน มิแยร์ลงไปรึเปล่า ทั้งๆที่ทุกอย่างจบลงแล้ว

   ซีมัสหันไปสบตาลีนัสเพื่อจะหาคำตอบว่าเขาได้ตัดสินใจทำอะไรที่ถูกต้องลงไปหรือไม่ แต่สิ่งที่เขาได้รับ มีเพียงความว่างเปล่าในดวงตาสีเพลิงคู่นั้น

   “ถ้าอย่างนั้นข้อแรกที่ข้าจะสั่งเจ้านะซีมัส ไหนๆข้าเองก็เป็นองค์ชายเจ้าช่วยให้เกียรติข้าบ้าง ข้ารู้ว่าพี่เจ้าสอนมาดี ต่อไปนี้เรียกข้าว่าท่านเฟริคนะ เข้าใจไหม” เฟริคเอ่ยขึ้นอย่าอารมณ์ดี

   “เจ้า!!...อั่ก!!” ซีมัสที่เผลอสบถออกมาก็คำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด ทรุดตัวยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกตัวเองหลังจากที่รู้สึกแสบร้อนขึ้นมา เมื่อถลกคอเสื้อตัวเองออกมาก็เห็นรอยไหม้สีแดงปรากฏขึ้นเป็นตราเวทย์

   “เจ้านี่ขี้ลืมจริงๆ สัญญาอะไรกับข้าไว้ลืมเสียแล้ว ถ้าเจ้าตายก่อนเพราะผิดสัญญาตอนนี้พี่ชายเจ้าก็ตกเป็นของข้านะซีมัส” เฟริคแบมือข้างที่ปรากฏตราเวทย์สีน้ำเงินยกขึ้นมาให้ดู พลางเอ่ยเตือนความจำคู่สัญญาของเขา

   “หรือเจ้าแค่อยากจะลองดูว่าได้ผลจริงรึเปล่า ไหนเรียกข้าใหม่อีกทีสิ” คำสั่งของเฟริคทำให้ซีมัสต้องกัดฟันเอ่ยขึ้นมา

   “......ท่านเฟริค” เมื่อเอ่ยจบความรู้สึกแสบร้อนเมื่อครู่ก็หายไป พร้อมๆกับตราเวทย์บนฝ่ามือของเฟริค

   “เก่งมาก ต้องแบบนั้นสิ ว่าง่ายๆ แบบนี้ค่อยทำงานง่ายหน่อยนะท่านแม่ทัพคนใหม่” เฟริคเอ่ยชมพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู ทำให้ซีมัสกัดฟันแน่น หักห้ามใจไม่ให้ลุกขึ้นมาบีบคอคนตรงหน้า

   อยู่ๆประตูห้องเปิดพรวดพราดเข้ามาอย่างรีบร้อน ห้องขององค์ชายเฟริคไม่น่าจะมีใครกล้าเปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะเพื่อเอ่ยขออนุญาตเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมอง

         นายทหารสี่นายวิ่่งกรูเข้ามาก่อน แล้วยืนล้อมคนในห้องไว้ แถบสีสัญลักษณ์บนเครื่องแบบทหารที่บ่งบอกว่าเป็นทหารอารักขากษัตริย์แห่งบริงไฮด์ ทำให้เฟริคยืนนิ่งไม่ขัดขืนใดๆ

           “ท่านพ่อ ลมอะไรหอบให้ท่านแวะมาหาลูกชายผู้ต่ำต้อยถึงที่นี่ขอรับ” เฟริคน้อมศีรษะลงเคารพบิดาที่เดินตามทหารอารักขาเข้ามาพร้อมๆกับวินเฟรด น้ำเสียงกึ่งประชดประชันของบุตรชาย ทำให้เอลลอนถอนหายใจหนักๆออกมา

          “เฟริค...เจ้าทำอะไรลงไปน่าจะรู้ตัวดี” เอลลอนไม่อยากจะอธิบายอะไรให้มากความนัก จึงได้ยื่นสารที่ตนได้รับมาเมื่อครู่ส่งให้เฟริคอ่านเอาเอง

           “อา..เท่ากับว่าแหล่งน้ำตอนนี้ใช้ไม่ได้สินะขอรับ แล้วก็หืม ? จะเผาคลังเสบียงถ้าไม่คืนเจ้าเมืองให้ดีๆ อา นุ่มนวลน่ารักสมเป็นเวลเฮมมิน่าจริงๆ” เฟริคอ่านไปพลางออกความเห็นไปพลางอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร ทำให้วินเฟรดเดินมาดึงสารนั้นออกจากมือเฟริคแล้วตวาดเสียงดังกลับไปอย่างหงุดหงิด

            “นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะเฟริค กับสถานการณ์กับกรีฟิทตอนนี้ก็เป็นปัญหามากพอแล้ว เจ้าอย่าสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาจะได้ไหม” ซีมัสที่ยืนกอดอกฟังอยู่เงียบๆ ก็แอบพยักหน้าเห็นด้วยกับองค์ชายคนโตอยู่ในใจ ดูเหมือนดาวิสจะเลือกใช้วิธีที่ถูกต้องและไม่มีใครเจ็บตัว เขาเห็นว่าปัญหาต่างๆกำลังจะคลี่คลายไปในทางที่ดี ถ้าไม่ติดตที่เขาดันตกลงทำบลอทัน มิแยร์กับเฟริคไปเมื่อครู่

           “ใจเย็นๆน่า ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นเสียหน่อย ข้าก็ไม่ได้งี่เง่าเป็นเด็กๆขนาดนั้นนะ” เฟริคขมวดคิ้วเถียงกลับไปอย่างหงุดหงิด

             “เฟริค...เวลเฮมมิน่าก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่จะทำให้เวลเฮมมิน่าแข็งกร้าวขึ้นมานะ ข้าไม่อยากเห็นเวลเฮมมิน่าที่ก้าวร้าวหรอกนะ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าใช่ไหม รีบๆคืนของที่ไม่ใช่ของเจ้าไปเสีย อย่างให้ข้าต้องคอยตามเก็บตามเช็ดอะไรที่เจ้าทำไว้ล่ะ” เอลลอนว่าหันไปมองเจ้าเมืองหนุ่มที่บุตรชายพากลับมาด้วย สภาพที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาด้วยแววตาที่ไร้แววก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา

            “รับทราบขอรับท่านพ่อ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่เหลืออะไรให้ท่านต้องเก็บกวาดทั้งสิ้นขอรับ”

            “ท่านพ่อ” โลคัส เด็กหนุ่มวัยกำลังโตน้องชายต่างมารดาอีกคนหนึ่งของเฟริค กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเข้ามาในห้อง เอ่ยเรียกบิดาด้วยน้ำเสียงตื่นๆ

           “ท่านพี่” เมื่อเข้ามาถึงห้องก็หันไปเอ่ยทักวินเฟรด แล้วมาหยุดมองที่เฟริคด้วยสายตาที่แสดงความน่ารังเกียจครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิดหน้าเบือนหนีกลับไปคุยกับบิดา

           “ตอนนี้ที่หน้ารั้ววังวุ่นวายมากขอรับ ประชาชนกรูกันออกมาเพื่อรอฟังคำอธิบาย ดูเหมือนจะมีข่าวลือว่าต้นเหตุที่แหล่งน้ำใช้ไม่ได้ เป็นเพราะคนในวัง เราควรจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดีขอรับ”

            “อา...มาแล้วไงงานเก็บกวาด ” วินเฟรดได้ยินน้องชายอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นก็ยกมือขึ้นมากุมขมับทันที พร้อมคำรามเสียงต่ำออกมาอย่างหงุดหงิด เฟริคลืมคิดถึงจุดที่ดาวิสจะเล่นกับเขาแบบนี้ได้ เพราะถึงเขาจะคลี่คลายเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ข่าวลือนี้จะอยู่ต่อไปอีกพักใหญ่ทีเดียว

           “วินเฟรด ข้าฝากเจ้าไปดูสถานการณ์ข้างหน้าหน่อยแล้วกัน อีกไม่นานแหล่งน้ำจะกลับมาใช้ได้เองนั่นแหละ ใช่ไหมเฟริค” เอลลอนหันไปสั่งบุตรชายคนโตแล้วก็หันมาเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งเรียบกับบุตรชายเจ้าของปัญหา

            “ท่านจะรับว่าต้นเหตุมาจากข้าก็ได้นะท่านพี่ ข้าว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ฟังดูชาวบ้านน่าจะชอบ ท่านจะได้เก็บกวาดน้อยลงหน่อย” เฟริคเสนอขึ้นมา ไหนๆชาวบ้านก็ไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไหร่อยู่แล้ว สู้รับข้อครหาไปเลยอาจจะดีกว่า จะได้สบายใจกันไปทุกฝ่าย

           “เฟริค...เจ้านี่มันพูดมากจริงๆ...รีบๆไปขอโทษเวลเฮมมิน่าเร็วๆก็แล้วกัน” วินเฟรดเดินเข้าไปเหมือนจะเอาเรื่อง แต่ก็เปลี่ยนใจรีบเดินออกไปเพื่อดูสถานการณ์ข้างหน้าตามที่บิดาสั่ง โดยมีน้องชายที่เข้ามาเมื่อครู่รีบวิ่งตามไปติดๆ แต่ก่อนจะไปก็ไม่วายที่จะหันมามองเฟริคอย่างโกรธเคือง เฟริคก็คลี่ยิ้มเยาะกลับไปเสีย

             โลฮานเป็นน้องชายต่างมารดาของเฟริค และก็ไม่ใช่น้องชายที่มาจากมารดาเดียวกันกับวินเฟรดเช่นกัน แต่กลับเชื่อฟังวินเฟรดทุกคำพูดเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ อย่างที่วินเฟรดไม่ต้องพยายามอะไรเลย ในขณะที่เฟริคเองยังไม่ต้องทำอะไรก็ทำให้พี่น้อง รวมไปถึงขุนนางและชาวบ้านเกลียดได้เช่นกัน เพียงเพราะมีสีผิวที่ไม่เหมือนคนอื่นเขา นั่นอาจจะเป็นเหตผลที่เขาอยากจะลองทำอะไรแย่ๆดูสักครั้ง เพราะผลมันก็คงไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่

            “....เจ้าคงไม่ต้องให้ข้าเข้าไปเอ่ยขอโทษเวลเฮมมิน่ากับเจ้าหรอกนะ ใช่ไหม” เอลลอนเอ่ยขึ้นเมื่อวินเฟรดหายไปจากห้องแล้ว

           “ไม่ต้องขอรับท่านพ่อ ข้าจัดการได้ ท่านไม่ต้องห่วง” เฟริคตอบกลับพลางคิดในใจว่าจะเอาคืนดาวิสให้สาสมกับที่ทำให้ในวังต้องปั่นป่วนขนาดนี้

           “.............” เอลลอนจ้องมองบุตรชายกลับไปด้วยใบหน้านิ่งเรียบ

“ขอรับ?” เฟริคเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบิดาไม่ยอมเลิกจ้องหน้าเขาเสียที เหมือนกำลังประเมินอะไรบางอย่างอยู่

            “.....เอาเป็นว่าครั้งนี้ข้าจะเชื่อใจเจ้าดูก็แล้วกัน” ผู้เป็นพ่อเอ่ยทิ้งไว้แล้วเดินออกจากห้องไป ตามไปด้วยทหารองครักษ์สองคน

            คนที่ไม่เคยตัดสินเฟริคก่อนจากรูปลักษณ์ภายนอกก่อน ก็มีแต่บิดา และอีกคนที่เจ้าตัวไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่นัก ก็คือพี่ชายคนโตผู้เพียบพร้อมของบิดาจนน่าหมั่นไส้อย่างวินเฟรด ที่นับวันยิ่งโตขึ้นมาก็ยิ่งเหมือนบิดาขึ้นทุกวัน ถึงแม้จะปากคอเราะรายผิดกับบิดาไปมาก แต่ก็ไม่เคยว่าร้ายเขาอย่างไม่มีเหตุผลเลยสักครั้ง

            “ท่านเฟริค ท่านคงไม่ยกเลิกแผนการของท่านเอาง่ายๆหรอกนะ ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว” เฮลิเวียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานใส เมื่อสถานการณ์ในห้องกลับเข้าสู่ปกติ เฟริคได้ยินเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

            “อะไรๆมันกำลังลงตัวขนาดนี้ คิดว่าข้าจะยอมถอยง่ายๆรึไง” ซีมัสที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ก็พอจะเดาได้ว่าอะไรๆมันคงไม่จบลงง่ายๆอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นดาวิสคงไม่ขอให้เขาเสนอตัวออกมาแบบนี้ หรือบางทีนั่นอาจะเป็นทางเลือกที่ผิดก็เป็นได้









 

               ดาวิสถูกเชิญเข้านั่งรอในห้องรับรองในวังอันโอ่อ่า ตกแต่งห้องด้วยวัสดุชั้นดี สวยงามหรูหราและฟุ่มเฟือยมากในสายตาของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้อง เบื้องหลังใบหน้าอันสงบนิ่งและท่านั่งรอที่ดูใจเย็นนั้น แท้จริงแล้ว เขาเฝ้าสังเกตดูทุกอย่างที่อาจจะผิดปกติอยู่ตลอดเวลา

               รอบนี้เขาต้องไปรบกวนเฮมิสให้กลับเข้ามาช่วย และส่งทหารตามปกป้องเฮมิสที่แอบจู่โจมต้นน้ำอย่างระมัดระวัง ดาวิสยังคงคำนวณหาจุดบ่งพร่องของแผนการของเขาตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เฟริคมั่นใจนักว่าเขาจะสามารถยืมพลังของลีนัสไปใช้ได้

              เสียงคนวิ่งผ่านห้องรับรองไปอย่างรีบร้อน ทำให้ดาวิสพอจะเดาได้ว่าในวังเองก็เริ่มจะวุ่นวายพอสมควร เมื่อมีข่าวลือแปลกๆกระจายออกมาจากปากชาวบ้าน เรื่องข่าวลือนี้เป็นความคิดของลุคซ์เองที่อยากจะเอาคืนเฟริคบ้าง เขาจึงปล่อยให้เจ้าตัวเป็นคนรับผิดชอบหาคนทำตัวกลมกลืนเข้ากับชาวบ้านไป แล้วยุยงให้เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น ดาวิสเองก็ไม่คิดว่าจะเห็นผลได้รวดเร็วขนาดนี้

             เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง แต่สำหรับดาวิสแล้วมันช่างยาวนานเสียแทบจะขาดใจ เสียงฝีเท้าของคนข้างนอกที่กำลังจะเดินเข้ามา ทำให้เจ้าตัวลุกขึ้นยืนพรวดขึ้นมาเพื่อเตรียมรับกับทุกสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในเขตแดนของฝ่ายตรงข้าม

ประตูห้องเปิดออกมาตามด้วยบุคคลที่เขาไม่คาดคิดว่าจะเป็นคนแรกที่เดินเข้ามา เขาไม่คิดว่าเฟริคจะยอมแพ้แล้วปล่อยคืนคนของเขากลับออกมาง่ายๆเช่นนั้น เพราะหลังจากที่ปลีกตัวออกมาจากเฮมิสเพื่อเข้ามาในวังแล้ว ดาวิสไม่สามารถจะรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับลีนัสได้อีก เขารู้แต่เพียงสถานการณ์ล่าสุดที่ลีนัสถูกวางยาแล้วโดนคำสาปยึดร่างไปใช้ ส่วนซีมัสนั้นโดนหลอกฉีดยาสลบแล้วถูกนำไปขังในคุกใต้ดิน

           “...ซีมัส เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

           “ข้าน่ะหรือจะเป็นอะไร” ซีมัสเดินเข้ามาหาพลางยักไหล่ตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ดาวิสงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยของคนอีกคนหนึ่งเดินตามเข้ามา ดาวิสจึงรีบหันกลับไปมอง

           “ลีนัส…” สิ่งแรกที่ดาวิสเห็นคือแววตาอันว่างเปล่าของคนรัก เขารู้อยู่แล้วว่าเฟริคได้ทำอะไรลงไป แต่เมื่อได้มาเห็นแววตาคู่นั้นกับตาตัวเองแล้ว เขารู้สึกปวดใจเหมือนโดนบดขยี้หัวใจ

          “อุก!!” อยู่ๆหมัดหนักๆของซีมัสก็ซัดเข้าที่ลิ้นปี่อย่างแรง ทำให้ดาวิสทรุดลงไปกองที่พื้น

          “ข้าคิดไปเองรึเปล่า เหมือนเจ้าจะใส่อารมณ์ส่วนตัวของเจ้าลงไปด้วยนะซีมัส” เฟริคเดินตามเข้ามาพร้อมกกับโยนเชือกเส้นหนาส่งให้ซีมัสรับไว้ แล้วจับแขนทั้งสองข้างของดาวิสมาไขว้แล้วมัดเชือกเอาไว้แน่น

          “...ซีมัส...เจ้าทำอะไร….ของเจ้า…” ดาวิสเงยหน้ามองอีกฝ่ายแค่นเสียงถามหลังจากที่ไอออกมาแรงๆสองสามที ซีมัสก็ย่อตัวลงไปคว้าคอเสื้อของดาวิสขึ้นมาแล้วกัดฟันตอบอย่างโกรธเคือง

“..เพราะท่านมาช้าไปน่ะสิ” หลังจากที่ต้องเจอเรื่องเลวร้ายหลายๆเรื่อง ทำให้ซีมัสรู้สึกอยากจะระบายออกมาบ้าง และถ้าดาวิสมาถึงเร็วกว่านี้สักนิด เขาคงไม่ต้องตกลงทำบลอทัน มิแยร์ลงไปกับเฟริค เขาเชื่อว่าเรื่องนี้คงจะจบได้สวยกว่านี้

              “ฮะ นี่มันเรื่องอะไรกัน… !?” ดาวิสหันไปถามเฟริคที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับหญิงสาวร่างบางที่ดูน่าสงสัยคนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็รู้สึกถึงคมมีดเย็นๆที่แตะลงมาที่ต้นคอ

              “....ซีมัส?” ดาวิสรู้ว่าซีมัสไม่ชอบหน้าเขาอยู่บ้างก็จริง แต่ก็ไม่ขนาดที่จะหักหลังเขาไปช่วยเฟริคด้วยการเอามีดมาจ่อที่คอเขาขนาดนี้ เฟริคเห็นสีหน้าของดาวิสที่ประหลาดใจกับสถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างถูกใจ

            “ข้าจะสรุปให้เข้าใจง่ายๆนะท่านรอง ตอนนี้ซีมัสจำเป็นต้องทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง ถ้าขัดคำสั่งข้าเมื่อไหร่ข้าสามารถปลิดชีวิตซีมัสได้ทุกวินาที และข้าก็จะทำแบบเดียวกันกับเจ้าเมืองของท่าน โดยใช้ชีวิตท่านเป็นข้อแลกเปลี่ยนไงล่ะ” เฟริคอธิบายอย่างสบายใจพลางเดินมานั่งลงที่ชุดรับแขก ขณะที่หญิงสาวร่างบางระหงเดินจูงมือลีนัสไปนั่งลงที่ชุดรับแขก แล้ววางอุปกรณ์ต่างๆเรียงลงบนโต๊ะเตรียมทำพิธีกรรมอะไรบางอย่างที่ทำให้ดาวิสรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย

             “แม้แต่ท่านเองก็เป็นจุดอ่อนด้วยเช่นกัน” ดาวิสนึกถึงคำพูดของลีนัสเมื่อวันก่อนขึ้นมา เมื่อเฟริคอธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ดาวิสเข้าใจว่าเขาไม่ควรจะพาตัวเองเข้ามาแบบนี้ แต่เพราะไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นถึงได้เข้ามา เพราะอย่างน้อยถ้าจนถึงที่สุดแล้ว เขายังคิดจะฝ่าเข้าไปลีนัสได้ง่ายกว่าอยู่นอกรั้ววัง

             เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เฮลิเวียก็หยิบรากต้นไม้ขนาดฝ่ามือที่รูปทรงเหมือนคนออกมาจากกล่องไม้เล็กๆ รากไม้ต้นนั้นถูกด้ายสีแดงสดพันเอาไว้รอบ เธอจ้องมองรากไม้ในมือเธออย่างลังเลใจ แล้วหันไปสบตามองเฟริคครั้งหนึ่ง

            “ซีมัส ถ้าเจ้าตุกติกแม้แต่นิดเดียวข้าจะฆ่าเจ้าเสีย เข้าใจไหม” เฟริคหันไปย้ำอีกครั้ง แล้วเฮลิเวียก็หันไปยิ้มหวานปนเจ้าเล่ห์ให้ซีมัสทีหนึ่ง ก่อนจะแกะด้ายสีแดงออก พร้อมกับกระซิบภาษาอะไรบางอย่างออกมาเบาๆ

End Mastermind 1/3
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:9 Mastermind 2/3) 4 Feb. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 04-02-2016 16:24:51
   Mastermind 2/3       


           ลีนัสที่นั่งนิ่งๆอยู่บนเก้าอี้รับแขกนั้น อยู่ๆก็หลับตาลงแล้วทิ้งร่างเอนพิงลงไปกับพนักพิงเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งที่ยังมีลมหายใจอ่อนๆเหลืออยู่ ทั้งดาวิสและซีมัสจ้องมองที่ลีนัสด้วยความเป็นห่วงจนแทบจะลืมหายใจทั้งคู่

           พลันมือเรียวก็ขยับวางลงบนเบาะที่นั่งแล้วยันตัวลุกขึ้นมา แล้วค่อยๆกระพริบตาลืมขึ้น นัยน์ตาสีเพลิงที่ตอนนี้กลับมาดูมีแววอย่างมนุษย์ทั่วไป ทำให้คนที่มองอยู่ทั้งสองคนหายใจได้อย่างทั่วท้องมากขึ้น รู้สึกเหมือนว่าตอนนี้ต่อให้อะไรจะเกิดกับเขาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว

           “ท่านลีนัส ชีวิตของท่านดาวิสกับน้องชายท่านตอนนี้อยู่ในมือข้าแล้ว ถ้าท่านยอมตกลงทำสัญญากับข้า...” เฟริคเริ่มอธิบาย แต่สายตาของลีนัสนั้นไม่ได้มองคู่สนทนาเลย เขากวาดสายตาไปรอบๆ ที่โต๊ะตรงหน้า มีกระดาษม้วนเก่าๆวางอยู่แล้วเทียนสี่เล่มวางยึดสี่มุม มีแม่มดสาวคนหนึ่งยืนผายมือส่งให้

           “บลอทัน มิแยร์สินะ ท่านไม่ต้องทวนหรอก ข้ารับรู้ทุกอย่าง แค่ขยับตัวเองไม่ได้เท่านั้นเอง” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาน้ำเสียงเรียบๆ พลางปลายตามองไปยังเฟริคอย่างแค้นเคืองนิดๆ เฟริคก็ยิ้มอย่างมีนัยกลับมา เขารู้ดีว่าลีนัสไม่ได้โกรธเขาแค่เรื่องที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ

            “ท่านเฟริค!!” ดาวิสเห็นอาการเช่นนั้นของเฟริคก็พอจะเดาอะไรๆได้ จึงคำรามเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาอย่างโมโหพร้อมขยับตัวพยายามจะกระชากเชือกที่พันอยู่ข้างหลังให้หลุด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เฟริคหันไปยิ้มให้ดาวิสนิดๆก่อนจะเบือนหน้ากลับมาคุยกับลีนัส

           “เอาล่ะ ท่านเจ้าเมือง ในเมื่อท่านรับรู้ทุกอย่างก็ดีแล้ว ท่านก็เข้าใจสินะว่าถ้าไม่ทำบลอตัน มิแยร์ ท่านดาวิสจะต้องตาย” เฟริคเอ่ยย้ำขึ้นมาอีกครั้งเป็นการเร่งเร้าให้ลีนัสยอมทำสัญญา

          “ท่านเฟริค ทำไมไม่คิดว่าข้าสามารถฆ่าท่านทิ้งได้ทันทีที่ข้าเพียงแค่คิดล่ะขอรับ” ลีนัสเอ่ยขู่อีกฝ่ายไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทว่าเฟริคกลับไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น

          “ข้ารู้ว่าท่านก็ทำได้แค่ขู่ ถ้าข้าตายโดยที่ซีมัสไม่ฆ่าท่านดาวิสเสีย ซีมัสก็ตายเพราะขัดคำสั่งข้าเช่นกัน ท่านอยากจะลองวัดดูไหมล่ะ ว่าสุดท้ายแล้วจะเหลือใคร” เฟริคเอ่ยอย่างท้าทายกลับมา ทำให้ดาวิสพอจะเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น

           “ซีมัส...ถ้าอย่างนั้นแล้วจากนี้ไปข้าฝากท่านลีนัสไว้กับเจ้าก็แล้วกัน ลงมือเถอะ อย่าปล่อยให้ท่านลีนัสตกอยู่ใต้สัญญาอะไรนั่นนะ” ดาวิสตัดสินใจเอ่ยขึ้นมา เฟริคได้ยินก็คลี่ยิ้มกริ่มขึ้นมา คำพูดนั้นเป็นการเร่งเร้าให้ลีนัสยอมทำบลอทันมิแยร์ที่ได้ผล

           “เดี๋ยว...อย่านะซีมัส” อยู่ๆภาพดามอนต์ที่ถูกไฟเผาเมื่อครั้งก่อนก็โผล่ขึ้นมาในความคิดของลีนัส ทำให้เขารีบลุกพรวดขึ้นยืนเอ่ยห้ามทันที โดยที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือตามนั้นหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว นอกจากเขาจะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับโรเซ่แล้ว เขายังจะปล่อยให้ซีมัสริดรอนชีวิตบุตรชายทั้งสองของนางอีก

            ซีมัสนั้นไม่ได้มีความคิดที่จะทำตามที่ดาวิสมาเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขากลับพร้อมที่จะสละชีวิตตัวเองตั้งแต่เข้าใจแผนการของเฟริคแล้ว เขาเพียงแต่รอยืนยันอีกครั้งว่าพี่ชายของเขากลับมาแล้วจริงๆเท่านั้น และการลุกขึ้นมาปกป้องดาวิสนั้นก็เป็นการยืนยันที่เพียงพอแล้ว

           ซีมัสถอนใจออกมาอย่างนึกน้อยใจที่ลีนัสไม่ไว้ใจเขา มีหรือที่เขาจะกล้าทำอะไรดาวิส คนที่ช่วยสนับสนุนและสอนอะไรต่อมิอะไรให้มากมาย จนตัวเองมีค่าขึ้นมา เพียงพอที่จะยืนอยู่เคียงข้างลีนัสได้ทุกวันนี้

           “ท่านพี่ ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่ผ่านมาขอรับ” ซีมัสคลี่ยิ้มจางๆเอ่ยขึ้น พลางคลายคมมีดที่จ่อคอดาวิสออกแล้วโยนทิ้งไป

             “อะไรนะ!!?” ดาวิสรีบหันไปหาซีมัสทันที เฟริคที่นั่งไขว้ห้างกอดอกอย่างสบายใจอยู่เมื่อครู่ ได้ยินสิ่งที่ซีมัสเอ่ยออกมาก็รีบไขว้ขากลับมาเปลี่ยนอิริยาบถทันที นี่ไม่เวลามานั่งสบายใจอีกแล้ว เกมส์ที่เขาวางไว้เสียกระบวนลงไปทันที

             “ข้าพร้อมแล้วเฟริค ข้าก็แค่ต้องตายสินะ” ซีมัสหันไปเอ่ยบอกเฟริคด้วยแววตาที่ท้าทาย  ตราเวทย์ปรากฏขึ้นที่หลังมือของเฟริค แต่เจ้าตัวกลับไม่ทำอะไร ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา

             จังหวะนั้นเองที่ภูตในร่างดาบเล่มใหญ่สีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นมาจ่อที่คอเฟริค ลีนัสเกือบจะสั่งให้ปลิดชีวิตองค์ชายตรงหน้าเสียแล้ว หากอีกฝ่ายไม่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่ายอมแพ้เสียก่อน

              “เฮ้อ...ข้ายอมแล้วท่านเจ้าเมือง” เฟริคนั่งยกแขนสองข้างทำท่ายอมแพ้ เอ่ยออกมานิ่งๆ เขายอมรับแต่โดยดีว่าคำนวณแผนการผิดพลาดไป เฟริคที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในรั้ววัง คุ้นเคยแต่การชิงดีชิงเด่นกัน ไม่คิดว่าจะมีคนที่ยอมเอาชีวิตตัวเองแลกให้คนอื่นแบบนี้ ทั้งสองคนเลยทีเดียว

             “ท่านเฟริค!?” เฮลิเวียขมวดคิ้วขึ้นเสียงนิดๆอย่างตำหนิไปที่องค์ชาย ที่ไม่ยอมลงมือทำอะไรสักอย่าง แถมยอมแพ้ง่ายๆเสียอย่างนั้น

          “เจ้าอยากให้จบแบบนี้หรือเละเทะกว่านี้ล่ะเฮลิเวีย” เฟริคเอ่ยถามกลับไป เขาพอจะเดาออกว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาเผลอฆ่าซีมัสไป มันต้องไม่จบแค่ภูติที่ออกมาแค่ดาบยักษ์เล่มนี้เล่มเดียวแน่ๆ

           “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวละกัน ยังไงก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว” หญิงสาวถอนหายใจพร้อมกรอกตาขึ้นอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะพาร่างอันอ้อนแอ้นเดินจากไป

            “กรี้ด!!” ยังไม่ทันที่เฮลิเวียจะได้ก้าวเท้าไปไหนได้ไกล เธอก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาเมื่ออยู่ๆที่ขาของเธอก็มีก้อนน้ำแข็งเกาะขึ้นมาถึงเข่า ยึดชายกระโปรงและขาของเธอให้ติดไว้ เดินไปไหนไม่ได้

