~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD  (อ่าน 320558 ครั้ง)

yayoy

  • บุคคลทั่วไป
~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
« เมื่อ09-06-2008 14:52:52 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ






นิยายเรื่องนี้ได้ขออนุญาตนำมาโพส จากคุณ DD เจ้าของเรื่องแล้ว

~ ด้วยรักจากสวรรค์ 1 - ผมตายแล้วครับ ~

“เจ้าตายไปแล้ว”

เสียงดังกล่าวสะท้อนกึกก้องเหง่งหง่างซ้ำไปซ้ำมา สะท้อนจากมุมหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่งภายในสถานที่แปลกประหลาด สถานที่เขาไม่รู้ว่ามันมืดหรือสว่าง กลางวันหรือกลางคืน เพราะไอหมอกรอบกายหนาแน่นห้อมล้อมเสียจนคิดว่าจะหายใจไม่ออก

“ไม่จริงงงง...!” จินดนัยแหกปากเถียงแล้วก็ต้องหงายหลังโครมด้วยอิทธิฤทธิ์ของลมกรรโชกวูบใหญ่ที่ซัดเข้ามาตรงๆ “ผมจะตายได้ยังไง ผมเพิ่งอายุยี่สิบเอ็ด ยังไม่เคยได้ไปเที่ยวรอบโลก ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ยังไม่เคยมีความรัก แล้วผมจะตายได้ยังไง”

เขาทุ่มตัวร้องไห้กับพื้น นึกไม่ออกว่าไอ้เรื่องบ้าๆ พรรค์นี้มันเกิดกับตัวเองได้ยังไง เขาไม่เคยมีเรื่องต่อยตีกับใคร ไม่เคยข้องเกี่ยวอบายมุข ไม่เคยขี่จักรยานผิดกฎหรือแม้แต่โดดขึ้นรถเมล์ผิดคันก็ยังไม่เคย เขาระมัดระวังตัวดีขนาดนี้แล้วจะตายได้ยังไง เผลอตายตั้งแต่เมื่อไหร่ อีท่าไหน เป็นไปไม่ได้ชัดๆ

“เฮ้อ” เสียงคนถอนหายใจจากเบื้องหน้าทำให้เขารีบผงกหัวมอง ชายหนุ่มหน้าตาดีในสูทขาวทั้งตัวละม้ายนักร้องลูกทุ่งขาดก็แต่พวงมาลัยกำลังยืนกอดอกก้มมองมาที่เขาแบบเบื่อๆ “เป็นแบบนี้ทุกที ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังตายไม่ได้ ฉันยังไม่ได้ทำนู่นทำนี่”

เขารีบผุดลุกยืน ป้ายน้ำตาทิ้งแล้วตะโกน “ก็มันจริงนี่หว่า อยู่ๆ ก็ตายไม่รู้เนื้อรู้ตัว เนื้องอกมะเร็งร้ายก็ไม่ได้เป็น เล่นไม่ให้เวลาทำใจกันแบบนี้ใครที่ไหนมันจะรับได้ จะว่าไป...ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าผมตายได้ยังไง เมื่อเช้าผมก็ตื่นนอน อาบน้ำตามปกติ กินข้าว ออกจากบ้าน ขึ้นรถเมล์ มาถึงก็ถีบจักรยานเข้าคณะฯ แล้ว... แล้วก็...”

“แล้วไงต่อ” หนุ่มหล่อเดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วมองตรงมา เด็กหนุ่มสะบัดหัว พยายามขับไล่ความสับสนและนึกต่อ “ผมได้ยินเสียงบีบแตร เสียงเบรก มีรถคันหนึ่ง...”

มืออ่อนเท้าอ่อนในบัดดลเมื่อระลึกถึงแรงปะทะที่ส่งเขาลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศว่างเปล่า ความเจ็บปวดยามร่างตกกระแทกพื้นถนนหยาบร้อน แค่วูบเดียวเท่านั้นก่อนสติจะดับหาย ฟื้นมาอีกที เขาก็มายืนอยู่ที่นี่ ตรงนี้แล้ว “ตายก็ตายวะ แล้วนี่ผมต้องทำอะไรบ้างล่ะ คุณไกด์”

“เรียกใครไกด์วะ” หนุ่มชุดขาวเดินกลับมาบ้องกะโหลกเขาหนึ่งที ก่อนจะส่งยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ให้ “แต่เอาเถอะ รูปหล่อใจกว้างอยู่แล้ว ส่วนนายก็ตั้งใจฟังนะเพราะฉันจะพูดครั้งเดียว ตอนนี้สวรรค์กำลังมีโปรโมชั่นพิเศษให้เลือก โปรฯ แรก คิดคำนวณความดีความชั่วแล้วตัดสินเอาเท่าที่มีว่านายจะต้องไปไหนต่อ โปรฯ สอง กลับไปโลกมนุษย์ในสภาพวิญญาณ เล่นบทผีเฮี้ยนตามหลอกหลอนจนครบกำหนดเวลา วิญญาณนายก็จะสูญสลายโบ๋เบ๋ หมดทุกข์หมดโศกและไม่เหลือไว้เป็นมลภาวะ แล้วก็โปรฯ สุดท้ายซึ่งยังอยู่ในช่วงทดลองใช้ คือกลับไปในคราบมนุษย์ธรรมดาเพื่อฆ่าหรือทำยังไงก็ได้ให้คนที่ฆ่านายตาย แล้วนายจะได้ร่างนั้นไว้ใช้จนหมดอายุขัยอีกครั้ง”

ได้ทั้งแก้แค้น ได้ทั้งชีวิตกลับคืน มัน...ทะแม่งๆ ตามแบบบรรดาโปรโมชั่นขายโทรศัพท์ หลอกล่อเอาแต่ส่วนดีมาขยายตัวเบ้อเริ่มแล้วซุกซ่อนข้อแม้ไว้ตามหลืบตามซอกแบบต้องจ้องอ่านกันตาแทบพลัด “บอกรายละเอียดของโปรฯ ทดลองใช้มาให้หมดดีกว่าว่าคุณหมกเม็ดเงื่อนไขอะไรไว้บ้าง”

มองหน้าเซ็งของเทวดารูปหล่อที่ทำท่าหมดสนุกเพราะดันเจอคนรู้ทันแล้วให้สงสัยว่าที่นี่มันสวรรค์แน่เหรอ “จะเอาแต่ได้อย่างเดียวมันก็ไม่สนุกน่ะสิ มีเงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มความสนุกอยู่ว่านายต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ได้ภายในหนึ่งปีไม่งั้นจบ โกทูเฮลล์โลด ต้องห้ามให้ใครรู้ว่านายเป็นใคร ถ้ามีใครรู้ก็จบ โกทูเฮลล์โลด และโปรฯ นี้ไม่มีการรับเปลี่ยนหรือแลกคืน จะเหลือเพียงชีวิตเดียวเท่านั้นที่ยังมีลมหายใจในตอนจบ ส่วนอีกหนึ่ง...จะโกทูเฮลล์โลด นี่ล่ะ ข้อกำหนดของโปรฯ นี้”

จินดนัยนิ่งคิดว่าเขาจะกล้าฆ่าคนไหม อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตเขาน่าจะเกิดจากความไม่ตั้งใจไม่ใช่เหรอ แล้วถ้าคนที่ขับรถชนเขาเป็นแค่สาวน้อยร่วมมหาวิทยาลัยที่ไม่ชินกับการขับรถล่ะ หรือถ้าเป็นแค่อาจารย์สูงอายุที่นัยน์ตาเริ่มฝ้าฟาง “ผม...”

“โปรฯ นี้อาจไม่มีช่วงทดลองใช้แต่เรามีอย่างอื่นให้นะ” เทวดาชุดขาวชี้ไปทางด้านหลังที่เขาไม่ทันสังเกตว่าจอภาพขนาดยักษ์โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ “...ภาพเหตุการณ์ตอนเกิดเหตุ ดูเสียว่านายตายด้วยสภาพน่ากลัวขนาดไหน ดูหน้าของคนที่ฆ่านายให้เต็มตาแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้”

การมองดูตัวเองขี่จักรยานเข้าไปหาความตายไม่ใช่เรื่องสนุก แต่จินดนัยก็ไม่อาจถอนสายตามาจากกล้องมุมสูงที่เผยให้เขาเห็นภาพตัวเองกำลังปั่นจักรยานคันเก่าหยอยๆ ฮัมเพลงหงุงหงิงท่าทางสบายอกสบายใจและไม่รู้เลยว่ากำลังจะพบเจอกับสิ่งใด ก่อนที่จักรยานเขาจะเลี้ยวโค้งตรงแยกหน้าสนามกีฬานั้นเอง รถยนต์คนหนึ่งก็แล่นตะบึงมาจากอีกทาง รถสีแดงเพลิงสวยปราดเปรียวแล่นมาด้วยความเร็วที่ต้องเรียกว่าเร็วมากสำหรับถนนในมหาวิทยาลัย นึกอยากหลับตาแต่คล้ายกับจะมีมือที่มองไม่เห็นมาถ่างตาเขาเอาไว้ ดังนั้นจินดนัยจึงได้เห็นภาพของตัวเองโดนกระแทกลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ คล้ายนกที่ออกบินภายใต้ท้องฟ้าสีสดใส ก่อนจะร่วงตกมากระแทกกับกระโปรงหน้ารถและกระเด็นไปบนถนนขลุกๆ ราวกับเศษตุ๊กตา...ทั้งเก่า ทั้งขาดรุ่งริ่ง

เลือดของเขากระจายไปทั่วพื้นถนนเหมือนมีใครเอาถังใส่สีมาสาดเล่น สีแดงแดงสดใสเสียยิ่งกว่าสีรถนอกคันนั้นด้วยซ้ำ

ทว่าภาพที่ทำให้เขาช็อคที่สุดกลับเป็นภาพของคนขับที่เพิ่งเงยหน้าอาบเลือดโงนเงนขึ้นจากพวงมาลัย ใบหน้านั้นแม้จะอาบด้วยเลือดซึ่งไหลจากบาดแผลแตกบนศีรษะ...จนถึงวันตาย (ซึ่งบังเอิญเป็นวันนี้) เขาก็จำได้ไม่เคยลืม “ไอ้แสงเหนือ!”

“หืม รู้จักกันด้วย เห็นท่า...เธอคงไม่เอาโปรฯ นี้แล้วใช่ไหม” จอภาพยักษ์หายวับไปพร้อมเสียงตะโกนเมื่อครู่ของเขา “แย่หน่อยนะ ภาพเธอหลังโดนชนมันไม่ผ่านเซ็นเซอร์น่ะเลยเอามาให้ดูไม่ได้ จะว่าไปก็เพราะเธอลงผิดท่าเองนี่น่า เล่นเอาหัวลงแบบนั้น กะโหลกก็เลย...”

“ผมขอเลือกโปรฯ ฆ่าแล้วฟื้น!” จินดนัยตะโกนลั่น “อย่าว่าแต่ได้ร่างใหม่เลย ต่อให้ฆ่าไอ้หมอนี่แล้วต้องตกนรก ผมก็ยอม”

++++++++++

ถ้าใครสักคนอยากสัมผัสความรู้สึกว่าตอนร่วงจากสวรรค์มันเป็นอย่างไร ไม่ต้องทดลองตายแล้วไปเกิดใหม่ เขาแนะนำให้ไปขึ้นไวกิ้ง ต่อด้วยเจทโคสเตอร์และรถไฟเหาะตีลังกา แล้วค่อยปิดท้ายด้วยล่องแก่ง ทำทั้งหมดที่ว่าให้ได้ภายในสิบวินาที นั่นล่ะ ความรู้สึกของการตกสวรรค์

ที่ต้องปิดท้ายด้วยล่องแก่ง เพราะไม่ว่าเราจะระมัดระวังตัวดีแค่ไหน เราก็จะเปียกหูลู่ด้วยน้ำสีขุ่นไม่หมุนเวียน น้ำที่คุณไม่อยากจินตนาการว่ามันผ่านอะไรมาบ้างก่อนจะมาอาบชโลมร่างกายคุณจนชุ่มโชก ตอนนี้ เขากำลังพยายามไม่นึกถึงว่าร่างกายนี้มาจากไหน มันเคยเป็นของใครอื่นมาก่อนหรือไม่
จะว่าไป เขาเกือบจะเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นแค่ความฝันร้ายๆ หรือการจัดฉากห่วยๆ ทว่าจินดนัยจำไม่ได้ว่ามือเล็กๆ ผ่ายผอมกับผมยาวประบ่านี่เป็นของเขา หลังจากยืนจับหัวหูตัวเองให้วุ่นวายท่ามกลางสายตาเมียงมองอย่างสนอกสนใจของคนเดินผ่านไปมา เขาวิ่งเข้าหากระจกหน้าร้านแห่งหนึ่งใกล้ๆ นั้นทันที

มัน...คุ้นเคย ใบหน้าที่มองตอบมานั้นเกือบจะเหมือนเขาสมัยก่อนเลยทีเดียว หากจะนับย้อนเวลากลับไปสักสี่ห้าปีล่ะก็ แต่เขาไม่เคยผอมขนาดนี้ ไม่เคยไว้ผมยาวขนาดนี้และยิ่งไม่เคยซีดเผือดเหมือน...คนตายขนาดนี้อีกด้วย “อะไรเนี่ย จะให้กลับมาทั้งทีทำไมไม่หล่อเหมือนเดิมเลยวะ”

“ไอ้มนุษย์หลงเงา จะบ่นอะไรนักหนาวะ เดี๋ยวปั๊ดพ่อให้เกิดใหม่เป็นเจ้าตูบเสียเลย” จินดนัยสะดุ้งโหยงกับเสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นในสมอง “ร่างกายน่ะมันเป็นแค่ภาชนะแบบหนึ่งเท่านั้น รูปร่างหน้าตานั่นก็ถอดเค้ามาจากนายสมัยก่อน ปรับปรุงนิดหน่อยเผื่อเจอคนรู้จักจะได้ไม่ตกอกตกใจกันเกินไป”

“แล้วผมต้องทำไงต่อ” หวั่นใจไม่ใช่น้อยกับคำขู่ว่าถ้าขืนเรื่องมากอาจต้องไปแก้แค้นแสงเหนือโดยการกัดมันจนเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ติดเชื้อในกระแสเลือดจนตายแทน “มันอยู่โรงพยาบาลไหน ห้องอะไร จะได้รีบจัดการให้มันจบๆ เสียที”

“ใสเจียเสียใจ เรื่องพรรค์นี้ต้องช่วยตัวเอง” กล่าวจบแล้วเทวดาไกด์ก็เหมือนจะหายสาบสูญหรือหูหนวกไม่นำพาต่อเสียงก่นด่าของเขา เมื่อไม่มีทางเลือก จินดนัยจึงตัดสินใจจะไปเริ่มต้นจากที่เกิดเหตุแทน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นเมื่อเขาสำรวจทั้งตัวแล้วพบว่านอกจากเสื้อผ้าธรรมดาติดจะเก่าโทรมที่ติดกายอยู่แล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาไม่มีอะไรอื่นอีกเลย อย่าว่าแต่บัตรประชาชนเลย ไอ้เทวดาขี้ตืดนั่นไม่ได้ให้เงินไว้แม้แต่แดงเดียว

นิ่งคิดชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจได้ วิธีที่เร็วที่สุดคือการขอ ช่างหัวศักดิ์ศรีและความอับอายแล้วนาทีนี้ “พี่ครับ ขอโทษครับ พอดีผมทำกระเป๋าตังค์หาย ขอค่ารถกลับบ้าน...”

ชายหนุ่มคนนั้นเดินหนีก่อนจะพูดจบประโยค ทิ้งให้เขายืนอ้าปากเหวอ มือยังยกไหว้ค้าง เดินเกาหัวแกรกๆ ได้อีกห้านาที จินดนัยก็ลองใหม่ คราวนี้เขาเลือกเด็กสาวอายุน่าจะเรียนมหาวิทยาลัย “พี่สาวครับ ผม...”

อีกเกือบชั่วโมงต่อมา เขาก็ยังเดินไหว้คนนั้นคนนี้ไปทั่ว นึกไม่ออกว่าหน้าตาเขามันน่าสงสัยขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าเป็นเขาสมัยก่อน ถ้ามีเด็กโผล่มาขอเงินเขาแบบนี้ ...เขาก็คงเดินหนีเหมือนกัน

ระหว่างที่เขากำลังเริ่มพูดกับชายหนุ่มคนหนึ่ง สายตาก็เหลือบไปเห็นรปภ. ของศูนย์การค้าแห่งนั้นเดินตรงมาหา จินดนัยจึงรีบออกวิ่ง ส่งผลให้อีกฝ่ายรีบวิ่งตามทันที เขาวิ่งสุดกำลังและเลี้ยวลดหลอกล่ออยู่นานจนแทบขาดใจ จนคิดว่าน่าจะหนีพ้นแล้วเพราะถ้าขืนยังหนีไม่พ้น เขาก็วิ่งต่อไม่ไหวอยู่ดี

หยุดยืนไอสลับหอบจนตัวโยนแล้วแข้งขาที่อ่อนแรงก็ทรุดฮวบ นึกทดท้อจนอยากจะบ้าตาย เข้าใจเลยว่าทำไมถึงให้เวลาตั้งหนึ่งปี กว่าเขาจะหาเงินไปจนถึงโรงพยาบาลที่แสงเหนือพักรักษาตัวอยู่ได้ก็คงปาเข้าไปสิบเดือนแล้วมั้ง

“หนูจ๊ะ เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า” เขาเงยหน้าขวับขึ้นและพบว่าสตรีวัยกลางคนในชุดลำลองเรียบๆ กำลังก้มมองมาอย่างเป็นห่วง “หน้าหนูซีดมากเลย ป้าเห็นหนูทรุดอยู่มาสักพักแล้วกลัวว่าจะเป็นลมไปเสียก่อน”ยาดมถูกยัดใส่มือเขาก่อนเจ้าของจะพูดต่อ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

“ผม...” ประโยคที่พูดมานับสิบๆ ครั้งคล้ายจะติดขัดอยู่แค่ในลำคอ เขาต้องเค้นเสียงไม่ให้มันสั่นพร่าและดูน่าเอน็จอนาถเกินไปนัก “ผมทำกระเป๋าตังค์หาย ผมพยายามขอค่ารถตั้งนานแล้ว ผมขอพวกเขาแค่...ยี่สิบสี่บาท แต่ไม่มีใครให้ผมเลย”

“น่าสงสารจัง” มือเหี่ยวย่นรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าถือสีดำแล้วหยิบธนบัตรสีแดงส่งให้ “เอาไปสิ แล้วอย่าเผลอทำหายอีกนะ”

“ไม่ต้องเยอะขนาดนี้ก็ได้ครับ ผมขอแค่...” เขาชะงักเมื่อโดนลูบศีรษะด้วยความปราณี

“เก็บไว้เถอะจ๊ะ ป้าให้”หลังจากกล่าวคำขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าจนแยกกันก็กินเวลาอีกหลายนาที ทันทีที่แยกกับหญิงผู้ปราณี จินดนัยก็กล่าวอาฆาตไอ้ตัวต้นเหตุด้วยเพลิงแค้นที่โหมไหม้ร้อนแรงเป็นสองเท่า

ไอ้แสงเหนือ ถ้าไม่ได้ฆ่ามัน ไม่ต้องมาเรียกเขาว่าจินดนัยแล้ว!

++++++++++

อาศัยเงินก้อนเดียวที่มีในมือ เด็กหนุ่มผู้วายชนม์ก็พาตัวเองกลับมายังมหาวิทยาลัยที่เขาเพิ่งจากไปหยกๆ ได้ แม้จะรู้สึกผิดหูผิดตากับสิ่งรอบตัวบ้างแต่ด้วยความรีบร้อนทำให้ไม่นึกสนใจจริงจัง เขามุ่งตรงดิ่งไปยังที่เกิดเหตุซึ่งเห็นจากกล้องวงจรปิดแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสถานที่ดังกล่าว ไม่ใช่ว่าเพราะยังมีหลักฐาน ซากเขาแห้งติดพื้นถนนหรืออะไรประมาณนั้นหรอก เพียงแต่มันไม่มีอะไรเลย ระหว่างที่เขายืนเอ๋อ งงเป็นไก่ตาแตก หัวโค้งทางสามแพร่งนั้นก็มีรถสองสามคันแล่นผ่านไปมาเหมือนปกติ

เมื่อได้สติ จินดนัยจึงเริ่มพาหน้าเอ๋อๆ ของตนออกเดินตุปัดตุเป๋ต่อ ความเคยชินแรกทำให้เท้าพาไปยังคณะของเขา แต่เมื่อนึกถึงเงื่อนไขข้อสองว่าห้ามให้ใครรู้ตัวจริงของเขาเลยต้องรีบหยุด ถึงหน้าตาเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่กับเพื่อนๆ ที่สนิทกันต้องจำเขาได้แน่ๆ

นิ่งคิดอีกสักพัก เขาก็เปลี่ยนทิศบ่ายหน้าไปยังอีกคณะแทน แม้จะเป็นคณะที่เน้นพวกเรียนสายวิทย์มาเหมือนกัน แต่คณะนี้บรรดานิสิตจะหนักไปทางเพศชายที่หน้าตาค่อนไปทางเถื่อนถ่อยเสียมาก กว่าจะตัดสินใจเกร่เข้าไปถามได้นี่ต้องคัดแล้วคัดอีก “พี่ครับ พอจะทราบไหมครับว่าคณะนี้มีคนชื่อแสงเหนือหรือเปล่า”

นิสิตชายคนนั้นมองหน้าเขาและทำท่านึก “คุ้นๆ ว่ะ เหมือนจะเคยได้ยินจากที่ไหน” พอนึกไม่ออกและไม่อยากให้ติดคาราคาซังอยู่ในหัว เจ้าตัวจึงหันไปตะโกนถามเพื่อนอีกกลุ่มที่โต๊ะด้านหลัง “พวกนายรู้จักใครที่ชื่อแสงเหนือไหมวะ น้องเขามาถามหา”

“แสงเหนือ... ไอ้คนนั้นไงมึงที่ปีที่แล้วเพิ่งมีเรื่อง” หนึ่งในนั้นตะโกนตอบ ก่อนจะโดนเพื่อนพ้องแย่งกันพูดจนฟังแทบไม่ทัน “อ๋อ ไอ้ที่มันขับรถชนเด็กคณะอื่นตายไง”

“เออๆ จำได้ละ ตอนนั้นข่าวดังชิบหาย เห็นตำรวจเขาตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการกระทำโดยประมาทหรือจงใจใช่ไหมวะ”

“เฮ้ย ได้ข่าวว่ามันติดคุกหัวโตเลยนี่หว่า”

“ไม่รู้อย่ามั่ว บ้านมันรวยจะตายห่- คงยอมให้ลูกชายคนเดียวติดคุกหรอก ครอบครัวมันยัดเงินไปไม่รู้ตั้งกี่ล้านจนคดีเงียบเข้ากรุ แล้วค่อยจับลูกมันเข้าโรงพยาบาลรักษาต่อ ไม่รู้ป่านนี้หายหรือยัง ถ้าหายก็น่าจะเห็นมันกลับมาเรียนต่อนะ สงสัยจะยังไม่หายว่ะ”

“กูมีเพื่อนอยู่คณะนั้น มันเล่าให้ฟังว่าสองคนนั้นรู้จักกันด้วย แต่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรอก รู้สึกจะเกลียดขี้หน้าอีกฝ่ายมากกว่า ตำรวจถึงสงสัยทีแรกไงว่าตั้งใจหรือเปล่า”

“ตั้งใจเอี้ยไรวะ ตัวเองก็ตาบอด กูว่าอุบัติเหตุเห็นๆ พิการหมดอนาคตเลยนะพวกมึง”

จากเรื่องนี้ไหลไปเรื่องอื่นอีกไกลโขกว่าชายคนแรกผู้จุดกระแสจะนึกออกถึงจุดประสงค์และหันกลับมาก็ได้พบแต่ความว่างเปล่าเพราะจินดนัยเลี่ยงออกมาได้พักใหญ่แล้ว ทีแรกเขางงกับความแตกต่างของเวลา นึกไม่ถึงว่าเวลาชั่วแวบที่เขาคุยกับเทวดานั่นจะกินเวลาบนโลกไปเป็นปี หากข้อมูลต่อๆ มากลับนำความประหลาดใจมากมายมาให้ ซึ่งนอกจากความประหลาดใจแล้วยังนำเรื่องน่ายินดีมาให้อีกต่างหาก

จินดนัยแทบจะกู่ร้องด้วยความดีใจเมื่อได้ยินว่าแสงเหนือต้องตาบอดจากอุบัติเหตุคราวนั้น ถึงจะรอดคุกรอดตะรางมาได้ หากฟ้ายังคงความยุติธรรมทำให้ไอ้คนชั่วหนีบาปกรรมไม่พ้น เขาเสียชีวิต แสงเหนือต้องสูญเสียแสงสว่างไป ถึงจะไม่ค่อยสาสมกันเท่าไหร่แต่ก็ถือว่าใช้ได้ล่ะน่า

เขาอารมณ์ดีขึ้นมากเมื่อต้องนั่งรถเมล์ต่อไปยังบ้านของเป้าหมายแทน ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถนั้นก็อดนึกถึงเหตุการณ์สมัยพวกเขาสองคนยังเป็นเด็กๆ ไม่ได้ เรื่องที่ทำให้พวกเขากลายเป็นศัตรูกันถ้าจำไม่ผิด น่าจะเริ่มตั้งแต่สมัยอนุบาลนั่นเลยทีเดียวกระมัง และคำพูดแรกที่แสงเหนือพูดใส่หน้าเขาคือ

“ไอ้กระเทย!”

++++++++++++++++++++++++++

TBC



*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2010 16:01:24 โดย THIP »

yayoy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #1 เมื่อ09-06-2008 14:54:58 »

~ ด้วยรักจากสวรรค์ 2 - แสงเหนือ ~

“ไอ้กระเทย!”

จะมีเด็กน้อยอายุห้าขวบในโลกนี้สักกี่คนที่สามารถเข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงโดนเพื่อนร่วมชั้นอนุบาลตัวร้ายตะโกนด่าคำแปลกๆ ใส่หน้า เขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่เข้าใจ แถมอายุตอนนั้นยังน้อยนัก รอบบินยังไม่สูงจัด ไม่สามารถตีโต้กระโดดถีบแสกหน้ามันได้นอกจากเบะปากพูดเสียงสั่นอย่างน่าอนาถ “นายพูดอะไรน่ะ เราไม่ใช่...กะเทอนะ”

“นอกจากจะเป็นไอ้กระเทยแล้วยังเป็นไอ้โง่ด้วย นายไม่รู้จักหรือไง คำว่ากระเทยน่ะ มันหมายถึงพวกผู้หญิงแก่หน้าตาเหมือนผี ตัวดำๆ ปากแดงๆ เสียงใหญ่ๆ” ลูกสมุนซ้ายขวาที่ตามประกบแสงเหนือพยักเพยิดเห็นด้วยเพราะนาทีนี้ ลูกพี่มันคือผู้รอบรู้ที่สุด “ถ้านายไม่อยากเป็นกระเทยก็เลิกเล่นกับเด็กผู้หญิงแล้วมาเป็นลูกน้องฉันซะ”

“ทำไมเราต้องเป็นลูกน้องนายด้วย ไม่เอาหรอก เราไม่เป็น” แม้จะพยายามเดินหนีแต่ไอ้วายร้ายตั้งแต่ตีนยังเท่าฝาหอยกลับขยุ้มคอเสื้อเขาไว้ “นายรู้หรือเปล่าว่าเราเป็นใคร บ้านเรารวยแค่ไหน ไม่ว่าเราอยากได้อะไรพ่อแม่เราหามาให้ได้หมด ถ้านายยอมเป็นลูกน้องเรา บางทีเราอาจเอาขนมอร่อยๆ ที่บ้านมาแบ่งให้ก็ได้”

“แม่เราซื้อขนมให้กินอยู่แล้ว เราไม่อยากกินของนาย ปล่อยนะ” เขาเริ่มดิ้นปัดๆ เลยโดนแสงเหนือตบหัวที่อยู่ใต้หมวกมีปีกสีฟ้าดังป้าบ ถึงจะไม่ได้เจ็บอะไรแต่เขารู้สึกช็อคมากกว่า เด็กๆ อายุราวนั้นช็อคแล้วจะทำอะไรได้นอกจากร้องไห้โฮแบบท่อแตก “ฮือๆ โฮๆๆๆ ปล่อยเรานะ เราจะฟ้องครูว่านายตีเรา เราจะฟ้องแม่ด้วย...จะให้แม่มาตีนายหลายๆ ที”

คาดว่าแสงเหนือคงกำลังช็อคพอกันที่เห็นเขาร้องไห้ราวกับจะตายจึงได้แต่ยืนตาค้างจ้องหน้าเขานิ่ง กระทั่งครูที่ได้ยินเสียงเอะอะออกมาดูและเห็นเข้า จึงได้จับพวกเขาแยกย้ายไปคนละทาง เรื่องการทะเลาะเบาะแว้งแบบเด็กๆ ไม่ได้โดนแจ้งไปยังเหล่าผู้ปกครอง หลังจากนั้น แม้จะยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่ากระเทย หากเขาก็ได้รู้จักคำว่าศัตรูคู่อาฆาตอย่างลึกซึ้งถึงแก่นแทน

แสงเหนือต้องแกล้งเขาทุกครั้งที่มีโอกาส มันทำได้ทุกอย่างตั้งแต่ล้อเลียนเขาด้วยชื่อต่างๆ นาๆ ไปจนถึงขั้นหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เช่นแกล้งผลักแกล้งชนเขา แกล้งได้แกล้งดีทุกวันทุกเทศกาลอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่ายกระทั่งเขากลายเป็นเด็กมีปมด้อยที่หวาดกลัวการมาโรงเรียนจนตัวสั่น โชคร้ายไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงนั้นเพราะไม่นาน เขาก็เพิ่งรู้ว่าบ้านของทั้งคู่อยู่ในละแวกเดียวกัน เรียกว่าถึงจะไม่ได้ใกล้ขนาดเดินไปมาหาสู่แต่ถ้าถีบจักรยานก็กินเวลาแค่สิบ...สิบห้านาทีเท่านั้น

เนื่องจากเหตุนี้ ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์เขาจึงมักจะต้องหลบคู้อยู่แต่ในบ้านไม่ก็ต้องรบเร้าให้พ่อแม่พาออกไปเที่ยวนอกบ้าน หมดโอกาสออกมาถีบจักรยานหรือวิ่งเล่นแถวบ้านโดยสิ้นเชิง ช่วงเวลาวัยเด็กของเขาจึงวนเวียนอยู่แค่หาทางหลบลี้หนีหน้ามันไปตามบุญตามกรรม จนวันหนึ่งที่การกลั่นแกล้งของแสงเหนือได้ทำให้มุมมองชีวิตของจินดนัยต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ในเวลาพักกลางวันซึ่งเด็กประถมหนึ่งส่วนใหญ่จะวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน จินดนัยกลับต้องวิ่งหนีแสงเหนือที่กำลังหัวเราะพร้อมวิ่งไล่หลังมาติดๆ กับหนอนแก้วในมือ อันที่จริงเขาไม่ได้กลัวหนอนแก้วแต่กลัวไอ้คนที่มันกำหนอนแก้ววิ่งหัวเราะตาวาวอยู่ต่างหาก เมื่อมัวแต่ต้องคอยเหลียวหลังกลับไปเช็คระยะห่าง จึงไม่ทันสังเกตเห็นพื้นต่างระดับและเสียหลักล้มโครมจนหน้าผากกระแทกขอบซีเมนต์อย่างแรง เรียกเลือดสดๆ หยดติ๋งๆ ลงใส่ตาเบิกกว้างของเด็กชายตัวน้อย

หลังจากนอนร้องไห้เนื่องจากปวดแผลซึ่งโดนเย็บไปห้าเข็มอยู่ทั้งคืน จินดนัยก็ให้สัญญากับตัวเองว่านับจากวันนี้ จะไม่มีจินดนัยคนเก่าที่ร้องไห้เพราะแสงเหนืออีกแล้ว เขาเริ่มขอแม่เรียนพิเศษเพิ่ม ไม่ใช่วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทย์ คณิตหรือสปช. อะไรทั้งนั้น เขาทำเช่นที่สมควรทำมาตั้งแต่เจอหน้าแสงเหนือด้วยการขอเรียนศิลปะการป้องกันตัว

เมื่อมีข่าวว่าเขาเริ่มเรียนยูโด อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาก็มีข่าวลือว่าแสงเหนือเรียนคาราเต้ เมื่อมีข่าวว่าเขาเริ่มเรียนเทควันโด อีกสองอาทิตย์ต่อมาก็มีข่าวลือว่าแสงเหนือเรียนมวยไทย เมื่อมีข่าวลือว่าเขาเริ่มเรียนยิงธนู ก็มีข่าวลือว่าแสงเหนือเรียนยิงปืนตามมาติดๆ

หากจะเป็นเพราะต่างคนต่างยังซุ่มซ้อมเรียนวิชากระมัง บรรดาเด็กร่วมชั้นทั้งหลายที่รอดูศึกก็อตซิลล่าปะทะกาเมร่าจึงต้องผิดหวังไปตามๆ กัน พวกเขาไม่เคยได้มีโอกาสงัดแม่ไม้ทั้งหลายมาประลองกันสักครั้งจนเมื่อถึงคราวที่เขาต้องย้ายบ้านหลังพ่อแม่หย่าขาดกัน ท่ามกลางความเศร้าเสียใจที่จะต้องกลายเป็นเด็กบ้านแตก ลึกๆ ในใจเขากลับยินดีที่แม่ต้องย้ายออกและหอบกระเตงลูกชายอย่างเขาไปอยู่บ้านหลังใหม่ซึ่งแม้จะเล็กกว่าบ้านหลังเดิมมากแต่ก็ห่างไกลศัตรูอย่างแสงเหนือเยอะ เสียดายอยู่นิดตรงที่เขาไม่ถึงกับต้องย้ายโรงเรียน ดังนั้นพวกเขาจึงยังต้องพบหน้ากันที่โรงเรียนอยู่ดี แต่แสงเหนือก็ดูจะห่างๆ ไป ดูท่าหมอนั่นคงเบื่อกับการหาเรื่องเขาแล้ว

พวกเขายังมองเขม่นกันอยู่หลายปีต่อมา กระทั่งเขาย้ายไปเรียนม.ปลายที่โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งแทนเนื่องจากแม่เขาเริ่มรับภาระจ่ายค่าเทอมไม่ไหว ตั้งแต่พ่อต้องเริ่มส่งลูกน้อยที่มีกับภรรยาคนใหม่เข้าโรงเรียนและมักจะอ้างว่าลืมส่งค่าเทอมให้เขาอยู่บ่อยๆ จนแม่คร้านจะทวง จึงตัดสินใจให้เขาเข้าเรียนโรงเรียนรัฐบาลซึ่งค่าเทอมถูกกว่าโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่เขาเรียนมาตลอดตั้งไม่รู้กี่เท่า ทีแรกแม่ยังกังวลกลัวเขาจะคิดมากที่ต้องย้ายโรงเรียน แต่จินดนัยเห็นแม่ทำงานหนักเพียงคนเดียวมานานจึงพยายามปลอบว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายเรียนที่ไหนก็ได้ ไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว

ชีวิตเขาสุขสงบเฮฮากับเพื่อนฝูงอยู่ได้สามปีเต็มๆ ก่อนที่นรกจะหวนกลับมา

ชาติก่อนเขาต้องทำบาปกรรมไว้หนักมากแน่ๆ ถึงต้องมาชดใช้ในชาตินี้ เช้าวันหนึ่งหลังจากที่มหาวิทยาลัยเพิ่งเปิดเทอมไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ดี ระหว่างที่เขากับเพื่อนใหม่เดินข้ามถนนหน้ามหาวิทยาลัยนั้นเอง จู่ๆ รถคันหนึ่งที่หยุดให้พวกเขาข้ามก็บีบแตรเสียงดังลั่น ความคิดแว้บแรกของเขาคือไอ้เจ้าของรถสปอร์ตสัญชาติเยอรมันนี่มันต้องทำตัวเรียกร้องความสนใจแน่ๆ จึงหันไปจ้องเตรียมชูนิ้ว หากเมื่อมองรอยยิ้มเอื่อยยามเจ้าตัวยกมือโบกให้เขาคล้ายอาการทักทาย หลังจากยืนอึ้งเป็นหุ่นไล่กากลางถนนอยู่หลายวินาที จินดนัยค่อยเดินตรงดิ่งเข้าไปเตะกันชนรถสุดหรูโครมท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้ร่วมเหตุการณ์แล้วแจกนิ้วระยะโคลสอัพให้ไอ้คนนั่งยิ้มกริ่มด้วยท่าทางไม่เดือดร้อนหลังพวงมาลัย

ยังดีที่คณะพวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้กันเท่าใด หากจินดนัยมักจะได้ข่าวเรื่องแสงเหนืออยู่เป็นระยะตามประสาแบ๊ดบอยสุดหล่อคนดัง ให้ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมผู้หญิงถึงชอบคนเลวๆ กันนัก ทีถามชื่อพวกตัวแทนมหาวิทยาลัยไปแข่งตอบคำถามระดับประเทศ ถามร้อยคน ตอบชื่อเขาได้สักคนก็เก่งแล้ว ในขณะที่แค่ถามถึงเพลย์บอยอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัย ผู้หญิงร้อยทั้งร้อย ตอบชื่อแสงเหนือเป็นเสียงเดียว

ระหว่างเขากับแสงเหนือคือคำว่าแข่งขัน เขาอาจจะสู้แสงเหนือไม่ได้ในเกือบทุกทาง ยกเว้นเรื่องเรียนที่เขาภาคภูมิใจนักหนา เพราะการเป็นนักเรียนทุนนอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระของแม่แล้ว มันยังเป็นคำประกาศชัยชนะอีกด้วย จินดนัยถือตัวมาตลอดว่าตนชนะมาตลอดจนต้องมาแพ้ขาดในการปะทะกันครั้งล่าสุด ...แพ้หมดรูปจนไม่มีร่างจะอยู่ แต่มันจะไม่เป็นแบบนี้ได้นานหรอกนะ ภายในไม่กี่ชั่วโมงนี่ล่ะ เขาจะได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดไว้ในกำมือ

แม้จะพอคุ้นๆ กับตรอกซอกซอยแถวนี้อยู่บ้างหากลางเลือนเต็มทน เขาจึงเสียเวลาหลงทางนานโขกว่าจะมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีเงาไม้ร่มรื่นปกคลุมเกือบทั่วบริเวณ หลังจากพยายามสอดส่ายสายตาหาสิ่งมีชีวิตอยู่พักใหญ่ เขาจึงลงนั่งแปะตรงหน้าประตูเหล็กดัด ความเหนื่อยและความเครียดที่สะสมมานานส่งผลให้เขาเริ่มง่วงตาปรือ มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนได้ยินเสียงห้าวตะโกนไล่ “เฮ้ย เด็กที่ไหนมานั่งขวางทางเข้าบ้านเนี่ย หลบไป”

เพราะมัวแต่นั่งสัปหงก จินดนัยจึงไม่ทันสังเกตว่ามีรถยนต์คันโตมาจ่อประชิดอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อใด ส่วนคนที่ไล่เขาก็เป็นคนขับรถที่ชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง ด้วยความตกใจทำให้เขารีบลุกหลบให้พ้นทางรวดเร็ว

ช่วงที่รถยนต์แล่นผ่าน เขาก็มองเข้าไปข้างในตัวรถและเห็นผู้โดยสารสองคนบนเบาะหลัง คนหนึ่งเป็นสตรีวัยกลางคนแต่งหน้าทำผมไว้งดงาม ส่วนอีกคน...ผู้ชายตัวโตนั่งนิ่งคล้ายมองตรงไปข้างหน้า แต่ถ้าสิ่งที่เขาได้ยินมาเป็นความจริงล่ะก็ ดวงตาคู่นั้นน่าจะมองไม่เห็นสิ่งใดแล้ว แน่ล่ะ...ถ้าเห็น หมอนั่นต้องพอจำเขาได้บ้างล่ะ ก็เป็นคนที่ตัวเองฆ่าตายกับมือเองนี่นา

ชะเง้อมองผ่านซี่ลูกกรงแล้วค่อยเห็นว่าหลังจากรถจอดสนิท คนขับรถก็รีบวิ่งลงไปรับชายหนุ่มแทนที่จะเป็นนายจ้างสูงอายุ อากัปกิริยาประคับประคองร่างสูงลงจากรถ เห็นแล้วเขาก็ต้องยิ้มเย้ยด้วยความสงสัยว่าแสงเหนือคงจะเป็นง่อยเสียมากกว่าตาบอด แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ต้องจูงขึ้นบันไดกับไม้เท้าในมือชายหนุ่มแล้ว เขาก็ไม่เหลือข้อสงสัยใดอีกต่อไป

สตรีแต่งกายปราณีตหรูหราซึ่งคงจะเป็นมารดาของแสงเหนือเหลือบมองมาทางเขาอีกครั้งพร้อมขมวดคิ้วแล้วจึงเดินหายลับเข้าบ้านไป จินดนัยจึงกลับมานั่งริมถนนและควักเงินที่เหลือติดตัวออกมานับ ให้ประหยัดอย่างไร ด้วยจำนวนเงินที่มีเหลือ เขาก็คงอยู่ได้ไม่เกินวันพรุ่งนี้แน่ ยังไม่ต้องนับเรื่องที่ซุกหัวนอนในคืนนี้อีกต่างหาก หรือจะต้องเร่งจัดการให้จบไปภายในคืนนี้เสียก็ไม่รู้ หาทางย่องเข้าไปในคฤหาสน์ตั้งแต่คืนนี้แล้วจัดการเชือดแสงเหนือซะ การฆ่าคนตาบอดที่กำลังนอนหลับฟังดูเลวร้าย แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นไม่ใช่เหรอ ที่สำคัญคือสวรรค์เบื้องบนส่งเขากลับมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะอีกด้วย

ทว่าลองคิดดูอีกที หากเขาต้องฆ่าคน ต้องกลายเป็นฆาตกร ร่างใหม่ที่จะได้รับจะมีประโยชน์อะไรถ้าต้องใช้เวลาที่เหลือในคุก เขาน่าจะจัดฉากให้แสงเหนือตายด้วยอุบัติเหตุหรือฆ่าตัวตาย เพื่อที่อนาคตใหม่ของเขาจะได้ไม่มีปัญหา แต่จะทำได้ยังไงนี่สิ

“ไอ้หนู ทำไมยังนั่งอยู่นี่อีก บ้านช่องไม่มีให้กลับหรือไง” คนขับรถคนเดิมถามเขาจากหลังซี่ลูกกรงรั้ว จินดนัยรีบลุกขึ้นยืนและเผลอตอบตามตรง “ไม่มีครับ”

“นี่ข้าถามเล่นๆ นะ ไม่คิดว่าจะไม่มีบ้านให้กลับจริงๆ” ฟังแล้วชายอายุประมาณสี่สิบปีเริ่มเกาหัวแกรก “หน้าตาท่าทางก็ไม่ได้ดูเหมือนเด็กเหลือขอจรจัดนี่หว่า หรือว่าหนีออกจากบ้าน”

“ผม...หนีพ่อเลี้ยง มัน...มันพยายามจะปล้ำผม” อ้างอิงถึงคนไม่มีตัวตนคงไม่บาปหรอกนะ “ผมนั่งรถหนีมาเรื่อยๆ แต่ตังค์ใกล้หมดเลยไม่รู้จะไปไหนดี ลุง...ลุงครับ บ้านนี้เขารับคนรับใช้บ้างไหมครับ ผมทำได้ทุกอย่างเลยนะ ทั้งซักผ้า รีดผ้า หุงข้าว ทำอาหาร ล้างจาน ล้างห้องน้ำ กวาดบ้าน ถูบ้าน...” ต้องยกความดีให้ตัวเองที่สมัยก่อนเขากวาดงานบ้านจากแม่มาทำเรียบ “ผมกินนิดเดียว ขอแค่ข้าววันละสาม...อะ สองมื้อก็ได้กับที่ซุกหัวนอนให้ผมบ้าง นะครับ คุณลุง ช่วยผมด้วยครับ”

“พูดอะไรของเอ็งวะ ตัวแค่นี้จะทำได้ยังไง แล้วที่บ้านเอ็งอีกล่ะ ขืนแม่เอ็งเขามาเจอลูกชายมาทำงานงกๆ อยู่ที่นี่แล้วไปฟ้องตำรวจว่าเอ็งโดนลักพาตัวมา พวกคุณนายกับพวกข้ามิซวยกันหมดรึ” รีบโบกมือไล่ ตั้งท่าจะหันกลับแต่คนกลัวความผิดก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้โฮ

“ขืนผมกลับไป ถ้าไม่โดนพ่อเลี้ยงมันปล้ำก็ต้องโดนแม่ไล่ออกจากบ้านอยู่ดี แม่เขาทั้งเกลียดทั้งรำคาญผม...” ฮือออ แม่คร้าบ ผมขอโทษ อย่าโกรธผมนะ “เขาอยากให้ผมตายๆ ไปซะ นี่ถ้าขืนไปบอกว่าผัวใหม่เขาตั้งท่าจะเอาผมเป็นเมียอีก แม่ต้องตีผมหัวแตกแล้วเฉดหัวไล่แน่”

“แม่ประสาอะไรวะ! เห็นผัวดีกว่าลูกตัวเองแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” นั่นสิ แม่เขาไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอนที่สุด “บ้านเอ็งอยู่ไหนวะ นำทางลุงไป เดี๋ยวลุงจะไปจัดการไอ้พ่อเลี้ยงชั่วๆ นั่นให้เอง หนอยแน่ อย่างนี้มันต้องลากคอเข้าคุกเสียให้เข็ด”

จินดนัยอ้าปากเหวอทำอะไรไม่ถูกจนลุงคนขับรถเปิดประตูเล็กออกมาหาก็แล้ว เขายังยืนหน้าตาตื่นอยู่เลย “เอ้อ ลุงครับ อย่าเลยครับ พ่อเลี้ยงผมมันไม่ครณากับการติดคุกหรอกครับ เพราะว่ามัน...อ้า เข้าๆ ออกๆ ประจำอยู่แล้วน่ะครับ นี่ล่าสุดก็เพิ่งพ้นข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาไปหมาดๆ เพราะ...ตำรวจหาศพของเหยื่อได้แค่ไม่กี่ชิ้น พยานหลักฐานไม่พอเลยต้องปล่อยมันลอยนวลนี่ล่ะครับ”

“อ้าว แล้วเอ็งไม่รีบบอก อืม ถ้าเป็นงั้นคงต้องปล่อยมันไปล่ะนะ” คนพูดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าเขาแล้วถอนหายใจ “ตัวเอ็งก็เท่านี้แล้วจะทำงานหนักไหวรื้อ อันที่จริงเมื่อสองวันก่อน คุณเหนือเพิ่งไล่ตะเพิดคนดูแลออกไปก็เถอะ แต่ข้ากลัวว่าเอ็งจะทำไม่ไหวน่ะสิ...”

“ไหวครับ ผมไหว” จินดนัยดีใจจนตัวสั่น รีบเผยอหน้าออกรับทันควัน “ผมใจเย็นมากนะครับ อดทนเป็นที่หนึ่ง งานหนักงานเบาผมไม่เกี่ยง เงินเดือนให้แค่ไหนผมก็เอาแค่นั้น ช่วยรับผมไว้ด้วยเถอะครับ ได้โปรด”

“เฮ้อ ถึงข้าจะสงสารอยากช่วยเอ็งแค่ไหน แต่คนตัดสินใจคือคุณนายต่างหาก เอาเถอะ เดี๋ยวข้าจะลองไปเรียนท่านให้แล้วกัน เอ็งรออยู่ตรงนี้ก่อนล่ะ อย่าเพิ่งไปไหนนะ รู้ไหม” คุณลุงผู้ใจดีสั่งแล้วเดินเกาหัวกลับไปตามทาง ทิ้งให้จินดนัยยืนเกาะลูกกรงยิ้มร่า ระหว่างที่รอนั้นเองก็มีลูกสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์วิ่งเหยาะๆ มาเมียงมองเขาด้วยความสนใจ

จมูกดำมันเล็กๆ ยื่นมาดมมือเขาและงับนิ้วเล่น ยอมให้ฟันซี่เล็กๆ ขบอยู่สองสามครั้ง จินดนัยก็ชักมือกลับพร้อมดุเสียงหนักๆ เป็นเหตุให้เจ้าลูกหมารีบปล่อยแล้วลงนั่งแปะกระดิกหางให้แทน เขาเล่นกับมันเพลินจนคุณลุงเดินกลับมาเห็นเขาสอนไอ้จิ๋วให้ยกมืออยู่พอดี

“ปกติไอ้ริชชี่มันซนเป็นลิงแท้ๆ เอ็งทำยังไงให้มันนั่งนิ่งๆ ได้วะเนี่ย” เผลอพูดนอกเรื่องแล้วเจ้าตัวก็ทำหน้าลำบากใจใส่เขา เล่นเอาหัวใจจินดนัยวูบหายก่อนจะฟังคำตอบเสียด้วยซ้ำ “เอ้อ คุณนายท่านไม่อยากรับคนแปลกหน้าไว้น่ะ เอ็งต้องเข้าใจนะว่าเดี๋ยวนี้คนเรามันดูแต่หน้าได้เสียที่ไหน ถึงหน้าเอ็งจะซื่อๆ บื้อๆ แค่ไหนก็เถอะ แล้วอีกอย่าง คุณนายคงเห็นว่าเอ็งยังเด็กมากอยู่ด้วย จะให้มาอดทนรับใช้คุณเหนือก็คงไปได้ไม่กี่น้ำ” กล่าวพลางล้วงธนบัตรสีแดงสองใบส่งให้เขา “เก็บนี่ไว้นะ ลุงเองก็ช่วยได้แค่นี้ล่ะ”

“ผมอยากได้งานมากกว่า” หน้าเขาสลดลงอย่างไม่ต้องเสแสร้ง “เงินลุงผมไม่รับหรอกครับ ผมจะรอจนกว่าคุณนายจะยอมรับผมทำงาน ขอบคุณคุณลุงมากครับ”

พูดดี พูดเท่ เหมือนพระเอกเลยแท้ๆ ถึงหุ่นจะไม่ให้แต่คำพูดนี่ได้เลยนะ ดันลงท้ายต้องลงมานั่งตบยุงนั่งเกาจนคันคะเยอไปหมดทั้งตัวแทน ไหนจะไอ้กระเพาะจอมเรียกร้องอีกล่ะ รู้แล้วว่าหิว แต่มีเงินเหลืออยู่ไม่กี่สิบต้องประหยัดหน่อยโว้ย ไว้ค่อยกินพรุ่งนี้ วันนี้นั่งจับยุงกินไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน แม่ม ยุงเยอะชิบหาย เพราะต้นไม้เยอะแหงๆ งึ้ยยย คัน... ไปกัดไอ้แสงเหนือมันโน่นไป๊

โชคยังดีที่ในซอยนี้ไม่มีผู้คนพลุกพล่านนอกจากมีรถแล่นเข้าออกจึงไม่มีตำรวจโผล่มาลากคอเขาไปเสียก่อน แถอเมื่อตอนหัวค่ำ คุณลุงยังเดินมาชะโงกหน้าดู ดังนั้นคุณนายน่าจะมาแอบดูเขาอยู่บ้างเหมือนนางเอกมิวสิคแอบมองพระเอกตากฝนยืนรอหน้าบ้านล่ะน่า ท้ายสุด ด้วยความอ่อนเพลียจากเหตุการณ์มากมายเกินนับได้ภายในระยะสั้นๆ ทำให้เขาผล็อยหลับลงตรงใต้เสาไฟฟ้าหน้าคฤหาสน์หลังมหึมานั่นเอง

++++++++++++++++++++++++++++++++++

TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2008 15:01:32 โดย yayoy »

yayoy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #2 เมื่อ09-06-2008 14:58:40 »

~ ด้วยรักจากสวรรค์ 3 - ขั้นแรก ~

“ฮัดเช้ย!” จินดนัยจามรับอรุณและยังช่วยปลุกตัวเองอีกด้วย การขยับตัวกะทันหันของเขาทำให้หมาจรจัดที่นอนขดอยู่ข้างกายกระโดดวิ่งหนีหายไป ...มิน่า ว่าตอนเช้ามืดไม่ค่อยหนาวเท่าตอนดึกๆ สงสัยเจ้าตูบตัวนั้นคงเพิ่งมานอนแบ่งปันไออุ่นกับเขานี่เอง “พร้อยเลยแฮะ แล้วนี่หน้าตูจะเหลืออะไรนี่ ยิ่งหล่อๆ อยู่ด้วย เวรเอ๊ย”

บ่นพลาง เกาตุ่มแดงจากการถูกยุงกัดตามมือตามแขนไปพลาง อ้าปากหาวหวอดแล้วท้องก็ร้องดังโครกครากครวญครางโหยหวน “เออๆ รู้แล้ว ขอเวลาเดี๋ยวสิฟะ”

ชะเง้อดูจนแน่ใจว่าคงไม่มีคนในคฤหาสน์ออกมาดูใจเขาตอนนี้ จึงลุกโผเผออกไปหาซื้อข้าวมาประทังชีวิต เลือกได้ร้านข้าวราดแกงที่เปิดขายอยู่ไม่ไกลจากหน้าปากซอยและเอ่ยปากอ้อนแม่ค้าว่าขอข้าวเยอะๆ กับน้อยหน่อยไม่เป็นไร ถึงจะหิวแสบท้องแค่ไหนก็ต้องอดใจกินเพียงแค่ครึ่งเดียวแล้วลุกกระมิดกระเมี้ยนไปขอถุงใส่ที่เหลือ แม่ค้ามองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วตักข้าวใส่กล่องให้ใหม่จนเต็มพร้อมด้วยกับข้าวโปะหน้าอีกสองสามอย่าง “เอ้า เก็บนี่ไว้กินซะ แล้วหนูก็กลับไปกินที่เหลือนั่นให้อิ่มเถอะ”

“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ” เหมือนเพิ่งได้ยินเสียงนกหวีดออกสตาร์ท จินดนัยวิ่งกลับไปฟาดอาหารที่เหลืออยู่ในจานจนเกลี้ยงฉาดชนิดไม่เหลือข้าวติดจานแม้แต่เม็ดเดียว กินน้ำเปล่าหมดแก้วแล้วเขาจึงไหว้แม่ค้าใจบุญอีกรอบก่อนจะรีบวิ่งกลับไปทำคะแนนสงสารตรงจุดเดิม แต่รอจนตะวันโด่ง หมุนตามเงาผอมๆ ของเสาไฟฟ้าหลบแดดจนเงาสั้นจู๋แทบไม่เหลือพอให้หลบ ภายในรั้วก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว จะมีก็แต่สาวใช้รุ่นๆ คนหนึ่งเดินคล้องตะกร้าจ่ายตลาดเดินกางร่มโดยพยายามเลี่ยงเขาให้ไกลที่สุดออกไปเท่านั้น

ไม่มีสิ่งใดคืบหน้าขนาดนี้ จินดนัยยังเพียรหาเหตุผลเข้าข้างตนได้ว่าถ้าคนในบ้านรำคาญเขาจริงก็น่าจะเรียกตำรวจมาลากคอเขาไปนานแล้ว คงไม่รอให้เขานั่งตากแดดเป็นคางคกตากแห้งแบบนี้หรอก กลืนน้ำลายเหนียวหนึบลงคอจนไม่เหลืออะไรให้กลืน เขาจำต้องเจียดเงินก้อนสุดท้ายซื้อน้ำดื่มมาเพราะกลัวว่าจะแห้งตายก่อนได้แก้แค้น เมื่อนับเศษเหรียญไม่กี่เหรียญในมือแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อวานน่าจะรับเงินจากลุงมาเสียก็ดี

จนตกเย็นนั่นล่ะ ลุงคนเดิมจึงได้โผล่หน้ามาให้เห็นพร้อมสายจูงเจ้าลูกหมาจอมซนที่โผเข้าเลียหน้าเลียตาเขาเป็นการใหญ่ “เฮ้ย พอแล้ว คนยิ่งสกปรกๆ อยู่จะมาเลียให้มันยิ่งเหม็นทำม้ายยย” ปากว่าแต่เขาก็กอดเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน ...ทั้งนิ่ม ทั้งอุ่น ทั้งอวบอั๋น ท่าจะอร่อย

“ทำไมต้องทำขนาดนี้วะไอ้หนู บ้านนี้ไม่รับ ทำไมไม่ไปบ้านอื่น คงพอมีสักที่หรอกน่าที่เขายอมรับเอ็งไว้ทำงาน อย่ามานั่งทรมานตัวเองแบบนี้เลย ลุงกลัวว่าเอ็งจะตายเสียก่อนจะได้งานทำน่ะสิ” กล่าวจบ ลุงก็ออกแรงลากหมาน้อยที่ทำท่าไม่เต็มใจจากไป เขาไม่ได้กะเวลาเพื่อแสดงความน่าสงสารหรอกนะ แต่ลุงกับเจ้าตูบก็กลับมาพอดีทันเห็นเขากินข้าวครึ่งกล่องและเก็บที่เหลืออีกครึ่งไว้ ครั้งนี้แกไม่ได้พูดอะไรนอกจากส่ายหน้า

พอเริ่มสิ้นแสงพระอาทิตย์ ยุงฝูงเดิมก็เริ่มออกหากินแถมพาสมัครพรรคพวกเยอะกว่าเมื่อวาน พากันบินรี่เข้าหาอาหารมื้อใหญ่ที่กำลังตบปัดให้ยุ่งวุ่นวายกับสีหน้าบิดเบ้เหยเก ...ฮือ คันโว้ย จะกัดอะไรกันนักกันหนาวะ เมื่อวานยังไม่อิ่มอีกหรือไง ฮือ ไอ้แสงเหนือ เพราะมันแท้ๆ เขาถึงต้องมานั่งทำตัวเป็นเด็กอนาถาริมถนนแบบนี้ คอยดูนะ เขาจะจ้องดูวินาทีที่มันตายโดยไม่ยอมพลาดสักช็อต จะหัวเราะใส่หน้าตอนมันสูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย จะกระซิบบอกมันว่าที่จริงเขาเป็นใครและมันต้องตายเพราะอะไร ถึงจะไม่แน่ใจเรื่องเงื่อนไขก็เถอะ ถ้าไม่ได้บอกความจริงให้มันแค้นจนกระอักเลือดตอนใกล้ตาย เขาคงเสียดายแย่

“ไอ้หนู! ไอ้หนู!” ราวกับสวรรค์จะตอบรับความปรารถนา ลุงวิ่งยิ้มบานเต็มหน้ามาหา คว้าแขนไว้ก่อนเขาจะทันคว้าถุงข้าวทัน อารามที่ทนุถนอมมาเกือบทั้งวันทำให้เขาห่วงมันจับใจ “เดี๋ยว ขอผมหยิบกล่องข้าวก่อน”

ลุงรีบก้มลงคว้าไปถือไว้เองพร้อมอธิบายให้ฟังขณะลากเขาเดินเข้าไปข้างใน “คุณนายท่านจะลองให้เอ็งทำงานดูสักพัก นี่ท่านให้ลุงพาเอ็งมาอาบน้ำกินข้าวก่อนแล้วค่อยไปพบคุณนายกับคุณเหนือ หึ ไม่เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์วิ่งรอกรายงานตลอดวัน ในที่สุดคุณนายท่านก็ใจอ่อนจนได้”

ห้องที่เขาถูกพาตัวมาคงเป็นห้องของลุงเอง ดูท่าจากการหยิบฉวยผ้าผ่อนส่งให้เขาคล่องแคล่วและรุนหลังเข้าห้องอาบน้ำที่แม้จะเล็กแคบแต่สะอาดสะอ้าน จินดนัยรีบอาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาดเอี่ยม สวมชุดใหม่ที่ได้รับเอื้อเฟื้อมา แค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเก่าๆ แต่ส่งผลให้เขารู้สึกเหมือนเพิ่งตายแล้วเกิดใหม่อีกรอบ

แม้ว่าเขาจะกินข้าวเย็นไปแล้ว แต่เมื่อมาเห็นข้าวอุ่นๆ กับน้ำแกงร้อนๆ ก็ทำให้เขากินแบบลืมตัว ซัดจนเกลี้ยงฉาดแล้วนั่นล่ะ ถึงเพิ่งเห็นเจ้าริชชี่ควบปุเลงมาตะกายขาเขาเป็นการใหญ่เป็นเชิงขอของกิน ไม่สนใจเสียงดุไล่ของลุงสักนิด ไอ้เขาเองก็เผลอสั่งให้มันนั่งปุและขอมือแล้วถึงเพิ่งนึกออก “อ้าว มาช้ากินหมดไปแล้วนี่ อะ เหลือนี่นี่หว่า”

เปิดกล่องข้าวที่อุตส่าห์หอบหิ้วติดมาส่งให้ เจ้าลูกหมาไม่รักดีกลับแค่ดมๆ แล้วเบือนหน้าหนี เฮ้ย มันจะมากไปแล้วเฟ้ย “นี่เป็นข้าวที่ฉันอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบไว้เชียวนะ ดันมาเมินใส่ เดี๋ยวปั๊ด...จะโดน”
“ตีไม่ได้นะเว้ย ริชชี่มันหมาของคุณเหนือ คือ...มันก็ยังเป็นหมาของคุณเหนือน่ะนะ ต่อให้คนซื้อมาจะเป็นคุณนาย คนเลี้ยงจะเป็นพวกคนใช้ คุณเหนือเคยลูบหัวมันเล่นไม่กี่ที แต่มันก็ยังเป็นหมาของคุณเขา ห้ามตีโว้ย” ฟังแล้วให้สงสารเจ้าริชชี่ เข้าทำนองพ่อแม่รังแกฉันชัดๆ เกิดเป็นหมายังโดนเลี้ยงแบบสปอยล์จนได้ “อิ่มแล้วก็รีบไปเฝ้าคุณๆ ดีกว่า”

ระหว่างนั้น คุณลุงใจดีแนะนำตัวเองว่าชื่อโต เป็นทั้งคนขับรถและคอยรับใช้เจ้านายตาบอดยามต้องออกไปข้างนอก คุณนายซึ่งเป็นแม่ของแสงเหนือชื่อคุณรตี ส่วนคุณผู้ชายพ่อของแสงเหนือ คุณเตโชนั้นทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ นานๆ ทีจึงจะได้กลับมาเยี่ยมครอบครัว

ภายในคฤหาสน์มีการตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม แม้จะไม่หรูหราหากก็ไม่จืดเรียบ ห้องที่ลุงพาเขามาถูกตกแต่งไว้คล้ายกับเป็นห้องนั่งเล่นด้วยโซฟาชุดใหญ่น่านั่ง มีทั้งโทรทัศน์จอยักษ์และเครื่องเสียงที่ในเวลานี้กำลังเล่นเพลงคลออยู่เบาๆ จากห้องนี้สามารถมองออกไปเห็นสวนภายนอกที่ได้รับการดูแลอย่างดี มีการเปิดไฟดวงเล็กๆ ไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อไม่ให้มืดจนเกินไปอีกด้วย หัวใจจินดนัยเต้นตูมตามเมื่อลุงพาเขาเข้าไปใกล้โซฟาที่เจ้าของบ้านกำลังนั่งอยู่พร้อมกับลูกชาย

แม้จะไม่อยากลงคลานสักนิด แต่เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ เขาจึงยอมคลานเข่าออกไปนั่งข้างๆ โซฟาแล้วยกมือไหว้สตรีคนที่เห็นเมื่อวาน “มาแล้วหรือ อืม อาบน้ำอาบท่าแล้วค่อยดูได้หน่อย เมื่อวานนี้มอมอย่างกับอะไร”

ไม่รู้จะตอบเช่นไรดี เขาจึงได้แต่ยิ้มตอบ ยิ้มตาใสแบบเดียวกับที่เพื่อนชอบชมว่าเขาแจกยิ้มหวานระดับเหรียญทองเวลาอยากได้อะไร พูดง่ายๆ ก็คือยิ้มได้ตอแหลตลบแตลงมาก มาครานี้ แม่ของแสงเหนือก็อดยิ้มตอบไม่ได้เช่นกัน “หน้าตาน่าเอ็นดูเหมือนกันนี่เรา โดยเฉพาะตอนยิ้ม ยิ้มหวานอย่างกับสาวๆ เชียว มิน่าล่ะ เจ้าพ่อเลี้ยงถึงได้จะปล้ำเอา”

รอยยิ้มหุบลงทันควันและเป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งเห็นการเคลื่อนไหวจากเจ้าอีกคนในห้อง แสงเหนือหลุดเสียงหัวเราะหึทำเอาเขาตวัดตาค้อนขวับ ...ถึงจะเป็นแค่เรื่องแต่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องตลกนะโว้ย

“ตาเหนือ” คุณรตีคงคิดเช่นกันว่าไม่ใช่เรื่องน่าขันแต่ไม่ได้เอ่ยตำหนิลูกชายอันใด นอกจากพยายามชวนคุยต่อ “ว่าแต่เราน่ะชื่ออะไร อายุเท่าไหร่แล้ว”

“จิน...อ้า ผมชื่อเล่นชื่อจินครับ” เกือบหลุดปากบอกชื่อจริงไปแล้ว มีเวลานั่งตบยุงอยู่ตั้งสองวันเต็มๆ ดันไม่ยอมคิดชื่อปลอมไว้ มันน่าเตะตัวเองให้หายแค้น “ชื่อจริง...จิรายุส อายุ...สิบเจ็ด ใกล้จะสิบแปดแล้วครับ” มัวแต่ขอยืมชื่อเพื่อนมาใช้พร้อมบวกลบคูณหารยกกำลังอายุในใจให้วุ่น เขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนขึ้นแวบหนึ่งของชายหนุ่มอีกคนทันทีที่ได้ยินคำแรกซึ่งเขาเผลอหลุดปากออกไป

“สิบเจ็ดจริงหรือนี่ ทำไมถึงได้ตัวเล็กขนาดนี้ล่ะ” คุณรตีกล่าวคล้ายเปรย หากจินดนัยร้อนตัวรีบเอ่ยเร็ว “ถึงจะผอมไปนิดแต่ผมแข็งแรงนะครับ งานบ้านจะหนักจะเบา ผมก็ทำได้หมดไม่มีเกี่ยง คุณนายกรุณาให้โอกาสผมสักครั้งเถอะนะครับ ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง หรือถ้าท่านไม่พอใจหลังเห็นการทำงานของผมแล้วท่านค่อยไล่ผมออกตอนนั้นก็ได้นี่ครับ”

“พูดจามีเหตุผลนี่เรา เรียนหนังสือหนังหามาด้วยหรือ” มุสาวาทาเวระมนีสิกขาปะทังสะมาทิยามิ หากจะมีผลกรรมใดๆ อันเกิดแก่การนี้ขอให้ไปลงที่แสงเหนือแทนนะครับ สาธุ “ผมจบประถมจากโรงเรียนแถวบ้านครับ แต่หลังจากนั้นต้องออกมาช่วยงานแม่”

คำตอบของเขาคงพอสร้างความไว้ใจได้บ้างล่ะ คุณรตีจึงเริ่มกล่าวด้วยท่าทางเอาการเอางาน “ตกลงว่าฉันจะลองให้เธอทำงานดูก่อนก็แล้วกัน หน้าที่หลักๆ ก็คือการรับใช้ตาเหนือ คอยดูแลเรื่องทั่วๆ ไปอย่างจัดเตรียมเสื้อผ้าแล้วก็ตอนกินข้าว คอยติดตามเวลาไปไหนมาไหนอย่างเดินออกกำลังกายตอนเช้า นอกเหนือจากนี้อาจจะต้องคอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ส่วนใหญ่หน้าที่พวกนี้จะมีเด็กคนอื่นทำอยู่แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสล่ะนะ ไม่มีอะไรมาก”

ตลอดเวลาที่คุณรตีอธิบายงานและเรื่องเงินเดือนให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ คุณชายของบ้านไม่ได้ออกความคิดเห็นอันใดนอกจากนั่งฟังเงียบๆ ด้วยสีหน้าติดจะบึ้งตึง ซึ่งเมื่ออธิบายจบ เจ้าของบ้านก็หันไปกล่าวราตรีสวัสดิ์กับลูกชายเตรียมตัวขึ้นไปนอน ก่อนที่ลุงโตจะค่อยๆ เคลื่อนเข้ามากระซิบ “งั้นลุงไปก่อนล่ะนะ เอ็งก็อยู่รับใช้คุณเหนือท่านนี่ล่ะ รอจนส่งท่านขึ้นห้องนอนแล้วค่อยไปหาลุงที่ห้อง คืนนี้ลุงจะให้เอ็งนอนด้วยไปก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยปัดกวาดห้องว่างให้เอ็งนอนก็แล้วกัน”

“อ้าว ลุงอย่าเพิ่งทิ้งผมสิ” พอบทจะได้อยู่กับเหยื่อตามลำพัง เขากลับเริ่มงอแง “รอผมก่อนไม่ได้เหรอ ให้ผมอยู่คนเดียวได้ไง”

“แล้วไอ้ที่นั่งอยู่นี่มันไม่ใช่คนหรือไง หรือนายไม่นับคนตาบอดว่าเป็นคน” เสียงทุ้มเอ่ยพูดเป็นครั้งแรก ความหมายก็ทำเอาคนฟังกระอักเสียแล้ว “กลับไปก่อนเถอะ ลุงโต ถ้าเจ้าเด็กใหม่มันไม่ยอมอยู่กับผมตามลำพัง ก็ควรเตรียมตัวหางานใหม่ได้แล้ว”

เขาโดนลุงโตตบกบาลเบาๆ ทีหนึ่งก่อนที่แกจะรีบรุดจากไป ทิ้งให้จินดนัยลูบหัวตรงที่โดนตบป้อย จ้องแสงเหนืออย่างแค้นๆ และแทบสะดุ้งเมื่อฝ่ายนั้นกล่าวว่า “ไม่ต้องมาโทษฉัน เพราะมันเป็นเรื่องจริง”

แสงเหนือตาบอดแน่เหรอ หรือว่ามองเห็นแบบลางๆ สรุปว่าไงล่ะนี่ เริ่มขนลุกแล้วนะ “ใคร...ใครบอกว่าผมโทษคุณ”

หัวเราะหึอย่างที่เขาเกลียดแทนคำตอบแล้วแสงเหนือก็นั่งฟังเพลงต่อเงียบๆ ทิ้งให้เขาหาวหวอดๆ หมดอารมณ์เริ่มดำเนินการแผนฆาตกรรม เมื่อคืนก็นอนไปได้นิดเดียวเพราะหลับๆ ตื่นๆ อยู่ตลอด พอมาเจอเพลงเพราะๆ อากาศเย็นๆ เข้าหนังตาก็เริ่มถ่วงหนักจนจะลืมไม่ขึ้นอยู่มะรอมมะร่อ จินดนัยโงกหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้กว่าที่เจ้านายคนใหม่ศัตรูคนเก่าของเขาจะขยับลุก

“จะขึ้นห้องนอนแล้วหรือครับ มา ผมช่วย” เขาถลันลุกด้วยความดีใจที่จะได้ไปนอนผสมกับความห่วงใยผู้พิการทางสายตาอย่างอดไม่ได้ ดังนั้นเมื่อโดนตวาดกลับจึงเริ่มกลับไปสู่อารมณ์โกรธแค้นตามเดิม

“ไม่ต้อง ฉันเดินเองได้ นายแค่เดินตามหลังก็พอ”อะไร ทีลุงโตแทบจะอุ้มลงจากรถไม่เห็นว่า ทีเขาจะช่วยนิดช่วยหน่อยกลับไล่ตะเพิด ทำอย่างกับพวกแมวจรจัดกลัวคนแปลกหน้าจะมาทำร้ายงั้นล่ะ งั้นเชิญนายคลำทางคืบคลานไปตามสบายเลย เขาจะตามหลังห่างสักสิบเมตรแล้วกัน ดีเสียอีก เผื่อกลิ้งตกบันไดคอหักตายจะได้จบๆ เรื่อง

แม้จะใช้เวลานานกว่าแสงเหนือจะไปถึงบันได แต่ชายหนุ่มก็พอจะเดินเองได้จริงๆ มือใหญ่จับราวบันไดขณะเดินขึ้นสู่ชั้นบน เขาสังเกตว่าแสงเหนือจะพยายามยกเท้าให้สูงแล้วค่อยๆ หย่อนลงบนขั้นบันไดทีละขั้นทีละขั้น จินดนัยจึงต้องจับตาดูด้วยความระมัดระวังตามไปด้วย จนถึงชั้นบน เขาเดินตามแสงเหนือไปจนถึงห้องห้องหนึ่ง ภายในห้องค่อนข้างโล่ง มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น

“มัวแต่เหม่ออะไร หยิบชุดนอนเตรียมให้ฉันสิ ในตู้เสื้อผ้านั่นล่ะ” สั่งเสียงห้วนแล้วเจ้าตัวก็ใช้ไม้เท้าคลำทางไปยังห้องน้ำ เมื่อจินดนัยรื้อชุดนอนมาได้ชุดหนึ่งอย่างกระแทกกระทั้นจึงค่อยเดินลงส้นตามเข้าไป

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากอ่างล้างหน้า เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นดวงตาใต้คิ้วเข้มคู่นั้นชัดๆ มันยังดูเหมือนดวงตาของคนปกติเกือบทุกอย่าง หากลูกตาดำสนิทเหมือนลูกปัดกลับไม่ขยับไหวและนิ่งค้างเช่นนั้น มันดูเหมือน...ตาของปลาตายก็ว่าได้ “วางไว้ตรงชั้นแล้วกลับไปได้ ฉันขี้เกียจฟังเสียงนายหาวเต็มทน อ้อ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยขึ้นมาตอนฉันกดออดเรียกล่ะ”

ยามที่จินดนัยนอนกลิ้งอยู่บนพื้นข้างเตียงของลุงโตในคืนเดียวกันนั้น เขาก็คิดถึงเรื่องทั้งหมดอีกครั้ง และอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมสวรรค์ถึงได้ให้โอกาสเขา เฉพาะเขาหรือเปล่าที่ได้รับข้อเสนอแปลกประหลาดอันนี้ สวรรค์บอกให้เขาฆ่าคน เทวดาที่มองความตายของเขาเป็นแค่เรื่องตลก ร่างใหม่กับวิญญาณดวงเดิม ถ้าถึงเวลาที่เขาทำสำเร็จ แม่ของแสงเหนือจะเป็นยังไงบ้างนะ

รีบสลัดหัวทิ้งความคิดดังกล่าว คนที่เขาควรจะห่วงคือแม่ของเขาต่างหาก แม่คงต้องเศร้าเสียใจตอนเขาตายมากทีเดียว เพราะพวกเขามีกันสองคนแม่ลูกมาตลอด แม้ตัวเขาจะเพิ่งผ่านพ้นเวลาแห่งความตายของตนเองมาได้ไม่กี่วัน แต่เมื่อคิดถึงสภาพของผู้เป็นแม่แล้ว น้ำตาก็เริ่มไหลเมื่อต้องคิดว่าแม่ต้องผ่านช่วงเวลานานนับปีมาด้วยความรู้สึกเช่นไร

คอยผมอีกนิดนะครับ ผมสัญญาว่าจะต้องกลับไปหาแม่ให้ได้...

++++++++++

“ไอ้หนู ตื่นโว้ย! ตื่น!” จินดนัยอืออารับคำแต่ไม่ยอมลืมตา “ตายห่ะ ป่านนี้แล้วมันยังนอนตูดโด่งอยู่อีก คุณเหนือกดออดมือหักไปแล้วมั้ง อ้าว...ตื่นแล้วเหรอ รีบไปอาบน้ำแปรงฟัน จะได้รีบไปขึ้นตึกใหญ่เร็วเข้า”

ลืมตาโพลงตั้งแต่ได้ยินคำว่าตายแล้ว คนมันไวกับคำนี้มากเป็นพิเศษก็งี้ล่ะ เขาสามารถอาบน้ำแต่งตัวแล้ววิ่งหน้าเริ่ดมาถึงตึกใหญ่ได้ภายในเวลาห้านาทีและเป็นเวลาเดียวกับที่ได้ยินเสียงออดจากที่ไหนสักแห่งดัง

กระหืดกระหอบโผล่หน้าเข้าไปในห้องเดิม ยังไม่ทันได้หยุดพักหายใจ เสียงเรียบๆ ของคนที่ดูเหมือนจะตื่นนานแล้วก็ลอยมา “ฉันกดออดเรียกนายเป็นครั้งที่สิบพอดี กะว่าถ้าครั้งนี้ยังไม่มาคงต้องหมดช่วงทดลองงานเสียที”

ร่างสูงลุกจากเตียง ตรงเข้าห้องน้ำโดยไม่รอฟังคำตอบหรือคำแก้ตัว จินดนัยรีบจัดเสื้อผ้าและวิ่งตามไปวางให้ก่อนแทรกตัวออกมา ขาเดินเรื่อยๆ มือก็แตะโน่นดูนี่ บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่มีหนังสือวางอยู่สองสามเล่มกับกรอบรูป ...ดูจากเนคไท ภาพนี้คงถ่ายตอนแสงเหนือตอนเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ชายหนุ่มกอดเอวมารดา ใบหน้าขาวกดคางแนบกับหน้าผากคุณรตี รอยยิ้มเริงร่าแผ่ไปถึงดวงตาพราวระยับใต้คิ้วเข้ม ในดวงตาจินดนัยสะท้อนภาพชายหนุ่มผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความสุขสมหวัง แสงเหนือจะเคยนึกสงสัยบ้างไหมว่าต้องมีวันที่ตนสูญเสียสิ่งเหล่านั้น แน่ล่ะว่าคนอย่างหมอนั่นคงไม่เคยคิด ตามประสาลูกคนรวยไม่เคยทุกข์ร้อนเรื่องใดนี่ล่ะ พอถึงเวลาที่ต้องลำบากขึ้นมา ถึงได้ท้อแท้เบื่อหน่ายชีวิต พาลคิดว่าตัวเองมีความทุกข์มากที่สุดในโลก

ทีแรก จินดนัยคิดว่าน่าจะหาวิธีฆ่าแสงเหนือให้ดูเหมือนอุบัติเหตุหรือไม่ก็จะพยายามยุยงให้ฆ่าตัวตาย แต่ถ้าแสงเหนือคิดอยากตายอยู่แล้วล่ะ ไม่มั้ง แค่ตาบอดแต่ยังมีลมหายใจ เขานี่สิ ควรจะไม่มีลมหายใจแล้วแต่ยังไม่อยากตายเลย

รอจนเสียงอาบน้ำหยุดลง เสียงตะโกนอันเริ่มจะคุ้นหูก็ดังอีกครั้ง “ไอ้หนู!” เรียกใครไอ้หนู... เริ่มหงุดหงิดจนเกือบจะตะคอกย้อนไปแล้วหากไม่เห็นใบหน้าขาวที่เริ่มมีรอยเคราเขียวๆ ขึ้นบูดบึ้งแฝงแววรำคาญยิ่งกว่าเดิม “ชักช้าอะไร เตรียมโกนหนวดให้ฉันสิ!”

ไม่บอกตูจะรู้ไหม ส่ายหน้าระอาแต่ก็ยอมเข้าไปจัดการบีบครีมโกนหนวดถูรอบๆ คางแถวรอยเขียวๆ คว้ามีดโกนมาพิจารณาความคม นึกชั่งใจว่ามีดโกนแบบนี้ปาดไปก็คงไม่ตาย คาดว่าคงนิ่งเงียบไปนานเสียจนเจ้าคนอารมณ์ร้อนชักสีหน้า “โกนหนวดเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นก็ลาออกไปเลย ไร้ประโยชน์ เสียเวลาชะมัด”

จินดนัยไม่ได้ตอบเป็นคำพูดแต่ลงมือลากใบมีดไปตามคางจนเสร็จ คนพื้นเสียยังชักหน้าตึงไม่เลิกระหว่างทาอาฟเตอร์เชฟให้ เขาก็อดปากไม่ได้ “นอนตกหมอนเหรอครับ”

“อะไร” เสียงรวนชวนหาเรื่องย้อนทันควัน หน้าที่บูดอยู่แล้วยิ่งบูดหนักขึ้นอีก “ก็เห็นคุณทำหน้า...ขนาดนี้ ผมเลยคิดว่าคุณนอนตกหมอน คอเคล็ด หงุดหงิด งุ่นง่าน...”

ผ้าเช็ดตัวในมือฝ่ายนั้นถูกปาทิ้งลงกับพื้นก่อนเขาจะทันพูดจบ “แล้วเธอคิดว่าฉันควรตื่นมาด้วยรอยยิ้มสดชื่น...ให้ยิ้มรับแสงตะวันที่มองไม่เห็น! เรียกหาใครก็ไม่มีใครขานรับ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในบ้านยังมีคนอื่นอยู่นอกจากฉันหรือเปล่า ตื่นแล้วก็เหมือนไม่ตื่น มองหาใครก็ไม่เห็น ได้แต่นอนรอ...เน่าตายอยู่บนเตียง!”

เขารู้ตัวว่าตนก็พูดเกินไป แต่หมอนี่มันเกินยิ่งกว่าเขาไปอีกเยอะ ก้มลงหยิบผ้าเช็ดตัวให้แล้วค่อยเอ่ยเบา “ผมขอโทษ ผมไม่ควรลามปามคุณแสงเหนือแบบนี้ ...ขอโทษจริงๆ ครับ”

แสงเหนือไม่ได้พูดอะไร เขาเลยเลี่ยงมานั่งรอชายหนุ่มแต่งตัวด้านนอก ไม่นานนักฝ่ายนั้นก็ออกมา เขานั่งมองร่างสูงหมุนตัวรีรอคล้ายไม่แน่ใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจทำหน้าที่ลูกจ้างที่ดี “วันหลังผมจะมานั่งรอตั้งแต่เช้าเลยครับ ไม่ให้คุณแสงเหนือเสียเวลาคอยอีก”

นิ่งเงียบไม่ตอบคำ หูย แสนงอนจริงนะเธอ “...ยังอยู่อีกเหรอ”

“อ้าว ก็อยู่สิคุณ คุณเหนือยังไม่ได้สั่งให้ผมไปไม่ใช่เหรอ แค่ออกมารอนอกห้องน้ำเอง หรือว่าอยากให้ผมยืนเฝ้าตอนคุณแต่งตัวด้วย” สีหน้าคนโดนกระทบกระเทียบไม่ได้บูดบึ้งอีกต่อไป หากออกแนวกวนบาทาแทน

“พูดได้ปกติแล้วสิ” ฟังแล้วงง ...ก็พูดแบบนี้มาตั้งแต่เกิด แปลกตรงไหน “เห็นพูดจาขอโทษเสียเรียบร้อยเลยไม่แน่ใจ คิดว่าแม่ไปรับเด็กใหม่ที่ไหนนอกจากนายมาอีกหรือเปล่า ...น่าเสียดาย”
เสียดายที่เขายังอยู่ล่ะสิ ไม่ต้องห่วง เขาจะอยู่ที่นี่จนมันตายนั่นล่ะ

++++++++++++++++++++++++++++++++

TBC

ป๋อล๋อ....เรื่องนี้มีถึงตอนที่ 12 แล้ว จะทยอยโพสให้วันละ 3 ตอนนะคร๊าบบบบบ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกๆ คอมเมนท์  :pig4:



kwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #3 เมื่อ09-06-2008 15:03:50 »

ตามมาเป็นกำลังใจให้ค่ะ :L2: :L2:

เจ้าจินมันต๊องได้ใจจริงๆ อิอิ :m32: :m32:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #4 เมื่อ09-06-2008 15:05:48 »

ว๊ายมาไม่ทันน้องkazu ซะแล้วเรา
 :bye2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #5 เมื่อ09-06-2008 16:04:39 »

หุหุ เห็นชื่อคนแต่งก็รีบเข้ามาอย่างด่วน แต่ยังไม่มีเวลาอ่านเลย  o7 o7 o7
เดี๋ยวตามอ่านนะคร้าบบบ   :o12: :o12:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #6 เมื่อ09-06-2008 16:07:43 »

เรื่องใหม่ๆๆ

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
ดดดดดดดดดดดดดดดดดด


จินสู้ๆ :oni2:

re_rain

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #7 เมื่อ09-06-2008 16:19:41 »

อะจ๊าก จุ๊บๆ  :o8:ด้วยDDจากสวรรค์ มาสถิตบอร์ด
ติดตามมาเป็นเงาแบบอาชีพเสริม 
เมื่อก่อนทำเป็นอาชีพหลัก :laugh:

sarin

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #8 เมื่อ09-06-2008 16:52:03 »

 :mc4: เจิมเรื่องใหม่ด้วยคนจิ.... :mc4:
ไปแร่ะ :a4:

Taurus

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #9 เมื่อ09-06-2008 18:15:57 »

 :mc4: :mc4: :mc4:  ต้อนรับเรื่องใหม่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
« ตอบ #9 เมื่อ: 09-06-2008 18:15:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






YO DEA

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #10 เมื่อ09-06-2008 19:23:09 »

 :m32: :m32: :m32:


หึหึ

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #11 เมื่อ09-06-2008 21:16:58 »

เจ้าจินมันติงต๊องจริงๆ แต่ก็ต๊องน่ารักอะนะ

yayoy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #12 เมื่อ10-06-2008 13:26:35 »

ขอบคุณทุกเมนท์ด้านบนนะคร๊าบบบบบ  o13

~ ด้วยรักจากสวรรค์ 4 - ใครว่าผมใจอ่อน ~

ภารกิจหลักของเขาในแต่ละวันคือการเดินตามหลังบ้าง ตามข้างๆ บ้าง เยื้องหน้าโย้หลังวนเวียนอยู่รอบๆ เหมือนวิถีโคจรของดวงจันทร์ พยายามจดบันทึกกิจกรรมของแสงเหนือไว้เพื่อวางแผนลวงไปฆ่าเหมาะๆ แต่ดูจะค่อนข้างยาก ก็เล่นไม่ชอบกินอะไรเป็นพิเศษ ไม่ชอบเดินเล่น ไม่ชอบไปไหนมาไหน ส่วนเวลาจะออกไปข้างนอกแต่ละทีก็ต้องมีคนอื่นร่วมทางด้วย แผนจะหลอกให้มันตกคลองจมน้ำตายนี่ท่าจะลำบาก เพราะแม้เวลาที่คุณรตีต้องออกไปดูงานที่บริษัท เขาก็จะมีแม่สาวน้อยคนรับใช้คนอื่นคอยเดินวนเวียนเมียงมองตลอด ดูท่าคงจะได้รับคำสั่งจากคุณรตีให้คอยดูลูกชายให้ดีๆ ราวกับกลัวแสงเหนือจะกัดเชือกขาด สลัดปลอกคอแล้ววิ่งหนีเตลิดหายขึ้นเขาไปก็ไม่ปาน

ส่วนนิสัยส่วนตัวแสงเหนือก็อย่างที่เคยรู้ หงุดหงิด โมโหร้าย แต่ยังดีที่หายเร็ว จะว่าไปก็ไม่ควรเรียกว่าหายโกรธหรอกกับอาการคล้ายหอยหลบเข้าใต้เปลือกแบบนั้น วินาทีหนึ่งแสงเหนืออาจตวาดกราดเกรี้ยว แต่วินาทีต่อมากลับนิ่งเงียบเสียจนเขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันเหมือน...พายุทอร์นาโด วินาทีก่อนหน้ามันอาจพัดกระชากตั้งท่าจะถล่มโลกให้เป็นผุยผง แต่แค่ลืมตามาอีกที เจ้าพายุลูกร้ายกลับหายจ้อยไปในอากาศ เขาเลยสรุปได้ว่าแสงเหนือมีอยู่สองแค่ประเภท อย่างแรกคือร้ายกาจ ต้องรีบหลบให้พ้นทาง กับอีกอย่างคือปิดตัวเองและ...สิ้นหวัง

แสงเหนือไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของเขา โลกของชายหนุ่มดูจะหมุนเป็นวงแคบๆ อยู่แค่รอบตัวเองเท่านั้น แสงเหนือไม่สน ไม่แคร์ความรู้สึกของใครนอกจากตัวเอง ไม่เคยกล่าวขอบคุณหรือขอโทษใคร แม้แต่คุณรตีที่พยายามเสาะหาของกินดีๆ อร่อยๆ มาให้ เจ้าลูกชายบังเกิดเกล้ากลับกินแค่แกนๆ โดยเฉพาะยาหรือวิตามินบำรุงดีๆ ให้ไปเท่าไหร่ แสงเหนือปาทิ้งหมด

มันคิดว่ามันเป็นพระเจ้าหรือไง

“แต่ก่อนคุณเหนือไม่ได้เป็นคนแบบนี้หรอก” ลุงโตเอ่ยคล้ายรำพึงยามเขาเอ่ยข้อสงสัยดังกล่าวในคำวันหนึ่ง หลังเสร็จภารกิจตามติดท่านชาย เขาถือโอกาสมานอนเอกเขนกอาศัยดูโทรทัศน์ในห้องลุงโตแทนที่จะไปนอนเหงาอยู่คนเดียวในห้องส่วนตัว “ตั้งแต่เกิดเรื่องอุบัติเหตุนั่นล่ะ คุณเหนือก็เปลี่ยนไป ทำให้บ้านหลังนี้พลอยเปลี่ยนไปด้วย คุณนายพยายามหาทางรักษาคุณเหนือทุกทางแล้วก็...ยอมตามใจคุณเหนือมากเกินไป เอ็งก็คงรู้ใช่ไหมว่าการตามใจคนไข้มากเกินไปน่ะ มันจะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง พาลให้คนไข้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองป่วยหนัก พาลว่าโรงพยาบาลไหนๆ ก็ไม่ดีพอ หมอก็ไม่ได้เรื่องสักคน คุณนายกับคุณท่านเริ่มมีปากมีเสียงเรื่องวิธีการรักษาคุณเหนือนี่ล่ะ”

“พวกเขาแค่อยากรักษาให้ลูกชายหายเหมือนกันนี่นา ทำไมต้องทะเลาะกันด้วยล่ะลุง” เขาลงนอนกลิ้งเกลือก ตาดูละครในจอโทรทัศน์ หูก็ฟังข้อมูล

“คุณท่านอยากเอาตัวคุณเหนือไปรักษาที่เมืองนอก ท่านคงอยากให้คุณเหนือไปไกลๆ จากที่นี่ด้วยมั้ง จิตใจจะได้ผ่อนคลายลงบ้าง เอ็งรู้หรือเปล่าว่าคนที่โดนคุณเหนือขับรถชนตายนั่นน่ะ เป็นเพื่อนสมัยเด็กของท่านเอง ถึงจะไม่ค่อยถูกกันไปบ้างแต่ก็เป็นเพื่อนกันอยู่ดี” ใครนับใครเป็นเพื่อนอย่างที่ลุงว่า ตั้งแต่เจอหน้าแสงเหนือครั้งแรกสมัยอนุบาล เขาก็จัดการแยกประเภทมันลงถังขยะมีพิษแยกเผาแล้ว

“มันเป็นอุบัติเหตุ ข้ารู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ดูเหมือนคนอื่นจะยังสงสัยกันไม่หาย ทั้งคนที่มหาวิทยาลัย ทั้งตำรวจที่สอบสวน โดยเฉพาะคนของฝ่ายโน้นยังฝังใจว่าคุณเหนือตั้งใจฆ่าลูกของเขา เอ็งเอ๊ย... สายตาของคนพวกนั้นทำให้บางทีข้าก็อดดีใจไม่ได้ที่คุณเหนือมองไม่เห็น ข้ายังจำวันที่พาคุณๆ ไปงานศพได้ ทั้งๆ ที่ตามองไม่เห็น แผลก็ยังไม่หายดี คุณเหนือยังคลานเข้าไปกราบเท้าพ่อแม่ฝ่ายนั้น จนโดนคนเป็นพ่อยันออกมาเสียกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น คุณเหนือยังไม่พูดอะไรสักคำ”

ไม่สงสาร เขาต้องไม่สงสารแสงเหนือ มันยุติธรรมแล้วและยังอาจน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับชีวิตของเขา... จินดนัยย้ำกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือขยุ้มหมอนแน่นจนข้อนิ้วขาว

“ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณเหนือถึงไม่ยอมไปเมืองนอก ทำไมถึงไม่ยอมทิ้งเรื่องร้ายๆ ที่นี่ไปเริ่มต้นใหม่ แฟนคุณเหนือก็หายหัวจ้อยตั้งแต่ตอนเกิดเรื่อง ข้าเลยยิ่งไม่เข้าใจว่าคุณเหนือห่วงหรืออาลัยใครนักหนา” แฟนของแสงเหนือแต่ละคนสวยๆ ทั้งนั้น หมอนั่นควงคนนั้น ทิ้งคนนี้ให้ทั่วไปหมด ไม่น่าแปลกที่พอเกิดเรื่อง ผู้หญิงเหล่านั้นต่างพากันชิ่งหนีทันที “หรือท่านอาจจะกลัวว่าต่อให้ไปแต่ก็ยังรักษาไม่หายก็ไม่รู้ ทีนี้ล่ะ พอคุณเหนือไม่ยอมไป คุณนายก็เข้าข้าง ทะเลาะกับคุณท่านเสียใหญ่โตแทบทุกครั้งที่คุณท่านกลับมา จนพักหลังๆ นี่คุณท่านคงเบื่อเต็มทนเลยไม่ค่อยกลับมาเยี่ยมสักเท่าไหร่”

ลุงโตถอนหายใจยืดยาว ขยับเอนตัวลงบนเตียงหลังเล็ก จมอยู่กับความคิดในหัวจนไม่ทันสังเกตความนิ่งเงียบของอีกคนในห้องที่ปกติมักจะพูดเสียน้ำไหลไฟดับ บางคืนฟังเสียงจ๋อยๆ พูดจนเผลอหลับไปเลยก็มี

“ข้าก็แค่อยากให้คุณเหนือกลับมาเป็นคนเดิม หรือต่อให้ตาจะรักษาไม่หาย แต่ขอแค่ให้ท่านมีความสุขมากกว่านี้อีกสักนิดก็ยังดี”

เวลานี้ ถึงตาจะดูแต่ก็ไม่รับรู้ความหมายของภาพในจอเสียแล้ว ในสมองของจินดนัยยังสับสนเต็มไปด้วยคำบอกเล่าที่ได้ยิน ...แสงเหนือจะมีความสุขไม่ได้ เจ้านั่นจะต้องตายเพื่อให้เขามีชีวิตรอดต่อไปแทน แม้แต่สวรรค์ยังเห็นใจให้โอกาสเขา แม่ของเขาต่างหากที่สมควรจะได้กอดลูก ส่วนลูกชายเลวๆ พรรค์นั้นก็สมควรตายตกนรกชดใช้กรรมที่ก่ออย่างสาสม นั่นล่ะ คือสิ่งที่ควรจะเป็น และมันจะต้องเป็นจริงในเวลาอันใกล้นี้อีกด้วย

หากนี่เป็นครั้งแรกที่ความคิดแก้แค้นไม่ได้ทำให้จินดนัยมีความสุขเหมือนเคย คืนนั้นกว่าเขาจะข่มตาหลับลงได้ก็ผ่านครึ่งคืนไปหลายชั่วโมง และภาพในหัวภาพสุดท้ายที่คิดก่อนจะผล็อยหลับนั้นก็คือภาพของร่างสูงกับผ้าพันแผลพันรอบศีรษะปิดดวงตาซึ่งเคยเปล่งประกายสดใสทั้งสองข้างยืนโดดเดี่ยวปฏิเสธผู้คนรอบกาย และไม่มีผู้ใดอยู่รอบกายเขาเลย...

++++++++++

วันต่อมา เขาตื่นสายจนโดนนายน้อยด่าอีกรอบ “ไหนนายบอกว่าจะมานั่งรอตั้งแต่เช้า ทำได้ไม่เท่าไหร่ก็ดีแตก ปล่อยให้ฉันนั่งคอยจนเบื่อ”

ถ้าไม่มัวแต่คิดมากเรื่องไร้สาระเมื่อคืน เขาก็ไม่ตื่นสายหรอก เดินหน้าหงิกตามหลังแสงเหนือลงไปยังห้องกินข้าวที่คุณรตีอุตส่าห์เข้าครัวลงมือทำข้าวต้มเครื่องทะเลเตรียมไว้ให้ตั้งแต่เช้า

“อร่อยไหมจ๊ะ แต่ก่อนลูกชอบกินมากเลยนี่ ทำทีไร ต้องขอเติมทุกที” แสงเหนือตอบแทนการเอาอกเอาใจของมารดาด้วยการพยักหน้าหนึ่งทีแบบถ้าไม่จ้องให้ดีก็อาจจะพลาดช็อตดังกล่าวไปได้ “ก็ดีครับ”

คุณรตีหน้าเจื่อนลงในทันใด เห็นแล้วจินดนัยก็อยากบ้องหัวทุยๆ นี่สักป้าบแทนบุพการีจริงๆ ทว่ายังไม่ทันที่มือไม้จะเริ่มทำงานก่อนสมอง ลูกหมาตัวกลมบ๊อกที่คงได้กลิ่นหอมฉุยของข้าวต้มเครื่องไฮโซก็วิ่งหน้าเริ่ดเข้ามาและเบรกตัวโก่งโดยอาศัยเขาเป็นตัวหยุด

“ริชชี่ เข้ามาได้ยังไง ออกไปเลย” ไล่หมาแบบสุภาพที่สุดในชีวิต ทำท่าไล่ต้อนชิ้วๆ ทั้งที่ในใจอยากชู้ตให้กระเด็น “ไม่ต้องมาขอ ถึงยกมือก็ไม่มีให้”

“ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยมันมานี่เถอะ” คุณรตีอนุญาตแล้วลุกไปตักข้าวต้มใส่ชามใบเล็ก “เป่าให้มันเย็นก่อนแล้วค่อยให้มันนะ”

ถ้าจะให้มัน ให้เขาแทนดีกว่า นอกจากอดกินแล้วยังต้องมานั่งเป่าน้ำลายยืดให้เจ้าริชชี่ที่กระวนกระวายหนักกลัวจะโดนเขาแย่งหรือกลัวน้ำลายเขาจะลงไปเต็มชามไม่ทราบได้ มันเริ่มเห่าบ๊อกแบ๊กจนเขาต้องวางลงให้มันพิสูจน์เอง พอลงลิ้นแตะรู้ว่ายังร้อน ริชชี่ก็เริ่มเห่าใส่ชาม กระวนกระวายหนักเข้าเป็นเท่าตัว

“มันจะเห่าอะไรนักหนา หนวกหู” เจ้าของไม่รักหมาขมวดคิ้ว คุณรตีจึงต้องรีบบอก “เจ้าจิน พาเจ้าริชชี่ออกไปกินข้างนอกแล้วกัน ตาเหนือเขารำคาญ”

เดินถือชามข้าวต้มโดยมีเจ้าลูกหมาพันแข้งพันขา พาไปนั่งกินพร้อมชมบรรยากาศที่สวนแทน หากริชชี่มัวแต่ตะพ่ำไม่สนใจชมนกชมไม้ เงยหน้าขึ้นอีกที มันก็มอมไปถึงหน้าผาก “นี่กินข้าวต้มหรือลงไปฝึกดำน้ำมาวะ” บ่นแต่จินดนัยก็หิ้วเจ้าลูกหมาเข้าข้างเอว เดินกลับไปบอกคุณรตี “ผมขอพามันไปอาบน้ำแป๊บนึงนะครับ กินยังไงก็ไม่รู้ เลอะไปหมดเลย สงสัยจะอร่อยจัด”

ฟังคำชมของเขาแล้วคุณรตีก็รีบลุกไปตักข้าวต้มใส่หม้อใบเล็กมีหูจับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว “แบ่งไปกินบ้างแล้วกัน ไปแบ่งลุงโตด้วยก็ได้ แล้วถ้าไม่พอก็มาเอาอีกนะ”

ปล่อยริชชี่ลงกับพื้นด้วยความว่องไวเพื่อรอรับหม้อข้าวแทน เจ้าลูกหมาไม่ได้วิ่งหนีหายหรือต้องเสียเวลาจูงให้ยุ่งยากเพราะมันวิ่งแถ่ดๆ ไล่ตามทั้งเขาทั้งหม้อข้าวมาแบบยอมตายถวายชีวิต พัวพันแข้งขาตามเข้ามาถึงโต๊ะกินข้าวซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของเรือนพักคนรับใช้ ลุงโตโผล่หน้ามาตามเสียงทะเลาะของเขากับเจ้าหมาตะกละตะกรามที่เห่าประท้วงขอเบิ้ลแล้วยืนหัวเราะเอิ้กอ้าก

หลังจากจำใจแบ่งข้าวต้มไฮโซให้ลูกหมาจอมวายร้ายไปแล้วก็ถึงเวลาเอาคืน ได้อุปกรณ์อาบน้ำ ทั้งแชมพู ทั้งกาละมังแล้วจินดนัยก็หิ้วเจ้าตัวแสบที่คล้ายกับจะเริ่มรู้ตัวจึงดิ้นรนตะเกียกตะกายเป็นการใหญ่ไว้ จัดการขัดสีฉวีวรรณจนตัวเขาเองก็เปียกปอนไปหมด ขณะที่กำลังเช็ดตัวให้ริชชี่โดยต้องคอยแย่งผ้าที่มันคอยแต่จะไล่งับไว้ด้วยนั้น ลุงโตก็วิ่งมาตามเขา “ไอ้หนู คุณเหนือท่านเรียกหาเอ็งแน่ะ รีบไปเร็วเข้า”

“เดี๋ยวนะ ลุง ยังเช็ดตัวริชชี่ไม่เสร็จเลย ผมก็เปียกทั้งตัว ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บเดียวเดี๋ยวตามไป” ลุงโตหายไปสักพัก เขาก็เพิ่งสลัดกางเกงเปียกซ่กทิ้งตอนได้ยินเสียงเรียกหาเย้วๆ “ยังไม่เสร็จอีกเหรอวะ คุณเหนือเขาเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ บอกให้ลุงมาเร่งเอ็งไม่ให้อู้”

แต่งตัวเสร็จในอีกสิบห้าวินาทีต่อมา เปิดประตูผาง “ใครอู้ คุณเหนือของลุงเขาจะรีบอะไรนักหนา แล้วนี่อีก...ใช้ลุงวิ่งไปวิ่งกลับมากๆ เดี๋ยวหัวใจวายกันพอดี”

“บ๊ะ ไอ้นี่ยังกล้ายอกย้อน” ลุงโตคว้ามือเขาให้ออกวิ่ง เนื่องจากระยะทางไปตึกใหญ่ถึงจะไม่มากมายแต่ก็ไม่ใช่ใกล้ๆ “ย้อนลุงน่ะย้อนได้ แต่เอ็งอย่าเผลอไปย้อนคุณเหนือเข้าล่ะ หัดสงบปากสงบคำให้มันดูเรียบร้อยเจียมตัว ท่านจะได้นึกเมตตาให้เอ็งอยู่รับใช้ไปนานๆ”

กึ่งเดินกึ่งวิ่งแล้วยังอุตส่าห์สั่งสอนเขาได้ ดังนั้นกว่าจะไปถึงห้องนั่งเล่นที่แสงเหนือรออยู่ ลุงโตจึงหอบแฮ่กหากยังอยากรายงาน “ผม...พา...เจ้าจินมันมาแล้วครับ พอดีมันมัวแต่เปลี่ยนเสื้อ...”

“กับอีแค่ไปตามคนเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันคิดว่าต้องรอทั้งวันเสียแล้ว สรุปว่าชักช้าพอกันทั้งลุงโต ทั้ง...” เท่านั้น คำสั่งสอนของลุงโตที่ชอนไชเข้าหูซ้ายเมื่อครู่ก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกทางหูขวาไปเรียบร้อย

“ผมรีบมาที่สุดแล้วนะ ลุงโตก็วิ่งเต็มที่แล้วเหมือนกัน คุณไม่รู้หรือไงว่าห้องผมมันห่างจากที่นี่ตั้งเท่านี้~~~แน่ะ!” ผายมือกว้างสุดแขน ทำไปงั้นล่ะ รู้ว่าแสงเหนือมองไม่เห็นหรอก แต่แค่ฟังจากเสียงลากยาวที่สุดของเขา แสงเหนืออาจคิดว่ามันห่างกันเป็นกิโลเมตรก็ได้ “ผมไม่ใช่โดราเอมอนนะ จะได้มีประตูสารพัดสถานที่ให้คุณเรียกปุ๊บ ก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าปั๊บ! จะผมหรือจะใครก็ต้องวิ่ง แล้วที่มีอยู่ก็แค่สองขา ต้องให้ลงวิ่งสี่ขาแบบเจ้าริชชี่ด้วยใช่ไหมถึงจะพอ...”

“ฉันจำได้ว่ามันไม่ใกล้แต่ก็...ไม่น่าไกลมากมายนักนี่” ฟังไม่ขึ้นโว้ย อย่ามา... “เดี๋ยวฉันให้คุณแม่หาห้องให้เธอพักที่นี่ก็แล้วกัน เวลาเรียกใช้จะได้สะดวกหน่อย” หา!! “หมดเรื่องแล้วก็มาอ่านหนังสือที่ค้างไว้ได้แล้วมา”

หยิบหนังสือที่อ่านให้แสงเหนือฟังค้างไว้จากเมื่อวานขึ้นมาหยิบอ่านโดยอัตโนมัติ ยังนึกงงกับการได้ย้ายบ้านแบบกะทันหันจนไม่ทันสังเกตตอนชายหนุ่มชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “หอมกลิ่นอะไร...”

เงยขวับมาเจอคนตาบอดทำท่าดมจมูกฟุดฟิดเข้าใกล้เสียจนตกใจ ผงะถอยออกแทบไม่ทัน “กลิ่นอะไรของคุณ ผมไม่ได้อาบน้ำใหม่เสียหน่อย อ๊ะ แต่สงสัยเมื่อกี๊จะติดกลิ่นแชมพูริชชี่มา” ยกแขนดมแล้วก็เจอ “นี่ไง คงเปื้อนมามั้ง ก็คุณน่ะเร่งผม...”

“ไหน ส่งตรงที่เปื้อนมาซิ” จำต้องส่งให้แบบกล้าๆ กลัวๆ เหมือนริชชี่ตอนหัดแรกขอมือไม่มีผิด แสงเหนือดึงแขนผอมๆ ของเขาจรดจมูกแล้วพึมพำ “กลิ่นหวานๆ เหมือนลูกกวาดเลย ไม่ต้องล้างออกหรอก หอมดี”

“ถ้าชอบกลิ่นนี้ขนาดนี้ คุณน่าจะเอาริชชี่มานั่งดมหรือไม่ก็เอาแชมพูมันมาใช้ไม่ดีกว่าเหรอ” เผลอปากเร็วก่อนจะหยุดทัน จินดนัยจึงรีบแก้ตัว เอ่ยเอาใจ “เดี๋ยวผมรีบอ่านให้คุณฟังต่อดีกว่า แหม กำลังสนุกเลย ผมอยากรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าเด็กส่งหนังสือพิมพ์แล้ว เอางี้ ขอผมอ่านตอนจบก่อนได้ไหมแล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาเล่าให้คุณฟังทีหลัง”

เดชะบุญที่แสงเหนือตาบอด ไม้เท้าในมือเลยพลาดหัวเขาไปประมาณหนึ่งฟุตซึ่งมันก็เพียงพอให้จินดนัยก้มหน้าก้มตาอ่านออกเสียงต่อแต่โดยดี อ่านไป ในใจเขาเริ่มคิดถึงแง่ดีของการได้ย้ายเข้ามาอยู่ในตึกใหญ่ไปพลาง ทีนี้ล่ะ โอกาสเขาก็จะมากขึ้น แสงเหนืออาจทำเพื่อตัดรำคาญแต่จะรู้ไหมนะว่ามันจะยิ่งเปิดทางให้เขาจัดการได้เร็วขึ้น บางทีกว่าเขาจะทันรู้ตัวอีกที เรื่องทั้งหมดอาจจะจบลงด้วยดีแล้วก็เป็นได้

...ว่าแต่ ขอแอบพลิกดูตอนจบหน่อยเถอะว่าใครเป็นฆาตกร

++++++++++

ตกเย็นวันเดียวกัน ขณะที่ลุงโตกำลังนั่งกินข้าวกับคนรับใช้อีกคนก็เห็นไอ้หนูของแกเดินกุมหัวหน้ามุ่ย กระแทกเท้ามาพร้อมสมุนหมาที่ติดเจ้าตัวอย่างน่าประหลาด “เป็นอะไรอีกล่ะเอ็ง รีบๆ มากินข้าวเร็วเข้า”

“เจ้านายลุงนั่นล่ะที่เขกหัวผม ตามองไม่เห็นยังเขกมามั่วๆ เกือบทิ่มลูกกะตาผมตาบอดตามไปอีกคน คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ชอบใช้แต่กำลัง” ตอบพลางเดินเลยต่อไปยังห้องพักโดยไม่หยุดแวะที่โต๊ะกินข้าวอย่างผิดวิสัย “กะอีแค่โดนสปอยล์ฆาตกรในหนังสือแค่เนี้ย ทำเป็นหงุดหงิดไปได้ ก็เห็นว่ามันเหลืออีกนิดเดียวเลยอุตส่าห์บอกใบ้ให้ฟัง รู้งี้ไม่เล่าหรอก ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ”

ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจศัพท์แสงวัยรุ่นและเนื้อหาการทำโทษที่เจ้าหนูเล่าให้ฟังสักเท่าใด ลุงโตก็ขี้เกียจจะซัก นอกจากเอ่ยถามแปลกใจยามเห็นเจ้าตัวเล็กมันหอบผ้าหอบหมอนมาเต็มอ้อมแขน ทำท่าเหมือนจะหนีออกจากบ้านก็ไม่ปาน “อ้าว แล้วนั่นจะหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปไหน คุณเหนือท่านลงโทษแล้วก็แล้วกัน คงไม่ใจดำไล่เอ็งออกหรอก”

“ตลกละลุงโต เมื่อเช้าลุงก็อยู่กับผมนี่ตอนเขาสั่งให้ผมย้ายไปนอนที่โน่น เห็นว่าจะได้เรียกใช้สะดวกๆ จิกหัวใช้ได้ง่ายๆ” ไอ้หนูมันบ่นจนลับหายไปจากสายตา ได้ยินก็แต่เสียงใสๆ ที่ยังบ่นไม่เลิกแว่วมาตามลม ลุงโตยังนั่งกระพริบตางงๆ สักพักแล้วค่อยหันมาเอ่ยข้อสงสัยเอากับเพื่อนร่วมโต๊ะ

“เมื่อเช้าข้าคิดว่าคุณเหนือแค่พูดเล่นเรื่องให้ไอ้จินย้ายห้อง ใครจะคิดว่าท่านเอาจริง ก็ข้าไม่เคยเห็นคุณเหนือสั่งให้คนใช้ไปนอนใกล้ๆ เลยนี่หว่า ท่านขี้รำคาญแค่ไหนเอ็งก็รู้ ไปยุ่งมากเข้ามีแต่จะโดนไล่ตะเพิดจนอยู่ไม่ได้ ลาออกไปตั้งหลายคน หนนี้มาแปลกว่ะ ไอ้จินมันออกจะพูดจนลิงหลับ นอกจากท่านไม่รำคาญแล้วยังจับมันให้ไปนั่งพูดใกล้ๆ อีก”

“มันน่าเอ็นดูดีมั้งท่านเลยไล่เตะมันไม่ลง เจอเด็กพูดเก่งแบบนี้คุณเหนือจะได้ไม่เหงาด้วย ไม่ดีเหรอลุง” คนตอบตอบแบบไม่ได้สนใจจริงจัง ลุงโตเลยต้องเลิกสนตามแล้วคุยเรื่องสัพเพเหระอื่นแทน ลืมเรื่องเจ้าเด็กพูดจนลิงหลับที่ยังเดินบ่นงึมงำอยู่คนเดียวตลอดทาง จะมาหยุดก็ตอนเจอคุณรตีซึ่งกำลังออกคำสั่งสาวใช้เรื่องที่หลับที่นอนของเขาอยู่

“มาพอดี เจ้าจิน ฉันว่าจะให้เราไปนอนในห้องตาเหนือเลยดีกว่า กลางค่ำกลางคืนเผื่อมีปัญหาจะได้เรียกใช้กันทัน” คุณรตีมัวแต่กำกับสาวใช้ให้ดันฟูกหลบเข้ามุมจึงไม่ทันสังเกตหน้าคล้ายคนโดนของของจินดนัย “อย่าให้ขอบมันยื่นออกมาล่ะ ดันให้ชิดผนังเข้าไปอีกหน่อยสิ”

“ทำไมผมต้องนอนในห้องนี้ล่ะครับ ไหนทีแรกคุณเหนือบอกว่าแค่...” แสงเหนือที่เขาไม่ทันสังเกตว่านั่งอยู่ในห้องด้วยเป็นคนตอบ “ฉันบอกคุณแม่แล้วว่าแค่หาห้องให้นายสักห้องก็พอ แต่ท่านบอกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ ให้นายเข้ามานอนห้องเดียวกับฉันเลยดีกว่า”

“ก็ใช่น่ะสิ แม่เคยบอกแล้วบอกอีกให้เหนือแกหาใครมานอนด้วยจะปลอดภัยกว่า ลูกก็ว่าเกะกะ พอแม่มาเห็นลูกให้แม่หาห้องให้เจ้าจินแบบนี้ก็พอดีน่ะสิ” คุณรตียิ้มแย้มยินดียิ่งยวด ไม่นึกเฉลียวใจเลยว่ากำลังป้อนอ้อยเข้าปากช้าง ป้อนไก่ย่างให้เจ้าริชชี่แท้ๆ “ตัวมันเล็กนิดเดียว เหนือคงไม่บังเอิญเดินเตะหรือนึกรำคาญอีกนะลูก”

พูดแบบนี้แสดงว่าแสงเหนือต้องเคยบังเอิญเดินเตะคนรับใช้คนก่อนแน่ๆ เตะแบบไหนไม่รู้ แต่ได้ข่าวว่าลาออกไปหลายคน ดังนั้นขอสันนิษฐานว่าคงไม่ได้เตะเบาๆ บอก...อุ๊ย ขอโทษแล้วจบเรื่องเป็นแน่ “ห้องน้ำห้องท่าใช้ในห้องตาเหนือนี่ก็ได้ ไว้ฉันจะหาตู้เล็กๆ มาให้ใส่ข้าวของเสื้อผ้านะ ส่วนห้องข้างล่างนั่นก็เก็บไว้เหมือนเดิมแล้วกัน”

จินดนัยยังยืนงงไม่หายยามทุกคนย้ายขบวนกลับไปกันหมด เหลือแค่เขากับแสงเหนือ เสียงนาฬิกาเดินและเสียงหัวใจของเขาสองคน

“โอกาสมาถึงแล้วนี่ จัดการเสียเลยสิ” เกือบร้องจ๊ากออกมาดังๆ แต่พลันนึกคุ้นเสียงที่ดังก้องในหัวขึ้นเสียก่อน จินดนัยจึงหุบปากได้ทัน เสียงเทวดาไกด์ที่หายเงียบไปนานยังดังต่อเนื่อง “ไม่ได้เจอกันไม่เท่าไหร่ทำเป็นขวัญอ่อน บอกตรงๆ ว่าตั้งแต่เปิดโปรฯ นี้มา ฉันไม่เคยเห็นใครจะเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ได้ขนาดนายเลย ปกติมีแต่ได้ร่างปุ๊บ วิ่งไปแทงยอดอกอีกฝ่ายปั๊บ”

“ฉันจะอาบน้ำแล้ว” คนไม่รู้ว่าเพิ่งโดนจับใส่พานถวายเขาขยับลุก จินดนัยจึงต้องรีบเตรียมเสื้อผ้าและทนฟังเสียงในหัวพูดยุแหย่อยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่อาจตอบโต้

“ฉันเคยดูหนังประเภทนี้บ่อยๆ ประเภทตัวร้ายเอาปืนจ่อหน้าพระเอกแล้วมัวแต่พูดพล่ามเล่าที่มาที่ไปของแผนการไร้สาระ เปิดโอกาสให้พระเอกเตะปืนหลุดกระเด็นแล้วไอ้คนร้ายก็โดนกระทืบซ้ำจนลงคลานเป็นหมา อย่างนายนี่ฉันคงไม่แปลกใจเลยถ้าวันหนึ่งจะโดนพระเอกเตะหัวขาดเพราะมัวแต่ฝอย...”

“มันหนักหัวคุณตรงไหน” จินดนัยกระซิบขู่เสียงลอดไรฟันทันทีที่แสงเหนือเริ่มอาบน้ำ “จะบอกให้ว่าฆ่าคนตาบอดอย่างหมอนั่นน่ะง่ายจะตายชัก ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แค่ผมดีดนิ้วเป๊าะ แสงเหนือก็ต้องลงไปนอนดิ้นกระแด่วๆ ร้องขอความเมตตาปากคอสั่น แต่นี่ผมเห็นว่ามีเวลาตั้งหนึ่งปี ดังนั้นภายในหนึ่งปีนี้ผมจะเป็นพระเอกถือปืนจ่อคนร้ายไปทั้งเรื่องมันก็เรื่องของผม คุณนั่นล่ะเป็นเทวดาภาษาอะไรมายุให้ฆ่าคน”

“ใครบอกนายว่าฉันเป็นเทวดา มนุษย์นี่ชอบคิดเอาเองกันทั้งนั้น” จินดนัยมัวแต่ชะงักเลยปล่อยช่องว่างให้ฝ่ายนั้นกล่าวต่อเสียงคล้ายกับเจ้าตัวกำลังยิ้ม “อย่าลืมแล้วกันว่านายกลับมาเพื่ออะไร ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี เพราะถ้าแค่มีใครสักคนรู้ว่าตัวจริงนายเป็นใคร ข้อตกลงเป็นอันสิ้นสุดทันที นายจะต้องไปไหน...คิดว่าคงไม่ต้องให้ฉันบอกก็น่าจะจำได้”

“คุณไม่ใช่เทวดางั้นก็แสดงว่าเป็น...ปีศาจ” ขนแขนลุกวาบๆ ซวยแล้ว ดันทำสัญญากับปีศาจไป แล้วนี่ตอนจบมันจะมาดูดสมองตูไหมเนี่ย “คุณหลอกผม ที่จริงคุณต้องการวิญญาณของผมใช่ไหม คุณคงพยายามหาทางขัดขวางให้ผมทำไม่สำเร็จ พยายามทำให้ผมใจอ่อน ใช่แน่ๆ! คุณเสกให้ผมใจอ่อนกับไอ้แสงเหนือ!”

“มีแต่พวกมนุษย์ที่มักจะแบ่งแยกว่านี่เป็นเทวดา นั่นเป็นปีศาจ ทั้งที่ความจริงมันก็พวกเดียวกันแท้ๆ เมื่อทำเรื่องดีก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเทวดา เมื่อทำเรื่องร้ายก็กลายเป็นปีศาจแทน ใจร้ายจัง” คำพูดตัดพ้อแต่น้ำเสียงกลับบ่งบอกว่ากำลังสนุกสนานยิ่ง “ว่าแต่ว่านายเริ่มใจอ่อนจริงๆ เหรอ ถึงว่าสิ มีโอกาสตั้งหลายครั้งนายก็ไม่ยอมลงมือ ไม่ต้องมาอ้างนู่นอ้างนี่หรอก นายต่างหากที่ใจอ่อนจนฆ่าหมอนั่นไม่ลง”

“ผมไม่ได้ใจอ่อน! แค่กำลังหาโอกาสดีๆ อยู่ เพราะผมต้องใช้ร่างนี้หลังจากฆ่าแสงเหนือ ดังนั้นจะสุ่มสี่สุ่มห้าลงมือได้” รีบยกเหตุผลมาอธิบายแล้วต้องนิ่งฟังคำอำลาทิ้งท้ายที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่ได้แฝงความหวังดีไว้สักนิด

“ตามใจนาย ยังไงก็อย่าลืมให้ฉันเห็นเรื่องสนุกๆ แก้เซ็งแล้วกัน ส่วนนายจะแพ้หรือชนะ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”

ใครจะแพ้ อย่างเขาต้องชนะเท่านั้น เรื่องเอาตัวรอดสงสัยต้องอาศัยไปตายดาบหน้า บางทีเขาน่าจะได้ลงมือเร็วๆ นี้ล่ะ เขาสังหรณ์และสัมผัสได้ว่ามันอยู่แค่นี้ แค่เอื้อมออกไปหยิบก็ถึง ชนิดที่ว่าเกือบจะลิ้มรสชัยชนะอันหอมหวานที่อบอวลอิ่มเอมได้เลยล่ะ ไอ้การใจอ่อนเฮงซวยน่ะ... เชิญลงนรกล่วงหน้าเจ้าแสงเหนือไปก่อนได้เลย

++++++++++++++++++++++++++++

TBC

yayoy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #13 เมื่อ10-06-2008 13:28:29 »

~ ด้วยรักจากสวรรค์ 5 - ฆาตกร ฆาตกรรม ~

นอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแปลกที่หรือยังคิดมาก หลังจากนอนพลิกกลับหน้ากลับหลังเกือบครึ่งคืน จินดนัยก็ต้องผุดลุกขึ้นมานั่งตาแข็ง สายตาที่ปรับเข้ากับความมืดในห้องมองเห็นเงาตะคุ่มของชายหนุ่มบนเตียงแล้วเขาจึงคว้าหมอน ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเพื่อย่องไปมองลูกเจี๊ยบในกำมือ

เจ้าลูกเจี๊ยบที่ยามตื่นชอบทำหน้าบึ้ง ตอนนอนยังไม่วายทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ทั้งที่อากาศในห้องเย็นสบายด้วยไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ หากแสงเหนือยังนอนกระสับกระส่ายอย่างไม่เป็นสุข และคงเป็นเพราะท่าทางทรมานแบบนั้นดูน่าสมน้ำหน้าล่ะมั้ง เขาจึงยืนมองอยู่ที่เดิม ตลกดีอ่ะ คนนอนดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมา

จ้องอยู่เพลินๆ เลยตั้งตัวไม่ทัน ผงะล้มหงายหลังด้วยความตกใจยามแสงเหนือแหกปากตะโกนลั่น “ต้น!!”

เกือบเผลอขานรับชื่อเล่นจริงๆ ของเขาที่ไม่ได้ยินใครเรียกมานานออกไปแล้ว ...โอ๊ย หัวใจตูแทบวาย อยู่ดีไม่ดีดันเรียกชื่อเขาซะดังเดี๋ยวปั๊ดเจอเหนี่ยว อะ...เฮ้ย หรือว่าแสงเหนือมันรู้ตัวแล้วว่า...

ตะเกียกตะกายขึ้นยืนจ้องคนบนเตียงด้วยหัวใจเต้นเร็วเป็นกลองรัว กำลังรอลุ้นอยู่ว่าตัวเขาจะร่วงลงสู่นรกอีท่าไหนค่าที่โดนรู้ตัวจริงเข้าจนได้ จะจางหายไปเหมือนภาพฝันหรือย่อยสลายเป็นกองขี้เถ้า จะถูกดูดหายไปในหลุมดำหรือจะค่อยๆ เน่าเฟะกองทัพหนอนชอนไชยั้วเยี้ย คลานดุบดิบกันให้วุ่นจากลำไส้ใหญ่ไปลำไส้เล็ก จากรูหูทะลุออกลูกกะตา... อ๊ากกก แบบอันหลังนี่รับไม่ได้อย่างรุนแรง ฮือ ไม่เอานะ ไม่อ๊าววว

แต่รอจนแล้วจนรอด แสงเหนือกลับไม่พูดสิ่งใดออกมาอีกจากปากที่ยังเผยอหอบ ดวงตาคู่นั้นเบิ่งกว้างในความมืด ราวกับกำลังมองลึกเข้าไปสู่ความมืดยิ่งกว่า มือใหญ่ๆ ยกขึ้นลูบหน้าตัวเอง ขยับนิ้วตรงหน้าดวงตาที่เบิกโพลงกระพริบถี่

น่าแปลกที่เขารู้ว่าแสงเหนือพยายามมองหาสิ่งใดก็ได้ อะไรก็ได้ที่จะช่วยบอกว่าตนอยู่ที่ไหน ในความฝันหรือความจริง ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว

เขายืนมองกระทั่งชายหนุ่มหลับตาลงและคู้ตัวจนร่างใหญ่ๆ ขดงองุ้มเหมือนสัตว์บาดเจ็บ ท่ามกลางความเงียบของค่ำคืน จินดนัยได้ยินเสียงลมหายใจสั่นๆ ของแสงเหนืออย่างชัดเจน ไม่ต้องให้ใครมาชี้บอก เขาก็รู้ว่าแสงเหนือฝันถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตเขาไป อุบัติเหตุที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ เพื่อมาทำในสิ่งที่ควรทำ

อาศัยแค่แจกันสักใบ ไม้เหมาะมือสักท่อนหรือของมีคมสักชิ้น เขาอาจช่วยให้หมอนี่ไม่ต้องนอนฝันร้ายอีกต่อไป การุณยฆาต...การฆ่าด้วยความเมตตา แสงเหนือจะไม่ต้องทนทุกข์จากดวงตาที่มืดบอดหรือฝันร้ายใดๆ อีก ส่วนเขาจะได้รับโอกาสในการใช้ชีวิตใหม่ ต่างคนต่างได้ ฟังดูดีจะตาย

ร่างสูงใหญ่ขยับงอหัวซุกหน้าลงกับท่อนแขน จินดนัยแว่วเสียงครางลึกลอดผ่านไรฟันที่เจ้าตัวขบแน่น กำแพงสูงที่เคยสร้างไว้ยามมีสติคล้ายจะโดนพังทลายราบคาบ ก่อนจะทันรู้ตัว เขากลับเอื้อมมือลงไปกุมมือเย็นเฉียบของฝ่ายนั้นเอาไว้ รู้สึกเก้อเขินนิดหน่อยยามเอ่ยเสียงอึกอัก “ไม่เป็นไร... คุณเหนือแค่ฝันร้าย ผมอยู่นี่นะ ไม่ต้องกลัว”

ใจหนึ่งนึกอยากให้แสงเหนือสะบัดมือเขาทิ้ง เมื่อดูจากนิสัยแย่ๆ กับอารมณ์ร้ายๆ ของชายหนุ่มไม่น่าแปลกเลยถ้าเขาจะโดนยันโครมออกมาหรือ...อะไรก็ได้ที่จะช่วยให้เขาตัดสินใจเอาหมอนอุดปากมันเสียตั้งแต่คืนนี้ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การกุมมือเขาเอาไว้แน่นจนเจ็บ...แบบนี้

แสงเหนือไม่ได้พูดคำใด จินดนัยเองก็เช่นกัน เขาเพียงแค่นั่งลงบนเตียง รอจนเสียงหอบหายใจถี่เบาลงกลายเป็นเสียงหายใจลึกยาวอย่างคนหลับสนิท ก้มมองแสงเหนือที่ยังกุมมือเขาไม่ยอมปล่อยแม้ในยามหลับก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยหัวใจอันหนักอึ้งบอกไม่ถูก เนิ่นนานกว่าเขาจะหลับลงได้เนื่องจากความอ่อนเพลีย...ทั้งหัวใจ ทั้งร่างกาย

++++++++++

“...จิน จิน” เขาเบือนหน้าหนีเสียงเรียกเบาๆ นั้นและซุนหัวลงหาที่นอนอุ่นๆ ตั้งท่าเตรียมตัวจะหลับต่อ“จิน!”

“งึ่ย! เรียกใครวะ” อารมณ์งัวเงียผสมเมาขี้ตาทำให้คนเราพื้นเสีย น็อตหลุดและความจำสั้น “ฉันจะเรียกใคร ถ้าไม่ได้เรียกเรา”

ลืมตาข้างเดียวมาดูเจ้าของเสียงเรียบๆ ยืนตัวสูงหัวเปียกหูลู่เหมือนลูกงัวเพิ่งเกิดในชุดคลุมอาบน้ำกำลังขมวดคิ้วอยู่ใกล้ๆ “จัดเสื้อผ้าให้หน่อยสิ ฉันหนาว”

...แสงเหนือพูดเพราะแถมเกรงใจ อ๋อ รู้แระ สงสัยเขายังไม่ตื่นแน่ๆ ว่าแล้วต้องรีบนอนต่อด่วนๆ “จิน! หลับอีกแล้วเหรอเนี่ย” ลืมตามาทันเห็นแสงเหนือยื่นมือควานๆ คล้ายกับจะหาหัวเขา เลยรีบสกัดดาวรุ่งคว้าไว้ก่อนมันจะเจอเป้าหมายแล้วตบป้าบ “อย่าเพิ่งลงไม้ลงมือ ผมตื่นแล้ว”

ตื่นแล้วแต่ลุกไม่ขึ้น นั่งหลับเอาหัวซบเตียงแบบนี้มันปวดคอปวดหลังเป็นบ้า “ตื่นแล้วก็รีบลุก อย่ามัวแต่ขี้เกียจ”

“อืม โอ๊ย อ๋อย...” คอก็หันซ้ายไม่ได้ หลังก็ปวดแปลบตอนขยับ จินดนัยบีบมืออีกฝ่ายร้องขอความเห็นใจ “เจ็บจัง คุณเหนือ ขอนอน...เอ๊ย นั่งพักอีกแป๊บนะ”

ไม่รอฟังคำตอบ เขาก็รีบทิ้งหัวตุบลงกับเตียง เกือบจะเคลิ้มๆ หลับอยู่แล้วตอนที่เตียงยุบยวบด้วยน้ำหนักใครคนหนึ่งที่ลงนั่งคอยเงียบๆ ตามคำสั่ง จินดนัยปรือตามองแสงเหนือใช้มือข้างว่างซึ่งเขาไม่ได้จับยึดไว้กำลังยกลูบหน้ากับผมเปียกๆ อย่างหวังจะบรรเทาความหนาวเย็น เห็นแล้วเขาก็เริ่มพิศวงว่าทำไมแสงเหนือถึงได้สงบเงียบเรียบร้อยได้ภายในวันเดียว ไม่อยากนึกเชื่อว่าการเล่นบทพ่อพระชั่วครู่ชั่วยามของเขา แค่จับมือเด็กชายผู้ผวากับฝันร้ายไว้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้

บางที เขาน่าจะแกล้งนอนต่อ ปล่อยให้แสงเหนือเป็นหวัดตาย เป็นไข้หวัดนกตายได้ยิ่งดี อืม แต่ว่าเจ้าสัตว์ปีกตัวนี้อาบน้ำแล้วตัวหอมดีแฮะ หอมกลิ่นน้ำ กลิ่นสบู่และไหนจะกลิ่นสดชื่นแบบที่ทำให้เขาต้องแอ๊บโรคจิต สูดหายใจดมเสียเต็มปอด แอบคิดว่าเดี๋ยวจะแอบฉีดน้ำหอมของหมอนี่สักฟื้ดบ้างคงจะดี

“อะไร จะปล่อยผมนอนแล้วกระตุกมือยิกๆ ทำไม ฮู้ แล้วอย่างนี้ใครจะหลับลง” ว่าแล้ว แสงเหนือจะดีได้นานสักแค่ไหน ดูจากที่มันกระตุกมือเขาเล่นเป็นจังหวะแทงโก้ ใครยังนอนได้ก็เก่งเกินคนแล้ว “พอเลย ลุกก็ได้”

จินดนัยเผลอหันไปมองคนหน้าขาวแล้วต้องนิ่งอึ้ง ก็...ใครใช้ให้แสงเหนือมันยิ้มอวดเขี้ยวแบบนี้เล่า คนตกใจแล้วหัวใจก็เผลอเต้นแรงไปหนึ่งจังหวะแบบเขาทั้งนั้นล่ะ ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะลูก นึกเสียว่าเจอผีมายืนแหกอกโชว์แต่หัววันก็แล้วกัน

++++++++++

อะไรที่ดีๆ มักจะอยู่ไม่นาน เหมือนกันอารมณ์ดีๆ ลักษณะขี้เล่นของชายหนุ่มนั่นล่ะ พอตะวันขึ้นสูง น้ำค้างแห้งเหือด แสงเหนือก็กลับสู่โหมดเด็กมีปัญหาอีกจนได้ แค่คุณรตีนำวิตามินกระปุกเล็กๆ มายื่นให้และบอกว่าเป็นยาบำรุง แสงเหนือกลับทำหน้าเหมือนมารดายื่นยาพิษให้และไม่รีรอลังเลเลยที่จะเขวี้ยงทิ้งจนยาในกระปุกกระจายเกลื่อน “ผมไม่กิน! ผมบอกแม่กี่ครั้งแล้วว่าผมไม่กิน นอกจากว่ามันเป็นยารักษาอาการตาบอด แต่ถ้าไม่ใช่หรือหาไม่ได้ ก็ช่วยเลิกหายาบ้าบอคอแตกมาให้ผมได้แล้ว”

ถ้าเขาเป็นพ่อแม่แสงเหนือ รับรองว่ามันโดนเตะปากตั้งแต่ตวาดคำแรกแล้ว แต่บังเอิญไม่ใช่ จินดนัยจึงได้แต่ยืนมองคุณรตียืนน้ำตาคลอพึมพำ “จ๊ะ ขอโทษที แม่ก็ชอบลืมบ่อยๆ ไม่กินก็ไม่กิน”

หลังส่งแสงเหนือออกไปนั่งสงบจิตสงบใจที่สวนแล้วเขาก็คว้าไม้กวาดเตรียมกวาดวิตามินที่ยังกระจายเกลื่อนโดยมีคุณรตียังนั่งซับน้ำตาป้อย บ่นเสียงเครือ “ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วเจ้าจิน ตาเหนือแกไม่ยอมกินยาดีๆ ที่ฉันหามาให้แกเลย แรกๆ แกก็ยอมกินอยู่หรอกแต่หลังๆ มานี่ไม่เอาเลย แม้แต่พวกยาคลายเครียดคลายกล้ามเนื้อแกยังไม่เอา ฉันอุตส่าห์ไปหาวิตามินแพงๆ จากเมืองนอกเม็ดละตั้งสามสี่ร้อยมาแต่...”

ทิ้งไม้กวาดดังปัง จินดนัยก้มลงมองวิตามินเม็ดอวบกลมเหมือนถั่วแดงที่ยังกระจายเกลื่อนเท้าแล้วถามเสียงสั่น “เม็ดละเท่าไหร่นะครับ”

“เม็ดละเท่าไหร่ฉันไม่รู้หรอก แต่ทั้งกระปุกนั่นก็หลายหมื่น...” คุณรตีมองกิริยาเก็บกอบยาตามพื้นราวกับแม่ไก่ไล่จิกข้าวเปลือกชนิดไม่ยอมคลาดไปสักเม็ดแล้วเอ่ยลังเล “ไม่ต้องเก็บหรอก ตาเหนือไม่กิน ฉันก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม”

“ไม่ครับ จะกี่เม็ดก็ต้องเก็บ สิบหก... สิบเจ็ด... คุณนายครับ ในกระปุกนี่มันมีทั้งหมดกี่เม็ดครับ สามสิบหรือห้าสิบ” อุปทานคล้ายมองเห็นแบงค์พันกระจายเกลื่อนโดยไร้คนสนใจทำให้จินดนัยยิ่งสอดสายส่ายตาและแทบจะโผนเข้าตะครุบเมื่อมองเห็นวิตามินสีแดงเลือดนก

“เอ้อ ไม่รู้สิ เจ้าจิน” คุณรตีรีบลุกไปหยิบแว่นสายตามาคว้ากระปุกไปเพ่ง เพราะเมื่อเห็นท่าทีร้อนรนของเด็กรับใช้แล้วก็อดเดือดร้อนตามไม่ได้ “นี่มันปริมาณ...น่าจะร้อยเม็ดนะ ฉันว่า”

แทบทุกตารางนิ้วในห้องโดนพลิกรื้อค้นกระจาย แม้เขาจะทุ่มเทให้ขนาดนั้นแต่เมื่อมานั่งนับแล้วก็นึกอยากร้องไห้ “ทำไมมีแค่แปดสิบเก้าเม็ด แล้วอีกสิบเอ็ดล่ะหายไปไหน สมมติตีไปเม็ดละสามร้อย สิบเอ็ดคูณสามร้อยเท่ากับ...เท่าไหร่อ้า”

แค่คิด เส้นเลือดในสมองยังแทบแตกและเขายังนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ท่าเดิมอีกนานถ้าจะไม่มีเสียงห้วนเรียกหา “จินอยู่ไหน”

คุณรตีต้องบอกให้เขารีบลุกไปหาเจ้าลูกชายบังเกิดเกล้า คนเดียวกับที่ขว้างยาเม็ดละสามร้อยทิ้งจนหายไปสิบเอ็ดเม็ด ตกเป็นเงินประมาณสามพันสามร้อย หลังจากจาระไนรายละเอียดมูลค่าของหายให้ฟังแล้วเขาจึงโวยวาย “ทำไมไม่ยอมกินยา มันแพงนะคุณ ขนาดผมไม่ได้เป็นอะไร แค่ฟังราคาแล้วยังอยากกินเลย”

นึกว่าถลึงตาแล้วจะกลัวหรือไง แน่จริงลุกมาต่อยกันเลยดีกว่า “คนจนตั้งเยอะไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อยากินเวลาป่วยไข้ นี่คุณรตีอุตส่าห์หายามาบำรุง อย่าว่าแต่แพงหรือเปล่าเลย แค่ความตั้งใจของแม่คุณ คุณเหนือก็ไม่น่าปฏิเสธท่าน หรือคิดว่าแค่คุณมองไม่เห็น มันจะหมายความว่าแม่คุณไม่ได้ร้องไห้ด้วย”

ใบหน้าคนฟังกระตุกนิดหนึ่งกับคำพูดของเขาแต่ก็ไม่ได้เอ็ดตะโรโวยวาย นอกจากกล่าวอุบอิบ “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะโวยวายสักหน่อย แรกๆ ก็ยังพอกล้ำกลืนกินยาเป็นกำๆ ได้หรอกแต่พักหลังแค่ได้กลิ่นก็จะอ้วกแล้ว”

“มาบอกผมแล้วได้อะไร โน่น ไปบอกแม่คุณโน่น แล้วอย่าลืมขอโทษท่านด้วยล่ะ” แสงเหนือเองก็คงจะไม่สบายใจอยู่แล้วเช่นกันกับการแสดงออกต่อมารดาเมื่อครู่จึงยอมพยักหน้ารับนิดหนึ่ง “อื้อ”

เห็นแล้วยิ่งได้ใจ จินดนัยจึงยังคงความกร่าง กร้าวและกระเดื่องเต็มที่ยามเอ่ยเอาจริงเอาจัง ชักเข้าใจถึงอำนาจอันหอมหวานของคนเป็นครูบาอาจารย์ยามดุเด็กนักเรียนก็ตอนนี้ล่ะ ...อา หอมหวน สะจายยย “กะอีแค่เหม็นกลิ่นยา ทำไมไม่กลั้นหายใจ กลืนเอื้อกเดียว แค่ไม่กี่วินาที คุณคงไม่ขาดอากาศตายหรอก”

“ถึงกลั้นหายใจ แต่ก็ยังรู้รสนะว่ามันขม...” อารามรีบร้อนอยากเถียงทำให้ไอ้คนมาดยิ่งใหญ่เผลอก่อนจะรู้ตัว หุบปากดังกั๊บหากช้าไปเสียแล้ว ไอ้ประโยคดังกล่าวมันเข้าสองรูหูเต็มๆ ส่งไปตีความถึงสมอง จนแทบจะย่อยออกมาเป็นกากอยู่มะรอมมะร่อ

เอาแล้ว เจอเด็กโข่งกินยายากเป็นมั่นคง และเสียงหัวเราะทางจมูกดังหึแสดงความไม่เชื่อถืออย่างแรงของเขาทำให้คนหน้าขาวเริ่มหน้ากระตุกตึ้ก หากเขาก็ต้องตั้งการ์ดเตรียมระเบิดพลังรับมือเก้อเมื่อแสงเหนือเลี่ยงไปออกคำสั่งเสียงเข้มแทนที่จะงาบ คาบและสะบัดหัวเขาดังคาด “เอาหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งได้มาอ่านให้ฟังทีสิ แล้วคราวนี้ไม่ต้องเล่าให้ฟังตอนจบล่ะ ไม่งั้นโดนอีกแน่”

หยิบหนังสือแนวฆาตกรรมสืบสวนเล่มใหม่ล่าสุดมาพลิกดูแล้ว เขาก็แปรเอาความหมั่นไส้มาลงที่เจ้าตัว “หนังสือฆาตกรรมอีกแล้ว ผมเบื่อ ความอดทนผมสั้นด้วย ขืนให้อ่าน ผมก็ต้องอ่านตอนจบก่อนแล้วพออ่านตอนจบก่อน ผมก็จะเผลออ่านออกเสียงชื่อฆาตกรแบบมีเลศนัยจนคุณรู้อยู่ดีนั่นล่ะ พอคุณโดนสปอยล์เข้าก็หงุดหงิดตีหัวผมอีก ไม่เอาล่ะ ผมไม่อ่าน”

ถ้าเป็นเมื่อวานรับรองได้ว่าเขาต้องได้เก็บของเดินออกจากบ้านภายในห้านาทีแน่ แต่เป็นวันนี้ เป็นจินดนัยคนใหม่ที่กุมความลับเรื่องฝันร้ายของแสงเหนือไว้ ไม่ว่ายังไง เขาก็แน่ใจว่าไม่มีทางโดนไล่ออก และเป็นจริงดังคาดเมื่อแสงเหนือเพียงถอนหายใจท่าทางเบื่อหน่าย “แล้วนายจะอ่านอะไร”

“การ์ตูน” อ้า ถึงจะรอดจากการโดนไล่ออกแต่เรื่องโดนไล่เขกนี่ไม่ทันคำนวณ พลาดๆ “งั้นเอาเป็นเรื่องเล่าจากปากฆาตกรได้ไหม ผมว่ามันน่าติดตามดีน่ะ ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ตอนฆ่าคนอื่นกันบ้าง รู้ไหมว่า ฆาตกรต่อเนื่องในดวงใจผมคือฆาตกรคลาสสิค แจ็ค เดอะริปเปอร์เชียวนะ”

“ถ้าอยากรู้ทำไมไม่ถามฉันล่ะ” เสียงเรียบๆ ของชายหนุ่มทำเขาตามคำถามไม่ทัน “ถามเรื่องอะไร”

“คำบอกเล่าจากปากฆาตกรไง” จินดนัยพลันเป็นฝ่ายเงียบอึ้งแทน เขาไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แม้ใจหนึ่งจะอยากรู้เหลือเกินว่าแสงเหนือตั้งใจหรือไม่ ถ้าตั้งใจก็คงพลาดตรงที่ทำให้ตัวเองต้องตาบอดไปด้วย หากอีกใจหนึ่ง เขากลับไม่อยากได้ยินความจริงจากปากนั้น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ไม่ว่าจะเสียใจหรือไม่ได้ยินดียินร้ายกับการตายของศัตรูอย่างเขา เขายังไม่อยากฟังในตอนนี้

“...ผมอ่านเรื่องแรกก็ได้” หยิบหนังสือมานั่งอ่านด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และจากการลอบชำเลืองมองดูสีหน้าอีกฝ่าย แสงเหนือก็คงจมอยู่กับโลกส่วนตัวเช่นกัน สองคน สองใจ หนึ่งฆาตกร หนึ่งเหยื่อฆาตกรรม เรื่องราวในนิยายจบลงด้วยดี แต่ชีวิตพวกเขาล่ะ เขายังมองไม่เห็นเลยว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง ใครจะอยู่ ใครจะไป ถ้าเขาทำสำเร็จ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรคงเปลี่ยนเป็นเขาแทน

ไม่เกี่ยวกับคำว่าใจอ่อนหรือไม่ ทว่า...เขาพร้อมแล้วหรือที่จะใช้ชีวิตอยู่กับคำๆ นั้นไปตลอดชีวิตต่างหาก

++++++++++++++++++++++++

TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-06-2008 13:30:44 โดย yayoy »

yayoy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #14 เมื่อ10-06-2008 13:32:52 »

~ ด้วยรักจากสวรรค์ 6 - จนกว่าความตายมาพราก ~

“ความจริง ไอ้เหนือมันสมควรตายในหลายๆ กระทงอยู่หรอก ถ้าเอาแค่ที่จำได้ก็ต้องเริ่มจากสมัยมันยังเรียนอนุบาล”

จินดนัยเล่าเท้าความเป็นมาเพื่อแสดงตรรกะให้เพื่อนสนิทฟัง ทว่าไอ้เพื่อนหน้าหมาชื่อริชชี่มัวแต่สนใจกับลูกบอลในมือเขาเลยไม่ค่อยแสดงทีท่าอยากฟังจริงจังเท่าใด “มันกินตำแหน่งหัวโจกคิดค่าหัวคิวมาตั้งแต่เป็นสิ่งมีชีวิตสูงแค่สองฟุตครึ่ง พอขึ้นประถมก็จัดตั้งฮาเร็มเก็บเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักไว้เชยชมคนเดียว เหลือแต่พวกอ้วนดำที่มันคัดออก ครั้นขึ้นมัธยมเริ่มออกแนวหล่อเลว ฉี่รดขยายอาณาเขตไปถึงต่างโรงเรียน สาวๆ ในรั้วเดียวกันไม่ควง ต้องเล่นต่างรั้วถึงจะงามอย่างมีคุณค่า จนถึงม.ปลาย เริ่มเรื่องมากแตกหน่อไปขอคบแต่สาวมหาลัย เด็กรุ่นเดียวกันไม่ชำเลืองแลให้เสียหางตา หม้อเข้ากระแสเลือด เลวลึกถึงดีเอ็นเอเพียงนี้แต่ทำไมยังมีแต่คนรัก”

ข่าวคาวมากมายของแสงเหนือมีมาให้เขาได้ยินได้ฟังตลอด จินดนัยเคยนึกหมั่นไส้เหลือกำลังและหวังว่าข่าวคราวในด้านบวกของเขาเช่นได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปประกวดอ่านบทร้อยกรองหรือได้รับรางวัลเป็นเด็กมารยาทงามจะพอกระเซ็นกระสายไปเข้าหูฝ่ายนู้นบ้าง โอเค เขารู้ว่ามันไม่เท่นักหรอก แต่อย่างน้อยทางโรงเรียนคงไม่เคยคิดจะส่งเด็กเถื่อนอย่างหมอนั่นไปนั่งขับกาพย์โคลงกลอนก็แล้วกัน

“โฮ่ง โฮ่ง” ริชชี่เรียกร้องความสนใจโดยการงับรองเท้าแตะของเขาไว้และออกกิริยาสะบัด จินดนัยตอบสนองด้วยการเสยคางเจ้าลูกหมาไปหนึ่งดอก หวังสั่งสอนให้รู้ว่ากัดรองเท้ามันไม่ดี เจ้าริชชี่ตีลังกาม้วนหลังไปสองตลบแน่นิ่งกับพื้นหญ้าสักพัก มันก็โดดผึงวิ่งกลับมางับใหม่ทันที

“นี่แกเป็นลาบราดอร์สายพันธุ์ปลาทองหรือเปล่าวะ ริชชี่” คว้าเจ้าอ้วนกะปุ๊กลุ๊กขึ้นมากองไว้บนอก ไม่รู้ว่ามันตัวเริ่มใหญ่หรืออกแมนๆ ของเขาเล็กลง ร่างอ้วนสมบูรณ์จึงล้นๆ นอนไม่พอ เดี๋ยวไม่ขาซ้ายก็ขาขวาต้องล้นที่ ตกห้อยอยู่ร่ำไป “แกก็ออกจะน่ารัก ทำไมแสงเหนือถึงไม่ชอบเล่นกับแกนะ”

จินดนัยบ่นพึมพำคนเดียวระหว่างที่นอนเล่นบนสนามหญ้าหน้าบ้าน วันนี้คุณรตีพาแสงเหนือไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า มีลุงโตเป็นคนขับรถควบคนดูแลไปด้วย เขาจึงไม่ต้องเสนอหน้าตามติด มีเวลาว่างให้นั่งคิดหาเหตุผลรองรับสิ่งที่คิดจะทำ แน่ล่ะ เขาสามารถเขียนเหตุผลที่แสงเหนือสมควรตายได้เป็นหน้าแต่สำหรับกระดาษสำหรับเขียนเหตุผลว่าทำไมเขาถึงควรยอมนอนตายตาหลับ ปล่อยวางเรื่องแก้แค้นเสียทีกลับว่างเปล่า มันยิ่งทำให้เขากลุ้มยิ่งขึ้นไปอีก เพราะในเมื่อมันว่างเปล่า แล้วทำไมดันไม่ลงมือเสียที

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ยิ่งมองหน้าซื่อตาใสของริชชี่แล้วยิ่งอยากกรีดร้อง ทำไมไม่ส่งตูมาเกิดเป็นหมาเสียเลย จะได้ไม่ต้องนั่งคิดมากแบบนี้!

เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาเรียกสติเขาให้กลับมาจากนอกโลก เขามองตามจนมันจอดนิ่งสนิทและภาพเดิมๆ ที่ลุงโตรี่เข้าประคับประคองแสงเหนือเหมือนฉายซ้ำแต่ที่จะไม่ซ้ำก็ตรงเจ้าริชชี่ซึ่งเพิ่งตะกายหลุดจากมือเขากำลังห้อสี่ตีนวิ่งไปรับเจ้านายอย่างดีใจ

ร่างอ้วนป้อมของลูกหมาทิ่วิ่งพันแข้งพันขาเจ้านายหนุ่มกลับได้รับสิ่งตอบแทนแค่การยกเท้าเขี่ยกราดของแสงเหนือ เสียงไล่ตะเพิดของลุงโตและเสียงคุณรตีเรียกให้ใครมาจับริชชี่ไปพ้นๆ จินดนัยคว้าริชชี่ที่บัดนี้หูลู่หางตกเอาไว้แล้วกอดแน่น “อ้าว เจ้าจินมาพอดี มารับตาเหนือเร็วเข้า”

แสงเหนือหันมาตามเสียงพูดของมารดาและยืนรอนิ่งๆ หากคิ้วเข้มนั้นเริ่มขมวดฉับยามเขาตอบสุภาพ “มือผมเปื้อน จับเจ้าริชชี่มาตลอด ขอผมไปล้างมือก่อนดีกว่าครับ”

ใช่ว่ามองไม่เห็นอาการเม้มปากคล้ายเด็กโดนขัดใจของชายหนุ่ม แต่เขาก็รีบหอบเจ้าลูกหมาจิตตกวิ่งจากมา เสียเวลาประคบประหงมให้ความรักมันอีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะกลับมาเฝ้าแหนตามเคย

“ล้างมือประสาอะไรตั้งเป็นชั่วโมง” นั่นเป็นเสียงดุๆ ต้อนรับการมาถึงของเขา “วันหลังเห็นหมาสำคัญกว่าฉันก็ไม่ต้องมาแล้ว”

จินดนัยไม่ได้แก้ตัวและไม่คิดจะแก้ คนที่หน้าบึ้งเป็นทุนเดิมเลยยิ่งบึ้งหนักส่อเค้าเตรียมอาละวาดถ้าจะไม่ได้ยินเสียงย้อนถาม “คุณเหนือเกลียดหมาเหรอ”

“...เปล่า” แสงเหนือตอบท่าทางระมัดระวัง “ถามทำไม”

“ผมเห็นคุณไม่ชอบเจ้าริชชี่เลยสงสัยว่าถ้าไม่ชอบแล้วจะซื้อมันมาเลี้ยงทำไม หมานะคุณ ต่อให้มันอยู่ในคฤหาสน์แต่เจ้าของไม่ใส่ใจ มันก็ไม่มีทางมีความสุขเท่าอยู่กระต๊อบกับเจ้าของที่รักมันหรอก” พูดไปแล้วก็นึกสงสัยว่าเขาเป็นหมาหรือไง ถึงทำเป็นเข้าใจปัญหาชีวิตเจ้าตูบ “เมื่อกี๊มันโดนตะเพิดจนหางตกเลย ผมสงสารมัน”

“แม่เป็นคนซื้อ ไม่ใช่ฉัน” ยังจะโบ้ยอีก ถามจริงว่าชาตินี้เคยทำผิดกับเขาบ้างไหม “ผมรู้ แต่คุณรตีเขาก็ตั้งใจซื้อมาให้คุณเหนือนี่ ไหนเมื่อกี๊ว่าไม่เกลียดหมาไง แล้วทำไม...”

“เพราะมันเป็นลาบราดอร์น่ะสิ” จินดนัยก๊งทันที ไม่เข้าใจว่าเกิดเป็นหมานอกมันผิดตรงไหน เขาถามออกไปและได้รับคำตอบฉุนเฉียวที่ฟังแล้วไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือโกรธดี “ลาบราดอร์มันเป็นหมาสำหรับคนพิการ นายไม่รู้หรือไง เขาชอบใช้หมาพันธุ์นี้ฝึกเป็นสุนัขนำทางคนตาบอดกัน แม้แต่แม่ยังคิดว่าฉันต้องตาบอดไปตลอดเลย!”

อ้ำอึ้งไปพักใหญ่ จินดนัยจึงค่อยกระแอม “คุณเหนือครับ ผมว่า...มันไม่จำเป็นว่าลาบราดอร์ทุกตัวมันจะเป็นสุนัขนำทางกันได้ซะเมื่อไหร่ ของอย่างนี้เขาต้องเลือก ต้องคัด ต้องดูโหงวเฮ้งกันตั้งแต่เกิด ฝึกกันเป็นปีๆ กว่าจะเป็นได้ แล้วสำหรับเจ้าริชชี่น่ะ...” นึกถึงหน่วยเก็บความทรงจำอันแสนสั้นของปลาทองหน้าตาละม้ายลาบราดอร์ของริชชี่แล้วส่ายหน้า “ไม่มีทาง”

มองสีหน้าไม่อยากเชื่อน้ำยาคำพูดของแสงเหนือแล้วเขาก็รีบลุก “ผมไปเอาเจ้าริชชี่มานี่นะ คุณเหนือจะได้รู้ว่ามันห่างไกลกับการเป็นสุนัขนำทางขนาดไหน”

โดยไม่รอฟังคำอนุญาต จินดนัยวิ่งตื๋อออกมาคว้าเจ้าอ้วนที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่แถวถาดข้าว ไม่สนใจเสียงร้องประท้วงและอาการดีดดิ้นเล่นตัว รีบหิ้วเจ้าหมาตะกละกลับไปวางบนตักแสงเหนือ ทีแรกฝ่ายนั้นสะดุ้งและทำท่าจะโยนก้อนกลมขนฟูทิ้งออกนอกกำแพง “อย่าโยนนะ ไหนบอกไม่เกลียดหมาไง หรือว่ากลัว”

ริชชี่ที่เงยหน้าเจอคนที่เพิ่งทำร้ายจิตใจมันไปเมื่อครู่แล้วไม่พูดพล่ามทำเพลง ตะกายสี่ขาขึ้นบนอกกว้างแล้วตั้งหน้าตั้งตาเลียหน้าชายหนุ่มเป็นการใหญ่เพื่อหวังสารภาพรัก

“นั่ง... นั่ง! อย่าเลีย มันสกปรก เฮ้ย” แสงเหนือจุปาก คว้าลูกสุนัขไว้ด้วยความทุลักทุเลเนื่องจากความพยายามแสดงออกความรักแบบสุดกึ๋นของมัน “ไอ้นี่พูดจาไม่รู้เรื่อง ไหนเขาว่าลาบราดอร์ฉลาดกันนี่ ผ่าเหล่ามาหรือไงเรา”

จินดนัยนั่งเท้าคางมองลูกสุนัขจ้องหน้านายหนุ่มแบบจงรักภักดีแล้วถอนหายใจ พึมพำ “เป็นหมานี่ดีนะ มันไม่เคยนึกโกรธ นึกเกลียดคนที่เคยทำร้ายมันเลยสักครั้ง”

ยิ่งเห็นกิริยาลูบหัวเจ้าริชชี่ที่กำลังทำหน้าเคลิบเคลิ้มแล้วค่อยแน่ใจว่าแสงเหนือไม่ได้เกลียดหมาจริงๆ เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจจะเข้าใจอะไรผิด คิดว่าริชชี่จะมาตอกย้ำความพิการของตัวเองมากกว่า “ลูกหมาที่จะเอาไปฝึกน่ะต้องมีสมาธิ มีความอดทน ไม่ตกใจอะไรง่ายๆ เจ้าริชชี่มันฟังคำสั่งใครรู้เรื่องบ้าง รักแต่จะเล่นสนุก สมาธิสั้น ขี้ลืม จิตตก ใจแตกแบบนี้คงโดนทางฟาร์มคัดออกตัวแรกเลยมั้ง”

“หึ รู้เรื่องพวกนี้ดีจังนะเรา” ริชชี่นอนหงายท้องอ้าซ่าให้คนพูดเกาพุงอย่างสบายอุรา ทำเอาจินดนัยชักหมั่นไส้ ทีเมื่อกี๊ทำตาปรอย หางตกอย่างกับหมาวัดติดหวัด ทีตอนนี้ล่ะทำเป็นลืม

“ผมเคยดูหนังเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องที่มีสุนัขนำทางเป็นพระเอก เดินเรื่องตั้งแต่ตอนมันเกิด ตอนมันถูกเลือกแล้วก็ต้องไปฝึก กว่ามันจะได้อยู่กับเจ้านายตาบอดก็ไม่ใช่ง่ายๆ เขาต้องทดสอบตั้งหลายขั้นกว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันได้ แถมตอนจบเรื่องนี้ทำเอาผมร้องไห้จนตาบวมเลย อายชะมัดตอนเดินออกจากโรงหนัง”

“ฉันไม่เคยดู เรื่องมันจบยังไง” แสงเหนือขยับเกาหูเกาคางให้ริชชี่ที่ตอนนี้นอนนิ่งเหมือนหมาตายแล้วขึ้นสวรรค์ก็ไม่ปาน

“มันอยู่กับเจ้านายจนเขาตาย ...มันอยู่กับเขาจนวันตาย” คงเหมือนเขากระมัง ต้องอยู่ข้างๆ แสงเหนือจนตายกันไปข้าง

“แล้วนายล่ะ จะอยู่กับฉันจนวันตายหรือเปล่า” คำถามตามติดเกิดตรงใจเขาอย่างน่าบังเอิญ และมันทำให้เขาเผลอตอบไปก่อนจะทันมองว่าแสงเหนือพูดกับเขาหรือพูดกับหมา “...อืม”

ปรากฏว่าชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันที จินดนัยเองก็สะดุ้งกับการเผลอหลุดปากและยิ่งแน่ใจว่าเมื่อครู่แสงเหนือคงแค่ถามเล่นๆ กับเจ้าริชชี่ ไม่ใช่เขา ยิ่งทำให้หน้าร้อนเห่อ อยากหารอยแตกตามพื้นแล้วมุดหลบไปสักพัก รอคอยฟังเสียงหัวเราะเยาะกับคำตอบผิดคิวตลกๆ ของเขาด้วยอาการกลั้นหายใจ

แต่แสงเหนือกลับยิ้มอ่อนโยน ใบหน้าที่เคยเอาแต่บึ้งตึงกลับดูมีเสน่ห์เหมือนในสมัยก่อนตอนที่ชีวิตยังมีแต่ความสมบูรณ์แบบ จินดนัยยังตั้งหลักกลับตัวไม่ถูกว่าคำตอบรั่วๆ จากความเข้าใจผิดจะทำให้แสงเหนือมีความสุขอะไรได้ขนาดนั้น เจ้าตัววางริชชี่ลงกับพื้นแล้วยกมือขึ้นดม “ทำไมกลิ่นแชมพูถึงไม่หอมเหมือนตอนนั้นเลย”

“ตอนนั้น... อ๋อ” นึกถึงตอนแสงเหนือจับแขนเขายกดมพิสูจน์กลิ่นแล้วค่อยถึงบางอ้อ “มันก็กลิ่นนี้ล่ะ แต่คงจางไปแล้ว มีแต่กลิ่นหมาเหลือ”

“งั้นเหรอ ไหนเอาแขนนายมาซิ” ขอมือหมาไม่ได้ แสงเหนือจึงเริ่มหันมาขอมือเขาแทน ฝ่ายคนยื่นยื่นให้แบบกล้าๆ กลัวๆ เลยตั้งตัวไม่ทันยามโดนขึ้นยกจรดจมูกก่อนคนจมูกดีจะประกาศ “กลิ่นนี้ล่ะ เจ้าจิน...หรือว่านายจะเอาแชมพูริชชี่ไปอาบกันแน่ หา”

“ฮึ่ย จะบ้าเหรอ” กระตุกแขนกลับทันควัน อยู่ดีไม่ว่าดีหาว่าขโมยแชมพูหมามาอาบน้ำเสียฉิบ “ผมไม่ใช่หมานะ สบู่ผมก็ใช้ของคุณในห้องน้ำนั่นล่ะ แล้วจะไปใช้ของหมาทำไม ถ้าว่าผมกลิ่นเหมือนหมา คุณเหนือก็ต้องเหมือนกันล่ะ”

ยกแขนตัวเองดมแล้วแสงเหนือก็ส่ายหน้า “ไม่เหมือน กลิ่นนายมันหอมแบบหวานๆ เหมือนลูกกวาด”
“ฮึ่ย จะ...จะบ้าเหรอ” แบบนี้ทั้งปี เวลาคับขันแล้วดันนึกคำด่าไม่ออก “คุณเหนือบ้าแล้ว คนนะ จะไปกลิ่นเหมือนลูกกวาดได้ไง”

“เหมือนไม่เหมือน ลองชิมดูก็รู้” คนตาบอดตั้งท่าขยับลุก เล่นเอาจินดนัยหน้าเหวอเผลอยกเท้าถีบเก้าอี้ฝ่ายนั้นโครมจนร่างสูงสะเทือนแต่กลับยังหัวเราะลั่นคล้ายดีใจที่แหย่เขาสำเร็จ ...คนอะไรวะ ประสาทเปล่า ชอบให้คนอื่นโมโห ยิ่งเห็นหัวเราะไม่ยอมเลิก ยิ่งเหมือนโดนหยามเลยยกเท้าถีบรัวอีกหลายโครม

“ขำไร ไม่เห็นตลก” ริชชี่ที่ตกใจวิ่งหนีไปไกลตอนเขายันโครมแรกวิ่งหน้าเริ่ดกลับมาอีกครั้ง คงเพิ่งตั้งหลักได้และคิดว่าพวกเขาเล่นสนุกกัน “มานี่ ริชชี่ อย่าไปยุ่งกับคนบ้า บอกให้มานี่ไง”

แม้แต่หมายังแปรพักตร์ เจ้าริชชี่หันไปออเซาะคนบ้ายิ้ม ทำอย่างกับรู้จักกันมานานหลายปี หงุดหงิดกับลูกกระจ๊อกทรยศจนต้องลุกเดินหนีดื้อๆ พอแสงเหนือถามก็ตะโกนตอบด้วยความเกรงใจ “ไปขี้!”
อารมณ์เสียจากการเสียหน้าจนหน้ามืดตามัวเกือบเดินชนคุณรตีที่มายืนแอบอยู่ตรงระเบียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่เขาก็ยกมือท่วมหัวแทบไม่ทัน “เจ้าจิน...”

“ผม...ไม่ได้... คือมันกะทันหัน” ทั้งกะทันหัน ทั้งฉุกเฉินจนยกเท้าถีบเก้าอี้เจ้านายไปหลายสิบครั้ง ตะโกนว่าไปขี้จนได้ยินไปถึงหน้าปากซอยเท่านั้นเอง “ขอโทษครับ”

“ตาเหนือหัวเราะ ตอนฉันได้ยินยังไม่อยากจะเชื่อ” สายตาของคุณรตีจ้องอยู่ที่ลูกชายซึ่งกำลังเล่นกับเจ้าริชชี่อยู่สลับกับมองเขาไปด้วยแบบแค่เห็นก็น่าเวียนหัวแทน ...เอ่อ เขากับแสงเหนือไม่ได้ตีเทนนิสกันอยู่นะครับ มองให้เสร็จเป็นคนๆ ไปก็ได้ “เรานี่เก่งนะ พูดกับตาเหนือแค่แป๊บเดียว แกก็ยอมเล่นกับเจ้าริชชี่แล้ว ไหนจะ...”

เริ่มเกิดอาการพองลมยืดอกอย่างไม่รู้ตัว แต่ยังไม่ทันจะฟื้นจะฝอย คุณรตีก็ออกคำสั่ง “ดีเลย พรุ่งนี้เราไปกับตาเหนือด้วยนะ ฉันจะพาลูกเข้าไปดูงานที่โรงแรม ถ้าเป็นเราคงไม่โดนตาเหนือเอาไม้เท้าตีหัวแตกตอนแกหงุดหงิดมั้ง”

เห็นปากอ้าค้างของเขาแล้วคุณรตีคงเพิ่งนึกออก รีบแก้คำพูดเป็นการด่วน “ไม่แย่ขนาดนั้นหรอก แค่...ครั้งก่อน ตาเหนือเจอเจ้าอั้ม... แกเป็นหลานห่างๆ ของฉัน ลูกพี่ลูกน้องตาเหนือน่ะแต่คู่นี้เขาไม่ค่อยถูกกัน พอบังเอิญเจอเข้าเลยหงุดหงิด เจ้าเด็กคนก่อนเลยซวยที่ดันไปขวางทางพอดี แค่เย็บไปไม่กี่เข็มแต่มันบอกว่าแม่ที่บ้านป่วยเลยต้องลาออก”

เรื่องมีคนไม่ถูกกับแสงเหนือน่ะพอรับได้ แถมเข้าใจดีเลยว่ามันเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ถ้ามีผู้ชายคนไหนเข้ากับแสงเหนือได้ดีสิถึงจะผิดธรรมชาติ แต่เรื่องฟาดคนรับใช้หัวแตกเนี่ย ฟังยังไงก็รับไม่ได้ น่ารังเกียจสุดๆ เขายังไม่ทันจะขอตัวกลับบ้านแม่บ้าง เจ้าคนน่ารังเกียจก็เริ่มเรียกหา “จิน! ยังขี้ไม่เสร็จอีกเหรอ”

นอกจากหน้าหม้อแล้วยังหน้าด้าน ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน ตั้งแต่ตัวเท่าลูกหมายันตัวโตเท่าตึก ตอนตาดีหรือตาบอด ไม่ว่าเมื่อไหร่ แสงเหนือมักจะทำให้เขาขันติแตกได้ง่ายๆ เหมือนในอดีต ไม่ว่าจะเป็นจินดนัยคนไหนต่างก็เป็นศัตรูกับแสงเหนืออยู่ดี

ลุยก็ลุย ดีสิ เพราะถ้าไอ้หมอนั่นกล้าตีเขาหัวแตกจริง จะได้กะซวกมันให้ไส้ไหลแล้วบอกว่าเป็นการป้องกันตัว เรื่องเฮงซวยบ้าบอคอแตกนี่จะได้จบเสียที

++++++++++++++++++++++++++++++

TBC

ifwedo

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #15 เมื่อ10-06-2008 15:42:39 »

สนุกดีๆๆ

Taurus

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #16 เมื่อ10-06-2008 16:29:49 »

เริ่มน่ารักแล้วดิ   :m1: :m1: :m1: :m1:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #17 เมื่อ10-06-2008 16:46:19 »

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ขำจินมาก...ใจอ่อนเร็วๆ นะ

ช่วยเหนือหน่อย  สงสารง่ะ

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #18 เมื่อ10-06-2008 20:45:37 »

สงสารเหนือนะ ไม่น่าตาบอดเลย จะรักษาได้มั้ยเนี่ย

Tsukasa999

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #19 เมื่อ10-06-2008 22:28:01 »

 :oni2:สนุกมากกกกกกกกก

จินตลก แสงเหนือก็เอาแต่ใจซะ 555 ชอบๆๆๆ

รอตอนต่อไปค่ะ  จะรอๆๆ :a1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
« ตอบ #19 เมื่อ: 10-06-2008 22:28:01 »





dear1127

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #20 เมื่อ11-06-2008 15:57:24 »

ดันๆ รอตอนต่อไปสนุกมากครับ





************************************
เจาะไข่เด็กใหม่ซะเรย อิอิ +1 สำหรับโพสแรกด้วยนะคร๊าบบบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2008 16:10:41 โดย yayoy »

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #21 เมื่อ11-06-2008 17:54:56 »

ติดตามงานของคุณ DD เสมอฮะ  o13

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #22 เมื่อ11-06-2008 18:25:17 »

มารอแระเนี่ย



เมื่อไหร่จะมาค้า

sarin

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #23 เมื่อ11-06-2008 20:21:32 »

 :m20:..รอดูปฏิบัติการฉบับจินค้าบ..อิ.อิ. :a4:

mhewkowron

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #24 เมื่อ11-06-2008 23:31:59 »

มานอนรอ...... :a12:

ออฟไลน์ Mint

  • นิสัย!!
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +881/-17
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #25 เมื่อ12-06-2008 01:50:59 »

 :m1: :m1: :m1:

มารอด้วยคนค่ะ

 :oni1: :oni1:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #26 เมื่อ12-06-2008 13:00:26 »

อ๋อยยยยยยยยยยยยยยยยยยย   o2

กว่าจะตามทัน  ตาลาย


ไม่ต้องลงมากขนาดนี้ก้ได้คะ

เจ้พาลจะเป็นลมกว่าจะตามทัน  o2

ออฟไลน์ Daow

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #27 เมื่อ12-06-2008 13:01:41 »

หนีงานมาแอบรอเหมือนกันจ้า :m23:

yayoy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #28 เมื่อ12-06-2008 13:43:58 »

มะวานทำงานหัวฟูไปหน่อย ไม่ได้มาลงเลย ขออภัยอย่างสูงฮับ

 :m23: :m23:
กลัวเจ้สองจะตาลายอีก งั้นวันนนี้ลงให้ 1 ตอนก่อน แล้วค่อยมาทยอยลงทีละตอนเนอะ....

ขอเวลาแปร๊บบบบบ เด๋วมาลงให้คร๊าบบบบ


yayoy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
«ตอบ #29 เมื่อ12-06-2008 14:26:25 »

~ ด้วยรักจากสวรรค์ 7 - ศัตรูหมายเลขหนึ่งกะทันหัน ~

ถึงปากจะพูดโง้นพูดงี้ พอถึงเวลาลงสนามจริง จินดนัยก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เมื่อนึกถึงว่าเขาไม่ได้ออกไปไหนไกลๆ มานานโขนับแต่ตอนตาย พอกลับมาปุ๊บก็ไม่ทันมีเวลาไปเดินเล่นไหนเพราะมัวแต่มุ่งตรงมาหาตัวต้นเรื่องท่าเดียว มาตอนนี้เมื่อจะได้นั่งรถไปบริษัทกับคุณรตีและแสงเหนือ เขาจึงรู้สึกเหมือนตอนประถมที่จะได้ไปทัศนศึกษากับทางโรงเรียนเป็นครั้งแรก แค่เปลี่ยนจากท้องฟ้าจำลอง สวนสัตว์อะไรเทือกนั้นเป็นโรงแรมสุดหรูใจกลางเมืองซึ่งคุณรตีเป็นหุ้นส่วนใหญ่อยู่เท่านั้นเอง

ตามประสาเด็กใฝ่รู้อีโก้สูง สมัยก่อนตอนเขาจะไปทัศนศึกษา เขาก็หาข้อมูลสถานที่ที่จะไปไว้พร้อมพรัก ชนิดบอกได้เลยว่าเสือ สิงโต ลิงค่างบ่างชะนี อีเก้ง อีเห็นแต่ละตัวมาจากส่วนไหนของโลก เมื่อคืนเขาย่องไปศึกษาข้อมูลมาจากลุงโตมาแล้วเรียบร้อยเช่นกัน ลุงโตเล่าว่าหุ้นในโรงแรมนี้เป็นมรดกตกทอดมาทางครอบครัวคุณรตี ซึ่งฝ่ายคุณเตโช พ่อของแสงเหนือไม่เคยยื่นมือเข้ามายุ่งกับสมบัติเก่าของภรรยา เพราะทางคุณเตโชก็มีบริษัทน้อยใหญ่ให้ดูแลมากพออยู่แล้ว เมื่อก่อนแสงเหนือเคยตามคุณรตีเข้ามาศึกษางานอยู่บ่อยๆ เพียงแต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุแล้ว คุณรตีกลับประสบความสำเร็จในการลากลูกชายมาที่นี่ได้แค่สองสามครั้งเท่านั้น ซึ่งนับว่าน้อยมากสำหรับผู้เป็นว่าที่ประธานฝ่ายบริหารคนต่อไป

เมื่อเขาถามถึงคุณอั้ม ลุงโตกลับหัวเราะ “อ๋อ คุณอั้ม...คุณเมืองเอกเป็นลูกพี่ลูกน้องคุณเหนือ คุณรตีท่านรับมาจากญาติห่างๆ ตั้งแต่ยังเล็กแล้วส่งเสียอุปการะจนเรียนจบมีงานทำ อายุมากกว่าคุณเหนือห้าหกปีแต่ชอบทำตัวเป็นเด็ก คอยหาเรื่องคุณเหนืออยู่บ่อยๆ แต่ก่อนนะเจ้าจินเอ๊ย ท่านสองคนแข่งกันอย่างกับอะไรดี โดยเฉพาะเรื่องจีบหญิงนี่ถึงขั้นเอาเป็นเอาตายเลยเชียว บางครั้งคุณเหนือชนะ แต่บางครั้งคุณอั้มก็คาบไปกิน อย่างว่านะ แข่งเรื่องไหนแข่งได้แต่คุณเหนือก็แพ้เรื่องวัยวุฒิอยู่ดีล่ะ”

ได้ข้อมูลเป็นที่น่าพอใจแล้ว จินดนัยก็นอนหลับและตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อใหม่สำหรับเขาซึ่งเป็นเสื้อเก่าของแสงเหนือที่คุณรตีโละมาให้ นั่งจ้องรอชายหนุ่มตื่นอยู่ข้างเตียง เห็นร่างสูงขยับนิดหนึ่งก็รีบเรียก “คุณเหนือ ตื่นเถอะ”

“อือ...” รับคำแต่ตาปิดสนิทแถมซุกหน้าหนีไปอีกด้าน จินดนัยจึงตามไปกระซิบข้างหู สะกดจิตให้ตื่น “จงตื่น จงตื่น จงลืมตาเดี๋ยวนี้ คุณเหนือ คุณเหนือ... คุณเหนือโว้ย!”

คนขี้เซาลืมตาพรึ่บ ทำหน้าตื่นตกใจพร้อมยันตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนชนเข้ากับเขาที่ถอยหลบไม่ทัน หัวโขกกันดังโป๊กสนั่น เล่นเอาจินดนัยลงไปนอนความจำเสื่อมหลายวินาที “อ๊ากกก! เจ็บ เจ็บอ้า ไอ้คุณเหนือบ้า จะลุกทำไมไม่บอก ฮือ หัวแตกเปล่าวะ”

เบี่ยงหลบมือใหญ่ๆ ของอีกฝ่ายที่ควานเปะปะมาโดน “ไม่ต้องมายุ่ง อย่าจับ มันเจ็บ” ปัดมือยุ่มย่ามลูบหัวลูบหน้าให้มั่วซั่วแต่กลับโดนคนเพิ่งตื่นเอ็ดเสียงเขียว “ใครใช้ให้ยื่นหน้ามาซะชิดเล่า อย่าร้อง แล้วหัวแตกจริงหรือเปล่า อูย แต่ที่แน่ๆ ฉันว่าฉันต้องหัวโนแหง”

หลังจากแน่ใจว่าเขาไม่ได้หัวแตกจริงอย่างที่โม้ ชายหนุ่มก็ยกมือคลำรอยแดงบนหน้าผากตัวเองป้อย ถามห้วน “วันนี้มาแปลก ทำไมนายถึงตื่นก่อนฉันได้”

“วันนี้คุณรตีจะพาคุณเหนือไปโรงแรมไง ลืมแล้วเหรอ คุณรตีบอกให้ผมไปด้วย รู้แล้วก็รีบๆ อาบน้ำสิ” ปรากฏว่ากว่าจะงัดแสงเหนือขึ้นจากเตียง อุ้มเข้าห้องน้ำ จับแต่งตัวหวีผมได้ก็กินเวลาไปมากโข เกือบตบะแตกไปหลายรอบ ได้แต่พยายามนึกให้แสงเหนือเป็นแค่เด็กอนุบาล ดี๊ด๊าวันศุกร์ ก๋าได้วันเสาร์ หดวันอาทิตย์ เกลียดวันจันทร์เข้าไส้และบังเอิญว่าวันนี้มันก็เป็นวันจันทร์พอดีนั่นล่ะ

ตอนกินข้าว แสงเหนือยังทำตัวโอ้เอ้ชนิดน่าเอาหัวโหม่งให้ตื่นอีกรอบ เคี้ยวข้าวเป็นเคี้ยวเอื้อง เขาเลยพลอยเกร็งจนเมื่อย ตื่นเต้นจนหาย ท้ายสุดถึงขั้นปลงและแค่รอดูว่าเมื่อไหร่เจ้าเด็กโข่งจะลงดิ้นปัดๆ กับพื้น ร้องไม่ไป๊ ไม่ไปเท่านั้น จึงค่อนข้างผิดคาดเมื่อในที่สุด พวกเขาก็ได้เคลื่อนขบวนออกจากบ้านเพื่อมุ่งหน้าไปยังบริเวณใจกลางเมืองที่โรงแรมตั้งอยู่

ทันทีที่รถจอดเทียบหน้าทางเข้าล็อบบี้ พนักงานในชุดสีเข้มคนหนึ่งก็พุ่งปราดมาเปิดประตูรถให้กับผู้โดยสารบนเบาะหลัง มีชายในชุดสูทเข้ามากล่าวทักทายคุณรตีกับแสงเหนือด้วยท่าทางนอบน้อมและเชิญให้ออกเดิน ตัวเขาเองก็เริ่มตื่นบรรยากาศไฮโซจึงรีบแถเข้าไปข้างแสงเหนือที่ไม่เคยคิดจะปิดบังหน้าบอกบุญไม่รับอยู่สักนิด

“แล้วนี่ตาอั้มไม่เข้ามาหรอกเหรอ” คุณรตีเอ่ยถามกับผู้จัดการและได้รับคำตอบว่า “คุณเมืองเอกออกไปพบแขกข้างนอกน่ะครับ แต่คิดว่าเย็นๆ น่าจะกลับเข้ามาอีกรอบ”

คุณรตีพยักหน้ารับรู้ขณะที่แสงเหนือทำหน้าสบายอกสบายใจ พอเห็นดังนั้นแล้วจินดนัยชักสงสัยหนักว่าคนแบบไหนกันหนอที่แสงเหนือเกลียดขี้หน้าจนไม่อยากเจอ เพราะปกติหมอนี่ออกแนวเกะกะระรานเขาไปทั่ว ถนัดเดินชน ขับรถชนศัตรูมากกว่าจะคอยหลบเลี่ยงแบบนี้

เขาผันตัวเป็นติ่งเนื้องอกห้อยติดสีข้างชายหนุ่มจนกระทั่งตามมาถึงหน้าห้องประชุมก่อนที่คุณรตีจะหันมาสั่ง “เจ้าจิน เดี๋ยวค่อยกลับมาตอนใกล้ๆ เที่ยงแล้วกัน ไปเดินเล่นรอในโรงแรมก่อนก็ได้ หรือจะไปเดินห้างใกล้ๆ นี่ก็ตามใจ แต่ต้องกลับมาให้ทันเที่ยงนะ เข้าใจไหม”

“ครับ” รับคำนอบน้อมแต่ต้องคิ้วกระตุกจนได้ยามเสียงทุ้มเอ่ยล้อ “เดินเล่นน่ะได้ แต่อย่าหลงทางจนกลับมาไม่ถูกนะ ฉันขี้เกียจประกาศหาเด็กหาย”

ครั้นได้อยู่ตามลำพัง เขาก็นึกถึงลุงโต กะจะชวนแกมาเดินเป็นเพื่อนรอบโรงแรมเสียหน่อย แต่พอวิ่งตามไปเจอแกนอนดูโทรทัศน์ที่ห้องพักคนขับรถในอาคารจอดรถ แกกลับโบกมือไล่

“ข้าขี้เกียจ เอ็งไปเดินเล่นคนเดียวเถอะ ขึ้นไปดูสระ ดูบาร์ชั้นบนก็ได้ สวยดีหรือไม่งั้นก็เดินข้ามไปฝั่งห้างสิ ทางเชื่อมอยู่ตรงชั้นล็อบบี้นั่นล่ะ” ลุงโตฟังคำโอดครวญเกลี้ยกล่อมเขาอยู่นานก่อนจะหมดความอดทน “บ๊ะ ไม่กล้าเดินคนเดียวหรือไง ไอ้หนู ถ้ากลัวหลงทางนักก็ถามทางเขามาเรื่อยๆ สิวะ พนักงานเต็มไปหมด เอ็งไม่ต้องกลัวจะหลงกลับบ้านไม่ถูกหรอก”

โดนจี้ใจดำเข้า จินดนัยจึงเรียกกำลังใจฮึดสู้สภาพแวดล้อมไฮโซเดินตึงตังกลับเข้ามาในโรงแรมอีกรอบ ชะเง้อดูบริเวณล็อบบี้ที่เดินผ่านมาแล้วเดินเลี่ยงไปอีกด้าน เขาเดินโต๋เต๋วนเข้าไปในโซนร้านค้าบริเวณชั้นล่างได้สักพักก็ต้องเดินกลับออกมาเพราะมีแต่ร้านขายเสื้อสูท หนังสือต่างประเทศและเพชรพลอยเครื่องประดับ เดินเลี่ยงเข้าไปในลิฟต์และกดชั้นมีสระว่ายน้ำกับบาร์ตามที่ลุงโตบอก ซึ่งไม่สร้างความผิดหวังให้เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก จินดนัยก็เห็นน้ำสีฟ้าใสในสระว่ายน้ำขนาดใหญ่กลางแจ้งอยู่ตรงหน้านี่เอง

บริเวณรอบๆ สระมีเก้าอี้สำหรับนอนตากแดดวางเรียงอยู่ มีแขกชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งนอนอาบแดดในชุดว่ายน้ำโดยไม่สนใจใครอื่นนัก ตรงสุดปลายขอบสระมีบาร์เครื่องดื่มขนาดไม่ใหญ่นักเปิดให้บริการแก่ลูกค้าอยู่ด้วย

จินดนัยสะบัดรองเท้าแตะออกและขึ้นไปนอนเล่นบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มองไปรอบๆ นอกจากครอบครัวฝรั่งที่จูงลูกเล็กๆ ลงเล่นน้ำแล้ว ส่วนใหญ่มีแต่คนต่างชาติอาศัยนอนอาบแดดกันทั้งนั้น ฝรั่งหนุ่มสาวผมทองที่มีทั้งชนิดอ้วนกลมและผอมสูงนอนตากแดดตัวแดงเป็นกุ้ง นอกจากนี้ก็มีผู้ชายอีกคนเดียวที่ไม่ได้ใส่ชุดว่ายน้ำหากเป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสีเข้มกำลังคุยกับแหม่มสาวในชุดบิกินี่อย่างสนุกสนานที่มองมาทางเขาสองสามครั้ง

นอนได้ไม่นาน จินดนัยต้องรีบอพยพเปลี่ยนที่ เบนเข็มเข้าหาบริเวณใต้เงาร่มแทน ยกแขนแดงๆ จากการตากแดดไม่ถึงห้านาทีของตัวเองดูแล้วส่ายหน้า เห็นทีถ้าได้ไอ้ร่างใหม่นี่มาจริงๆ คงต้องฟิตกันยกใหญ่กว่าจะหล่อเฟิร์มได้เท่าร่างเก่าล่ะมั้ง เขาเงยหน้ามาเจอสายตาของผู้ชายแต่งตัวเต็มยศที่นั่งหลีสาวผมทองเมื่อครู่มองตรงมาพอดี และไม่ยอมเมินหลบยามสบตากับเขาอีกต่างหาก

มองอะไรวะ หรือว่าที่นี่ห้ามคนไทยเข้ามานั่ง อย่านะเฟ้ย ไม่รู้หรือไงว่าเขาน่ะเด็กใคร เขาเป็นคนติดตามเจ้าลูกชายหุ้นส่วนใหญ่ของโรงแรมนี้นะเฟ้ย อย่าได้คิดมาดูถูก จินดนัยนั่งขึงตาจ้องจนฝ่ายนั้นยอมมองไปทางอื่นแทนแล้วค่อยสบายใจ เพิ่งหลับตาเคลิ้มๆ ได้แป๊บเดียวก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น ครั้นลืมตามาเจอฝรั่งตัวอ้วนกลมตากแดดเสียแดงแจ๋ในกางเกงว่ายน้ำตัวเล็กจิ๋วยิ้มกว้างอยู่เหนือหัว

เขาคุยกับฝรั่งแปลกหน้าได้พักหนึ่งก่อนที่ร่างอ้วนๆ จะเดินกะย่องกะแย่งไป ขณะที่เขากำลังจะลุกตามนั้นเองเสียงเอ่ยทักอีกเสียงก็หยุดไว้ก่อน คนพูดเป็นคนเดียวกับเจ้าของสายตาไร้มารยาทกำลังก้มหน้ายิ้มให้

“คุณว่าอะไรเซ็นๆ นะ ไม่รู้เรื่อง” ตอบนิ่งๆ แล้วร่างสูงๆ ของฝ่ายนั้นกลับถือโอกาสทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวติดกัน “อ้าว คนไทยเหรอ คิดว่าเด็กญี่ปุ่นหรือเด็กเกาหลีที่ไหนมานั่งเสียอีก”

ไทยแท้ขนาดนี้จะกิมจิได้ไง แถมอายุขนาดเขามันก็พ้นวัยเด็กมานานแล้ว ส่งสายตาไม่เป็นมิตรประมาณว่ารู้ไหม กรูมากับใครเข้าใส่ แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่รับรู้เข้าใจความหมายเอาเสียเลย “พักที่นี่เหรอ หรือว่ามากินข้าวเฉยๆ ...เอ งานฟังก์ชั่นวันนี้ก็ไม่มีแนะแนวการศึกษานี่นา”

“ที่นี่ห้ามคนไทยมานั่งเหรอ” เห็นอาการส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเขาก็ถามต่อ “แล้วคุณจะอยากรู้ไปทำไม ผมอยากนั่งนี่หรือนั่งตรงไหนก็เรื่องของผม” อย่านะอย่า เขายังไม่อยากเบ่งเส้นก๋วยจั๊บให้ดูเป็นขวัญตา

หากชายหนุ่มหน้าตาดีกลับไม่รับรู้ความหวังดีและคงเริ่มเห็นท่าว่ารักษามารยาทกับเขาไปก็ป่วยการจึงเผยยิ้มเหยียด “ถ้านายมากับแขกอยู่แล้ว ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าคิดจะมา...หาแขกจากในนี้ ฉันคงไม่ยุ่งไม่ได้” อาศัยจังหวะที่สมองเขายังตีความไม่แตก ฝ่ายตรงข้ามก็ย้ำคำพูดดูถูก “ปกติต้องโผล่มาตอนค่ำๆ ตามบาร์ข้างล่างนี่ เดี๋ยวนี้ได้แผนใหม่แล้วรึไง รีบไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่ฉันจะเรียกคนมาลากนายออกไป”

มือแข็งกำต้นแขนเขาแล้วออกแรงกระชาก จินดนัยซึ่งเพิ่งได้สติจึงเริ่มโวยลั่น “ไอ้บ้า! นายว่าใครเป็นอะไร ไอ้ชั่ว! ปล่อยสิโว้ย!”

หนอย ไม่ปล่อย ไม่ปล่อยใช่ไหม เดี๋ยวเจอท่าทุ่มพายุภูผาแล้วจะหนาว ติดแต่ว่าคืนวิชาให้อาจารย์ไปหลายปีแล้วบวกกับที่เขาเป็นคนไม่ชอบใช้กำลัง เลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยงและใช้แต่เสียงเข้าสู้ ดังนั้นหลายคนจึงได้เห็นภาพชายหนุ่มที่ลากร่างผอมๆ ของเด็กชายคนหนึ่งตรงไปที่ลิฟต์บริการ พนักงานหลายคนวิ่งมาตามเสียงร้องโวยวายแต่ก็ต้องชะงักยืนหันรีหันขวางแทน

เสียงใสตะโกนด่าหยาบคายจนเสียงแห้งก็มาถึงชั้นล่าง เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้จัดการประจำรอบซึ่งได้รับโทรศัพท์แจ้งจากพนักงานบาร์โผล่พรวดเข้ามาเห็นชายหนุ่มร้องลั่นกำลังเงื้อมือหมายจะซัดกะโหลกเจ้าเด็กบ้าซึ่งกัดแขนเขาเสียจมเขี้ยวพอดี “เดี๋ยวครับ! คุณเมืองเอก!”

สองคนที่กำลังฟัดกันหัวยุ่งหันขวับมามองผู้จัดการซึ่งยกสองมือ ตั้งท่าจะปรี่เข้ามาแงะพวกเขาแต่หยุดเท้าเสียก่อนด้วยท่าทางไม่ไว้ใจสถานการณ์ “เด็กนั่นมากับคุณรตี เป็นเด็กรับใช้คนใหม่ของคุณแสงเหนือครับ ไม่ใช่...เอ้อ แบบที่คุณเข้าใจ”

สายตาสองคู่หันกลับมาสบตาจ้องเขม็งก่อนต่างฝ่ายจะต่างสะบัดชิ่งหนีและมองอีกฝ่ายด้วยความรังเกียจเหยียดหยาม จินดนัยทำท่าถุยๆ ทิ้งขณะชายหนุ่มชักสีหน้า ตวาดลั่น “ฉันเห็นเธอคุยกับฝรั่งอ้วนนั่นตั้งนานแล้วยังมีการแอบลูบขานายอีก ถ้าไม่ได้ตกลงราคากันแล้วจะคุยกันเรื่องอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่านายตั้งใจจะหาลำไพ่พิเศษ...”

“โว้ย ไอ้ประสาท ฝรั่งคนนั้นเขาแค่เข้ามาคุยเฉยๆ เขาถามว่าผมซื้อกางเกงแบบนี้จากที่ไหน เขาอยากได้บ้างแต่ต้องไซส์ใหญ่กว่านี้” จินดนัยยกแข้งให้ดู คล้ายกับอยากยกให้ดูชนิดติดลูกกะตาด้วยท่าขึ้นขุนเข่า ให้ทะลุลูกกะตาออกไปได้ยิ่งดี “เขาขอจับกางเกงดูเนื้อผ้า ไม่ได้จับขา! ผมบอกว่ามีคนให้ ไม่รู้ว่าซื้อจากไหน แต่จตุจักรน่าจะมี เขาไม่รู้จักสวนจตุจักร ผมเลยจะลุกไปเขียนให้เขาดู แค่นั้นเอง! แล้วจู่ๆ คุณก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ มาถึงก็พูดจาหมาๆ แล้วลากผมมานี่ไง”

คนฟังคำอธิบายยืนคอแข็งแล้วเชิดจมูก ตั้งท่าจะเดินหนีไปดื้อๆ จินดนัยรีบเรียกคู่กรณีไว้ “คุณยังไม่ได้ขอโทษผม”

“ว่าไงนะ” ร่างสูงเดินย้อนมาด้วยท่าทางคุกคามจนผู้จัดการต้องเริ่มหน้าที่กรรมการห้ามมวย “ผมว่าใจเย็นๆ ก่อนดีไหมครับ ให้แล้วๆ กันไปน่าจะดีกว่า”

“คุณยังไม่ได้ขอโทษที่คิดว่าผมเป็นเด็กขายตัว ที่ลากผมมาจนถึงนี่ ที่มายืนด่าผมปาวๆ โดยไม่ยอมฟังคำอธิบาย ขอโทษผมมาเดี๋ยวนี้ไม่อย่างงั้น...” ยังขู่ไม่จบ เมืองเอกก็สวนทันควัน

“ไม่อย่างงั้นจะทำไม นายจะทำอะไรฉันได้” หน้าตาเยาะเย้ยขั้นรุนแรงกระตุ้นเร้าเซลล์ในสมองจินดนัยให้โพล่งสุดเสียง “ผมจะฟ้องคุณเหนือว่าคุณมันทุเรศขนาดไหน! คุณต้องเดือดร้อนหนักแน่... ขำอะไร! ไม่ได้พูดให้ขำนะ เดี๋ยว นั่นคุณจะไปไหน ผมบอกให้ขอโทษก่อนไง โธ่โว้ย!”

หลังหัวเราะจนน้ำตาเล็ด เจ้าผู้ชายอวดดีเลวสุดขั้วกลับเดินผิวปากหน้าเปื้อนยิ้มจากไป ทางผู้จัดการเองก็เห็นว่าเรื่องคงจบจึงพยักเพยิดหน้าให้เขาแบบไม่มีความหมายแล้วเดินหายไปอีกคน ทิ้งให้จินดนัยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนไม่มีอารมณ์จะทำอะไรอีกนอกจากเดินหงุดหงิดงุ่นง่านกลับเข้าลิฟต์เพื่อไปนั่งรอคุณรตีหน้าห้องประชุม แอบนึกเร่งในใจให้ประชุมเสร็จเร็วๆ เพื่อที่เขาจะได้ฟ้องว่าโดนเมืองเอกดูถูกมายังไงบ้าง

เลยเที่ยงไม่กี่นาที ประตูที่เขานั่งจ้องมาเกือบชั่วโมงก็เปิดออก คนในชุดสูททั้งหญิงและชายทยอยเดินกันออกมาเรื่อยๆ พอเขาลุกเด้งดึ๋งวิ่งไปชะโงกหน้าดูจึงเห็นคุณรตียังนั่งคุยกับแสงเหนือและชายวัยกลางคนที่ดูน่าอึดอัดแทนในชุดสูทเล็กไปสองเบอร์ รอสักพัก ชายอ้วนค่อยยกมือลาคุณรตีแล้วเดินกร่างกางแขนกางขามา ดวงตาหลุกหลิกสบตากับเขาที่เดินสวนเข้าไปแวบหนึ่ง แต่แค่นั้นกลับทำให้เขารู้สึกว่าหมอนี่ไม่น่าไว้ใจเสียแล้ว ทั้งที่ปกติ เขาไม่เคยตัดสินคนอื่นเพียงแค่ภายนอก หากครานี้คงเป็นเพราะอารมณ์เสียตกค้างจากเจ้าผู้ชายเฮงซวยคนนั้นแหงๆ

“คุณเหนือ” เจ้าของชื่อซึ่งนั่งหน้านิ่งยิ้มออกมานิดๆ ทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคยโอดครวญ “เสร็จแล้วหรือครับ ผมมานั่งรอตั้งนาน”

“อ้าว ไม่ได้ไปเดินเล่นแถวนี้เหรอ เด็กๆ อย่างเธอน่าจะชอบเดินห้างกันนี่” คุณรตีพูดกับเขาทั้งที่ตายังไม่ละไปจากเอกสารในมือ

“ผมไปเดินเล่นรอบๆ มาแล้วแต่ไม่ชอบ...” ถึงจะยังแค้นแสงเหนือ แต่แค้นล่าสุดนี่ฉุกเฉินกว่าหลายเท่า เขาแอบดึงเสื้อชายหนุ่มยิกๆ ตามประสาคนมีเรื่องคับอกคับใจ “คุณเหนือ...”

“รู้แล้วว่าหิว” แสงเหนือเอี้ยวมาตบมือเขาที่แอบดึงเสื้อตรงบ่าเบาๆ เหมือนเวลาเขาสอนริชชี่ให้ลงนั่งรอก่อนกินข้าวไม่มีผิด “รอเดี๋ยวสิ เดี๋ยวจะพาไปกินข้าวที่ห้องอาหาร อยากลองกินอะไรล่ะ อาหารจีน อาหารญี่ปุ่นหรือจะเอาอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ฉันกับแม่กินบ่อยจนไม่รู้จะเลือกอะไรแล้ว ครั้งนี้ให้นายเลือก”

หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังมีหน้ามาพูดเรื่องของกินอีก “...เอาบุฟเฟต์”

“เหนือไปกับเจ้าจินก่อนก็ได้ลูก เดี๋ยวแม่อ่านเอกสารของคุณชัชเสร็จแล้วจะได้ตามไปที่นั่นเลย ตกลงเอาบุฟเฟ่ต์ตามใจจินใช่ไหม” คุณรตีเงยหน้ายิ้มให้และมองตามเขาจูงลูกชายออกจากห้อง ระหว่างทางไปห้องอาหารไทยซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสองติดด้านหน้าโรงแรม จินดนัยก็เตรียมเรียบเรียงคำพูดกะว่าจะเล่าให้อีกฝ่ายฟังยังไงดี น่าจะรอคุณรตีก่อนด้วยดีไหมนะ เผื่อจะได้สองเด้งเรื่องที่หมอนั่นโกหกว่าออกไปพบลูกค้าทั้งที่ไปนั่งหลีสาวผมทองอยู่ตรงริมสระ ...แค่คิดก็แสนสุขใจ

พนักงานต้อนรับพาพวกเขาไปนั่งโต๊ะริมระเบียงซึ่งมองออกไปเห็นทั้งบริเวณล็อบบี้โอ่โถงและถนนภายนอก ทีแรกเขาก็ไม่เข้าใจยามพนักงานเสิร์ฟเข้ามาถามคุณชายตรงหน้าว่าจะรับอาหารเลยไหม แต่แสงเหนือกลับโบกมือ

“ไม่เป็นไร ให้คนของฉันจัดการเอง” ปฏิเสธพนักงานอย่างสุภาพแต่หันมาไล่เบี้ยเขาแทน “ไปตักอาหารให้ฉันสิ นายรู้นี่ว่าฉันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เร็วๆ ล่ะ หิวแล้ว”

ออกมาข้างนอกก็ยังโดนจิกหัวใช้อีก นี่กะว่าจะให้เป็นคนรับใช้ทุกลมหายใจเข้าออกเลยใช่มะ ตักอาหารมาส่งถึงโต๊ะแล้วเขาก็ยืนลังเลตั้งท่าจะขยับไปนั่งโต๊ะใกล้ๆ กันแต่โดนเรียกไว้ก่อน “จิน นั่งโต๊ะเดียวกันนี่ล่ะ ตอนใกล้เที่ยงแขกเยอะ จะนั่งไปทำไมหลายโต๊ะให้เปลืองที่”

เหลียวมองไปรอบๆ ถึงแขกจะค่อนข้างเยอะแต่ก็ยังห่างไกลกับคำว่าเต็มหรือแน่นขนัด “แต่...”

“บอกให้นั่งก็นั่งสิ” คร้าบ คุณชาย ไอ้ขี้ข้าจินดนัยไม่อยากจะเถียงจะมีเรื่องเลยจำต้องเลื่อนเก้าอี้นั่งร่วมโต๊ะแต่โดยดีและเริ่มฟาดอาหารน่าอร่อยด้วยความรวดเร็ว “อร่อยไหม”

“สุดยอด เป็ดอบส้มอร่อยมากๆ ปลาเก๋านึ่งใบกระเทียมนี่ก็อร่อย แค่แตะลิ้นก็แทบจะละลายแล้ว” อาหารอร่อยๆ สร้างความสุขให้เขาได้เสมอ อารมณ์ที่เคยขุ่นมัวเริ่มจะจางหายเมื่อเจอฤทธิ์ปูจ๋าระดับห้าดาว “ฮ้า อร่อยๆ”

“ฉันเคยกินที่นี่แต่จำไม่เห็นได้ว่ามันอร่อยขนาดนั้น” โอ๊ย ใครเขาจะไปเหมือนคุณล่ะครับคุณชาย พ่อเทพบุตรกระเพาะทองคำ “กินอะไรอยู่น่ะ ป้อนบ้างสิ อยากรู้ว่าอร่อยอะไรนักหนา”

เอาล่ะสิ ปูจ๋าก็ชักจะจ๊ะจ๋าไม่ออกแล้ว “เอ่อ คุณเหนือไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศนี่ อืม สำหรับคุณผมว่าคงไม่อร่อยหรอก”

“จิน” เสียงเรียกขุ่นๆ บ่งบอกอารมณ์ร้ายๆ เริ่มต้นแต่ก่อนที่คุณชายจะพลิกบทบาทมารับเล่นบทโจร คุณรตีก็เดินนำหน้าใครคนหนึ่งเข้ามาในคลองจักษุทันเวลา

“คุณรตีมาแล้ว ทางนี้ครับ ทางนี้” ลุกขึ้นยืนด้วยอารามดีใจแต่ทันทีที่เห็นว่าใครเดินตามหลังนายจ้างมาตาก็แทบล้นออกนอกเบ้า ขณะที่ยังหันรีหันขวาง ข้าศึกก็เข้าประชิดตัวเสียแล้ว

“น้องจินใช่ไหม คุณรตีเพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อกี๊ นั่งเถอะ ฉันไม่ถือหรอก นั่งกินโต๊ะเดียวกันก็ได้” เมืองเอกดึงจานที่เขาตั้งท่าจะยกแพ่นหัวไว้และส่งยิ้มเย้ยหยันให้ เขายังหาท่านั่งท่ายืนไม่ถูกตอนแสงเหนือเอ่ยห้วน “แม่พาหมอนี่มาทำไม”

ตั้งแต่มีเป็นตัวเป็นตนจนตายไปแล้วรอบหนึ่งเขายังไม่เคยเห็นแสงเหนือพูดจาโดนใจแถมทำหน้าออกแนวรังเกียจได้เจ๋งเป้งขนาดนี้มาก่อนจนแทบอยากจะไปยืนเชียร์อยู่ข้างๆ “ผมไม่อยากกินข้าวร่วมโต๊ะกับหมอนี่ ถ้าแม่อยากกินข้าวกับมันก็ชวนกันไปนั่งโต๊ะอื่นเลย”

น่าแปลกที่วาจาดูถูกดังกล่าวไม่ได้สร้างความโกรธเคืองหรือทำให้เจ้าคนยืนยิ้มแป้นแล้นหน้าสลดลงเลย ตรงกันข้าม เมืองเอกกลับทำหน้าเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะต้องได้ยินประโยคพรรค์นี้ คุณรตีเสียอีกที่ต้องเข้ามาจับแขนลูกชายไว้ “ไปเรียกพี่เขาว่ามันได้ยังไง แม่เคยขอเหนือแล้วใช่ไหมว่าถ้าไม่เห็นแก่ใครก็ช่วยเห็นแก่แม่บ้าง”

“...ก็ได้” ไอ้คุณชายยิ้มอย่างร้ายกว่าเดิมเป็นสองเท่าก่อนเอ่ยสุภาพ “รบกวนคุณอั้มไปให้ไกลๆ ทีนะครับ เพราะผมรังเกียจที่จะให้คุณร่วมโต๊ะด้วย”

“ตาเหนือ!” คุณรตีร้องอย่างตกใจ ตีแขนลูกชายดังเพี๊ยะ “พูดแบบนี้แล้วอั้มจะคิดยังไง อ้อ แล้วเจ้าจินอีกล่ะ ดูสิ มันยืนหน้าซีดหมดแล้ว คงตกใจที่จู่ๆ ลูกก็พูดจาหาเรื่องคนอื่นเขาแบบนี้”

หา ไม่จริงนะครับ ผมไม่ได้ตกใจสักกะนิด จริงอยู่ว่าผิวผมอาจจะขาดความเปล่งปลั่งไปสักนิด ติดซีดเซียวมากสักหน่อยแต่สุขภาพแข็งแรงดีครับ สาบานได้ “นั่งลงกินข้าวด้วยกันนี่ล่ะ ไม่ต้องให้ใครแยกหรือย้ายไปไหนทั้งนั้น แม่หิวแล้ว”

คาดว่าแสงเหนือคงเพิ่งเริ่มนึกถึงหน้าที่ลูกกตัญญูเลยทำให้หน้าขาวๆ นั่นแม้จะยังบูดบึ้งแต่ก็ไม่มีคำพูดหาเรื่องหลุดออกมาอีก เขาจำต้องลงนั่งลงที่เดิมซึ่งก็คือข้างขวาของแสงเหนือ คุณรตีจึงทรุดตัวลงนั่งอีกข้างของลูกชายและนั่นทำให้เขาต้องนั่งติดกับเมืองเอกโดยปริยาย

เป็นอาหารมื้อที่น่าพะอืมพะอมมากที่สุด ในเมื่อลิ้นของเขาไม่ยอมรับรู้รสชาติของอาหารชั้นเลิศเนื่องจากโดนกลบจนหมดด้วยสีหน้าท่าทางของผู้ชายทางด้านขวา คนที่กินพลาง ขยันจิกตามาทางเขาพลางเนี่ย มันชวนให้ต่อมรับรสเสื่อมถอยบอกไม่ถูก กะว่าถ้าไอ้แม่ไก่ตัวนี้บังอาจจิกหางตาใส่เขาอีกครั้งล่ะก็ มันต้องกลายเป็นไก่ย่างพริกไทยดำสถานเดียว

ทว่าฝ่ายนั้นกลับทำให้ฟ้าผิดหวัง ราวกับจะรับรู้ถึงจุดลิมิตของเขาได้ เมืองเอกจึงไม่ปรายตามองเขาอีกจนกระทั่งอาหารมื้อนั้นจบลง ศัตรูของเขาและแสงเหนือจึงปฏิเสธยามคุณรตีเอ่ยชวนไปเดินดูรอบๆ “ขอตัวกลับไปทำงานชดใช้ที่โดดช่วงเช้าก่อนแล้วกันนะครับ สวัสดีครับ คุณน้า ไปก่อนล่ะนะ แสงเหนือ อ้อ เจ้าหนูเด็กใหม่นี่ด้วย หวังว่า...จะทนเจ้าเหนือได้นานกว่ารายก่อนๆ นะ”

สรุปว่าทั้งเขาทั้งแสงเหนือโดนทิ้งท้ายไว้คนละดอกจนหน้าบูดไปตามๆ กัน คุณรตีเห็นท่าลูกชายคงใกล้ตบะแตกเต็มทีจึงยกเลิกกำหนดการเดินดูรอบๆ โรงแรมทั้งหมดและเอ่ยชวนพวกเขากลับบ้าน

++++++++++++++++++++++++++

TBC

+1 ให้ทุกเมนท์ที่เข้ามาให้กำลังใจด้วยนะคร๊าบบบบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด