ค่ำคืนที่ 11 : เด็กน้อยที่ถูกทิ้ง....Part 1
“ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ”
เสียงสบถดังอย่างไม่พอใจในขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษที่กำลังเดินทางไปยังอาราบัส ตามรับสั่งขององค์ราชาแห่งอนาคาน
มิกิเดินวนไปบนมาอยู่ด้านในด้วยความหงุดหงิด แม้จะเผลอตวาดเสียงถามพวกทหารที่จับตัวเขามาราวกับนักโทษ แต่ก็ไม่มีใครปริปากบอกอะไรเขาเลยสักคน การกระทำแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยราวกับเขาเป็นหมูหมาที่พร้อมจะทิ้งขว้างนั้นชวนให้น่าโมโหยิ่ง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยสักอย่าง นึกอยากจะมาก็ให้มานึกอยากจะให้ไปก็ไป
คำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัวจนสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นที่อนาคานกันแน่ ถึงเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา และเขาก็ไม่อยากจะรับรู้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันสักหน่อยว่า ไอคนที่ยิ่งธนูมาเพื่อหวังที่จะฆ่าเขานั้นต้องการอะไร! ในเมื่อบาซิกค์ดึงเขาเข้ามาในเรื่องบ้าๆนี้ได้ หากจะบอกความจริงคงไม่มีอะไรน่าตกใจไปกว่านี้อีกแล้ว
มิกินั่งลงบนฟูกเบาะของขบวนรถไฟพลางพยายามผ่อนลมหายใจสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้มากที่สุด แม้จะเป็นเรื่องดีที่เขาออกมาจากอนาคานได้สำเร็จดั่งใจ แต่ทำไมตรงกลางอกนี้กลับไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด มีแต่ความน่าโมโหหงุดหงิดคล้ายคนจะเป็นบ้าเสียให้ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน จนปวดหัวไปหมด มือยกขึ้นนวดตลึงอยู่ที่ขมับ
คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเองหรือไงกัน!
ก่นด่าอยู่ในใจ เอาเถอะ! ในเมื่อบาซิกค์ต้องการทำแบบนี้ เขาก็ยินดีจะสนองให้โดยจากไปให้พ้นๆจากทวีปทะเลทรายนรกนี่สักที
ไม่มีเหตุผลจะต้องสนใจ..
ไม่มีเหตุผลจะต้องรับรู้..
หยุดคิด..แล้วกลับบ้านสะมิกิ
เขาควรคิดแบบนั้นสินะ..
แผ่นหลังบางแนบพิงลงบนผนังเบาะ กายบางเอนลงพลางถอนหายใจยาวราวกับเบื่อชีวิตนี้เต็มทน ดวงตาสีอ่อนมองออกไปด้านนอกผ่านกระจกบานใหญ่ รอบด้านมีเพียงทะเลทรายสีมืดครึ้มที่ยังคงลายล้อมอยู่ทุกทิศ พระจันทร์ยังคงเด่นสง่ากลางผืนฟ้า ทว่ากลับไร้ซึ้งดวงดาราสะดับข้างกาย ทั้งๆที่ภาพตรงหน้านั้นงดงามแสนวิจิตร แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามัน..
โดดเดี่ยวนัก..
“นายกำลังคิดอะไรอยู่ บาซิกค์” ใจที่เหม่อลอยพร่ำไปตามคิด อยากรู้ให้หายแคลนใจในทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ทว่าคำถามนี้ คงไม่มีวันได้รับคำตอบอีกแล้ว.. ก่อนความมืดมิดจะเข้าปกคลุมพร้อมกับดวงทั้งสองที่ปิดลง..
เมื่อสัมผัสไออุ่นจากแสงอรุณที่สาดส่อง และรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ที่หยุดลง พอฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าขบวนรถไฟมาถึงยังอาราบัสแล้ว ทว่าไม่ทันได้พูดพร่ำสิ่งใด ตัวเขาก็ถูกพวกทหารโยนลงจากขบวนรถไฟอย่างรวดเร็วเสมือนอยากจะให้เขาไปสะให้พ้นๆ เด็กหนุ่มหันไปจะตัดพ้อต่อว่า แต่ไม่ทันไรขบวนรถไฟนั้นก็ปิดลงทันควันก่อนวิ่งกลับไปทันที ทำให้มิกิได้แต่ยืนอ้าปากค้าง ให้คำพูดมันกระจุกอยู่ที่ลำคอไม่ได้ระบายออกมา
นี่มันจะมากไปแล้ว!
เขาอยากตะโกนด่าเสียงดัง แต่ก็ทำได้เพียงเก็บงำไว้อยู่ในใจ ความรู้สึกที่คล้ายกับโดนตัดหางปล่อยวัดนี้ทำให้เขารู้ว่าไม่เคยมีค่าใดๆกับคนนั้นเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโห แต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นก็คือ การโยนเข้าทิ้งในสภาพที่มีเพียงแต่เสื้อผ้ากับลมหายใจต่างหาก!
ไม่ใช่ว่าอยากหนี แต่จะเอาเงินที่ไหนกลับประเทศ!
มิกิถอนหายใจอีกครั้ง เขาคงต้องอายุสั้นลงแน่ๆเพราะเรื่องบ้าๆพวกนี้ มือเรียวยกขึ้นเกาศรีษะจนเส้นผมสีอ่อนยุ่งเหยิง พยายามตั้งสิตใจนับหนึ่งสามในใจว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่พอเหลือบมอบสภาพตัวเอง ก็มีเพียงแค่ชุดโธปสีขาวค่อมเท้าบางๆ ผ้าคลุมเกล็ดงู และปลอกคอทองคำลายอสรพิษที่ถอดไม่ได้!
“ บ้าเอ้ย!.. ” สุดท้ายก็ทนไม่ไหวสบถกับตัวเองอย่างหัวเสีย จนคนรอบข้างในชานขลาหันมามองเป็นทางเดียว แต่เด็กหนุ่มกลับไม่สนใจ สนใจแค่เพียงเขาจะทำอะไรได้บ้างตอนจากนี้ต่างหาก!
นี่บาซิกค์คิดจะใช้วิธีนี้แกล้งเขาหรือไงถึงได้ทำแบบนี้ เขาอยากได้อิสระก็จริงแต่อย่างน้อยถ้าจะให้จากกันโดยดีก็น่าจะมีของสมนาคุณให้เขาเสียบ้าง ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด สุดท้ายจึงได้แต่เดินย้ำเท้าตึงตังเตร็ดเตร่เข้าไปในเมืองอาราบัสหวังไปไปตายเอาดาบหน้าว่าพอจะหาลู่ทางกลับบ้านเกิดได้หรือไม่
ตอนนี้..เขาเหนื่อย..กระหายน้ำ และอยากได้ที่พัก
ทว่า..ไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียว แม้ท่ามกลางทะเลทรายปัจจัยเรื่องเงินจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะน้ำคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ตอนนี้ถ้าอยู่ในเมืองแห่งการค้าแล้ว ถ้าไม่ใช้เงินแลกที่พัก แล้วจะให้ไปใช้อะไร!
ตอนนี้เป้าหมายแรกก็คือ การหาเงินมาใช้ และตอนนี้สิ่งที่พอจะขายก็มีเพียงแค่ผ้าคลุมเกล็ดงูมันเลื่อม ถึงมันจะเป็นสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะช่วยกลบกลิ่นดอกเพเซียที่อยู่ในร่างกายของเขาไม่ให้แผ่ออกมาได้ แต่เขาไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆ เพราะไอของที่ดูมีราคาที่สุดกลับถอดไม่ได้นี่สิ
มิกิเดินเข้าไปในเมืองอาราบัส เมืองเล็กๆทว่ากลับมีชีวิตชีวาด้วยการค้าขายทุกประเภท โดยเฉพาะเรื่องทาสมนุษย์ที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนว่าโลกใบนี้ยังคงมีอยู่
ตลอดสองฝั่งข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งร้านขายผ้า ร้านขายเครื่องประดับ และร้านขายของแห้งจำพวกเครื่องเทศ และถั่วอบแห้ง ถึงสิ้นค้าในทวีปแห่งทะเลทรายนี้จะดูเหมือนๆกันไปหมดและไม่ค่อยมีสิ่งใดน่าสนใจน่าดึงดูดเท่ากับประเทศที่เจริญแล้ว แต่เมื่อเอาอาราบัสไปเทียบกับอนาคาน อนาคานกลับดูเหมือนชนบทชนกลุ่มน้อยไปในทันที น่าแปลกที่อนาคานน่าจะมีของมีค่ามากมายเพราะดูจากภายในพระราชวังที่โอ่อ่าและเต็มไปข้าวของงดงามแล้ว แต่ภายในเมืองกลับไม่มีสิ่งใดเลยสักอย่าง ถึงจะบอกว่าผู้คนภายในเมืองนั้นคือมนุษย์งูกันทั้งหมดจึงไม่จำเป็นจำสนใจกับเรื่องสินค้าก็ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไร เพราะตลอดเวลาที่อยู่นั้น มีเพียงครั้งเดียวที่เห็นคนมีหัวเป็นงู แต่นั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่าเพราะมันก็มืดมากแล้วเขาก็เห็นไม่ชัดเท่าไร แต่สิ่งที่เขาแน่ใจก็คืน คนในอนาคานสามารถควบคุมอสรพิษได้ และนับถือพวกมันเสมือนเป็นเทพเจ้า
แต่นั้นก็เป็นเพียงความคิดของเขาเพียงฝ่ายเดียว..และไม่เคยได้รับคำอธิบายใดจากใครในอนาคาน
ทำไมมันน่าหงุดหงิดแบบนี้นะ..!?
อีกครั้งที่เรื่องของอนาคานฉุกคิดขึ้นมาในหัวจนน่าโมโหตัวเองจนลืมสังเกตรอบด้าน เวลานี้ มีผู้คนมากมายที่แต่งกายเช่นเดียวกับชาวอาหรับที่มีผ้าโพกศรีษะต่างจับจ้องมาทางทางเขาแทบทุกคนที่เขาเดินผ่าน
มีอะไรติดหน้าเขางั้นหรือ
มือเรียวยกขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของตัวเอง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
หรือว่าชุดเขาจะแปลกกว่าคนอื่น...แต่มองดูแล้วก็ไม่ใช่ ถ้างั้นสิ่งใดล่ะ
" เอ๊ะ! " เขาสะดุ้งตัวทันทีเมื่อมีชายชราแต่งตัวดั่งเช่นชาวอาหรับมาหยุดอยู่ตรงหน้า สายตานั่นกำลังสะท้อนภาพบางสิ่งที่อยู่บริเวณลำคอ
" พ่อหนุ่ม ปลอกคอนี่..ทองคำงั้นหรือ" ชายชราเงยหน้าขึ้นมาถาม ทำท่าจะเอื้อมมือมาจับที่ลำคอของเขา
" ปะ..เปล่าครับไม่ใช่ ขะ..ขอโทษครับ " เด็กหนุ่มต่างชาติปัดมือนั้นออกอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณ ก่อนรีบเดินเบี่ยงตัวหนีไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรซะขึ้นชื่อว่าเมืองแห่งการค้าคงไว้ใจอะไรไม่ได้ ยิ่งเป็นการใส่ของมีค่าเอาไว้กับตัว ก็ยิ่งเหมือนการล่อเสือให้มาขย้ำ โดยเฉพาะทองดำซึ่งเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด แต่จะให้เขาทำยังไงได้ ในไไอปลอกแสนซวยนี่มนถอดไม่ได้!
มิกิรีบเดินหนีออกมาจนเหนื่อยหอบ เพราะปลอกคอเจ้าปัญหานี่ทำให้เขาต้องคอยกำชับปลอกคอเสื้ออยู่ตลอดเวลา ตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำอย่างเร่งด่วนก็คือการหาที่พักแล้วหาอะไรมาปิดปลอกคอบ้าๆนี่ ก่อนสายตาของเขาจะไปสะดุดอยู่ที่ร้านๆหนึ่งซึ่งอยู่ข้างๆตนปาล์มสูงใหญ่ ดูแล้วน่าจะเป็นร้านขายของเก่า ซึ่งดูแล้วที่นี่อาจจะทำให้เขาขายผ้าเกล็ดงูทิ้งได้
มิกิเดินเข้าไปในร้าน แล้วรีบหยิบผ้าเกล็ดงูมาพ่อค้าประเมินราคา แต่พอพ่อค้ามาตรวจดูสภาพของผ้าชิ้นนี้ก็ถึงกับตาลุกวาว และถามกับเขาว่าไปได้มาจากที่ใด พอพูดชื่อนครเมืองนาคินขึ้นมา พ่อค้านั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สายตาเจ้าเล่ห์นั้นไม่รู้ว่ารู้จักหรือไม่รู้จักชื่อเมืองแห่งนี้กันแน่แต่ ก่อนจะบอกราคาออกไปอยู่ที่ 2 พันลูซ มิกิกระพริบตาปริบๆแม้ไม่รู้ว่าราคาของผ้าคลุมนี้เท่าไรแต่ก็รู้ว่าคงไม่ใช่ราคาที่แท้จริงของผ้าผืนนี้แน่ จึงแกล้งขู่ไปว่ารู้จักกับคนในราชวังของอนาคาน อย่างสนิดสนม หากอยากได้ผ้านี้เขาจะไปขอมาให้ ทีแรกพ่อค้าไม่เชื่อ แต่พอโ๙ว์หลักฐานเป็นปลอกคอทอง(ที่ถอดไม่ได้)อยู่ที่ลำคอ และมันก็ได้ผลเกินคาด การต่อรองจบอยู่ที่ 5 พันลูซ แถมด้วยแผนที่ของเมืองอาราบัสและทะเลทรายฮาซานมาอีกฟรีๆจนเด็กหนุ่มแอบแอบแปลกใจเล้กน้อย เพราะใครจะรู้ล่ะว่าถึงอนาคานจะเป็นเมืองปิด แต่พอยังมีอิทธิพลต่อเมืองรอบด้านรวมทั้งความต้องการในผลิตภัณฑ์ของเมือง แต่ก่อนที่จะหาที่พัก เขาต้องหาร้านที่สามารถกำจัดปัญหาใหญ่โตบนคอเข้าเสียก่อนจะได้ไม่เป็นเป้าสายตา
หลังจากแวะร้านผ้าเพื่อซื้อผ้าพันคอมาปกปิด แม้จะร้อนเหงื่อท่วม ในที่สุด มิกิก็ได้ที่พักชั่วคราวเป็นห้องเล็กๆในโรงแรมซ่อมซอในราคาไม่ถึง 1 พันลูซต่อคืน ในห้องนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากเตียงนอนแข็งๆ โต๊ะเก้าอี้เก่าๆใกล้พังหนึ่งชุด และบานหน้าต่างที่ไม่มีตะแกงกั้น ทว่าสภาพเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่าการมีเตียงนุ่มๆหรือมีข้าราชบริวารมาดูเหมือนตอนที่อยู่ในวังอนาคานเสียอีก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหายแปลกๆ
มิกิล้มตัวลงนอนลงบนเตียง ดวงตาสีเขียวอ่อนเงยมองดูเพดานที่มีรอยแตกร้าวสมสภาพโรงแรมเก่าๆ จากนี้เขาจะทำอย่างไรต่อไปกับอิสระที่ได้ครอบครองดี ในหัวมันว่างเปล่าไปหมด แต่เขาจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้เช่นกัน เงินหนึ่งห้าพันลูซไม่สามารถประทังชีวิตได้ตลอดไป เขาจำเป็นจะต้องหาทางติดต่อศูนย์วิจัย เพื่อให้ที่นั่นส่งคนมารับเขากลับไปที่ญี่ปุ่น แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ ความคิดเขาก็ชะงักงันในทันที ภาพในอดีตย้อนกลับมาจนดวงตาเบิกกว้าง ความเจ็บใจกับการหักหลังทรยศของเพื่อนร่วมงานทำให้เขากัดฟันแน่นด้วยความเครียดแค้น
คำถามหนึ่งก็คือ..จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้หากศาสตร์จารย์ค็อดเลอร์และพวกชั่วช้านั้นยังรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่..เขาจะติดต่อที่นั่นไม่ได้ แต่จะมีทางไหนบางล่ะที่เขาจะได้กลับไปแล้วลากไอพวกสารเลวนั้นเข้าคุกให้สมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับเขาและศาสตราจารย์โลเกีย
คิดไม่ออกเลย..
“ เฮ้อ.. ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นในห้องที่เงียบเฉียบ กายบางบิดตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัวของคนที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน กระทั่งสายตาเหลือบเห็นม้วนกระดาษแผนที่ที่เขาได้มาจากร้านขายของเก่า จึงเดินไปหยิบมาขึ้น พอกางออกก็พบแผนที่รอบๆเมืองอาราบัสที่ลายล้อมไปด้วยดินแดนแห่งทะเลทราย
มิกิพยายามหรี่ตามองแผนที่อย่างครุนคิด ที่จริงแล้ว เขาดูแผนที่ไม่เป็นเท่าไร แต่ก็พอจะมองลู่ทางออกมาอยู่บ้างว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วสถานที่จากมาอยู่ทางทิศใด ซึ่งมันเป็นเหมือนการจินตนาการภาพในหัวและคาดเดา แต่น่าแปลกที่มันกลับได้ผลจนน่าใจหาย
มิกิมองแผนที่ไปเรื่อยๆ ทีแรกเขาจะลองเดาทิศทางของเมืองอนาคานว่าตั้งอยู่ที่ใด แต่ตอนที่เขาถูกนำตัวมาจนขึ้นรถไฟกลับถูกปิดตาจนมองไม่เห็นอะไร รู้สึกตัวอีกก็อยู่บนรถไฟเสียแล้ว นั่นทำให้เขาต้องล้มเลิกความตั้งไปโดยปริยาย แต่แล้วความคิดหนึ่งกลับแล่นเข้ามาหัว ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่น่าจะเป็นประโยชน์นอกจากการตอกย้ำจิตใจของตัวเองเล่น
จากตรงนี้คืออาราบัส..แต่ถ้าไล่ขึ้นทางเหนือออกไปจะพบโอเอซิส แล้วที่นั้นก็เป็น..
นิ้วมือเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงรูปแอ่งน้ำบนแผนที่ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นโอเอซิสที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองมากนัก
“ ศูนย์วิจัยอยู่นี่สินะ.. ” เด็กหนุ่มกล่าวเรียบๆกับตัวเอง ก่อนจะพับแผ่นที่แล้ววางไว้ที่โต๊ะตามเดิม บางทีหนทางที่จะทำให้เขากลับประเทศบ้านเกิดได้อาจจะอยู่ที่นี่ก็ได้..
สองวันผ่านพ้นไปโดยไร้ซึ่งเงาของเด็กหนุ่มต่างชาติ บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นอกจากมีรับสั่งด้วยใบหน้าตายด้านว่า อีกสองอาทิตย์ตกฟาก ฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะถูกดำเนินไปตามกฏตามช่วงอายุ 210 ปีของเทพนาคิน นั่นคือ ฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายที่เขาจะต้องเลือกราชีนีคู่บัลลังค์ เพื่อให้กำเนิดโอรสเทพนาคินองค์ใหม่ จากนั้นองค์ราชาก็เก็บตัวอยู่ในห้องจำศีลตลอดเวลาเพื่อชำระล้างจิตใจและความรู้สึกทุกอย่างที่คงมีให้ว่างเปล่า โดยทิ้งการปกครองเบื้องบนไว้ให้องค์ชายบาฮาลเป็นการชั่วคราว
นั่นเป็นสิ่งที่องค์ชายบาฮาลควรกระทำตามอย่างไม่มีข้อแม้และไม่ควรคิดสงสัย ทว่า..ความรู้สึกแปลกบางอย่างกลับบอกเขาว่า ในแววตาของพี่ชายตัวเองนั้นมีแต่ความเศร้าสร้อยโดดเดี่ยว ถึงแม้ภายนอกที่แสดงออกมาจะเยือกเย็นยามที่สบสายตานั่นเหมือนเช่นเคย แต่ลึกๆเข้าไปกลับไม่ใช่ ระหว่างที่โดนกักขังจากโทษทัณฑ์เขาก็พอรู้เรื่อวราวอยู่บ้างจากซาอิด แต่เพราะเขาไม่เห็นกับตาจึงไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ถึงจะคิดว่าการปล่อยตัวมิกิไปนั้นทางเลือกที่ถูกต้อง ซึ่งอนาคานควรได้รับ แต่ทำไมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เข้าจึงเรียกซาอิดเข้าเพื่อสอบถามให้ชัดเจน
ความเจ็บปวดในดวงตาสีอำพันคู่นั้นคือสิ่งใด..
“ ข้าไม่เคยเห็นสายพระเนตรขององค์ราชาเป็นเช่นนี้มาก่อน” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาใจเอ่ยขึ้นในห้องทรงงานของราชาแห่งอนาคาน เรียกหัวหน้าราชบริวารเพียงหนึ่งเดียวที่เข้าเฝ้าเป็นเพื่อนคู่คิดหันมาสบ ใบหน้าที่เคยประดับรอยยิ้มเหมือนเช่นเคยกลับเปลี่ยนเม้มริมฝีปากลงเสียแน่น คล้ายกับกำลังลำบากจะที่บอกบางอย่างในสิ่งที่ถาม แต่ก็เลือกที่จะออกความเห็นออกไป
“ องค์ราชา ทรงทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดเพื่ออนาคานแล้วพ่ะย่ะค่ะ ”
“ สิ่งที่ถูกต้อง? ” บาฮาลเลิกคิ้วถามในคำตอบที่ต่อให้ฟังอีกครั้งก็ยังไม่เข้าใจ
ซาอิดเบือนหน้าหนีไปทางอื่นคล้ายไม่อยากสบสายตา อาการเช่นนี้องค์ชายแห่งอนาคานจึงแน่ใจได้เลยว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนจะผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เค้นคำถามที่สามารถกรีดหัวใจคนฟังเป็นริ้วๆได้
“ แล้วถ้าหากสิ่งที่ถูกนั้นคือการส่งเจ้าไปตายที่ซาคาเดียร์เหมือนพี่ชายเจ้าล่ะซาอิด ”
ฟังความบาดหัวใจจบ ซาอิดหันกลับมาสบกับเจ้าของคำถามด้วยแววตาที่แข็งกระด้าง ริมฝีปากเผยอขึ้นคิดต่อว่าไปตามแรงยั่วโทสะ แต่ก็มีสติเพียงพอไม่พลั้งปากออกไป
“ หากนั่นคือสิ่งที่สมควรกระหม่อมเองก็มิอาจขัดรับสั่ง ” พยายามปรับน้ำเสียงให้สงบนิ่งมากที่สุด แต่บาฮาลกลับคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี
“ เจ้ามันโง่เง่า ซาอิด คำตอบของคำถามนี้ ข้าอยากรู้จริงว่าจะมีใครบ้างที่ไม่รักชีวิตตัวเองเช่นเจ้าบ้าง ”
บาฮาลส่งสายตาทอดมอง หัวหน้าราชบริวารที่ยื่นตัวแข็งปั่นหน้าไม่ถูกกับคำตอบที่ได้รับ สังเกตเห็นมือเรียวที่กำแน่น ซาอิดรู้สึกกำลังถูกดวงตาสีกรมเข้มนั้นเล่นงานอย่างหนัก จะหายใจแต่ละครั้งก็รู้สึกอึดอัด เหมือนกำลังถูกล้วงลึกเข้าไปในจิตใจ สายตาคู่นั้นช่างเหมือนกับองค์ราชาบาซิกค์ไม่มีผิด
“ ถึงปากเจ้าจะพูดว่าไป แต่ข้าก็ยังคงได้ยินเสียงหัวใจที่ตื่นกลัวของเจ้าอยู่ดี ”
“ เช่นนั้นพระองค์จึงอยากจะตรัสว่า องค์ราชามิควรเสด็จไปยังซาคาเดียร์หรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงจะพิสูจน์ความกล้าได้ ” ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าจนหลุดพ้นจากสายตาพันธนาการนั่น เสียงที่เริ่มขึ้นดังแสดงที่แรงอารมณ์ที่เริ่มเก็บกลั้นไวไม่อยู่ ทว่าคำถามที่ถามออกไปกลับทำให้องค์ชายบาฮาลต้องขมวดคิ้วเป็นปมแน่น
“ ต่อให้คิดเช่นนั้น อย่างไรพวกเราก็คงเปลี่ยนแปลงกฏของเทพนาคินไม่ได้! ”
บาฮาลตวาดดัง ม่านประเพณีที่เคร่งครัดถูกยกขึ้นพูดจนคนฟังถึงกับสะอึก ความจริงที่เหล่านาคินทุกคนรู้ดีและให้การเคารพปฏิบัติกันมาช้านานนั้นไม่มีวนเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่พูด ซึ่งเป็นเสมือนโซ่เหล็กขนาดใหญ่ที่มัดตรวนพวกเขาไว้ด้วยกันอย่างไม่มีข้อแม้ ทว่า หากโซ่นั้นทำให้เกิดบาดแผลอย่างไม่ยุติทำก็ควรจะปลดทิ้งใช่หรือไม่
“ แต่การคิดไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงพ่ะย่ะค่ะ การกระทำต่างหาก ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ” ซาอิดยังคงยืนกรานเสียงเดิม องค์ชายบาฮาลยืนขึ้นจากที่นั่งประทับทรงงาน ก่อนจะสาวเข้ามาใกล้หัวหน้าราชบริวารหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนสบลงไปยังนัยน์ตาสีครามดุจท้องฟ้าสดใส มือทรงอำนาจตบลงไปบนบ่าหนักๆ ราวกับจะตักเตือน
“ การเปลี่ยนแปลง ข้าชอบคำนี้แต่ไม่ใช่กับอนาคาน ” ถ้อยคำนั้นเหมือนจะให้ความหวังแต่กลับตัดทอนเสียจนเสียกำลังใจทว่าซาอิดยังคงพูดต่อไป
“ อนาคานหวาดกลัวต่อกฏของเทพนาคินเกินไป ซึ่งนั่นทำให้ที่นี่อ่อนแออย่างไร้เหตุผล หากท่านมิกิถูกมองว่าเป็นสิ่งเลวร้าย แล้วกฏของเทพนาคินล่ะพ่ะย่ะค่ะคือสิ่งใด ”
“ ซาอิด!! ” สรุเสียงตวาดก้อง ไม่พอใจที่ร่างตรงหน้าพูดจาหมิ่นกฏเทพนาคิน ทว่าซาอิดยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่นลงทุกที
“ หากเกิดขึ้นซึ่งฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย กฏของเทพนาคินก็ยังคงอยู่เช่นเดิม นั่นคือสิ่งที่พวกเราปรารถนาจริงๆหรือเป็นเพียงแค่ความเห็นแก่ตัวกันแน่ พวกเราควรจะคิดให้ดี ว่าบรรณนาการนาคินเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นการเล่นสนุกของซาคาเดียร์ ”
“ หยุดนะ! ”
“ ทีแรก กระหม่อมมองว่า องค์ราชาทรงไม่ต้องการเช่นนั้น..แต่เพราะพวกเรายังต้องการได้รับการปกป้อง จึงเรียกร้องทุกอย่างจากเทพนาคิน ที่องค์ราชาบาซิกค์ทรงทำไม่เป็นแค่เพียงยื้อชีวิต แต่นั้นรวมไปถึงชาวนาคินทุกคนที่จะไม่ได้ถูกเป็นส่งไปเป็นเครื่องบรรณนาการที่ซาคาเดียร์อีก แต่พวกเรากลับโง่เขลาเกินและคิดว่ากฏคือทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่! ”
“ซาอิด!”
ขอบตามเริ่มร้อนผ่าวขึ้นทุกที
“ตอนนั้น ในความหมายที่แท้จริงกลับไม่มีใครเข้าใจ รวมทั้งกระหม่อมด้วย เรื่องทั้งหมดที่ทูลบอก กระหม่อมไม่ได้คิดคดทรยศอนาคานแต่อย่างใด แต่ไม่อยากให้ใครต้องเสียชีวิตอีกแล้ว พระองค์อาจจะมองเรื่องนี้มันเป็นไปได้ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลง แต่บรรณนาการนาคินก็เป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไปและไม่ยุติธรรมเลยสักนิด การที่ส่งพี่ชายของประหม่อมไปตายนั่นสมควรแล้วหรืออย่างไร ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างทั้งนั้น กฏบ้าบอเช่นนี้กระหม่อมมิอาจยอมรับได้เด็ดขาด ที่ทำได้ก็มีเพียงรักษาเทพนาคิน แต่พวกเรากำลังส่งพระองค์ไปสังเวย ถ้าตอนนี้ไม่ใช่พระองค์ที่พอจะช่วยองค์ราชาได้แล้วจะมีใครเป็นไปได้อีก..กระหม่อมไม่อยาก..กระหม่อมไม่.. ”
แหมะ..
จู่ๆน้ำตาก็ไหลลงมาเป็นสายไม่หยุดหย่อนพร้อมกับสิ่งที่เก็บงำอยู่ในใจ สติที่พยายามควบคุมแตกกระเจิงออกเป็นเสี่ยงเช่นเศษแก้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้เสียงที่พร่ำระบายออกมาหยุดชะงักไปไม่ใช่น้ำตาของตัวเอง แต่เป็นมือทั้งอุ่นทั้งสองข้างที่ประคองใบหน้าของเขาให้เงยขึ้นมาสบดวงตาสีเข้มทรงอำนาจคู่นั้น วินาทีเหมือนกำอากาศายไปชั่วขณะ เพียงแค่มองก็เหมือนกับกำลังสะกดทุกสิ่งให้กำดิ่งลึกลงไปในหลุมดำที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทว่ากลับสงบและเยือกเย็นจนไม่อยากจะถอดถอนตัวขึ้นมา ใบหน้าคมเข้มอยู่ใกล้ ปลายจมูกโด่งสันแนบชิดเพียงลมหายใจ ริมฝีปากอ่อนนุ่มเพียงแค่ขยับก็สัมผัสได้กลีบปากหนาสวยของคนตรงข้าม หัวใจมิอาจตอบได้ว่าเต้นเป็นจังหวะเดียวกันหรือไม่ แต่ตรงใต้แผ่นอกนี้กลับใกล้จะระเบิดออกเต็มที เมื่อสัมผัสใก้ลชิด
องค์ชายบาฮาลขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เห็นใบหน้านั้นที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งๆที่เป็นคนที่เกลียดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และไม่ชอบขี้หน้า แต่พอเริ่มเห็นซาอิดเป็นเช่นนี้หัวใจมันก็กระตุกแปลกๆ จนต้องใช้มือทั้งสองประคองใบหน้านั้นขึ้นมาเพื่อให้ได้สติ กระทั้งคนตรงหน้านิ่งเงียบไปกับการกระทำ ทว่าถ้อยคำที่พร่ำออกมาทั้งหมดมันคล้ายว่าซาอิดกำลัง..
“ เจ้าคิดสิ่งใดกับองค์ราชาอยู่กันแน่ซาอิด..” มือหนาทั้งสองค่อยๆผละออก คำถามที่ไม่คาดคิด พร้อมกับน้ำเสียงเรียบสงบแต่แฝงไปด้วยความตัดพ้อจนคนฟังถึงกับใจหาย ซาอิดมองการกระทำขององค์ชายนิ่ง ปากกำลังจะเอ่ยปากอธิบายทุกสิ่ง แต่องค์ชายบาฮาลกลับหันแผ่นให้แล้วกล่าวไล่อย่างเย็นชา
“ ออกไปซะ ข้าเกลียดคนอย่างเจ้าที่สุด ” สิ้นรับสั่งไม่แม้แต่จะปรายตามอง หัวหน้าราชบริวารหนุ่มได้แต่โค้งจำใจรับคำสั่ง แต่ในใจกลับรู้สึกเจ็ยแปล็บขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ไฉนเรื่องทั้งหมดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน ก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากห้องทรงงาน พร้อมเสียงประตูที่ปิดลงพร้อมกับประโยคหนึ่งที่ยังคงดังก้องในหูขององค์ชายแห่งอนาคาน
‘มีเพียงพระองค์ที่สามารถช่วยองค์ราชาได้..’