             “ข้ายังไม่ได้อนุญาตให้เจ้าไปไหนทั้งสิ้นเฮลิเวีย แม่มดที่มีอายุเป็นร้อยกว่าปีอย่างเจ้า คร่าชีวิตหญิงสาวบริสุทธิ์ไปกี่ชีวิตแล้ว ข้าจะรับเจ้าไปดูแลต่อเอง” ลีนัสยืนกอดอกปลายตามองไปยังเฮลิเวียด้วยสายตาที่เย็นชา

             สำหรับเฮลิเวียที่เป็นแม่มดนั้น เธอรู้ดีว่าในสายตาของลีบลา เธอเป็นเหมือนเชื้อโรคตัวหนึ่งที่ต้องรีบกำจัดทิ้ง ที่ยอมร่วมมือกับเฟริคเพียงเพราะอยากจะแก้แค้นลีบลาให้ได้สักครั้ง แต่เมื่อไม่สำเร็จเธอจึงพยายามปลีกตัวออกไป เมื่อถูกจับตัวไว้เช่นนั้นแม่มดสาวก็ส่งสายตาเว้าวอนไปให้เฟริคอย่างไม่มีทางเลือก

             “....โทษทีนะเฮลิเวีย ข้าคงต้องยกเจ้าให้ไปตามนั้น” เฟริคที่เพิ่งจะรู้ความจริงเกี่ยวกับเจ้าตัวก็สะดุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบสายตาเว้าวอนคู่นั้นกลับไป เฮลิเวียเห็นว่าไม่มีประโยชน์แล้วจึงพยายามจะดึงขาตัวเองออกมาจากน้ำแข็งเสียเอง

             “ร่างเจ้ามันอยู่มานานแล้ว ระวังดึงแรงเกินไปมันจะหลุดออกจากกันนะ” ซีมัสที่เห็นว่าเฟริคยอมแพ้แต่โดยดีแล้ว ก็เอ่ยเตือนเฮลิเวียขึ้นมา พลางเดินไปหยิบมีดที่ตัวเองโยนทิ้งไปเมื่อครู่ขึ้นมา แล้วเอามาตัดเชือกที่มัดแขนดาวิสออก

              “ขอบใจซีมัส” ดาวิสคลายแขนทั้งสองข้างออกมาได้ก็ลุกขึ้นมาหันกลับมาตบไหล่ซีมัสเบาๆ

               “อา...นี่ถ้าท่านพี่ไม่ห้ามไว้ข้าคงฆ่าท่านทิ้งไปแล้ว” ซีมัสทำเสียงขึ้นจมูกรับคำขอบคุณ แล้วประชดกลับไปอย่างหัวเสีย ดาวิสก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าตัวหงุดหงิดเรื่องอะไร

             “เอาเป็นว่าข้าขอโทษแล้วกันที่ขอให้เจ้าลงมือ แล้วก็ขอโทษด้วยที่มาช้าไปหน่อย” ดาวิสบอกซีมัสแล้วหันไปทางลีนัส ก็เห็นว่าอีกฝ่ายหันมาทางเขาเช่นกัน เพื่อจะดูว่าปลอดภัยดีหรือไม่ แต่เมื่อสบตาเข้ากับดาวิส เจ้าตัวก็ขมวดคิ้วแสดงสีหน้าโกระเคืองออกมาก่อนจะเบือนหน้าหนีกลับไปทางเฟริค

             “หะ?” ดาวิสเห็นท่าทางของลีนัสเช่นนั้นก็อุทานออกมาเบาๆอย่างไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ตอนนี้เขาอยากจะเข้าไปกอดเสียแทบแย่ ทำไมเจ้าตัวถึงตีหน้าเช่นนั้นกลับมา

           “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” อยู่ๆประตูห้องรับรองแขกก็ถูกเปิดพรวดเข้ามา เพราะเสียงร้องของเฮลิเวียเมื่อครู่ ทำให้วินเฟรดส่งทหารกรูกันเข้ามาในห้องสี่นาย ภาพดาบเล่มยักษ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ จ่ออยู่ที่คอของเฟริคทำให้ทุกคนที่เดินเข้ามายืนงงกันไปตามๆกัน

             “....เฟริค นี่เจ้าทำอะไรลงไปอีกล่ะ” หัวคิ้วสองข้างของวินเฟรดขมวดเข้าหากันแน่น แววตาสีฟ้าสบมองน้องชายที่นั่งนิ่งยกแขนสองข้างขึ้นมีดาบเล่มยักษ์ลอยจ่ออยู่ เขาเชื่อว่าถ้าเฟริคส่งเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่าคืนให้ดีๆ เขาคงไม่ได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นแบบนี้แน่ๆ

              “อ่า ข้าจัดการได้ท่านพี่ ไม่ต้องห่วง” เฟริคขยับมือข้างหนึ่งส่งสัญญาณบอกพี่ชายว่าไม่ต้องเข้ามายุ่ง เฟริครู้ว่าการยิ่งมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ลีนัสจะยิ่งเล่นงานเขากลับได้มากขึ้น เพราะถ้าลีนัสต้องการจะเอาคืนเขาด้วยการฆ่าเขาจริงๆ ป่านนี้คงไม่ได้เป็นคนเอ่ยตอบวินเฟรดกลับไปเช่นนี้ได้

             แต่เมื่อวินเฟรดหันไปมองลีนัสที่กำลังยืนตัวตรงยกแขนขึ้นกอดอกนิ่งๆ เห็นแววตาสีเพลิงที่จ้องมองเฟริคอย่างโกรธแแค้นเช่นนั้นแล้ว ไม่เห็นว่าจะเป็นไปอย่างที่เจ้าตัวว่าสักนิด

             “ท่านเจ้าเมือง...มีอะไรที่น้องชายข้าทำให้ท่านไม่พอใจไปข้าต้องขออภัยด้วย หากมีอะไรที่ข้าพอจะชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ โปรดเสนอมาเถิด” วินเฟรดรีบยื่นข้อเสนอออกมาอย่างนอบน้อม ทำให้ลีนัสถอนหายใจหนักออกมา แล้วดาบเล่มใหญ่ที่จ่อคอของเฟริคอยู่นั้นก็หายไป

             “องค์ชายวินเฟรด ข้าเห็นแก่หน้าท่านก็แล้วกัน แต่ข้าจะปล่อยให้แหล่งน้ำของท่านใช้งานไม่ได้แบบนี้ไปอีกห้าวัน ถ้าน้องชายท่านฉลาดพอ ก็น่าจะหาวิธีเอาชีวิตคนในเมืองรอดไปได้นะขอรับ” เมื่อดาบเล่มยักษ์นั้นหายไปวินเฟรดก็โล่งอกขึ้นมาเปราะหนึ่ง แต่ข้อเสนอต่อไปของลีนัสทำให้เฟริครู้สึกจุกขึ้นมา

              “แต่ถ้าคิดว่าน้องชายท่านไม่มีค่าขนาดนั้น ท่านจะเปลี่ยนเป็นประหารทิ้งเสียตรงนี้ด้วยตัวท่านเอง ข้าจะคืนแหล่งน้ำให้ตอนนี้” เฟริคคิดว่าลีนัสจะต้องเล่นเขาคืนแน่ๆอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าลีนัสจะเอาคืนเขาขนาดนี้ เฟริคเริ่มไม่มั่นใจว่าที่ลีนัสไม่ได้ลงมือฆ่าเขาเมื่อครู่ เพียงเพราะไม่อยากฆ่า หรือไม่อยากให้มือตัวเองเปื้อนเลือดเท่านั้นกันแน่ ในขณะที่เฟริคตกอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถจะควบคุมสถานการณ์ได้นั้น เขาก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของบิดาเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย

              “ดูเหมือนข้าจะต้องเลือกอย่างหลังนะ”

              “ท่านพ่อ?” วินเฟรดหันไปหาบิดาที่เดินเข้ามาในห้องเงียบๆ

             “ห้าวันที่ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงไร่นาที่ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว สร้างผลกระทบกับเสบียงในระยะยาว ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูกรีฟิทเมื่อไหร่ ข้าเชื่อว่าสงครามจะมาถึงเร็วขึ้นอีก ข้าไม่เลือกที่จะเสี่ยงขนาดนั้นหรอกนะ ข้าเสียใจด้วยนะเฟริค เจ้าทำเรื่องที่ไม่ควรจริงๆ” ผู้เป็นกษัตริย์แห่งบริงไฮด์ตัดสินสถานการณ์อย่างไม่ลังเล ทำให้เฟริคเหมือนโดนตบฉาดใส่หน้าเข้าอย่างแรง เขารู้ตัวว่าทำอะไรพลาดไป และพร้อมจะรับผิดชอบเองทุกอย่าง ไม่ได้ต้องการให้ใครเข้ามาปกป้องแต่อย่างใด แต่พอได้ยินคำตัดสินที่ไร้เยื่อใยของบิดาเช่นนั้น ก็อดที่จะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่กลางอกเสียไม่ได้

            “....ท่านพ่อ” วินเฟรดเอ่ยค้านขึ้นมา แววตาของบิดาก็เคลื่อนมาจับจ้องบุตรชายคนโต

           “หรือเจ้าจะบอกว่าเจ้ารับผิดชอบไหว” คำถามของบิดาทำให้วินเฟรดพูดต่อไม่ออก เขาไม่มีอะไรจะเถียงกลับไปจริงๆ

           “เฟริค ข้าเสียใจจริงๆที่เลี้ยงเจ้ามาจนถึงป่านนี้เจ้ายังดื้อกับข้าไม่เปลี่ยน ข้าไม่ได้เกลียดเจ้านะ แต่ในฐานะของข้า ข้าจำเป็นต้องเลือก…...โทเรส ข้าขอยืมดาบเจ้าหน่อย แล้วก็พวกเจ้าออกไปข้างนอกให้หมด” เอลลอนหันไปหาหัวหน้านายทหารที่อยู่ในห้อง แล้วยกมือขึ้นปัดเบาๆบอกให้ทุกคนออกไปจากห้องแล้วปิดประตูห้องรับรองลง

ในห้องนั้นเหลือเพียงแขกและเจ้าบ้านหกคน ห้องรับรองแห่งนี้ก็ตกอยู่ในบรรยากาศที่แสนอึดอัด โดยเฉพาะกับเฟริค

           “ท่านพ่อ ข้าว่าเรื่องนี้เรายังเจรจากันได้…” วินเฟรดมองดาบที่อยู่ในมือของบิดาอย่างหวั่นใจ ไม่คิดว่าบิดาจะพร้อมให้ลงมือเลยในทันทีขนาดนี้

           “วินเฟรด เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเด็ดขาดกว่านี้นะ ถ้าเจ้าไม่ลงมือข้าจะลงมือเอง” เอลลอนเอ่ยกลับไปพร้อมกับยื่นดาบเล่มนั้นส่งให้

          “......” วินเฟรดลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับดาบเล่มนั้นมา เพราะเขาไม่อาจจะปล่อยให้บิดาเป็นคนลงมือเองได้

          “เฟริค…” วินเฟรดเดินถือดาบเล่มยาวตรงเข้ามาหาน้องชายที่นั่งอยู่บนโซฟา ถอนหายใจออกมาหนักๆแล้วพยักหน้าเรียกให้อีกฝ่ายเดินออกมานั่งลงตรงหน้า

“ท่านลีนัส...อย่างน้อยๆอย่าให้คนของข้าเป็นคนลงมือเลย ข้าขอล่ะ” เฟริคลุกขึ้นมาเพื่อจะเดินไปคุกเข่ารับโทษตามที่พี่ชายเรียก แต่หยุดขอต่อรองกับลีนัสเสียก่อน

           “อา..นี่เป็นคำพูดของคนที่บีบให้ข้าฉีดยาสลบใส่เจ้าเมืองตัวเองแล้วปล่อยให้พาออกไปจากเมืองหรอกหรือนี่” ดาวิสที่ยืนกอดอกนิ่งๆอยู่ตรงนั้นมาตลอด ประชดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

          “.....” เฟริครู้สึกเหมือนโดนพิษของตัวเองกลับมาเมื่อได้ยินสิ่งที่ดาวิสพูด เขาถอนใจหนักๆก่อนจะเดินไปหาวินเฟรด

          “ท่านพี่ ข้าขอโทษ นี่จะเป็นงานเก็บกวาดงานสุดท้ายจริงๆ แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่ผ่านมา ท่านเป็นพี่ชายคนเดียวที่เห็นว่าข้าเป็นน้องคนนึง และข้าก็ดีใจที่เกิดมาเป็นน้องของท่าน” เฟริคถอดใจเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนตาย แล้วลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าวินเฟรดที่ตอนนี้กัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น หลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้นของเฟริค

           “เจ้านี่มัน…..เก่งแต่สร้างปัญหาจริงๆ” วินเฟรดทิ้งดาบเล่มนั้นไปแล้วทรุดตัวลงไปคุกเข่าลงกับพื้นหันหน้าเข้าหาลีนัส

           “ท่านลีนัส ข้ารู้ดีว่าน้องชายข้านั้นทำความเสียหายให้ท่านมากมายนัก หากมีอย่างอื่นที่พอจะชดเชยความผิดในครั้งนี้ได้ ข้าก็ยินดีชดเชยให้” เฟริคเห็นพี่ชายที่ลงไปคุกเข่าเช่นนั้นก็รีบเข้าไปดึงตัวพี่ชายกลับขึ้นมายืนด้วยความรู้สึกผิด แต่อีกฝ่ายไม่ยอมขยับไปไหน

             “ท่านพี่ อย่าทำแบบนี้เลยขอรับ ท่านลีนัส ข้าขอโทษ อภัยให้ข้าเถอะ อย่าให้ท่านวินเฟรดต้องทำแบบนี้…..” เมื่อขยับเขยื้อนตัวพี่ชายไม่ได้ ก็หันไปก้มหัวขอโทษลีนัสอีกครั้งหนึ่ง

             เอลลอนเพียงทอดตามองบุตรชายทั้งสองอย่างเงียบสงบ ตอนนี้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดที่ยาวนานและอึดอัด หลังจากที่เฟริคได้เอ่ยไปจนจบแล้ว ครู่หนึ่งลีนัสก็ถอนหายใจออกมาแล้วเดินเข้าไปหาวินเฟรด ทรุดตัวลงไปเพื่อจะยกอีกฝ่ายกลับขึ้นมายืนอีกครั้ง

              “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ และขออภัยที่ท่านต้องมาทำอะไรเช่นนี้ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดท่าน” เมื่อวินเฟรดลุกขึ้นยืนแล้ว ลีนัสก็หันไปเอ่ยกับเอลลอนอย่างนอบน้อม

              “ท่านเอลลอน ข้าคืนแหล่งน้ำให้ท่านแล้ว อีกไม่เกินสองชั่วโมง ทุกอย่างจะเป็นปกติ ขออภัยที่ต้องทำเช่นนี้”

              “ขอบคุณ” เอลลอนคลี่ยิ้มจางๆพร้อมพยักหน้าตอบกลับไป

              “ขอบคุณท่านลีนัส” วินเฟรดเอ่ยขึ้นมาอีกคน พร้อมเอื้อมมือกดหัวเฟริคที่ยังทำหน้างุนงงไม่เชื่อหูตัวเองอยู่นั้น ต้องก้มหัวตามลงไปด้วย

              “ข้าหวังว่าจะไม่มีคราวหน้า ส่วนเฮลิเวียของท่าน ข้าขอเก็บไปดูแลต่อที่เวลเฮมมิน่านะขอรับ” ลีนัสตอบกลับไปแล้วเดินไปหาเฮลิเวียที่ตอนนี้ขยับไปไหนไม่ได้ กำลังมองลีนัสด้วยสายตาที่ทั้งโกรธที่งกลัวผสมผสานกันอยู่

             “ข้าไม่ไปกับลีบลาอ่อนหัดอย่างเจ้าหรอก” เฮลิเวียโน้มตัวเข้าไปเอ่ยเหยียดลีนัสใกล้ๆเพื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่าย แต่สีหน้าของลีนัสไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาแตะที่ข้างใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆแล้วเอ่ยกลับไป 

            “ข้าอยากให้เจ้าลองยาพิษของเจ้าเองดูสักครั้งจริงๆ แต่ช่างเถอะ” สิ้นคำพูดของลีนัส น้ำแข็งที่เกาะกุมขาของเฮลิเวียก็มลายหายไป พร้อมกับร่างบางระหงที่ล้มลงไปนอนหลับสนิทกองอยู่ที่พื้นห้องทันที

            เจ้าเมืองหนุ่มก้าวเท้าถอยออกมา ปล่อยให้ร่างของหญิงสาวร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างไม่ใส่ใจ ชักมือตัวเองกลับมากุมไว้ในท่วงท่าที่สุขุม แววตาสีเพลิงทอดมองร่างที่นอนนิ่งตรงหน้าอย่างเย็นชา ครู่หนึ่งก็ปรากฏกลุ่มควันสีดำทมึนขึ้นมาที่พื้นห้องล้อมรอบร่างของเฮลิเวียเอาไว้

           กลุ่มควันนั้นรวมตัวกันใหญ่ขึ้น แล้วค่อยรวมร่างออกมาเป็นรูปทรงคล้ายฝ่ามือใหญ่ที่กางออก ฝ่ามือข้างนั้นตบลงมาทับร่างที่นอนหมดสติของหญิงสาว กลุ่มควันนั้นจมหายไปกับพื้นห้อง เหลือไว้เพียงพื้นห้องเปล่าๆ ร่างที่นอนอยู่เมื่อครู่หายไปกับตา

ลีนัสหยุดมองดูพื้นห้องที่ว่างเปล่าตรงหน้าครู่หนึ่งก็ละสายตาออกมา หันมามองที่เจ้าบ้านที่ยังคงมองพื้นห้องตรงนั้นอยู่ด้วยความงุนงง ว่าร่างของคนๆหนึ่งอยู่ๆจะหายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร

           “ข้าหมดธุระที่นี่แล้ว ขอตัวกลับเวลเฮมมิน่านะขอรับ” ลีนัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่เฟริคสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มพออกพอใจที่เจ้าตัวแอบซ่อนไว้ลึกๆ หลังจากที่ได้เอาคืนแม่มดตัวแสบที่กล้าเอ่ยสบประหม่าเขาไปเมื่อครู่

           “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปส่งข้างหน้า” วินเฟรดเรียกสติของตัวเองกลับมา พร้อมทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี เดินนำแขกทั้งสามออกจากห้อง

           “ขอบคุณที่อภัยให้ลูกชายที่ไม่เอาไหนของข้า ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ยังไงข้าก็ฝากทักทายและขอโทษท่านเฮมิสด้วย ที่ทำให้ต้องลำบากมาถึงที่นี่” เอลลอนที่ยืนอยู่หน้าทางออก เดินเข้ามาจับมือลีนัสพร้อมเอ่ยลา คำพูดของบิดาบ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าตัวนั้นรู้จักกับอดีตเจ้าเมืองพอสมควร ทำให้เฟริคพอจะได้รู้เหตุผล ที่ทำให้บิดาตัดสินและยืนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าได้อย่างใจเย็น

           “....ท่านพ่อ ข้าถามจริงๆเถอะ ท่านไม่ได้สนใจชีวิตข้าจริงๆ หรือเพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าท่านลีนัสจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นกันแน่ขอรับ” เมื่อห้องรับรองนั้นเหลือเพียงสองพ่อลูก เฟริคก็ลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยถามบิดากลับไป เอลลอนก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาพร้อมหัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ

            “เจ้ายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ เฟริค ถ้าคิดได้แล้วก็เลิกทำตัวมีปัญหาแล้วฟังข้ากับพี่ชายเจ้าบ้าง” เอลลอนเอ่ยทิ้งไว้เท่านั้น แล้วเดินออกไปจากห้องไป ทิ้งให้เฟริคครุ่นคิดอยู่คนเดียวต่อไป เขาไม่คิดว่าบิดาจะเดาทางของเขาและลีนัสได้ขนาดนี้

             “.....!!!” เฟริคนึกถึงคำพูดที่บอกวินเฟรดก่อนตัดสินใจรับโทษประหารเมื่อครู่ขึ้นมาได้ นอกจากเขาจะโดนบทเรียนหนักๆไปแล้ว ดูเหมือนหลังจากนี้คงจะโดนวินเฟรดเอาเรื่องนี้กลับมาอ้างถึงบ่อยครั้งเป็นแน่แท้


End Mastermind 2/3
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:9 Mastermind 2/3) 4 Feb. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: zeroshadaw ที่ 06-02-2016 00:04:48
ชอบมากเลย มาต่อเร็วๆน้าาาาา
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:9 Mastermind 3/3) 15 Feb. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 15-02-2016 14:53:05
Mastermind 3/3




               ดาวิสพยายามจะคิดว่าเขาอาจจะคิดไปเอง ที่เห็นว่าลีนัสเหมือนจะโกรธอะไรบางอย่าง จากที่ได้สบตากันหลังจากที่คลายคำสาปไปแล้ว แต่ระหว่างที่เดินออกมาข้างนอก เหมือนว่าลีนัสพยายามจะเลี่ยงการสบตากับเขาตลอดเวลา กระทั่งร่ำลากับเจ้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ดาวิสจะยื่นมือส่งให้ลีนัสพยุงตัวขึ้นรถม้า ก็ถูกเมินเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

“...ข้าต้องควบม้าตามดูข้างๆ เจ้าเข้าไปนั่งกับท่านลีนัสแล้วกัน” ดาวิสลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะหันไปบอกซีมัส ถึงตอนนี้เขาจะอยากคุยกับลีนัสให้รู้เรื่องมากแค่ไหน แต่หน้าที่ของเขายังไม่จบลงจนกว่าจะถึงเวลเฮมมิน่า

           “...ไม่ล่ะ ข้าเบื่อจะนั่งข้างในละ ข้าขอม้าดีกว่า” ซีมัสยักไหล่ตอบกลับมา พร้อมเดินเบี่ยงออกไปทางอาชาสีดำขลับที่ยืนรออยู่ข้างๆ

           “...ขอบใจซีมัส” ถึงซีมัสจะแกล้งพูดเหมือนเอาแต่ใจ แต่ดาวิสรู้ดีว่าซีมัสตั้งใจเปิดโอกาสให้ จึงกระซิบเอ่ยตามไปเบาๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในรถม้า

           เมื่อก้าวเข้ามาภายในรถม้า ก็เห็นว่าลีนัสนั่งชิดริมหน้าต่างพิงขอบอยู่ฝั่งหนึ่ง เขาปลายตามองดาวิสกลับมาครู่หนึ่งก็เบือนออกไปมองนอกหน้าต่างทันที บรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ทำให้ดาวิสคิดว่า กลับไปเรียกซีมัสมาอาจจะดีกว่า แต่เขาก็อยากจะคุยให้รู้เรื่องเสียตอนนี้ ไหนๆซีมัสก็เปิดทางให้เช่นนี้แล้ว

          “ท่านเฮมิสก็เตรียมตัวเดินทางกลับเหมือนกัน คิดว่าจะได้รวมตัวกันที่นอกเมืองพอดี” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาเสียงราบเรียบโดนที่ไม่ละสายตาออกมาจากหน้าต่าง

            “รับทราบขอรับ...ขอนั่งข้างๆได้ไหมขอรับ” ดาวิสตอบกลับไปเรียบๆเช่นกัน แล้วทรุดตัวลงไปนั่งที่นั่งข้างๆอีกฝ่ายที่ว่างอยู่ โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ลีนัสก็หันมาขมวดคิ้วใส่ทันที

            “ข้ายัง…” ก่อนจะได้ปริปากออกมา รถม้าก็เคลื่อนออกพอดี เจ้าตัวเลยสะดุดคำพูดตัวเองไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อจะพูดต่อก็ถูกอีกฝ่ายแย่งถามกลับมา

             “ท่านเจ้าเมือง มีอะไรที่ข้าทำให้ท่านไม่พอใจไปขอรับ” เมื่อเจ้าตัวได้ยินเช่นนั้นก็เบือนหน้าหลบไปอีกครั้ง

             “....ไม่มีอะไรนี่ขอรับ” ตอบกลับมาเสียงแผ่วๆ

             “ท่านไม่พอใจที่ข้าไปรบกวนท่านเฮมิสรึเปล่าขอรับ” สิ้นคำถามเจ้าเมืองหนุ่มก็ส่ายหัวกลับมาเบาๆ ดาวิสรู้สึกว่าเขาคงต้องเล่นเกมส์ทายปัญหาไปเรื่อยๆเสียแล้ว

             “ข้าผิดเองที่อ่านเกมส์ของท่านเฟริคไม่ออก ถ้าไม่ไปรบกวนท่านเฮมิส ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันขอรับ เรเชลก็ยังไม่เก่งขนาดนั้น”

               “หรือท่านไม่พอใจ ที่ข้ามาช้าขอรับ” ดาวิสไล่เดาต่อไปอีก

               “.....ก็บอกว่าไม่มีอะไรไงล่ะขอรับ...ขอบคุณที่มารับข้ากลับไปนะขอรับ” ลีนัสยังคงตอบกลับไปโดยเลี่ยงไม่หันไปสบตาผู้ที่อยู่ข้างๆ

               “.....หรือไม่พอใจที่ข้าเรียกซีมัสออกมาเพื่อให้ท่านเฟริคพาไปบริงไฮด์ขอรับ”

             “ท่านจะถามไปถึงไหน ข้าขอพักบ้างจะได้ไหม…..อะไรนะ ท่านเป็นคนเรียกซีมัสออกมาอย่างนั้นเหรอ” ลีนัสกำลังจะตัดบททิ้งเสีย แต่แล้วกลับต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามเสียเอง

              “อา...เรื่องนี้ท่านไม่ทราบหรอกหรือขอรับ” ดาวิสรู้สึกเจ็บใจนิดๆที่เรื่องที่ทำให้ลีนัสยอมหันหน้ากลับมาคุยกับเขาได้ ไม่เคยพ้นเรื่องของซีมัสเลยจริงๆ

             “ไม่...เพราะข้าไม่เคยถามเรื่องนี้เอาจากภูติ….หมายความว่ายังไง ท่านได้คุยกับซีมัสตั้งแต่เมื่อไหร่ขอรับ ทำไมถึงเรียกซีมัสออกมาได้” ท่าทางกระตือรือล้นในการถามของลีนัส ทำให้ดาวิสต้องถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว

             “ข้าเจอซีมัสตั้งแต่วันที่ท่านออกไปหาซีมัสวันแรกนั่นครั้งเดียวขอรับ กับคืนก่อนที่ซีมัสจะปรากฏตัว”

             “.......ทำไม....” สีหน้าของลีนัสดูเศร้าหมองลงไปทันที การที่รู้ว่าซีมัสออกมาหาดาวิส แต่ไม่ออกมาหาเขา และดาวิสก็ไม่เคยบอกให้เขาได้รับรู้ ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองถูกตีระยะห่างออกไปอยู่คนเดียว เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ทั้งดาวิสและซีมัสต่างก็พร้อมที่จะทิ้งชีวิตตัวเอง โดยไม่ถามความต้องการของเขาแม้แต่น้อย

            ลีนัสรู้ดีว่านั่นเพราะเขายืนอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญเพียงไร ถึงทำให้ทั้งสองคนพร้อมจะทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อแลกเขากลับมา แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทั้งคู่ไม่ได้ลังเลที่จะจากเขาไปเลยสักนิด การอยู่เคียงข้างกันดูจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเลยสักนิด

             “ท่านลีนัส…” ดาวิสเห็นใบหน้าหวานขมวดคิ้วแน่น กัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมาจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

            น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ เรียกสติของเจ้าของใบหน้าหวานกลับมา เจ้าตัวส่ายหัวไล่ความคิดที่วังวนอยู่ในสมองออกไป พลันเงยหน้ากลับมาเอ่ยถามอีกฝ่าย

              “ทำไมท่านถึงไม่เคยบอกข้าเรื่องนี้เลยขอรับ” น้ำเสียงและบริบทการเอ่ยถาม ที่บ่งบอกจุดยืนการเป็นเจ้าเมืองที่สูงกว่าผู้ถูกถามนั้น ทำให้ดาวิสต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาคิดว่าเมื่อครู่นี้ลีนัสจะยอมลดกำแพงอันสูงชันของตัวเองลงมาแล้วเสียอีก ดูเหมือนเขาต้องค่อยๆทำลายกำแพงนี้ลงไปใหม่อีกครั้ง

             “ท่านลีนัส...ตลอดสามปีที่ผ่านมา ท่านเคยเปิดโอกาสให้ข้าคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวสักกี่ครั้งขอรับ ช่วยอธิบายเหตุผลตรงนี้ให้ข้าฟังสักครั้งเถอะขอรับ” เมื่อถูกดาวิสถามกลับมาเช่นนั้น ลีนัสก็ทำสีหน้าเฝื่อนออกมา จริงๆแล้วเขาไม่ได้ถูกตีตัวออกห่าง หากแต่ตัวเขาเองก็เป็นคนที่ตีตัวออกห่างเสียเอง ส่วนเหตุผลนั้นอาจจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับซีมัสเสียด้วยซ้ำ….เพราะยิ่งใกล้ก็ยิงอยากจะเอามาเป็นของตัวเอง

             “ท่านดาวิส ตำแหน่งของข้า จะทำตัวเอาแต่ใจเป็นเด็กๆไม่ได้หรอกนะขอรับ เพราะฉะนั้น...” ลีนัสไม่อาจจะบอกเหตุผลไปได้ตามตรง ได้แต่เอ่ยขึ้นมาอ้อมๆ

             “ทิ้งคำสั่งไว้ให้ข้าจัดการโดยไม่รับฟังความเห็นข้านี่เรียกว่าไม่เอาแต่ใจใช่ไหมขอรับ” ดาวิสตอบกลับมาทันทีเหมือนอัดอั้นอยากจะบ่นเรื่องนี้มานานแล้ว

              “........” ลีนัสเองไม่ทันคิด ว่าตัวเองได้ทำตัวเอาแต่ใจแค่ไหน เพียงเพื่อจะหลบเลี่ยงไม่ให้เจอหน้าอีกฝ่าย พอถูกตอบกลับมาเช่นนั้นก็ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆจะเอ่ยอ้าง

              “เอาเถอะ ยังไงมันก็เป็นเนื้องานของรองเจ้าเมืองอยู่แล้วที่ต้องทำตามคำสั่งท่าน”

              “...ขออภัยท่านดาวิส ข้าจะพยายามไม่ทำแบบนั้นอีก…”

             “เรื่องนั้นช่างเถอะขอรับ จริงๆแล้วข้าก็รู้ดีว่า ท่านหมายถึง………..เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนสินะขอรับ” ดาวิสว่าพลางกระตุกผ้าม่านฝั่งตัวเองปิดลง แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเอื้อมแขนไปกระตุกผ้าม่านอีกฝั่งปิดไปเช่นกัน ขณะที่โน้มตัวกลับก็กระซิบบอกเหตุผลที่พอจะเดาได้ออกไปเบาๆที่ข้างหู

              “..........” ไม่ใช่แค่เพราะระยะที่ใกล้ชิดเข้ามาของอีกฝ่าย แต่เพราะคำพูดของดาวิส ทำให้ลีนัสเผลอคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนตามที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมา ทำให้ใบหน้าหวานแดงเป็นลูกมะเดื่อในทันที

               “ที่ท่านพยายามหลบหน้าข้าทุกครั้ง เพราะท่านไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นสินะขอรับ” ดาวิสช้อยคางมนที่พยายามจะเบี่ยงหน้าหลบสายตาของเขากลับมาเบาๆ ใบหน้าที่แดงระเรื่อกับสีหน้าลำบากใจของลีนัส ทำให้ดาวิสเข้าใจดี ว่าคนที่กำลังหักห้ามใจไม่แตะต้องคนตรงหน้านั้น ไม่ได้มีแต่เขาคนเดียว ถึงแม้เขาจะยังไม่เข้าใจเหตุผลของอีกฝ่ายก็เถอะ

                “.....ท่านดาวิส...อย่า…….ขอรับ...” น้ำหนักแผ่วเบาจากปลายนิ้วเรียวของลีนัส หยุดร่างหนาที่ค่อยๆโน้มตัวลงมาเอาไว้ ริมฝีปากหนาที่อยู่ห่างจากใบหน้าหวานไปเพียงนิดเดียว ยอมหยุดอยู่ตรงนั้นเพียงเพราะแรงต่อต้านเพียงแผ่วเบา ถึงแม้ดาวิสจะสัมผัสได้ว่านี่เป็นการต่อต้านที่ไม่ได้ออกมาจากความต้องการของเจ้าตัวจริงๆก็เถอะ

                “ถ้าจะให้ข้าหยุดตรงนี้ ก็ช่วยอธิบายเหตุผลให้ข้าเข้าใจอย่างชัดเจนด้วยขอรับ” ดาวิสกระซิบเสียงทุ้มต่ำเบาๆกลับมา ถึงแม้ร่างหนาไม่ยอมหยุดอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่ยอมถอยห่างออกมาจนกว่าลีนัสจะตอบคำถามของเขา

                ความรู้สึกมากมายปนเปกันถาโถมเข้าใส่ลีนัส เหตุผลที่เขาให้สัญญาไว้กับมารดาของอีกฝ่ายนั้นก็ไม่อาจจะเอ่ยออกมาได้ แววตาสีน้ำเงินเข้มที่จ้องมองเขากลับมาในระยะประชิด กับเสียงลมหายใจอ่อนๆของอีกฝ่ายที่ได้ยินชัดเจนอยู่ตอนนี้ ทำให้เขาอยากจะลืมตำแหน่งของตัวเอง และเรื่องที่ต้องรักษาสัญญาทิ้งไป ขยับข้ามเส้นกั้นบางๆที่มองไม่เห็นนี้ไปเสียเหลือเกิน

                 “.......เพราะตระกูลของท่าน….เหลือแค่ท่านคนเดียว และนั่นเป็นเพราะข้า” ลีนัสจำต้องเอ่ยออกมาในที่สุด

                 “.........ฮะ?” ได้ยินเหตุผลที่หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย ไม่ได้ทำให้ดาวิสรู้สึกว่าได้รับคำตอบสักนิด

                  “...ก็…” ใบหน้างุนงงของดาวิสถามกลับมาเช่นนั้น ทำให้ลีนัสต้องกลับไปทบทวนคำตอบของตัวเองอีกครั้ง ว่าเขาตอบอะไรผิดไป พยายามจะหาถ้อยคำมาอธิบายโดยที่ไม่พาดพิงถึงมารดาของอีกฝ่าย ดาวิสถอนหายใจออกมายาวๆหนึ่งที แตะพวงแก้มอุ่นๆของอีกฝ่ายเบาๆ

                 “ ท่านลีนัส ข้อแรก ข้าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับดามอนต์ แต่การที่ดามอนต์ตายไม่ใช่ความผิดของท่าน และก็ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น ข้อที่สอง การที่ตระกูลข้าเหลืออยู่คนเดียว ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เช่นกัน หรือท่านกลัวว่าจะไม่มีรองเจ้าเมืองรุ่นต่อไปขอรับ ท่านคิดว่าข้าอยากจะมีทายาทที่ต้องทำอะไรเหมือนๆกันข้าอย่างนั้นหรือขอรับ ข้าไม่เหมือนแม่ข้านะ…..” เมื่อดาวิสเอ่ยถึงมารดาขึ้นมา ลีนัสก็หลุบสายตากลับไปอย่างลืมตัว

                 “...นี่เพราะแม่ข้าสินะขอรับ แม่ข้าไปรบกวนท่านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...” ดาวิสคาดคั้นถามต่อ ลีนัสไม่อาจจะตบตาอีกฝ่ายกลับไปได้อีกต่อไป จึงได้แต่หลบสายตาต่อไป

                  “ตั้งแต่งานศพของดามอนต์สินะ….” หัวคิ้วของลีนัสขยับเข้าหากันนิดๆเมื่อดาวิสเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

                  “....อย่าบอกนะว่าท่านรับปากจะไม่ยุ่งกับข้า เพราะคิดว่าท่านต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับดามอนต์น่ะ” ลีนัสเกลียดดาวิสที่สามารถรู้ทุกอย่างที่เขาคิดอยู่ในใจ ถึงเขาจะปฏิเสธไปอีกฝ่ายก็รู้อยู่ดีว่าเขาโกหก

             
                 “มิน่าล่ะ แม่ข้าถึงได้ส่งหญิงสาวมาหาข้าบ่อยนักหลังจากที่ดามอนต์ตาย...ท่านก็ช่างโหดร้ายนัก” ลีนัสก็รู้ดีอยู่ว่าการตัดสินใจเอาฝ่ายเดียวแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ยิ่งถูกดาวิสโทษเขามาตรงๆด้วยแววตาที่ปวดร้าวเช่นนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจโดนบีบไว้แน่น ดาวิสยอมขยับตัวถอยห่างออกมาจากอีกฝ่ายเมื่อเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น

                 แววตาที่ดูปวดร้าวตรงหน้าเมื่อครู่ ทำให้ลีนัสเผลอปล่อยมือตัวเองไปจับปลายเสื้อของอีกฝ่ายเพื่อรั้งเอาไว้เบาๆ เหมือนกลับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะจบลงตรงนี้ หากเขาปล่อยไว้เช่นนั้น

                  “.....ท่านจะเอายังไงกันแน่ขอรับ ถ้าท่านไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าจะได้ตัดใจไปจากท่านเสียที แค่ตำแหน่งรองเจ้าเมือง ท่านคงหาคนอื่นที่เหมาะสมมาทำแทนได้ เพราะข้าคงห้ามใจตัวเองไม่ได้ ถ้าต้องเห็นท่านทุกวัน” ข้อเสนอของดาวิสทำให้ลีนัสรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดไว้แน่นกว่าเดิม มือที่จับชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้ก็ยิ่งกำไว้แน่นอย่างลืมตัว ดาวิสเห็นมือของอีกฝ่ายที่กำชายเสื้อของตนเหมือนเด็กตัวเล็กๆก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมานิดๆ แล้วโน้มตัวกลับเข้ามาใกล้ๆอีกครั้ง

               “แต่ถ้าท่านต้องการข้า ก็บอกข้าชัดๆสักครั้งได้ไหมขอรับ ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหนทั้งนั้น” ดาวิสขยับตัวไปกระซิบบอกข้อเสนออีกทางหนึ่งให้เบาๆที่ข้างหู แล้วขยับถอยออกมาเพื่อจะรอฟังคำตอบของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

              “....ท่านดาวิส…ข้า...” ลีนัสรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ต้องพูดในสิ่งที่ตนเองไม่สมควรจะพูด เขาหมดหนทางจะบ่ายเบี่ยงหรือหนีไปไหนได้อีก ยิ่งเมื่อถูกแววตาสีน้ำเงินเข้มตรงหน้าจับจ้องรอฟังคำตอบอยู่เช่นนี้

              “ข้า...ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นที่เหมาะสมกับตำแหน่งรองเจ้าเมืองมากไปกว่าท่าน...อย่าให้ข้าต้องเลือกเช่นนี้ได้ไหมขอรับ” เมื่อลีนัสตั้งสติกลับมาได้ก็ยอมปล่อยมือออกจากชายเสื้อของดาวิส แล้วตอบกลับไปอย่างเป็นการเป็นงาน

              “.......รับทราบขอรับท่านเจ้าเมือง ขออภัยที่พูดอะไรไร้สาระออกไปเมื่อครู่ขอรับ” ดาวิสถอนหายใจหนักๆออกมายอมพ่ายแพ้ให้กับจุดยืนของอีกฝ่าย เขาย้ายที่กลับไปนั่งฝั่งตรงข้าม พร้อมจัดแจงเปิดผ้าม่านทั้งสองฝั่งออกเป็นปกติ

ท่าทางของดาวิสที่ดูเย็นชาขึ้นมาฉับพลัน บีบคั้นหัวใจของเจ้าเมืองหนุ่มยิ่งนัก ลีนัสไม่อาจจะปิดบังแววตาที่แสดงความเจ็บปวดของตัวเองเอาไว้ได้ ทำให้ดาวิสต้องเบือนหน้ามองไปทางอื่น ยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอ่ยประชดกลับไป

              “ไม่ต้องห่วงไปหรอกท่านเจ้าเมือง ถ้าท่านเหงาล่ะก็ แวะเข้ามาที่ห้องนอนข้าได้ทุกคืนนะขอรับ ข้ายินดีรับใช้”

              “.......” ลีนัสได้แต่ข่มใจไม่เอ่ยแก้ตัวกลับไป ในเมื่อเขาได้ตัดสินใจปล่อยมือออกไปจากดาวิสแล้ว ถึงแม้คำพูดประชดประชันนั้นจะบาดลึกเข้าไปถึงกลางอกก็ตาม






24 Feb.2016 ขออนุญาตแก้ช่วงท้ายเล็กน้อย ของอนกันบ้างไรบ้างนะ 555


ใกล้จะจบแล้วน้าาาา (เรายังคงเรียงตัวกันอย่างสวยงามเหมือนเดิม สารบัญหรือจะจำเป็น....)
ขอบคุณเม้นทุกเม้นที่ทักทายเข้ามานะคะ  (พูดเหมือนมีเยอะ)
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:10 Release 1/3) 19 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 19-04-2016 12:54:12
Libra’s heart
Act 10 : Release  (1/3)

   
   เสียงล้อรถม้าที่เคลื่อนไปตามทาง คนนั่งฝั่งตรงข้ามที่นั่งตัวเกร็งกุมมือตัวเองวางลงบนตักแน่น หันมองออกไปข้างนอกหน้าต่างคนละฝั่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสบสายตากัน บรรยากาศที่น่าหงุดหงิดนี่ไม่ใช่สิ่งที่ดาวิสคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ทั้งๆที่เขาได้วางแผนการเข้าไปรับเจ้าตัวกลับมาได้อย่างปลอดภัย และไม่มีความเสียหายใดๆเกิดขึ้นกับใคร สิ่งที่เขาต้องการคือรางวัลสำหรับความสำเร็จในครั้งนี้

   เขาอยากจะกอดคนตรงหน้าที่ถูกเฟริคพรากไปจากเขา กอดจนกว่าจะเพียงพอชดเชยกับความกังวลใจที่เกิดขึ้นในใจเขาตลอดสองวันที่ผ่านมา แต่แค่เพียงคำปฏิเสธของอีกฝ่ายที่ใช้เหตุผลที่ฟังไม่ค่อยขึ้นในมุมมองของเขานั้น ทำให้รู้สึกหงุดหงิดจนลืมทุกความอยากก่อนหน้านั้นไปจนหมดสิ้น

         นับตั้งแต่ที่ลีนัสขึ้นเป็นเจ้าเมือง ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงบริบทการเป็นของเจ้าตัวไปเยอะ จากเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยมั่นใจกับการตัดสินใจของตัวเอง และมักจะลดตัวเองลงต่ำคนนั้นหายไป สำหรับดาวิสแล้ว เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เขารับและเข้าใจได้ แต่การที่เจ้าตัวยอมตัดใจจากเขาไปได้ เพียงเพราะเหตุผลนั้น ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของเขาช่างมีค่าน้อยนิดถึงขนาดที่พร้อมจะตัดขาดไปได้ง่ายๆ หรือตอนนี้เขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมโต และยังไม่ยอมรับความจริงที่ถูกสังคมกำหนดกันแน่

          ระหว่างที่ดาวิสนั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหงุดหงิดอยู่นั้น รถม้าก็ค่อยๆหยุดลง จึงหันมองดูข้างนอกว่าเกิดอะไรขึ้น

          “อา เจอขบวนของท่านเฮมิสกับผู้ติดตามอีกกลุ่มพอดี ข้าลงไปตรวจสอบความเรียบร้อยสักครู่นะขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสจงใจเรียกชื่อตำแหน่งของอีกฝ่ายแทนการเรียกชื่อเจ้าตัวเพื่อจะตีตัวออกห่างประชดไปอย่างอดเสียไม่ได้

           “อ้อ แล้วก็ ข้าคิดว่าข้าสลับที่กับซีมัสจะดีกว่า ยังไงขากลับเข้าเวลเฮมมิน่า ให้คนเห็นซีมัสก็ดูจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ อีกอย่าง ท่านเองก็ไม่ได้เจอหน้าซีมัสนานแล้ว ท่านจะได้มีเวลาได้คุยกันบ้าง” ดาวิสเห็นว่าการที่ต้องนั่งเงียบๆแบบนี้ต่อไปกับลีนัสจนถึงเวลเฮมมิน่า ดูจะเป็นเรื่องที่ทรมานตัวเองและอีกฝ่ายอยู่มิใช่น้อย จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น พร้อมกับเปิดประตูรถม้าออกไป แต่แล้วอยู่ๆก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างรั้งแขนเสื้ออีกข้างหนึ่งของตัวเองไว้ เมื่อหันกลับมามองก็เห็นว่ามือเรียวรั้งแขนเสื้อของเขาอยู่ เมื่อเคลื่อนสายตามาสบตาเจ้าของมือข้างนั้นที่ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา เจ้าตัวก็หน้าแดงขึ้นมานิดๆแล้วรีบชักมือตัวเองกลับไป

           “เอ่อ...ข้าต้องลงไปทักทายและขอบคุณท่านเฮมิสสักหน่อย…” ลีนัสเบือนหน้าหลบ พร้อมยกเรื่องอื่นขึ้นมาอ้างเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ

            “......” ดาวิสเห็นท่าทางของลีนัสเช่นนั้นก็สูดหายใจลึกๆเพื่อทำใจให้เย็นลงมา ท่าทางลังเลลำบากใจอันน่ารักน่าชังของอีกฝ่ายมันยั่วเย้าให้เขาหันกลับ รีบไปใช้โอกาสนี้เปลี่ยนใจเจ้าตัวกลับมา เขาต้องตั้งสติห้ามไม่ให้ตัวเองทำอะไรที่ผิดสังเกตออกไป ในขณะที่มีคณะเดินทางรอพวกเขาอยู่ข้างนอก

          “ถึงเวลเฮมมิน่าแล้ว ช่วยจัดเวลาให้ข้าหน่อยได้ไหมขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสเอ่ยทิ้งไว้เรียบๆก่อนที่จะเดินลงจากรถม้าไป

ลีนัสเดินตามออกมาก็เห็นว่าดาวิสเดินไปคุยกับนายทหารจากกลุ่มเดินทางอีกกลุ่มที่มากับเฮมิส เขาก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกวาดสายตาไปมองเฮมิสที่ยืนชื่นชมบรรยากาศข้างนอกเมืองอย่างสงบนิ่ง

           “ท่านเฮมิส...ขออภัยที่ต้องรบกวนท่าน” ลีนัสเดินเข้าไปหาพร้อมเอ่ยขอโทษ อดีตเจ้าเมืองสูงวัยเห็นลีนัสก็คลี่ยิ้มกว้างออกมา พร้อมอ้าแขนทั้งสองข้างกวักมือเรียกให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหา แล้วโอบกอดร่างของเจ้าเมืองหนุ่มที่เขาปั้นมากับมือไว้ เพื่อให้ได้คลายความเป็นห่วงเป็นใจลง

            “เจ้าจะเกรงใจอะไรคนแก่ตกงานอย่างข้า เฮ้อ ข้าเป็นห่วงแทบแย่” เฮมิสตอบกลับมาขณะที่ยังคงกอดเจ้าเมืองหนุ่มร่างเล็กไว้แนบแน่นจนกว่าจะหายเป็นห่วง ลีนัสสัมผัสได้ถึงกระบังลมที่กระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ กับเสียงลมหายใจเบาๆของเฮมิส สัมผัสอันอบอุ่นทำให้เขารู้สึกสงบใจลงเหมือนได้กลับถึงบ้านแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งจะอยู่แค่นอกเมืองบริงไฮด์เท่านั้นเอง

            “เอาจริงๆ ดาวิสนี่ก็ช่างทำให้ข้าเป็นห่วงเจ้ามากเกินจำเป็นเข้าไปอีก” เฮมิสแกล้งกระซิบบอกลีนัสเบาๆก่อนจะคลายอ้อมแขนออก

             “.....” ลีนัสทำหน้าไม่ถูกเมื่อโดนอีกฝ่ายแกล้งพูดขึ้นมาเช่นนั้น ทั้งเขินทั้งแอบดีใจแต่ก็เจ็บปวดที่รู้สึกดีใจเช่นนั้น

            “ไงซีมัส” เฮมิสเงยหน้ากลับขึ้นมาก็เห็นซีมัสมายืนรอวางตัวไม่ค่อยถูกอยู่ข้างหลังลีนัส พอได้รวมคณะเดินทางแล้ว เริ่มมีสายตาหลายคู่มองมายังซีมัสด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะทุกคนรู้ว่าต้นเหตุที่สร้างความวุ่นวายเมื่อวันก่อนเป็นใคร ถึงแม้ดาวิสจะอธิบายให้ฟังแล้วก็ตามว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ความจริงที่เขาเป็นลูกครึ่งภูตินั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

         “ท่านเฮมิส” ซีมัสน้อมศีรษะทักทายอีกฝ่ายกลับไปพอเป็นพิธี เฮมิสคลี่ยิ้มขึ้นมาแล้วเดินไปตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ

         “ขอบคุณที่ตามดูแลลีนัสถึงบริงไฮด์ แล้วพากลับมาได้อย่างปลอดภัย” ซีมัสไม่เคยคาดหวังอะไรจากการตามติดลีนัสไปเลยแม้แต่น้อย มีเพียงอย่างเดียวคือพาพี่ชายกลับมาให้ได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อได้ยินคำขอบคุณจากอดีตเจ้าเมืองแล้วรู้สึกว่าหัวใจพองโตขึ้นมา

          “...ขอรับ” เด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นชินกับความรู้สึกแบบนี้ก็ผงกหัวตอบกลับมาอย่างคนวางตัวไม่ถูก เห็นใบนหน้าเคอะเขินเช่นนั้น เฮมิสก็หัวเราะออกมาเบาๆในลำคอเบาๆ

           “.....” ลีนัสที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เพิ่งจะรู้สึกตัว ว่าเขาเองยังไม่ได้เอ่ยขอบคุณออกมาสักคำ โดยเฉพาะกับดาวิสที่ตนดันวางทีท่าเช่นนั้นออกไปเมื่อครู่

           เมื่อนึกขึ้นได้ก็กวาดตามองหาเจ้าตัวทันที  เห็นว่าแววตาสีน้ำเงินเข้มนั้นทอดมองดูเขาอยู่นานแล้วจากบนหลังอาชันสีดำขลับ

          “เอาล่ะข้าว่าพวกเจ้าเองก็มีเรื่องที่ต้องคุยกันเยอะ เรารีบออกเดินทางต่อจะดีกว่า จะได้ถึงก่อนพระอาทิตย์ตก” เสียงเฮมิสเอ่ยแทรกขึ้นมา ทำให้ดาวิสละสายตาของเขาออกไปเพื่อเตรียมคณะเดินทางออกเดินทาง ลีนัสจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้จนกว่าจะถึงเวลเฮมมิน่า





            ลีนัสเดินกลับเข้ามานั่งในรถม้าตามด้วยซีมัสที่เข้ามาแทนที่ดาวิส เด็กหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม

           ไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างสองพี่น้องที่เพิ่งจะมีโอกาสได้คุยกัน หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานกว่าสามปี ท่ามกลางความเงียบกริบนั้น มีเพียงเสียงถอนหายใจหนักๆของลีนัสดังแทรกขึ้นมาก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนเดินทางต่อ ยิ่งเห็นหน้าซีมัสที่หลบหนีหน้าเขาไปตลอดเวลาสามปี และรู้ว่าเจ้าตัวยอมออกมาหาดาวิสแต่ไม่เคยออกมาหาเขาเลยสักครั้ง ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด

             แววตาที่จ้องมองลีนัสมาเหมือนอย่างจะพูดอะไรบางอย่างแต่ข่มกลั้นเอาไว้ เพราะรู้สึกถึงอารมณ์หงุดหงิดของเจ้าตัว ส่วนเหตุผลที่ถูกโกรธนั้นก็พอจะเข้าใจดี

            “......ท่านพี่”

            “....” ลีนัสเคลื่อนสายตามาปลายตามองคู่สนทนา เหมือนไม่ค่อยอยากจะคุยด้วยเท่าไหร่ อะไรหลายๆอย่างมันเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไหนเอยที่น้องชายจะยอมกลับมาหา ยังไม่ทันไปได้พูดคุยอะไรมากไปกว่านั้น ลีนัสก็ตกอยู่ในสภาพที่พูดไม่ได้ พอจะได้โอกาสพูดคุยก็ดันไปรู้ว่า ตัวเองโดนทิ้งอยู่คนเดียว ซีมัสยอมคุยกับดาวิสแต่ไม่ยอมออกมาหาเขา ตลอดสามปีที่ผ่านมา

           “....ข้ายังกอดท่านได้ไหม” คำถามของซีมัสทำให้ลีนัสต้องหันมามองหน้าคนพูดด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าเรื่องที่ซีมัสอยากจะพูดออกมา เป็นการขอเรื่องธรรมดาๆเรื่องหนึ่ง  พอถูกถามออกมาตรงๆแบบนี้ก็อดที่จะคิดไปในเชิงอื่นไม่ได้ ไหนเอยเหตุการณ์ในห้องของเฟริคตอนที่ร่างของเขาไม่ฟังคำสั่งตัวเองก็ทำให้เขาเผลอคิดไป

           ลีนัสรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไปเสีย เขารู้ดีว่าน้องชายของเขาไม่เคยพูดอะไรที่มีความหมายแฝงไปในทางนั้น

           “...ข้าว่า เจ้าไปถามท่านดาวิสดูก่อนไหม ยังไงเจ้าก็ทำตามแต่คำพูดของท่านดาวิสอยู่แล้วนี่” ไม่ใช่ว่าลีนัสไม่อยากจะกอดน้องชายที่เพิ่งผ่านอะไรมามากมายขนาดนั้น แต่เพราะยังโกรธเรื่องที่เจ้าตัวหลบหน้าเขาอยู่ จึงเอ่ยประชดเช่นนั้นออกไป

             “ที่ข้าออกมาก็เพราะข้าเป็นห่วงท่าน ข้าไม่ได้ออกมาเพราะท่านดาวิสนะขอรับ” ซีมัสพยายามจะอธิบายให้พี่ชายที่นั่งกอดอกจ้องมองเขากลับมาอย่างอารมณ์เสียได้เข้าใจ

            “แล้วที่ข้าเรียกเจ้าให้กลับมาแล้วไม่กลับ ไม่ใช่เพราะเจ้าเกลียดข้าที่ใส่ความเจ้าหรือไง ยังอยากจะกอดข้าอยู่หรือ”

            “ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ ...ข้า….” ซีมัสรีบตอบปฏิเสธกลับมา แต่พอจะอธิบายเหตุผลของตัวเอง กลับเงียบไป

            ผู้ฟังที่นั่งกอดอกรอฟังเหตุผลอยู่ ก็เลิกคิ้วขึ้นรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ ซีมัสถอนหายใจรวบรวมเหตุผลที่ตัวเองจะอธิบายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆเอ่ยออกมา

             “เพราะข้า….รักท่าน...ท่านพี่ก็รู้อยู่…” ลีนัสลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว ตอนนั้นเขาเข้าใจว่าซีมัสที่เพิ่งเข้าสู่วัยหนุ่ม ซ้อนทับความรู้สึก”รัก”กับความผูกพันของพี่น้องและการเป็นหนี้บุญคุณเอาไว้ ไม่คิดว่านั่นจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวหนีหน้าเขาไป พอซีมัสตอบกลับมาแบบนี้ ลีนัสก็นึกถึงตอนที่ร่างของเขาต้องทำตามที่เฮลีเวียคิด ตอนที่ซีมัสเข้ามาปลุกเขาที่ห้อง

              “...ซีมัส เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องของเฟริค..…ข้าขอโทษ ช่างมันเถอะ….” ลีนัสหลุดปากออกมาจะอธิบายเรื่องที่ถูกเฮลิเวียบังคับในตอนนั้น แต่ก็หยุดไปเพราะรู้ว่าจริงๆแล้วอีกฝ่ายก็รู้ดี ยิ่งพูดก็มีแต่จะไปตอกย้ำให้เจ็บปวดเข้าไปเสียเปล่าๆ พลางนึกก่นด่าเฟริคอยู่ในใจที่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนั้น

             “ข้าเข้าใจขอรับ...ข้าไม่ได้ต้องการท่านพี่ที่เป็นแบบนั้น” ซีมัสรู้ว่าลีนัสต้องการจะพูดอะไรจึงตอบกลับไปให้อีกฝ่ายสบายใจ

            “......” แน่นอนว่าลีนัสเองก็ไม่ได้ต้องการตัวเองในแบบนั้นเหมือนกัน ลีนัสรู้สึกว่าไม่น่าพูดถึงขึ้นมาเลยจริงๆ บรรยากาศการพูดคุยเริ่มอึดอัดขึ้นมาจนเจ้าตัวถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว

            “ข้าหมายถึงการมีท่านเป็นพี่ข้า มันเพียงพอแล้ว….จริงๆแล้วข้าไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้หรอกนะขอรับแต่...” ซีมัสหยุดถอนหายใจออกมาระหว่างที่พยายามจะอธิบาย ทำให้ลีนัสเข้าใจว่าน้องชายของตนพยายามจะพูดสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกตัวเองออกมา เพียงเพื่อทำให้เขาสบายใจขึ้น

            “....เพราะเฟริคทำให้ข้าเข้าใจ ว่าจริงๆแล้ว…..ข้าไม่ได้รักท่านแบบนั้น ข้าไม่ได้อยากจะเป็นเจ้าของท่าน ข้ารู้สึกว่าข้าเป็นไม่ได้” ซีมัสเอ่ยต่อด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะยอมรับความจริงที่ว่า เฟริคไม่ได้แค่ต้องการจะแกล้งเขา แต่อาจจะตั้งใจทำเพื่อให้เขาเข้าใจอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็อาจจะเพื่อทดสอบ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ซีมัสได้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองแล้ว

            “ข้าไม่ได้ต้องการจูบท่าน...แต่ข้าแค่อยากจะกอดท่านตอนนี้ เพราะข้ารู้สึกว่าข้าได้รับโอกาส หลังจากที่ข้าตัดสินใจทิ้งชีวิตตัวเองไปเมื่อครู่…ได้ไหมขอรับ ข้าอยากจะยืนยันว่าข้ายังมีชี..”

              “พอแล้วซีมัส...มานี่มา” ลีนัสเอ่ยแทรกขึ้นมาพร้อมตบที่นั่งข้างๆเรียกให้อีกฝ่ายมานั่ง เด็กหนุ่มไม่รอช้าลุกย้ายฝั่งมานั่งข้างๆพร้อมโผเข้ากอดพี่ชายทันที

             ลีนัสยกมือขึ้นมาขยี้หัวเด็กหนุ่มร่างหนา ที่ซุกตัวลงมาซบอ้อมกอดเล็กๆของเขา ทำตัวขัดแย้งกับขนาดของตัวเองโดยสิ้นเชิง

           “เจ้าก็เกือบจะทำให้ข้าต้องลงมือฆ่าองค์ชายเฟริคอยู่แล้วรู้ไหม”

            “ขออภัยขอรับ ข้าคิดวิธีอื่นไม่ออกจริงๆ” เสียงของซีมัสดังรอดอ้อมแขนตัวเองตอบกลับมาเบาๆ ลีนัสก็ถอนใจออกมาพลางนึกตำหนิตัวเอง ว่าเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่สมควรจะว่าน้องชายตัวเองสักนิด เช่นเดียวกับเหตุผลในการโกรธดาวิสเมื่อครู่นี้ พอคิดได้ก็ลอบถอนหายใจเบาๆ พลางนึกในใจว่าเขามีเรื่องที่ติดค้างกับดาวิสหลายเรื่องเหลือเกิน

            “เอาเถอะ ข้าก็พอจะรู้ว่าองค์ชายเฟริคก็ฉลาดพอที่จะไม่กล้าฆ่าเจ้าหรอก” ลีนัสหยุดมือที่กำลังขยี้เรือนผมสีทองของเด็กหนุ่มลง แล้วก้มลงไปจูบเบาๆที่หน้าผากของคนที่อยู่ในอ้อมกอด

             “ขอบใจนะซีมัส ที่ไม่ได้ทิ้งข้าไปไหน” ลีนัสกระซิบบอกเบาๆที่ข้างหูเด็กหนุ่ม สัมผัสอันนุ่มนวลอ่อนโยนของพี่ชายที่ไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว ทำให้ซีมัสคลี่ยิ้มจางๆขึ้นมา เจ้าตัวหลับตาลงหายใจเข้าออกลึกๆ สูบกลืนความรู้สึกนี้ไว้จนพอใจจึงค่อยยันตัวลุกกลับขึ้นมา

           “ข้าว่า..ถ้ามากกว่านี้ ข้าเกรงว่าท่านดาวิสจะสั่งให้หยุดขบวน” ซีมัสเอ่ยขึ้นหลังจากที่สัมผัสได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงเข้าจากไกลๆ จึงหันออกไปแสยะยิ้มยียวนกลับไป แล้วย้ายกลับมานั่งฝั่งตรงข้ามแต่โดยดี

           ลีนัสหันมองตามออกไปที่นอกหน้าต่างบ้าง เมื่อสบตาเข้ากันดาวิสก็เบือนหน้าไปมองทางอื่น จึงได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

           “ท่านพี่ขอรับ” ซีมัสเอ่ยเรียกกลับมา เจ้าตัวก็รีบละสายตากลับมาปั้นหน้ายิ้มแห้งๆกลับมา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

           “ว่าไงซีมัส”

          “...เรื่องที่เกิดขึ้นกับดามอนต์เป็นความผิดของข้านะขอรับ ท่านพี่ไม่เกี่ยว” อยู่ๆซีมัสก็เข้าประเด็นนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง

         “.....ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะให้มันลงเอยแบบนี้”

        “ตอนนั้นถ้าข้าไม่ได้ตั้งใจ มันไม่ลงเอยแบบนี้หรอกขอรับ” ซีมัสตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาลีนัสพูดอะไรต่อไม่ออก เขาเฝ้าปฏิเสธความจริงที่ว่าซีมัสเป็นสิ่งที่อันตรายมาตลอด เพราะถ้าเขายอมรับแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือกำจัดซีมัสไปตามที่เคยสัญญาไว้

          “ให้ข้ารับผิดชอบเรื่องนี้เถอะขอรับ มันอาจจะช้าเกินไปหน่อยแต่…”

          “เจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยอะไรซีมัส” ลีนัสรีบถามกลับไปทันทีด้วยสีหน้าทีทำท่าเหมือนจะร้องไห้ สำหรับเขาแล่้ว ถ้าบอกว่ารับผิดชอบ คือต้องกำจัดเจ้าตัวทิ้งเท่านั้น

         “...เอ่อ...กลับไปเวลเฮมมิน่าแล้วให้ข้าจะเข้าไปขอโทษท่านโรเซ่เองกับตัวน่ะขอรับ”

          “......แล้วถ้าท่านโรเซ่ต้องการชีวิตเจ้า เจ้าก็จะรับผิดชอบตามนั้น?” ลีนัสมองออกอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงได้ถามกลับไปตรงๆ ทำให้ซีมัสนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

           “.....ถ้ามันทำให้ท่านพี่หลุดจากความรับผิดชอบอันนี้ได้…”

           “ข้าก็จะรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เจ้าออกไปมอบตัวแบบนั้น” ลีนัสเอ่ยดักอีกฝ่ายเอาไว้

          “...ท่านพี่...แล้วจะให้ข้าทำยังไงขอรับ จะให้ข้าอยู่หลบๆซ่อนๆอยู่ใต้การปกป้องของท่านพี่ที่เป็นเจ้าเมืองน่ะหรือขอรับ” คำถามของซีมัสที่ถามกลับมา ทำเอาลีนัสจุกไป

           “.....”

           “ข้าโตแล้ว ให้ข้ารับผิดชอบสิ่งที่ข้าทำไปเถอะขอรับ เลิกปกป้องข้าได้แล้ว” ซีมัสเอ่ยขอขณะที่สายตาไม่ยอมละออกจากคู่สนทนาแม้แต่น้อย 

            “ซีมัส...ข้า” หัวคิ้วสีน้ำตาลแดงขมวดเข้าหากันแน่น อยู่ๆลีนัสก็รู้สึกเหมือนโดนดาวิสดุเรื่องที่ปกป้องน้องชายมากเกินไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเป็นเจ้าตัวเสียเองที่เป็นคนพูด

             “ท่านพี่ข้าดีใจที่ท่านเป็นห่วงข้า แต่การที่ข้าต้องเป็นภาระของท่านมันทำให้ข้าเจ็บปวด”

             “.............” ลีนัสนั่งจ้องมองแววตาสีฟ้าใสที่มองมาที่เขาอย่างมุ่งมั่น แสดงความตั้งใจออกมาเช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา

             “ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าโตแล้ว…...ดูเหมือนจะมีแต่ข้าละมั้งที่ไม่ยอมโต”









หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:10 Release 3/3) 19 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 19-04-2016 14:52:48
Libra's heart : Release (2/3)


               “ท่านลีนัส!!” เสียงหวานใสของเด็กสาวแว่วขึ้นมาทันทีที่ลีนัสก้าวเท้าลงมาจากรถม้า ยังไม่ทันจะได้หันไปมองที่ต้นเสียง เด็กสาวร่างบางก็วิ่งเข้ามากอดเจ้าตัวไว้แน่นเสียแล้ว

               “เรเชล…” ลีนัสยกมือขึ้นมาโอบร่างบางๆของเด็กสาวกลับไป สัมผัสและน้ำเสียงนุ่มๆของเจ้าตัวช่วยตอกย้ำให้เรเชลรู้ว่าเป็นลีนัสจริงๆ ก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นไปอีก

                 “เบาๆก็ได้มั้งเรเชล ท่านเจ้าเมืองยังไม่ได้พักผ่อนเลยเดี๋ยวเป็นลมขึ้นมาจะยุ่ง” ดาวิสเอ่ยทักขึ้นมาขณะที่เดินผ่านมาและปลายตาสบมองผู้ที่ถูกกอดเพียงครู่เดียว

                 “อ้ะ!! ขออภัยท่านลีนัส” เรเชลรีบคลายแขนตัวเองออกเมื่อถูกทักขึ้นมาเช่นนั้น

                 “ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเรเชล ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ” ลีนัสยกมือขึ้นลูบหัวเรเชลเบาๆ พลันหันไปเห็นลุกซ์ที่อยู่ข้างหลังเรเชล มองมาเหมือนว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง จึงหันไปสบตารอฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มจะเอ่ยออกมา

                “ขอข้ากอดท่านบ้างได้ไหมขอรับ...” คำเอ่ยขอของลุคซ์ทำให้ดาวิสที่กำลังจะเดินกลับไปพักผ่อนที่ห้องต้องสะดุดปลายเท้าลง แล้วหันกลับมามองที่ลีนัสอย่างลืมตัว

                “เข้ามาสิลุคซ์” ลีนัสคลี่ยิ้มพร้อมกวักมือเรียกเด็กหนุ่มเข้ามา ดาวิสรู้อยู่แล้วว่าลีนัสไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธลุคซ์ และเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเป็นกังวลหรือหึงหวง เพียงแค่รู้สึกน้อยใจที่เป็นคนเดียวที่เจ้าตัวไม่ยอมให้กอด ทั้งๆที่อยากจะกอดแทบแย่ กลับมีแต่เหตุผลงี่เง่าที่ทำให้เขาไม่มีสิทธิ์กอด

                “ขอรับ!!” ลุคซ์รีบเดินเข้าไปหาลีนัสทันทีอย่างเริงร่า เหมือนลูกหมาตัวน้อยที่กำลังสบัดหางฟูๆวิ่งไปหาเจ้านาย แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักไปพร้อมกับลีบหางม้วนเก็บไป เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาเย็นชาสีฟ้าอ่อนที่ทอดมองมาจากเบื้องหลังลีนัส

               ลีนัสเห็นท่าทางของลุคซ์แบบนั้นจึงหันกลับไปมองข้างหลัง เห็นซีมัสที่ลงจากรถม้าตามพี่ชายลงมา เพียงแค่ยืนนิ่งๆปรายตามองลุคซ์อยู่เงียบๆ ไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมา ลุคซ์ก็รับรู้ได้ว่าเขาไม่ควรจะเข้าใกล้เจ้าเมืองไปมากกว่านี้

               “อ้อ ข้าให้คนเตรียมห้องไว้ให้ท่านซีมัสเรียบร้อยแล้วนะคะ” เสียงใสๆเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร กับแววตาอันเยียบเย็นของซีมัสทั้งสิ้น ส่วนซีมัสที่ไม่เคยได้ยินใครเรียกตัวเองแบบนั้นก็รู้สึกจั๊กจี้หูขึ้นมาพิกล

              “อือ นี่ก็เย็นมากแล้ว เจ้าพักผ่อนที่นี่ก่อนสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ลีนัสเสริมขึ้นมา แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหัวกลับมา

               “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าไม่อยากจะรบกวนท่านพี่มากไปกว่านี้”

                “ซีมัส…” ลีนัสรีบเดินเข้าไปรั้งอีกฝ่ายไว้เมื่อเห็นว่าเขาทำท่าเหมือนจะเดินจากไปทั้งอย่างนั้น

                “คืนนี้ข้าจะกลับไปนอนที่บ้านขอรับ ข้าไม่หายไปไหนหรอก แล้วก็….ข้ายังมีเรื่องต้องสะสางอีก” ซีมัสรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเรื่องอะไรอยู่จึงเอ่ยตอบไป

                 เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พึ่งพี่ชายไปมากกว่านี้ เขาจึงอยู่ที่นี่ไม่ได้ถึงจะเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม ที่นี่มีแต่คนที่ระแวงเขาเต็มไปหมด แต่กลับต้องเรียกเขาว่า”ท่าน”เพราะเป็นน้องชายเจ้าเมือง เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้เป็นที่สุด

                 “...อืม เข้าใจแล้ว กลับบ้านดีๆล่ะซีมัส” ลีนัสพยักหน้ารับอย่างเข้าใจพร้อมยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ

               “ขอรับ ท่านพี่พักผ่อนเยอะๆนะขอรับ เรื่องที่ข้าต้องจัดการปล่อยให้ข้าจัดการเองนะขอรับ” ซีมัสเอ่ยย้ำกับลีนัสอีกทีหนึ่งก่อนจะเดินจากไป ลีนัสรู้ดีว่าน้องชายหมายถึงเรื่องอะไร เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความกังวลก็ฉายออกมาบนสีหน้าของเจ้าตัวทันที เขาไม่มีสิทธิ์เข้าไปห้ามหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เขายังมีคนที่ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เขาพอจะปรึกษาได้ พอนึกขึ้นได้ก็กวาดสายตามองหาเจ้าตัวทันที

                ดาวิสยังไม่ได้เดินหายไปไหน เพียงแต่ยืนมองอยู่ห่างๆตรงนั้น แต่เมื่อถูกแววตาสีเพลิงสบมองมา เจ้าตัวก็หันกลับแล้วเดินหายไปทันที

               “ท่านลีนัส ข้าให้คนเตรียมน้ำร้อนไว้ให้แล้ว ข้าไปส่งที่ห้องนะคะ” ขณะที่คิดว่าจะเดินตามแผ่นหลังของดาวิสไป เรเชลก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อนพร้อมออกตัวจะเดินไปส่งขนาดนั้น จึงต้องจำใจกลับห้องตัวเองไป ทิ้งลุคซ์ที่ไม่กล้าจะทำอะไรอยู่เมื่อครู่ไว้คนเดียวที่หน้าประตูทางเข้า ไม่มีใครเอะใจว่าลืมอะไรแต่อย่างใด

              ท้องฟ้ามืดครึ้มอยู่เบื้องบนเด็กหนุ่มที่ถูกเพิกเฉยทิ้งให้อยู่คนเดียวนั้น ร้องเตือนให้รู้ว่าฝนกำลังจะลงเม็ดก็แล้ว เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งเสียใจที่ถูกทอดทิ้งอยู่ตรงนั้น กระทั่งเม็ดฝนเย็นๆสาดเทลงมาซ้ำเติม








                    เรย์มอนต์นั่งอ่านหนังสือเล่มหนาอยู่เงียบๆ บนที่นั่งประจำท่ามกลางแสงสีส้มสลัวๆในห้องนั่งเล่น หูแว่วฟังเสียงเม็ดฝนที่ร่วงโปรยปรายลงมา แทรกด้วยเสียงชามกระเบื้องที่ถูกคว่ำวางเรียงรายกระทบกันเบาๆ ดังออกมาจากหลังครัว ครู่หนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากหน้าประตูบ้าน

                    “ไม่ได้กลับบ้านนานขนาดต้องเคาะประตูก่อนเข้าบ้านเลยรึไงดาวิส ข้าก็ไม่ได้ล็อคบ้านไว้เสียหน่อย” เรย์มอนต์เอ่ยขึ้นขณะที่สายตายังไม่ละออกจากหนังสือตรงหน้า เรย์มอนต์คิดว่าคนที่จะแวะมาที่บ้านในเวลานี้ได้ มีแต่จะเป็นบุตรชายที่เพิ่งจะกลับมาจากบริงไฮด์เมื่อช่วงเย็นเท่านั้น

                   แต่หลังจากที่เอ่ยออกไปเช่นนั้นแล้ว อีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งรออยู่ข้างนอก ไม่ยอมเปิดประตูเข้ามา ทำให้ผู้เป็นพ่อละสายตาขึ้นมามองเงาคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูด้วยความประหลาดใจ เขาปิดหนังสือลงแล้ววางไว้บนโต๊ะข้างตัว ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตูบ้าน แล้วค่อยๆแง้มประตูเปิดออก

                   “......เจ้ามาที่นี่ทำไม”

                  “มีอะไรรึเปล่าคะ” โรเซ่เดินออกมาจากหลังครัวเพราะได้ยินว่าบุตรชายแวะเข้ามาหา เอ่ยถามสามีที่ยืนนิ่งอยู่น่าประตู

                    “ข้าคิดว่าข้าควรจะมาขอโทษพวกท่านอย่างจริงจังสักครั้ง” เสียงเด็กหนุ่มที่ไม่ใช่เสียงของบุตรชายตัวเองดังรอดเข้ามา ทำให้โรเซ่รีบเดินไปดู แต่โดนท่อนแขนแกร่งของผู้เป็นสามียกขึ้นมาขวางไว้ไม่ให้เธอเข้าไปเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ชัดนัก ได้ยินแค่เพียงน้ำเสียงพูดกับเธอกลับมา

                    “ท่านโรเซ่ ขออภัยที่เข้ามารบกวนในเวลานี้ขอรับ”

                     “ท่านเรย์มอนต์?” โรเซ่หันไปมองหน้าผู้ที่ยืนขวางอย่างต้องการคำอธิบาย เรย์มอนต์ต้องถอนใจยาวออกมาอย่างลำบากใจก่อนจะยอมคลายมือออก พลันเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ยืนตัวเปียกก้มหัวอยู่ข้างนอก ก็ตัวแข็งทื่อไปในทันที

                    “....ซีมัส เจ้ามาทำอะไรที่นี่”






                   กลิ่นไอฝนผสานกับกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆที่ผสมเอาไว้ในอ่างอาบน้ำอุ่น ช่วยให้ร่างกายได้คลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล และเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นได้อย่างมาก ความรู้สึกสบายตัวทำให้เจ้าเมืองหนุ่มเกือบจะเผลอหลับไป ถ้าไม่ได้เรื่องที่กังวลค้างคาอยู่ในใจปลุกเขาให้กลับมาอีกครั้ง

                ร่างเปลืยเปล่าลุกขึ้นมาจากอ่างน้ำอุ่นที่แสนสบายตัว เดินไปหยิบผ้าที่ห้อยวางอยู่ข้างๆมาเช็ดตัวแล้วหยิบชุดนอนสีขาวที่ถูกวางเตรียมไว้ให้มาสวม นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมานั่งพักผ่อนได้อย่างสบายใจแบบนี้ ถ้าไม่ติดที่เรเชลเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ขนาดนี้ ประกอบกับร่างที่เหนื่อยล้ามาพอสมควร เขาคงจะตรงไปคุยกับดาวิสเสียก่อน ทั้งเรื่องที่ยังค้างคำขอบคุณเอาไว้ และเรื่องซีมัสจะเข้าไปคุยกับโรเซ่ด้วย

             ถึงแม้ซีมัสจะกำชับเข้าไว้หนักหนาว่าไม่ให้เข้าไปยุ่ง แต่อย่างไรเสียดาวิสก็เป็นพี่ชายของดามอนต์ จะว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ไม่ถูกต้อง ดาวิสควรจะรู้ว่าซีมัสตั้งใจจะทำอะไร

            ลีนัสคิดเรื่องที่จะคุยกับดาวิสไปพลาง มือก็ไล่ติดกระดุมเสื้อนอนไป แล้วหยิบเสื้อคลุมตัวยาวที่แขวนไว้ในห้องขึ้นมาสวมทับอีกทีเตรียมจะไปหาดาวิสที่ห้อง แต่แล้วก็ต้องสะดุดมือหยุดลงขณะที่กำลังจะยื่นมือไปบิดลูกบิดประตูออกไป

             ลีนัสรู้สึกว่า เขาดูเหมือนจะตั้งใจไปทำอย่างอื่นมากกว่าจะไปคุยกับดาวิสเฉยๆ ทำไมเขาต้องแวะอาบน้ำก่อน แล้วแต่งตัวทำอะไรเหมือนเมื่อคืนก่อนไม่มีผิด ดาวิสจะเข้าใจเจตนาของเขาผิดไปไหม แล้วมันจะไปลงเอยเหมือนเดิมอีกไหม

             พอคิดถึงตรงนี้เจ้าตัวก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นมาทันที มือเรียววางนิ่งบนกลอนปรตูห้องแล้ววางศีรษะตัวเองพิงบานประตู ขยับเอาหัวตัวเองโขกประตูเบาๆเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว

              “.....บ้าจริง นี่ไม่ใช่เวลามานั่งคิดเรื่องนี้นะลีนัส” เจ้าตัวบ่นพึมพำขึ้นมาเพื่อบอกตัวเอง แล้วตัดสินใจเปิดประตูออกไปข้างนอก

              ร่างบางเดินมาหยุดสูดหายใจเข้ารวบรวมสติหนึ่งที ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูห้องนอนของรองเจ้าเมืองเบาๆสองที

             “......” ระหว่างที่ยืนรอการตอบรับกลับนั้น เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเริ่มเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ลีนัสพยายามตั้งสติไม่ให้ตัวเองคิดไปเรื่องอื่น

            “....ท่านดาวิส?” เขารู้สึกว่ายืนรออยู่นานเกินไปแล้ว และเพิ่งรู้สึกว่าไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใดๆมาจากข้างใน ถ้าดาวิสไม่หลับไปแล้ว ก็ต้องไม่อยู่ในห้อง จึงลองบิดกลอนประตูเปิดเข้าไปดูก็พบกับห้องที่ว่างเปล่า

               เขาไม่คิดว่าดาวิสจะออกไปไหนในคืนที่ฝนตกเช่นนี้ มีธุระสำคัญอะไรที่ทำให้ต้องออกไป พอคิดๆดูแล้วก็รู้สึกขัดใจอยู่นิดๆ ที่วันนี้เจ้าตัวเป็นคนพูดเสียเองว่าให้จัดเวลาให้เมื่อถึงเวลเฮมมิน่า พอมาหาถึงห้องกลับไม่ยอมอยู่เสียอย่างนั้น…..









                  “ซีมัสข้าไม่มีอะไรติดค้างกับเจ้า ไม่ต้องขอโทษข้า ข้าไม่ได้เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และข้าก็ไม่อยากจะพูดถึงเด็กคนนั้นอีก เจ้ากลับไปเถอะ” เรย์มอนต์เอ่ยบอกซีมัสที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้านไปเช่นนั้น แต่คำว่า”เด็กคนนั้น”ของเรย์มอนต์ ไปกระทบกระเทือนความรู้สึกของโรเซ่อย่างรุนแรง เธอรู้แล้วว่าสามีของเธอไม่ยอมรับดามอนต์เป็นลูก แต่ก็ไม่น่าจะจำเป็นต้องพูดแบบนั้นต่อหน้าเธอกับคนนอกอย่างซีมัส

               “เจ้ามาที่นี่ต้องการอะไรซีมัส หลังจากที่หนีหายไปถึงสามปี” โรเซ่เอ่ยถามออกไป ทำให้เรย์มอนต์ถอนใจออกมาอีกครั้งแล้วทำท่าว่าจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้โรเซ่คุยต่อเองคนเดียว แต่มือเย็นเฉียบของภรรยาก็มาจับมือของเขาไว้แน่น จึงต้องยอมยืนอยู่ข้างๆให้อีกฝ่ายรู้สึกปลอดภัย

              โรเซ่ไม่ใช่เพียงต้องการจะขัดใจสามีที่อยากจะรีบๆจบเรื่องของดามอนต์ไป ไม่ได้ถามเพราะเห็นใจเด็กหนุ่มที่ดิ้นรนฝ่าฝนมาหาตอนกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ แต่เพราะเธอเองก็มีเรื่องที่อยากจะถามคนที่ลงมือฆ่าบุตรชายของตนไป

              “ข้าต้องการเพียงมาขออภัยท่าน ที่ได้พรากชีวิตของบุตรชายท่านไป” ซีมัสย่อตัวลงไปคุกเข่าลงกับพื้น

               “แล้ว เจ้าคิดว่าแค่นี้ข้าจะอภัยให้เจ้าอย่างนั้นหรือ” โรเซ่ขมวดคิ้วเอ่ยถามกลับไปอย่างเย่อหยิ่ง

              “ไม่คิดขอรับ ข้าเพียงต้องการจะแจ้งให้ทราบว่าข้ารู้ตัวว่าข้าผิด ข้าสำนึก และมันเป็นความผิดของข้าเอง ไม่ใช่ความผิดของท่านลีนัสที่ออกตัวปกป้องข้าขอรับ” ช่างเป็นการสำนึกผิดที่ฟังดูเอาแต่ใจมากในสายตาของผู้เป็นมารดา โรเซ่เข้าใจวัตถุประสงค์หลักของเจ้าตัว

             “แน่นอนว่าท่านเจ้าเมืองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ออกตัวรับผิดชอบทุกการกระทำของเจ้าทั้งๆที่เจ้าไม่ควรจะเกิดมา เจ้าน่าจะรู้ตัวดี ถ้าเจ้าไม่อยากให้ท่านเจ้าเมืองแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้ล่ะก็ เจ้าก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่” โรเซ่จิดกัดกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็น เรย์มอนต์ที่ยืนอยู่ข้างๆได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบา

             “.............” ซีมัสรู้สึกจุกในอก ดูเหมือนผลลัพธ์ของการกระทำในครั้งนี้จะต้องจบลงอย่างที่ลีนัสว่าไว้ไม่มีผิด คำพูดของโรเซ่ทิ่มแทงเข้ามาในใจ เจ็บปวดยิ่งกว่าโดนคมมีดสั้นของดามอนต์ที่ฝังเข้ามากลางหลังเสียอีก

              “นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ” ชายหนุ่มในชุดคลุมกันฝนสีดำเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังซีมัสที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น แล้วเปิดผ้าคลุมกันฝนออก

               “...ดาวิส” โรเซ่รู้สึกประหลาดใจที่เห็นบุตรชายผู้ที่ไม่ค่อยจะมีเวลาแวะมาหา กลับมาหาที่บ้านในคืนฝนตก หลังจากที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปต่างเมืองมา

             “กลับมาเหนื่อยๆ ฝนก็ตก เรื่องที่บริงไฮด์ข้าไม่ได้รีบร้อนจะคุยกับเจ้าขนาดนั้น อะไรที่ทำให้เจ้าแวะเข้ามาที่บ้านในเวลานี้ได้หรือดาวิส” เรย์มอนต์ที่ได้คุยกับบุตรชายไว้ก่อนหน้าจะออกเดินทาง เอ่ยถามเจ้าตัวขึ้นมา

             “ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านแม่สักนิด แต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ก่อน ซีมัสเจ้ามาทำอะไรที่นี่” เมื่อถูกถามถึง เจ้าตัวก็ขมวดคิ้วมองหน้าผู้ถามกลับไป เป็นไปได้เขาอยากจะจัดการเรื่องนี้เองไม่อยากให้ใครยื่นมือเข้ามาช่วย แต่ดูจากสีหน้าที่ประหลาดใจของดาวิสแล้ว ทำให้เขารู้ว่าลีนัสไม่ได้ส่งเจ้าตัวมาเพื่อปกป้องเขา

              “เจ้าก็น่าจะพอเดาได้นะดาวิส” เรย์มอนต์เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าหน่ายๆ ดาวิสหันไปมองซีมัสทีหนึ่ง แล้วหันไปมองมารดาที่แสดงสีหน้าไม่พอใจอยู่ก็พอจะเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้

             “ซีมัส ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วว่าข้าไม่ติดใจเอาความอะไรเจ้าเรื่องของดามอนต์ และข้าต้องขอบคุณที่ช่วยข้าพาท่านเจ้าเมืองกลับมาได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับชีวิตของข้า เรื่องนี้ข้าเป็นหนี้เจ้าเรื่องนึง เพราะฉะนั้นแล้ว...ท่านแม่” ดาวิสเอ่ยบอกซีมัสจบแล้วก็เดินไปจับมือเรียวของมารดาขึ้นมา

             “อภัยให้ซีมัสเถอะขอรับ จริงๆแล้วถ้าถามว่าใครต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ก็คงต้องเป็นข้าเองที่จัดเวลาสั่งสอนดามอนต์ไม่เพียงพอจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” เรย์มอนต์ยืนกอดอกเลิกคิ้วขึ้นดูการไกล่เกลียที่รวดเร็วของบุตรชายอย่างรู้สึกภูมิใจอยู่ลึกๆ แต่ก็พลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยที่ไปกระทบกระเทือนจิตใจอันบอกบางของผู้เป็นแม่เข้า

                “......ดาวิส ถ้าเจ้าจะพูดเช่นนั้น มันคงผิดที่ข้าเองที่เลี้ยงน้องเจ้าออกมาไม่ดีเอง หรือถ้าจะให้ถูก ข้าไม่ควรจะปล่อยให้น้องเจ้าเกิดมาบนโลกใบนี้สินะ” โรเซ่เอ่ยตัดพ้อกลับมา คราวนี้กระทบไปถึงเรย์มอนต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าสถานการณ์ชักจะลามปามไปกันใหญ่ จึงกระแอมไอออกมาเบาๆ

              “ซีมัส ข้าว่าเจ้าได้คำตอบที่เจ้าอยากจะได้แล้ว เจ้ากลับไปเถอะ ข้าขอเวลาครอบครัวได้ไหม” ซีมัสเงยหน้าที่มองเรย์มอนต์ทำสีหน้างุนงงออกมา เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆคือเขาไม่ควรจะรบกวนบ้านนี้มากไปกว่านี้ จึงพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นโน้มตัวลาแล้วเดินจากไปเงียบๆ

                “เอาล่ะเข้ามานั่งคุยกันข้างในก่อนเถอะ” เรย์มอนต์เอ่ยขึ้นพร้อมหันกลับเดินนำเข้ามาข้างในบ้าน ทว่าสองแม่ลูกยังคงยืนอยู่ตรงนั้น

              “ท่านแม่...ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะขอรับ ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด” ดาวิสจับมือมารดาไว้พร้อมอธิบายแก้ความเข้าใจผิด

              “......เข้าไปคุยข้างในเถอะดาวิส” โรเซ่ถอนหายใจหนักๆออกมาแล้วสบัดมือบุตรชายออก เดินกลับเข้าไปในบ้าน ตรงเข้ามานั่งลงบนชุดรับแขกถัดจากที่นั่งประจำของเรย์มอนต์

             “ดาวิส ข้าถามจริงๆ เจ้าเห็นว่าซีมัสไม่ผิดอะไรจริงๆ หรือเจ้าแค่ปกป้องมันในฐานะน้องชายของเจ้าเมืองกันแน่..หรือในฐานะน้องชายของคนรักเจ้า” โรเซ่ยืดตัวตรงยกมือขึ้นกอดอกเอ่ยถามบุตรชายกลับมาตามแบบฉบับของมารดาผู้เคร่งครัด รังให้คิ้วสีดำขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์กับคำถามนี้ ถึงแม้คนที่ถามจะเป็นมารดาก็ตาม

            “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ปกป้องซีมัส ข้าพูดความจริง คนที่เริ่มเรื่องนี้คือดามอนต์ ท่านคงไม่ทราบว่าคนที่ปักมีดสั้นทั้งเล่ม เข้าไปที่กลางหลังซีมัสหวังจะฆ่าให้ตายวันนี้คือดามอนต์ แต่ไม่มีใครทราบเรื่องนี้เพราะท่านเจ้าเมืองไม่อยากเรื่องนี้แดงออกมาหรอกนะขอรับ” ดาวิสอดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมา ทั้งๆที่ตั้งใจจะปิดเอาไว้ไม่ต้องการให้ใครรู้ เพื่อรักษาหน้าของตระกูลด้วย และรักษาความรู้สึกของมารดาที่มีต่อดามอนต์

                โรเซ่เพิ่งได้รับรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก ก็รีบหันไปมองเรย์มอนต์ ท่าทางที่ไม่แสดงอาการประหลาดใจใดๆของผู้เป็นสามี ตอกย้ำให้โรเซ่ได้รับรู้ว่ามันคือเรื่องจริง และอีกฝ่ายก็รับรู้มาตลอดเช่นกัน

             “แล้วที่ข้าต้องออกตัวเช่นนั้นไม่ใช่เพื่อท่านเจ้าเมือง ใช่ขอรับที่เป็นคนที่ข้ารักถ้าท่านอยากจะให้ข้าพูดย้ำเรื่องนี้ แต่ข้าออกตัวเพื่อซีมัสที่เกือบจะต้องสละชีวิตตัวเองแทนข้าที่บริงไฮด์ เพื่อพาเจ้าเมืองกลับมา” เรย์มอนต์นั่งฟังสิ่งที่ดาวิสอธิบายมาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เจ้าตัวออกตัวยอมรับเรื่องคนรักของตัวเอง แต่เพราะไม่คิดว่าคำถามของภรรยาจะไปสะกิดความรู้สึกของบุตรชายได้ขนาดนั้น เขารู้ว่าถึงแม้ดาวิสจะอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ดูปกติใจเย็นเช่นนั้น แต่ปกติดาวิสไม่เคยคิดจะแก้ความเข้าใจของมารดาอย่างจริงจังขนาดนี้มาก่อน

                “........” โรเซ่ที่เจอคำตอบชัดๆของดาวิสเข้าไปก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ส่วนดาวิสเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหลุดปากพูดออกไปขนาดนั้นเช่นกัน ความเงียบงันจึงได้ก่อตัวขึ้นมากลางบทสนทนา

                “เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับแม่เจ้า ถึงขนาดยอมฝ่าฝนแวะมาหาเวลานี้ ข้าคิดว่าคงจะเป็นเรื่องของลีนัสล่ะสิ” เรย์มอนต์เอ่ยแทรกช่องว่างอันเงียบกริบขึ้นมา ทำให้ทั้งแม่ลูกหันไปมองหน้าคนพูดอย่างประหลาดใจ

                “ข้าได้ยินมาเยอะ ว่าเจ้าทำงานลำบากแค่ไหนเมื่อเจ้าเมืองไม่ยอมคุยกับเจ้าตรงๆ ข้าก็ไม่คิดว่าลีนัสจะจริงจังกับการรักษาสัญญากับแม่เจ้าขนาดนั้นหรอกนะ ทำเอาคนในที่ว่าการเข้าใจว่าลีนัสเกลียดเจ้าที่เป็นพี่ชายดามอนต์เข้ากระดูกดำไปแล้ว แต่ที่ข้าแปลกใจกว่าก็คือเจ้านี่แหละดาวิส” ดาวิสไม่แปลกใจที่เรื่องในที่ว่าการจะไปถึงหูของบิดา แต่ไม่คิดว่าบิดาจะรู้เรื่องที่ลีนัสให้สัญญาอะไรเอาไว้กับมารดาด้วย ถ้ามีใครบอกเขาบ้างสักคำ เขาคงไม่ปล่อยให้ลีนัสหนีหน้าเขานานขนาดนี้

                “ผ่านมาสามปีเจ้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนใจบ้างเลยรึไงกัน แม่เจ้าก็แนะนำลูกสาวตระกูลนั้นตระกูลนี้ไปให้เจ้าจนจะหมดทั้งเมืองแล้วล่ะมั้ง ข้าถามจริงๆเถอะ ทำไมถึงต้องเป็นลีนัส” ดาวิสเจอคำถามนี้เข้าไปก็ยืนนิ่งไป ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลที่จะพูด แต่ไม่เคยคิดจะพูดออกมา โดยเฉพาะกับบิดาที่ไม่เคยพูดคุยเรื่องประเภทนี้ด้วย

                “.......”

                “นั่งก่อนไหมดาวิส” เห็นท่าทางยืนนิ่งที่เหมือนคิดอะไรไม่ออกของบุตรชายเช่นนั้น เรย์มอนต์ผายมือชี้ไปที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่

               ดาวิสถอดเสื้อคลุมกันฝนออกมาแขวนไว้ที่ราวข้างๆประตูบ้าน แล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบิดา พลางในสมองก็ครุ่นคิดคำตอบของเหตุผลที่ถูกถามอยู่ตลอดเวลา

              พอเริ่มนึกทวนหาเหตุผลที่ต้องตอบคำถามข้อนั้น ภาพประทับใจต่างๆของลีนัสที่เก็บเอาไว้ พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ จนเจ้าตัวเผลอยิ้มแล้วขำออกมาเบาๆ พอรู้ตัวก็รีบกระแอมไอกลบเกลื่อนไป แต่ยังคงเหลือรอยยิ้มน้อยๆอยู่ที่มุมปากกับแววตาที่ดูเปี่ยมสุขคู่นั้นยังไม่หายไปไหน

                  “....เอ่อ....จะให้ข้าพูดยังไงดี...เอาเป็นว่า ข้าหาเหตุผลที่จะเป็นคนอื่นนอกจากลีนัสไม่ได้ขอรับ ข้าไม่สามารถจะรักคนอื่นได้จริงๆ” ดาวิสที่ไม่คุ้นเคยกับการคุยเรื่องแบบนี้กับบิดา ค่อยๆตอบกลับไปอย่างกระท่อนกระแท่น

                คำตอบที่ฟังแล้วไม่ได้เนื้อหาที่เป็นรูปธรรมใดๆ แต่รอยยิ้มจางๆที่ยังหลงเหลือออยู่บนใบหน้าของบุตรชาย ก็เพียงพอแล้วสำหรับโรเซ่ที่จะเข้าใจคำอธิบายทั้งหมด เธอไม่รู้มาก่อนว่าลีนัสจะรักษาสัญญาเธอขนาดที่ไม่ยอมพูดคุยกับดาวิสตรงๆมานานขนาดนี้ ถึงจะรู้สึกขัดใจที่ลูกชายตัวเองมีความรู้สึกแบบนั้นกับอีกฝ่าย แต่ก็เข้าใจดีว่าเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ วันนี้มีแต่เรื่องน่าขัดใจเต็มไปหมด โรเซ่ทำได้เพียงถอนใจออกมาหนักๆเพื่อระบายความหงุดหงิดออกมา

               “เอาเถอะดาวิส ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของเจ้าหรอก แล้วก็เรื่องที่แม่เจ้าไปคุยไว้กับลีนัสด้วย แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปมีแต่ข่าวลือว่าเจ้าเมืองไม่ถูกกับรองเจ้าเมืองนานๆ ข้าว่ามันไม่ดีนัก อย่าให้มันโจ่งแจ้งก็พอแล้ว เจ้าก็น่าจะเข้าใจดีว่าต้องรักษาความหน้าเชื่อถือในหน้าที่การงานเอาไว้ด้วย” เรย์มอนต์เห็นว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องคุยถึงประเด็นนี้ให้มากไปกว่านี้อีก จึงตัดสรุปออกมา ทำให้โรเซ่หันไปมองหน้าสามีอย่างไม่พอใจ ที่อยู่ๆก็สรุปตัดสินเองเสียดื้อๆ

              “บ้านตระกูลรองเจ้าเมืองที่ไม่ยอมแต่งงาน ยังไงก็ต้องมีคนสงสัย...” โรเซ่รีบเสนอขึ้นมาแต่เรย์มอนต์ยกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกให้ภรรยาหยุดก่อน เพราะตนยังพูดไม่จบดี

              “ข้าหมายถึงความน่าเชื่อถือของเจ้าเมืองน่ะ ข้าห่วงแค่นั้นจริงๆ” เรย์มอนต์หันกลับมาเอ่ยกำชับบอกบุตรชาย เขาไม่เคยสนใจเรื่องหยุมหยิมแค่ขี้ปากในวงสนทนาเล็กๆของชุมนุมแม่บ้านในยามเช้าหรืออะไรประเภทนั้น แต่เขาไม่เคยทิ้งหน้าที่ของรองเจ้าเมือง ที่ต้องรักษาความสงบของเมืองเป็นงานหลัก

                 “ท่านพ่อ เรื่องนั้นข้าทราบดีขอรับ...ท่านแม่ ข้าขออภัยที่ไม่อาจจะเป็นลูกที่ได้ดั่งใจท่าน” ดาวิสพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น แล้วหันไปเอ่ยกับมารดาที่นั่งกอดอกทำหน้าไม่พอใจอยู่ถัดไปข้างๆ

               “ช่วยให้อภัยลูกด้วยเถอะขอรับ” ดาวิสลุกขึ้นเตรียมจะทรุดตัวลงไปคุกเข่าแทบเท้าผู้เป็นมารดา โรเซ่ก็ลุกยืนตัวตรงขึ้นมาเสียก่อน

              “ข้าก็เลี้ยงเจ้าจนโตมาป่านนี้แล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ” หลังจากที่ซีมัสลงไปคุกเข่าต่อหน้าเธอแล้วครั้งหนึ่ง นี่จะเป็นอีกครั้งที่มีคนก้มลงคุกเข่าตรงหน้า โรเซ่ไม่ได้รู้สึกถึงการมีอำนาจใดๆที่ทำให้ใครต่อใครต้องมาขอให้เธออภัย หากแต่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเดียวที่เป็นนางตัวร้าย ไม่ยอมเข้าใจและยอมรับอะไรให้ได้เหมือนคนอื่นๆ

             “ท่านแม่?” แววตาที่แสดงความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยของบุตรชายที่มองมา ทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกโกรธไม่ลง เธอถอนหายใจเบาๆออกมาด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง

            “.....เรื่องสัญญาอะไรนั่นก็ช่างมันเถอะ...ขอเวลาให้ข้าสักนิดก็แล้วกันดาวิส” โรเซ่เอ่ยทิ้งไว้แค่นั้นก็เดินกลับขึ้นชั้นบนไป

              “ขอบคุณขอรับท่านแม่” ดาวิสเอ่ยตามหลังมารดาไปโดยที่อีกฝ่ายไม่สนใจที่จะหันกลับมาฟัง

              เมื่อเหลือเพียงสองพ่อลูกที่โถงกลางบ้าน เรย์มอนต์ก็ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างกับลูกชาย แต่กลับโดนอีกฝ่ายชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

             “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขออนุญาตกลับไปก่อน ท่านพ่อมีเรื่องอะไรรึเปล่าขอรับ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนจะพูดอะไรจึงเอ่ยถามขึ้น ผู้เป็นพ่อก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมา

            “ไม่มีอะไร เอาไว้ค่อยคุยวันหลังก็ได้ ฝนยังตกอยู่เจ้าก็กลับดีๆล่ะ ดูท่าจะธุระด่วน ข้าไม่รั้งเจ้าให้พักผ่อนที่บ้านหรอกคืนนี้” เรย์มอนต์แกล้งเอ่ยแซวบุตรชายตัวเอง แล้วเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่ตนวางไว้ข้างๆกลับขึ้นมา

             “...........ขอรับ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวขอรับท่านพ่อ” ดาวิสพยายามจะกลบเกลื่อนท่าทางเคอะเขินของตัวเองพร้อมตอบกลับไป เขาต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรที่เขาจะปิดบังบิดาตัวเองได้สักเรื่องเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: Libra's Heart (Act:10 Release 3/3) 19 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 19-04-2016 17:10:05
Libra's heart : Release (3/3)


               ดาวิสสวมเสื้อกันฝนพร้อมหยิบตะเกียงเดินออกจากบ้านไป ก็พบกับเงาตะคุ่มของเด็กหนุ่มร่างหนา ยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่รอเขาอยู่ที่หน้าบ้าน ทำให้ดาวิสขมวดคิ้วหนาเข้าหากันเพ่งสายตามองผ่านความมืดและสายฝนที่ตกลงมาบดบังทรรศนวิสัย

               “.........ซีมัส”

               “ข้า ขออภัยที่ต้องรบกวนครอบครัวท่านเช่นนั้น” เด็กหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาหาพร้อมเอ่ยขึ้น

              “...ไม่เป็นไรหรอก ข้าเข้าใจ ว่าเจ้าเองก็อยากจะออกมารับผิดชอบ แต่จะรอพรุ่งนี้เสียหน่อยไม่ได้รึไง” ดาวิสถอนหายใจออกมาแล้วบ่นกลับไป

              “ขออภัย ข้ารู้สึกว่า ข้าปล่อยไว้นานเกินไปแล้ว” ซีมัสก้มหน้าตอบกลับมาอย่างสำนึกผิด ดาวิสเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ถอนใจพร้อมคลี่ยิ้มกลับมาจางๆ

                “เอาเถอะ ก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะซีมัส อย่าคิดมากเลย” ดาวิสยกมือขึ้นตบท่อนแขนอีกฝ่ายเบาๆ ทำท่าจะเดินจากไปแต่ซีมัสเอ่ยรั้งเอาไว้

               “เอ่อ…ขอบคุณนะขอรับ ที่ออกตัวให้ข้า ถึงแม้ท่านจะทำเพื่อท่านพี่ก็เถอะ…”

               “พูดอะไรของเจ้า ข้าว่าเจ้าอยู่ตรงนี้ก็น่าจะแอบได้ยินทุกอย่างแล้วนะ ว่าข้าไม่ได้ทำเพื่อพี่เจ้าน่ะ ต้องให้บอกอีกกี่รอบถึงจะพอใจเหรอ อย่าเรียกร้องความสนใจนักเลยน่า โตแล้ว” ดาวิสเอ่ยทิ้งไว้อย่างกึ่งตำหนิกึ่งแกล้งเอ่ยแซวก่อนจะเดินจากไป

               แทนที่ซีมัสจะโกรธที่ถูกตำหนิแบบนั้น เขากลับรู้สึกว่าหัวใจตัวเองพองโตขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่ดาวิสยอมรับจุดยืนที่เป็นตัวเขาเอง และยอมรับว่าตัวเขาโตแล้ว เขาก้มศีรษะลงตามหลังแผ่นหลังของดาวิสที่เดินหายไปในความมืดทีหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปอีกทางเพื่อเดินกลับบ้าน







                  ดาวิสเดินกลับมาถึงที่ว่าการท่ามกลางสายฝนที่ไม่ยอมหยุดตกเสียที ทำให้เสียเวลาเดินทางไปพอสมควร เมื่อเดินเข้ามาถึงประตูหน้า เขาก็หันไปมองที่หน้าต่างห้องของลีนัสที่ไม่มีแสงไฟรอดออกมาแม้แต่น้อย ป่านนี้เจ้าของห้องที่เหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง น่าจะนอนหลับพักผ่อนไปแล้ว เขาน่าจะนอนพักผ่อนที่บ้านไม่น่าต้องรีบดั้นด้นกลับมาเลยจริงๆ คิดได้เช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมาแล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างผิดหวัง

                  ร่างสูงเปิดประตูห้องที่มืดสนิทตัวเองเข้าไป วางตะเกียงไว้ที่โต๊ะข้างประตูแล้วถอดรองเท้าออก และถอดเสื้อคลุมแขวนไว้กับผนัง แล้วหันกลับมายืดแขนบิดตัวคลายความเมื่อยล้าเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันที่จะได้เหยียดกายท่อนแขนหนาหยุดนิ่งไป เมื่อสายตากวาดมองไปเห็นเงาดำๆอะไรบางอย่างอยู่บนโซฟาที่ห้อง ทั้งๆที่จำได้ว่าตนเองไม่ได้วางของชิ้นใหญ่ขนาดนั้นบนโซฟา

                ผู้เป็นเจ้าของห้องเดินมาจุดตะเกียงเพิ่มอีกอัน แล้วเดินถือเข้าไปหาที่โซฟาหลังนั้นด้วยความสงสัย เมื่อแสงสว่างสีส้มอ่อนจากตะเกียงส่องไปถึง เห็นพวงแก้มเนียนของคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา ภาพตรงหน้าทำให้เขาต้องรีบยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองแล้วมองดูอีกที เขาอาจจะเหนื่อยเกินไปจนมองอะไรผิดเพี้ยนไป แต่ภาพตรงหน้านั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

                  “....ลีนัส” เพราะอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบ และยังหลับสนิทดูไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดาวิสจึงเอ่ยเรียกชื่อเจ้าตัวห้วนๆออกมาเบาๆ พร้อมทั้งทรุดตัวลงไปนั่งที่ข้างหน้าโซฟาและเอื้อมมือไปสัมผัสเรือนผมของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

                 “....อือ” สัมผัสแผ่วเบาทำให้แววตาที่ดูสะลึมสะลือค่อยๆกระพริบลืมขึ้น พร้อมทำเสียงงัวเงียออกมา

                 “ง่วงนอนจนเข้ามานอนผิดห้องแบบนี้ไม่ดีนะขอรับ” ดาวิสแกล้งเอ่ยขึ้นมาในขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆยันตัวลุกกลับขึ้นมานั่งขยี้ตาตัวเองเบาๆ

                   “ข้าไม่ได้เข้าผิดห้อง...ข้ามารอท่านต่างหาก ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านเรื่อง…..” ดาวิสอมยิ้มดูท่าทางงัวเงียเหมือนลูกแมวเพิ่งตื่นนอนของอีกฝ่าย ที่พยายามเรียบเรียงถ้อยคำออกมาทีละนิดๆ หลังจากที่สมองเพิ่งตื่นขึ้นมาทำงาน

                 “...ซีมัส” พลันเมื่อชื่อนี้หลุดออกมาจากปากรอยยิ้มของเขาก็หายไปในทันที นี่คงจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เจ้าตัวยอมเข้ามานอนรอเขาที่นี่

             “อา...ใช่ขอรับ ซีมัสไปหาแม่ข้าที่บ้านมาขอรับ ถ้าท่านกังวลเรื่องนั้นล่ะก็ ทุกอย่างจบลงด้วยดี ถึงแม้แม่ข้าจะยังไม่อาจจะรับได้เท่าไหร่นักก็ตาม” ดาวิสถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกถอยห่างออกมาพร้อมอธิบายให้เจ้าตัวสบายใจ

              “....ท่านกลับไปที่บ้านมาหรือขอรับ ขออภัยด้วยที่ซีมัสเข้าไปรบกวน” ดาวิสไม่ได้คิดว่าซีมัสรบกวนอะไรที่บ้านมากนัก แต่น่าแปลกที่เจ้าตัวไม่ได้โผล่มาที่นี่แต่กลับรบกวนทำลายบรรยากาศไปได้อย่างเฉียบพลัน

             “ไม่เป็นไรหรอกขอรับท่านเจ้าเมือง ถ้านั่นเป็นเหตุผลที่ท่านลำบากมานอนรอที่นี่ ก็กลับไปพักผ่อนต่อที่ห้องเถอะขอรับ” ดาวิสไล่อีกฝ่ายกลับไปทั้งคำพูดและท่าทาง ที่ปลีกตัวออกไปยืนหน้าทางเข้าห้องน้ำถอดเสื้อตัวเองออก

                “ท่านดาวิส...ถ้าไม่รบกวนท่านจนเกินไปข้าอยากจะคุยกับท่าน…” การที่อีกฝ่ายยังเอ่ยเรียกเขาด้วยชื่อตำแหน่งเช่นนั้น ทำให้ลีนัสรู้สึกผิดจึงลุกขึ้นเดินตามเจ้าตัวไปสะกิดแผ่นหลังอีกฝ่ายเบาๆ พลันดาวิสก็หันกลับมาคว้าข้อมือนั้นเอาไว้ และผลักร่างบางชิดกับกำแพงห้อง

               “ถ้าท่านยังไม่กลับไปตอนนี้ ข้าจะไม่ให้ท่านกลับออกไปจนกว่าจะเช้านะขอรับ เข้าใจความหมายที่ข้าพูดใช่ไหมขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสก้มลงไปกระซิบขู่ด้วยน้ำเสียงนุ่มๆที่ข้างหู ทั้งสัมผัสจากลมหายใจอ่อนๆที่ไซร้ซอกคอของของลีนัส ทั้งความหมายแฝงที่ตั้งการจะสื่อมา ประกอบกับแผ่นอกแน่นเปลือยเปล่าตรงหน้า ทำให้ร่างบางใจเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ จึงรีบเบือนสายตาหนีไปมองที่อื่น ดาวิสเห็นว่าลีนัสหลบหน้าตนเช่นนั้นก็คลายมือปล่อยข้อมือของอีกฝ่ายออกไป แล้วจะปลีกตัวไปอาบน้ำแต่ลีนัสกลับรีบคว้ามือหนามาจับเอาไว้แน่น

               “....ท่านดาวิส ข้าขอโทษที่รบกวนท่านเวลาเช่นนี้ ข้าแค่รู้สึกว่าข้าควรจะต้องเอ่ยขอบคุณท่านสักครั้งที่พาข้ากลับมา แล้วข้าขอโทษด้วยที่รบกวนท่านหลายเรื่อง ข้าจะพยายามไม่รบกวนท่านอีก อย่าโกรธข้าแบบนี้ได้ไหมขอรับ” แทนที่ลีนัสจะยอมจากไปเพราะคำขู่ของตน กลับจับมือของเขาไว้แน่น และเอ่ยขึ้นมาอย่างคนสำนึกผิด ท่าทางของคนตรงหน้า ทำให้ดาวิสลืมความรู้สึกโกรธเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น ลืมตำแหน่งของอีกฝ่ายที่ตนต้องเคารพยำเกรง มือแกร่งออกแรงดึงร่างบางเข้ามากอดแนบอกไว้แน่น

              ลีนัสที่ถูกดึงตัวไปแนบชิดกับแผ่นอกกำยำเปลือยเปล่า ไม่กล้าที่จะกอดอีกฝ่ายกลับไปได้เหมือนกับคนอื่นๆที่วันนี้เข้ามากอดเขา เพราะกลัวว่าดาวิสจะได้ยินเสียงหัวใจของเขา ที่ตอนนี้เต้นแรงจนเขาแทบไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วนอกจากเสียงหัวใจที่น่าหนวกหูของตน แต่ก็ไม่คิดจะปฏิเสธอ้อมกอดนั้น เพราะนี่คืออ้อมกอดเดียวที่เขาโหยหามากที่สุดหลังจากที่ได้กลับมาจากบริงไฮด์

                  ครู่หนึ่งดาวิสก็ฝังสันจมูกโด่งของตัวเองลงไปกับซอกคอขาวของคนในอ้อมกอด แล้วสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ กลิ่นกายหอมสะอาดที่เข้าจมูกของดาวิส ทำให้เจ้าตัวคิดถึงเมื่อคืนก่อนที่เจ้าตัวเข้ามาหาเขาในห้องนี้ นึกขึ้นได้เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวขึ้นมา

                   “ที่อาบน้ำเสร็จแล้วแวะมาหาข้าเวลาแบบนี้ คิดจะขอบคุณข้าด้วยวิธีนี้รึเปล่าขอรับท่านเจ้าเมือง” ร่างหนาแกล้งกระซิบถามอีกฝ่ายไปเบาๆที่ข้างหู พลางเคลื่อนมือลงมาตามแผ่นหลังของร่างบางแล้วหยุดเคล้าคลึงที่สะโพกด้านหลังเรื่อยลงมา ยังผลให้อีกฝ่ายหน้าแดงซ่านขึ้นมา ลีนัสฝังใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองลงไปซ่อนกับแผ่นอกแกร่งอย่างลืมตัว

                    “มะ..ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าก็แค่...” เสียงลีนัสปฏิเสธรอดออกมาเบาๆจากอ้อมกอดแกร่ง ถึงเขาจะไม่ได้ตั้งใจจะให้ดาวิสเข้าใจอย่างนั้น แต่ตัวเขาเองก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่เขาทำดูจะสื่อไปให้คิดอย่างนั้นจริงๆ

                     “เหวอ!! ท่านดาวิส!!?” ยังไม่ทันที่ลีนัสจะหาข้ออ้างมาปฏิเสธได้ทัน ร่างบางก็ถูกหิ้วขึ้นพาดบ่าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

                      “ข้าว่าข้าเตือนท่านตั้งแต่เมื่อครู่แล้วนะขอรับ...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางอุ้มลีนัสเดินตรงไปวางลงบนเตียงหลังใหญ่ในห้อง

                  “...ท่านดาวิส ข้าไม่ได้มาหาท่านเพื่อจะทำอะไรแบบนี้นะขอรับ..” ลีนัสยกมือขึ้นมาผลักไหล่หนาของอีกฝ่ายออกไปเบาๆ เป็นเชิงร้องขออย่างนุ่มนวล ที่ไม่ออกแรงเยอะเพราะรู้ว่าออกแรงไปก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี ดาวิสคลี่ยิ้มจางๆมองความน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย ที่พยายามจะแก้ตัวแก้สถานการณ์อย่างนุ่มนวลตามแบบของเจ้าตัว

                “......!!” มือเรียวข้างที่ผลักไหล่หนาอยู่นั้น ถูกมือแกร่งคว้าขึ้นมาจูบที่หลังมืออย่างทะนุถนอม สัมผัสนุ่มๆจากริมฝีปากของดาวิสทำให้หัวใจของร่างบางเต้นระส่ำขึ้นมาอีกครั้ง

                แววตาสีน้ำเงินเข้มทอดมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้หน้าแดงไปถึงใบหู เขาคลี่ยิ้มขึ้นมาที่มุมปากก่อนจะโน้มตัวก้มลงไปบดขยี้ริมฝีปากบางตรงหน้า

                 “....…อือ...” ทั้งจังหวะการเต้นของหัวใจที่รุนแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอก สัมผัสอันอบอุ่นจากฝ่ามือหนาที่ทาบทับฝ่ามือตัวเองทั้งสองข้าง ทำให้เขาเผลอกุมฝ่ามือหนาคู่นั้นกลับไปอย่างลืมตัว และความรู้สึกวาบหวามที่ก่อนตัวขึ้นมาจากปลายลิ้นอันช่ำชองของอีกฝ่าย ความรู้สึกอันมากมายนี้ทำให้เจ้าเมืองหนุ่มทิ้งสำนึกคิดทุกอย่างไป พร้อมๆกับเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน

              “ถ้าท่านจะปฏิเสธข้า ช่วยชัดเจนกว่านี้นะขอรับ...ท่านเจ้าเมือง” ร่างหนาที่ยันกายคร่อมอยู่ด้านบนทอดสายตาคลี่ยิ้มมองใบหน้าแดงก่ำที่นอนไร้เรี่ยวแรงต่อต้านกำลังหายใจหอบอยู่เบาๆ ดาวิสเอ่ยย้ำเรียกอีกฝ่ายเช่นนั้น ใบหน้าหวานก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที

               “.....เลิกเรียกข้าแบบนั้นเสียทีได้ไหมขอรับ...อย่างน้อยๆก็ตอนนี้…” เสียงขอลีนัสค่อยๆแผ่วลงที่ท้ายประโยค ท่าทางที่ไม่กล้าเอ่ยออกมาตรงๆของลีนัสทำให้ดาวิสยิ่งอยากจะแกล้ง จึงคลี่ยิ้มมุมปากขึ้นมาแล้วโน้มตัวลงไปกระซิบถามที่ข้างหู

               “ขอคำอธิบายคำว่าตอนนี้ของท่านได้ไหมขอรับท่านเจ้าเมือง” แค่ลมหายใจเบาๆที่ไซร์ใบหูก็ทำให้ร่างบางตัวเกร็งแล้ว นี่ยังจะถูกริมฝีปากของคนถามเคลื่อนมาขมเม้มที่ติ่งหู แล้วไล่พรมจูบลงมาที่ซอกคอ

               “อ่ะ....ท่านดาวิส…ขอร้องล่ะ...พอเถอะ...” เสียงกระซิบค้านของร่างบาง ขาดหายไปตามจังหวะที่ริมฝีปากหนาสัมผัสลงมาที่ซอกคอ และเมื่อมืออันซุกซนของอีกฝ่ายยกขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อนอนสีขาวของเขา มือเรียวที่ได้รับการปลดปล่อยก็ยกขึ้นมาบังริมฝีปากผู้เป็นต้นเหตุทันที ทำให้ดาวิสยอมหยุด

               “......คนในเมืองเรียกข้าแบบนี้ทั้งนั้น อย่าให้ข้าเผลอคิดถึงเรื่องนี้ทุกครั้งที่ถูกเรียกได้ไหมขอรับ….” ลีนัสทำหน้าบูดขมวดคิ้วเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ

               “ดีสิ ท่านจะได้คิดถึงข้าบ่อยๆไง ท่านเจ้าเมือง” ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าลำบากใจ ดาวิสก็ยิ่งรู้สึกอยากแกล้งมากขึ้นอีก

              “ท่านดาวิส !!....ไม่ทันแล้วมั้ง….” ลีนัสขึ้นเสียงว่าดาวิสกลับไปแล้วก็ถอนใจยกมือขึ้นก่ายหน้าผากเบือนหน้าหนี ดาวิสจึงยอมเลิกเล่น เขาถอนใจออกมาเพื่อปรับอารมณ์ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามร่างบางกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง

              “ถ้าข้ากลับมาเรียกเจ้าเหมือนเดิม เจ้าจะกลับมาเป็นของของข้าไหมลีนัส” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามพลางใช้ปลายนิ้วเชยคางมนของอีกฝ่ายกลับขึ้นมาสบตา

               “.......” ลีนัสทำหน้าเมือนจะพูดอะไรกลับมาแต่กลับเงียบไป ภาษาการพูดคุยเดิมๆที่เคยคุยกันของดาวิส ทำให้เขาอยากจะโผเข้าไปกอดอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น เขาอยากให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม แต่ก็รู้ว่ามันหมดเวลาแล้ว สำหรับเขาที่เติบโตขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองออกปากไปแล้ว

              “ลีนัส เจ้าอย่าเอาคำพูดของคนอื่นมาตัดสินความสัมพันธ์ของเราสองคนได้ไหม ข้ารู้ว่าข้าแสดงออกต่อเจ้าได้แค่ไหน ในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าเมือง แต่เวลาที่อยู่แค่สองคนเจ้าอย่าเอาคำพูดของคนอื่นมาผลักข้าออกไปได้ไหม หรือเจ้าเห็นว่าความสัมพันธ์ของเรามันไม่ได้มีค่าอะไรเลยรึไงลีนัส”

             “...ท่านดาวิส...ท่านนั่นแหละที่ไม่เห็นค่าของความสัมพันธ์ที่มีระหว่างเราเลย” ลีนัสขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเถียงกลับไป เหมือนเก็บเอาไว้อยากจะพูดมานานแล้ว

                   “หมายความว่ายังไงลีนัส”

                   “กับท่านที่เลือกจะเอาชีวิตตัวเองมาแลกกับข้า มันก็โหดร้ายกับข้าเลยเหมือนกันนั่นแหละขอรับ ท่านตายไปจะให้ข้าอยู่ต่อยังไงขอรับ นี่คือการให้คุณค่าของความสัมพันธ์ของท่านหรือขอรับ….. ข้ายังไม่พร้อมที่จะเสียท่านไปตอนนี้หรอกนะขอรับ” ลีนัสขมวดคิ้วต่อว่าดาวิสออกไปยกใหญ่อย่างโกรธเคือง แต่กลับมีหยาดน้ำตาไสๆไหลเอ่อออกมาจากแววตาสีเพลิงคู่นั้น ทำเอาดาวิสรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ เขารีบก้มลงไปกอดร่างบางไว้แน่น

                  “.....ลีนัส ข้าขอโทษ ข้าแค่ทนให้องค์ชายเฟริคทำแบบนั้นกับเจ้าไม่ได้จริงๆ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างสำนึกผิด กับอ้อมกอดอันอบอุ่นแทรกซึมความอุ่นวาบให้กับหัวใจของร่างบางในอ้อมกอด ลีนัสอยากจะอยู่อย่างนี้ต่อไปนานๆ

                  “อย่าร้องไห้เลยนะ ข้ายังอยู่กับเจ้าตรงนี้” พอถูกดาวิสปลอบเหมือนเด็กๆแบบนั้น ลีนัสก็รู้ตัวขึ้นมาว่าได้พูดจาและทำตัวน่าอายออกไป เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเผลอร้องไห้ออกไปด็เมื่อถูกดาวิสพูดขึ้นมาเช่นนั้น และตอนนี้ได้รู้ตัวแล้วว่าไม่ควรจะอยู่ในบรรยากาศแบบนี้นาน จึงหาเรื่องมาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

                  “...ท่านดาวิส….ข้าหนัก…” บรรยากาศถูกทำลายทิ้งไปได้อย่างฉับพลัน ทำให้ดาวิสต้องถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกขัดอารมณ์ แต่ก็ยอมขยับไปทิ้งน้ำหนักตัวลงไปนอนข้างๆ

                  “.....ตกลงที่โกรธข้าเมื่อตอนกลางวันเพราะเรื่องนี้หรอกหรือ ข้าคิดว่าเจ้าโกรธที่ข้าใช้ให้ซีมัสลงมือเสียอีก” ดาวิสทวนถามพลางไร้ปลายนิ้วไปตามรอยคราบน้ำตาบนใบหน้าเนียน ที่ตอนนี้แห้งหายไปแล้ว

                   “.......ข้ารู้ว่าข้าไม่มีเหตุผลที่จะโกรธ...”

                  “ไม่หรอก เจ้าน่ะหัดทำตัวเอาแต่ใจกับข้าเรื่องแบบนี้บ้างน่ะดีแล้ว ข้าจะได้รู้ว่าเจ้าคนรักข้ายังมีหัวใจให้ข้าอยู่บ้าง” ลีนัสไม่เข้าใจว่าทำไมดาวิสถึงได้พูดอะไรน่าอายแบบนี้ออกมาได้อย่างง่ายดายนัก และยิ่งเมื่อใบหน้าคมเข้มเจ้าของคำพูดนั้นอยู่ห่างจากใบหน้าตัวเองไปนิดเดียว การที่อีกฝ่ายเอ่ยบอกเขาตรงๆโดยที่ไม่ละสายตาออกไปจากเขาแม้แต่น้อย ทำให้ลีนัสยิ่งรู้สึกเขินหนักจึงพลิกตัวหนีหน้าอีกฝ่ายไป

                 “....พูดอะไรของท่าน...ข้าไม่ใช่เด็กๆแล้วนะขอรับ จะทำอะไรตามใจตัวเองได้ยังไง….” ดาวิสรู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายบอกปฏิเสธความรู้สึกที่เขาตั้งใจจะถ่ายทอดออกมา จึงเดาะลิ้นขึ้นมาอย่างไม่พอใจพร้อมยันร่างตัวเองขึ้นมานั่ง

                 “เจ้านี่ หัดทำตัวคล้อยตามไปกับบรรยากาศบ้างเป็นไหม” ดาวิสดึงท่อนแขนบางของอีกฝ่ายให้พลิกตัวกลับมามองที่เขาอีกครั้ง แล้วโน้มตัวลงไปหาพร้อมกับลากมือไล้ท่อนขาขาวของลีนัสขึ้นไปใต้ชายเสื้อนอนตัวยาว

                 “...!!...ท่านดาวิส!?” ท่อนแขนเรียวรีบยกมือมาจับมือกร้านที่กำลังจากลากมือสูงขึ้นมาเรื่อยๆ

                 “ถ้าข้ายังเห็นว่าเจ้าเป็นเด็กๆอยู่ ข้าไม่ทำอะไรแบบนี้กับเจ้าหรอก เจ้าก็น่าจะรู้” มือของลีนัสที่วางลงมาหยุดมือของดาวิสนั้นไม่ได้ผล เสื้อนอนของร่างบางถูกถกขึ้นมาจนเผยท่อนขาอ่อนออกมาให้เห็น และมือซุกซนคู่นั้นยังคงลูบขึ้นต่อไป จนถลกเปิดขึ้นไปถึงจุดที่ร่างบางพยายามจะปกปิดไว้

                “โฮ่... ใครกันจะเชื่อ ว่าท่านเจ้าเมืองจะแวะมาหาข้าถึงห้องทั้งสภาพที่น่ายั่วยวนอย่างนี้” ดาวิสหยุดพินิจพิจารณาผิวเนียนขาวตรงหน้า พร้อมทั้งแกล้งเอ่ยแซวร่างบางให้ยิ่งรู้สึกอายจนหน้าแดงเป็นลูกมะเดื่อ

                “...ก็บอกว่าอย่าเรียกข้าแบบนั้น...อ๊ะ!!” ร่างบางสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เมื่อเรียวขาถูกจับให้ห่างออกจากกัน แล้วดาวิสก็ก้มลงมาฝังริมฝีปากลงที่ซอกขาอ่อนด้านใน

               “อือ...ท่านดา...วิส...อึก..ปะ ปล่อย ย๊ะ!! อื้อ...!!” ยิ่งลิ้นสากลากเข้ามาใกล้จุดสำคัญมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างบางก็ยิ่งเกร็งตัวพยายามจะบิดหนีความรู้สึกเสียวซ่านนั้น แต่พยายามดิ้นแรงแค่ไหนก็ตาม ท่อนแขนแกร่งที่รั้งเรียวขาคู่นั้นแทบจะไม่ขยับไปไหนเลยสักนิด

             เสียงจูบเสียงดูดผิวบางตามซอกขาอ่อนจากริมฝีปากหนาประสานกับเสียงครางเบาๆของลีนัส ก่อเกิดเป็นเสียงบรรยากาศที่ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของคนทั้งสองมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่คิดว่าไม่น่าจะกู่กลับมาได้อีกแล้ว

                อยู่ๆการรุกรานอันเร่าร้อนก็หยุดลงไปกระทันหัน ทำให้ลีนัสรู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายหยุดไปกลางครันเช่นนั้น จึงยันตัวลุกขึ้นมาทั้งๆที่ยังหายใจหอบอยู่นิดๆสบตามองดาวิสอย่างสงสัย เมื่อสบตาเข้ากับร่างหนาที่ขยับตัวลุกขึ้นมาวางมือคร่อมเขาไว้ มุมปากที่ดูเจ้าเล่ห์ก็กระตุกยิ้มขึ้นมา ทำให้ลีนัสรู้สึกเหมือนว่าเขาได้พลาดท่าให้ดาวิสไปเสียแล้วอย่างไรอย่างนั้น

               “ขออภัยที่ขัดอารมณ์กลางคัน แต่ก่อนที่ข้าจะหยุดไม่ได้ ข้าขอตัวไปอาบน้ำก่อนได้ไหม ตั้งแต่ออกเดินทางจนกลับมาถึงนี่ข้ายังไม่ได้อาบน้ำเลย เจ้าอุตส่าห์อาบมาแล้วเสียหอมขนาดนี้” ดาวิสอธิบายพลางก้มลงไปจูบที่ซอกคอของอีกฝ่ายเบาๆแล้วขยับไปกระซิบบอกที่ข้างหูของลีนัส

               “ข้าสัญญาว่าไม่นาน” ดาวิสขยับมาจูบที่หน้าผากของร่างบางทีหนึ่งแล้วรีบลุกเดินหายไปในห้องน้ำทันที ทิ้งให้ลีนัสนอนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกอยู่บนเตียงหลังใหญ่คนเดียว

                ลีนัสไม่เคยรู้ว่าดาวิสจะใส่ใจในเรื่องแบบนี้มาก่อน ร่างบางนอนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่คนเดียวบนเตียงนุ่มนั่น ในขณะที่ได้ยินเสียงน้ำดังออกมาจากทางห้องน้ำ

               ….ข้ายังไม่ได้พูดว่ารังเกียจสักคำ…. ลีนัสนึกอยู่ในใจ พลางคิดค่อไปว่า เมื่อครู่นี้เขาเกือบจะยกมือขึ้นมารั้งท่อนแขนแกร่งคู่นั้นเอาไว้อยู่แล้ว เพื่อจะบอกว่า”ไม่ต้องก็ได้”

                 “!!?” ลีนัสคิดถึงสิ่งที่ตัวเองเกือบจะพูดออกมาก็รีบลุกขึ้นมานั่ง ยกมือมาปิดหน้าตัวเองที่รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง

                ลีนัสตั้งสติตัวเองกลับขึ้นมาได้ก็หันไปมองที่ประตูห้อง จริงๆแล้วนี่เป็นจังหวะที่ดีที่เขาควรจะรีบหนีออกไปจากเตียงหลังนี้ ก่อนที่เขาจะจมปลักไปกับดาวิสมากเกินกว่าจะยอมปล่อยมือตัวเองออกไปได้ หรือตอนนี้ก็อาจจะไม่ทันเสียแล้ว ถ้าไม่เช่นนั้น เขาคงยังไม่นั่งนิ่งอยู่อย่างนี้

                ร่างบางตวัดขาตัวเองลงมาวางที่พื้นข้างๆเตียง แล้วหยุดมองปลายเท้าตัวเองที่ไม่ยอมขยับไปไหนมากกว่านี้ ปลายเท้าที่แตะอยู่บนพื้นหินเย็นๆที่พื้นห้อง ในใจนึกหาเหตุผลต่างๆนานามาเพื่อจะรั้งตัวเองไว้ ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรจะอยู่ต่อ

                ถ้าดาวิสกลับมาไม่เจอเขาจะเสียใจแค่ไหน เขาไม่ควรจะทำให้คนที่อุตส่าห์เข้าไปช่วยเขากลับมาจากบริงไฮด์ ต้องรู้สึกผิดหวัง ดาวิสสัญญาไปแล้วว่าจะไปไม่นานเขาควรจะต้องรอใช่ไหม เขายังมีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกับดาวิสอีกหรือไม่

                 “โฮ่….ข้าคิดว่าจะกลับมาเจอเตียงเปล่าๆเสียอีก” ระหว่างที่จมอยู่ในห้วงความคิดนั้น อยู่ๆก็มีเสียงดาวิสเอ่ยทักขึ้นมาจากประตูห้องน้ำ ทำเอาร่างบางสะดุ้งยืนขึ้นมา เหมือนว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง

                “...มะ..หมายความว่ายังไงขอรับ” ลีนัสหันไปถามดาวิสที่เดินกลับมาในสภาพที่ผมยังชื้นๆ ในเสื้อคลุมอาบน้ำตัวใหญ่ที่ใส่ไว้หลวมๆ

                “ข้าก็แค่จะวัดใจเจ้าดูว่าเจ้าจะหนีข้ากลับไปไหม” ลีนัสไม่ทันได้คิดถึงจุดๆนี้ เลยได้แต่ยืนนิ่งหน้าแดงอยู่ตรงนั้น ในขณะที่ดาวิสเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วเคลื่อนหน้าเข้าไปกระซิบบอกที่ข้างหู

                 “ข้าไม่อยากให้ท่านมาอ้างว่าถูกอารมณ์พาไปทีหลังนะขอรับ ท่านเจ้าเมือง” ดาวิสยังคงแกล้งประชดเรียกตำแหน่งของลีนัสเช่นนั้นต่อ เขายังอดไม่ได้ที่จะประชดลีนัสที่ทำตัวเย็นชากับเขาแบบนั้นไปเมื่อตอนบ่ายอยู่

               “ท่านดาวิส!! ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้แหละขอรับ!! ปล่อยข้า!!” ลีนัสผลักดาวิสออกแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องที่เขาจ้องมองอยู่เมื่อครู่อย่างลังเลอยู่นานแล้ว

              “เดี๋ยวก่อนลีนัส ข้าขอโทษ” ดาวิสรีบเดินตามมาคว้าข้อมือของลีนัสเอาไว้ แล้วเข้าไปสวมกอดร่างบางจากข้างหลัง

              “....ขอโทษ...ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว”

              “.......” พอถูกน้ำเสียงทุ้มหนาของดาวิสเอ่ยอ้อนกระซิบที่ข้างหูเช่นนั้นลีนัสก็ใจอ่อนลงไปทันที จริงๆแล้วเขารู้สึกโล่งใจเสียด้วยซ้ำ ที่ดาวิสมารั้งเขาเอาไว้ เขายังไม่อยากจะจากอ้อมกอดนี้ไป อย่างน้อยก็คืนนี้ หยดน้ำเย็นๆที่ไหลลงมาจากเรือนผมเปียก สัมผัสชื้นๆจากแผ่นอกกว้าง บ่งบอกให้รู้ว่าดาวิสนั้นรีบร้อนที่จะออกมาาหาเขาแค่ไหน ถึงแม้จะทำเป็นปากดีเช่นนั้นก็ตาม

              “ท่านก็ไม่เห็นจะต้องรีบขนาดนี้เลย เดี๋ยวก็เป็นหวัดอะ..อือ” ลีนัสหันกลับมาหาดาวิส ยกมือขึ้นจัดเสื้อคลุมอีกฝ่ายซับหยดน้ำบนแผ่นอกหนาตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกช้อนปลายคางขึ้นมารับริมฝีปากหนาที่ทาบทับลงมาอย่างนุ่มละมุน

            เมื่อลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ริมฝีปากบางถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ก็เห็นแววตาสีน้ำเงินเข้มจ้องตรงเข้ามาในระยะประชิด พร้อมกับกระซิบอ้อนเสียงนุ่มๆกลับมา

            “คืนนี้อยู่กับข้าเถอะนะ”








Release : 3/3  End

ปรากฏว่าไม่ได้  release กันสักคน จบกันดื้อๆแบบนี้แหละ ที่เหลือไปจิ้นกันเอง เดี๋ยวจะทะลุเรท
(ใครอย่ามายุให้เขียนต่อนะ เดี๋ยวเขียน)



ป.ล. เหลือ Finale อีกบทนะ หน่อยนึง จะจบละ
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 27-04-2016 10:39:05
11 Libra’s heart : Finale



                 “อ้า อรุณสวัสดิ์ท่านดาวิส ตื่นเช้าเหมือนเดิมนะคะท่านดาวิส ทั้งๆที่ไม่ได้นอนมาตั้งสองคืน” เด็กสาวคลี่ยิ้มเอ่ยทักทายรองเจ้าเมืองหนุ่ม ที่นั่งพักผ่อนจิบชาชมวิวสวนในยามเช้าอย่างสบายอารมณ์อยู่

                 “พอจบเรื่อง ได้หลับลึกๆสักสองชั่วโมงก็พอแล้ว” ดาวิสตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี ดูจะดีกว่าปกติตั้งแต่ก่อนจะมีเรื่องเสียอีก พอได้คุยกับดาวิสที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทางเมื่อวานนี้ ก็เริ่มหันซ้ายหันขวามองหาลีนัส

                  “ท่านลีนัส ยังไม่ลงมาเหรอคะ” เรเชลถามขึ้นมาดาวิสก็กระตุกยิ้มที่มุมปากขึ้นมา

                  “ท่านเจ้าเมืองก็มีวันที่ตื่นสายบ้างเหมือนกันแหละน่า เจออะไรๆมาเยอะ ให้พักผ่อนเสียบ้างเถอะ” ดาวิสว่าพลางยกชาขึ้นจิบ พลันก็มีเสียงเด็กหนุ่มโวยวายวิ่งเข้ามาหา

                  “ท่านดาวิส!!  แย่แล้วขอรับ ท่านลีนัสไม่ได้อยู่ที่ห้อง!!” ความสงบยามเช้าพังทลายลงทันทีที่ลุคซ์วิ่งหน้าตื่นเข้ามา ทำเอาดาวิสแทบสำลักชาที่เพิ่งจิบเข้าไปเมื่อกี้ออกมา เขาไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเข้าไปรบกวนเจ้าเมืองถึงห้อง ในเช้าวันนี้หลังจากที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึง

                  เรเชลได้ยินเช่นนั้นก็เอียงคอตัวเองนิดๆถามหาลีนัสเอากับภูติระแวกนั้นทันที พลันเธอก็หรี่ตากลับไปมองที่ดาวิส

                 “เดี๋ยวนะ ข้าไม่รู้จริงๆว่าภูติบอกอะไรเจ้าได้บ้าง แต่เอาไว้เราค่อยคุยกันได้ไหมถ้าเจ้ามีเรื่องอยากจะถาม” ดาวิสรีบยกมือขึ้นมาหยุดเรเชลที่ทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา

               “โดยกฏของลีบลาแล้ว ข้าจะไม่ถามเรื่องส่วนตัวคนอื่นเอากับภูตินะคะ….แต่…” เรเชลเว้นช่วงไปเพื่อจะก้มตัวลงไปทำเสียงเบาถามรองเจ้าเมืองหนุ่มที่นั่งทำหน้าลำบากใจอยู่

                “...ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ มันเกิดอะไรขึ้นที่บริงไฮด์คะ” แววตาเปล่งประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กสาวทำให้ดาวิสต้องแปลกใจกับเจ้าตัวอยู่ไม่น้อย เจ้าเมืองหนุ่มร่างเล็กนิสัยนุ่มนวลใบหน้าหวานอย่างลีนัสในสายตาของเรเชลเอง การที่เจ้านายเธอจะมีคนรักเป็นผู้ชายไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้เธอแต่อย่างใด แค่ไม่คิดว่าเป็นคนใกล้ๆตัวที่เจ้าตัวทำเพิกเฉยมาตลอด

                 “ไหนว่าไม่ถามไง” ดาวิสขมวดคิ้วถามกลับไป

                 “ข้าถามกับท่านไม่ได้ถามกับภูตินี่คะ ไม่ผิด”

                  “........”

                   “ทำไม เกิดอะไรขึ้น นี่ท่านลีนัสหายไปทั้งคน สนใจกันหน่อยได้ไหมขอรับ? ดูเหมือนจะหายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะขอรับ เตียงก็ปูไว้เหมือนไม่ได้นอนเลย!!” ลุคซ์ที่ยืนรอฟังคำตอบจากเรเชลทนไม่ไหว จึงเร่งเร้าขึ้นมา ทำให้ดาวิสลำบากใจหนักกว่าเดิม

                 “เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกลุคซ์ ข้าเจอท่านลีนัสแล้ว ปลอดภัยดีเจ้าไม่ต้องห่วง” เรเชลหันไปตอบการ์เดี้ยนหนุ่มที่กำลังร้อนรนอยู่

                “แล้วตอนนี้ท่านลีนัสอยู่ไหนขอรับ” คำถามถัดไปเป็นคำถามที่เรเชลยังไม่ได้เตรียมคำตอบที่เหมาะสมเอาไว้

                “เอ่อ…..” เรเชลกรอกตาไปหาดาวิสเพื่อจะให้อีกฝ่ายช่วยหาคำตอบ แล้วเจ้าตัวที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดก็เดินเข้ามาในห้องอาหารที่เปิดโล่งบริเวณนั้น

                  “ขอโทษทีลุคซ์ข้าลืมบอกเจ้าไป เมื่อคืนนี้ข้ากลับไปที่บ้านมาเพิ่งกลับมาเมื่อเช้านี้” ลีนัสที่อาบน้ำแต่งตัวพร้อมสรรพ เดินเข้ามาพร้อมอ้างเหตุผลที่ดูแนบเนียนที่สุดออกมา

                  “ท่านลีนัส” ลุคซ์รีบปรับท่ายืนและก้มหัวทักเจ้านายตัวเองทันที ลีนัสพยักหน้ารับเบาๆแล้วก็เคลื่อนสายตาไปหยุดที่ใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มของเรเชล ทำให้เจ้าตัวต้องเมินหลบไปมองทางอื่นพลางกระแอมไอออกมาเบาๆ

                  “เอาล่ะ ข้าว่าเจ้าหมดคำถามแล้วนะลุคซ์ เจ้าไปทำอย่างอื่นได้แล้วไป” เรเชลหันไปเดินออกจากห้อง พร้อมกับไล่เด็กหนุ่มให้ออกไปพร้อมๆกัน ทั้งๆที่ลุคซ์ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาจะต้องไปทำอย่างอื่นที่เรเชลว่ามา แต่ก็ยอมเดินตามออกมาด้วยแต่โดยดี

                  เมื่อเหลือเพียงสองคนในบริเวณนั้น สีหน้านิ่งเรียบของเจ้าเมืองหนุ่มที่ดูอ่อนโยนเมื่อครู่ ก็ตีหน้ายุ่งขมวดคิ้วใส่อีกฝ่ายที่กำลังรินน้ำชาใส่ในแก้วชาอีกใบอย่างไม่ใส่ใจใบหน้ายุ่งๆนั้น

                   “เชิญนั่งก่อนสิขอรับท่านลีนัส” ดาวิสว่าพลางวางแก้วชาที่รินให้วางบนโต๊ะฝั่งตรงข้าม แล้วผายมือเชิญให้อีกฝ่ายมานั่งลง

                    ลีนัสถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม แล้วเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆขมวดคิ้วทำเสียงไม่พอใจเบาๆว่าอีกฝ่าย

                 “ทำไมไม่ปลุกข้าขอรับ” ดาวิสเห็นหน้ายุ่งๆของเจ้าเมืองที่ปกติคนทั่วไปไม่ค่อยได้เห็นก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา

                “ตื่นสายสักวันจะเป็นอะไรไปขอรับ พักผ่อนไม่พอจะไม่มีแรงทำงานนะขอรับ” ดาวิสตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อรักษาภาพพจน์เบื้องหน้าเอาไว้ให้ดูเป็นปกติ ทำให้ลีนัสดึงตัวเองกลับมานั่งตรงๆเป็นปกติ แล้วหยิบนมอุ่นๆมารินใส่ในถ้วยชาของตน พลางเอ่ยเตือนอีกฝ่ายเบาๆ

              “....คราวหน้าก็ปลุกข้าด้วยนะขอรับ ข้าไม่ได้จะอ้างแบบนี้ได้บ่อยๆ” เอ่ยเสร็จจะยกชาขึ้นมาจรดริมฝีปาก เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นดาวิสที่กำลังทำสีหน้าประหลาดใจออกมา ทำให้เจ้าตัวนิ่งคิดไปสักพักว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรืออย่างไร สีหน้าไม่เข้าใจของลีนัสทำให้ดาวิสคลี่ยิ้มกว้างขึ้นมาแล้วก็ขำออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

                “คราวหน้านะขอรับ รับทราบขอรับ” ดาวิสตอบรับด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มทำให้ลีนัสรู้สึกตัว ว่าได้พูดอะไรออกมา ทำให้เจ้าตัวหน้าแดงขึ้นมาทันที

              “เอ่อ...ข้า…” ลีนัสไม่รู้จะแก้ตัวยังไงที่เผลอทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วอย่างลืมตัว ดาวิสนั่งมองอีกฝ่ายที่พยายามหาข้อแก้ตัวอยู่ด้วยความเอ็นดู

              “ไม่ต้องห่วงนะ คราวหน้าข้าจะเพลามือลงหน่อยแล้วกันขอรับ จะได้ไม่หมดแรงแบบวันนี้”

              “ …….” ลีนัสตกอยู่ในสภาพที่พูดอะไรไม่ออก แถมยังอายจนอยากจะมุดดินหนีหายไปจากตรงนี้เสียเดี๋ยวนี้ ในใจเฝ้าตำหนิตัวเองว่าทำเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับเขาได้อย่างไรกัน

            “ลีนัส….รู้ไหมว่าตอนนี้ข้าอยากจะจูบเจ้ามากแค่ไหน” เห็นใบหน้าแดงระเรื่อตรงหน้า ดาวิสจำต้องกลั้นใจไม่เอื้อมมือออกไป แต่ก็ไม่วายกระซิบบอกอีกฝ่ายไปเบาๆ ทำให้ลีนัสรีบถอยตัวออกห่างกลับมานั่งหลังตรงพิงพนักเก้าอี้

             “...ท่านดาวิส” ลีนัสหลบตาลงหลบสายตาคมสีน้ำเงินเข้มที่จ้องมองเขากลับมา พลันก็มีเสียงกระแอมไอแว่วมาจากข้างหลัง

            “อย่าทำให้ท่านพี่ข้าลำบากใจนักเลยท่านดาวิส”

              “........ซีมัส เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกมีนิสัยแย่ๆชอบแอบฟังคนอื่นคุยกันเสียที” ดาวิสถอนหายใจหนักๆออกมาแล้วหันกลับไปมองผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะ

            “ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ตั้งใจ” ซีมัสตอบกลับมาด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำให้ดาวิสต้องทำเสียงเดาะลิ้นไม่พอใจออกมา

            “เจ้าจะมาทำอะไรอีก...”

             “ข้าก็มาหาท่านพี่ ไม่ได้รึไง เมื่อคืนข้าก็ให้เวลาท่านเต็มที่แล้วนะขอรับ” ซีมัสตอบกลับมาทำใให้ลีนัสลุกพรวดยืนขึ้นมาทันที

              “ซีมัส…มีเรื่องอะไรก็พูดมา” ลีนัสรีบเอ่ยปรามก่อนที่บทสนทนาของทั้งคู่จะเลยเถิดไปกว่านี้

            “ท่านพี่ ข้ามาขอตำแหน่งการ์เดี้ยนของข้าคืนขอรับ”

            “ว่าไงนะ เจ้ามีสิทธิ์อะไร...” ลุคซ์รีบเดินหลังซีมัสเข้ามาในห้องอาหารทันที เมื่อได้ยินบทสนทนาที่พาดพิงถึงตำแหน่งของเจ้าตัว พลันแววตาสีฟ้าอ่อนก็เคลื่อนมามองเด็กหนุ่มอย่างเย็นชาก็ทำให้เจ้าตัวเงียบกลืนน้ำลายลงคอไป

               “ข้าก็อยากจะถามเหมือนกันนั่นแหละว่าคนไม่ได้เรื่องอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมายืนบนตำแหน่งนี้” ลุคซ์ที่เหมือนจะโดนข่ม แต่เมื่อถูกดูถูกเช่นนั้นก็ไม่ยอมถอยง่ายๆ ยืนกอดอกมองอีกฝ่ายกลับไปอย่างพร้อมจะมีเรื่องได้ทุกเมื่อ

                 “เอ่อ...ซีมัส...ลุคซ์” ลีนัสที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็เจอแต่เรื่องอะไรมากมายเต็มไปหมดยังคิดอะไรไม่ออกไม่รู้จะพูดอะไรยังไง ดาวิสจึงลุกขึ้นมาแก้ไขสถานการณ์ให้

                  “ซีมัส ตอนนี้เจ้าไม่ได้เป็นแม้กระทั่งพลทหารของเวลเฮมมิน่าด้วยซ้ำ อยู่ๆจะให้ขึ้นมาเป็นการ์เดี้ยนเลยไม่ได้ เห็นแก่หน้าเจ้าเมืองบ้าง”

                 “แต่ข้าเป็นคนพาท่านพี่กลับมานะขอรับ”

                 “เจ้าห่างหายไปสามปี มีกฏมีระเบียบ และคนที่เจ้าต้องทำความรู้จักและเรียนรู้อีกมาก เจ้าเข้าใจใช่ไหม” ดาวิสอธิบายปิดช่องทางข้อแก้ตัวของเด็กหนุ่มทันที

                 “.......ข้าต้องทำยังไงบ้างขอรับ” ซีมัสหันไปมองที่ลีนัสที่ทำสีหน้าเป็นห่วงอยู่ตรงนั้น ก็ยอมพยักหน้าตอบรับดาวิสกลับไป

                “ข้าเปิดรับสมัครทุกต้นเดือน แค่นี้เจ้ายังลืมเลย”

                “......ขอรับ” ซีมัสทำเสียงอ่อยตอบรับกลับไป ทำให้ลุคซ์ที่ยืนอยู่ข้างๆแอบยิ้มอยู่ในใจ แต่เหมือนว่าดาวิสจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ถึงได้เรียกเขาขึ้นมา

                “ลุคซ์….”

               “ขอรับ?”

              “ไม่เกินสองเดือนหรอกนะ ที่ตำแหน่งของเจ้าจะยังปลอดภัยอยู่ ข้ารู้ว่าซีมัสเรียนรู้เร็ว ถ้าเจ้ายังไม่เก่งขึ้นกว่านี้ ข้าคงจะต้องยึดตำแหน่งเจ้าจริงๆนะลุคซ์” เขาสาบานได้ว่าดาวิสต้องอ่านใจเขาออกแน่ๆ ลุคซ์เหลือบไปมองที่ซีมัสอีกครั้ง ก็เห็นรอยยิ้มของนักล่าที่มองเห็นเหยื่อง่ายๆตัวหนึ่งกลับมา

              “รับทราบขอรับ” ลุคซ์ไม่ยอมให้ซีมัสข่มเขาอยู่ฝ่ายเดียว จึงตอบรับดาวิสไปเสียดังฟังชัด

              “เข้าใจแล้วก็ไปรอข้างนอกนะ ข้าขอเวลากินข้าวสงบๆได้ไหมลุคซ์”

              “ขอรับ” ลุคซ์รับคำแล้วตบเท้าจากไป

               “ส่วนซีมัส ถ้าไม่อยากถูกปฏิบัติให้พิเศษในฐานะน้องชายเจ้าเมืองล่ะก็ อย่าใช้ตำแหน่งน้องชายเจ้าเมืองเข้าๆออกๆที่ว่าการแบบนี้อีกล่ะ เข้าใจไหม”

                “...ขออภัยขอรับ”

                “ไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้วไป” ซีมัสที่ถึงแม้จะปากดีกับดาวิสอยู่บ่อยครั้ง แต่พอเป็นเรื่องการเรื่องงานขึ้นมา ก็ไม่มีครั้งไหนที่ซีมัสจะเถียงดาวิสอย่างไม่มีเหตุผลสักครั้ง จึงได้ยอมจากไปแต่โดยดี

               ลีนัสยืนมองดาวิสที่พลิกแพลงสถานการณ์ให้จบลงอย่างง่ายดาย ก็คลี่ยิ้มขึ้นมาอย่างชื่นชม ลีนัสไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า ดาวิสที่ช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้เสมอๆคนนี้ทำให้เขาตกหลุมรักได้อีกครั้ง

               “...ยิ้มอะไรขอรับ” ดาวิสหันกลับมาเจอลีนัสที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวก็เอ่ยถามขึ้นมา ลีนัสก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเผลอยิ้มออกนอกหน้านอกตามาขนาดนั้น จึงหุบยิ้มแล้วกลับลงมานั่งที่เก้าอี้ พลางนึกหาเหตุผลมาเอ่ยอ้างตอบกลับไปยังไงไม่ให้อีกฝ่ายได้ใจเกินไป

              “ภูมิใจที่มีข้าเป็นคนรักล่ะสิ” ดาวิสวางมือเท้าโต๊ะแล้วโน้มตัวเข้าไปหาลีนัสแล้วกระซิบถามสั้นๆ แล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ คลี่ยิ้มหวานส่งให้คนที่กำลังนั่งหน้าแดงอยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะที่ดาวิสพูดมาไม่ได้ผิดไปจากที่ลีนัสคิดอยู่ในใจลึกๆ พอถูกจี้ตรงๆมาแบบนั้นก็หน้าร้อนฉ่าขึ้นมาทันที

                “....พูดอะไรของท่าน ข้าภูมิใจได้ท่านเป็นรองเจ้าเมืองของข้าต่างหากล่ะ” ลีนัสก้มลงหยิบแก้วชาของตนขึ้นมาจิบ เพื่อจะหลบแววตาสีน้ำเงินคมเข้มที่จับจ้องที่เขาไม่วางตา

                 “หึหึ แค่นั้นก็นับเป็นเกียรติแล้วขอรับ ท่านลีนัส” ดาวิสหัวเราะออกมาเบาๆในลำคออย่างพออกพอใจ แค่ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของชายหนุ่มตรงหน้า ก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบที่เขาต้องการ

                  ดาวิสยังคงคลี่ยิ้มมองลีนัสที่นั่งดื่มชาอย่างเขินๆไม่ยอมวางตา เขาอยากจะเก็บรายละเอียดของความสุขในตอนนี้ไว้ให้มากที่สุด ก่อนที่ช่วงเวลาสงบสุขเช่นนี้จะผ่านเลยไป เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าทุกอย่างไม่ได้เพิ่งจะจบไป แต่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นต่างหาก ภายใต้แววตาที่ยิ้มแย้มขอดาวิส ปรากฏความรู้กังวลใจแอบซ่อนอยู่ลึกๆ

                  ลีนัสที่มองเห็นความกังวลใจที่ซ่อนอยู่ในแววตาของคนตรงหน้า ก็คลี่ยิ้มจางๆกลับไปพร้อมเอื้อมมือไปจับอุ้งมือหนาของดาวิสขึ้นมากุมไว้แน่น แล้วเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่ฉายแววความมั่นใจ

                 “ท่านดาวิส ข้าหวังว่าท่านจะภูมิใจที่มีข้าเป็นเจ้าเมืองของท่านนะขอรับ”






                                                                   -END-












จบแล้วนะ จริงๆจะเขียนเรื่องของซีมัสต่อ แต่ไม่ลงต่อละ พอ คนอ่านเยอะมาก 555555 งอนค่ะ งอนออกสื่อ เรียกร้องความสนใจ
อ่านจบแล้วก็เม้นกันมาบ้างงงงค่า   :ling1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 05-05-2016 19:51:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: Mitnai ที่ 05-05-2016 23:02:39
งงมากค่ะ เอาจริงๆคือนึกว่าเฟริคจะเป็นบทเด่นคู่ลีนัส เพราะเปิดเรื่องด้วยเฟริคเป็นตัวนำ แต่พออดีตบอกว่าดาวิสคู่กับลีนัสเราก็โอเค ไม่ได้ไม่ชอบใจ เพราะผู้เขียนก็เขียนเนื้อเรื่องได้ลื่นไหล แต่มึนตรงเฟริคกับซีมัส คือเห็นบอกว่ามีเมะสองคน คือเขาไม่ได้คู่กันเหรอคะ หรือยังไง นี่ถ้าเขาคู่กันจริงๆจะชอบมากนะคะ เพราะเฟริคดูร้ายๆ ถ้ามีคนสยบได้คงต้องเป็นเมะแบบซีมัส อิอิ ประเด็นคือเหมือนเฟริคจะเด่นสุด แต่มันก็ไม่ใช่ กลายเป็นพลิกโผลีนัสครองบทตัวนำ แล้วเฟริคของน้องหายไปหนายยย
มีภาคต่อไหมคะ เนื้อเรื่องมันดูจบแบบง่ายมากๆ ง่ายมากกกกกกกกกกกกกกก ก ไก่ อีแปดล้านตัว ดูตัดจบได้แบบค้างคาหัวใจ // me // เรื่องสั้นเอ็งก็ไม่ต่าง!

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ และถ้ามีภาคต่อของซีมัสกับเฟริคจะดีมากสุดหัวใจ ♥
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 06-05-2016 14:02:46
 o13
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 06-05-2016 16:30:28
เข้ามาอ่านแบบรวดเดียวจบ เรื่องนี้แต่งดีมากๆค่ะ งงเหมือนกันว่ามันหลุดรอดสายตาเราไปได้ยังไง อ่านไปก็เหมือนโดนคนเขียนหลอกอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เปิดเรื่องที่เหมือนเฟดริกจะเป็นพระเอก คนเขียนก็ทิ้งข้อสงสัยไว้ให้ตลอด แล้วพอไปกลางๆเรื่องก็เขียนเป็นมุมของดาวิสกับลีนัสเลยล็อกตัวพระเอกได้แล้วว่าเป็นดาวิสแล้วก็เข้าใจเรื่องเข้าใจที่มาที่ไปมากขึ้น ยิ่งตอนทำสัญญากับแม่มดนี่เรื่องพลิกไปพลิกมาปวดหัวมาก ต้องตั้งสติอ่านกันเลยทีเดียว ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ ภาษาสวยมาก พล็อตเรื่องก็ดี มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ตลอด เราคิดไว้อย่างนึง เรื่องออกมาอีกอย่างนึง ตัวละครก็หลากหลาย มีมิติและไม่งี่เง่า ชอบเหตุผลของการกระทำของแต่ละคนมากเลย มันไม่แบนๆง่อยๆเหมือนนิยายพล็อตยอดนิยมที่มีคนตามอ่านตามเม้นท์เยอะๆหลายๆเรื่อง ประทับใจคนเขียนมากที่แม้คนอ่านจะแทบไม่เข้ามาเม้นท์เลยแต่ก็ฮึดแต่งจนจบ นับถือในสปิริตจริงๆค่ะ ยังคงอยากอ่านเรื่องของซีมัส ตอนแรกนึกว่านางไปกับเฟดริกจะไปคู่กันซะแล้วอแต่ตอนจบเหมือนจะเห็นแววซีมัสลุกซ์มารำไรๆ ซีมัสเรเชลก็น่าสนนะคะ แต่ก็นั่นแหละคนเขียนหลอกคนอ่านตลอดเลย จะคู่กับใครก็ตามอ่านเสมอค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: love noon ที่ 07-05-2016 00:35:08
ไม่งอนนะคะ  โดยปกติแล้วจะอ่านเฉพาะนิยายที่จบแล้วค่ะ มีพลาดแค่เรื่องสองเรื่องเท่านั้น 555 เรื่องนี้ก็อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกมากค่ะ ถึงจะพลิกโผแบบงงๆก็เถอะ มันเป็นฟีลลิ่งนี่เนอะ ชอบอ่านแนวแฟนตาซี แนวเหนือความจริง แต่วายแนวนี้ก็หาอ่านยากเหลือเกิน นักเขียนบางท่านก็เขียนครึ่งๆกลางๆ แล้วก็ไป ไม่นึกถึงคนอ่านเลย แต่กับเรื่องนี้ขอชื่นชมค่ะ เม้นท์น้อยก็อุตสาห์เขียนจนจบ เชื่อว่าในอนาคต ผู้เขียนต้องประสบความสำเร็จในชีวิตแน่ค่ะ มีความมุ่งมั่น แน่วแน่อย่างนี้ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: Themamo ที่ 07-05-2016 07:44:04
มาให้กำลังใจนักเขียนคะ เราอ่านแต่เรื่องจบแล้วเรื่องนี้น่าสนใจดี สู้ๆๆนะคะ :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 07-05-2016 21:56:33
อยากจะบอกตอนอ่านไปเราขำคนเขียนไปด้วย ฮ่าๆๆๆ โอ๋เอ๋อย่างอนเลยน้า  :laugh:
คือตอนแรกที่อ่านเราก็นึกว่าเนื้อเรื่องมันน่าจะเป็นคู่เฟริคกะซีมัสซะอีกนะ   :m28:
แต่อ่านไปเจอคู่ลีนัสกับดาวิสนี่ก็ตกหลุมรักเลย ฮ่าๆ  :m1:
 :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 08-05-2016 07:06:41
เขียนสนุกดีค่ะ กระชับไม่ยืดเยื้อ

ตอนแรกองค์ชายเฟริคก็ดูน่าสงสารอยู่หรอก ทำม๊ายทำไมกลายเป็นเด็กมีปัญหาที่ทำตัวเป็นวายร้ายน่าถีบซะได้ ช่วงกลางเรื่องนี่ ถึงอ่านไปกัดฟันกรอดไป อยากจะว๊าปเข้าไปตบหัวพ่อคุณสักป้าป

ส่วนน้องลุคซ์ ลูกหมาน้อยที่น่าสงสาร โถ โดนแกล้งโดนลืมทั้งเรื่อง เจ๊อยากจะรับมาแกล้งต่อ..เอ้ย..ปลอบใจจัง 555

จริงๆจะเขียนเรื่องของซีมัสต่อ << กรี๊ดดดด อย่าเพิ่งงอนค่า เรน่าอ่านแต่เรื่องที่จบแล้ว เลยเพิ่งมาเจอเรื่องนี้ ถ้าเขียนต่อ จะมาช่วยเชียร์นะคะ จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 08-05-2016 07:27:01
คิดไปคิดมา ขอแสดงความเห็นเพิ่มอีกสักนิด นักเขียนมีสปิริตมากค่ะที่เขียนจนจบ  o13  เรน่าอ่านเฉพาะเรื่องที่จบแล้ว เพราะเคยมีหลายเรื่องที่สนุกมาก อ่านจนติด แล้วนักเขียนก็ทิ้งเราไปดื้อๆ โฮฮฮฮ  :o12:  ถ้ามีตอนพิเศษ จะมาช่วยเม้นต์นะคะ   :L2:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 09-05-2016 17:26:23
หยุด4วันนี่ยอดวิวขึ้นมาเท่าตัว  ตกใจค่ะ (ที่ผ่านมาครึ่งปีคืออัลไล)
555 นึกว่านิยายดำดิ่งสู่ห้วงสมุทรไปแล้ว  (เกือบจะเอาลิงค์ออกจะบุ๊คมาร์คกันไปเลยทีเดียว )

ขอบคุณมากๆค่ะ  TT  TT   ดีใจตื่นเต้นมือไม้ชาไปหมดละค่ะ (เอ๊ะหรือเราหิวข้าว)

อรั๊ยส์ ถ้ามีคนอ่านจะต่อค่ะ แต่ยังร่างพล๊อตไม่เสร็จเลยค่ะ  ซีมัสกะเฟริคนี่แหละค่ะ 555 ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าใครจะเคะใครจะเมะดีนะคะ (เปิดโหวตดีมั้ย)

จริงๆตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นซีมัส ลุกซ์ หรือกับเรเชลเหมือนกันนะ  แต่ร่างพล็อตออกมาให้สนุกไม่ได้เลย ต้องเฟริคถึงจะมีน้ำมีนวลหุ หุ

แต่ร่างพล็อตเสร็จเราก็มักจะหักหลังพล็อตตัวเองอีกที = =''  อย่าสงสัยว่าทำไมเรื่องมันพลิกไปพลิกมาแบบนี้ เพราะคนเขียนหลายใจค่ะ 5555

เราก็รีบปิดเรื่องเร็วๆอ่ะนะคะ เพราะจะเรียกคนที่อ่านเรื่องที่จบแล้วนี่แหละค่ะ!!!  55555555555 แต่เดี๋ยวจะแถมให้มันปิดแบบสมู๊สกว่านี้ให้นะคะ เดี๋ยวจะหาว่าตัดจบ (ก็เค้างอนอ่ะ)


(อั๊ยส์ เลิกงานแล้วหนีกลับก่อน)


เดี๋ยวมาค่ะ สัญญา 5555

หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 12-05-2016 09:07:14
สนุกมากค่ะ เป็นเรื่องแรกเลยนะที่ทำให้เราอ่านแล้วเกลียดตัวร้ายได้มากขนาดนี้ แบบ เกลียดมากกกก จนอยากต่อยกำแพงแรงๆ 555 คนเขียนเก่งมากเลยค่ะ ถ้ามีภาคต่อเราก็ขอติดตามนะ สู้ๆค่ะ

 o13
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: Midorima ที่ 14-05-2016 13:34:01
ส่วนตัวเราไม่ค่อยได้อ่านนิยายแนวแฟนตาซีทำนองนี้เท่าไหร่ แต่อ่านแล้วรู้สึกสนุกดี ชอบนายเอกแข็งแรง เอิ้กกกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 16-05-2016 13:23:10
สนุกมากค่ะ เป็นเรื่องแรกเลยนะที่ทำให้เราอ่านแล้วเกลียดตัวร้ายได้มากขนาดนี้ แบบ เกลียดมากกกก จนอยากต่อยกำแพงแรงๆ 555 คนเขียนเก่งมากเลยค่ะ ถ้ามีภาคต่อเราก็ขอติดตามนะ สู้ๆค่ะ

 o13

เหย คือเค้าตั้งใจเขียนให้แบบว่าถึงร้ายก็รักนะ 5555 เป็นงั้นไป 
 รักมากล่ะสิ ก็เลยเกลียดมาก อุ๊ๆ  (เปล่าเลย  555)
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale&new prelude) 18 May. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 18-05-2016 17:12:41
Libra’s heart : Finale 2 New Prelude  (Part 1/2 ) 
(ไม่คิดเลยจริงๆว่าต้องแบ่งpart 555)
 


                 “อันนี้ข้าตรวจสอบเรียบร้อยค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเอกสารตอบรับรายงานของท่านดาวิส…” เรเชลวางเอกสารกองหนึ่งกองลงบนโต๊ะทำงานของลีนัส แล้วกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบเอกสารกองเล็กๆที่กองอยู่ถัดไปขึ้นมา แต่ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังแทรกขึ้นมาก่อน

                  “ดาวิสขอรับ” เสียงคนข้างนอกแว่วเข้ามา เด็กสาวก็คลี่ยิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

                  “พอดีเลย ข้าไม่ต้องเดินไปส่งแล้วสิ” ยังไม่ทันที่ลีนัสจะพูดอะไร เธอก็หันเดินไปเปิดประตูห้องเชิญให้ดาวิสเข้ามาทันที

                  “เชิญค่ะ”

                  “.......” ลีนัสนึกอยากจะตำหนิผู้ช่วยสาวที่ตัดสินใจอะไรเองโดยไม่รอคำสั่งเขา แต่ถ้าตำหนิไปก็จะถูกถามหาเหตุผลที่ไม่เชิญให้ดาวิสเข้ามาอีก เลยเลือกที่จะนั่งเงียบๆไปดีกว่า

                  “ท่านลีนัส ข้าเอาเอกสารส่วนนี้ไปส่งก่อนนะคะ ไม่กวนล่ะ” อีกครั้งที่เรเชลตัดสินใจทำอะไรเองโดยไม่ถาม แล้วก็หยิบเอกสารกองหนึ่งเดินออกจากห้องไป ซ้ำยังจะขยิบตาให้ดาวิสก่อนออกไปอีกต่างหาก

                  “.........เด็กคนนี้” ลีนัสพึมพำออกมาพลางยกมือขึ้นมากุมขมับ หลังจากที่เรเชลได้รับรู้เรื่องของเขากับดาวิส ลีนัสก็โดนคำถามชุดใหญ่จากเด็กสาวยิงกระหน่ำเข้ามา ขณะที่มีเวลานั่งคุยกัน ลีนัสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเล่าให้เธอฟังในส่วนที่จำเป็น ยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันต่อไปอีกนาน เรเชลมีสิทธ์ที่จะรับรู้ และช่วยปิดเรื่องของพวกเขาไปอีกแรง

                  “ไม่กวนแล้ว….อย่างนั้นเหรอ” ดาวิสหันไปมองตามหลังเรเชล แล้วหันกลับมาถามลีนัส

                 “มีธุระอะไรขอรับท่านดาวิส” ลีนัสรีบตัดอารมณ์กลับมาคุยเรื่องงานก่อนที่จะถูกดดึงไปคุยเรื่องอื่น

                 “ข้าก็มารับรายงานของข้าคืนไงล่ะ เรียบร้อยแล้วใช่ไหมขอรับ”

                 “แค่นี้ไม่เห็นต้องแวะเข้ามาเองเลย…” ลีนัสบ่นพึมพำออกมาเบาๆ เพราะยิ่งดาวิสแวะเข้ามา เรเชลก็ดูจะอยากถามเกี่ยวกับประเด็นของเขามากขึ้น เป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะให้ดาวิสแวะเข้ามาหาสักเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ช่วงนี้

                 มือหนาที่กำลังจะหยิบกองเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาหยุดยิ่งไปเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพึมพำเช่นนั้นก็ถอนใจออกมาเบาๆ แล้วโน้มต้วลงไปหาคนที่นั่งอยู่แล้วกระซิบถามเบาๆ

                  “...อยากให้ข้าพูดว่าแวะเข้ามาหาเจ้ามากกว่าสินะ” ลีนัสที่นั่งเท้าศอกอยู่บนโต๊ะก็รีบถอยตัวออกมาห่าง ยืดหลังตรงพิงพนักพิงทันที

                 “ท่านดาวิส...อย่าพูดแบบนี้เวลางานได้ไหมขอรับ…” ลีนัสตอบกลับมาเสียงค่อยพร้อมเบือนสายตาหลบไปทางอื่น

                 “เคร่งครัดจริงๆนะขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสยืดตัวกลับมาพลางถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย

                   “.......มันทำให้ข้าไม่มีสมาธิทำงานต่างหากขอรับ” เพราะกลัวว่าดาวิสจะเข้าใจผิด จึงได้เอ่ยแก้ขึ้นมาเสียงแผ่วๆ

                     “..........” ช่องว่างเงียบๆที่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา ทำให้ลีนัสเงยหน้าขึ้นมามองดาวิส เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยืนกอดอกยกมือขึ้นมากุมขมับทำสีหน้ากลุ้่มใจกลับมา

                  “ท่านดาวิส ?”

                   “จะให้ข้าทำยังไง พอข้าจะถอยออกมาเจ้าก็ดึงให้ข้าเข้าไปใหม่” ดาวิสว่าพลางเดินอ้อมโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายมาหาแล้วโน้ใตัวลงมา วางมือเท้าลงกับที่วางแขนเก้าอี้ที่ลีนัสนั่งอยู่

                   “.….?”

                   “ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นจะให้ข้าปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นเหรอ” ดาวิสเอ่ยเสียงกระซิบบอกพร้อมขยับหน้าเข้าไปใกล้ลีนัส จะจรดริมฝีปากฝังลงไปกับพวงแก้มเนียนตรงหน้าที่กำลังแดงระเรื่อขึ้นมา แต่ลีนัสยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากของเขาเสียก่อน

                 “ไม่เข้าใจที่ข้าพูดไปเมื่อครู่รึยังไงขอรับ” ร่างบางขมวดคิ้วดุอีกฝ่ายกลับไปทั้งๆที่ยังหน้าแดงระเรื่อ ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากจะแกล้งมากขึ้นไปอีก

                  “.....เข้าใจแล้วขอรับ ข้าเก็บไว้นอกเวลางานก็ได้ ว่าแต่ว่า…” ดาวิสเอ่ยถามกลับไปด้วยสีราบทุ้มต่ำ

                 “คืนนี้จะให้ข้าไปหาหรือจะมาที่ห้องข้าขอรับ” คำถามนี้ทำให้ลีนัสหน้าแดงไปถึงใบหู ถึงแม้ว่าตั้งแต่กลับมาจากบริงไฮด์ ดาวิสไม่เคยปล่อยให้ลีนัสได้นอนคนเดียวเลยสักคืนก็ตาม แต่พอถูกถามขึ้นมาตรงๆแบบนี้เจ้าตัวก็หน้าร้อนฉ่าขึ้นมา

                  “.....” ระหว่างที่ใบหน้านวลขมวดคิ้วลำบากใจที่จะเลือกตอบข้อเสนอที่ ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ต่างกันของดาวิสอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นขัดจังหวะ ทำเอาลีนัสสะดุ้งโหยง

               “ลุคซ์ขอรับ” ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มที่เอ่ยขึ้นมาจากข้างนอก ดาวิสก็ยืดตัวกลับขึ้นมาพร้อมถอนหายใจออกมาหนักๆ

                “.....เอาไว้ก่อนก็ได้” ดาวิสว่าแล้วก็เดินไปที่ประตูห้องเพื่อเปิดให้คนข้างนอกเข้ามา ลีนัสก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ปรับอารมณ์ให้กลับมาพร้อมทำงานอีกครั้ง

               “ขออภัยท่านลีนัส…ท่านดาวิส ?” ลุคซ์เดินเข้ามาเห็นดาวิสเป็นเปิดประตูให้ก็ทำสีหน้าประหลาดใจออกมา ลีนัสจึงกระแอมไอออกมาเบาๆแล้วรีบถามลุคซ์ขึ้นมา

               “มีธุระอะไรก็ว่ามาลุคซ์” ดาวิสอมยิ้มขึ้นมานิดๆที่เห็นว่าลีนัสร้อนตัวขึ้นมาจนต้องออกปากถามไปเช่นนั้น

               “มีคนส่งสาสน์มาจากกรีฟิทขอรับ” คำตอบนั้นทำเอารอยยิ้มเมื่อครู่ของดาวิสหายไปฉับพลัน ตามด้วยเสียงถอนหายใจเบาๆของผู้เป็นเจ้าเมือง ลีนัสยื่นมือออกไปรับสาสน์จากการ์เดี้ยนหนุ่มของตน คลี่ออกมากวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว เพราะพอจะคาดเดาได้ว่าเนื้อหาน่าจะเป็นไปในทางไหน เมื่ออ่านจบก็ส่งต่อให้ดาวิสที่ยืนขมวดคิ้วกังวลมองกลับมาอยู่ตรงนั้น

               “ข้าก็ไม่รู้ว่าที่ข่าวไปกรีฟิทเร็วขนาดนี้ เพราะในวังบริงไฮด์มีสายของกรีฟิทอยู่ หรือว่าองค์ชายเฟริคเองกันแน่ ที่ตั้งใจปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นออกไปให้กรีฟิทหันมาดึงเราเข้าไปพัวพันกับสงครามครั้งนี้ด้วย” ลีนัสพูดขึ้นพลางนึกเสียใจอยู่ว่าเขาควรจะเด็ดขาดกว่านี้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข่าวของเวลเฮมมิน่าจะยิ่งกระจายไปไวกว่าเดิม ซ้ำร้ายบริงไฮด์จะไม่หนุนหลังให้อีกต่างหาก

               “อา...คิดยังไงข้าก็ว่าต้องเป็นองค์ชายเฟริค องค์ชายไม่ปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดไปเปล่าๆหรอก….” ดาวิสเสริมขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องใช้เวลาคิดเยอะ พร้อมกับกราดสายตาอ่านเนื้อหาในจดหมาย

               “แต่ก็แปลก ข้าไม่คิดว่ากรีฟิทจะมานุ่มๆแบบนี้..เดี๋ยวก่อนนะ...ลุคซ์” ดาวิสพึมพำขึ้นมาอย่างนึกประหลาดใจ ครู่หนึ่งก็เงยหน้ากลับขึ้นมามองลุคซ์

               “ตอนนี้คนส่งสาสน์อยู่ที่ไหน”

               “อยู่ที่ห้องรับรองแขกชั้นล่างขอรับ แจ้งว่ารอสาสน์ตอบกลับจากท่านลีนัส แต่มีทหารคุมอยู่นะขอรับ” เมื่อถูกถามเช่นนั้น ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรบางอย่างผิดไป

                 “ดูแลท่านเจ้าเมืองด้วย ข้าลงไปดูที่ห้องรับรองแขกก่อน” ดาวิสทิ้งคำสั่งไว้แล้วเดินหายไปจากห้องทันที

               ท่อนขายาวก้าวเดินกึ่งวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว อาการรีบร้อนของรองเจ้าเมือง ทำให้คนในที่ทำการรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมา และมองตามหลังดาวิสไปด้วยความประหลาดใจ

              ประตูห้องรับรองถูกกระแทกเปิดออกอย่างเร่งรีบโดยไม่มีการบอกกล่าวใดๆ แต่ภายในห้องไม่เหลือใครที่จะหาว่าเขาเสียมารยาทสักคน ในห้องมีเพียงร่างของลูกน้องตนที่นอนคว่ำแน่นิ่งอยู่กับพื้นห้อง

               ดาวิสเดินไปเอามือแตะชีพจรที่ต้นคอของนายทหารคนนั้นทันที ก็พบว่าเขามาสายไปเสียแล้วจึงพลิกร่างที่ไร้วิญญาณนั้นกลับขึ้นมา เห็นคราบเลือดไหลเปื้อนออกมาจากกลางอก รอบๆไม่มีวี่แววของการต่อสู้อื่น ทำให้ดาวิสรู้ว่าคนจากกรีฟิทที่เข้ามาครั้งนี้เป็นมือสังหารฝีมือไม่ธรรมดา และเป้าหมายการมาในครั้งนี้คงจะหนีไม่พ้นคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุด







                   สิ้นเสียงฝีเท้าของดาวิสไปเพียงไม่กี่อึดใจ มีดสั้นเล่มเล็กๆก็พุ่งเข้ามาจากทางหน้าต่าง ตรงเข้าหาลีนัสที่นั่งอยู่ตรงนั้นทันที แต่ก็ถูกที่ทับกระดาษที่ลุคซ์รีบหยิบขึ้นมาโยนเข้าไปขัดเปลี่ยนทิศทางเสียก่อน

                   “ท่านลีนัส หลบไปที่มุมห้องฝั่งโน้นก่อนขอรับ” ลุคซ์รีบวิ่งออกมายืนขั้นระหว่างหน้าต่าง พร้อมเรียกให้ลีนัสย้ายมายืนในมุมที่ถูกจู่โจมจากข้างนอกได้ยากที่สุด แต่ลีนัสเพียงแค่ลุกยืนขึ้นมาไม่ขยับไปไหน

                   ก่อนที่ลุคซ์จะได้เอ่ยย้ำอีกครั้ง ผู้ส่งสาสน์ที่เป็นนักฆ่าแฝงตัวเข้ามาก็กระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่าง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้ามาได้ใกล้กว่านั้น ก็มีอีกร่างหนึ่งกระโดดตามเข้ามาตะครุบร่างของนักฆ่าคนนั้นลงไปกองกับพื้นทันที โดยที่ลุคซ์ยังไม่ทันได้ชักดาบออกมาจากฝักเสียด้วยซ้ำ

                   “มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องเก็บชีวิตเจ้านี่ไว้ไหมขอรับ” ซีมัสที่เพิ่งกระโดดตามเข้ามาประหนึ่งนักล่า เอ่ยถามลีนัสขณะที่กำลังวางเข่าทับท่อนแขนและแผ่นอก มือบีบคอเหยื่อของเขาไว้แน่น แขนอีกข้างที่เหลือว่างอยู่ของนักฆ่าคว้ามือสั้นออกมาหวังจะแทงซีมัส แต่ซีมัสปล่อยมือออกจากคออีกฝ่ายออกมาข้างหนึ่งเพื่อคว้าข้อมือที่พุ่งเข้าหาตัวได้ทัน โดยที่มืออีกข้างยังคงยึดคอไว้ได้อย่างมั่นคง

                  แววตาสีฟ้าอ่อนที่สบตามองเหยื่อของเขาอย่าเย็นชา บอกให้รู้ว่าเขาพร้อมจะดับลมหายใจของคนตรงหน้าได้ทุกวินาที ภาพแววตาคู่นั้นทำให้ลีนัสรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

                “ข้ามีเรื่องที่ต้องถามแขกของข้าคนนี้ก่อนซีมัส” ลีนัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบหนักแน่น ซีมัสจึงชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะคลายมือปล่อยนักฆ่าให้เป็นอิสระ

                ซีมัสคลำหาอาวุธทุกชิ้นที่อีกฝ่ายเอาติดตัวมาออกไปจนหมดแล้วลุกขึ้นยืน ปล่อยให้นักฆ่าจากกรีฟิทค่อยๆลุกขึ้นมานั่ง แล้วชักดาบออกมาจ่อไว้ที่คอกันไม่ให้ขยับไปมากกว่านี้

                “ถ้าเจ้าก้าวเท้าออกมาข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียวข้าจะฆ่าเจ้าทิ้ง เข้าใจไหม” ซีมัสเอ่ยขู่เสียงต่ำสายตาจับจ้องนักฆ่าตาแทบไม่กระพริบ

                “.............” นักฆ่านั่งอยู่กับพื้นไม่ปลิปากเอ่ยอะไรออกมา ได้แต่จ้องมองลีนัสที่ยืนมองเขากลับมานิ่งๆ ไม่พูดอะไรเช่นกัน

                “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าถึงเจ้าจะฆ่าข้าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เจ้าจะไม่มีชีวิตออกไปจากห้องๆนี้ได้น่ะ แต่ถ้าเจ้าบอกว่าใครเป็นคนว่าจ้างเจ้ามา ข้าจะละชีวิตให้เจ้ากลับไปหาครอบครัวเจ้า” ลีนัสตั้งคำถามพลางจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกดูปฏิกิริยาอย่างตั้งใจ

                “ถ้าจะให้ข้าตอบคำถาม ก็ปฏิบัติกับข้าในฐานะแขกสิขอรับ ท่านเจ้าเมือง” นักฆ่าวัยกลางคนแววตาสีดำขลับยื่นข้อเสนอกลับมาแล้วทอดสายตามองคมดาบของซีมัสที่จ่ออยู่ที่คอของตน

               “ซีมัส” ลีนัสหันไปหาน้องชายที่ไม่มีทีท่าว่าจะยอมเก็บดาบไป ซีมัสหันกลับมาขมวดคิ้วทำหน้าไม่เห็นด้วยกับพี่ชาย แต่ลีนัสก็พยักหน้าย้ำกลับไปอีกครั้ง ซีมัสจึงถอนใจยาวๆออกมาแล้วชักดาบเก็บเข้าฝักไปอย่างไม่พอใจ

             “ทีนี้ตอบข้าได้รึยังว่าใครเป็นคนจ้างเจ้ามา แล้วเพราะอะไร” ลีนัสยกมือขึ้นกอดอกถาม ฝ่ายนักฆ่าก็ค่อยลุกขึ้นยืนหันไปยิ้มเยาะให้ซีมัสนิดๆ

              “เพราะพวกเรากรีฟริท รู้ดีว่าการมีอยู่ของลีบลาอย่างท่านทำให้สมดุลมันเสียยังไงล่ะ” นักฆ่าผู้นั้นหยิบอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมออกมา โยนลงกับพื้นเก็บเป็นเสียงระเบิดเบาๆแล้วควันก็กระจายฟุ้งไปทั่วห้อง

               “เจ้า!!” ซีมัสชักดาบออกมาจากฝักทันทีเพื่อจะปลิดชีพเจ้าของปัญหานี้ แต่กลับมีคลื่นลมแรงผลักเขากระเด็นออกไปก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลุคซ์ที่เตรียมจะเข้ามาขวางทางนักฆ่าผู้นั้นก็กระเด็นออกไปข้างๆเช่นกัน

                นักฆ่าวิ่งตรงเข้ามาหาลีนัสพร้อมกับสะบัดมีดสั้นเล่มเล็กที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อออกมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปถึงตัว เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่กลางอก เหมือนโดนของมีคมแทงทะลุเข้ามากลางอกตัวเอง ทั้งๆที่ลีนัสยังคงยืนกอดอกนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน

              เมื่อก้มลงมองดูก็เห็นแท่งน้ำแข็งแท่นยาวปักอยู่กลางอก มือที่จับมืดสั้นปล่อยมีดหล่นลงกับพื้นตามด้วยร่างอันเย็นเฉียบของเจ้าตัว

              “เจ้า...เป็นอะไรกันแน่” นักฆ่าที่ลงไปนอนตัวสั่นเทิ้มเงยหน้ากลับขึ้นมาเอ่ยถาม

              “ข้าเป็นลีบลาไง คิดว่าเจ้ารู้จักแล้วเสียอีก คงจะมาจากกรีฟริทจริงๆสินะ องค์ชายเฟริคไม่ได้เป็นคนส่งมา” ลีนัสที่ยืนกอดอกนิ่งอยู่ตรงนั้น คือภาพสุดท้ายก่อนที่สติของนักฆ่าจะวูบดับหายโดยไม่มีวันกลับมา

              “.... ลุคซ์ เรียกคนมาจัดการที” ลีนัสมองร่างไร้วิญญาณตรงหน้าแล้วถอนหายใจยาวๆออกมาหนึ่งที แล้วหันไปออกคำสั่งกับเด็กหนุ่มที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่อย่างตะลึง เขาไม่เคยเห็น และไม่เคยคิดว่าลีนัสจะลงมือฆ่าใครสักคนด้วยตัวเองมาก่อน

             “..ขอรับ” ลุคซ์รีบออกไปเรียกทหารข้างนอกเข้ามาช่วยหามร่างของนักฆ่าคนนั้นออกไป เป็นจังหวะที่ดาวิสวิ่งกลับเข้ามาพอดี

             “..........” ภาพลีนัสที่ยังปลอดภัยดี ทำให้ดาวิสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่เห็นภาพร่างของนักฆ่าที่มีน้ำแข็งแท่งยาวเสียบอยู่กลางอก ถูกหิ้วออกไปจากห้อง ก็ทำให้เขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

              “ท่านพี่ ข้าขอเวลาคุยกับท่านได้ไหมขอรับ” ซีมัสเดินเข้ามาถามลีนัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบสีหน้าจริงจัง ลีนัสพยักหน้ารับแล้วหันไปบอกดาวิส

                “ข้าคุยเสร็จแล้วจะรีบไปคุยกับท่านเรื่องนี้ต่อที่ห้องทำงานขอรับ ลุคซ์ เจ้าไม่รอข้างนอกก่อนนะ” ดาวิสลังเลใจเล็กน้อย เขาอยากจะคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกับลีนัสเดี๋ยวนี้ แค่สีหน้าที่ดูจริงจังของซีมัสทำให้เขายอมถอยออกไป โดยมีลุคซ์ตามไปด้วย ทิ้งให้ซีมัสอยู่กับลีนัสลำพัง

               “.......เมื่อครู่ท่านพี่ผลักข้าออกไปทำไมขอรับ ในเมื่อท่านจะไม่ไว้ชีวิตมันอยู่แล้ว ทำไมไม่ปล่อยให้ข้าจัดการ” ซีมัสเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่รอให้ดาวิสและลุคซ์เดินออกไปห่างจากประตูห้องแล้ว

                “ข้าต้องการจะดูว่านักฆ่าตั้งใจจะฆ่าข้าจริงๆ หรือแค่ถูกส่งมาให้ขู่ข้าเท่านั้น ทำไมเจ้าจะต้องไม่พอใจกับเรื่องแค่นี้ด้วย” ลีนัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

              “ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านดูออกตั้งแต่มันเอ่ยตอบคำถามแรกแล้ว” ซีมัสเถียงกลับมาทันที ทำให้ลีนัสตอบกลับไปเพื่อบ่ายเบี่ยงประเด็น

               “....สุดท้ายผลมันก็ไม่แตกต่างกันไม่ใช่เหรอซีมัส”

              “ต่างสิขอรับ มันต่างตรงที่ท่านตั้งใจกันไม่ให้ข้าลงมือฆ่า” คำตอบของซีมัสทำให้ผู้เป็นพี่ขมวดคิ้วเข้าหากัน

               “เจ้าไม่พอใจที่ข้าไม่ให้เจ้าลงมือหรือยังไงกัน”

              “ข้าไม่พอใจที่ท่านยังไม่ไว้ใจข้าต่างหากขอรับ เพราะท่านกลัวว่าข้าจะเคยชินกับการฆ่าคนจนเกินไป แล้วข้าก็กลายเป็นตัวอันตรายตัวหนึ่งที่ท่านควรจะต้องกำจัดทิ้ง ใช่ไหมขอรับ”

                “.........” สิ่งที่ซีมัสพูดมาไม่มีตรงไหนที่ผิดแม้แต่จุดเดียว ทำให้ลีนัสคิดคำพูดที่จะตอบกลับไปไม่ออก

                “สุดท้ายแล้วคนที่มองว่าข้าแตกต่างจากคนอื่นและเป็นตัวอันตรายก็คือท่านพี่นั่นแหละขอรับ ถึงได้คอยระวังข้าขนาดนี้” ซีมัสตอกย้ำเรื่องนี้ขึ้นมา เหมือนขยี้หัวใจของผู้เป็นพี่ให้ป่นปี้

             “...ซีมัส...ข้ายอมรับว่าข้ากลัว ข้ากังวล แต่เจ้าอย่าคิดแบบนั้นได้ไหม...” ลีนัสพยายามจะปรับความเข้าใจกับผู้เป็นน้อง ซีมัสคว้ามือของพี่ชายขึ้นมาวางทาบที่อกตัวเอง

               “ท่านพี่ ข้าไม่อยากให้ท่านรู้สึกแบบนั้น ข้าไม่อยากเป็นภาระของท่านอีก ท่านฆ่าข้าไปเสียเถอะจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรอีก แบบเมื่อครู่นี้ก็ได้นะขอรับ ดูไม่ค่อยทรมานเท่าไหร่”

               เพี้ยะ!! สิ้นคำขอของน้องชาย ลีนัสยกมืออีกข้างขึ้นมาตบฉาดหน้าอีกฝ่ายกลับไปในทันที

              “เจ้าอย่า...เอาเรื่องแบบนี้...มาพูด...พล่อยๆแบบนี้อีกนะ” ลีนัสตอบกลับไปเว้นวรรคเสียง เน้นคำพูดทุกคำอย่างชัดเจน ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมาใส่ความรู้สึกโกรธที่พร้อมจะปะทุออกมาทุกเมื่อ แต่แววตาของผู้พูดนั้นกลับเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้

             “......ข้าขอโทษขอรับ” แม้ซีมัสจะเป็นฝ่ายที่หงุดหงิดอยู่ก็ตาม แต่เมื่อลีนัสพูดออกมาขนาดนี้ ก็ทำให้เขารู้ตัวว่าล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว จึงได้เอ่ยขอโทษ แล้วก็ถอนหายใจหนักๆออกมา

              “…ดูเหมือนข้าอยู่กับท่านพี่จะรั้งแต่สร้างปัญหาให้ท่านเหมือนเดิม เอาเป็นว่าข้าจะพยายามอยู่ห่างๆท่านพี่ก็แล้วกัน” เมื่อเอ่ยจบซีมัสก็วิ่งออกไปแล้วกระโดดหายไปทางหน้าต่าง ที่เมื่อครู่ตัวเองกระโดดเข้ามา

             “ซีมัสเดี๋ยว….” ลีนัสเอ่ยเรียกตามหลังไปแต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลยสักนิด ร่างของน้องชายหายวับไปจากสายตาเขาทันที
 



 
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale&new prelude) 18 May. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 18-05-2016 17:15:53
Libra's heart : 12 Finale 2 Prelude (Part 2/2)




                ไคร่า หญิงสาวเรือนผมสีดำยาวเหยียดตรง แววตากลมโตสีแดงเข้ม ผิวสีน้ำผึ้งเนียนน่าสัมผัส เดินอวดร่างเปลือยเปล่าบางระหงส์สมส่วนที่น่าอิจฉา ผ่านคู่สายตาของสาวๆคนอื่นในโรงอาบน้ำรวมไป จุ่มปลายเท้าเรียวลงไปแช่ในบ่อน้ำอุ่นบ่อกว้าง เธอเดินไปนั่งทิ้งร่างแช่น้ำที่มุมว่างๆของบ่อน้ำนั้นเงียบๆอย่างไม่สนใจใคร ครู่หนึ่งก็มีสาวเจ้าเนื้อรุ่นแม่เดินเข้ามาหา และทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ 

                “....โยเนสทำงานพลาด…ใครจะรู้ว่าเมืองเล็กๆอย่างเวลเฮมมิน่าจะรักษาความปลอดภัยได้แข็งแรงขนาดที่โยเนสทำงานพลาด” สาวเจ้าเนื้อเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยที่ไม่มองหน้าคู่สนทนา

                   “.......” ไคร่าไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ได้แต่ฟังเสียงถอนหายใจของคนข้างๆอยู่เงียบๆ

                   “...หลังจากนี้เวลเฮมมิน่าคงจะเข้ามาติดต่อบริงไฮด์อีก เจ้ารู้หน้าที่ของเจ้าดีนะไคร่า ไว้ข้าจะติดต่อเจ้าไปใหม่”





                 ที่ระเบียงห้องนอนขององค์ชายเฟริค สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองที่เต็มไปด้วยประชากรมากมาย เดินไปมาขวักไขว่เพื่อจับจ่ายใช้สอย แววตาสีเหลืองทองทอดมองเลยเขตเมืองไปไกลสุดขอบท้องฟ้าสีน้ำเงิน ภายใต้แววตาที่ดูสงบนิ่งคู่นั้น เต็มไปด้วยความคิดต่างๆมากมายกับเรื่องที่ทั้งเกิดขึ้นและยังไม่เกิดขึ้น พลันก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังแทรกกระบวนความคิดทุกอย่างของเขาขึ้นมา

                  “องค์ชายเฟริค ข้าพาคนมาส่งขอรับ” เสียงนายทหารเอ่ยแว่วเข้ามาจากข้างนอก

                   “เข้ามา” เฟริคเอ่ยกลับไปพร้อมกับเดินกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ประตูห้องเปิดออกมาสิ่งแรกที่เขาเห็นคือแววตากลมโตสีแดงเข้มที่ตัดกับเรือนผมสีดำขลับของหญิงสาววัยแรกรุ่น ริมฝีปากบางสีแดงสดคลี่ยิ้มหวานส่งมาให้

                      “อา ไคร่า กำลังคิดถึงเจ้าอยู่พอดีเลย” เฟริคเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงสดใส เมื่อสาวเจ้าเดินเข้ามาหา เขาก็รวบเอวบางของอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ในทันที

                “ขอบใจที่มาส่งนะ แล้วก็ ข้าขอเวลาส่วนตัวสักครู่ มีธุระอะไรฝากไว้ที่เจ้าก่อนละกัน” เฟริคคลี่ยิ้มหน้าบาน ฝากฝั่งนายทหารที่พาไคร่าเข้ามา

               “รับทราบขอรับ…” นายทหารรับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อปิดประตูลงก็อดไม่ได้ที่จะกรอกตาขึ้นมาอย่างรู้สึกเหนื่อยหน่าย กับองค์ชายผู้ที่เลือกใช้ชีวิตแสนสุขสบาย ในขณะที่คนอื่นๆกำลังเคร่งเครียดกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น

               เสียงพรมจูบกับเสียงครางเบาๆของหญิงสาวแว่วดังสะท้อนอยู่ในห้องนอนอันโอ่อ่าขององค์ชาย มือของคนในห้องต่างก็พัลวันวุ่นวายอยู่กับการ ปลดอาภรณ์ของคนตรงหน้าออก

               “องค์ชาย...ทำไมวันนี้ถึงดูรีบร้อนนัก อือ...” น้ำเสียงของหญิงสาวถูกกลืนหายไปกับริมฝีปากหนาที่ประทับปิดลงมา

                “ใครกันแน่ที่รีบร้อนหืม ?” เฟริคถามอีกฝ่ายกลับไปขณะที่ไล้สันจมูกลงมาตามซอกคอเนียน ไคร่าได้ยินคำถามนั้นก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา ผลักร่างหนาลงไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ แล้วตามขึ้นไปนั่งคร่อม

                “ปกติข้าก็รีบร้อนอยู่แล้วนี่คะ มีแต่ท่านนั่นแหละ...” ไคร่าว่าพลางลากปลายนิ้วเรียวยาว ไล้จากแผ่นอกหนาเปลือยเปล่าลงมา เรื่อยผ่านร่องกล้ามท้องแน่นๆลงมาหยุดที่ขอบกางเกง

                 “...ที่มัวแต่จะเล่าเรื่องเวลเฮมมิน่าให้ข้าฟัง เหมือนเด็กที่เพิ่งได้ออกจากบ้านเป็นครั้งแรก ทำเอาข้ารู้สึกหึงท่านเจ้าเมืองที่ท่านพูดถึงเลย วันนี้ไม่มีอะไรจะเล่าให้ข้าฟังแล้วเหรอคะ” ไคร่าขยับร่างอรชรเข้าไปแนบชิดกระซิบถามที่ข้างหู ขณะที่มือค่อยๆปลดกางเกงอีกฝ่ายออก

               “ถ้าเจ้าหึงแล้วเจ้ายังอยากจะฟังอะไรอีกล่ะไคร่า” เฟริคถามกลับมาแล้วหอมแก้มอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู

                “ถึงข้าจะหึงแต่ข้าก็สนุกกับเรื่องเล่าของท่าน เมื่อไหร่ท่านเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่าจะแวะมาที่บริงไฮด์อีกล่ะคะ ข้าอยากจะเจอตัวจริงดูสักครั้ง”

                 “ข้าไม่รู้หรอกนะ มันก็ขึ้นอยู่กับว่า….” เฟริคคว้ามือเรียวที่กำลังวุ่นวายอยู่ที่กางเกงของเขาขึ้นมา แล้วพลิกร่างบางลงไปนอนข้างล่าง ยกร่างตัวเองขึ้นคร่อมแทน

                  “องค์ชาย วันนี้ท่านดูจะใจร้อนจริงๆนะคะ” ร่างบางที่อยู่เบื้องล่างคลี่ยิ้มยั่วยวนกลับมา

                  “...เจ้าคาบเอาเรื่องนี้ไปแจ้งกรีฟิทเร็วแค่ไหน แล้วกรีฟิทตัดสินใจจะทำยังไงกับเวลเฮมมิน่า” แววตาสีแดงเข้มเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ไคร่าคิดว่าเธอเป็นคนหลอกเอาข้อมูลจากองค์ชายขี้เล่นไม่เอาไหนคนนี้ได้ง่ายๆเสียอีก แต่เปล่าเลยเธอกลับถูกองค์ชายหลอกมาตลอด

                  “....องค์ชาย...พูดเรื่องอะไรคะ” ไคร่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร แต่น้ำเสียงของเธอสั่นคลอนออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ เธอไม่รู้จักแววตาสีทองคู่นี้ที่จ้องมองเธอมาอย่างเย็นชา ถึงแม้ใบหน้าคมเข้มนั้นจะยังยิ้มหวานให้เธอก็ตาม

                 “ไคร่า ข้าออกจะรักเจ้าขนาดนี้ คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้ารึไง เจ้าตอบคำถามข้าดีๆข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงามเลย” มือกร้านลูบเรือนผมสีดำขลับของไคร่าอย่างทะนุถนอม คำพูดอันอ่อนโยนไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด

                 “ถ้าเจ้าเอาเรื่องที่ข้าเล่าให้ฟังไปเล่าให้กรีฟิทฟังจนครบ ข้าว่ากรีฟิทคงเลือกที่จะฆ่าเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่าที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ นอกจากเปลี่ยนสภาพอากาศให้เอื้อออำนวยกับสมรภูมิรบอย่างที่เจ้าเข้าใจ” เฟริคถามไปพลางมองดูสีหน้าของหญิงสาวที่ขมวดคิ้วกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น

                “......” เฟริคไม่ได้รู้สึกขัดใจอะไรกับสายข่าวปากแข็งของเขาที่เอาแต่เงียบไม่เปิดปากออกมา แค่สีหน้าลำบากใจของไคร่าก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้แล้ว ว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้

                 “แล้วยังไง ส่งคนไปฆ่าท่านเจ้าเมืองแล้วสินะ ให้ข้าเดาคงจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ขอโทษทีนะไคร่า ที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังไม่หมด ว่าลีบลาอย่างท่านเจ้าเมืองทำอะไรได้บ้างน่ะ เจ้ารู้ไหมว่ากว่าข้าจะเชิญมาบริงไฮด์ได้น่ะ เหนื่อยแค่ไหน” เฟริคไล่เดาสถานการณ์ต่อไปเรื่อยๆ และสนุกกับการมองดูสีหน้าของของไคร่าที่พยายามจะเก็บสีหน้าของตัวเอง

                “เอาล่ะ ข้าต้องขอบใจเจ้าจริงๆที่ช่วยให้แผนการของข้าสำเร็จไปได้เป็นอย่างดี” เฟริคลุกขึ้นยืนขยับใส่กางเกงที่หลุดลุยใส่กลับเข้าไปใหม่ เดินไปเปิดตู้ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานออกมา หยิบถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มห่อเล็กๆออกมาห่อหนึ่ง เดินกลับมานั่งลงที่โซฟาข้างๆไคร่าที่ยังทำตัวไม่ถูก เธอไม่อาจจะอ่านออกได้ว่าเฟริคกำลังคิดอะไรอยู่

                  “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่เจ้าช่วยงานข้าในครั้งนี้ ถึงข้าจะเสียดายเจ้าอยู่บ้าง แต่เจ้ารีบไปจากที่นี่ซะ ข้าคิดว่าเจ้าจะฉลาดพอที่จะไม่กลับไปกรีฟิท แล้วเล่าความผิดพลาดครั้งนี้ของเจ้าให้ใครฟังหรอกนะ” ไคร่ารับห่อผ้านั้นมาแล้วเปิดออกดู ก็พบว่าข้างในมีเพชรเม็ดเล็กๆประกายวาววับอยู่เต็มถุง

                   “นั่นน่าจะพอสำหรับไปเริ่มต้นใหม่นะไคร่า แต่งตัวแล้วออกไปได้แล้วก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจไม่ปล่อยเจ้าไป” เฟริคแกล้งพูดขึ้นมาเช่นนั้นไคร่าก็รีบลุกขึ้นแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วหายไปจากห้องนั้นในทันที

                  เสียงประตูห้องของเขาปิดลงไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้องค์ชายถอนหายใจออกมา เขาอยากจะได้เวลาพักผ่อนเงียบๆคนเดียวสักพัก หลังจากที่ปล่อยของเล่นชิ้นโปรดเดินจากเขาไปเมื่อครู่ เพราะจากนี้ไปเขาไม่อาจจะเก็บสายสืบของกรีฟิทไว้ใกล้ตัวได้อีกแล้ว

              “ขออภัยที่รบกวนเวลาขอรับองค์ชาย เห็นว่าท่านได้แจ้งข้าว่าถ้ามีแขกจากเวลเฮมมิน่ามาขอพบให้รีบมาแจ้งท่าน….” รายละเอียดที่ได้รับแจ้งเข้ามา ทำให้อารมณ์หดหู่เมื่อครู่ของเฟริค พลิกกลับมาเบิกบานได้ใหม่อีกครั้ง

              “ข้าขอชื่อแขกได้ไหม” เฟริคเอ่ยถามกลับไปขณะที่เดินไปหยิบเสื้อตัวเองที่กองอยู่กับพื้น ขึ้นมาสวมและจัดสภาพตัวเองให้ดูเรียบร้อยพร้อมจะออกไปทำงานของตนต่อ

             “ซีมัสขอรับ” เมื่อคำตอบของนายทหารนั้นตอบกลับมาได้ตามที่เขาคิดเอาไว้ เฟริคก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาจากลำคอเบาๆอย่างพออกพอใจ แล้วพึมพำขึ้นมาเบาๆก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

              “ลูกมาเดี๋ยวแม่ก็ต้องมาตาม”








つづく。。。。。  


คือตกใจนะ ไม่คิดว่าจะต้องแบ่งลง2part เลยจริงๆ คิดว่ามันควรจะเป็นตอนสั้นๆ 555 (นี่ชั้นเวิ่นเว้อมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย)



  เจอกันเรื่องหน้านะคะ ยังร่างพลอตไม่เสร็จเลยค่า แต่จะพยายามนะ
ตอนนี้คาดว่าคนอ่านจะอารมณ์แบบว่า ฉากจบก่อนหน้านั้นอาจจะดีกว่า ไม่ค้างคาแบบนี้ อันนี้แบบ …. ค้าง…..หนักกว่าเดิม (อย่าสาปแช่งเค้านะ)

ภาคต่อนี่ จะเริ่มดาร์คขึ้นมานิดๆ จริงๆอยากเขียนดาร์คมากๆ ตั้งแต่แรกละ ทำไมมันถึงได้ออกมาใสขนาดนี้ไม่รู้... (คนเขียนเป็นคนใสๆค่ะ ช่วยไม่ได้จริงๆ  ดีสนีย์ค่ะดิสนีย์5555)
จริงๆพลอตแรกนี่กะฆ่าทิ้งทั้งเฟริคทั้งซีมัสเลยนะคะ ตัดปัญหาไม่มีภาคต่อ 555555555 แต่แบบสร้างขึ้นมาแล้วมันน่ารักเกิน เฟริคก็ร้ายน่ารักอีก (เอ๊ะยังไง) ฆ่าไม่ลงค่ะ เลยต้องรับผิดชอบเขียนภาคต่อของพวกนางต่อไป


มีอะไรเสนออยากจะเห็นในภาคต่อมั้ยคะ จะรับไว้พิจารณา ขณะที่ยังร่างพลอตไม่เสร็จ (หรือพูดง่ายๆว่าหมดมุขนั่นเอง)

แถมเฟริคคุงไปหน่อย ภาคต่อไปชั้นต้องปลกปล้ำอยู่กับนางอีกนาน

(http://i61.photobucket.com/albums/h56/hayeena/Libra_heart/Sketch306195940.jpg) (http://s61.photobucket.com/user/hayeena/media/Libra_heart/Sketch306195940.jpg.html)

(รูปนี้ดูแตกเนื้อสาวนะเฟริค555) เอาจริงๆนะ ไม่อยากจะเขียนเกี่ยวกับเฟริคซักเท่าไหร่เล้ย เพราะมันเป็นคาแรคเตอร์ที่ฉลาดมาก ทั้งๆที่คนเขียนไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น แต่ก็จะพยายามนะ

หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale2new prelude) 18 May. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 20-05-2016 08:54:39
อ้างถึง
อันนี้แบบ …. ค้าง…..หนักกว่าเดิม

เห็นด้วยค่ะ 555

เฟริคยังร้ายเสมอต้นเสมอปลาย หาความน่ารักไม่เจออ่าาาา  :a5:

เซมัสน่าสงสารมาตั้งแต่เด็กจนโตเลย อยากขอ...ให้น้องมีพ่อยกบ้าง แบบที่ไม่ใช่คุณพี่ชายที่มีตำแหน่งเจ้าเมืองค้ำคอ แต่เป็นคนที่สามารถปกป้องคุ้มครองดูแล ยกเซมัสให้เป็นที่หนึ่งของเขาเสมอ แต่ไม่เอาบทพระรองนะคะ(แห้วตลอดอ่ะ) 555 ถ้าไม่ใช่พระเอก ก็ขอเป็นบทพ่อทูนหัว/เพื่อนสนิท(คิดซื่อ)/หัวหน้าหรืออาจารย์ของกลุ่มลูกครึ่งภูติ น่าจะฟินกว่า
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale2new prelude) 18 May. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-05-2016 21:52:56
อ๊ากกกก!! ค้างงงงงมากค่ะโอ๊ยย เข้ามาดัน อยากอ่าน #เฟริคซีมัส เชียร์ให้มีภาคต่อเร็วๆค่ะ จะดาร์คมากน้อยมาเลยค่ะ  555// #ทีมเฟริค ชอบอ่ะ เจ้าเล่ห์ ร้าย จอมวางแผน แม้จะพลาดก็เถอะนะ 555  ไม่รู้สิ เฟริคดูฉลาดว่ะ แผนที่อาจคิดว่าพลาด แต่มันกลับสร้างโอกาสอะไรสักอย่างในนั้น ดูมันจะล้ำลึกนะ อ่าาาต้องได้อ่านภาคต่อ ว่าจะใช่อย่างที่คิดไหม?? 5555 แต่ชอบเฟริค แกะดำตัวนี้ขยันสร้างเรื่องจริง แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เฟริคทำมันจะ??????? ภาคต่อมาค่ะ  หลอกล่อไรค์เต็มที่ อยากอ่านนนนน 5555
หัวข้อ: Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale2new prelude) 18 May. 2016
เริ่มหัวข้อโดย: hayeebaba ที่ 31-05-2016 17:26:03
555 มีคนมาช่วยดัน เนื่องจากวางระเบิดทิ้งไว้

ตอนนี้ร่างคร่าวๆใกล้เสร็จแล้วค่ะคาดว่าภายในเดือนหน้าจะเริ่ม.....เขียน (เพราะนี่มันสิ้นเดือนแล้ว)
ตอนนี้อยากเขียนโดจินนิยายตัวเองค่ะ 55555 (อาการหนัก) ขอเขียนแป๊บ ไม่เกิน10หน้า (ยืดมาจากการ์ตูน4ช่องจบ)



เออจริงๆเรื่องของดาวิสอ่ะนะ เขียนเองแอบสงสัยเอง มีใครสงสัยแบบเรามั้ยน้อ (แอบปิดประเด็น)
คือ...ดาวิส...เริ่มจีบลีนัสตั้งกะแตกเนื้อหนุ่มตอนอายุ19 ด้วยหน้าที่การงานแล้ว คาดว่าไม่น่าจะมีเวลาและสถานการณ์ใดๆเอื้ออำนวยให้เมะหนุ่มของเรากินเคะได้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมาจนฉากในเรื่อง ซึ่งพ่อหนุ่มเมะของเราก็อายุได้ราวๆ30
.....อดคิดไม่ได้เลยจริงๆว่านางจะซิงยัน30หรือนี่ 555555 (ตกลงดาวิสเป็นผู้ชายกินผัก ??)

ไม่ใช่อะไร แบบ...บางทีก็เป็นห่วงสุขภาพตัวละครบ้างอะไรบ้าง (เกินไปนะ)

 :katai3: