พิมพ์หน้านี้ - Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: EtuDe ที่ 20-07-2015 22:14:22

หัวข้อ: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 20-07-2015 22:14:22
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

****************************************************************************************



Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน


คำเตือน

1. เรื่องนี้ ช x ช หากรับไม่ได้กรุณากด X มุมขวาจอ

2. เรื่องนี้มีกลิ่นไอทะเลทราย กรุณาเตรียมครีมกันแดด แว่นตากันแดด ผ้าเช็ดหน้าซับเลือด ให้พร้อม

3.ไม่เหมาะสำหรับคนที่กลัวสัตว์เลื้อยคลาน

4.บทบาท สถานที่และตัวละครล้วนสมมุติขึ้นมาจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นไม่มีอยู่จริง


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    แม้ลมทะเลทรายร้อนระอุ มิอาจร้อนเท่ารสรักที่กำลังแผดเผาบนเรือนร่างอันเปลือยเปล่า..
ดวงตาอสรพิษที่จ้องมอง เหมือนกำลังต้องการปลดเปลื้องทุกสิ่ง และกระหายกลืนกินไปจนถึงหัวใจ..

 
♦ ทาส...รัก ♦

 

♦ ทาส...อารมณ์ ♦

 
วรรณกรรมร้อนแรง ที่อาจจะทำให้ลืมหายใจ..

By EtuDe

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สารบัญ

ค่ำคืนปฐมบท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3130163#msg3130163)
ค่ำคืนที่ 1 :  ทะเลทราย (Part 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3130211#msg3130211)  /   ทะเลทราย (Part 2 [จบ] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3130230#msg3130230) )
ค่ำคืนที่ 2 : โอเอซิส (จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3132160#msg3132160)
ค่ำคืนที่ 3 : ดวงตา (Part 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3132951#msg3132951) / ดวงตา (Part 2 [จบ] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3132953#msg3132953))
ค่ำคืนที่ 4 : ราชาอสรพิษ (Part 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3133988#msg3133988)/ ราชาอสรพิษ (Part 2[จบ]) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3133989#msg3133989)
ค่ำคืนที่ 5 : เสียงกระดิ่ง (Part 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3138355#msg3138355)/เสียงกระดิ่ง (Part จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3138358#msg3138358)
ค่ำคืนที่ 6 : สายลม (จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3144268#msg3144268)
ค่ำคืนที่ 7 : อนาคาน (Part 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3145578#msg3145578)/ อนาคาน (Part จบ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3145579#msg3145579)
ค่ำคืนที่ 8 : ล่าม (Part 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3147117#msg3147117)/ ล่าม (Part 2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3147120#msg3147120)/ ล่าม (Part จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3147125#msg3147125)
ค่ำคืนที่ 9 :   เม็ดทรายที่มิอาจรวมตัว..(Part 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3151572#msg3151572) / เม็ดทรายที่มิอาจรวมตัว..(Part จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3151579#msg3151579)
ค่ำคืนที่ 10 : หัวใจที่แห้งแล้ง (Part 1)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3157106#msg3157106)/ หัวใจที่แห้งแล้ง (Part จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3157108#msg3157108)
ค่ำคืนที่ 11 : เด็กน้อยที่ถูกทิ้ง (Part 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3159205#msg3159205) / เด็กน้อยที่ถูกทิ้ง (Part จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3159206#msg3159206)
ค่ำคืนที่ 12 : อาทิตย์กลางพายุทราย (Part 1)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3161037#msg3161037)/ อาทิตย์กลางพายุทราย (Part 2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3161039#msg3161039) / อาทิตย์กลางพายุทราย (Part 3) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3161044#msg3161044) / อาทิตย์กลางพายุทราย (Part จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3161046#msg3161046)
ค่ำคืนที่ 13 : น้ำผึ้งบนผืนทราย (Part 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3163545#msg3163545) /น้ำผึ้งบนผืนทราย (Part 2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3163550#msg3163550) /น้ำผึ้งบนผืนทราย (Part 3 NC) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3163559#msg3163559) /น้ำผึ้งบนผืนทราย (Part 4)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3163564#msg3163564)/น้ำผึ้งบนผืนทราย (Part จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3163565#msg3163565)
ค่ำคืนที่ 14 : สายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์ (จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3165490#msg3165490)
ค่ำคื่นที่ 15 : แก้แค้น (Part 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3173141#msg3173141) / แก้แค้น (Part 2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3173145#msg3173145) / แก้แค้น (Part จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3173148#msg3173148)
ค่ำคืนที่ 16 : น้ำตาที่ระเหยบนผืนทราย..Part 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3179296#msg3179296) / น้ำตาที่ระเหยบนผืนทราย..Part 2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3179302#msg3179302)/ น้ำตาที่ระเหยบนผืนทราย..Part 3  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3179304#msg3179304)/น้ำตาที่ระเหยบนผืนทราย..Part จบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3179305#msg3179305)
ค่ำคืนที่ 17 : เกล็ดทรายใต้ผืนน้ำ Part 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3204008#msg3204008)  /  เกล็ดทรายใต้ผืนน้ำ Part จบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3204015#msg3204015)
ค่ำคืนที่ 18 : พระชายาแห่งอนาคาน Part 1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3204022#msg3204022)/ พระชายาแห่งอนาคาน Part 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3204032#msg3204032) / พระชายาแห่งอนาคาน Part จบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3204033#msg3204033)
ค่ำคืนที่ 19 : ของขวัญ Part 1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3204050#msg3204050)/ ของขวัญ Part 2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3204058#msg3204058)/ ของขวัญ Part จบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3204059#msg3204059)
ค่ำคืนที่ 20 : ดวงตาเนตรเทพนาคิน Part 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3207794#msg3207794) / ดวงตาเนตรเทพนาคิน Part 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3207797#msg3207797) / ดวงตาเนตรเทพนาคิน Part 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3207801#msg3207801) / ดวงตาเนตรเทพนาคิน Part จบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3207802#msg3207802)
ค่ำคืนสุดท้าย : ชายาคู่บัลลังก์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47878.msg3211113#msg3211113)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เข้ามาเม้าท์มอย คุยกับนักเขียน ได้ที่....

www.facebook.com/Etude.writer (https://www.facebook.com/Etude.writer?fref=photo)
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนปฐมบท+ค่ำคืนที่ 1]UP 20/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 20-07-2015 22:16:33

ค่ำคืน ปฐมบท.......


แม้ลมทะเลทรายจะแผดเผาร่างกายจนมอดไหม้ ก็มิอาจสู้บทเรียนรักที่กำลังสั่งสอนคนอวดดีให้รู้จักสำนึก เรือนร่างนี้เหมือนใกล้จะแหลกสลายลงไปทุกที ทุกครั้งที่อีกฝ่ายกระแทกกระทั้งเข้ามาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หากแต่เสียงลมหายใจอันอ่อนระทวยราวกับคนใกล้สิ้นลมไม่ได้ทำให้ใครคนนั้นเบาแรงลงแต่อย่างใด

 


ทำไมกัน...ทำไมตัวเขาต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้ด้วย แค่เพียงต้องการจะเอาตัวรอดจากเหตุการณ์บ้าๆนี่ แต่เมื่ออยู่ในเงื้อมือของมัจจุราช หนทางสู่อิสรภาพนั้นก็กลับกอดรัดไว้จนกลายเป็นศูนย์

 

ไม่สิ...ไม่ใช่ คนคนนี้ไม่ใช่มนุษย์

 

แต่จะมีใครที่ยอมเชื่อเรื่องตำนานโบราณงี่เง่านี่บ้าง ถ้าไม่พบเจอกับตัวเองก็ไม่มีวันรู้ ซึ่งตอนนี้มันกำลังแผดเผาวิญญาณของเขาให้เป็นจุณ

 

ร้อน...

 

           ร้อนเหลือเกิน...

 

            ทั้งๆที่ไม่ควรยินยอม แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟังคำสั่งเลยสักนิด ราวกับดวงเนตรสีเหลืองทองคู่นั้นกำลังครอบครองชีวิตอันน่าสมเพชให้ตกเป็นทาสรับใช้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ริมฝีปากอันเร่าร้อนยังคงสนุกกับการกลืนกินเรือนร่างที่อยู่ข้างใต้ รอยจูบสุกแดงดั่งกุหลาบสะพรั่งประดับไว้บนผิวกายขาวละเอียด มืออันแข็งแรงกดทับมือเล็กเอาไว้พร้อมกับเคลื่อนกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามให้แรงขึ้นดุจพายุทรายที่ทำลายทุกสิ่ง โดยมิได้สนใจใบหน้าของคนที่รองรับอารมณ์อย่างฝืนทน

 

            “ มิกิ....” เสียงทุ้มแห่บพร่าดังกระซิบ หากแต่ก้องทุ้มข้างใบหูของคนที่อยู่ด้านล่างดั่งมนต์สะกด เพราะยิ่งได้ยินมากเท่าไรก็ยิ่งปลุกอุณหภูมิในร่างกายให้ขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆไปจนถึงดวงหน้าที่แดงระเรื่อ ขณะที่นัยน์ตาคู่สวยกลับคลอไปด้วยหยาดน้ำตาหลากอารมณ์ที่ถาโถมจนไม่รู้จิตใจตัวเอง

 

            “ ย..อย่าเรียกชื่อผม..อึก ” ได้ยินคำหักห้ามกลับกระตุ้นการกระทำให้รุกเร้ารุนแรงมากขึ้น มือทั้งสองจับยกเรียวขาอันงดงามขึ้นพาดไหล่กว้าง กายแกร่งโน้มทับลงมาจนแนบชิดผิวเนื้อจนไม่มีช่องว่างใดๆ ความร้อนระอุที่ได้รับจากภายในทำให้รู้สึกจุกแน่นจนมิอาจส่งเสียงร้องครวญ สัมผัสที่ได้ช่างน่าสะอิดสะเอียดเสียจนรู้สึกเกลียดร่างกายของตนเอง แต่คนรุกล้ำเมื่อเห็นนัยน์ตาคู่สวยที่ยังคงซ่อนความดื้อดึงขัดขืนนั้น ทำให้เขายิ่งอยากจะเอาชนะร่างบางนี้ไปจนถึงหัวใจ

 

            “ มิกิ.. ”

 

            “ ย..หยุด..หยุดสักที.. ” พร่ำเสียงร้องหวานทั้งน้ำตา มือก็พยายามดันแผงอกกว้างอันชื้นฉ่ำไปด้วยหยาดเหงื่อให้ถอยออก แต่เรือนร่างนีี้กลับถูกช่วงชิงเรี่ยวแรงทันทีที่ได้ยินเสียงนั่น..

 

            เสียงที่ยิ่งเรียก..ก็เหมือนร่างกายกำลัง.......

 

          หลอมละลาย

 

            กลิ่นหอมที่โปรดปรานสุด...

 

 

            “ ร่างกายนาย..เป็นของฉัน..มิกิ ”

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 
 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนปฐมบท+ค่ำคืนที่ 1]UP 20/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 20-07-2015 22:47:03
ค่ำคืนที่ 1 : ทะเลทราย..100%


        แหมะ..


        แหมะ..


            เสียงหยดน้ำไหลหยดลงจากเพดานชื้นฉ่ำ หยาดน้ำเย็นๆค่อยๆอาบรดเรือนร่างอันเปลือยเปล่าเผยผิวพรรณขาวละเอียดไร้ซึ่งการปกปิดใดๆเว้นแต่ช่วงล่าง แผ่นอกบางไหวกระพรืมขึ้นลงแผ่วเบาเป็นข้อบ่งบอกว่าร่างนี้ยังมีชีวิต แต่กลับดูอ่อนแรงเสียจนไม่รู้ว่าจะสิ้นลมเมื่อไร

            หนาว..

            หนาวเหลือเกิน..

            กระทั่ง..น้ำหยดสุดท้าย เรียกดวงตาที่ปิดมานานให้ค่อยๆลืมขึ้นเชื่องช้า กลิ่นสาบของสัตว์เลื้อยคลานโชยฟุ้งเข้าจมูกโด่งสันทุกครั้งที่หายใจ และเมื่อนั้น..ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างก็ค่อยๆปรากฏชัดขึ้นในหัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอได้สติกลับคืนมาดวงตาสีอ่อนดุจแสงมรกตก็เบิกโต แต่ทันทีที่ขยับร่างกาย เขากลับได้ยินเสียงโซ่ตรวนที่ดังขึ้นข้างหู เมื่อมองขึ้นตามไปจึงเห็นท่อนแขนของตัวเองทั้งสองข้างถูกมัดตรึงไว้กับผนังชื้นด้วยโซ่เหล็กสีดำ ส่วนข้อเท้าก็ล่ามไว้เช่นเดียวกัน ทว่า..ยิ่งดิ้นมากเท่าไร เขาก็รู้สึกเจ็บมากขึ้น แต่จะให้ทนอยู่ในสภาพนี้ เขาก็รับตัวเองไม่ได้เช่นกัน ร่างบางจึงฝื้นความเจ็บปวดของตัวเอง หวังลมๆแล้งๆว่าโซ่เหล่านี้จะหลุดไปด้วยความพยายามของเขา ทั้งที่ความจริงมันเป็นได้แค่ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง

            เลือดสีเข้มไหลย้อนลงมาจากข้อมือทั้งสองข้าง แต่ทำไมมันถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ตอนนี้..เขาเข้าใจแล้วว่า เวลามนุษย์สิ้นหวังจนหมดหนทางนั้นเป็นยังไง ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจในชะตาชิวิตของตัวเอง เมื่อไรชีวิตเขาจะก้าวผ่านจุดเลวร้ายบ้าๆนี่ไปได้สักที ทำไมเขาต้องเกิดมาพบเจออะไรแบบนี้ทุกครั้งด้วย..

              เมื่อไรมันจะจบสักที..

            “ ตื่นแล้วเหรอมิกิ ” เสียงทุ้มนุ่มที่ไม่อยากได้ยินเรียกดวงตาสีอ่อนให้หรี่มอง

            “ อย่ามาเรียกชื่อฉัน ไองูวิปริต! ” น้ำลายถูกถมใส่ลงพื้น บุรุษร่างสูงสง่าในชุดคลุม ยืนเหยียดยิ้มเย็นราวกับไม่ได้สนใจการกระทำก้าวร้าวของอีกฝ่าย ดวงตาสีอำพันดุจสัตว์ร้ายจับจ้องไปยังร่างที่ยังคงดื้อดึงเหมือนเหยื่อตัวน้อยที่น่าสนใจ และนั่นเป็นนัยน์ตาที่เขาหวาดกลัวที่สุด

            ดวงตา..ดวงตาของอสรพิษ!

           “ เด็กดื้อ...ต้องลงโทษ ” ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากเสียงเย็นเยือกเอ่ยข้างใบหู ฉับพลันดวงตาคู่สวยก็ได้แต่เบิกโตจนน้ำตาคลอ เมื่อสัมผัสจากบางสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียนไหลแทรกเข้ามาในร่างกาย และมันทำให้เขาหวาดผวาไปจนถึงขั่วหัวใจ

            ไม่เอา..ฮึก..ไม่เอาแบบนี้


            เกลียด..


            เกลียดที่สุด!


 +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


            สายลมร้อนระอุโชยพัดฝุ่นผงสีทองให้หมุนเกลียวไปในอากาศ ท้องฟ้าสดใสเปิดโล่งให้ดวงอาทิตย์ทอดแสงลงมายังผืนทรายที่แผ่ขยายไปจนสุดลูกหูลูกตา สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือสัตว์ที่สามารถใช้ชีวิตผ่านใต้พื้นผิวที่คล้ายกับเตาอบนี้ได้มองดูแล้วช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง จนไมน่าเชื่อว่าบนโลกมนุษย์ของเราจะมีสิ่งที่น่าค้นหาและสถานที่แปลกประหลาดเหล่านี้อยู่อีกมากมาย แต่หากสิ่งที่น่าสนใจจริงๆคือนั่นคือการ'ปรับสภาพ'ของทุกสรรพสิ่ง และไม่น่าเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุดจะเป็น ‘สัตว์เลื้อยคลาน’


            ที่นี่คือ ‘ทะเลทรายฮาซาน’ เป็นทะเลทรายในแทบภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นทะเลทรายที่อยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศ ซีเรียและอิรัก แต่หากมองไล่ตามเส้นศูนย์สูตรบนแผนที่จะพบว่าทะเลทรายฮาซานนั้นเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายซีเรีย


            สิ่งมีชีวิตที่นี่ ก็เหมือนกับสิ่งมีชิวิตในผืนทรายทั่วๆไป มีทั้งสัตว์จำพวกนก หนู และงูทะเลทราย หรือต้นตะบองเพชรที่ผุดขึ้นเป็นหย่อมๆ และไม้พุ่มแห้งๆที่เสมือนตายแล้วแต่พอได้น้ำมันก็จะกลับคืนชีพขึ้นมาใหม่ แต่ถ้ามีเพียงแค่นั้น ทีมคณะนักชีววิทยากับทีมนักวิทยาศาสตร์การแพทย์คงไม่ลงมือเดินทางมาไกลให้ทะเลทรายแผดเผาเล่นแน่


            ภายในโดมสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนถูกสร้างเป็นห้องทดลองชั่วคราวกลางโอเอซิส นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยกำลังยุ่งวุ่นวายให้กับการเป็นลูกมือในการทดลองของนักชีววิทยาซึ่งเหลืออยู่เพียงสองคนที่ยังคงประจำการอยู่ที่นี่


            ‘คิโนมุระ มิกิ’ เด็กหนุ่มลูกครึ่งยุโรปและแดนอาทิตย์อุทัย ผู้มีรอยยิ้มหวานละไมเสมือนน้ำผึ้งเดือนห้า แต่หากบุคคลิกที่แสดงออกมาอย่างโผงผางชนิดขวานผ่าซาก ช่างดูขัดกับใบหน้าเรียวสวยเหมือนเด็กอายุ 18ของเจ้าตัวเสียจนน่าเสียดาย ซึ่งทำเอาคนที่อยากจะลิ้มลองรสชาติของเขานั้นหมดอารมณ์ไปตามๆกัน แต่ด้วยความที่มิกิเป็นคนฉลาด ตรงไปตรงมา และกล้าคิดกล้าทำ ทำให้เขาก้าวกระโดดมาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ‘โลเกีย’ ทางสายชีววิทยาตั้งแต่อายุยังน้อย


            แต่ถึงเขาจะชอบศึกษาค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลก แต่กลับมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่เขาไม่อยากเข้าใกล้ ซึ่งนั้นคือ 'งู'  ทั้งที่คิดว่าการทำงานสายนี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะเลี่ยง แต่ด้วยความใจกล้าบ้าบิ่นและคิดว่าไม่นานเวลาจะพาให้เขาชินไปเอง ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะความกลัวแต่ก่อนที่เคยมีร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็ยังเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์เท่าเดิม เพียงแต่..

             อาจไม่แสดงออกมากเหมือนแต่ก่อน..

              “ โอ๊ะ! ไองูบ้านี่ตกใจหมด ”  เสียงร้องดังขึ้นทันทีจากร่างของเด็กหนุ่มในชุดคลุมพลาสติกป้องกันตัว ระหว่างที่เขาเดินเข้าไปเด็ดบางสิ่งในห้องกักเก็บการทดลองลงตะกร้า สิ่งมีชีวิตมีเกล็ดมันวาวไร้ซึ่งแขนขาสีเข้มก็เลื้อยขึ้นมาตามมือ ทำให้เขาต้องรีบสะปัดออกด้วยตวามตกใจ


               “ เธอนี่ ไม่ถูกกับงูตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆด้วยสินะ.. ” น้ำเสียงเรียบๆฟังดูใจดีเอ่ยจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มหันกลับไป เห็นร่างผอมสูงในชุดกาวน์สีขาวเก่าๆกำลังยืนกอดอกพิงประตูมองมาที่เขา


               ชายกลางวัยเฉียดเลขหกคนนี้คือ ศาสตราจารย์โลเกีย ผู้เป็นเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขา ทั้งหัวหน้าที่เขาเคารพ และพ่อที่ห่วงใยเสียยิ่งกว่าพ่อแท้ๆ เพราะตั้งแต่มิกิอายุได้ 20 ปีแม่ของเขาก็เสียชีวิตลง ส่วนพ่อแท้ๆก็ทอดทิ้งไปแต่งงานใหม่ ถึงเขาจะรู้สึกเหมือนเด็กน้อยถูกทิ้งไว้กลางทาง แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กๆที่ขอเงินครอบครัวกินไปตลอดชีวิต ช่วงนั้นเขาพยายามหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียน โดยการพยายามสอบทุนให้ได้ แต่ก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเพราะดันตกสัมภาษณ์ แต่ระหว่างที่เขาไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหนดี ศาสตราจารย์โลเกียผู้เป็นหนึ่งในกรรมการที่คัดเลือก ก็ยื่นมือเข้ามาเสนอให้เขาร่วมทีมวิจัยด้วย ซึ่งเหตุผลนั้น เขาเองก็ยังไม่ทราบมาจนถึงปัจจุบัน มิกิทำงานให้ศาสตราจารย์โลเกียตั้งแต่เขายังไม่จบมหาวิทยาลัย ไล่ตั้งแต่ตำแหน่งลูกมือเล็กๆ จนมาถึงตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัว จนถึงทุกวันนี้ความอบอุ่นที่ได้รับก็กลายเป็นความสนิทสนมชิดเชื้อที่รู้ใจทุกอย่างยิ่งกว่าพ่อตัวเองจริงๆ


            “ รีบออกมาได้แล้ว ในนี้มันร้อน.. ”
             พูดจบศาสตราจารย์ก็เดินออกไป มิกิหลุดคลี่ยิ้มบางๆออกมาให้กับแผ่นหลังนั่น   ก่อนจะก้มลงหยิบตะกร้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีส้มแดงขึ้นมาแล้วออกจากห้องกักเก็บ


            “ อ่า..นี่มันดอกเพเซียชุดสุดท้ายแล้วสินะ ถ้าการทดลองนี่ล้มเหลว สงสัยได้รออีก 3 ปีแน่กว่าจะได้กลับมาที่นี่ใหม่ เฮ้อ..ให้ตายสิรัฐบาลจะเอาของดีราคาถูก มันจะมีที่ไหนบนโลกไหม.. ” เสียงบ่นพึมพร่ำอย่างเช่นเคยดังขึ้นข้างๆ ขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างก็กำลังส่องลงไปในกล้องจุลทัศน์ไปด้วย บนไฟจากกล้องที่ส่องเป็นกระจกเลนส์ใสทับกัน ด้านในบรรจุของเหลวสีเขียวใส แต่หากมองจากกล้องจะเห็นเม็ดเซลล์เล็กๆกลมๆสีดำกำลังวิ่งกระเจิดกระเจิงไปมาเหมือนมดรังแตก
อย่างที่กล่าวเอาไว้ ทะเลทรายฮาซานเป็นทะเลทรายที่มีลักษณะภูมิประเทศเหมือนกับทะเลทรายทั่วไปในแทบเอเชียตะวันออก หากแต่สิ่งที่น่าค้นคว้า และทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจนั้นคือพืชที่มีดอกสีส้มแดง ซึ่งเรียกว่า ‘ต้นเพเซีย’ ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลไม้พุ่มล้มลุก


            หลังจากการสกัดค้นคว้ามากว่า4 ปี ศาสตราจารย์โลเกียค้นพบว่า ดอกไม้ชนิดนี้ มีคุณสมบัติในการกระตุ้นเซลล์ประสาทที่ตายไปแล้วให้กลับมาทำงานได้ใหม่อีกครั้ง ฟังดูแล้วอาจเหมือนเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ราวกับว่าพวกเขาจะสามารถชุบชีวิตคนตายให้กลับมามีชีวิตได้ แต่ธรรมชาติก็ยังคงเป็นวงจรธรรมชาติที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น มีผู้ล่าก็ต้องมีผู้ถูกล่า นี่คือเรื่องจริงที่มนุษย์เราควรยอมรับ ธรรมชาติจึงมอบอำนาจให้ดอกเพเซียเป็นเสมือนยาที่สร้างความหวังมากกว่าการชุบชีวิต ซึ่งยานี้จะสามารถช่วยคนที่ป่วยเป็นโรค ‘เจ้าหญิงนิทรา’ ได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีทางรักษา
หากแต่ดอกไม้นี้ยังมีความพิเศษเฉพาะของตัวอีกหนึ่งอย่าง นั้นคือมันเป็นดอกไม้ที่ปล่อยกลิ่นฟีโรโมนที่ดึงดูดพวกงูให้มาผสมพันธุ์กัน พูดง่ายๆก็คือมันเปรียบเสมือนไวอากร้ากระตุ้นต่อมรักของพวกงูได้อย่างดิบดี จึงไม่แปลกเลยถ้ามีดอกไม้ชนิดอยู่ที่ไหนก็จะพบงูไม่ต่ำกว่า 10 ตัวขดตัวกันเป็นก้อนอยู่ใต้พุ่มไม้นั่น หรือต่อให้นำดอกเพเซียมาแล้วพวกงูก็ยังตามกลิ่นนี้มาอีกอยู่ดี และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขายังพบงูตัวเล็กตัวน้อยอยู่ในห้องกักเก็บอยู่ดี ห้องทดลองนี้จึงมีงูจำนวนไม่น้อยถูกขังเอาไว้ในตู้เหล็กมากมาย ก่อนรอวันไปปล่อย


             “ ศาสตราจารย์..ผมว่าบ่นไปก็เท่านั้น สู้เอาสารสกัดที่เหลือมาทดสอบสมุติฐานของผมดีกว่า ” พูดจบอย่างไม่คิดอะไรพลางค่อยๆถอดชุดคลุมพลาสติกออกอย่างทุลักทุเล ศาสตราจารย์โลเกียละสายตาออกจากกล้อง ก่อนจะเบนมองมายังเป้าหมาย ที่(แสร้ง)เหมือนกำลังวุ่นวายกับการถอดเสื้อ


             “ ให้ตายสิ เธอนี่มันขวานผ่าซากจริงๆ เมื่อไรจะทำตัวน่ารักๆเหมือนหน้าบ้างหื้ม! มิกิ ” โลเกียถอนหายใจ มิกิคลี่ยิ้มเรียบแต่ไม่ว่าเปล่า หยิบเอกสารประกอบการยื่นให้หัวหน้าให้ไปอ่านปิดปากด้วย


              “ ผมไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย อ้อนมากไปเดี๋ยวหัวหน้าผมหัวใจวายจะทำไง ผมคงโคลนนิ่งใหม่เหมือนแกะดอลลี่ไม่ได้แน่ ”


             “ หึ เธอก็อยู่กับพวกทีมวิจัยของศาสตราจารย์ค็อตเลอร์ไง” กล่าวจบก็ก้มลงอ่านผลการวิจัย แต่มิกิกลับเบ้ปากออก


             “ เฮอะ! ทีมกระโหลกกะลา ให้ผมทำคนเดียวยังดีกว่า ” ขาดคำก็ถอดเสื้อคลุมจนเสร็จ ก่อนจะแขว้นพาดเอาไว้กับเก้าอี้ข้างๆ แถมด้วยการยักคิ้วกวนๆให้กับหัวหน้าหนึ่งที และยื่นขนมปังสังขยาสภาพยับเยิ่นมาให้ ศาสตราจารย์โลเกียกระพริบตาถี่ ก่อนจะถอนหายใจ


              “ เฮ้อ..ข้าวเช้าตอน 4โ มงเย็นเนี่ยนะ ”

(จบ Part 1)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนปฐมบท+ค่ำคืนที่ 1]UP 20/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 20-07-2015 22:56:31
ค่ำคืนที่ 1 : ทะเลทราย Part 2 (จบ)

              การทดลองยังคงดำเนินต่อไป ตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบ 12 ช.ม แล้วที่ทีมชีววิทยายังไม่ยอมหยุดพัก ขณะที่ทีมวิทยาศาสตร์การแพทย์ต่างพากันเข้าห้องพักเป็นที่เรียบร้อย จนบ้างครั้งเขาเองก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้างานวิจัยออกมาสำเร็จแล้ว คนพวกนี้ก็จะได้รับชื่อเสียงพ้วงกับพวกเขาไปด้วย ทั้งที่เวลาการทำงานและการทุ่มเทนั้นต่างกันริบรับ แต่จะว่าไปเพราะเขาไม่ใช่ยอดมนุษย์นี่นะ..จึงไม่สามารถแยกร่างออกมาและทำทุกอย่างด้วยตัวเองเหมือนอย่างในภาพยนตร์ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นงานชิ้นนี้คงไม่ใช้เวลานานขนาดนี้ แต่ถ้าให้พูดตามหลักความจริงก็คือ ถึงเขาจะชอบงานนี้มาก แต่ถามว่าทุ่มเททั้งหมดไหม? คำตอบนั้นคือไม่..บางครั้งความเหนื่อย ความท้อแท้บวกสภาพที่เป็นอยู่ มันก็ทำให้อยากจะล้มเลิกงานนี้ไป และเกิดคำถามพ้วงท้ายอีกว่าเขามาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร


             แต่..ทุกครั้งที่ความคิดแบบนี่แล่นเข้ามา พอลองมองกลับไปที่คนข้างกาย ซึ่งเขาใช้เวลาแทบทั้งชีวิตศึกษาค้นคว้าเรื่องพวกนี้ คำตอบที่ได้..ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เป็นเพื่อเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ศาสตราจารย์โลเกียเป็นคนดี ที่ไม่ควรต้องมาทนเสียงตัดพ้อครหาว่างานของเขามันยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรและไม่มีวันเป็นจริงได้ แต่เขาควรได้รับการยกย่องเสียด้วยซ้ำซึ่งเขาเองก็จะเป็นคนช่วยผู้มีพระคุณลบคำกล่าวหาเหล่านั้นให้เจ้าพวกนั้นหน้าหงายกันไป
แต่ตอนนี้เขาอยากได้เตียงนุ่มๆ กับผ้าห่มอุ่นสักผืนจัง..


            “ มิกิ! มาดูอะไรนี่เร็ว! ” เสียงเรียกอย่างตื่นเต้น ทำให้ดวงตาสีอ่อนที่กำลังเคลิ้มปิดสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มือเรียวยกขึ้นเกาศีรษะจนเส้นผมสีบลอนด์ทองนั้นยุ่งเหยิ่ง ใบหน้าหวานมุ่ยลงเล็กน้อยที่หัวหน้าของเขามาขัดจังหวะคนกำลังได้ที่ แต่สุดท้ายก็หยิบชุดคลุมกาวน์สีขาวมาสวมทับ แล้วเดินล้วงกระเป๋าทอดน่องเอื่อยๆ มาหาคนที่กวักมือเรียกหยิ๊กๆอยู่หน้ากล้องจุลทัศน์
มิกินิ่วหน้าลงด้วยความสงสัย ก่อนจะลองส่องลงไปในกล้องจุลทัศน์ที่อีกฝ่ายเชื้อเชิญ สิ่งที่เห็นก็เหมือนกับตัวอย่างงานทดลองแบบเคยๆ เพียงแต่มีสิ่งแปลกประหลาดเพิ่มเข้ามาในนี้ มันเป็นเซลล์ที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมพีระมิด ตรงกลางเป็นนิวเคลียสเล็กๆเหมือนเม็ดกระดุมสีแดง พอจ้องมองไปสักพัก เขาก็เห็นเซลล์สีดำของดอกเพเซียที่วิ่งเหมือนผึ้งแตกรังในวงนอก กลับค่อยๆถูกเซลล์สามเหลี่ยมดึงเข้าไปทีละอันๆจนเต็มเป็นระเบียบ ภาพที่เห็นคล้ายกับแคปซูลที่ห่อหุ้มเซลล์ของดอกเพเซียเอาไว้โดยไม่ทำลายตัวเซลล์ ซึ่งก็หมายความว่า หากตัวเซลล์สามเหลี่ยมแปลกตานี้สามารถใช้กับมนุษย์ได้ ก็จะทำให้สารสกัดนี้ถูกใช้ได้อย่างเป็นระบบและตรงจุด

         ใบหน้าหวานค่อยๆเงยหน้าขึ้น รู้สึกทึ่งจนพูดอะไรไม่ออก แถมยังตกใจแทนการดีใจไปเสียสนิท
         “ สะ..สำเร็จ..สำเร็จแล้ว ได้ยังไง ” มิกิยังคงจบต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเสียงเครื่องผลิตเซรุ่มก็ส่งเสียงดัง ศาสตราจารย์โลเกียค่อยๆเปิดมันออก ดวงตาคู่สวยหรี่ลงมองตาม ด้านในเป็นหลอดแก้วใสบรรจุของเหลวสีชมพูโปร่งแสงดูสวยงาม


            คงเป็น..เซรุ่มต้นแบบสินะ..


           “ มิกิรีบไปตามทุกคนมาเร็ว ”


           “ คะ..ครับ ” มิกิพยักหน้ารับอย่างงงๆ เกาหัวเหมือนคนสติยังกลับมาไม่ครบ และยังทำใจไม่ได้ที่จู่ๆงานชิ้นนี้นึกจะสำเร็จก็สำเร็จโดยที่ไม่มีเค้าโครงอะไรเลยสักนิด หลายคนบอกว่าเขาควรดีใจ แต่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยจนเขาลืมไปแล้วว่า เหตุการณ์แบบไหนควรจะดีใจกันแน่ ก่อนจะลากขาเดินดุ่มๆหาววอดๆออกไปจากห้อง แต่ระหว่างที่เดินไปตามทุกคน เขาก็สวนทางกับชายผู้หนึ่งที่มีตำแหน่งและอายุอานามพอๆกับศาสตราจารย์โลเกีย เพียงแต่เขาอยู่ในทีมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเป็นหัวหน้าททีม ‘ศาสตราจารย์ค็อตเลอร์’


           มิกิโค้งให้ตามมารยาทแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรเพราะคิดว่า เขาคงเดินไปที่ห้องทดลองอยู่แล้ว แล้วศาสตราจารย์โลเกียขี้โม้คงต้องคุยจ้อให้ฟังแทนเขาแน่ เขาจึงเลือกเดินผ่านไปเงียบๆ แต่ทั้งหมดกลับผิดคาด..
“ ศาสตารจารย์โลเกีย.. ” เสียงเรียกทำให้คนที่ถูกขานชื่อละสายออกจากเครื่องผลิตเซรุ่ม

 
          “ศาสตารจารย์ค็อตเลอร์ งานทดลองสำเร็จแล้ว ผมสั่งให้มิกิไปตามทุกคนแล้วครับ ”โลเกียหันมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ค็อตเลอร์ยิ้มกลับก่อนจะยกวัตถุสีดำขึ้นมาจากเสื้อกาวน์ของตัวเอง


            “ งั้นเหรอ ขอบคุณมากครับ.. ”




          ปัง!


            เสียงก้องกังวาลที่ได้ยิน ทำเอาขาเรียวที่กำลังเดินทอดน่องเอื่อยๆไปยังห้องพักหยุดชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโต ในท้องก็โหวงๆไปหมด รู้สึกใจคอไม่ดีจนต้องรีบหันหลังกลับมามองทางเดินที่เพิ่งผ่านมาซึ่งเสียงนั้นดังมาจากห้องของศาสตราจารย์โลเกีย ไม่รอช้าก็รีบกลับไปทันที


             ทว่า..พอรีบวิ่งกลับมา สภาพที่เห็นก็ทำเอาเขาแทบล้มทั้งยืน ห้องทดลองถูกรื้อกระจัดกระจายจนเอกสารปลิวว่อน เครื่องผลิตเซรุ่มก็เปิดอ้าค้างเอาไว้แต่หลอดทดลองกลับไม่มีอยู่ในนั้นแม้แต่หลอดเดียว หากแต่สิ่งที่เรียกสติของเขากลับเป็น..


            กลิ่นคาวเลือด!


          “ศาสตราจารย์!!”
           พอหันมาด้านข้าง ก็พบผู้เป็นหัวหน้านั่งจมกองเลือดพิงโตะอยู่กับพื้น เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดบัดนี้ถูกย้อมไปด้วยของเหลวสีแดงสดที่ไหลจากรอยกระสุนปืนที่ช่องท้อง แม้จะยังไม่ถึงชีวิตในทันที แต่ลมหายใจที่รวยรินก็บ่งบอกว่าร่างนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน


            “ ไอบ้าพวกนั่น!! ” สบถเสียงดังด้วยความเจ็บใจ แต่ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงประตูเหล็กของห้องทดลองปิดดังปัง


            “ เปิดประตูสิ! เปิดประตู!! ไอพวกสารเลว!! ” ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ทั้งที่ใช้คีย์การ์ดเหมือนอย่างเคยเพื่อเปิดประตูแต่
กลับไม่มีการตอบสนองจากระบบ มือเรียวระดมทุบตีบานประตู ทั้งผลัก ทั้งกระแทกแต่ไม่มีท่าทีว่ามันจะเปิดออกเลยสักนิด สิ่งที่เขาเห็นผ่านบานกระจกกลมๆมีเพียงใบหน้าของหัวหน้าทีมของนักวิทยศาสตร์การแพทย์ที่แสยะยิ้มมองมาอย่างสมเพช ก่อนจะโบกมือลาให้ราวกับเขาเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารและหันหลังจากไปในที่สุด ก่อนสัญญาณเตือนภัยจะดังลั่นจนแสบแก้วหู ซึ่งเป็นการบอกว่าระบบทุกอย่างกำลังจะล่ม และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นข้อสรุปได้อย่างดีว่าเจ้าคนสารเลวพวกนั้นคงไม่มีทางขังเขาไว้เพียงอย่างเดียวแน่


            จบแล้ว..ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงแรงไปรวมทั้งชีวิตของเขากำลังจะจบลงอย่างไม่เป็นท่า..


            ทำไม..ชีวิตเขาต้องแบบนี้อยู่เรื่อยไป ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย..


            ทั้งที่ทุกอย่างกำลังเสร็จสิ้นแท้ๆ


            “ บ้าที่สุดเลย!! ”
            มือทุบลงบานประตูอย่างสุดแรงจนสะเทือน แต่ก็ไม่มีแววว่าประตูจะผละออก ใบหน้าที่ร้อนผ่าวด้วยความโกรธ แต่กลับมีน้ำตาไหลหยดลงมาเป็นสายราวกับมันกำลังระบายความคับแค้นที่อยู่ในใจ แต่ไม่ว่าเท่าไรมันก็ไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้น ในเมื่อเขากำลังจะตายในอีกไม่กี่นาทีนี้


          มิกิ..


          “ มิกิ.. ” เสียงเรียกแผ่วเบานั้นทำให้เขาฟื้นคืนสติ ร่างบางรีบวิ่งไปนั่งลงข้างๆคนที่หายใจรวยริน ศาสตราจารย์ผู้เป็นเสมือนพ่อแท้ๆพยายามฝืนยิ้มให้ ทั้งๆที่ใบหน้านั่นซีดเซียวใกล้หมดแรงลงทุกที


          “ รับยานี่ไว้ ” มือเปื้อนเลือดเอื้อมหยิบบางสิ่งมาขึ้นมาจากกระเป๋าเสือแล้ววางลงบนมือของอีกฝ่าย


          “ นี่มัน.. ”ยาทดลองที่บรรจุใส่หลอดแก้วพร้อมฉีดอย่างดีถูกยื่นให้ ภายในมีของเหลวสีส้มแดงโปร่งใสดูแล้วช่างเหมือนกับสีของดอกเพเซีย


            “ มันคือยาที่ฉันบังเอิญสกัดออกจากเมล็ดอ่อนของดอกเพเซีย  ” พอได้ยินกระนั้นมิกิถึงกับขมวดคิ้วเป็นปมแน่น เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทุกอย่างมันหมายความว่ายังไง และเซรุ่มที่สกัดออกมาจะเครื่องสีชมพูอ่อนนั้นคืออะไร


            “ ถ้าข้อสมมุติฐานของฉันไม่ผิดพลาด ยานี่มันจะปล่อยฟีโรโมนออกมาจากเมล็ดอ่อนที่สกัด ทำให้เธอปลอดภัยจากพวกงู ซึ่งคงอีกไม่น่าระบบรักษาความปลอดภัยคงจะล่ม และคงปล่อยพวกมันในนี้ออกมา ”
            แม้จะอ่อนแรงเต็มที แต่ไม่วายอดที่จะเป็นห่วงเด็กหนุ่มผู้ช่วยคนนี้ไม่ได้อยู่ดี เพราะเขารู้ดีว่าถึงมิกิจะทำเป็นเข้มแข็งเหมือนเด็กหนุ่มหัวดื้อทั่วๆไป แต่สิ่งที่กลัวก็ยังคงเป็นสิ่งที่กลัว แล่ะนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทนเห็นได้หากคนที่เขาห่วงใยต้องจบชีวิตลงด้วยสิ่งที่ตัวเองกลัวที่สุด ทั้งที่มิกิเทิดทูนเขาเหมือนพ่อแท้ๆ แต่ที่เขาตอบแทนคงมีแต่ความทรงจำแย่ๆ ยิ่งคิดน้ำตาก็เหมือนจะไหลรินออกมา


            “ ตะ..แต่มันมีหลอดเดียว แล้วศาสตราจารย์ล่ะครับ! ” พยายามทำเสียงให้เข้มแข็ง แต่รู้สึกหัวใจดวงนี้มันช่างเบาหวิวจนเย็นวาบไปทั้งใจจริงๆ เมื่อรู้ว่าชีวิตเขาจะต้องถูกทิ้งเป็นครั้งที่สอง ภาวนาไม่อยากให้คำตอบไม่เป็นอย่างที่เขาคิด


            “ ฉัน..คงไม่ไหวแล้ว ” สิ้นเสียงก็กระอักก้อนเลือดสีแดงเข้มจนท่วมริมฝีปาก จนอ้อมแขนที่คอยประคองเปรอะเปื้อน แต่เขาก็จะไม่มีวันปล่อยอ้อมกอดนี้ไปจากคนคนนี้เด็ดขาด


            “ อย่ามาพูดบ้าๆผมจะช่วยคุณออกไป ฮึก..ผมจะช่วยคุณ ” ห้ามเสียงไม่ให้สั่นไหว แต่หยาดน้ำตากลับไหลอาบลงมาเป็นสายอย่างไม่รู้จักจบสิ้น อ้อมแขนนุ่มโอบกอดจนแน่นไม่คลายลง เสียงสะอื้นร้ำไห้ออกมาทั้งที่พยายามฝื้นกั้น  รู้สึกเหมือนจะขาดใจเสียตรงนี้ให้ได้


            “ มิกิ.. ” สัมผัสหนึ่งแตะลงข้างแก้มขาวละเอียดแผ่วเบา รอยยิ้มอบอุ่นครั้งสุดท้ายมอบให้อย่างตราตรึง


            “ เธอเหมือน ลูกชายของฉันจริงๆนะ ”


            ตึก..


            สิ้นเสียงพร้อมกับดวงใจที่หยุดเต้น มือที่เคยกอบกุมร่วงโรยสู่พื้น ภาพทุกอย่างขาวโพลนในหัวไปหมด อารมณ์ทุกสิ่งที่อย่างที่เคยกักเก็บไว้ไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป


          “ ศาตราจารย์! ศาสตราจารย์!! ” โผดกอดร่างที่ไร้วิญญาณทั้งน้ำตานองหน้า ความแข็งแกร่ง ความเข้มแข้งที่เคยมีสูญสลายไปในพริบตาเมื่อคนที่รักสุดหัวใจทิ้งเขาไปอีกคน ขณะที่เสียงสัญญาณเตือนภัยกลับดังถี่ขึ้นเรื่อยๆเหมือนเวลาระเบิดที่ใกล้จะถึงจุดจบเต็มที



       ตึง!


       ตึง!


       ตุบ...


        เสียงปลดปล่อยจากตู้ที่กักเก็บบางสิ่งไว้เปิดออก สิ่งที่หล่นลงมาจากตู้นั่นทำให้มิกิต้องค่อยๆลุกขึ้นให้ไปมองอย่างสั่นๆ ตอนนี้เขาพยายามมองลงที่พื้น แต่กลับไม่พบสิ่งใด ขาเรียวค่อยๆถอยหลังไปเชื่องช้า มือก็กุมเซรุ่มพร้อมฉีดที่ศาสตราจารย์โลเกียมอบให้ก่อนจะสิ้นใจไว้จนแน่น แต่แล้ว..เสียงคล้ายกับการสั่นกระดิ่งเล็กๆถี่ๆก็ดังขึ้นจากโต๊ะทางด้านขวามือไม่ใก้ลไม่ไกล ดวงตาสีอ่อนค่อยๆเหลือบมองเชื่องช้า ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อประพรม ภาวนาในใจอย่าให้เป็นสิ่งที่เขาคิด


         ฟู่..


        เขาเบิกตาโต เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตมีเกล็ดสีเหลืองทรายสลับดำ กำลังขดตัวเป็นวง ส่วนหัวของมันชูขึ้น แต่หย่นระยะถอยออกมาเหมือนกับสปริงที่เตรียมดีดตัว เรียวลิ้นยาวสองแฉกขยับเข้าออก ดวงตาอสรพิษสีอำพันรีเล็กจ้องมองเหยื่อตัวโตของมันอย่างกระหาย


        มิกิพยายามขยับตัวช้าๆ ค่อยๆถอยออกมาห่างๆ แต่ไม่ว่าหันขยับไปทางไหนกลับได้ยินเสียงเสียงขู่ฟ่อไปทั่วทิศทาง ดวงตาคู่สวยมองเซรุ่มพร้อมฉีดที่อยู่ในมือนิ่ง ยังไงซะถ้าเขาไม่ทำอะไรซักอย่างเขาคงได้จบชีวิตลงจริงๆแน่ และเซรุ่มที่ศาสตราจารย์อุส่าห์คิดค้นมาก็คงไม่มีความหมายเพราะมันไม่สามารถช่วยชีวิตใครได้เลยแม้แต่ตัวเขาเอง


           เขาตัดสินใจถลกแขนเสื้อของชุดกาวน์ด้านซ้ายจนถึงข้อศอก ก่อนจะใช้มือขวาฉีดเซรุ่มสีส้มแดงเข้าไปที่แขนของตัวเอง ความปวดเจ็บคล้ายกับการโดนมดรุมกัดหลายสิบตัวแล่นเข้ามาในเรือนร่างทันที ก่อนเขาจะโยนยานั้นทิ้งไปเมื่อฉีดจนสุด เวลานี้เขารู้สึกเนื้อตัวเขาร้อนลุ่มไปหมด ภาพทุกอย่างก็ดูเคลื่อนไหวเวียนและรวดเร็วจนเหมือนกำลังมองภาพทุกอย่างบนเครื่องเล่นแร็ปเตอร์ในสวนสนุก


           ร่างบางสะบัดหัวแรงเพื่อให้สติทุกอย่างกลับคืนมา แต่พอภาพทุกอย่างเริ่มกลับสภาวะปกติอีกครั้งเขาก็เห็นเจ้างูพวกนั้นเลื้อยผ่านตัวเขาไปราวกับไม่สนใจ แต่พวกมันกับเริ่มให้ความสนใจกันเองโดยการเริ่มการเกี่ยวรัดกัน จาก 1 คู่ กลายเป็น สองสาม และสุดท้ายกลายเป็นกลุ่มก้อนดำจนดูน่าขนลุก มิกิพยายามหายใจเป็นจังหวะเพื่อระงับความกลัวออกไปจากหัว ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาก ก่อนที่ระบบทุกอย่างจะล่มจนเขาถูกขังไว้อยู่ที่นี่จริงๆ เขาพยายามมองหาหนทางไปรอบๆ แต่ก็มีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ไร้ทางออก กระทั่งเขาชำเลืองไปเห็นตะแกรงระบายอากาศของท่อที่อยู่ด้านบน ซึ่งนั่นอาจเป็นหนทางเดียวให้เขาออกไปจากที่นี่ได้


              เขากวาดของทุกสิ่งลง แล้วยกเก้าขึ้นมาวางบนโต๊ะก่อนจะเหยียบมันขึ้นไปใช้มือผลักช่องระบายอากาศนั้นจนเปิดออก ร่างบางปีนขึ้นไปด้านบน ค่อยๆคลานออกมาจากช่องระบายเล็กๆนั่น ก่อนจะใช่เท้าถีบตะแกงใบพัดเก่าๆที่หยุดทำงานแล้ว จนเขาออกมาข้างนอกได้สำเร็จ


             เมื่อออกมาได้ ร่างบางพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าร่างกายของเขามันร้อนขึ้นเรื่อยๆแบบนี้ แถมยังเจ็บแผลที่ฉีดยาเข้าไปจนด้านชาเหมือนแขนจะขาดออกจากกัน เขาขบกรามแน่น ฝื้นพยุงตัวลุกขึ้นเดินโซเซออกไปตามพื้นทรายละเอียดจนพ้นประตูรั้วของสถานีวิจัย ซึ่งด้านนอกเป็นบึงหรือโอเอซิสเล็กๆของที่นี่


       ต้องหาคนมาช่วย...


       ต้องหาคน...


         ตุบ..


        เรี่ยวแรงที่เคยรั้งยืนหดหาย กายบางล้มพับไปกองกับผืนทรายเย็นๆ สายน้ำของของโอเอซิสไหลเซาะใบหน้าหวาน ริมฝีปากพยายามเผยอออกหอบหายใจรวยริน ขณะที่หัวใจก็เต้นแรงเสียจนเหมือนจะระเบิดออกจากตัวให้ได้ ภาพทุกอย่างหมุนวนจนมองไม่ออกว่าอะไรคืออะไร รู้สึกอยากจะอาเจียนเอายานั้นออกมา แต่ก็ไม่มีแรงพอจะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคู่สวยได้แต่มองภาพที่พร่าเลื่อนแล้วจินตนาการถึงท้องฟ้ามืดมิดของทะเลทรายยามราตรี ที่ไม่แม้จะมีหมู่ดารา มีเพียงตัวเขา..กับความเปล่าเปลี่ยวเพียงเท่านั้น


            คงไม่เลวทีเดียวถ้าได้ตายคาโอเอซิส..


           เขายกยิ้มสมเพชตัวเอง ก่อนเสียงระเบิดจะดังสนั่นจากทางด้านหลังจนหูอื้อชา..และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน ไม่ช้า..ภาพทุกอย่างก็ค่อยๆดำมืดไปหมดพร้อมสติที่ขาดหาย..


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนปฐมบท+ค่ำคืนที่ 1]UP 20/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-07-2015 08:30:02
น่าสงสาร ทั้งศาสตราจารย์โลเกียทั้งมิกิเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนปฐมบท+ค่ำคืนที่ 1]UP 20/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Moko1212 ที่ 21-07-2015 08:46:48
แฟนตาซีแบบนี้ช๊อบชอบ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนปฐมบท+ค่ำคืนที่ 1]UP 20/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 21-07-2015 23:35:56
ตอบเม้นค่ะ ><


น่าสงสาร ทั้งศาสตราจารย์โลเกียทั้งมิกิเลยอ่ะ

ตอบ ขอบคุณค่ะ ที่ติดตามนายเอกน่าสงสารมาก ฮืออ รอพระเอกเนรีอะะ ><




แฟนตาซีแบบนี้ช๊อบชอบ  :katai2-1:

ตอบ : เข้ามาอ่านบ่อยๆนร้า ><
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนปฐมบท+ค่ำคืนที่ 1]UP 20/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 22-07-2015 21:02:12
ค่ำคืนที่ 2 : โอเอซิส .....100%

         



            ซู่ม!

 

            “ ตื่นได้แล้วเจ้าพวกสันหลังยาว!” เสียงสาดน้ำดังขึ้นพร้อมกับเสียงตวาดกร้าวก้องหู หยาดน้ำเย็นๆทำให้ร่างของมนุษย์ที่นอนรวมกันหลายสิบสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนเด็กหนุ่มที่หมดสติไปนานจะฟื้นคืนสติมาฉับพลัน แต่ภาพรอบๆที่ปรากฏทำเอาเขารู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่ได้ตื่นจากฝันร้าย ดวงตาสีสวยเบิกโตด้วยความตื่นตระหนก เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางผู้คนแปลกตาในสถานภาพที่ร่างกายทุกคนเปลือยเปล่าปิดช่วงล่างแค่ผืนผ้าๆเก่าๆขาดๆ ตามมือถูกมัดรวบไว้ด้วยเชือกเก่าๆ ส่วนข้อเท้าก็ถ่วงด้วยโซ่เหล็ก ตามเนื้อตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเฆี่ยนตีจนปลิดแตกคล้ายกับทาสมนุษย์เหมือนอย่างในหนัง

 

           สัญชาตญาณความกลัวพาเอากายบางเขยิบถอยหลังโดยอัตโนมัติ แต่กลับไม่รู้ตัวว่าทั้งข้อมือและเท้าถูกมัดไว้ด้วยเชือกหยาบแข็งไม่ต่างนัก ทันทีที่ก้าวหนีก็ล้มลุกคุกคลานอยู่กับพื้น เม็ดทรายและสะเก็ดเศษดินบาดเกาะไปตามเนื้อตัวจนรู้สึกแสบคัน แต่หากทั้งหมดไม่เจ็บใจเท่าการได้สติกลับคืนมา และรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานะอะไร!

 

            “ เจ้าทาสนี่ฟื้นแล้วสินะ..”  เสียงที่ได้ยินย้ำฐานะตัวเองได้อย่างดิบดี มิกิมองเจ้าของเสียงเย็นนั่นด้วยความคับแค้น เขาเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายแสยะขึ้นบนใบหน้าเหี้ยมๆของชายที่สวมชุดคลุมสีขาวยาวจรดเท้า บนศีรษะโพกด้วยผ้าคลุมสีเดียวกันและรัดด้วยเชือกถักสีดำเหมือนชาวอาหรับ

             หลังจากที่เกิดระเบิดขึ้นที่สถานีวิจัย ตัวเขาก็หมดสติไปจนไม่รู้เรื่องราว แต่ไม่คิดว่าพอตื่นขึ้นมาโชคชะตาเลวร้ายจะรุมเล่นงานเขาซ้ำสอง เมื่อคนที่ช่วยเขากลับเป็นพ่อค้าทาส!

 

              “ หน้าตา ผิวพรรณไม่เลว แบบนี้ขึ้นเวทีประมูลคงขายได้ราคางามแน่ ” มือหยาบกร้านถือวิสาสะพลิกใบหน้างามไปมาแรงๆเพื่อตรวจดูของขวัญชิ้นโตแต่ถ้อยคำที่เอ่ยอย่างเหยียดหยามราวกับชีวิตเป็นแค่สิ่งของซื้อขาย ทำเอามิกิขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจอย่างไรเขาไม่ยอมตกอยู่ในสภาพนี้แน่!

 

            “ ปล่อยนะ! ” รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีโผเข้ากระแทกพ่อค้าชั่วที่ไม่ทันตั้งตัวจนหงายหลังล้มตึง แต่ด้วยร่างกายที่ถูกมัดเอาไว้มิอาจตั้งตัวได้เร็วเท่าคนที่มือเท้าเป็นอิสระ พอพ่อค้าชั่วลุกขึ้นได้ก่อนก็เตรียมลงโทษสุนัขที่ริกล้ากัดเขาทันที

 

             “ไอบ้านี่! ”

 

              เพี๊ยะ!

 

             ฝ่ามือหยาบตบเข้าที่ใบหน้างามอย่างแรงจนสะบัดกองกับพื้น เลือดสีแดงเข้มไหลเอ่อจากมุมปากที่ปริแตก รู้สึกเจ็บชาไปทั่วแทบใบหน้าด้านซ้ายจนไม่อยากจะขยับตัว กระนั้นก็ยังคงกัดฟันแน่นเพื่อระบายความเจ็บใจให้ชีวิตที่น่าสมเพชของตัวเอง แค่เพียงคิดก็รู้สึกเริ่มร้อนที่ขอบตาทั้งสองข้าง นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับชีวิตของเขากัน ทั้งที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างควรจะจบลงด้วยดีกับงานวิจัยชิ้นนั้น

 

           แต่ทั้งหมด..

 

           ทั้งหมดมัน....ฮึก

 

           “ เฮอะ! เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ อุส่าห์ช่วยไว้ ยังมาเห่าใส่อีกเหรอ!” เสียงสบถของคนย่ำยีกล่าวอย่างเหยียดหยาม ส้นเท้าสกปรกเหยียบกดลงบนศีรษะที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่ออย่างไม่ปราณี รอยยิ้มชั่วแสยะออกมาด้วยโหดเหี้ยมราวกับไม่ใช่มนุษย์ ขณะที่มิกิเองกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดด้านนอกเลยสักนิด ซึ่งอาจเป็นเพราะสภาพจิตใจที่เริ่มพังย่อยยับจนทำให้คนที่เคยเข้มแข็งในทุกเรื่องๆ กลับอ่อนแอเสียจนกลบเกลือความเจ็บปวดภายในไปจนหมด เหลือเพียงหัวใจที่รองรับความเสียใจที่ไหลล้นออกมาจากดวงตา

 

            “ ร้องไห้หรือ หึ! ทุเรศชะมัด ” น้ำลายสกปรกถมรดแก้มซ้ำ มือหยาบกร้าน จิกขย้ำเส้นผมสีอ่อนของเด็กหนุ่มลูกครึ่งแดนอาทิตย์อุทัยจนต้องส่งเสียงร้อง แต่กระนั้นก็ยังส่งดวงตาที่แข็งกร้าวมองกลับมาขัดขืน แม้ร่างกายจะไม่มีเรี่ยวแรงปฏิเสธ

 

            พ่อค้าทาสแสยะยิ้มชอบใจก่อนกระชากร่างบางให้ลุกขึ้น และออกคำสั่งกับลูกน้องสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบ

 

            “ เอาไอหมาโสโครกนี่ไปอาบน้ำ คืนนี้ข้าจะขึ้นเวทีประมูลขายมันที่ตลาดมืด เพรชเม็ดงามต้องเจียระไนสักหน่อย..” กล่าวสั่งการพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายที่ปรากฏ ก่อนผลักส่งเด็กหนุ่มที่เก็บได้ให้ลูกน้องทั้งสองเป็นคนรับช่วงต่อ มิกิปรายดวงตาอันชื้นฉ่ำหันกลับมามองพ่อค้าทาสด้วยความเคียดแค้นระคนเจ็บใจ แต่ไม่ทันได้ทำสิ่งใดท่อนแขนขาวก็ถูกกระชากไปตามเรี่ยวแรงลูกน้องของพ่อค้าทาสให้เดินตามมา





 

 

            ค่ำคืนแสนเลวร้ายกำลังดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัย ยังคงมีเรื่องราวอยู่อีกมากที่มนุษย์เราย่างก้าวได้ไม่ถึง และโลกก็ยังคงทำเหมือนปิดหูปิดตาไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม แม้วิทยาการจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่กับตัวเป็นข้อบ่งบอกได้อย่างดี ว่ามนุษย์ยังคงชอบกับการเดินทางไปหาอดีต ซึ่งสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเครื่องมือที่ย้ำถึงสันดารมนุษย์ เพื่อต้องการความอยู่เหนือผู้คน การค้าทาสจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับเมือง‘อาราบัส’ ซึ่งเป็นแหล่งสนองความปรารถนาของมนุษย์ชั้นดี

 

            เด็กหนุ่มลูกครึ่งแทบมิอาจยอมรับตัวเองได้ เมื่อโดนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันกระทำราวกับเขาเป็นสัตว์ป่า ไม่ว่าจะการถูกจับโยนลงบ่อน้ำ และขัดเนื้อขัดตัวเอาคราบสกปรกออกจนสะอาดสะอ้าน แต่เชือกที่มัดแน่นก็ไม่ปลดออกแต่อย่างใด สะเก็ดแผลเล็กๆตามตัวที่เกิดจากการต่อสู้ขัดขืนถูกทาด้วยขี้ผึ้งอย่างลวกๆ และโปะด้วยแป้งขาวเพื่อกลบรอยแผลทับ ก่อนจะจับเขาให้ใส่แค่ผ้าผืนน้อยที่คลุมเฉพาะส่วนล่างเพียงแค่ไม่กี่คืบ ขณะที่ต้นคอขาวก็ถูกสวมด้วยหวงสีทองที่ห้อยเม็ดกระดุมสีทองไว้รอบๆราวกับพวกห่วงคล้องคอของนางรำ แต่กลับมีโซ่เส้นเล็กๆเชื่อมติดกับห่วงและล็อคเชื่อมเอาไว้กับข้อมือที่ถูกมัดไว้อีกทีหนึ่ง สภาพตัวเองทำเอาเขารู้สึกเหมือนเป็นแกะที่พอกขนจนสวยเพื่อส่งเข้าประกวด ก่อนจะโดนซื้อแล้วนำขนไปขายตัดเสื้อและถูกฆ่าตายในเวลาถัดมา

 

            ร่างบางถอนหายใจกับอนาคตของตัวเองที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ไม่ช้าพอพ่อค้าชั่วเห็นร่างที่ปรุงแต่งที่ส่งกลิ่นหอมก็เริ่มยกยิ้มพอใจกับสภาพเพรชเม็ดงามตรงหน้า ก่อนจะนำตัวเขาออกไปจากที่พักซอมซ่อ ผ่านตรอกซอกซอยที่ซับซ้อนแห่งหนึ่งในเมืองอาราบัส

 

           เมื่อออกมาด้านนอก สุดปลายสายตาที่เห็นคือเต้นท์ขนาดใหญ่เหมือนของพวกคณะละครสัตว์รกร้าง ไม่มีคบเพลิงหรือไฟให้ความสว่าง แต่กลับมีคนที่แต่งกายเหมือนๆกันด้วยเสื้อคลุมที่เรียกว่าโธบ*ครอมเท้า แล้วมีผ้าโพกคลุมศีรษะที่เรียกว่ากุห์ตรา ส่วนผู้หญิงก็สวมด้วยชุดคลุมมิดชิดตั้งหัวจรดปลายเท้า มีเพียงดวงตาสีดำที่เผยให้เห็น ซึ่งเดินกันขวักไขว่ราวกับกำลังมีงานเทศกาลเกิดขึ้น หากเขาเดาไม่ผิดที่นี่คงเป็นสถานที่ที่เรียกว่า ‘ตลาดมืด’

           

            มิกิถูกผลักตัวเข้ามาด้านใน นัยน์ตาสีสวยกวาดมองรอบๆเพื่อหาหนทางเอาตัวรอดทั้งที่รู้แก่ใจว่าเป็นได้ยากนัก แต่สิ่งที่เขาพบก็คือ ที่นี่คือโรงละครสัตว์รกร้างที่ถูกทิ้งไว้จริงๆอย่างที่คิด ซึ่งตรงกลางเป็นลานกว้างที่มีเวทีขนาดย่อมยกสูงขึ้นจากพื้น รอบๆเป็นอัฒจันทร์ที่เต็มไปด้วยผู้คนเนืองแน่น แต่มองจากการแต่งตัวและเพรชเม็ดโตที่พวกเขาสวมใส่ดูแล้วน่าจะเป็นแหล่งรวมคนที่มีฐานะหรืออิทธิพลจากหลายเชื้อชาติมารวมกัน ซึ่งนั่นทำให้เขาอดหัวเราะสมเพชไม่ได้กับความคิดต่ำช้าของคนพวกนั้นที่มาประมูลทาส โดยที่อาจลืมไปว่าทาสพวกนั้นก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน!

 

            “ หัวเราะอะไรเดินไป” เมื่อเห็นร่างบางหยุดเดิน ลูกน้องพ่อค้าชั่วนั่นผลักไหล่เขาให้ก้าวต่อไปด้านหน้า เวลานี้มีทาสชายหญิงที่ถูกจับมาหลายคนถูกประมูลขายไปเหมือนกับการเลือกซื้อสุนัขในตลาด มิกิกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ในหัวสมองกลับว่างเปล่าไปหมดจน เพราะรู้ว่าเขาไม่อาจหนีไปทั้งสภาพแบบนี้ได้แน่

           

              ใจเย็นๆมิกิ..ค่อยๆวางแผน..

 

              เขาบอกกับตัวเองในใจ และพยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นจังหวะมากที่สุด หากหนีตอนนี้ไม่ได้ก็ใช่ว่าเขาจะต้องตกอยู่ในสภาพถูกมัดแบบนี้ตลอดไป ตราบใดที่ยังมีมือมีเท้าเขาก็จะเอาตัวรอดไปจากสถานที่บ้าๆให้ได้ ซึ่งเวลานี้สิ่งที่เขาทำดีที่สุดก็คือ ‘เล่นละครไปตามน้ำ’

 

            และในที่สุดก็ถึงคิวของเขา...

 

             “ ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ค่ำคืนนี้ข้าขอนำเสนอไข่มุกเม็ดงามข้ามฟากทะเลทรายฮาซาน เด็กหนุ่มต่างแดนผู้มีดวงตางดงามดุจสีมรกต ทรวดทรงบอบบางดูคล่องแคล่ว ว่องไว ปั้นท้ายขาวเนียนละเอียด ดูคุ้มค่า..กับการใช้งาน ”

             เสียงป่าวประกาศของพ่อค้าชั่วดังก้องไปทั่วพื้นที่ มิกิถูกผลักตัวขึ้นเวทีในทันที การพูดการจาที่ดูล่อตาล่อใจอย่างดึงดูดผสานกับเรือนร่างขาวละเอียดและใบหน้าหมดจดที่ยืนอยู่กลางเวที เรียกสะกดคนดูทุกอัฒจันทร์ให้หันมองมายังร่างของเด็กหนุ่มเลือดผสมมาเป็นทางเดียว ทั้งที่คิดว่าจะเล่นละครตามน้ำด้วยการเปรยยิ้มหวานล่อใจเพื่อให้ได้คนหน้าโง่มาไถ่ตัวเขา แต่พอเจอการนำเสนอแบบนี้เข้าไปเขาถึงกับยิ้มไม่ออก แถมมือยังเย็นเฉียบ จนได้แต่ยืนนิ่งเป็นเสาหินแข็งๆ ขณะที่พ่อค้าชั่วยังคงพูดขายของ(เขา)ต่อไป

 

              “ ของดีๆแบบนี้มีไม่บ่อยใช่ไหม..ฮ่าๆ ใช่แล้ว..ของดีๆเลอค่าที่ทุกคนควรค่าแก่การครอบครอง อย่ารีรอๆ เริ่มต้นราคา 1 แสนลูซ! ” เสียงปลุกระดมเริ่มต้นประมูลด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มิกิเองกลับแอบมีอารมณ์ร่วม ด้วยการเบ้ปากออกด้วยความไม่พอใจ

 

             เริ่มต้น 1 แสนลูซเหรอ เฮอะ ถูกไปไหม!

 

            “ 2 แสนลูซ ” คนแรกประมูลขึ้นอย่างตื่นเต้น ท่าทางเหมือนเป็นพ่อค้าเพรช แต่ 2แสน ก็ถูกไปอยู่ดีสำหรับตัวเขา

 

            “ 5 แสนลูซ! ” ราคาของเขาเริ่มขยับขึ้นสูงขึ้น ทำให้จิตใจชั่ววูบของมิกิรู้สึกสนุกขึ้นมา อยากจะรู้จริงๆว่าคนหน้าตาอย่างเขาจะตกอยู่ที่ราคาเท่าไรกันเชียว และนั่นก็เหมือนกับเป็นการปลุกระดมราคาราวกับสงครามที่กำลังแย่งชิงตัวเขา ซึ่งไม่ถึง5นาทีราคาประมูลเขากลับพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆจนถึงเลขหกหลัก! ทำเอาพ่อค้าชั่วนั้นไม่คาดคิดว่าเพรชเม็ดนี้จะได้ราคาดีขนาดนี้

 

            “ 5 ล้านลูซครั้งที่หนึ่ง 5 ล้านลูซครั้งที่สอง”

 

            ขึ้นอีกสิ..ราคาฉันมันต้องแพงกว่านี้!

 

             “ 10 ล้าน.. ” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นจากชายหนุ่มผู้หนึ่งท่าทางมีฐานะร่ำรวย คล้ายกับพวกเศรษฐีในเมืองใหญ่ ทำเอาทุกอัฒจันทร์ถึงกับเงียบกริบ ส่วนพ่อค้าทาสแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

 

             “ สะ สิบล้าน!  ” พ่อค้าชั่วอ้าปากค้าง มิกิหรี่ตาลงมองเป้าหมายที่ซื้อตัวเขาไปอย่างพิจารณา เห็นชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มคลุมเอาไว้ด้วยผ้ากุห์ตราสีขาวสลับแดงคาดด้วยเชือกผ้าสีดำมัน

 

              สิบล้านเหรอ มากกว่าที่คิดไว้แฮะ มิกิครุ่นคิดอย่างนึกสนุก ไม่คิดว่าเลยว่าจะมีมนุษย์บนโลกยอมทุ่มทุนซื้อคนที่ไม่รู้ว่าคิดอย่างไรในราคาสิบล้าน แต่ดูจากสายตาที่หื่นกระหายแล้วไอหมอนี่คงซื้อเขามาเพื่อมาทำเรื่องอย่างว่าแน่ๆ

 

            “ ขายหรือเปล่า ” ชายผู้นั้นถามย้ำเสียงเรียบ พ่อค้าชั่วยืนอ้าปากค้างกับราคาที่ไม่คาดคิด ที่ไม่รู้ว่าชาตินี้เขาจะได้ทาสคนใดที่ราคามากเท่ากับมิกิอีกหรือเปล่า

 

            “ ขะ..ขะ ”

 

            “ เดี๋ยว! ” ขณะที่กำลังเปล่งเสียงขานรับ กลับมีอีกเสียงหนึ่งที่ดังก้องสวนขึ้นมาจนหยุดชะงัก ทุกคนหันไปมองคนที่ขึ้นเรียกขัด ซึ่งเป็นบริเวณอัฒจันทร์ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามชายที่ประมูล ซึ่งตรงนั้นเป็นบริเวณที่ไม่อาจมองเห็นรูปหน้าของทาสที่ประมูลได้ชัดนักทำให้ปราศจากผู้คน แต่กลับเด่นสง่าด้วยกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่นั่งรายล้อมเรือนร่างของใครบางคนในเสื้อคลุมสีดำที่แต่งสาบเสื้อด้วยแถบผ้าปักสีทองยาวไล่ระบายมาตั้งไหล่จรดข้อเท้า ศีรษะโพกด้วยผ้ากุห์ตราสีเดียวกันแต่กลับครอบด้วยรัดเกล้าสีเงินเงางามที่ตรงกลางสลักเป็นรูปหัวของบางสิ่ง

 

               มิกิพยายามหรี่ตามองแต่ก็เห็นบุคคลนั้นได้ไม่ชัดนักเพราะผ้าคลุมกุห์ตรานั้นคลอบลงมาบดบัง มีเพียงริมฝีปากบางที่ขยับเปล่งเสียงเรียบเย็นจนทุกคนไม่คาดคิด

 

                “ 20 ล้านลูซขาดตัว.. ” พอได้ยินกระนั้นทุกคนถึงกับเบิกตาโต ตามด้วยเสียงฮือที่ก้องดังไปทั่ว  ขณะที่มิกิเองกลับมีอาการไม่ต่างจากผู้คนในอัฒจันทร์นัก เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีคนที่กล้าบ้าบิ่นซื้อตัวเขาในราคาที่แทบจะซื้อเรือยอร์ชดีๆได้สักลำ พ่อค้าทาสอ้าปากค้างชะงักงัน แต่พอเรียกสติกลับคืนมาได้ ก็ไม่รอช้ารีบตะโกนปิดประมูลในทันที

 

              “ 20 ล้าน ขาย! ขาย!! ”

 

              สิ้นการประมูลเสร็จสรรพด้วยตัวเงินที่สามารถทำให้สบายได้ไปทั้งชาติ พ่อค้าทาสของมิกิก็ถูกนัดตัวมาแลกเปลี่ยนของกันที่ด้านหลังเวที บุรุษผู้นั้นส่งคนที่น่าจะเป็นลูกน้องของเขามาพร้อมกับกระเป๋าสีดำก่อนจะยื่นมันให้แก่พ่อค้าทาส เมื่อเปิดดูก็พบว่าภายในเต็มไปด้วยธนบัตรสีเทาและทองคำที่มีมูลค่าเท่ากับตามที่ตกลง มิกิเบิกตาโตกับจำนวนเงินมหาศาล มองหน้าชายผู้แลกเปลี่ยนตัวเขาด้วยสายตาที่พยายามสื่อว่า ‘นี่มันเรื่องโง่สิ้นดี’ แต่ไม่ทันไร เมื่อสิ้นประโยชน์ตัวเขาก็ถูกผลักตัวไปให้พวกชายที่มาแลกเปลี่ยนด้วย และไม่ช้าเมื่อไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่ต่อ ลูกน้องของชายผู้นั้นก็รีบกึ่งดึงกึ่งลากพาตัวเขาให้ตามออกมา

 

               ขณะที่ทางด้านหลังระหว่างที่พ่อค้าชั่วกับลูกน้องกำลังแบ่งจำนวนเงินกันอย่างสุขใจ พอเอื้อมเข้าไปถึงเงินชั้นในมากขึ้นเรื่อยๆ เขากลับต้องสะดุ้งชักมือกลับเมื่อจู่ๆก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บแปล็บที่มือ แต่พอยกขึ้นมาดูก็เห็นรอยคมเขี้ยวของสิ่งมีชีวิตบางที่ฝั่งลงไปใต้ผิวหนัง ลูกน้องทั้งสองต่างเบิกตากว้างแต่ไม่ทันได้ช่วยเหลือผู้เป็นนาย เสียงที่ดังถี่รัวคล้ายกับการสั่นกระดิ่ง ก็ดังขึ้นไปทั่วไป ใบหน้าซีดเซียวเมื่อรู้ว่ารู้ต้นตอของเสียงที่อยู่รอบๆตัวคือสิ่งใด ก่อนเสียงร้องโหยหวญจะดังย้อมให้กับค่ำคืนที่เต็มไปด้วย..

 

            ความสุขใจ..



 

 

            เพียงเวลาไม่ถึง 10 นาที ร่างบางก็ถูกลากมายังขบวนรถไฟที่จอดรอพร้อมออกเดินทาง แต่น่าแปลกที่เป็นสถานีของประชาชนในเมืองอาราบัสแต่กลับไม่มีคนอื่นอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ราวกับมันถูกสั่งปิดไว้เพื่อรอบางอย่าง เวลานี้ด้านนอกมีเพียงคนที่แต่งตัวคล้ายกันที่เขาเห็นงานเต้นท์งานประมูลคอยยืนเฝ้าอย่างเป็นระเบียบด้วยใบหน้าที่แน่นิ่งอย่างกับรูปปั้นสลักตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวน คล้ายมาอารักขาคนใหญ่คนโตเพื่อความปลอดภัย

 

              ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยจริงๆแล้วว่าคนที่ซื้อเขาไปเป็นใครกัน

 

              ไม่ทันได้คิดให้มากความนัก ประตูรถไฟก็ถูกเลื่อนออกช้าๆเรียกความสนใจ แสงไฟที่ส่องสว่างจะด้านใน ทำให้ดวงตาคู่สวยต้องหรี่มอง คนรออยู่เป็นชายหนุ่มในชุดสีดำขลิบสาบเสื้อด้วยผ้าสีทองซึ่งปักลวดลายคดเคี้ยวของงูเหมือนกำลังเลื้อยอยู่บนผ้าคลุม มิกิแน่ใจทันทีว่าร่างนี้เป็นคนๆเดียวกับคนที่ประมูลเขาในราคา 20 ล้านลูซ แต่ใบหน้านั่นยังคงถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมสีดำจนมองเห็นได้ไม่ชัด แต่ผิวพรรณที่ขาวผ่องสว่างที่เผยให้เห็นทำให้มิกิคิดว่าคนคนนี้ต้องเป็นพวกเชื้อพระวงศ์เป็นแน่ แต่ทำไมเพียงแค่เห็นริมฝีปากหยักโค้งที่ยกยิ้มขึ้นเรียบๆกลับทำให้หัวใจของเขาเย็นวาบราบกับว่ามัน

 

               กำลังตื่นกลัว..

 

             “ โอ้ย! ” ส่งเสียงร้องทันทีเมื่อร่างกายถูกแรงกดจากด้านหลังบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น และบังคับให้เงยหน้าขึ้น

             

            “ นำตัวทาสหนุ่มคนนั้นมาพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท.. ” รายงานจบ พร้อมกับคำราชาศัพท์ที่ทำให้มิกิตกใจแทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ร่างสูงศักดิ์กลับไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยตอบอะไร หากแต่ลุกขึ้นยืน ค่อยๆก้าวเดินเอื่อยๆมาหยุดอยู่ตรงหน้าจนเงาดำคร่อมทับ ก่อนนิ้วเรียวขาวจะค่อยๆกดลงกลางแผ่นอกบาง แล้วไล่ช้อนขึ้นมาอย่างเชื่องช้าราวกับต้องการเย้ายวนจนถึงกระดูกไหปลาร้า ลำคอขาว และจบปลายคางเรียวมน สัมผัสที่ได้รับดั่งมนสะกดนี้ ทำเอาใบหน้าหมดจดต้องเชยขึ้นตามเรี่ยวแรงแผ่วเบา หัวใจดวงน้อยกลับเต้นแรงราวกับมันจะทะลุออกมาด้านนอก การกระทำเช่นนี้เหมือนต้องการปลุกอารมณ์ของเขาให้ตื่นขึ้น แต่กระนั้นมิกิก็พยายามตั้งสติให้มั่นคงแล้วเพ่งตามองใบหน้าที่หลบซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นให้ชัดๆให้ได้ ทว่า..สิ่งที่เห็น กลับทำเอานัยน์ตาสีอ่อนต้องผวาวาบเมื่อพบดวงตาจ้องกลับมานั้นไม่เหมือนกับตาของมนุษย์เลยสักนิด

 

           ม่านตาที่รีเล็กนั้นมันเหมือนกับ..

           

            อสรพิษ..         

 

            “ กะ..แกเป็นใคร! ” ถามเสียงแข็งกร้าวทั้งที่เริ่มกลัวจนสั่น ร่างสูงสง่ากลับยกยิ้มเย็นเยียบไม่คิดตอบคำถาม แต่ไม่ช้าหูของเขาก็แว่วได้ยินหมือนเสียงพรึมพร่ำคล้ายภาษาอะไรอย่างที่ฟังไม่ออก เสี้ยววินาทีที่เสียงเงียบลง สัมผัสลื่นๆจากบางสิ่งก็พลันให้เขา ต้องก้มหน้าลงไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้าง เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมีเกล็ดมันวาวสีขาวโพลนกำลังเลื้อยมาขดอยู่ตรงหน้ากว่าหลายสิบตัว

 

            “ ปล่อย! ฮึก ปล่อยฉันสิโว้ย! ” ร่างบางร้องลั่นด้วยตกใจ กายบางพยายามดิ้นให้หลุดกับการจับกุมแต่ก็ถูกกดตัวให้คุกเข่าเอาไว้กับพื้นจนขยับไปไหนไม่ได้ อสรพิษสีขาวเงางามกว่าหลายสิบค่อยๆเลื้อยไตร่ขึ้นไปตามร่างกายเปลือยเปล่าที่สั่นระริก สัมผัสที่ได้ช่างน่าขยะแขยงจนรู้สึกเกลียดร่างกายตัวเอง หัวใจก็เต้นแรงจนมิอาจควบคุมได้ ใบหน้าหวานหลับตาลงไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งที่หวาดกลัวแต่ก็มิอาจกลั้นน้ำตาให้ไหลลงมาเป็นสาย ร่างสูงยืนมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนิ่ง มีเพียงริมฝีปากบางที่ขยับเปล่งเสียงเยือกเย็น

 

            “ กัดเขา.. ” ขาดคำก็รู้สึกเจ็บทันทีที่ต้นแขนทั้งสองข้าง และไม่นานก็กลายเป็นความด้านชา จากหัวใจที่เคยเต้นถี่ระรัวก็ชะลอช้าลงเรื่อยๆเหมือนมันกำลังจะหยุดเต้น กายบางแข็งทื่อล้มพับลงไปกองกับพื้น ดวงตาปรือช่ำ แต่กระนั้นก็พยายามใช้ริมฝีปากกอบโกยลมหายใจเข้าไปทั้งที่เริ่มทำได้ยากเย็น อากาศกำลังค่อยๆขาดหายไป


              วินาทีของคนใกล้สิ้นลมนั้นช่าง..ทรมาน

 

             ทรมานเหลือเกิน..

 

             ขณะที่ภาพสุดท้ายที่เห็นกลับมีเพียงอสรพิษสีขาวที่เลื้อยผ่านใบหน้า กับร่างสูงของชายคนนั้นที่กลับเข้าไปนั่งที่เดิมขณะที่เสียงหวอดรถไฟดังก้อง..



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนปฐมบท+ค่ำคืนที่ 1]UP 20/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 22-07-2015 21:35:17
ค้าง อยากอ่านต่อเลย
ขอบคุณคนเขียนค้าาาา  :katai2-1: มาต่อไวๆเนอะ :impress2:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 2]UP 22/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 23-07-2015 16:18:42
ค่ำคืนที่ 3 : ดวงตา Part 1
     

   ดวงตะวันส่องสว่างร้อนแรงเหนือท้องฟ้าสีคราม รถลีมูซีนสีขาวคันหรูซึ่งดูเหมือนถูกจัดทำมาเป็นพิเศษเพื่อต้อนรับภูมิประเทศที่เป็นทะเลทรายกำลังแล่นอยู่บนถนนสายเล็กๆ โดยมีสองฝั่งข้างทางเป็นเนินทรายพูนสูงทองอร่าม แต่หากไม่มีอะไรดึงดูดจิตใจได้เท่าร่างที่กำลังนอนแน่นิ่ง ทั้งที่โดยปกติแล้วเวลาที่ผ่านเลยไม่เคยมีสิ่งใดเรียกความสนใจเขาได้นอกจากตนเอง แต่บัดนี้ กลับมิอาจละสายตาจากร่างอันบอบบางที่ไม่ต่างอะไรจากกิ่งไม้เปราะๆและผิวพรรณละเอียดเหมือนเม็ดทรายสีขาวสะอาดได้ น่าแปลกทั้งที่ไม่ชอบพวกต่างชาติ แต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังลุ่มหลงอยู่ในวังวน ยิ่งมองใบหน้าเรียวหวานราวอิสตรีกับริมฝีปากบางเฉียบนั่น หัวใจที่นิ่งไปนานกลับเริ่มเต้นแรงขึ้น ทั้งที่ช่วงเวลานี้..ควรเป็นฤดูกาลที่เขาสงบที่สุด

            เพราะอะไรกัน..กลิ่นหอมละมุมนี้ถึงอยู่ร่างของเด็กหนุ่มคนนี้

            สงสัยกระนั้น มือขาวค่อยๆเอื้อมไปเกลี่ยเส้นผมที่บดบังดวงหน้างามแผ่วเบา ก่อนโน้มจมูกโด่งสันลงคลอเคลียอยู่บนแก้มนุ่มนิ่มดุจปุยนุ่นราวกับพิสูจน์ความจริง  แต่ไม่คาดคิดว่าจะทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทไปนานกลับขยุกขยิก เขาจึงรีบเอนตัวกลับมานั่งในท่วงท่าเดิม ขณะที่ดวงตาสีอำพันมองคนที่กำลังได้สติกลับคืนมาอย่างสนใจ


           “ ฟื้นแล้วเหรอ ” เสี้ยววินาทีที่ได้สติกลับคืนมา แต่เสียงเรียบเย็นคุ้นหูทำให้ดวงตาคู่สวยต้องเบิกโต สัญชาตญาณรีบพากายบางลุกขึ้นทันที

 
           “ แก!..อ่อก!! ” ไม่ทันได้พูดสิ่งใด  จู่ๆก็อาเจียนเอาก้อนน้ำที่กระอักกระอ่วนอยู่ในลำคอออกมาจนเปรอะเปื้อนไปทั่ว ร่างบางเกร็งตัวจนโก่งงอรู้สึกเจ็บในท้องคล้ายลำไส้มันจะขาดออกจากกัน ขณะที่ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆกลับมองนิ่งงัน รอยยิ้นบางๆยกขึ้นราวกับรู้อยู่แก่ใจว่าอาการของร่างบางจะเป็นเช่นนี้

           “ อย่าขยับดีกว่า พิษงูมันยังไม่หมด ” เขาเอ่ยเสียงเรียบเสมือนสิ่งที่พูดเป็นเรื่องพื้นๆ ก่อนจะเอนลำตัวพิงพนักเบาะบนรถอย่างสบายใจ ส่วนมือก็ยกขึ้นเท้าค้างใบหน้าเรียบเฉยซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งการปกปิดใดๆอย่างตอนก่อน
 
            ทาสหนุ่มค่อยๆเงยใบหน้าขึ้นมามองบุรุษสูงศักดิ์ผู้ซื้อเขาไว้ด้วยเงิน 20 ล้านลูซ แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าที่สะดุดตานั้น ก็ทำเอาความคิดต่างๆพลันหยุดชะงักงัน นัยน์ตาสีอำพันเดิมทีคล้ายกับดวงตาของสัตว์ร้าย บัดนี้กลับคมกริบงดงามเหมือนแสงของดวงตะวัน จมูกโด่งสันรับกับคิ้วเรียวยาวดกดำโค้งสวย ริมฝีสีเนื้อระเรื่อหยักดุจรูปคันศร เส้นผมสีดำยาวสลวยปรกดวงหน้านั้นมิอาจตอบได้ว่าสวยงามหรือหล่อเหลาดี แต่กลับยิ่งทำให้ทำให้ชายสูงศักดิ์คนนี้ดูสง่างามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

 
           มิกิเผลอมองดวงหน้าอันงดงามนิ่งขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้คิดหลบเลยสักนิด สายตาที่ผสานมาจู่ๆมันก็ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นราวกับว่ามันกำลังถูกครอบงำด้วยนัยน์ตาสีทองนั่น โชคดีที่ว่าแรงกระแทกเล็กน้อยจากพาหนะที่นั่งก็พลันให้เขาหลุดออกจากภวังค์ฉับพลัน ขณะที่ภาพเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำบนขบวนรถไฟก็ผุดเข้ามาในหัวเหมือนน้ำที่กำลังไหลท่วมเข้ามา ถึงจะไม่ค่อยอยากเชื่อ..แต่เขาก็แน่ใจว่า บุรุษคนนี้เป็นคนสั่งให้งูพวกนั้นกัดเขาบนขบวนรถไฟซึ่งตอนนี้ไม่ใช่!


            “ แกจะพาฉันไป..อ่อก!..”

            ยังไม่ทันได้ถามจนจบประโยค ก็โก่งตัวลงไปอาเจียนที่พื้นอีกครั้งจนอ่อนแรง ดวงตาคมปรายตามองเด็กหนุ่มที่อาเจียนขับพิษงูออกไม่เลิก ก่อนจะหอบหายใจอยู่ฟุบหน้าหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเบาะ ภาพอันน่าสงสารของคนที่ไม่รู้สถานะตนเองนี้ทำให้เขาหัวเราะในลำคอแผ่วเบา เรียกสายตาไม่พอใจของอีกฝ่ายให้หันมาโดยทันที แต่นัยน์ตาสีอำพันกลับเบนสายตาออกไปด้านนอกรถแสงสว่างทำให้ดวงดางนั้นเป็นประกายระยับ ริมฝีปากบางขยับเอื้อนเอ่ยเปล่งเสียงเรียบเย็น

 
            “ อนาคาน.. ”

            เพียงแค่ชื่อของสถานที่ที่ไม่คุ้นหูหลุดออกมา ทำเอาคิ้วสีอ่อนของเด็กหนุ่มลูกครึ่งผูกเป็นปมแน่น แม้จะอ่อนแรงเต็มทนได้ใช่ว่าหัวสมองเขาจะเบลอจนนึกอะไรไม่ออก


           เดิมทีชื่อนี้เหมือนเขาเคยอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์ระหว่างที่ทำงานเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์โลเกีย ถ้าเขาจำไม่ผิด มันคือชื่อเมืองโบราณที่เต็มไปด้วยอารยธรรมลึกลับเก่าแก่ที่ซ่อนอยู่ในแทบทะเลฮาซานที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ว่ามีอยู่จริงบนโลกเสียด้วยซ้ำ

            แต่ตอนนี้..ใครจะเชื่อล่ะว่า..คนที่ยอมซื้อตัวเขามาด้วยราคา 20 ล้านจะเป็นคนพาเขาไปที่นั่น !
 
           “ ทำหน้าแบบนั้น..รู้จักงั้นหรือ ” ดวงตาคมปรายมองเขาอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมรอยยิ้มที่เย็นเหยียบ หากปฏิกิริยาที่ตอบสนองกลับจากร่างนั้นคืออาการสั่นผวาทันทีที่เผลอสบนัยน์ตาคู่นั้น ขณะที่หัวใจก็เต้นแรงเสียจนเหมือนจะระเบิดออกมา ความเย็นยะเยือกแพร่ซ่านไปตั้งปลายเท้าจรดศีรษะ ครั้นจะพยายามใช้มือทั้งสองกอดตัวเองก็ทำไม่ได้เพราะเขายังถูกมัดไว้ มิกิจึงทำได้เพียงกัดฟันแน่นเพื่อระงับความตื่นตระหนกกับอาการของร่างกายที่มิอาจควบคุมได้

           “ เป็นอะไรไป อย่าแสดงความกลัวต่อหน้าฉันแบบนั้นสิ ”

            ใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาใกล้ขึ้นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ แต่กลับทำให้ร่างกายหนาวสะท้านมากขึ้น เมื่อพบดวงตาคมกริบสีอำพันจ้องมองมาที่เขาราวกับสัตว์ร้ายกระหายเหยื่อ

            “ ถอยออกไปนะ! ” ร้องห้ามเสียงแข็ง สัญชาตญาณพาร่างกายเขยิบหนี หากก็ยากเกินไปสำหรับคนที่อยากคว้าอิสระ ท่อนแขนเล็กถูกกระชากอย่างแรงจนร่างบอบบางมิอาจทรงตัวอยู่ แต่กลับถูกอ้อมแขนกำยำกลับโอบรัดไว้อย่างง่ายดาย มือหนาทั้งสองสอดคล้องเข้าเอวคอดเล็ก ก่อนค่อยๆเลื่อนจากแผ่นหลังชื้นบางขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงต้นคอทางด้านหลัง  มือข้างหนึ่งขยุ้มเส้นผมสีอ่อนตรงท้ายบังคับให้เงยขึ้น ความเจ็บทำเอาร่างบางเผลอส่งเสียงร้องครวญ ขณะที่อีกข้างกลับเข้าประคองอยู่ข้างใบหน้าที่ยังคงแสดงความหวาดกลัว รอยยิ้มเย็นยะเยือกคลี่ออกอย่างพอใจกับอาการที่ร่างเล็กแสดงออก ดวงตาคมกริบจ้องมองลำคอซีดขาวที่ปรากฎรอยเส้นเลือดบางๆ ก่อนจมูกโด่งสันจะก้มลงสูดดมกลิ่นกายเย้ายวนหอมละมุนดุจบุปผาที่โปรดปราน สัมผัสเร่าร้อนเริ่มปลุกระตุ้นขึ้นอย่างรุนแรงทำเอาเสียงครางหวานหอบกระเส่าเล็ดลอดออกมจากริมฝีปากหยักสวย ดวงตาคมมองภาพอันยั่วยวนนิ่งงัน ก่อนเสียงเรียบเย็นจะเอ่ยแผ่วเบา


           “ จงแสดงแต่..ความร้อนแรงออกมา ” ขาดคำราวกับลมหายใจถูกช่วงชิงไปในทันที กลีบปากเร่าร้อนบดขยี้ริมฝีปากบางอย่างกระหาย ความรุนแรงที่ได้รับทำให้เกิดแผลปลิดแตก รสเลือดฝาดลิ้นไหลซึมเข้าไปในโพรงปากแต่หากหวานละมุนราวกับน้ำผึ้งหายาก เรียวลิ้นช่ำชองเกี่ยวกระหวัดกลืนกินทุกหยาดหยดความหวานอย่างเพลิดเพลิน ขณะที่มือก็เปลี่ยนมาสอดใต้แผ่นหลังลูบไล้กอดรัดแน่นขึ้น อีกข้างก็ขย้ำขยุ้มเส้นผมสีอ่อนรุนแรงไปตามอารมณ์จนยุ่งเหยิง ความรู้สึกร้อนระอุมราเกิดขึ้นราวกับกำลังจะทำให้ร่างกายของเขาระเบิดออกเป็นจุณ กระทั่งหลุดเสียงร้องกระเส่าออกมาอย่างน่าอับอาย รสจูบที่แผดเผาดั่งไฟนี้เหมือนกำลังหลอมละลายตัวเขาให้ยอมสยบลงแทบเท้าเสียให้ได้..กระทั่งดวงหน้าสวยเริ่มแดงก่ำเพราะใกล้หมดลม บุรุษผู้นั้นจึงยอมผละริมฝีปาก และปล่อยให้ร่างบางทิ้งตัวลงกับเบาะรถ โกยเอาอากาศหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ดวงตาคมจ้องมองทาสผู้ต้อยต่ำแน่นิ่ง ก่อนจะเลียริมฝีปากของตัวเองราวกับเสียดายรสชาติอันหอมหวานที่ยังคงตราตึงอยู่เจือจาง แม้จะอยากจะกลืนกินจนแทบจะอดใจไม่ไหวแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา..

           รสชาติและกลิ่นหอมละมุนนี้..ช่างน่าอัศจรรย์นัก

           “ ไอโรคจิต.. ” กัดฟันเปล่งเสียงด้วยความเจ็บใจ ถึงร่างกายจะเจ็บช้ำจนไร้เรี่ยวแรง หากไม่เท่ากับจิตใจที่ถูกหยามเกียรติจนไม่เหลือศีกดิ์ศีรความเป็นคน แม้เขาจะไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครจนเกินเลย แต่นี่ก็ไม่ใช่จูบแรกสำหรับเขา แต่อย่างน้อยคนที่ขามอบล้วนมาจากความรักอันบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ช่วงชิงไปเพราะความต้องการส่วนตัว

         “ หึ เก็บแรงไว้เถอะ เราใกล้จะถึงกันแล้ว ตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไร” พูดจบเสมือนไร้ซึ่งความรู้สึก ทำเอามิกิได้แต่ขบกรามแน่นอยู่แบบนั้น ก่อนใบหน้าหล่อเหลาหันออกนอกหน้าต่างของรถ ขณะที่แสงแดดที่สาดส่องมาจากภายนอกนั้นทำให้ผิวพรรณ์ของชายผู้นี้เปล่งประกายงดงาม น่าแปลกทั้งที่รูปลักษณ์ภายนอกนั้นเจิดจรัสราวกับเพรชล้ำค่า แต่ทำไมรัศมีรอบกายที่เขาสัมผัสได้กลับมีแต่ความเยือกเย็นและน่าสะพรึงกลัวซ่อนเอาไว้ภายใต้ร่างสง่างามนี้ คำถามหนึ่งที่เขายังคงไม่ได้คำตอบก็คือ..

           ชายคนนี้เป็นใครกัน..

 
 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 2]UP 22/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 23-07-2015 16:19:45
ค่ำคืนที่ 3 : ดวงตา (Part จบ)



           ใช้เวลาไม่นานนัก ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวไกลก็หยุดลง หลังจากตอนนั้น อาการของก็กำเริบขึ้นอีกครั้ง เขาอาเจียนขับพิษงูออกมาตลอดทาง ซึ่งน่าแปลกใจนักเพราะโดยหลักการแล้วการรักษาพิษงูนั้นทำได้อย่างเดียวคือการฉีดเซรุ่มเพื่อเข้าไปทำลายพิษที่อยู่ด้านใน หรือใช้เครื่องมือเพื่อบ่งเอาพิษงูออกจากแผลที่กัดแล้วรัดเชือกเหนือแผลให้แน่นเพื่อกันพิษแล่นเข้าสู่หัวใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากรสจูบของคนตรงหน้า ในท้องของเขาก็ร้อนระอุเหมือนโดนแผดเผาตลอดเวลา สุดท้ายก็ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะพยุงตัวลุกขึ้น รู้สึกเหมือนตัวเขากำลังจะตายจริงๆ

           ทว่า..กลับไม่มีความสนใจจากคนที่อยู่ข้างกายเลยสักนิด ทันทีที่เสียงประตูรถถูกเปิดออก ดวงตาคู่สวยได้แต่ปรือมองแผ่นหลังสูงสง่าก้าวลงจากรถ เขาเห็นบันไดหินอ่อนทอดยาวขึ้นไป มีผู้คนมากมายซึ่งแต่งตัวอยู่เสื้อคลุมโธปสีดำและกุห์ตราสีเดียวกันต่างพากันนั่งก้มหัวถวายอยู่แทบเท้าชายผู้นั้นทั้งสองฝั่งข้างทางอย่างเนืองแน่น หากหูของเขาได้ยินไม่ผิดเพี้ยนคนพวกนั้นกำลังถวายคำสรรเสริญที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ เสร็จสิ้นร่างสูงก็เรียกชายสูงวัยผู้หนึ่งท่าทางเหมือนคนสนิทเข้ามากระซิบบอกบางสิ่ง ก่อนดวงตาสีอำพันคมกริบจะปรายตามามองเขาจนสะดุ้ง

          ไม่ทันได้ครุ่นคิดสิ่งใดต่อ เขาก็ได้ยินเสียงประตูรถเปิดออกจากทางด้านหลัง พอรู้สึกตัวอีกทีริมฝีปากของตัวเองก็ถูกปิดด้วยผ้าจนแน่น ก่อนถุงผ้าดำสนิทจะครอบลงบนศีรษะบดบังภาพทุกอย่างจนสิ้น จากนั้นเขาก็เหมือนกำลังตัวเองกำลังถูกลากตัวไปที่ไหนสักแห่ง ร่างบางพยายามส่งเสียงร้องโวยวาย แต่กลับไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเขาเลยสักนิดแต่ขาเรียวบางที่ยังคงถูกมัดไว้ก็เคลื่อนไหวได้ไม่ถนัดนัก ทำเอาล้มลุกคลุกคลานไปหลายครั้งเมื่อต้องขึ้นบันไดเป็นสิบๆขั้นจนข้อเท้าแพลง  แต่พอถุงผ้าที่คลุมอยู่ถูกเปิดออกฉับพลัน แสงสว่างก็ทำให้เขาต้องรีบหรี่ตาลง เมื่อภาพทุกอย่างจะปรากฏชัดขึ้น ก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องของใครสักคนที่มีขนาดที่กว้างๆพอกับห้องวิจัยที่เขาเคยทำงานสองห้องรวมกัน

        นัยน์ตาสีอ่อนกวาดสายตาไปรอบๆอย่างตกตะลึง ในห้องเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ดูมีราคาสูงริบ ทั้งกระจก โซฟา โต๊ะ ตู้ ทุกอย่างถูกทำด้วยทองคำอย่างดี ลึกเข้าไปมีห้องที่เชื่อมต่ออีกห้องโดยที่ไม่มีประตูกั้น ด้านในมีสระน้ำเล็กๆที่มีรูปปั้นสลักรูปหัวของอสรพิษกำลังพ่นน้ำอยู่ทั้งสองทั้งสองฝั่ง พอเงยหน้าขึ้นไปด้านบน ก็พบสัญลักษณ์บางสิ่งที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นซึ่งคล้ายกับดวงตา แต่กลับเหมือนถูกพันไว้ด้วยงูสีดำตัวหนึ่งมองดูน่าขนลุก

          หลายสิ่งหลายอย่างเกิดเป็นคำถามมากมายในหัวเต็มไปหมด ราวกับชายสูงศักดิ์ผู้นี้กำลังบูชาสัตว์เลือดเย็นอย่างงูเป็นเทพเจ้า ซึ่งใช่ว่าเรื่องนี้เขาจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่กลับไม่คิดว่าจะมาเผชิญกับตัว

          อย่างไรซะ..ถ้าโลกนี้ยังไม่ทิ้งเรื่องการค้าทาสได้..ถ้าจะมีเรื่องการบูชางูขึ้นมาอีกเรื่องก็คงไม่แปลกอะไรนัก สิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือ..เขาจะหาทางออกจากที่นี้ได้ยังไงต่างหาก เพราะดูจากสถานการณ์แล้ว ชายผู้นั้นคงไม่ปล่อยทาสที่มีราคา 20 ล้านไปโดยง่ายๆแน่ แต่เขาจะทนอยู่สภาพนี้ไม่ได้

          จะทำอย่างไรดีมิกิ..คิดสิ!

           “ ปลดโซ่เขาออกให้หมด”  ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ร่างสูงสง่ามายืนอยู่ในห้อง แต่พอได้ยินเสียงเรียบคุ้นหู หัวใจของเขาก็กระตุกทันที ในที่สุดโอกาสที่รอคอยมานานที่มือและเท้าจะเป็นอิสระจะกลับมาอีกครั้ง แล้วเขาจะได้ไปจากสถานที่บ้าๆนี้เสียที แต่ชายคนที่เป็นคนลากตัวเขามาที่นี่กลับไม่เห็นด้วย

           “ แต่ฝ่าบาท.. ”

           “ อย่าริขัดคำสั่งข้า! ” เสียงตวาดก้องทำเอาชายคนนั้นถึงกับสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว แต่เรื่องนั้นร่างเล็กหาได้สนใจไม่ ตอนนี้ ถ้าเขาหูไม่ฝาดไป ชายคนนี้เรียกร่างตรงหน้าว่า ‘ฝ่าบาท’ ซึ่งคำสรรพนามเช่นนี้จะเรียกได้ต่อเมื่อคนผู้นั้นเป็นผู้ปกครองประเทศ ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าคนคนนี้คือ..

          กษัตริย์!

          มิกิยืนนิ่งด้วยความตกใจ ขณะที่ในใจก็กลับสับสนไปหมด ทำไมคนที่วรรณะเป็นถึงกษัตริย์ชั้นสูงถึงมาซื้อทาสอย่างเขาที่เมืองอาราบัสกัน ซึ่งแน่นอนคำว่าถูกใจเพียงอย่างเดียวคงไม่มีเหตุผลพอสำหรับทาสราคา 20 ล้านลูซแน่

           แต่มันเพราะอะไรกัน?

           กึก

          เสียงปลดกุญแจที่ข้อเท้าทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งคิดว่าเหตุผลคืออะไร แต่เขาควรใช้โอกาสที่กำลังจะได้รับรีบหนีออกจากที่นี่ต่างหาก ว่าแล้วดวงตาก็ค่อยๆมองหาสิ่งที่คิดว่าพอน่าจะใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้ ก่อนจะเหลือบไปเห็นกริซสีเงินเงาวับเหน็บไว้ที่ข้างเอวของพวกทหารองค์รักษ์ตรงหน้า ไม่รอช้าทันทีที่โซ่ข้อมือถูกปลดออกทันหมด มือเรียวก็รีบฉวยเอากริซคมกริบแล้วจ่อไว้ที่ต้นคอของทหารผู้โชคร้ายทันที

            “ อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาฉันฆ่าหมอนี่แน่!” ตะเบ็งเสียงแข็งจ่อคมมีดไว้ที่ต้นคอของทหารหนุ่ม อย่างน้อยถ้าเป็นคนของแผ่นดินเดียวกันต้องไม่กล้าลงมือทำอะไรแน่ แต่ร่างสูงกลับไม่ได้แสดงทีท่าว่าตกใจเลยแม้แต่น้อย เขาทำเพียงแค่หรี่ตาลงนิ่งแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นระดับสายตาของตัวเอง ขณะที่ดวงตาสีอำพันกลับดูเยือกเย็นเสียจนน่าขนลุก มิกิขมวดคิ้วลงอย่างไม่เข้าใจว่าปฏิกิริยานี้คือสิ่งใด แต่เพียงแค่น้ำเสียงเรียบเย็นเอ่ยออกมาก็ทำเอาทุกอย่างกระจ่างจนหมด

            “ ฆ่ามันซะ..” ทันทีที่มือทรงอำนาจทิ้งลง ก็ราวกับคำสั่งพรากชีวิต เสียงร้องดังขึ้นพริบตาพร้อมคมเขี้ยวที่ฝั่งลงกลางลำคอของทหารหนุ่ม ซึ่งไม่รู้ว่าตอนไหนที่อสรพิษร้ายขนาดกลางเลื้อยขึ้นมาปกคอเสื้อ มิกิเบิกตากว้างด้วยความตกใจผลักร่างนั้นออกจากตัว เห็นอีกทีทหารคนนั้นก็ดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น ดวงตาเหลือกล้นจนแทบทะลักออกมาจากเบ้า น้ำลายสีขาวฟูฟ่องท่วมปาก วินาทีต่อมาก็สิ้นใจลงต่อหน้า ช่วงวินาทีนั้นร่างเล็กแทบลืมหายใจ แต่ไม่ทันทำสิ่งใดเร็วเท่าพริบตาร่างกายของเขาก็กระแทกเข้ากับบานประตู

            “ โอ้ย! ” ร้องลั่นด้วยความเจ็บ ข้อมือทั้งสองถูกมับรวบไว้ด้วยมืออันแข็งแรง ส่วนมือหนาอีกข้างก็กดทับไว้ที่กลางแผ่นอกบางพร้อมกับกายแกร่งที่โถมลงมาจนมิอาจขยับหนี ดวงตาเรียวคมหรี่ลงมองใบหน้าหวานที่ยังคงแสดงอาการตื่นตกใต แต่ยิ่งเห็นเขากลับยิ่งชอบใจนัก อยากจะรู้จริงว่าร่างนี้จะทำให้เขาสนุกได้แค่ไหน

            “ ทะทำอะไร ปล่อยนะ อึก! ” ขาดคำมือที่กดลงกลางแผ่นอกกลับค่อยๆเลื่อนลงเบื้องล่าง มิกิเห็นสถานการณ์เริ่มล่อแหลมก็พยายามดิ้น แต่เพียงแค่มือหนาสอดเข้าไปที่ใต้ผ้าผืนน้อยและกอบกุมจุดอ่อนไหวทำเอากายบางถึงกับสั่นสะท้าน

            “ กำลัง..สำรวจทุกอย่าง ” ใบหน้าหล่อก้มลงสูดดมที่ซอกคอขาว กลิ่นกายที่โปรดปรานยั่วยวนเริ่มปลุกเร้าการกระทำมากขึ้นอย่างไม่ควรจะเป็น ขณะเดียวกันกลับรู้สึกสนุกกับร่างนี้มากยิ่งนัก ยิ่งเห็นสีหน้าที่ไม่ยอมรับเขาก็ยิ่งต้องการจะเอาชนะและปลดเบื้องความน่าอับอายของคนตรงหน้าให้เผยออกมาสยบอยู่แทบเท้าให้ได้ แม้ใบหน้าของผู้โดนลงทัณฑ์เสน่หานี้จะพยายามฝืนกลั้นและพยายามดิ้นไปมา แต่ส่วนล่างของร่างกายก็ไม่อาจปกปิดการตอบสนองที่ต้องการนี้ได้ กระทั่ง..เสียงครางกระเส่าหลุดรอดครั้งแล้วครั้งเล่าจนใบหน้าหวานแดงก่ำ รอยยิ้มเย็นจึงยกขึ้นอย่างมีชัย เสียงแผ่หบพร่าร้อนแรงกระซิบข้างใบหู

            “ หึ..ยอมรับสิว่านายก็ชอบมัน ”

            “ ไอสารเลว อ๊ะ!.. ” ได้ยินด่าพ้อแต่กลับไม่เป็นผลให้คนที่เหนือกว่าหยุดการกระทำเลยสักนิด ขณะที่ร่างกายของเขาก็ร้อนเร่าเหมือนใกล้จะถึงขีดสุดเต็มที

            “ ปล่อย..อึก..ปล่อยฉันนะ! ” เริ่มตวาดเสียงดังอย่างไม่พอใจ ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ว่าปลดปล่อยเรื่องน่าอับอายนี้กับคนคนนี้เด็ดขาด ขณะที่ร่างสูงกลัยกยิ้มอย่างมีชัย อย่างไรผู้ที่ครอบครองอารมณ์อ่อนไหวของร่างบางตรงหน้าก็มีแต่เขาเพียงผู้เดียว

            “ บอกชื่อมาสิแล้วจะปล่อย ” เสียงเย็นเยียบเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะมือที่สอดเข้าไปก็เริ่มปลุกเร้าเร็วขึ้น จนกายบางต้องบิดเกร็ง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันกัดกลั้นสัมผัสเสียวซ่านอย่างที่ไม่ควรจะเป็น แต่กระนั้นขืนปล่อยเป็นแบบนี้เขาคงทนไม่ไหวแน่ ในที่สุดก็ยอมแพ้เผยชื่อตัวเองออกมา

             “ มิ..มิกิ ” หอบหายใจถี่แรงพร้อมกับการกระทำที่เชื่องช้าลง ดวงตาคู่สวยเหลือบมองใบหน้าคมเข้มปานรูปปั้นสลักนั้นอย่างเจ็บใจที่พ่ายแพ้ แต่กระนั้นชายตรงหน้ากลับหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างชอบใจ

           “ มิกิ..20 ล้านลูซช่างคุ้มเกินคาดจริงๆ ว่าไหม” เขาเลียริมฝีปากตัวเอง แต่สาบานได้ว่าชั่ววินาทีหนึ่งเขาเห็นว่าลิ้นนั้นไม่เหมือนกับลิ้นปกติทั่วไปของมนุษย์ แต่มันเหมือนลิ้นที่มีลักษณะเรียวยาว แต่ตรงปลายกลับแยกออกเป็นสองแฉกอย่างกับ..

           ลิ้นของงู!

           ไม่ทันตั้งสติทำใจได้ ร่างแกร่งก๋โน้มตัวลงมาใกล้ขึ้น กลีบปากหยักโค้งค่อยๆเอื้อนเอ่ยเสียงเย็นเยือกข้างใบหู

            “ บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา คือชื่อเจ้าของ..กลิ่นของนาย”

            ริมฝีปากอุ่นขบกัดข้างใบหูเชื่องช้า สัมผัสวาบหวามนี้กำลังกัดกลืนทุกความรู้สึกของเขาไปจนสิ้น แต่ทำไมหัวใจถึงได้สั่นผวาจนแทบจะไม่มีแรงขัดขืนเลยสักนิด ความตื่นกลัวทำให้หัวสมองเปล่าโปร่งไปหมด หากน่าเจ็บใจที่ร่างกายกลับไหลตามอารมณ์ที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้อย่างซื่อตรงจนรู้สึกเกลียดตัวเอง


            “ อึก อ๊ะ! ” เสียงครางหวานพร่ำร้องออกมา สุดท้ายก็มิอาจฝืนกลั้นความจริงอีกต่อไป คราบน้ำแห่งอารมณ์ไหลรดลงมาระหว่างง่ามขาทั้งสองข้าง ขณะที่ร่างกายกลับอ่อนปวกเปียกแทบจะทรุดลงทันทีเมื่อถูกชิงเรี่ยวแรง แต่กระนั้นก็พยายามรั้งสองขาที่สั่นเทาให้พยุงร่างของตัวเองไว้ ดวงตาคู่สวยช่ำปรือมอง ‘บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา’ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งนครอนาคานอย่างแค้นเคือง แต่ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับฉีกยิ้มเย็นราวกับต้องบอกว่าเขาอยู่เหนือกว่ามากนัก ก่อนจะละมือที่สอดเข้าไปในผ้าส่วนในที่เปียกชื้นของอีกฝ่ายออก


            มิกิหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน อย่างไรซะ..ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างตัวเขาคงต้องถูกกระทำมากกว่านี้แน่ แต่กำลังกายของอีกฝ่ายกลับเหนือเขามากนัก ขัดขืนอย่างเดียวคงไม่มีวันหลุดพ้นคงมีแต่..

        ต้องล่อลวงเท่านั้น!!

        “ ปล่อยฉันสิ..ฉันจะทำทุกอย่างที่นายต้องการ ” คำออดอ้อนกล่าวพร้อมกับน้ำเสียงหวานแห่บพร่าอย่างยั่วยวน ดวงตาสีดังแสงมรกตนั้นปรือช่ำไปด้วยหยาดน้ำตาที่เกาะราวผลึกแก้วใสชวนมองยิ่งนัก ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังเชิญชวนให้ลิ้มลอง จนไม่ว่าชายที่ไหนก็อดที่จะหลุ่มหลงเป็นไม่ได้ บาซิกค์แม้รู้ดีว่าสิ่งล่อลวงเหล่านี้คือน้ำผึ้งอาบยาพิษ แต่กลับยินดีที่จะเผลอใจเข้าไปดื่มยิ่งนัก เพราะบางที่ยาพิษที่ว่าอาจะเอร็ดอร่อยก็เป็นได้

            ทันทีที่ตัดสินใจปลดมือเรียวให้เป็นอิสระ ร่างบางกลับไม่คิดจะหนีอย่างที่เขาคิด หากแต่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ท่อนแขนบางโอบคล้องต้นคอของคนที่สูงกว่าให้โน้มลงใกล้ใบหน้า บาซิกค์ยกยิ้มมุมบางอย่างชอบใจก่อนจะปลดปล่อยร่างกายให้เป็นไปตามอีกฝ่ายชักชวน กลีบปากอุ่นประกบกันดูดดื่มกันครั้งแล้วครั้งเล่า ความร้อนแรงของร่างตรงหน้ายิ่งถล้ำถลึกมากขึ้นก็ยิ่งถอดถอนออกมาได้อย่างยากเย็น ขณะที่ทุกอย่างเริ่มเป็นไปตามไฟปรารถนาที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยก็แอบชำเลืองมองหาสิ่งของรอบกาย ก่อนจะพบแจกันแก้วเล็กๆที่ตั้งเอาไว้อยู่บนแท่นโชว์ข้างประตู ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเริ่มเมามันอยู่กับบทรักที่มอบให้ มือเรียวก็รีบฉวยโอกาสคว้าแจกันแก้วขึ้นฟาดเข้ากกหูทันที

            เพล๊ง!!

            เสียงแก้วแตกละเอียดดังไปทั่ว  พร้อมกับร่างสูงที่แทบเซล้มพับเมื่อถูกฟาดอย่างแรง โชคดีที่กษัตริย์หนุ่มความรู้สึกไว้พอจึงยกท่อนแขนขึ้นมากันไว้ได้ทัน แต่เศษแก้วกลับกระเด็นบาดเข้าตามท่อนแขนขาจนเลือดไหลซึม ทว่า..กลับไม่เด่นชัดเท่ารอยแผลที่กรีดยาวเป็นแผลลึกข้างใบหน้า เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลอาบลงมาจนถึงต้นคอ มิกิเบิกตากว้างแต่ไม่มีเวลาให้สำนึกผิดในสิ่งที่ทำมากนัก ตอนนี้เขาไม่รู้ความดีความชั่วใดๆทั้งสิ้น  มีแต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอด ว่าแล้วก็ออกแรงผลักร่างแกร่งซ้ำจนล้มลงต่อหน้า ก่อนจะรีบหัยหลังเปิดประตูออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ได้ทันสังเกตว่าดวงตาสีอำพันคู่นั้นบัดนี้กำลังแปรเปลี่ยน..



            มิกิรีบวิ่งออกมาด้านนอกด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัว แต่เพราะข้อเท้าที่ถูกพันธนาการมาเป็นเวลานานจนเป็นแผลเขียวช้ำ ประกอบกับข้อเท้าที่แพลงอยู่ก่อนหน้า ทำให้ร่างบางล้มกองกับพื้นพรมในที่สุด ทั้งที่โชคดียิ่งนักที่ภายนอกไม่มีทหารคนใดมาเฝ้าคุ้มกันอยู่หน้าห้องของบาซิกค์เลย แต่กลับต้องมาพ่ายแพ้เพราะความอ่อนแอของตัวเอง

            มิกิขบกรามแน่นเพื่อระงับความเจ็บปวดของตัวเองก่อนจะพยายามคลานแล้วตั้งท่าลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากคนจำนวนมากกึกก้อง ใบหน้าหวานเงยขึ้นมาก็พบทหารหลายสิบนายยืนล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้จนหมดหนทางสู่อิสระภาพนั้นพลันหายไป กระทั่งสัมผัสจากบางสิ่งในมือข้างซ้ายทำให้เขาต้องเบนสายตาไปมอง ก่อนจะพบปากขวดของแจกันแก้วที่เขาเผลอติดตัวมาด้วย ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาทันที ต่อให้จนมุมอย่างไรเขาจะไม่มีวันตกอยู่ในสภาพนั้นอีกแล้ว ตอนนี้ตัวประกันที่ดีที่สุดตอนนี้คงหนีไม่พ้น..

          ตัวเขาเอง!

            “  อย่าเข้ามานะ! ถ้าเข้ามาล่ะก็ 20 ล้านลูซนี่ จะหายไปในพริบตา! ” ตะคอกขู่เสียงแข็ง หันคอขวดแจกันที่แตกละเอียดจนเป็นปากฉลามเข้าหาลำคอตัวเองอย่างไม่เกรง ทำเอาพวกทหารที่คิดจะเข้ามารุมจับถึงกับหยุดชะงักไม่กล้าทำสิ่งใดเพราะกลัวจะทำให้ผู้เป็นเจ้าชีวิตกริ้วโกรธ จึงได้แต่หยุดรอบๆคอยล้อมไปให้ร่างตรงหน้าหนีไปไหน แต่แล้วเสียงย่ำเท้าหนึ่งพร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคนทำเอาพวกทหารถึงกับหน้าซีดเผือดรีบแหวกเป็นสองข้างทาง บุรุษร่างสูงสง่าในชุดโธปที่เปื้อนเลือดสีแดงสดคลี่ยิ้มเรียบ ศีรษะที่ไร้ซึ่งกายปกคลุมใดๆแผร่สยายเส้นผมสีดำยาวสลวยลงมาถึงเอวแกร่ง แต่เพียงมิกิได้พบใบหน้าคมเข้มหมดจดนั้นก็พลันเอาร่างกายเย็นวาบไปในพริบตา

          เมื่อสิ่งที่ควรปรากฏอยู่บนใบหน้ามันหายไป!

          “ มิกิ.. ” เสียงเรียบเย็นแผ่วเบาดังมนต์สะกดทำเอาร่างบางสะดุ้ง เพียงช่วงครู่ที่สบดวงตาสีอำพันที่จ้องมองมาแน่นิ่งราวกับต้องการเจาะทะลุเข้าไปในจิตใจก็เหมือนมีสายลมเย็นเยือกวูบหนึ่งพัดผ่านเข้ามา  ขณะที่หัวใจกลับเต้นแรงราวกับมันกำลังจะเบิดออกจากกัน แรงกดดันมหาศาลถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นลูกใหญ่ที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งอย่างให้พังทลาย แม้กระทั่งวิญญาณก็กำลังถูกชายคนนี้กลืนกิน ทำไมกันยิ่งได้ยินเสียงพูดแบบนั้น ก็เหมือนร่างกายทันไม่ใช่ของตัวเองไปทุกที

        อย่า..อย่าเรียกแบบนั้น..

        “ มิกิ.. ” ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนยิ่งเพิ่มพูมความกดดันในร่างให้รุนแรงขึ้น เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ภาพแสงสว่างภายนอกที่เห็นกลับดำมือลงทุกวินาทีที่สบดวงตาคมกริบเหมือนจะพรากเอาวิญญาณของเขาไป กายบางทรุดตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรง อาวุธหล่นลงพื้นจนไม่รู้หลุดไปอยู่ที่ใด เวลานี้เขาได้แต่เสียงนั้นที่เรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าดังก้องไปมาอยู่ในหัวจนแทบจะเป็นบ้า มือเรียวยกขึ้นปิดหูตัวเองจนแน่น แจ่ก็มิอาจทนได้ไหวอีก

        “ หยุดนะ!! อย่าเรียก! ฉันบอกให้อย่าเรียกชื่อฉัน!!! ” ตะโกนเสียงดังลั่นเหมือนคนสติขาดกระเจิง น้ำตาไหลรินออกมาดวงตาที่ปิดแน่นราวกับไม่มีวันจบสิ้น ภาวะกดดันที่ชายตรงหน้าสร้างขึ้นทำให้เขาเห็นภาพบางอย่างที่ไม่อยากเห็นและได้ยินในสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน บาซิกค์คลี่ยิ้มเย็นเยือกพอใจกับเหยื่อตัวน้อยที่ทรุดหมดสภาพอยู่กับพื้น แต่กระนั้นเท่านี้ยังไม่เพียงพอ บางทีเด็กดื้อก็ต้องมีการสั่งสอนเล็กๆน้อยเสียบางจะได้เชื่อฟัง ฉับพลันดวงตาสีอำพันจึงหลับลง แต่เมื่อลืมขึ้นมากลับแปรเปลี่ยนเป็นนัยน์ตารีเล็กของสัตว์ร้าย!

            มิกิ..

            รู้สึกตัวอีกที่ก็เหมือนร่างกายตัวเองกำลังถูกโอบรัดแน่นจากบางสิ่งจนจุก กายที่ขยับได้เพียงนิดทำให้อึดอัดจากท่วงท่าที่ไม่สบายตัว ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกอย่างดำมืดไปหมดและดวงตาก็พร่าเลือนเสียจนมิอาจมองสิ่งที่กำลังเผชิญได้ชัดเจน มีเพียงเสียงถี่ระรัวคล้ายกระดิ่งเล็กๆดังกึกก้องที่ใบหูกับเกล็ดเลื่อมมันที่โอบอยู่รอบตัว ในขณะที่ทุกวินาทีนั้นการหายใจกลับทำได้ยากเย็นขึ้นเรื่อยๆ แผ่นอกเคลื่อนไหวได้ช้าลง  แม้เรี่ยวแรงจะเปล่งเสียงร้องครวญก็ยังไม่มี ทว่า..ร่างกายกลับถูกบีบรัด ปวดร้าวจากแรงบดเบียดที่เพิ่มขึ้นจนได้ยิ่งเสียงลั่นดังคล้ายกับว่ากระดูกภายในมันกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ แม้ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นเท่าไร..แต่สิ่งสุดท้ายที่ทำเอาร่างกายเย็นยะเยือกขึ้นอีกครั้ง คือดวงหน้าของอสรพิษสีขาวสลับทองที่กำลังจ้องมองแน่นื่ง....

            ช่วยด้วย..ใครก็ได้..ช่วยผมที

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 3]UP 23/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 23-07-2015 17:09:27
จิ้มมม
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 3]UP 23/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: princeofdark ที่ 23-07-2015 18:45:44
 :sad4: มิกิจะเป็นไงต้องเนี่ย อย่ารัดน้องแรงนักสิช้ำหมด
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 3]UP 23/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: LookplaSaisai ที่ 24-07-2015 06:00:39
 :katai2-1:  ชอบมากเลยค่ะ ลุ้นแทนมิกิมากกก 5555 มาต่ออีกนะคะ ขอบคุณค่า :pig4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 3]UP 23/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 24-07-2015 20:07:50
ค่ำคืนที่ 4 : ราชาอสรพิษ.... Part 1

               ‘อนาคาน’ ประเทศเล็กๆลึกลับ ที่ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้แน่ชัดในทะเลทรายฮาซาน ภูมิประเทศของที่แห่งนี้แห้งแล้ง ล้อมรอบด้วยเนินทรายสูงพูน หากภายในเมืองกลับไม่ได้มีลักษณะกันดารเหมือนบางประเทศในแถบทะเลทราย บ้านเรือนถูกสร้างด้วยดินชนิดพิเศษคล้ายดินเหนียวผสมกับทรายเนื้อแน่นเป็นทรงสูง และขุดเป็นโพลงถ้ำลึกลงไปด้านในเพื่อหลบอากาศร้อนจัดเหมือนกับเมืองโบราณในสมัยก่อน ซึ่งในเวลาช่วงกลางวันนั้น แทบจะเป็นไปได้ยากหากต้องการมองหาชาวเมืองสักคนมาเดินเตร็ดเตร่อยู่กลางถนน ทำให้บรรยากาศในเมืองที่จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอารยธรรมนั้นร้างสนิทราวกับไร้ซึ่งผู้อาศัย..

            ฟังดูแล้วอาจดูแปลกจนน่าขนลุก แต่ในทางตรงกันข้ามนักโบราณคดีกลับมองว่าเมืองแห่งนี้เปรียบดั่งเมืองสวรรค์ล้ำค่าที่ควรศึกษายิ่ง.. และเป็นอารยาธรรมที่ยังปรากฏอยู่บนโลกของความเป็นจริง ที่ควรเล่าขานถึงความงดงามให้เป็นมรดกกับลูกหลาน แต่หากพวกเขาเหล่านั้นได้พบบางสิ่งที่ซ่อนไว้ บางสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยตัวตนกับใคร พวกเขาจะเข้าใจได้เลยว่า ทำไมอนาคานถึงควรเป็นเมืองที่ปิดตายไปตลอดกาล..

            สายลมเอื่อยแผ่วพัดผ่านหน้าต่างทรงสวยที่เปิดโล่ง เส้นผมสีบลอนด์ทองพริ้วไหวบางเบา ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตายังคงซบลงบนหมอนอย่างเหนื่อยล้า แม้เรื่องที่เผชิญจะทำให้กายบางแลดูซูบโทรมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มิอาจปกปิดความงดงามของเรือนร่างนี้ได้

            มือหนึ่งเอื้อมลงสัมผัสข้างแก้มขาวเนียน ริมฝีปากสีเนื้อระเรื่อแห้งผากมีเลือดไหลซึมเผยอออกหอบหายใจอย่างน่าสงสาร แต่ในอีกมุมกลับช่างยั่วยวนจนหัวใจที่นิ่งสงบสั่นไหวเมื่อนึกถึงยามได้ลิ้มลองรสจูบแสนหวานละมุนลิ้น ช่างน่าเสียดายนัก..ทั้งที่ร่างนี้ควรจะมอบให้แต่ความสุขสมตามอารมณ์ที่เขาต้องการ แต่กลับอาบพิษร้ายเอาไว้ป้องกันตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร สำหรับเขา..บุปาผาที่อาบยาพิษก็เสมือนเป็นการปลุกอารมณ์ให้รู้สึกสนุกกับการเชยชมให้ลึกถึงกลิ่นที่แท้จริงของมันมากกว่า..

            “ น..น้ำ อึก..น้ำ” เสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากที่แห้งผาก ดวงตาที่ยังคงปิดสนิทกับสีหน้าที่ซีดเซียวมองดูแล้วเหมือนคนใกล้จะดับลมหายใจที่รวยรินไปทุกที หากแต่ความต้องการของร่างกายก็ทำให้ละเมอขอออกมาอย่างน่าสงสาร บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟานั่งมองนิ่งงันอยู่ริมขอบเตียง รอยยิ้มเรียบยกขึ้นบนรูปหน้าอันงดงาม แต่ภายในนัยน์ตาสีอำพันสุกสว่างคู่นั้นกลับไม่อาจคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใด มีเพียงร่างกายที่โน้มลงไปใกล้ ลมหายใจร้อนรดลงข้างใบหูของคนที่ยังไม่ได้สติ

              “ นายยังตายไม่ได้มิกิ.. ” กระซิบเสียงแหบพร่าข้างใบหูราวกับต้องการให้ทุกถ้อยคำก้องทุ้มในหัวของคนที่นอนนิ่ง ถ้วยน้ำข้างกายถูกยกขึ้นดื่มเก็บไว้ในโพรงปาก มือแกร่งค่อยๆปัดเกลี่ยเส้นผมสีอ่อนที่บดบังใบหน้าเรียวสวยออกอย่างเบามือราวกับร่างนี้เป็นแก้วผลึกที่เปราะบาง ก่อนกลีบปากอุ่นจะประทับลงบนริมฝีปากที่กำลังเผยอร้องขออย่างนุ่มนวล ปล่อยให้น้ำบริสุทธิ์ไหลรินลงไปเรื่อยๆจนกว่าจะเติมเต็มความกระหายนี้..จนกว่าสิ้นครบทุกหยาดหยด..




                 ตะวันทอแสงเหนือศรีษะ ภูมิประเทศแบบทะเลทรายใกล้เส้นศูนย์สูตรนี้ยิ่งทำให้อุณหภูมิภายนอกนั้นร้อนระอุไม่ต่างจะเตาอบ แม้สิ่งปลูกสร้างจะทำจากดินที่เย็นชื้น แต่ก็มิอาจสู้สายลมร้อนได้ หยาดเหงื่อประพรมบนเรือนร่างบอบบางที่เริ่มกระสับกระส่ายหลังจากที่ไม่ได้สติอยู่นาน กระทั่ง..แสงแดดส่องสว่างผ่านกระจกกระทบกับเปลือกตา ในที่สุดการตื่นรับเรื่องราวอันแสนโหดก็หวนกลับขึ้นอีกครั้ง..

                 นัยน์ตาสีสวยจากเด็กหนุ่มเลือดข้ามฟากฝั่งทะเลค่อยๆกระพริบถี่มองภาพที่ปรากฏเชื่องช้า รู้สึกปวดศรีษะจนแทบระเบิด เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นก่ายหน้าผากที่ชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ คิโนมุระ มิกิ พยายามทบทวนทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น ก่อนภาพความทรงจำที่ไม่น่าจดจำจะพลันแล่นเข้าสู่หัวสมองเหมือนลูกกระสุน

               สิ่งที่เห็นครั้งสุดท้ายเขาไม่แน่ใจว่าคือสิ่งใด เพราะมันพร่าเลือนเสียจนไม่ชัดเจน แต่ที่แน่ๆเขาคิดว่านั่นเป็นภาพสุดท้ายของชีวิตอันน่าสมเพชของเขาไปแล้ว ดวงตารียาวของอสรพิษที่จ้องจะกลืนกินยังติดอยู่หัวจนแทบคลั่ง สัมผัสจากเกล็ดมันที่เลื่อมยังคงติดค้างไว้ที่ฝ่ามือ สิ่งเหล่านี้เป็นข้อย้ำเตือนที่เขาไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด แล้วไหนจะชายผู้นั้นอีก..

               บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา กษัตริย์แห่งอานาคาน..
   
               !?

             เมื่อนึกถึงชื่อของชายผู้น่ากลัวที่จำขึ้นใจ ดวงตาก็เบิกโตทันที กายบางรีบลุกขึ้นจากเตียงรวดเร็วเท่าความคิด พลันมองหาร่างของบุรุษสูงศักดิ์ที่เขาไม่อยากพบ แต่ก็มีเพียงความว่างเปล่าที่รายล้อมอยู่รอบตัว เขาจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตอนนี้เขายังอยู่ในห้องๆเดิม ห้องของชายผู้นั้น ทั้งแจกันตรงมุมห้องบนแท่นข้างประตูที่ควรแตกละเอียด กลับตั้งอยู่เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น คราบเลือดที่ควรเปรอะเปื้อนอยู่ที่พื้นก็ถูกเช็ดออก แต่ทำไม เมื่อหวนนึกถึงแล้วกลับทำให้เขากลืนน้ำลายได้ยากเย็นนัก ก่อนกลิ่นหอมๆชวนให้ท้องไส้ที่ไม่ได้รับอะไรลงถึงท้องมากกว่า 48 ช.มจะทำให้หันไป

             นัยน์ตาคู่สวยหันมองไปตามกลิ่น บนโต๊ะมีอาหารถูกจัดเตรียมไว้มากมายหลากหลาย กลิ่นของซุปเนื้อที่ตั้งอยู่ใจกลาง ค่อยๆเรียกร่างบางให้เดินเขาไปหา น่าแปลกใจ ม่น้อยที่อาหารพวกนี้ถูกยกมาไว้อย่างสวยงามราวกับตั้งใจทำมาเพื่อใครบางคน มิกิกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ทั้งๆที่ไม่แน่ใจว่าอาหารพวกนี้มีสิ่งใดปะปนอยู่หรือไม่ แต่เขาไม่อาจฝืนความรู้สึกในท้องที่ร้องเรียกไม่ไหวอีกแล้ว มือเรียวค่อยๆเอื้อมไปหยิบแผ่นขนมปังแข็งขึ้นมาจากจาน  แต่ไม่ทันที่ขนมปังแผ่นนั่นจะตกถึงท้อง เสียงเรียบเย็นจากทางด้านหลังก็ทำเอาตัวเขาสะดุ้ง

            “ หิวงั้นหรือ..” รีบหันหลังกลับไปมองด้วยความตกใจ บาซิกค์นั่งอยู่ที่ริมขอบเตียง  ดวงตาคมกริบกริบจ้องมองเข้าแน่นิ่งราวกับเหยื่อตัวน้อยที่เดินเข้ามาติดกับ ขณะที่อีกฝ่ายกลับก้าวถอยหลังจนชิดขอบโตะ

            “ กินสิ.. ”  รอยยิ้มเย็นคลี่ออก มือหนาเผยออกด้านหน้าอย่างเชิญชวน “ ไม่ต้องห่วง อาหารพวกนี้เป็นของนาย ”  ราวกับล่วงรู้ทันความคิดของอีกฝ่าย มิกิหรี่ตาลงมองชายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก

            “ ทำไมถึง.. ”

            “ เรื่องอื่นเอาไว้ถามทีหลัง ” กษัตริย์หนุ่มสวนขึ้นเสียงเรียบ ทำเอาคนที่กำลังจะอ้าปากถามถึงกับหยุดชะงัก

             เพราะอะไรกัน..ทั้งๆที่ทำเรื่องที่เขาทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย แต่คนตรงหน้ากลับสงบนิ่งเสียจนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทำไมพอเห็นท่าทีเช่นนี้แล้ว เขากลับรู้สึกเหมือนวันที่ท้องฟ้าแสบสงบก่อนที่พายุลูกใหญ่จะตามมาทีหลัง

             บาซิกค์มองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงอยู่สักพัก ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวขาเดินเข้ามาใกล้ตัวเขาจนประชิด ขณะที่มือเรียวแอบคว้าส้อมที่อยู่บนโตะไว้ด้านหลัง พอจังหวะที่ร่างสูงโน้มตัวลงมาใกล้ ก็รีบใช้อาวุธจ่อต้นคอสีขาวนั่นทันที!

            “ อย่าเข้ามามากกว่านี้ ถ้ายังไม่อยากโดนเสียบคอทะลุ ” เอ่ยขู่เสียงแข็งกร้าว นัยน์ตาคู่สวยเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว หาก คนตรงหน้าคิดทำอะไรเกินเลยมากกนี้ เขาจะลงทำอย่างที่ขู่ไว้โดยไม่ลังเล

             “ นายนี่ โหดร้ายจริงๆนะ” บาซิกค์คลี่ยิ้มบาง แต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่ไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวเลยสักนิด เสียงหัวเราะเบาๆในลำคอทำให้มิกิเริ่มไม่แน่ใจกับตัวเองแล้วว่า เวลานี้เขากำลังเผชิญอยู่กับสิ่งใด

            “ แทงสิมิกิ..นายจะได้เห็นกับตาว่าแผลพวกนั้นหายได้ยังไง ” คำพูดที่เอ่ยอย่างท้าทายทำให้ หัวใจเย็นวูบขึ้นมาทันที ดวงตาสีอำพันคู่นั้นยามจ้องมองก็เหมือนว่าตัวเขาจะไม่มีวันเอาชนะขายผู้นี้ได้ ความหวาดกลัวทำให้ร่างกายของเขาสั่นเทา หยาดเหงื่อปะพรมไปทั่วใบหน้า

          “ ยะ..อย่าเข้ามา! ” ร้องห้ามเสียงแข็งทั้งที่จิตใจนั่นแทบแตกกระเจิง แม้จะพยายามขบกรามแน่นกลัดกลั้นความรู้สึกของตัวเอง แต่มันกลับไมมีค่าอะไรเมื่ออยู่ตรงหน้าดวงตาคู่นั้นที่มันเหมือนกำลังสะกดทุกการกระทำของเขาให้เป็นไปดั่งที่อีกฝ่ายต้องการ

            “ ทำไมถึงห้ามฉันล่ะมิกิ นายเป็นคนเรียกหาฉันไม่ใช่เหรอ ” นิ้วเรียวยาวยกขึ้นดันปลายแหลมของส้อมออกง่ายดาย ใบหน้าคมคายประดับรอยยิ้มเย็นพร้อมกับคำพูดที่ยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน

               “ พูดเรื่องอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง!  ”

              ตึง!

             ปฏิเสธเสียงแข็งออกไปอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ตอบสนองกลับมาคือมือแกร่งที่ตบลงบนขอบโต๊ะจนแตกร้าว นัยน์ตาสีอ่อนเบิกโตด้วยความผวาตกใจ ขณะที่ร่างกายก็กลับรุดถอยลงไปเรื่อยๆจนเหมือนเหยื่อที่กำลังหดหัวชิดกำแพงไร้ทางหนี ผู้เหนือกว่าโน้มลงมาใกล้ขึ้น..ใบหน้าคมเข้มแทบจะแนบชิดกับแก้มนวลขาว เสียงสูดลมหายใจที่ดังข้างใบหู แทบทำเอาหัวใจหยุดเต้น

             “ กลิ่นของนาย..มันพาฉันมา ” ยิ่งได้ยินก็ยิ่งตอกย้ำบางสิ่งขึ้นมาในใจทันที ก่อนภาพเหตุการณ์ที่พยายามเอาชีวิตรอดจากฝูงอสรพิษจะกลับเข้ามาหัวฉับพลัน

             เซรุ่ม..เซรุ่มของศาสตราจารย์!

            “ ทำไมถึงมีกลิ่นของดอกเพเซียออกมาจากตัวนายมากขนาดนี้ รู้ไหมว่านายทำพวกเราแทบคลั่ง” กระซิบพรำเสียงแหบพร่า นิ้วเรียวช้อนใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความสับสบขึ้นสบ ดวงเนตรสุกสว่างคู่นั้นราวกับต้องล้วงลึกเข้าไปในจิตใจ ทั้งที่ดอกเพเซียคือดอกไม้ที่ส่งกลิ่นฟีโรโมนล่อพวกงูมาเกี้ยวรัก แต่กลับเป็นดอกไม้ที่ไร้กลิ่นสำหรับมนุษย์ หากแต่สมองก็พร่าเลือนเกินกว่าจะประเมินความจริง

            “ แกเป็นตัวอะไร..” กัดฟันถามแม้จะเริ่มหวาดกลัวแต่เขาก็อยากจะทราบความจริงที่เกิดขึ้นกับเขาตรงนี้เช่น แม้ลึกๆในใจแอบหวังว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้ายชั่วข้ามคืน แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นรอยยิ้มเย็นเยือกจนหนาวสะท้านไปทั่วจิตใจ นิ้วเรียวเลิกออกจากใบหน้างาม กายแกร่งลุกขึ้นยืนเต็มตัวสูงสง่า แสงสว่างนอกที่ลอดส่องว่ามายังผิวพรรณผ่องใสของชายในชุดโธปสีดำยิ่งทำให้ดูมีสง่าราศี แต่แววตาที่เปรยมองมายังเบื้องล่างกลับซ่อนความรู้สึกเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก


           “ คิโนมุระ มิกิ นักชีววิทยาเลือดผสม นายมาทะเลทรายฮาซานเพื่อทำสิ่งใดกันแน่ ” ริมฝีปากหยักโค้งขยับเปล่งเสียงพูดเป็นเชิงหยั่ง แต่กลับซ่อนความเหนือกว่าเอาไว้อยู่ภายใน ตอนนี้สติเขาหลุดลอยเกินกว่าจะตกใจว่าคนตรงหน้ารู้จักเขาได้ยังไงหรือเป็นใครมาจากไหน ส่วนร่างกายอ่อนปวกเปียกเสียจนไม่มีแรงจะลุกขึ้นยืน เมื่อถ้อยคำเหล่านั้นกลับย้ำมาในหัวใจที่บีบดอัดจนแน่น และไม่สามารถที่จะทำอะไรกับมันได้ สายตานั่นเหมือนต้องบอกว่า..ชีวิตของเขาจะต้องตกเป็นทาสชายผู้นั้ชั่วนิรันดร์

          “ อย่าคิดหนี นายต้องอยู่ที่นี่ ตลอดไป.. ”

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 3]UP 23/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 24-07-2015 20:08:40
ค่ำคืนที่ 4 : ราชาอสรพิษ Part จบ


             หลังจากที่ทนความหิวไม่ไหวและจัดการกับอาหารบนโต๊ะเพื่อความอยู่รอดเสร็จ ตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งช่วงโมงเต็มที่ร่างบอบบางนั่งครุ่นคิดอยู่บนเตียง ดวงตาคู่สวยเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างราวกับสายตาของนกน้อยที่ถูกขังอยู่ในกรงต้องการอิสระ ทั้งที่ไม่ควรปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปไกล เพราะทุกนาทีต่อจากนี้หมายถึงชิวิต ซึ่งอาจไม่ใช่การตายจากอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นเวลาชีวิตที่อยู่อย่างตายทั้งเป็น.. ความเจ็บใจ ความกังวล และสับสน ทุกอย่างมันอัดแน่นอยู่ตรงอกข้างซ้ายคอยบีบหัวใจเขาให้ระเบิดออกทุกวินาที แต่ทำไมในหัวสมองนั่นกลับขาวโพลนไปหมด

             ไม่มีทางออก..

             ไม่มีทางใดที่ชีวิตจะกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง

             ทำไมกัน..ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องบ้าบอแบบนี้ด้วย ถ้ามีชิวิตอยู่ต่อแล้วเป็นแบบนี้ เขายอมตายไปพร้อมกับศาสตร์ตราจารย์ที่เขารักยังจะดีเสียกว่า ถึงตลอดชีวิตที่ผ่านมาจะมีเรื่องย่ำแย่เกิดขึ้นในมากมายในชีวิต และสิ่งเหล่าทำให้ก็เป็นเสมือนบทเรียนที่ทำให้เขาก้าวผ่านมันมาได้อย่างเข้มแข็ง แต่ตอนนี้เขาไม่รู้จริงๆว่าตัวเองจะทนกับเรื่องบ้าๆนี่ได้นานแค่ไหน รู้สึกเหมือนติดอยู่ในฝันร้ายที่ไร้ทางออก อยากจะร้องไห้เพื่อระบายมันออกมา แต่น้ำตากลับไม่ไหลลงมาซักหยด มิกิหัวเราะให้กับชีวิตที่น่าสมเพชของตัวเอง สภาพเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากคนที่ใกล้เสียสติลงไปทุกที..
 
             แต่ไหนๆเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็อยากจะรู้นักถ้าจะพยายามต่อจากเดิมให้มากขึ้น จนเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆก็คงจะดี..

             “ ฝ่าบาทสั่งให้กระผมเตรียมน้ำสำหรับ ‘ท่าน’ เรียบร้อยแล้วขอรับ” เสียงทุ้มนุ่มจากชายผู้หนึ่ง ทำเอาความคิดที่กำลังแล่นไปไกลหลุดจากภวังค์

             ร่างเล็กนั่งกอดเข่าบนเตียงนุ่ม ดวงตาสีอ่อนสวยดุจหยกล้ำค่าเหลือบมองชายหนุ่มรูปร่างสูงชะลูดที่ยืนตัวตรงไร้ช่องว่างระหว่างขา ‘ซาอิด จาร์ อารากัส‘ บริวารใต้อาณัติที่ถูกส่งมาปฏิบัติคำสั่งของบาซิกค์ หากแต่ใบหน้าคมเข้มกับมีรอยยิ้มอ่อนๆที่ประดับเอาไว้อย่างเป็นมิตร เส้นผมสีดำเทาละกรอบหน้าคลุมทับด้วยกุตราห์สีเดียวกัน ดวงตาสีครามยิ่งมองลึกลงไปก็ยิ่งชวนให้ค้นหาเสน่ห์บางอย่างที่ซ่อนเร้นเอาไว้ ช่างให้ความรู้สึกแตกต่างกับบาซิกค์ลิบลับ

            “ ไม่ต้องเรียกว่าท่านหรอก ฉันไม่ได้ต่างจากนายมากนัก ” คนตอบเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงหน้าหวานซุกลงไปบนเข่าของตัวเองอย่างคนหมดอาลัยในชีวิต

            “ หามิได้ขอรับ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เรียกเช่นนั้น ”

            “ แลดูเหมือนคนดีเสียเต็มประดา ”

             “ ส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนั้น.. ” บริวารหนุ่มกล่าวพร้อมกับแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น แต่พอได้ฟังเช่นนี้ทำเอาร่างเล็กอดหงุดหงิดเป็นไม่ได้ เมื่อสิ่งที่รับสั่งกับการกระทำมันตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง มิกิเงยใบหน้าที่ซุกอยู่ที่เข่าตัวเองขึ้น มองพิจารณาร่างสูงตรงหน้าที่ยืนนิ่งราวกับกำลังรอคอยคำสั่งจากเขา

            “ นายคือมนุษย์หรือเปล่า” ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกถามไปแบบนั้น แต่ชั่ววินาทีหนึ่งเขาแอบเห็นริมฝีปากนั่นเม้มลงเป็นเส้นตรง ก่อนจะปรับสู่สภาพดังเดิม

            “ ไม่มีมนุษย์คนใดอยู่ที่นี่ได้ขอรับ ” แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบที่ได้คงเป็นเช่นนี้ แต่ไม่รู้ไมเขาถึงอยากจะฟังมันให้บั่นทอกำลังใจตัวเองเล่น หรือเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหมดหวังมากที่สุดในชีวิต ทั้งๆที่ตัวเองนั้นก็เผชิญโลกมามาก เจอคนหลากหลายรูปแบบ แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดในเวลานั้นกลับใช้กับที่นี่ไม่ได้
         
            เขาจะต้องอยู่ที่นี่ ตลอดไป..จริงๆหรือ

            “ แต่กระผมมิได้แปลกใจเท่าไร ที่ฝ่าบาทโปรดปรานท่าน และทรงอนุญาตให้อยู่ที่นี่ ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซาอิดดูสีหน้าเขาออกหรืออย่างไรถึงตอบปลอบไปเช่นนั้น แต่กลับกันมันยิ่งตอกย้ำฐานะตัวเองเสียมากกว่า

            “ ฉันควรดีใจหรือเปล่า ”

            “ ท่านควรดีใจที่มีชีวิตอยู่.. ” ซาอิดตอบเสียงเรียบพร้อมเปรยยิ้มให้อย่างอบอุ่น แต่ทำไมมันกลับทำให้ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงกลับรู้สึกอึดอัด แต่ระหว่างที่บทสนทนากำลังจะดำเนินต่อไป มิกิก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่างทางด้านหลังที่ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบขึ้น

            “ เจ้าออกไปได้แล้วซาอิด ” สุรเสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียบ ซาอิคโค้งตัวลงทำความเคารพอีกฝ่ายที่สูงศักดิ์กว่าโดยมิกล้าสบตา ก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้องตามรับสั่ง มิกิไม่แม้จะปรายตามองผู้มาเยือนคนใหม่ หากเปลี่ยนท่ามานั่งที่ริมขอบเตียง กล่าวอย่างนึกขัน

            “ ฉันต้องใช้ราชาศัพท์กับนายด้วยหรือเปล่า ”

            “ ทุกอย่างตามความเหมาะสม ”

            “ งั้นคงไม่.. ” เขาตอบสวนทันที ดวงตาสีอ่อนสวยเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว หันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ยิ่แต่มันกลับทำให้กษัตริย์แห่งอนาคานกลับยิ่งชอบใจ 

            คิโนมุระ มิกิ ลุกขึ้นจากขอบเตียง ก้าวเดินมาเผชิญหน้ากับร่างสูงศักดิ์ แม้ร่างกายแต่ก่อนที่เคยมีเนื้อหนังบัดนี้กลับซูบผอมลงไปมากจนบอบบางเหมือนกิ่งไม้เปราะๆ แต่ภายในดวงตาถึงแม้จะพยายามบอกถึงความกล้าหาญ หากลึกเข้าไปกลับซ่อนความหวาดหวั่นเอาไว้

            มิกินายจะทำอะไรให้ฉันแปลกใจได้อีก..

            “ บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา ผู้ปกครองประเทศลึกลับอย่างอนาคาน อยากจะรู้นักถ้าเกิดความลับนี้แพร่สู่สาธารณชนมันจะเกิดอะไรขึ้น”

            คราวนี้ขู่งั้นหรือ.. บาซิกค์ยกยิ้มเย็นเยียบ ขยับตัวเข้ามาใกล้จนแทบจะแนบชิด หากแต่ใบหน้าหวานนั้นกลับไม่ได้หลบสายตาเขาเหมือนอย่างแล้วมาๆ นั่นทำให้บาซิกค์รู้สึกพอใจยิ่งนัก จึงเผยความจริงบางอย่างให้กับข้อคำถามที่ไม่น่าตอบ

            “ อนาคานไม่ใช่ประเทศ เป็นแค่เมืองเล็กๆที่ไม่ได้มีความลับอะไรมากมายนัก นายคงได้ยินชื่อเสียงของเมืองแห่งนี้มาบ้างสินะ..เมืองโบราณที่เต็มไปด้วยอารยธรรมเก่าแก่แถบทะเลทรายฮาซาน แค่ข้อมูลทั้งหมดที่ได้ยินก็คงมีแค่นี้ เพราะอะไรรู้ไหม?...เพราะมนุษย์ทุกคนที่เข้ามาที่เมืองนี้จะไม่มีโอกาสกลับออกไป นายคงเข้าใจธรรมชาติของงูใช่ไหม เมื่อเลือกรัดเหยื่อแล้ว..แม้แต่เส้นขนสักเส้นก็ไม่มีเหลือ..” ประโยคสุดท้ายเอ่ยแผ่วราวกระซิบ แต่กลับทำให้หัวใจดวงน้อยแทบหยุดเต้นในฉับพลัน ความน่าสะพรึงกลัวจากชายผู้นี้ทำให้ดวงตาคู่สวยนั้นสั่นไหวจากความเลือดเย็นที่ได้ยินก้องหัว

             “ กะ..แกมันไม่ใช่คนบาซิกค์.. ”

             “ หึ อสรพิษเป็นสัตว์เลือดเย็น.. ”  หัวเราะในลำคอแผ่วเบา น้ำเสียงเรียบเย็นกล่าวอย่างไม่รู้สึกผิด ขณะที่ร่างเล็กกลับทำได้เพียงแค่กำมือตัวเองจนแน่น รู้สึกเจ็บใจเมื่อรู้ว่าตัวเป็นเพียงแค่เหยื่อที่ถูกลากมาอย่างไร้ทางออก นึกแล้วก็น่าขันยิ่ง เซรุ่มที่เปรียบเสมือนยาช่วยชีวิต บัดนี้ กำลังดึงดูดชีวิตเขาให้ลงสู่ห้วงเหวนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจ แต่ขณะที่เริ่มท้อแท้ในชีวิต มืออันแข็งแกร่งก็ผลักตัวเขาลงบนเตียงนุ่ม กายแกร่งโถมทับขึ้นคร่อมคนอ่อนแอที่อยู่เบื้องล่างจนเจ็บระบม มิกิพยายามติดรนขัดขืน มือเรียวขาวระดมทุบตีแผ่นหลังกว้าง แต่ไม่ทันไรก็ถูกมัดรวบขึ้นเหนือศรีษะจนมิอาจขยับเขยื้อน ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนลงใกล้ซอกคอขาว จมูกโด่งสันก้มลงสูดดมกลิ่นอายทที่โปรดปราน

              “ ถ้าไม่ติดตรงที่เธอ เป็นมนุษย์ที่ปลุกความรู้สึกฉันได้ดีแล้วล่ะก็..” พูดแผ่วเบาราวกระซิบ ริมฝีปากจรดบนลำคอขาวระหงนุ่มนวล แต่กลับทำให้ร่างกายของคนข้างใต้สั่นระริก ก่อนคลี่ยิ้มเย็นเยียบ “นายก็คือ..อาหารของฉัน” ลิ้นอุ่นเลียลำคอขาวจนสั่นสะท้าน สัมผัสอันน่าขยะแขยงนี้ ทำเอามิกิไม่อาจฝืนทนอีกต่อไป

              “ ปล่อย!” พยายามดิ้นสุดแรง ยกขาขึ้นกระแทกท้องร่างตรงหน้า แต่บาซิกค์กลับรู้ทันใช้เข่าของตัวเองกดต้นขาบางนั้นเอาไว้จนขยับไม่ได้ มิกิขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ หากมีเพียงใบหน้าที่จ้องมองเขาอย่างแน่นิ่งกับดวงตาสีอำพันที่เริ่มแปรเปลี่ยน..

              ดวงตาของอสรพิษ..

            “ ไม่ต้องห่วงมิกิ นายจะไม่ตายง่ายๆแน่ ถ้าทำตามทุกอย่างที่ฉันต้องการ..” สิ้นเสียงก็ฉุดร่างบางให้ลุกขึ้นตาม ก่อนใช้ท่อนแขนออกแรงเหวี่ยงข้อมือเล็กทั้งสองข้างจนร่างบางทรงตัวไม่ได้ล้มลงกับพื้น

             “ โอ้ย! ”

             “ อาบน้ำซะ คืนนี้ฉันต้องการให้ร่างกายของนายพร้อมที่สุด.. ” เหยียดยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาของอสรพิษจ้องมองเหยื่อที่พื้นของราวกับกำลังนึกสนุก มิกิรู้สึกเจ็บระบมไปทั้งร่างกายจนแทบไม่มีแรงจะลุก แต่ทั้งหมดกับไม่เท่ากับจิตใจที่กลัดกลั้นฝืนทน เจ็บใจที่ตัวเองไม่มีกำลังเพียงพอจะเอาชนะ เจ็บใจที่ตัวเองอ่อนแอเกินไป แต่อย่างไรก็เขาก็จะไม่มีวันยอมแพ้ แม้ทุกอย่างที่รับรู้จะพังทลายความหวังจนย่อยยับ..

 

            แสงดาวแพรวพราวบนผืนนภา อากาศเย็นเยียบโอบอ้อมเมืองแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยอารยธรรมใจกลางทะเลทรายฮาซาน แทบไม่น่าชื่อเลยว่าเขตที่ร้อนที่สุดจนแทบจะแผดเผาแผ่นดินให้ลุกไหม้ได้ ในเวลาค่ำคืนจะหนาวเย็นได้เพียงนี้


            คิโนมุระ มิกิ ผู้ช่วยศาสตรจารย์โลเกียนักชีววิทยา ซึ่งบัดนี้ต่ำแหน่งนั้นคงเป็นได้เพียงอดีตที่ไม่น่าจดจำตอนนี้เหลือเพียงฐานะที่ต้อยต่ำอัปยศที่ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเผชิญ

            ทาส..

             เพียงคำเดียวที่ย้ำเข้าไปในหัวสมองของเขาอย่างชัดเจนจนน่าเจ็บใจ ทั้งที่ไม่ได้เต็มใจอ้าแขนอ้าขารับ แต่กลับโดนโยนมาให้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว และตอนนี้ เขากำลังเป็น ทาสที่ขายร่างกายเพื่อสนองอารมณ์ ของผู้เป็นนายที่ไถ่เขามาด้วยเงินราคากว่า 20 ล้านลูซ ฟังดูแล้วคงน่าพอใจ ถ้ามีคนซื้อเขาในราคาสูงเฉียดฟ้าแล้วไม่ใช่ในฐานะทาส

              หลังจากที่บาซิกค์ออกไปในตอนนั้น เขาก็ถูกข้ารับใช้ของบาซิกค์ทั้งชายหญิง ลากเขาไปในห้องสระน้ำด้านในเพื่อชำระความสกปรกออกให้หมด น่าแปลกที่เขากลับไม่คิดขัดขืนเลยสักนิด แต่กลับปล่อยให้คนพวกนั้นทำความสะอาดร่างกายของตัวเองจนหมด และปฏิบัติกับเขาอย่างดีเยี่ยม ชั่ววูบหนึ่งเขาก็แอบคิดว่าในช่วงเวลาที่เขายังไม่สามารถสืบหาหนทางหนีได้ เขาควรปล่อยตัวเลยตามเลยหรือเปล่า..แต่พอมาคิดดูดีๆแล้ว ถ้าหากตอนนี้ เซรุ่มจากดอกเพเซียที่ฉีดเข้าไปในร่างกาย ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ แต่หากวันพรุ่งนี้ หรือวันใด กลับเสื่อมสภาพเข้ามา ก็เสมือนกับว่าเกราะป้องกันของเขาได้หายไป ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเรา ใช้เวลาดูซึมเซรุ่มรักษาที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับสารสกัดที่เข้มขนของศาสตร์จารย์บวกกับร่างกายของเขา ถ้าสมมุติฐานของเขาไม่ผิดพลาดละก็เวลาที่เหลือคือ..

              3 สัปดาห์ ก่อนกลิ่นเหล่านั้นจะหายไป...

              แต่ทั้งหมดก็เป็นแค่ข้อคาดการณ์เท่านั้น เพราะเขายังไม่เคยทดสอบเซรุ่มนี้มาก่อน..ฉะนั้นเขาจะนิ่งนอนใจอยู่ที่นี้ไม่ได้ ประโยคที่เขายังคงจำได้ขึ้นก็คือ

             ถ้าไม่ติดตรงที่นาย เป็นมนุษย์ที่ปลุกความรู้สึกฉันได้ดีแล้วล่ะก็..

             นายก็คือ..อาหารของฉัน..

             สิ่งที่ได้ยินเป็นข้อย้ำเตือนได้อย่างดิบดีถึงสถานะของตนเอง แต่หากตราบใดที่เซรุ่มนี้ยังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ฉีดเข้าไปในร่างกายจะช่วยปกป้องเขาจากคนตรงหน้าได้หรือไม่ แต่เขาคงไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้วเช่นกัน ก่อนสายลมเย็นวูบหนึ่งจะพัดโชยกลิ่นอายของทะเลทรายผ่านทางหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดทิ้งไว้ จะทำเอาความคิดของเขาหยุดชะงัก

               หน้าต่าง!

                ร่างเล็กรีบวิ่งไปยันหน้าต่างบานหนึ่งที่เปิดโล่งเอาไว้หลังสระน้ำ โชคดีที่ไม่มีตะแกงกั้นเพราะทรงหน้าต่างแบบสมัยโบราณ รวมทั้งขนาดของมันไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไปแต่พอที่จะให้คนตัวเล็กรอดผ่านไปได้ ความคิดแล่นเขามาให้หัวทันที เขารีบชะโงกหน้าออกไปด้านนอกเพื่อดูความสูงของห้องบนนี้กับพื้นดินเบื้องล่าง ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอดังอึก เมื่อพบว่าสูงพอๆกับต้นปามล์ขนาดใหญ่ที่โตเต็มที่

            มิกิพยายามฝืนกลั้นความกลัว ตอนนี้ยังพอมีเวลา ในขณะที่บาซิกค์ยังไม่กลับมาที่ห้อง เขารีบถลกผ้าปูเตียงออกแล้วผูกปลายเข้ากับผ้าห่มผืนยาว และผ้าทุกอย่างที่พอจะหาได้ เขาผูกมันไว้กับรูปปั้นงูริมขอบสระ ก่อนจะชะโงกหน้าลงไปดูเบื้องล่างอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีทหารยามผ่านไปผ่านมา แล้วโยนผ้าที่เหลือลงไปจนเกือบสุด

            มือเรียวดึงผ้าที่มัดไว้กับรูปปั้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าถ้าเกิดเขาโหนลงไปแล้วมันจะไปไม่หลุดหรือขาด เมื่อพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็รีบโรยตัวออกจากห้องแห่งนี้ทันทีก่อนที่บาซิกค์จะกลับมา

           ทันทีที่ขาถึงพื้นได้อย่างปลอดภัย ร่างเล็กรีบวิ่งไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อหลบเลี่ยงเวรยามที่น่าจะเฝ้าอยู่รอบบริเวณ ก่อนจะพบว่า บริเวณที่เขาหนีออกมาเป็นพื้นที่ด้านหลังของพระราชวังที่ไม่มีใครเข้าออกบ่อยนัก ร่างบางลัดเลาะมาตามกำแพงและคอยหลบพวกทหารอยู่เป็นระยะ ก่อนจะพบว่ามีซอกกำแพงอิฐผุกร่อนที่หลบเอาไว้อยู่หลังพุ่มไม้เตี้ยๆ ไม่รอช้าเขารีบมุดตัวออกจน ออกมาด้านนอกได้สำเร็จ

           มิกิรีบออกมาด้านนอก ตัวเมืองนั้นกลับเงียบสนิทจนเสมือนไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงอากาศเย็นๆรายล้อมอยู่รอบกาย มิกิไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาแน่ใจว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ร้างผู้คน เพราะในแต่ละบ้านเรือนนั้นกลับมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ ตอนนี้เขาได้แต่หวังว่าชาวเมืองจะให้ความช่วยเหลือ และเขาจะได้หนีออกจากที่นี่

           “ ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้ ช่วยผมด้วย ” เสียงร้องด้วยความร้อนรน พร้อมกับมือเรียวที่ระดมเคาะประตูบ้านทุกหลังเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่มีใครเปิดประตูออกมาช่วยเขาเลยสักคน ขณะที่เขาก็ลังเดินเตร็ดเตร่อย่างหมดหวัง เสียงประตูบานหนึ่งก็ถูกเปิดออก ใบหน้าหวานสวยรีบหันไปมองด้วยความดีใจ เห็นคนผู้หนึ่งคลุมผ้าจนมิดชิดไม่เห็นแม้กระทั่งดวงตา เขายืนเหยียดตัวตรงก้มใบหน้าลงต่ำ ขณะที่สัญชาตญาตของเขากลับสัมผัสได้ถึงความไม่น่าไว้วางใจ..แต่เขาก็อยากจะดูใบหน้าของขาวเมืองอนาคานให้ชัดๆ

          “ พวกคุณเป็นอะไรหรือเปล่า.. ” มือผอมขาวเอื้อมเข้าไปใกล้ผ้าคลุมนั้น..

           ใกล้ขึ้น..

           ใกล้ขึ้น..

           กระทั่งเสี้ยววินาทีที่เห็นลิ้นเรียวยาวสองแฉกนั้นยื่นออกมาเลียที่หลังมือขาวหัวใจของเขาก็หล่นวูบ ก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นต่อหน้า พร้อมกับหยาดเลือดสีแดงสดที่สาดกระเซ็น!


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 4]UP 24/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 24-07-2015 22:52:16
ชอบมากเลยค่ะ
พระเอกใจร้ายกับมิกิจังเลย
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 4]UP 24/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 24-07-2015 22:59:27
โหยยย เรื่องนี้ดีอ่ะ ชอบบบบบบบติดตามเลยยบ อ่านแล้วสงสารหนูมิกิเลย
ไม่ใช่ว่าพอเซรุ่มหมดฤทธิ์แล้วจะโดนงูยักษ์ขเมือบนะ :mew5:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 4]UP 24/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: หนูน้อยหมวกแดง ที่ 25-07-2015 14:49:11
สนุกมากก น่าติดตามมากเลยค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 4]UP 24/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nokkkey ที่ 25-07-2015 20:37:48
ฮืออออว์ ชอบมากกก
เอาใจช่วยนายเอกทุกตอน
จะรอตอนต่อไปนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 4]UP 24/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 28-07-2015 20:45:21
     
ค่ำคืนที่ 5 : เสียงกระดิ่ง....Part 1


          ไม่ทันได้ยินแม้แต่เสียงร้องของร่างไร้วิญญาณ หยาดเลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนรดใบหน้าที่ซีดเผือด เส้นผมสีอ่อนเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงสด นัยน์ตาคู่สวยยังคงเบิกค้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า เมื่อส่วนศีรษะของผู้ที่เปิดประตูออกมากลับขาดสะบั้นไปในพริบตา ความเย็นยะเยือกเกาะสะท้านขาทั้งสองข้างจนไร้ซึ่งแรงจะรั้งให้ยืนอยู่ต่อไป พันธนาการความกลัวทำให้ล้มพับกับพื้น ขณะที่ร่างกายก็ยังคงสั่นเทาราวกับลูกนกที่ตกลงจากรัง เงาดำสูงใหญ่ของผู้สังหารหยุดยืนนิ่งงัน คบดาบในมือเต็มไปด้วยหยดเลือดสีแดงฉาน แพรผมพัดปลิวสยายตามสายลมทะเลทรายแห่งความตาย ดวงตาสีราตรีกาลคมกริบดุจพญามัจจุราชมองมาที่เขาเหมือนต้องการพรากวิญญาณ เสียงทุ้มเข้มเอ่ยดุดัน

            “ เจ้าเป็นใครกัน! ”

            เรียวดาบชี้มาที่ลำคอขาวระหง มิกิตัวสั่นเทาเกินกว่าหัวสมองจะประเมินผลใดๆ ภาพอันน่าสยดสยองเมื่อครู่ทำให้หัวใจเขาเต้นถี่รัวจนยากจะควบคุม มือเรียวพยายามกำข้อมือจนแน่น เพื่อให้เล็บจิกเข้าใต้แผ่นเนื้อเผื่อความเจ็บจะทำให้เขาหลุดจากโซ่ตรวนความกลัว แต่แม้เลือดจะไหลซึมออกจากฝ่ามือให้รู้สึกเจ็บ แต่เขากลับไม่สามารถขยับปากเปล่งเสียงใดๆออกมา นาทีชีวิตนี้แม้แต่พระเจ้าก็มิอาจช่วยเขาได้

            “ ตอบคำถามข้า! ”

            ดาบคมจี้เข้าจนติดเนื้อลำคอขาว เลือดเข้มไหลอาบลงมาจากแผลที่เริ่มบาดลึกขึ้น มิกิปิดตาแน่นมิอาจจะรับภาพโหดร้ายที่กำลังเผชิญได้อีกแล้ว ความท้อแท้ ความหมดหวังระบายด้วยหยาดน้ำตาไหลที่อาบลงมาที่ปลายหางตา ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าหรี่ดวงตาลงมอง ทั้งที่เด็กหนุ่มหวาดกลัวจนตัวสั่นและควรจะร้องขอชีวิต แต่กลับเอาแต่นั่งนิ่งกัดฟันกลั้นราวกับยอมรับในชะตากรรม

           “ องค์ชายบาฮาล! ” เสียงเรียกอย่างร้อนรน สะดุดเข้าที่โสตประสาทของผู้ที่ถูกเรียกว่าองค์ชาย พร้อมกับเสียงฝีเท้านับสิบจากขบวนทหารที่แห่กันออกมาตามหาทาสหนุ่มที่หนีออกไปจากวัง

           แสงไฟจากคบเพลิงทำให้เห็นผู้สูงศักดิ์ของอนาคานอีกคนได้ชัดขึ้น เส้นผมสีดำยาวสลายจนถึงปั้นเอว รูปหน้าเรียวคมเข้ากับผิวสีเข้มดูดุดันดั่งนักรบ ดวงตาคมกริบยามแรกเห็นในเงามืดคือสีราตรี หากบัดนี้เมื่อสะท้อนกับแสงไฟคือสีกรมที่ช่างดูล่วงลึกราวกับหุบเหวมรณะ ริมฝีปากหยักโค้งบึ้งตึงดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก

           ซาอิด จาร์ อารากัส ยืนสงบนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยปากสั่งให้ทหารทุกนายที่นำมาทำความเคารพร่างตรงหน้า ซึ่งเป็นรัชทายาทคนสำคัญของอนาคานไม่ต่างจากราชาบาซิกค์

           ‘บาฮาล ฮอร์น ซัลคาฟา’ ผู้เป็นพระอนุชาและดำรงตำแหน่ง หัวหน้าราชองครักษ์ ไม่ได้เอ่ยโต้ตอบสิ่งใด ก่อนดาบเรียวคมถูกเก็บเข้าฟัก จ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ยังคงบึ้งตึง

            “ มันผู้นี้เป็นใคร ” เสียงดุดันถามขึ้น ซาอิดโค้งศีรษะลงเล็กน้อยไม่กล้าสบพระพักตร์ของฝ่ายที่สูงศักดิ์กว่า

            “ คิโนมุระ มิกิ ทาสที่องค์ราชาทรงซื้อมาจากอาราบัสพ่ะย่ะค่ะ ” ได้ยินดังนั้น คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเป็นปม สายตาหรี่ลงมองอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดพระเชษฐาถึงต้องไปซื้อทาสหนุ่มคนนี้ถึงอาราบัสด้วย เพราะความจริง หากองค์ราชาต้องการใครสักคน แค่กระดิกนิ้วสั่ง ทาสชายหญิงนับสิบก็ยอมพลีกายถวายตัวให้ หรือให้ทางอาราบัสส่งคนมาให้เหมือนอย่างที่ผ่านๆมาก็ทำได้ไม่มีเหตุจำเป็นจะต้องเสด็จไปถึงอาราบัสด้วยพระองค์เอง

            “ เหตุผลล่ะ ” บาฮาลเอ่ยนิ่ง ซาอิดกลับแอบคลี่ยิ้มก่อนตอบอย่างชัดเจน

             “ กระหม่อมคิดว่าพระองค์ทรงทราบดี ว่าทำไมพระองค์ถึงทรงพบท่านมิกิได้” คำตอบที่ได้ยินทำเอาหัวใจของเขาสะดุดขึ้นมาชั่วครู่ ความจริงแล้วเขาไม่ได้บังเอิญผ่านมาพบเด็กหนุ่มคนนี้ แต่เป็นเพราะหลังจากที่ราชกิจที่รับสั่งเสร็จเร็วเกินคาด พอกลับมาที่เมือง เขาได้กลิ่นหอมของดอกเพเซียที่โปรยปรายเข้ามาในยามค่ำคืนของอนาคานที่ไม่ควรจะมี ถึงกลิ่นนั้นไม่ถึงกับเจือจาง แต่ก็ไม่ถึงกับรุนแรงจนโชยคลุ้ง ซึ่งถ้าชาวอนาคานอยู่ใกล้กับกลิ่นนี้เข้าไปมากๆ ก็อาจจะทำให้คลุ้มคลั่งได้รวมทั้งตัวเขาเองก็เช่นกัน กระนั้นจึงออกตามหา หากยังไม่แน่ใจนักว่า เพราะเหตุนี้หรือเปล่า..องค์ราชาถึงได้ซื้อตัวทาสคนนี้มา แล้วเหตุใดมิกิถึงได้มีกลิ่นของดอกเพเซียได้ คำถามนี้คงต้องสืบเสาะโดยเร็ว

           ดวงตาคมกริบปรายมองเด็กหนุ่มที่เอาแต่หันใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคาบน้ำตานิ่ง กายบอบบางยังคงนั่งสั่นเทาแม้ภาพโหดร้ายจะจบลงไปแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเห็นหยาดน้ำตาของเด็กหนุ่มเขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดนัก ก่อนเจ้าชายแห่งอนาคานก้าวเดินไปหาผู้ใต้บัญชา เอ่ยสั่งเสียงเรียบว่า

           “ นำตัวเขากลับวัง ” ซาอิดโค้งรับคำสั่ง ก่อนจะได้ยินเสียงควบม้าดังขึ้นจากทางด้านหลัง ดวงตาของบริวารหนุ่มหันกลับไปมองแน่นิ่ง เห็นแผ่นหลังกว้างกำลังไกลออกไปพร้อมอาชาสีดำ ริมฝีปากเม้มกดลงเป็นเส้นตรง ไม่ช้าก็ยกขึ้นบางเบาดังเดิม ก่อนหันไปทำตามคำบัญชาของผู้เป็นเจ้าชีวิตพร้อมกับสีหน้าที่ครุ่นคิดบางอย่าง




            หลังจากที่ซาอิดสั่งทหารให้จับตัวเขาสติก็หวนกลับมาโดยฉับพลัน แต่รู้สึกตัวอีกทีข้อมือเขาถูกไขว้ไว้ด้านหลังและมัดด้วยเชือกแข็งหยาบ มิกิพยายามออกแรงขัดขืนมาตลอดทางจนผิวเนื้อบนข้อมือถลอกเป็นรอยแดงห้อเลือดแต่มิอาจหลุดพ้นเป็นอิสระได้ พอถึงพระราชวังอนาคาน ร่างเล็กก็ถูกพวกทหารเหวี่ยงลงบนพื้นหินอ่อนอย่างไม่ไยดี

           “โอ้ย!”

           เขาร้องขึ้นด้วยความเจ็บ เป็นอีกครั้งที่ความโหดร้ายวนเวียนกลับเข้ามาราวกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต หากแม้ร่างกายจะบอบช้ำ แต่ก็ไม่เท่ากับจิตใจที่เจ็บปวดยิ่งกว่านัก เหตุใดคำว่าอิสระภาพสำหรับเขามันถึงสะกดได้ยากเย็นนัก ทั้งๆที่เห็นทางออกอยู่ตรงหน้าแต่โชคชะตาดันพาเขากลับมาอยู่ที่เดิม

           มิกิขบกรามแน่นราวกับกลั้นความเจ็บใจ พยายามพยุงตัวให้ลุกขึ้นด้วยตัวเอง แต่ทั้งมือและขากลับปวดช้ำไปหมดจนไม่สามารถยืนหยัดได้เพียงลำพัง กระนั้น..ใบหน้าหวานก็ยังเต็มไปด้วยการต่อต้านอย่างสุดกำลัง

            ดวงตาคู่สวยเหลือบมองเงาดำสูงใหญ่ที่คร่อมเหนือศีรษะ แต่ร่างนั้นกลับไม่ได้ปรายตาลงมองการกระทำของเขา ในแววตาสีอำพันสวยงาม บัดนี้กลับสะท้อนแต่ภาพร่างสูงกำยำของชายอีกคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ทั้งที่บาฮาลไม่ควรจะอยู่อนาคานเวลานี้ แต่ทำไมถึงมาปรากฏกายพร้อมกับลูกหนูตัวน้อยที่หลุดหนีออกไป  ไม่ทันที่คำถามในใจจะหลุดออกจากกลีบปากสวยงามนั่น บุรุษนักรบตรงหน้าก็ชิงถามเสียก่อน

           “ เด็กหนุ่มคนนี้..ใช่ทาสที่ท่านพี่ทรงซื้อมาจากอาราบัสหรือไม่ ” เสียงเข้มถามทันทีที่พบหน้าพี่ชายตน โดยไม่ปล่อยให้เสียเวลานานนัก ตอนนี้เขาต้องการได้คำตอบว่าคนตรงหน้ากำลังคิดสิ่งใด แต่กษัตริย์แห่งอนาคานกลับคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนเสเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น

           “ บาฮาลเจ้าเสด็จกลับอนาคานไวเกินคาด น่าเสียดายนัก เรื่องนี้ข้ากะทำให้เจ้าประหลาดใจเสียหน่อย ” บาซิกค์กล่าวราวกับไม่มีเรื่องทุกข์ร้อน แต่บาฮาลกลับหรี่ตาจ้องเขม็งมาพี่ชายอย่างไม่วางตา

           “ ท่านพี่ไม่ทรงตอบคำถาม ” เสียงดุดันพยายามคาดคั้นเอาคำตอบจากร่างตรงหน้าอีกครั้ง บรรยากาศกดดันบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นชวนให้รู้สึกหายใจได้ยากเย็น

            มิกิ พยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของร่างทั้งสอง หนึ่งคือผู้เป็นกษัตริย์อนาคานที่แสนเยือกเย็น สองคือคนที่เป็นทั้งผู้ช่วยชีวิตและผู้ที่ลากเข้ามายังกรงขัง ซึ่งดูจากสรรพนามที่เรียกขานกันเขาก็เข้าใจทันทีว่า คนทั้งสองเป็นพี่น้องกัน  ถึงใบหน้าจะมีส่วนละม้ายคล้ายคลึง แต่ลักษณะนิสัยกลับต่างกันราวฟ้าเหว คนพี่ดูเย็นเยือกดุจน้ำแข็งที่หนาวเข้ากระดูก แต่คนน้องกับร้อนระอุดุจเปลวเพลิงที่พร้อมจะผลาญทุกสิ่ง แต่ไม่ว่าหันไปหาใคร คนทั้งคู่ก็เหมือนยมฑูตแห่งความตายที่รอลากกันไปลงนรกทั้งสิ้น

          บาซิกค์ปรายตามองคนที่เริ่มอารมณ์ร้อนโดยไม่ปริปาก แต่ยิ่งเห็นท่าทีเช่นนี้ผู้เป็นน้องกลับยิ่งไม่เข้าใจ

          “ ทำไมท่านพี่ถึงทรงทำเช่นนี้ ท่านพี่ก็รู้ดีว่าช่วงนี้ชาวอนาคานทุกคนไม่ควรออกไปไกลจากที่นี่ ท่านอยากให้ความลับที่พวกเราเก็บงำกันมาร่วมพันปีหลุดออกไปหรืออย่างไร ท่านพี่อาจจะทำให้พวกเรา..” ถ้อยคำนั้นเงียบหายไปราวกับไม่อยากจะเอ่ยถึง ทำเอาเด็กหนุ่มที่แอบฟังการสนทนาอย่างดุเดือดนั้นขมวดคิ้ว ความสงสัยในเรื่องของบางสิ่งเข้ามาแทนที

          ความลับของอนาคานงั้นเหรอ..

          แต่ขณะที่รอฟังคำตอบ ผู้ปกครองอนาคานกลับทำเพียงแค่หลับตาลง ใบหน้างดงามนั้นสงบนิ่งเสียจน..เริ่มรู้สึกหนาวเย็น

           “ เจ้าคิดว่าข้าอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอบาฮาล.. ” สุรเสียงเรียบเย็นทำเอาทุกคนที่ได้ยินถึงกับชะงักงัน ดวงตาสีอำพันเรียวคมลืมขึ้นจ้องมองใบหน้าผู้เป็นของน้องชายราวกับใบมีดที่กำลังทะลวงลึกเข้าไปในจิตใจ ความรู้สึกกดดันบางอย่างเกิดขึ้นจนทำให้ท้องพระโรงที่กว้างขว้างนั้นแลดูอึดอัดขึ้นมาทันตา แม้กระทั่งดวงตาสีกรมเข้มของคนที่มีตำแหน่งเป็นถึงองค์ชายแห่งอาคานก็วูบไหวเมื่อได้ยิน อำนาจมากล้นที่อยู่ในกำมือของชายผู้นี้ ทำเอามิกิรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงแต่หนูตัวเล็กๆที่ไม่มีสิทธิ์ต่อรองสิ่งใดแม้แต่จะคิดหนี!

          “ ข้าไม่ได้หมายความว่า.. ”

          แตะ..

         “ เจ้าคงกังวลมากไป ซาอิดน่าจะตอบแทนข้าหมดแล้ว และข้าคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องตอบย้ำอะไรอีก ”  มือขาวแตะลงบนบ่ากว้าง สัมผัสที่ได้แม้จะแผ่วเบาแต่กลับเย็นเยือกเสียจนไปถึงกระดูก จนคนที่กำลังเอ่ยปากอธิบายหยุดชะงัก ประโยคที่แอบตอกย้ำถึงความเหนือกว่าเปล่งจากริมฝีปากโค้งสวย บาฮาลยืนนิ่งไม่กล้าแม้จะตอบอะไรผู้เป็นพี่ ก่อนดวงสีเหลืองทองคู่นั้นจะเปลี่ยนเป้าหมายมายังตัวต้นเหตุในค่ำคืนนี้

           ทันทีที่ดวงตานั้นปรายมองร่างกายก็เย็นวาบขึ้นมาทันตา แต่ก็ยังคงสู้หน้ามิได้หลบสายตาอันเย็นเยือกนั่นแต่อย่างใด บาซิกค์เดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะนั่งลงยกเข่าชันเพียงข้าง นิ้วเรียวค่อยๆช้อนเอาใบหน้าของตนที่ถูกมัดอยู่ที่พื้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย ริมฝีปากโค้งสวยเขยื้อนเอ่ยอย่างเชิญชวน

           “ อีกอย่าง..สิ่งนี้ก็คุ้มเกินคาด ” รอยยิ้มเย็นเยียบคลี่ออก ดวงตาสีอำพันหรี่ลงจ้องมองร่างบอบบางในเงื้อมือราวกับผู้ล่าที่กำลังสนุกกับเหยื่อที่น่าสงสาร แต่ไม่ทันได้โต้ตอบสิ่งใด ร่างของเขาก็ถูกจับให้ลุกขึ้น แล้วพลิกตัวให้หันไปห ผู้มีตำแหน่งเป็นองค์ชายแห่งอนาคาน

           “ของขวัญจากเทพนาคิน” บาซิกค์แสยะยิ้มเย็นจากด้านหลัง ใบหน้าคมสวงามเคลื่อนมาใกล้ต้นคอขาว จมูกโด่งสัยจรดข้างแก้มสูดดมกลิ่นอายของบุปผางามโปรดปราน หากเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจสำหรับคนที่ถูกผูกมัดยิ่งนัก แต่กระนั้นริมฝีปากบางก็ยังไม่เลิกซุกซนขบเม้มใต้ติ่งหูราวกับเป็นผลไม้เนื้อหวานที่น่ารับประทาน ความรู้สึกประหลาดนี้ยากจะทานทนจนร่างเล็กสั่นสะท้าน “ ถูกจับได้เร็วเกินคาดนะมิกิ ” เสียงแห่บพร่ากระซิบข้างกาย ลิ้นร้อนไล่เลียลำคอราวกับจะกลืนกินไปให้ลึกจนถึงหัวใจ!

            “ ไอพวกปีศาจ.. ” มิกิกัดฟันสบถออกมาอย่างสุดกลั้น การกระทำอันหวาดหวามหยุดชะงักฉับพลัน สิ่งที่ได้ยินทำเอาทุกคนในห้องตื่นตะลึง แต่บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟากลับแสยะยิ้มเย็น ไม่ใช่ว่าไม่พอใจกับคำพูดของเด็กหนุ่ม แต่เพราะความกล้าบ้าบิ่นที่แม้จะกลัวจนตัวสั่นต่างหากที่เขาสนใจ

             “ หึ ใจกล้า แต่  โง่เขลา นี่มันเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ทุกคนหรือยังไง ” เสียงเย็นเอ่ยข้างใบหู แต่กลับทำให้ร่างที่เขาควบคุมหัวเราะเยาะออกมา

             “ สัตว์ชั้นต่ำแบบพวกแก หึ..คงไม่เข้าใจความคิดของสัตว์ชั้นสูงอย่างมนุษย์สินะ พวกแกถึงเป็นได้แค่ไองูที่คอยหลบอยู่หลังโพรง พวกแกทั้งหมดมันเป็นสัตว์ที่อ่อนแอ ขี้ขลาดตาขาว กลัวหรือไงบาซิกค์ กลัวว่าความลับเรื่องมนุษย์งูงี่เง่ากับเมืองนรกนี่ จะเปิดเผยหรือไง! ” กล่าวเสียงแข็งอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาคู่สวยหันเผชิญหน้ามองคนที่กำลังควบคุมอย่างท้าทาย ไม่ว่าอย่างไรชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นไปกว่านี้ ถึงร่ายกายเขาจะพ่ายแพ้ แต่หัวใจจะไม่มีวันยอมสยบให้กับคนพวกนี้แน่

            “ ทำไม อยากฆ่าฉันนักก็ฆ่าเลยสิ! รออะไร หรือว่าฆ่าฉันไม่ได้ มีเหตุผลอื่นอีกงั้นเหรอ นอกจากเก็บฉันไวเป็นที่ระบายของพวกแก! ” มิกิยังไม่ยอมหยุด ยั่วโมโหจนพวกทหารทุกคนที่เป็นชาวอนาคานต้องแอบกำมือแน่ ด้วยความโกรธ หากแต่สิ่งที่เขาพูดกลับทำให้บาซิคก์กระตุกยิ้มเย็นเยียบ

           “ ที่ระบายหรือ หึหึ ฮาๆ ” เสียงหัวเราะจากคนด้านหลังเปล่งออกมาอย่างไม่ปิดบัง ใบหน้าหล่อเหลาเวลานี้เต็มไปด้วยความชอบใจอย่างไม่คาดคิด มิกิขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าบาซิกค์กำลังคิดสิ่งใด แต่ไม่ทันไรร่างของเขาจะถูกจับพลิกหันมาเผชิญกับผู้ปกครองอนาคานฉับพลัน เสี้ยววินาทีที่สบดวงตาสีเหลืองทองคู่นั้น ก็เหมือนดวงวิญญาณกำลังค่อยๆถูกเผาไหม้ด้วยเปลวไฟ

          ไฟที่เยือกเย็น..

           “ ถ้าอยากจะกลายเป็นของเล่นของคนอื่นด้วย ฉันก็ไม่ขัดศรัทธา แต่ก่อนอื่น.. ” ใบหน้าคมโน้มก้มจนใกล้ลำคอ มือแกร่งโอบรัดเอวคอดของอีกฝ่ายไว้แน่นราวกับงูไม่มีวันปล่อยเหยื่อของมัด สิ่งที่ทำทำเอาหัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ แต่ไม่ทันได้ทักท้วงสิ่งใด เสียงแหบพร่าร้อนแรงก็กระซิบข้างใบหู

           “ ต้องลงโทษเสียก่อน.. ”

           กึก..


           “ อ๊า!!  ” เปล่งเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บ เลือดสีเข้มไหลล้นออกจากลำคอทันทีที่คมเขี้ยวอสรพิษฝังลงไปอย่างไม่ปราณี รสขมปร่าของเลือดชุ่มฉ่ำไปทั่วโพรงปากที่เปรอะเปื้อน หากแต่กลิ่นคาวที่ผสมปะปนกับกลิ่นกายหอมหวนนั้น ช่างให้ความรู้หลงใหลอย่างน่าประหลาดจนยากจะถอดถอน มิกิพยายามขยับตัวดิ้นรนขัดขืนแต่มือแกร่งที่กอดไว้ก็บีบรัดแน่นราวกับไม่ต้องการให้เหยื่อที่เลือกไว้หนีรอด กระทั้งความเจ็บปวดที่ได้ฉับพลันก็เริ่มทำให้ร่างกายเย็นลงทุกวินาที เปลือกตาหนักขึ้นดั่งถูกถ่วงด้วยหิน ตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะเย็นเฉียบเสมือนกำลังถูกแช่แข็ง ไม่ช้าอ้อมแขนที่รัดแน่นก็ถูกปลดออก ร่างทั้งร่างก็ทรุดลงไปกับพื้น ล้มลงใต้แทบเท้าของคนที่เขาเกลียดที่สุด ก่อนประโยคสุดท้ายที่ได้ยินแทบทำให้เขาไม่อยากจะหลับตา

           “ มิกิ..งูไม่กลัวที่เคยลังเลที่จะกินเหยื่อ แม้เหยื่อนั้นจะทำให้มันต้องตายก็ตาม”

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 4]UP 24/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 28-07-2015 20:46:18

ค่ำคืนที่ 5 : เสียงกระดิ่ง...Part จบ
 

          แหมะ..


          แหมะ..

 
          เสียงหยดน้ำไหลลงจากเพดานด้านบนอันชื้นช่ำ หยดรดบนเรือนร่างอันเปลือยเปล่าที่ปกปิดส่วนล่างไว้ด้วยผ้าสีขาวบางเบา หยาดน้ำเกาะพรมไปทั่วผิวกายดุจทรายขาวละเอียดแต่กลับไม่เหลือรัศมีแห่งความผ่องใส ใบหน้าหวานทิ้งลงอย่างไม่ได้สติ ทำให้เส้นผมสีบรอนด์ทองจากสายเลือดข้ามแดนปรกปิดลงมา กลิ่นสาบสัตว์บางอย่างนั้นโชยคลุ้งไปทั่ว ความมืดมิดเข้าปกคลุมจนมองไม่ออกว่าที่นี่คือใด มีเพียงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านกำลังไหลล้นเข้าสู่ร่างที่กำลังหลับใหล

           หนาว

          หนาวเหลือเกิน

          หนาวจนอยากไม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

          ทั้งหมดเป็นเพียงเพราะชีวิตที่น่าสมเพช ที่ไม่ต้องการเผชิญเรื่องโหดร้าย แต่ทำไมพระเจ้าถึงไม่ยอมให้เขาได้จากไปเสียที หรือแม้อยากจะหนีไปให้ไกลแต่สุดท้ายก็เสมือนถูกตัดขาทิ้งจนไร้หนทางไขว่คว้าอิสระภาพ สิ่งเดียวเหลืออยู่มีเพียงหัวใจที่ยังคงเต้น เต้นแรงเสียจน..เหมือนจะพูดกับเขาว่า..

          ‘ลืมตาขึ้นมาซะมิกิ ลิมตาขึ้นมาพบกับสภาพความเป็นจริงของตัวเอง’

        น่าสมเพช

        น่าสมเพชจริงๆ..

          แหมะ..

          หยาดน้ำสุดท้ายไหลจากริมขอบตาที่ปิดสนิทอาบลงบนแก้มขาวซีดก่อนหยดลงสู่พื้นจากปลายคางเรียว น้ำตาไหลออกมาจากความท้อแท้สิ้นหวัง อยากจะหลับอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ต้องฟื้นขึ้นมารับความเป็นจริง

          แต่พระเจ้ามักปลุกมนุษย์ทุกคนให้ตื่นจากความฝันเสมอ..

          “ฟื้นแล้วหรือ มิกิ” ทันทีที่ดวงตาสีมรกตลืมขึ้นมาเชื่องช้า เสียงแรกที่ได้ยินก็พลันเอาร่างกายกระตุกวูบโดยสัญชาตญาณ แต่เพียงแค่ขยับก็พบว่าข้อมือทั้งสองข้างถูกตรึงติดเอาไว้กับพื้นกำแพงอิฐทั้งสองฟาก ลำคอขาวก็ถูกสวมด้วยปลอกเหล็กหนักๆที่มีโซ่สีดำพาดยาวเชื่อมระหว่างมือ ส่วนข้อเท้าก็มัดไว้ในลักษณะที่ไม่ต่างกัน สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากนักโทษที่รอคอยวันประหารชีวิต

            “ ไม่พอใจกับสภาพของตัวอย่างงั้นหรือมิกิ.. ”

            “ อย่ามาเรียกชื่อฉันไองูวิปริต!” น้ำลายถูกถมรดลงพื้น ดวงตาคู่สวยยังคงแข็งกร้าวอย่างไม่เกรงกลัว ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นอย่างท้าทายคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า

           บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟาเพ่งมองการกระทำอันหยาบคายอย่างมิได้สนใจ เรือนร่างสูงสง่าก้าวเดินเข้าไปหาคนที่มิอาจดิ้นรนขัดขืน นิ้วเรียววางบนซอกคอหากแต่ไล่ลูบไล้บริเวณแผลที่ฝังคมเขี้ยวอย่างรุนแรงไปจนถึงท้ายทอย ความรู้สึกที่ได้รับทำให้ใบหน้าหวานนั่นต้องบิดบี้ยวเปล่งเสียงด้วยความเจ็บ เลือดเข้มซึมออกมาจากแผลอีกครั้งจนถึงกลางแผ่นอก แต่กลับไม่ได้เรียกความสงสารของชายหนุ่มได้อย่างใด รอยยิ้มเย็นเยียบคลี่ออกจากใบหน้าที่แสนเย็นชา

            “ อ่อนแอ.. ”

           “ ฉันจะฆ่าแก..บาซิกค์ ” กัดฟันขู่ด้วยความแค้นสุดจะทน ดวงตาคู่สวยแข็งกร้าวเสียจนน่าชื่นชม แม้ขณะร่างกายมิอาจขัดขืน แต่หัวใจกลับกล้าแกร่งยิ่งนัก การกระทำที่เห็นยิ่งวนให้น่าสนใจเสียยิ่งกว่ากลิ่นที่โปรดปราน แต่ก็อยากจะรู้นักว่าร่างนี้จะพยศได้แค่ไหน คิดกระนั้นรอยยิ้มร้ายก็ประดับขึ้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าหวานที่ต่อต้านออกแรงบีบเบาๆจนริมฝีปากบางเผยออก ก่อนจะเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ขึ้น เอ่ยเสียงแผ่วเบาแต่หากก้องทุ้มไปทั่วหัว “ เด็กดื้อ..ต้องลงโทษ ”

            เสี้ยววินาทีที่สบสายตาเย็นเยือก ดวงตาสีเหลืองทองกลมโตของมนุษย์ก็ผันแปรเป็นดวงตาที่รียาวของสัตว์ร้ายที่จ้องมองแล้วจะล้วงลึกเข้าตรวจค้นทุกสิ่งในจิตใจ อุณภูมิในห้องก็เริ่มสูงขึ้นราวกับอยู่ใกล้เปลวไฟ ขณะที่มือที่บีบอยู่ข้างแก้มก็เริ่มแรงขึ้นจนรู้สึกเจ็บ ทว่า..พอเพ่งมองมือนั่นให้ชัด กลับทำให้หัวใจเขาแทบหยุดเต้น เมื่อมืออันแกร่งนั้นมันกำลังถูกห่อหุ้มด้วย..

           เกล็ด..



           เกล็ดของงู!

           “ จะทำอะไรน่ะบาซิกค์! ” มิกิเริ่มวิตกกังวลกำสิ่งที่ต้องเผชิญต่อไป ดวงตาคู่สวยเริ่มสั่นไหวอย่างไม่ปิดบัง เมื่อเห็นรอยยิ้มเย็นเยือกของสิ่งที่ไม่อาจเรียกว่าคนได้อีกต่อไป ขณะที่คลื่นเสียงถี่ระรัวราวกับกระดิ่งเล็กๆนับพันก็สั่นดังก้องในหัว แรงกดดันมหาศาลทำให้เขาต้องปิดตาร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง!

             “ หยุดนะหยุด! ”

            ฟืบบ..



             สิ้นเสียงเสมือนสิ้นทุกอย่างจนเงียบสงบ มิกิค่อยๆปรือตาที่ฉ่ำคลอด้วยหยาดน้ำตาอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่เมื่อเงยขึ้นกลับพบว่ารอบข้างนั้นมืดสนิท มีแค่ตัวเขาเพียงลำพังที่ยังคงถูกมัดไว้อยู่กับที่

            ดวงตาคู่สวยพยายามกวาดสายตามองหาร่างที่เป็นต้นเหตุให้พบแต่กลับมีเพียงแค่ความว่างเปล่ารายล้อมอยู่รอบด้าน ขณะที่หัวสมองของเขาก็มิอาจประเมินได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น



            ทว่า..ไม่ทันได้ครุ่นคิดสิ่งใด ที่บริเวณลำคอที่ควรจะปอกคอเหล็กสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวเชื่องช้า เกล็ดที่มันเลื่อมกับการบีบรัดที่เริ่มแน่นขึ้นทำเอาอากาศที่สูดเข้าไปในลำคอเริ่มหดหาย ดวงตาคู่สวยต้องเบิกโพลน ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง ขณะที่เสียงขู่ฟ่อกลับดังข้างใบหูทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น

            นัยน์ตาคู่สวยปิดลงแน่น ร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่ปิดบัง น้ำตาไหลเริ่มคลออยู่ที่ริมขอบตาอีกครั้งจากสิ่งที่นึกกลัว แต่กระนั้นทั้งหมดยังอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของใครบางคน เมื่อบริเวณปลายเท้ากลับได้รับสัมผัสอันเย็นเยียบที่ค่อยเลื้อยไล่ขึ้นมาจากข้างทั้งสองขา เมื่อเผลอลืมตาขึ้นมองก็พบว่าพื้นที่เขากำลังเหยียบย้ำอยู่ กลายเป็นฝูงงูจำนวนมหาศาลที่ขดตัวเลื้อยเรียงรางราวกับพรมอสรพิษ!


            “ ไม่เอา ฮึก ไม่เอาแบบนี้  หยุดนะ หยุดด!! ”

         ภาพที่เห็นทำให้มิอาจกลั้นหยาดน้ำตาแห่งความกลัว เสียงสะอื้นผ่อนผันออกมาแต่ก็ไม่อาจจะระบายสิ่งที่กำลังเผชิญ หัวใจเต้นแรงบีบคั้นเต้นแรงราวกับมันจะระเบิดออก ความหวาดผวาทำให้บ้าคลั่งไม่สนใจจนสะบัดร่างกายให้สิ่งที่เกาะหลุดออก แต่ต่องให้ดิ้นรนจนแขนแทบขาดออกจากตัว สิ่งที่ชายใจร้ายมอบให้ก็ไม่มีวันหลุดพ้น ขณะที่ผิวกายขาวละเอียดกลับค่อยๆถูกพัวพันจองจำด้วยร่างของอสรพิษนับร้อยที่กำลังโอบรัด ความรู้สึกขยะแขยงจากสิ่งที่เกลียดกลัว มันสุดจะบรรยายจนมิอาจรับได้ไหว จิตใจกำลังพังทลายย่อยยับจนไม่คืนรูปได้ดังเดิม ได้แต่เปล่งเสียงร้องภาวนา ขอร้องให้เรื่องบ้าออกไปจากชีวิตเขาสักที.


          “ หยุดนะ.. หยุด ฮึก ได้โปรด.. หยุดที ฮือๆ” น้ำตาไหลแทบจะอาบลงมาเป็นสายเลือด อสรพิษเลื้อยพันธนาการอยู่รอบตัวจนไม่รู้ว่ากี่ร้อยตัว ขณะที่แผ่นอกกลับยกขึ้นหายใจได้ยากเย็นทุกที..เหมือนอากาศกำลังจางหายไป..

           “ ท่านพี่พอเถอะ! ” เสียงดุดันแต่เจือปนด้วยความห่วงใยจากคนข้างกาย เรียกร่างสูงสง่าที่กำลังเชยชมสีหน้าที่กำลังทุกข์ทรมานของเด็กหนุ่มให้ปรายตามอง

           “ เจ้าห่วงเด็กนั่นหรือไง.. ” ดวงตาสีอำพันหรี่มองผู้เป็นน้องอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ บาฮาลชะงักงันไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำถามที่แทงใจ ทว่าไม่ทันได้พูดสิ่งใด เสียงที่อ่อนแรง กับลมหายในที่ใกล้รวยริมเต็มทนก็เอ่ยออกมาพร้อมกับหยาดน้ำที่ไหลหยดลงบนพื้น


            “ ขะ..ขอโทษ ฮึก หยุดที จะ ไม่หนี ฮึก..จะไม่หนีอีกแล้วฮือๆ ” พ่ายแพ้ต้องความกลัวจนสิ้น เสียงเศร้าสร้อยนั้นฟังดูน่าสงสารยิ่งนัก ไม่เหลือคาบของคนที่เคยพยศร้ายหยิ่งในศักดิ์ศรีเลยสักนิด แต่ชั่วครู่หนึ่งกลับสะดุดหัวใจของใครบางคนให้เผลอคิดอย่างรู้สึกผิด ทว่า..บุคคลนั้นกลับมิได้ล่วงรู้ว่าแอบโดนสายตาของพี่ชายคอยมองอยู่ ก่อนดวงตาสีอำพันนั้นจะหลับลงไปอีกครั้งราวกับกำลังสะกดบางสิ่ง พอลืมขึ้นเด็กหนุ่มที่ถูกลงโทษก็หมดสติไปทันที.. แต่ทำไมพอเห็นเช่นนี้เขาถึงได้รู้สึกโล่งใจนัก

            “ บาฮาล..ข้าจะตบรางวัลให้เจ้าหนึ่งอย่าง” เสียงเรียกทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์แต่พอได้ยินคำถามทำให้เขาต้องขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ


             “ ท่านพี่ข้า.. ”

            “ นี่เป็นคำสั่ง นอนกับเขา ” สิ้นคำสั่งพร้อมกับสายลมเย็นที่พัดผ่านไปพร้อมกับสูงสง่า บาฮาลยืนนิ่งงันอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วเข้าหากันมอง แผ่นหลังกว้างของผู้เป็นที่เดินจากไปอย่างไม่เข้าใจ ถึงจะชินชากับการกระทำอันโหดร้ายมาตั้งแต่เด็ก แต่ทำไมสำหรับคนๆเขาคิดว่าพี่ชายเขากำลังทำเกินกว่าเหตุไปหน่อย แต่ถึงในใจเขาจะต่อต้าน แต่ก็มิอาจขัดรับสั่งคนที่ตำแหน่งสูงสุดผู้ซึ่งเป็นเจ้าปกครองอนาคานได้ ลมหายใจผ่อนผันออกมาอย่างหนัก ก่อนร่างสูงกำยำจะเดินเข้าไปปลดโซ่ร่างที่ถูกจองออกไปจากคุกใต้ดิน..

 


           องค์ชายบาฮาล รีบพามิกิมาพักผ่อนในห้องบรรทมของตนเอง โดยตลอดทางนั่นเขาอุ้มร่างบางด้วยตัวเอง หาได้สนสายตาของข้าราชบริวารไม่ พอถึงห้องก็วางกายบางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล นัยน์ตาสีกรมมองสำรวจไปทั่วผู้ที่ถูกทำร้ายทางจิตใจ ใบหน้าหวานนั้นเปรอะเปื้อน ด้วยคาบน้ำตา บริเวณลำคอขาวมีแผลจากคมเขี้ยวที่ฝังลึก เห็นเลือดสีแดงไหลยังคงปริ่มอยู่ที่ปากแผล ตามข้อมือและเท้าก็มีรอยถลอดช้ำจากผิวที่หลุดลอก หากเป็นเขา..แผลแค่นี้คงมิอาจทำให้เขาสะเทือนได้ แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้รู้ว่าร่างนี้บอบบางเสียยิ่งกว่าผลึกแก้วใส แม้หัวใจจะแข็งกล้าเพียงใด

              ร่างสุงใหญ่นั่งลงข้างขอบเตียง กระทั่งเผลอมองริมฝีปากบางสีเนื้อระเรื่อที่เผยอออกหอบหายใจ ก็ชวนให้หัวใจสะดุดไหว มือแกร่งค่อยๆเกลี่ยเส้นผมสีอ่อนออกจากดวงหน้าหวานอย่างบรรจง แต่ทันทีที่สัมผัสเพียงเล็กน้อย ก็กลับผมว่าตัวร้อนดั่งไฟ ก่อนจะรีบออกไปสั่งทหารนายหนึ่งสั่งหมอประจำการมารีบรักษาทันที ทว่า..ไม่ทันจะได้เปิดประตูกลับเข้าไปบุคคลหนึ่งที่ถูกสั่งมาให้เฝ้าการกระทำขององค์ชาย ก็เอ่ยขึ้นขัด


             “ พระองค์ไม่ควรทรงทำนอกเหนือรับสั่งองค์ราชา” เสียงที่ได้ยินทำให้ดวงตาคมปรายมอง ร่างสูงโปร่งของบริวารใต้อาณัติ ก็ยืนอยู่ข้างประตู ก่อนเขาจะโค้งเคารพองค์ชายแห่งอนาคานตามธรรมเนียม

             “ ซาอิดเจ้าว่างมากหรือไงถึงมาคอยตามข้า” องค์ชายบาฮาลกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ หัวหน้าบริวารหนุ่มทำเพียงแค่ยกยิ้มบางกล่าวไปตามจริง

             “ กระหม่อมแค่ทำตามรับสั่งขององค์ราชา ”



             “ หึ..ถ้าองค์ราชาสั่งให้ไปตาย เจ้าจะไปตายเหมือนพี่เจ้าหรือเปล่า ” สิ้นคำถามประชดนั้นทำเอาใบหน้าที่แย้มยิ้มนั่นแปรเปลี่ยน ใบหน้าหล่อเหลานั้นก้มลงเล็กน้อยพอให้กุห์ตราที่สวมอยู่บดบังดวงตามิให้องค์ชายตรงหน้ารับรู้สิ่งที่กำลังคิด แต่ก็ตอบกลับไปตามตรง

             “ ถ้าเป็นพระประสงค์..กระหม่อมก็คงมิอาจขัด ”

             “ เจ้ามันน่ารำคาญ! โง่เง่า..ทั้งพี่ทั้งน้องสมควรตายแล้ว ” ทิ้งท้ายด้วยคำประชดอย่างรุนแรง ก่อนจะเปิดประตูกลับเข้าไปในห้องอย่างไม่สนใจ ใบหน้าของหัวหน้าบริวารหนุ่มขึ้น ริมฝีปากเม้นลงมาจนแน่นสะกัดกลั้นบางสิ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนักแล้วตีสีหน้าให้เรียเฉยดังเดิม แต่ทว่า..ดวงตากลับแสดงออกมาแต่..

           ความเคียดแค้น..
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: sin ที่ 28-07-2015 21:28:45
เรื่องน่าสนใจมาก แปลกใหม่ ชอบบบบบ
จะรอติดตามต่อไปเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: wishper ที่ 28-07-2015 21:42:48
สงสารมิกิอ่ะ งือๆๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 28-07-2015 22:49:22
กำลังอ่านเพลิน ไม่อยากให้จบตอนเลย
น้ำตาซึม สงสารมิกิมาก โหดจริงอะไรจริง
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 28-07-2015 22:52:47
เราว่าซาอิดนี่ต้องเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญแน่ ๆ

เชียร์ให้ซาอิดพาหนีออกไปแบบสุดขอบฟ้าตามหายังไงก็ไม่มีทางเจอ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 28-07-2015 23:09:19
หนูมิกิ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ไป๋ไป๋ ที่ 28-07-2015 23:39:57
สนุกมากกกก :katai5:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 28-07-2015 23:49:49
โหดร้ายกับมิกิของฉันอีกแล้วว :sad4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-07-2015 23:57:58
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Serioz ที่ 29-07-2015 11:47:54
อ่านเพลินมาก รอตอนน่อไปค่ะ เอาใจช่วยมิกิ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 29-07-2015 12:34:06
ตอนแรกก็แอบเครียดๆตาม แต่พอถึงฉากที่มิกิจับตัวเองเป็นตัวประกัน แล้วขู่ว่าจะฆ่าเงินยี่สิบล้าน เผลอฮาก๊ากเลยค่ะ ไม่ค่อยเจอคำขู่แบบนี้เท่าไหร่ ถถถถถ
แต่ชีวิตนางรันทดมากอะ เอาจริงๆถ้่าทำตัวว่าง่ายๆน่าจะสบายไปแล้ว รึปล่าวนะ...  เอาใจช่วยไม่ให้กลิ่นดอกเพเซียหมดไปแล้วมิกิโดนงาบละกันค่ะ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 5]UP 28/7/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 03-08-2015 17:54:16
          อาทิตย์ส่องแสงตระหง่านกลางท้องฟ้าที่เปิดโล่ง สายลมร้อนเอื่อยแผ่วพัดโชยเกล็ดทรายไปในอากาศ มองผิวเผินด้วยตาเปล่าแล้วคงมิอาจพบสิ่งใดเจือปน แต่หากวิ่งโดยไม่ทันระวังเม็ดทรายนั้นอาจจะทำให้ระคายดวงตาได้


            ภายในห้องพักของหัวหน้าราชบริวารผ่านหน้าต่างที่ไร้ซึ่งม่านกั้น ซาอิด จาร์ อารากัส กลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสีครามเอาแต่หรี่ลงจ้องมองเปลวทรายเหล่านั้นอย่างว่างเปล่า เส้นผมเมื่อไร้การบดบังด้วยกุห์ตรายามกระทบแสงแดดนั้นคือสีเทาดำ ริมฝีปากจากที่เคยประดับรอยยิ้มไว้บางๆอยู่เสมอบัดนี้กลับเรียบตรง ใบหน้าคมเข้มตามแบบสายเลือดฟากฝั่งทะเลทรายก้มลงมองเหรียญเหล็กสีเงินในมือที่สลักเป็นร่างอสรพิษสองตัวกำลังเกรี้ยวพันตราบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายดวงตา ตรงกลางเป็นอักษรโบราณของชาวอนาคาน ซึ่งความหมายว่า ‘ชีวิต’


            มือใหญ่กำเหรียญในมือแน่น จ้องมองกำมือของตัวเองที่บีบจนเริ่มสั่น สีหน้าที่เรียบเฉยภายนอกแม้ดูเหมือนไม่ได้คิดสิ่งใด แต่ภายในกลับแอบขบกรามจนแน่นและพยายามกัดกลั้นความรู้สึกที่มีอยู่บางอย่างไม่ให้แสดงออกมา ทว่า..ยามหลับตาลงคราใดความรู้สึกจากดวงตาทั้งสองข้างมันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทุกที ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรคิด..แต่กลับห้ามตัวเองไม่ได้เลยสักครั้ง


            ความคับแค้น..


            ความชิงชัง..


           มันกำลังหล่อหลอมอยู่หัวของเขาจนเริ่มคุมตัวเองไม่ได้ เสียงกระซิบแหบพร่าจากคนที่สิ้นวิญญาณไป ยังคงก้องในหูของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับกำลังย้ำสิ่งที่เขาควรกระทำ..


            ฆ่าโอรสเทพนาคิน..


           ฆ่ามันทุกคน..


           แต่ว่า..


          “ ข้าไม่ยักรู้..ว่าราชเลขาแห่งอนาคานจะขัดคำสั่งข้าเพราะต้องการมานั่งมองเหรียญ ”สุรเสียงเรียบเย็นเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง แต่กลับทำให้คนที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างต้องรีบหันหลังกลับมาก้มหัวให้ และไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตามองผู้เป็นเจ้าปกครองชีวิต


          “ ฝะ ฝ่าบาท กระหม่อมขออภัยคือ…”


          “ บาฮาลไล่เจ้ามาหรือ ”

          กำลังจะเอ่ยแก้ต่างเพื่อคลายข้อคล่องใจ แต่พอได้ยินคำถามจากราชาบาซิกค์แล้ว หัวใจของเขาก็คล้ายกับกำลังโดนเข็มเล็กๆทิ่มแทงจนเผลอแสดงทางสีหน้าที่ซ่อนเอาไว้ และบีบเหรียญในมือแรงขึ้นชั่วครู่ ก่อนจะคลายความรู้สึกทุกอย่างลง


         “เปล่าพ่ะย่ะค่ะ ”ปรับเสียงตอบอย่างปกติที่สุด หากแต่การกระทำที่แสร้งปกปิดเอาไว้ หาได้พ้นสายตาอันเฉียบแหลมของเจ้าแห่งอนาคานไม่ บาซิกค์ก้าวเดินเข้าไปใก้ลราชเลขาหนุ่มที่กำลังก้มศีรษะมากขึ้น ดวงตาสีเหลืองทองหรี่ลงมองร่างที่ยืนนิ่งเหมือนกำลังมองสำรวจบางสิ่ง


           “ เงยหน้าขึ้น.. ”บัญชาง่ายๆเอ่ยแผ่วเบา ใบหน้าค้มเข้มค่อยๆเงยขึ้นตามคำสั่งของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ดวงตาสีเหลืองทองคู่นั้นกำลังสนใจ กลับมุ่งตรงไปที่เหรียญที่เขายังคงกำเอาไว้อยู่ในอุ้มมือ


          “ เหรียญในมือเจ้าเป็นของราซิส ใช่หรือไม่ ”

          ราวกับเป็นตอกย้ำครั้งที่สองที่แทงเข้ามากลางหัวใจ ร่างสูงเผลอสะดุ้งตัวเมื่อชื่อของ ‘ราซิส จาร์ อารากัส’ผู้เป็นพี่ชายแท้ๆลอยกลับเข้ามาในหูจากปากคนที่เขาควรภักดี แต่ทำไมพอได้ยินเช่นนั่นแล้วมันกลับทำให้เขายิ่งเกลียดชังชายตรงหน้าขึ้น ภาพความตายของพี่ชายตนเองสะท้อนกลับเข้ามาในหัวจนรู้สึกพะอืดพะอมกับคำสั่งที่แสนเลือดเย็นนั่น..


         แต่ทั้งหมดมันไม่ใช่..


         มันไม่ใช่ความผิดของพี่ชายเขา!


         “ ซาอิด..”เสียงเรียกเย็นเยียบทำให้ร่างสูงโปร่งนั่นสะดุ้งตัว แต่พอได้สบดวงตาสีอำพันงดงามดั่งแสงตะวันที่สะท้อนออกมาเป็นภาพของตัวเขาที่กำลัง..


        ร้องไห้..


        แหมะ..


       หยาดน้ำใสๆจากริมขอบตาไหลหยดจากปลายคางเรียวมนโดยไม่รู้ตัว ฝ่ามือขาวซีดวางลงบนบ่ากว้างของหัวหน้าบริวารหนุ่มแผ่วเบา ถึงใบหน้าที่ทั้งงดงามและหล่อเหลาสมดังผู้ปกครองนครเมืองนาคาจะไม่ได้แสดงออกชัดเจน หากไม่สังเกตริมฝีปากหยักโค้งที่แอบคลี่ยิ้มอยู่เล็กน้อย คงมิอาจคาดเดาได้ว่าชายผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดเป็นแน่


        “ เจ้าคงรู้คำตอบดีสำหรับคนที่คิดคดทรยศ อนาคานคงมิอาจปล่อยให้คนเช่นนั้นได้แม้แต่เพียงคิด มันเป็นกฏของเทพนาคิน ที่ไม่เว้นแม้แต่ข้า..ก็มิอาจฝ่าฝืน”


        “ กะ..กระหม่อมไม่ได้คิดสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ”รีบตอบออกไปอย่างร้อนรน แต่เสียงนั่นกลับสั่นไหวเหมือนเด็กน้อยที่กำลังพูดโกหก บาซิกค์เผยยิ้มเรียบๆไม่คิดจะถือสาอะไรกับราชเลขาหนุ่มที่พยายาม ‘ฝืน’ ภักดีคนนี้เสียเท่าไร เพราะต่อจากนี้สิ่งที่เขาต้องการจะทดสอบไม่ใช่ความภักดี แต่คือความ ‘อดทน’ ต่างหาก

        “ นั่นดีสำหรับเจ้า เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าพบจุดจบเช่นเดียวราซิสพี่ชายของเจ้าเช่นกัน..”สิ่งที่ได้ยินเหมือนกำลังฉีกรอยแผลในหัวใจของซาอิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอยยิ้มที่คลี่ออกเวลานี้เขารู้ความหมายที่แท้จริงของมันแล้วว่าคือสิ่งใด ถึงภาพลักษณ์ตรงหน้าจะงดงามราวกับทวยเทพจุติ แต่ความจริงที่ว่าบาซิกค์ ฮอร์น ซัลคคาฟา เป็นปีศาจที่แสนเลือดเย็นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนในอนาคานถึงอยากจะฆ่าชายผู้นี้นัก..คำตอบนั้น ไม่ใช่อำนาจ..แต่เป็น


       การแก้แค้น..

       “ สิ่งที่ท่านพี่ราซิสกระทำ สมควรรับโทษทัณฑ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ ”ซาอิดตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่เสมือนไร้ความรู้สึก ทั้งๆที่การเปล่งเสียงแต่ละคำกลับเหมือนกำลังเฉือนเนื้อหัวใจของเขาให้ขาดรอนออกไปเรื่อยๆ


       “ หึ ใจร้ายจริงนะ ” เปล่งพรำในลำคอแผ่วเบาอย่างดูแคลน รอยยิ้มหยั่นบนใบหน้างดงามนั้นมิอาจเดาได้ว่าแท้จริงแล้วคิดสิ่งใด ร่างสูงสง่าเดินหันหลังกลับออกไปเล็กน้อย ก่อนจะหันเสี้ยวหน้ากลับมาสั่งจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่


        “ ข้ามีงานให้เจ้าทำสักหน่อย”สิ่งที่ได้ยินทำเอาราชเลขาหนุ่มขมวดคิ้วหนาของตัวเอง ก่อนสัมผัสลื่นๆจากสิ่งที่คุ้นจะเลื้อยขึ้นมาพันอยู่ที่ท่อนแขน พอเหลือบมองก็พบอสรพิษสีเผือกกำลังคาบขวดแก้วที่บรรจุของเหลวสีแดงสดยื่นมาให้ แต่เพียงแค่เห็นความสังหรณ์ใจในบางสิ่งก็แล่นเข้ามา ดวงตาคู่เข้มสลับไปมองผู้เป็นเจ้าชีวิตอย่างไม่เข้าใจ

        “ นำสิ่งนี้ไปที่ซาคาเดียร์แล้วบอกว่าฤดูกาลนี้ อนาคานไม่ต้องการ..” บาซิกค์เว้นช่วงไป ก่อนจะเอ่ยเสียเย็นยะเยือก “‘การเก็บเกี่ยว’”

        เพียงชั่วครู่ที่ได้ยินรับสั่ง ร่างกายของผู้ใต้อาณัติก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้าของตัวเอง ถึงไม่รู้ว่าราชาบาซิกค์ต้องการทำสิ่งใด แต่ ฤดูกาล ‘เก็บเกี่ยว’ ที่ว่า เป็นฤดูกาลที่ชาวอนาคานกับซาคาเดียร์จะมี’ปฏิสัมพันธ์’กันอย่างใกล้ชิดเพื่อเพาะปลูกชีวิตใหม่ และเป็นพิธีที่จัดกันมายาวนาน ซึ่งนั่นทำให้ซาคาเดียร์อยู่เหนืออนาคานเพราะมี ‘หญิงงาม’ ที่เรียกกันว่า ‘ราเมียร์’

       หากสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ตรงนี้ไม่ผิดพลาด เจ้าของของเหลวสีแดงที่อยู่ในขวดแก้วใบนี้ อาจเป็นเหมือนฉนวนให้พวกเขานำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่นั้นก็อาจหมายถึง..สงคราม

       “ ซาอิด.. ”เสียงเรียกทำให้เขาต้องรีบขานรับ บาซิกค์หันเสี้ยวหน้าของตัวเองกลับคืนดังเดิม ร่างสูงสง่าค่อยๆเดินกลับออกไปจากประตูทางเข้า ทว่ากลับไม่ลืมทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้เป็นประโยคที่ตอบคำถามที่ค้างคาอยู่ในหัวใจอันบอบช้ำ


          “ กฏของเทพนาคินไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้ว่าใครจะเป็นโอรสหรือพระธิดาของพระองค์ก็ไม่มีสิทธิ์.. ”





            ‘กระบองเพรช ’พรรณไม้ยืนต้นใจกลางทะเลทราย มีหนามอันแหลมคมแทนใบและช่วยป้องกันตัวเองจากสิ่งรอบข้าง แต่สิ่งที่ทุกๆสายพันธุ์มีเหมือนกันก็คือ ความทานทนต่อสภาพภูมิอากาศอันร้อนอบอ้าว แต่อย่างไรต่อให้ต้นกระบองเพรชต้นนั้นจะสามารถยืนได้ในทะเลทรายอันร้อนระอุ แต่กลับกัน หากต้นไม้ต้นนั้นกลับไปอยู่ในที่ๆมันไม่สมควรจะเติบโต ต่อให้เป็นต้นกระบองเพรชที่อดทนมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถงอกงามในที่ที่หนาวเหน็บได้ มนุษย์เราก็เช่นกัน..ที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ว่าที่แห่งใดเป็นที่เราไม่สมควรจะอยู่..



            หลังจากตื่นขึ้นมาเผชิญโลกที่ไม่ต้องการเพียงไม่นาน ดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างอีกครั้งเมื่อเหล่าบรรดาบริวารขององค์ชายบาฮาลกำลังรุมล้อม ภาพอันน่าสยดสยองที่เพิ่งพบเจอก็หวนคืนมาจนสติสัมปชัญญะที่เคยควบคุมไว้ได้ทุกครั้งกลับมิอาจหลอมรวมมาได้อีกต่อไปดั่งแก้วที่แตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ



          ไม่มีอีกแล้วคนที่เคยเข้มแข็ง



          ไม่มีอีกแล้วคนที่เคยเชื่อมั่นในตัวเอง



          มีแต่ความสูญสลายของหัวใจจนบ้าคลั่งและความขยะแขยงเกลียดชังในร่างกายของตัวเองที่พูนล้นเสียจนรู้สึกอยากจะลอกผิวหนังของตัวเองออกมาล้าง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เพียงดิ้นทุรนอยู่บนเตียง ทั้งแขนละขาก็ถูกมัดด้วยโซ่หนักๆ เลือดสีเข้มไหลยังคงออกจากแผลถลอกบนข้อมือจนแดงก่ำ ความเจ็บปวดกลายเป็นความด้านชาจากหัวใจที่ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว บางทีความตายยังคงทรมานน้อยกว่าสิ่งที่เป็น



          “ ออกไปห่างๆฉัน! ” เป็นอีกครั้งที่เสียงร้องอย่างบ้าคลั่งหลุดออกมาจากริมฝีปากที่แห้งผาก ผ้าผ่อนที่ใกล้ตัวถูกใช้เป็นอาวุธขว้างปาอย่างไม่สนใจหลังจากที่มีคนพยายามเข้าไปใกล้ ก่อนจะใช้ส้นเท้ายันร่างกายของตัวเองให้ถอยชิดกับหัวเตียงด้วยความหวาดกลัว ผมเผ้าสีบลอนด์ยุ่งเหยิง ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนแห้งเกอะกรัง เสียงสะอื้นดังพร้อมกับร่างกายที่ขัดขืน



          “ อย่าเข้ามา ฮึก  อย่าเข้ามา!!”

          องค์ชายบาฮาลส่ายใบหน้า มองสภาพของเด็กหนุ่มตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากลูกสุนัขจนตรอกที่พยายามกัดฟันขู่ข่มความตื่นกลัวของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยปากสั่งให้บริวารในอาณัติพยายามเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มอีกครั้งเพื่อหวังจะเช็ดตัวและรักษาบาดแผล แต่ไม่ทันไรถูกร่างเล็กสะบัดทุกสิ่งทุกอย่างออกจากตัวจนถาดน้ำที่ถือหกเมระนาดอยู่เต็มพื้น เสื้อผ้าที่สั่งมาให้ผลัดเปลี่ยนก็กระจัดกระจาย ภาพที่เห็นทำความความอดทนที่มีอยู่อย่างจำกัดของบาฮาลขาดสะบั้น



            “ พอสักที!! ” ตวาดเสียงแข็งจนทุกคนในห้องถึงกับสะดุ้งตกใจ มิกิพยายามยันตัวชิดหัวเตียงมาขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาซุกลงไปที่หัวเข่า มือก็ยกขึ้นปิดหูทั้งสองข้างราวกับไม่ต้องการรับรู้สิ่งใด เปลือกตาปิดแน่น แต่น้ำตาก็ยังไหลลงมาไม่ขาดสาย ภาพที่เห็นสร้างความหงุดหงิดให้กับองค์ชายบาฮาลยิ่งนัก



            “ เจ้าอยากตายนักใช่ไหม ได้!! ข้าจะฆ่าเจ้าเอง ” โผตัวขึ้นมาบนเตียงกระชากท่อนแขนที่บอบบางอย่างรุนแรง ร่างเล็กล้มพับมิอาจขัดขืน กายกำยำขึ้นทาบทับคร่อมอยู่เหนือคนที่พูดไม่รู้เรื่อง มือหนาทั้งสองข้างออกแรงบีบลงบนลำคอเล็กที่เปราะบางราวกับกิ่งไม้หมายจะให้สิ้นใจตายดังคำปรารถนาของร่างตรงหนาด้วยใบหน้าดุดันโหดเหี้ยม แต่เพราะเหตุใดยิ่งเห็นใบหน้าที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่กลับทำมห้รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ ทั้งที่เขาเป็นนักรบ และการพรากชีวิตใครสักคนนับเป็นเรื่องปกติสำหรับชีวิตคนอย่างเขา ทว่า..ดวงตาที่คลอฉ่ำด้วยหยาดน้ำใสๆกลับทำให้หัวใจสั่นคลอน ซึ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและวอนขอ แต่ทั้งหมดหาใช่การร้องขอชีวิตอย่างที่เขาเคยพบไม่ หากเป็นดวงตาของคนที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป



         มันสิ้นหวัง.. และปวดร้าว ยากเกินจะเข้าใจ



          หยาดน้ำตาเย็นชื้นไหลหยดลงบนหลังมือ สัมผัสนั้นทำเอาการกระทำหยุดอันโหดร้ายชะงักดั่งต้องมนต์ สายลมค่ำคืนพัดกลิ่นหอมหวนของกายบางข้างใต้โชยฟรุ้งขึ้นมาที่ปลายจมูกโด่งสัน มือแกร่งที่กดลงลงไปบนลำคอขาวค่อยๆผละออก ดวงตาสีกรมที่มองร่างของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความสับสน แต่ชั่วครู่หนึ่งที่เห็นรอยแดงบนลำคอ ความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามาจนหัวใจสะดุด ก่อนจะคืนสติแล้วรีบลุกขึ้นออกจากเตียง



          พอได้อิสระ มิกิรีบเอามือกุมลำคอแล้วโก่งตัวไอออกมาอย่างหนัก แล้วขวนขวายหาอากาศอย่างตะกละตะกลาม ใบหน้าหวานซบลงบนเตียงขาวอย่างหมดอาลัยในชีวิต มือเรียวขย้ำผ้าปูที่นอนจนยับย่น ดวงตาสีมรกตช่ำคลอด้วยหยาดน้ำตาที่ยังคงอาบลงมาเรื่อยๆ เสียงแห่บพร่าของคนใกล้หมดเรี่ยวแรงนั้นยิ่งฟังก็ยิ่งน่าสงสารยิ่ง



            “ ฆ่าฉันสิ..ฆ่าฉันที… ”

            บาฮาลมองภาพของคนที่ไร้ซึ่งกำลังแล้วสะเทือนใจยิ่งนัก เขาอยากจะรู้จริงๆว่าท่านพี่ของเขาต้องการจะทำสิ่งใดกับร่างของเด็กหนุ่มผู้นี้กันแน่ กลิ่นรักรัญจวนที่เชิญชวนออกมาจากร่างนี้ คงไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ราชาบาซิกค์เก็บมิกิเอาไว้เป็นของเล่น แต่กว่าจะถึงเวลาที่ความต้องการแท้จริงจะปรากฏ เขาเกรงว่าร่างเล็กๆร่างนี้ อาจจะแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงก่อนจะถึงวันนั้น แต่ไม่ทันได้คิดอะไรไปไกลเสียงประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ แต่ก็ดังพอจะทำให้องค์ชายแห่งอนาคานหันหลังกลับไปพบผู้มาเยือนได้



            “ เจ้ายังไม่ได้นอนกับเขาอีกหรือ.. ” ประโยคเรียบๆทักขึ้นอย่างคุ้นเคย แต่น้ำเสียงเย็นเยือกแสดงถึงความไร้หัวใจ ดวงตาสีเหลืองทองเบนสายตามองร่างบอบบางที่นอนหันแผ่นหลังให้แน่นิ่ง รอยยิ้มดูแคลนกระตุกบนมุมปากสวยราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าสนุก



            “ หึ ข้าไม่ยักรู้ว่า นักรบที่ฆ่าคนมาแล้วนับพันอย่างเจ้า จะเอาเด็กผู้ชายคนเดียวไม่ลง ”คำพุดที่กล่าวเป็นเชิงดูแคลน ทำให้ผู้เป็นน้องรู้สึกบาดลึกเข้าไปที่หัวใจ อย่างไรทั้งหมดก็เป็นความจริงอย่างที่ร่างตรงหน้าพูด เขาไม่แน่ใจนักว่าที่เขาไม่สามารถนั่นเป็นเพราะกลิ่นชวนลุ่มหลงนั่น หรือเป็นเพราะหัวใจตัวเองกันแน่



            “ ท่านพี่ร่างกายของเขามัน.. ” ไม่ทันได้เอ่ยจนจบประโยค เพียงพริบตาราชาบาซิกค์ก็นั่งลงข้างขอบเตียง มืออันแข็งแกร่งช้อนร่างบอบบางที่นอนนิ่งไร้แรงขัดขืนมาไว้ในอ้อมแขนทรงอำนาจ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงไปใกล้ จมูกโด่งสันสูดดมกลิ่นกายอันปรารถนาจากลำคอที่แดงก่ำอย่างพึ่งพอใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมองรอยแผลจากคมเขี้ยวที่เขาเป็นฝากฝั่งไว้บนร่าง กระทั้งริมฝีปากบางจรดจุมพิตลงบนแผลแผ่วเบาราวกับต้องการปลอบขวัญ ความรู้สึกแปลกประหลาดเย็นวาบนี้ทำให้ร่างที่ได้รับแอบหลุกเสียงครางต่ำในลำคอ ก่อนดวงตาคมกริบจะย้ายมาทางผู้เป็นน้องชาย



            “หอมใช่ไหมบาฮาล..”  บาซิกค์คลี่เย็นเยียบ องค์ชายบาฮาลยืนนิ่งงันเงียบกริบไม่กล้าเอ่ยพูดสิ่งใด แต่สิ่งที่ตอบสนองแทน กลับเป็นแรงมือของคนในอ้อมแขนที่พยายามยันแผงอกกว้างนั้นให้ถ้อยห่างออกจากตัวด้วยความรังเกียจ



            “ ปล่อยนะงูโสโครก!! โอ้ย!”

           อ้อมแขนที่โอบอุ้มปล่อยออก ร่างเล็กกระแทกลงกับเตียง ความเจ็บปวดที่ได้รับทั้งร่างกายและจิตใจ มิอาจทำให้เรี่ยวแรงไม่มีมากพอจะลุกขึ้นยืนขัดขืนอย่างเช่นเคย มิกินอนนิ่ง ระบายความเจ็บปวดจากมือที่กำผ้าปูที่ชื้นช่ำจนแน่น อยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาให้ไหลหยดอีกต่อไป บาซิกค์มองสภาพคนที่ไร้ทางสู้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย



            “ ข้าให้เวลาเจ้าเพิ่มแล้วกันบาฮาล เพื่อพิสูจน์เหตุผลของข้าด้วยตัวเจ้าเอง ” กระตุกยิ้มปรายตาหันมามองผู้เป็นน้องชายด้วยสีหน้าที่มิอาจคาดเดาความคิด



           “ไอสารเลว..” เสียงรอดไร้ฟันที่กัดแน่นด้วยความคับแค้นจากร่างเบื้องล่างที่นอนนิ่ง บาซิกค์ปรายตาลงมองอย่างให้ความสนใจ มือใหญ่บีบลงข้างแก้มขาวซูบตอบดูอ่อนแอ ใบหน้าหวานถูกบังคับให้หันมาเผชิญกับคนที่เพิ่งถูกต่อว่า แต่หาได้แสดงความรู้สึกใดๆไม่ เว้นแต่ดวงตาสีมรกตที่ยังคงเผยถึงความต่อต้าน ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากจะเอาชนะดวงตาคู่นี้ อยากจะเป็นเจ้าของที่ครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว กระนั้นกลีบปากอุ่นร้อนจึงบดเบียบสั่งสอนลงไปยังริมฝีปากที่แห้งผากของอีกฝ่าย รสหวานช่ำในโพรงปากปานน้ำผึ้งนี้ยิ่งกลืนกิน ก็ยิ่งกระหายจนยากจะฉุดรั้ง การกระทำอันฉาบฉวยที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทำเอาองค์ชายแห่งอนาคานมิอาจทนมอง รีบเบนสายตาหลีกเลี่ยง ขณะที่หัวใจกลับเต้นระส่ำ คล้ายกับกำลังบีบตัวจนรู้สึกเจ็บแปลกๆทั้งๆที่ไม่ควรจะเป็น ก่อนเสียงเย็นจะพูดขึ้นอีกครั้ง


         “ ปิดปากเขาบ่อยๆ..ข้าไม่ชอบให้เอะอะเสียงดัง” ประโยคสุดท้ายทิ้งเอาไว้ พร้อมกับร่างที่ถูกสูบเรี่ยวแรงจนล้มลงบนเตียง บาฮาลมองร่างที่หอบหายใจรวยรินอย่างหดหู่ แต่เขากลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้แม้แต้จะร้องขอ ดวงตาสีกรมหันมามองผู้เป็นพี่ชาย แต่มีเพียงสีหน้าที่เย็นชาเท่านั้นแทนคำตอบทุกอย่าง ก่อนมือเรียวจะตบลงบนบ่ากว้างของเขาเบาๆ แล้วก้าวเดินออกไปจากห้อง

         หากคำถามหนึ่งยังคงไม่คลี่คลายลงไป แต่เพื่อพิสูนจ์ทุกสิ่งและเข้าใจเหตุผลนั่นเขาเป็นจำเป็นจะต้องนอนกับเด็กคนนี้จริงๆน่ะหรือ เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ…





        ทันทีเสียงประตูปิดลงไปพร้อมกับผู้ปกครองอนาคาน องค์ชายบาฮาลถึงกับถอนหายใจ น่าแปลกที่ตลอดทั้งชีวิตเขาไม่เคยรู้สึกอึดอัดและแรงกดดันจากพี่ชายเลยสักครั้ง ถึงจะพบเห็นความโหดร้ายมากมายจนชินชา แต่ทำไมครั้งนี้ทำไมเขาถึงได้โล่งอกนักที่องค์ราชาปล่อยร่างนี้ให้เขาจัดการแทนที่จะเป็นตัวเอง



          ดวงเนตรสีเข้มเปลี่ยนมามองร่างที่เป็นเจ้าของเรื่องน่าหนักใจ กายบางสะอื้นฮัก แต่กลับไม่มีน้ำใสๆไหลลงมาจากขอบตาอีกแล้ว ร่างอันซูบผอมคดตัวงอลงบนเตียง มือทั้งสองกอดเข่าของตัวเองเอาว่าราวกับมันเป็นที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวที่จะสามารถช่วยพาหใความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้ไปได้



           องค์ชายบาฮาลนั่งลงข้างขอบเตียง มองเรือนร่างอันบอบช้ำก็สะเทือนใจยิ่งนัก แต่คนที่เป็นนักรบอย่างเขาก็ไม่เคยคิดที่จะปลอบใจผู้ใดมาก่อน หากหัวใจกลับสั่งให้เขาควรยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนดวงหน้าหวานนั่น



            ทว่า..เพียงแค่เอื้อมมือออกไปไม่ทันได้ถึงดังใจ พริบตาเดียวก็ถูกฝ่ามือเล็กของอีกฝ่ายตวัดข่วนเข้าที่ใบหน้าจนสะบัดเป็นรอยแดงยาว การจู่โจมโดยไม่คาดคิดทำให้



            “ไองูวิปริต! ”  เสียงสบถดังขึ้นแข็งกร้าว พวกบริวารเห็นผู้เป็นเจ้าชีวิตผู้ทำร้าย ก็คิดจะเข้ามาจัดการให้หลาบจำ แต่องค์ชายบาฮาลกลับเผยมือข้างหนึ่งห้ามกล่าวเสียงดุดัน



            “ไม่ต้อง! ” สิ้นเสียงตวาดดังความเงียบเชียบข้าปกคลุมจนได้ยินเพียงแค่เสียงหอบหายใจของร่างตรงหน้า องค์ชายบาฮาลยกมือขึ้นกุมใบหน้าของตัวเอง ดวงตาคู่เข้มหรี่ลงมองคนที่กล้าลองดี แต่กลับไม่ได้โกรธเคืองอย่างที่ควรจะเป็น หรืออาจเป็นเพราะเรี่ยวแรงที่ลอบทำร้ายนั้นไม่ทำให้เขารู้สึกระคายเลยสักนิด เทียบกับพวกแมวยังเจ็บเสียยิ่งกว่า ก่อนองค์ชายแห่งอนาคานจะเอ่ยไล่



           “พวกเจ้าออกไปให้หมด”
          บริวารทั้งหมดต่างก้มหัวรับคำสั่ง เพียงเวลาไม่กี่วินาทีก็หายออกไปจากห้องอย่ารวดเร็ว เหลือเพียงเด็กหนุ่มเลือดผสม กับองค์ชายนักรบ



            บาฮาลผละมือออกจาใบหน้าของตัวเอง พลางถอนหายใจออกมาอีกครั้ง พยายามคิดหาวิธีการพูดคุยกับร่างตรงหน้าที่ไม่รู้จักสถานะตัวเองอย่างสันติที่สุด



             “อยากได้อิสระงั้นหรือ” ประโยคที่เอ่ยออกมาอย่างตรงใจ มิกิเบิกตากว้างไม่คาดคิด รู้สึกไม่เข้าใจเท่าไรเท่าไรนักในสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็มิกล้าถามออกไปตรงๆ



            บาฮาล ฮอร์น ซัลคาฟาลุกขึ้นยืนเหยีดตัวตรงตามความสูง มือแกร่งจับชักดาบเล่มหนาประจำกายขึ้นจากบั้นเอว ดาบสีเงินเงางามถูกชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ สะท้อนออกมาเป็นภาพของเด็กหนุ่มทาสั่นผวา ทว่า..ไม่ทันที่เสียงร้องใดๆจะเปล่งออกมา ดาบนั่นก็ฟาดฟันลงมาฉับพลัน!



            เพล๊ง!



          เสี้ยววินาทีที่คิดว่าสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่กลับไม่ปรากฏความเจ็บปวดบนร่างกาย ดวงตาที่ปิดแน่นมิยอมรับภาพโหดร้ายค่อยๆลืมขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ เมื่อพบว่าตัวเองยังมีลมหายใจก็รีบเงยใบหน้าขึ้นมองร่างสูงกำยำที่ฟันดาบลงมา



         “หนีไปสิ..” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นราบเรียบแต่สัมผัสได้ถึงความห่วงใย ดวงตากลมสวยมองที่ข้อมือของตัวเองที่มือน้ำหนักเบาลง และพบว่าโซ่ที่มัดเขาไว้ได้หลุดออกไปจนหมดด้วยคมดาบ ก่อนจะสลับสายตามาที่องค์ชายแห่งอนาคาน



          “ข้าจะบอกท่านพี่ว่า เจ้าหนีไประหว่างตอนที่ข้านอนหลับ” กล่าวจบร่างสูงใหญ่ก็ทำท่าเหมือนจะเดินหนีเขาออกไปข้างนอก แต่คนที่ได้รับการช่วยเหลือกลับไม่เชื่อใจง่ายๆ



           “อย่ามาหลอกฉัน! ” เสียงแข็งกร้าวนั้นทำเอาฝีเท้าผงะ หันมามองคนที่ยังนั่งนิ้งงันอยู่บนเตียง



            “นายก็รู้อยู่แก่ใจ..เมืองนรกนี่มันไร้ทางหนี..ฮึก..นายจะส่งฉันไปตายข้างนอกใช่ไหม.. ทำไมล่ะ ตัวฉันมันน่าสมเพชเกินกว่านายจะลงมือฆ่าเองนักหรือไง!”  เตบ็งเสียงทั้งที่สั่นคลอ ดวงตาสีสวยเริ่มร้อนผะผ่าว คลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆ “ ชีวิตฉันต่อจากนี้จะไปไหนก็คงไม่รอด .. เพราะร่างกายฉัน ร่างกายของฉันมัน..” ข้อความบางอย่างกลืนกายไปในลำคอ มิกิโอบกอดตัวเองเอาไว้แน่นให้ความอบอุ่น หยาดน้ำใสไหลอาบรดบนผ้าปูเตียวสีขาวจนชื้อช่ำ แม้จะพยายามเม้มปากสะกัดกลั้นเสียงสะอื้นอันน่าอับอายของตัวเองก็ก็ไม่อาจฝืนความทุกข์ทนเกินจะแบกรับนี้ได้



             “ ถ้าเจ้ายังมีเวลามานั่งร้องไห้ ก็ช่วยรีบไส้หัวไปตายไกลๆสายตาข้าได้แล้วทางทิศตะวันตกของวังมีม้าข้าผูกอยู่ เจ้าใช้มันพาเจ้าไปจากที่นี่ได้” แม้จะคำพูดเย็นโหดร้ายที่ไม่น่าฟังนักจะเอ่ยออกมา แต่มิกิกลับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเท่าไร เพราะทั้งหมดเหมือนบาฮาลต้องการจะช่วยเหลือเขา



           “ทำไม..”

           เสียงนั้นเอ่ยแผ่วเบาลงราวกระซิบ ดวงตาคู่สวยมองชายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่ยิ่งมองนานเท่าไร เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างออกอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบชายผู้นั้น แม้สายลมยามรัตติกาลจะพัดโชยแพรผมยาวสลวยของสายเลือดเดียวกัน ทว่าดวงตาสีกรมเข้มกลับมีแต่ความซื่อตรงตามการกระทำ หาได้เหมือนกับแววตาที่มีเพียงความเลือดเย็นและโหดเหี้ยมผู้ปกครองแห่งอนาคานไม่



          ไม่มีรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่เพียงชั่ววูบ..มิกิกลับสายตาเลื่อนลอยราวกับถูกต้องมนต์ ร่างสูงโปร่งของผู้เป็นองค์ชายก้าวเดินมาใกล้ขึ้น แล้วนั่งลงหยุดอยู่ตรงหน้าเพียงแค่เอื้อม สายลมยามค่ำคืนหนาวเหน็บโชยพัดเข้าเอื่อยแผ่ว จนจมูกโด่งสวยได้กลิ่นหอมอ่อนๆของบุปผางามขจรขจายอบอวลจากร่างบอบบาง มืออันแข็งแกร่งสัมผัสลงบนข้างแก้มขาวทั้งสองข้าง ดวงตาสีกรมจ้องมองลึกลงไปราวกับกำลังดึดดูดเขาเข้าสู่หุบเหวดำมืด ใบหน้าคมเข้มเคลื่อนเข้าไปใกล้เรื่อยๆ จนลมหายใจอุ่นๆผ่อนรดรูปหน้างดงาม ริมฝีปากบางเผยอขึ้นคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงเปล่งออกมาเลยสักนิด

         “ เพราะเจ้าคือ..”

         ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นดั่งร่ายเวทย์มนต์ มิกิไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองเลยสักนิด คล้ายกับหัวใจกำลังถูกสะกดให้ลุ่มหลง ริมฝีปากของนักรบนั่นเคลื่อนลงมาใกล้จนแทบจะประกบชิด ใบหน้าที่คมคายช่างเข้ากับสีผิวที่คล้ำเข้มอย่างน่าเกรงขาม เสียงทุ้มแห่บพร่านั่นเอ่ยแผ่วเบา แต่กลับกึกก้องในหูจนจดจำ ก่อนดวงกลมจะหลับลงราวกับพร้อมกับสิ่งที่กำลังเผชิญต่อไป..

         “ ตัวอันตราย..มิกิ ”

 







           อีกมุมหนึ่ง บนปลายเสาหินอ่อนภายในห้องบรรทมขององค์ชายบาฮาล ดวงตาเรียวยาวของอสรพิษขาวสลับทองดุจทรายกำลังฉายภาพของบุคคลที่แอบซุ่มดูเหตุการณ์ให้กับใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของราชาอสรพิษ งูดำตัวหนึ่งเคลื่อนขึ้นมาพันรอบท่อนแขนทรงอำนาจ และชูคอขึ่นแผ่ความโอหังอยู่ในระดับสายตา แต่หาได้สร้างความหวาดกลัวได้ไม่



            ราชาบาซิกค์เท้าท่อนแขนลงไปกับที่ขอบวางพระหัตถ์บนบัลลังก์แล้วเอนศีรษะลงไป ส่วนอีกข้างที่อสรพิษทำพัวพันก็ยกขึ้นนิ่ง ดวงคมที่เต็มไปด้วยอำนาจมากล้นหรี่ลงราวกับกำลังออกคำสั่งงูตัวนั้นให้เลื้อยออกไปนอนที่ตัก ก่อนจะใช้ฝ่ามือลูบหัวมันเบาๆด้วยความเอ็นดู



           “ บาฮาล..ข้าควรเอาชีวิตเจ้าหรือไม่ ” เสียงนั้นแผ่วเบาเกินกว่าใครจะได้ยิน สีหน้าที่เรียบเฉยยังคงแสดงออกมาอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่ดวงตาสีอำพันกลับแอบมีประกายสั่นไหว เมื่อนึกเหตุการณ์ครั้งในอดีต



           เปลวไฟ..



           เสียงกรีดร้อง..



           อสรพิษ..



          และเลือด..



          ทั้งหมดคือวงจรที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง..เป็นวงจรของการเป็นเทพนาคิน..องค์ถัดไป



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 6]UP 3/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 03-08-2015 18:28:47
สนุกอ่ะ ชอบๆ >O<
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 6]UP 3/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 03-08-2015 20:01:02
ยอมรับว่ามีปัญหากับชื่อนิดหน่อย จำชื่อสลับอ่ะ
แต่เนื้อเรื่องเราชอบมาก น่าติดตามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 6]UP 3/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 04-08-2015 19:32:37
ลึกลับซับซ้อนจริงๆ
บาฮาลเป็นพระเอกหรอ?
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 6]UP 3/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 04-08-2015 21:37:50
ใครกันน้าที่เป็นพระเอก :katai4:  เชียร์บาฮาลแป๊บ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 7]UP 4/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 04-08-2015 22:29:42
 ค่ำคืนที่ 7 : อนาคาน Part 1

      หากจะกล่าวถึง ‘ซาคาเดียร์’ ที่เทียบเคียงกับอนาคานแล้ว ซาคาเดียร์เป็นนครเมืองที่ยิ่งใหญ่กว่าอนาคานมากนัก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกจากใจกลางทะเลทรายฮาซาน แต่ซาคาเดียร์มิอาจเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นประเทศ เพราะซาคาเดียร์กลับปกปิดตัวเองด้วยการรวมแผ่นดินกับประเทศซีเรีย แล้วแทนที่การปกครองตนเองด้วยเครื่องบรรณาการ เช่นทองคำ เพรช พลอย


     สิ่งที่ซาคาเดียร์มีเช่นเดียวกับอนาคานก็คือการผสมผสานอารายธรรมโบราณกับเทคโนโลยีบางส่วนที่รับเข้ามาได้อย่างลงตัว อีกทั้งเคร่งครัดในลัทธิบูชาเทพนาคินเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ทั่วทั้งเมืองจึงเต็มไปด้วยรูปปั้นสลักงู และรูปภาพที่แสดงถึงความเคารพบูชางูให้เป็นเสมือนพระเจ้าของพวกเขา เหล่านี้คือออนุสรณ์สำคัญของชาวเมืองซาคาเดียร์ เป็นวิถีชีวิต...แม้วัฒนธรรมการแต่งกายจะรับมาจากภายนอก แต่ก็มิอาจดึงหัวใจที่ภักดีของชาวเมืองในชาติกำเนิดให้คล้อยตามได้


      ว่ากันว่า..เหตุผลที่อนาคานและซาคาเดียร์ ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่ควรจะเป็น เพราะความขัดแย้งภายในที่ไม่ลงตัวในอดีต แต่แท้จริงแล้ว..ความเที่ยงตรงที่เกิดขึ้นในตำนานก็คือ..อนาคาน และ ซาคาเดียร์ เปรียบเสมือน กายเนื้อ และ จิตวิญญาณที่แยกออกจากกันของเทพนาคิน.
 

     อนาคานคือ กายเนื้อ..


     ซาคาเดียร์คือ จิตวิญญาณ..

 
      เมื่อนำสองสิ่งนี้มารวมกันจะก่อเป็นชีวิตแห่งนาคิน หรือราเมียร์ที่ถือกำเนิดใหม่ ทว่า..กายเนื้อก็เป็นเพียงกายเนื้อ หาได้เป็นเจ้าของชีวิตไม่ ซาคาเดียร์ผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณ จึงเป็นผู้มีสิทธิ์ในการถือครองผู้กำเนิดใหม่ และกายเนื้อที่มอบให้จะต้องสูญสิ้นให้แก่จิตวิญญาณ


      นั่น..เป็นเหตุผลว่าทำไมอนาคานจึงดูไร้ซึ่งอำนาจมากนัก ทั้งหมดคือกฏ..กฏเพื่อทำให้เกิดความสมดุลย์ในโลกมนุษย์ แม้อนาคานจะมีโอรสเทพนาคินปกครอง แต่ก็หาใช่เทพนาคินโดยสมบูรณ์ จนกว่าจะถึง ฤดูกาล ‘เก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย’ เมื่อนั้นโอรสเทพนาคินจะต้องเลือกคู่ครอง เพื่อให้กำเนิดเทพนาคินองค์ใหม่ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปในกฏก็คือ..พวกเขาจะต้องมอบอำนาจทั้งหมดที่มี

 
      ทั้งกายเนื้อ …

 
      และจิตวิญญาณ …

 
      สู่ ‘หัวใจ’ ของโอรส หรือธิดาแห่งเทพนาคิน..


     สายลมร้อนพรายพัดเม็ดทรายล่องลอยจนเห็นเป็นม่านสีทองบางเบาดูแล้วราวกับกำลังจะห่อหุ้มสถานที่ที่อยู่ตรงหน้า เส้นผมสีเทาดำใต้กุห์ตราไหวไปตามลมเอื่อยแผ่ว นัยน์ตาสีครามดุจท้องฟ้าเปิดโล่งทอดมองยังประตูเมืองอันยิ่งใหญ่ของซาคาเดียร์ การมาเยือนอย่างเร่งด่วนของหัวหน้าราชบริวารแห่งอนาคานตามรับสั่งของเจ้าปกครองชีวิต ทำให้ซาคาเดียร์มิอาจเตรียมการต้อนรับได้อย่างสมเกียรติเท่าไรนัก แต่กระนั้นร่างสูงของชายหนุ่มผู้นำคณะบริวารกลับไม่ได้อึดอัดใจ รอยยิ้มบางเบายังคงประดับไว้บนใบหน้าคมเข้มอย่างเช่นเคย เท้าแกร่งเดาะลงเบาๆยังสัตว์สี่เท้าที่มีโหนกสูงพูนกลางหลังเพื่อกระตุ้นให้มันเคลื่อนที่นำขบวนผู้ติดตามให้เข้าไปยังซาคาเดียร์

 
      ‘คิเมดาร์ เอบี รามุน’ ราชีนีผู้ปกครองนครแห่งซาคาเดียร์เพียงหนึ่งเดียว นางมีทรวดทรงอรชร เพรียวบาง และดวงตาของนางพญาที่เปล่งประกายดงามดุจทับทิมสีชมพู และว่ากันว่าใบหน้าของนางช่างสะสวยปานเทวีวีนัส จนต้องปิดบังด้วยผ้าทองคำไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อบดบังจิตใจมิให้ลุ่มหลง


      ราชีนีคิเมดาร์พอทราบข่าวการมาเยือนของหัวหน้าราชบริวารแห่งอนาคาน ที่เดินทางมาอย่างเร่งด่วนตามรับสั่งขององค์ราชาแห่งอนาคานถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่กำลังมาเยือน นางก็รีบลุดตัวออกจากบัลลังก์มาต้อนรับด้วยตนเองในทันที แต่เมื่อฟังเรื่องราวจากปากหัวหน้าราชบริวารหนุ่มแล้ว แม้ใบหน้างดงามเสมือนทวยเทพจุตินั่นจะถูกปกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ทว่าดวงตาที่เคยเปล่งประกายเป็นสีชมพูอ่อนแต่กลับวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธ ถึงท่าทีที่จะแสดงออกจะดูสงบนิ่ง แต่ก็ไม่พ้นสายตาของราชบริวารหนุ่มจะดูออก พอปรายตามองลงเบื้องล่างก็พบพระหัตถ์เรียวที่กำลังกำแน่น และคงไม่พ้นว่าอยากจะตะโกนออกมาว่า ‘บังอาจ’ เป็นแน่ แต่ด้วยศักดิ์ที่เท่าเทียมกันทำให้นางต้องรั้งอารมณ์เอาไว้ แล้วปรับน้ำเสียงให้นิ่งสงบที่สุด


        “ องค์ราชาบาซิกค์ ทำเช่นนี้ไม่เป็นการหยามกฏบรรพบุรุษของเทพนาคินไปหน่อยหรือ  ฤดูกาลเก็บเกี่ยวใช่ว่าจะเกิดขึ้นทุกราตรีกาล หากเลื่อนออกไป ทั้งซาคาเดียร์และอนาคานต้องนับก้าวใหม่ไปอีกยาวไกลนัก ผู้คนจะเริ่มล้มตาย..ขณะที่การกำเนิดใหม่จะไม่ปรากฏขึ้น ข้าหวังว่าองค์ราชาบาซิกค์ จะมีเหตุผลพอกับการปฏิเสธที่ไม่ส่งชาวอนาคานมายังซาคาเดียร์ เพียงเพราะความหวาดกลัวของตัวเองหรอกนะ”  สุรเสียงเรียบนิ่งนั้นแฝงไว้ด้วยความดูแคลนอีกฝ่าย หัวหน้าราชบริวารหนุ่มทำเพียงคลี่ยิ้มก่อนเอ่ยตอบความจริงอย่างสุภาพ


       “ องค์ราชีนีอย่าทรงเข้าพระทัยองค์ราชาผิดเลยพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นานพระองค์จะทรงเป็นเทพนาคินโดยสมบูรณ์ ทรงมิได้หวาดกลัวเรื่องใด”


       “ เช่นนั้น..เหตุผลขององค์ราชาของเจ้าคือสิ่งใด ”

       พอได้ยินคำถามกับสีหน้าที่คาดคั้นเอาคำตอบด้วยความสงสัย ซาอิดรีบนำขวดแก้วที่องค์ราชาบาซิกค์มอบให้ขึ้นมาจากกระเป๋าด้านข้าง ก่อนจะมอบให้แด่องค์ราชีนี


       “ องค์ราชาทรงนำสิ่งนี้ให้กระหม่อมมอบให้พ่ะย่ะค่ะ ” ขวดแก้วที่บรรจุของเหลวสีแดงถูกยื่นให้แก่ผู้ปกครองซาคาเดียร์ ดวงตาคู่สวยหรี่ลงด้วยความสงสัย


       “ องค์ราชาตรัสว่า..นี่คือเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ” มือเรียวสวยยื่นออกรับ ก่อนจะชูขวดแก้วให้ส่องกระทบกับแสงอาทิตย์ที่ลอดส่อง ประกายแสงสีแดงเข้มของสิ่งที่อยู่ด้านในทำให้ต้องขมวดคิ้วลงอย่างใคร่รู้ กระนั้นจึงเปิดจุกที่ปิดออก กลิ่นหอมหวนของบุปผชาติโบราณโชยเข้าจมูกโด่งสวย ฉับพลับใบหน้างดงามดุจเทวีก็นิ่วลงทันที

 
        “ อนาคานกำลังเล่นตลกกับซาดาเดียร์ด้วยสิ่งนี้งั้นหรือ ” น้ำเสียงนั่นฟังดูแข็งกร้าวขึ้น แรงกดดันจากสีหน้าท่าทางของผู้ปกครองซาคาเดียร์ทำให้เหล่าบริวารกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ทว่ากลับไม่ระคายชายหนุ่มผู้เป็นตัวแทนแห่งอนาคานเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงโปร่งก้มศีรษะลงเคารพตามธรรมเนียม ก่อนรอยยิ้มบางเบาจะประดับไว้บนใบหน้าให้คลายความตึงเครียด หากในสายตาของคิเมดาห์องค์ราชีนีแห่งซาคาเดียร์กลับน่าหงุดหงิดยิ่ง


        “ หน้าที่ของกระหม่อมมาเพื่อส่งสารเพียงเท่านั้น เรื่องอื่นกระหม่อมไม่ทราบคำตอบ..หากไม่มีสิ่งใดแล้วกระหม่อมทูลลากลับอนาคานพ่ะย่ะค่ะ ”

 
        “ เจ้าเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อย พักที่สักคืนแล้วค่อยกลับ หวังว่าเจ้าคงเหลือเกียรติให้ซาคาเดียร์” ด้วยความที่เป็นราชีนีแห่งซาคาเดียร์จึงกล่าวเชิญชวนด้วยน้ำเสียงทียั่วยวนให้อยู่ต่อ แต่ซาอิดกลับฉลาดกว่าที่นางคิดไว้มากนัก

 
        “ กระหม่อมปราบปลื้มในพระกรุณาขององค์ราชีนียิ่ง..แต่กระหม่อมก็มิอาจขัดพระบัญชาขององค์ราชาแห่งอนาคานได้เช่นกัน ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ”หัวหน้าราชบริวารหนุ่มโค้งเคารพกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนวล ก่อนสั่งให้บริวารออกเดินทางกลับอนาคานในทันที หลังจากที่ซาอิดพ้นประตูวังออกไปแล้ว ความอดทนก็สิ้นสุดลง คิเมดาร์ อารี รามุน องค์ราชีนีแห่งซาคาเดียร์กลับไปนั่งบนบัลลังก์ของตัวเอง จ้องมองของเหลวสีแดงเข้มในมืออย่างพินิจ หากสารที่ส่งมาเธอคิดไม่ผิดพลาด..นั้นแปลว่าลูกงูตัวเล็กๆกำลังหาหนทางเอาตัวรอด แต่อย่างไร ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของอสรพิษที่แข็งแรงกว่า และย้ำถึงความจริงที่ว่า..


         ธรรมชาติไม่เคยเลือกเหยื่อ..


         ถ้างูจะกินงูด้วยกันก็คง ไม่ใช่เรื่องแปลก...

 
         “ จงไปสืบเรื่องนี้ที่อนาคาน และทำในสิ่งที่ควรต้องทำ ” สุรเสียงเรียบเย็นเอ่ยบัญชา ขวดแก้วถูกโยนให้ร่างเงาดำด้านหลังเสาสลักอสรพิษ รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าที่งามงามปานเทพเทวี แท้จริงแล้วหรือเป็นปีศาจร้ายกาจที่แสนน่ากลัว..

 



 

       ตึก..


       ตึก..

 

      เสียงหัวใจเต้นสั่นระรัวดั่งกลองรบ เสียงกรีดร้องของผู้คนกึกก้องใบหู ในห้วงความคิดรอบด้านปรากฏเพียงความมืดมิดเป็นเพื่อนข้างกาย..แสนหนาวเหน็บ..แสนเยือกเย็น จนถึงกระดูกขาวโพลนที่สั่นสะท้าน ทว่า..ฉับพลับกลับมีแสงสีแดงฉานเฉิดฉายขึ้นมาเต็มสองดวงตา สัมผัสร้อนระอุมอดไหม้ราวกับไฟนรกโลกันต์ท่วมล้นไปทั่วร่างกาย

 
      มันเจ็บปวด..

 
      และแสบร้อน..

 
      ร้อนเสียจนเหมือนร่างกายเปราะบางนี้กำลังลอกไหม้..ความทรมาณปานวิญญาณกำลังแผดเผานี้ มันแสบร้อนไล่ซึมไปถึงทุกอนูในร่างกาย แรงกดดันมหาศาลไหลล้นเข้าราวกับมันกำลังบดขยี้กระดูกขาวๆในเรือนร่างนี้ให้แตกละเอียดเป็นผุยผง

 
      เจ้าคือโอรสเทพนาคิน...

 
      เจ้าคือโอรสเทพนาคิน.....


      เสียงแหบพร่าดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวจนแทบคลั่ง ภาพพิธีกรรมอันแสนโหดร้ายที่มิอยากจดจำกลับมาปรากฏเด่นชัดเต็มสองดวงตาอีกครั้ง

 
       ร่างสงบนิ่งสองร่างเป็นเครื่องสังเวยถูกวางไว้บนโต๊ะไม้ที่ทอดยาว ทว่าความสยดสยองไม่ใช่เพียงร่างที่ไร้วิญญาณ แต่เป็นผิวหนังที่ถูกถลกออกตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะจนไม่อาจมีส่วนไหนเรียกว่ากายเนื้อห่อหุ้ม เนื้อสีแดงสดและเส้นเอ็นที่ฉีกขาดยังคงเต้นไหวตุบๆ ราวกับมันกำลังกรีดร้องความเจ็บปวด เลือดสีเข้มยังคงไหลท่วมล้นออกจากร่างที่สิ้นลมหายใจเสมือนต้องการย้อมโต๊ะไม้นี้ให้ชุ่มช่ไปด้วยน้ำสีแดงฉาน และกลิ่นคาวคลุ้งที่ตลบอบอวลเสียจนชวนอาเจียน


       เด็กชายบริสุทธิ์ในชุดเสื้อคลุมทองคำทอง บนศีรษะเล็กมีรัดเกล้ารูปอสรพิษแผ่แม่เบี้ยแสดงความองอาจอยู่ด้านบน เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่จัดไว้สำหรับเสวยเครื่องสังเวย แต่ใบหน้าหมดจดนั่นแสดงออกอย่างไม่ยอมรับกับสิ่งที่อยู่ในจานกระเบื้องของตนเอง เมื่อเห็นผิวหนังสีแดงสดถูกกองพับเอาไว้ราวกับผ้าในจาน แค่เห็นก็อาเจียนออกมาจนมิอาจกลั้น ทว่า..แรงกดดันมหาศาลจากเงาดำที่ครอบคลุมการกระทำอยู่ด้านหลัง ทำให้มือเล็กๆต้องหยิบยกผิวหนังอันน่าขยะแขยงนั้นขึ้นมาจรดริมฝีปาก หยาดเลือดสีแดงสดไหลลงจากท่อนแขนขาวหยดลงสู่พื้น กระนั้นใบหน้าของเด็กน้อยมิอาจทนรับไหว หยาดน้ำตาไหลอาบลงมาจากขอบตาที่ร้อนผ่าวเพื่อระบายความโหดร้าย แต่กลับถูกความเจ็บปวดไหลแทรกเข้ามาที่กลางแผ่นหลังจนต้องร้องโหยหวญทันทีเหล็กที่เผาไฟจนร้อนฉ่ากดลงมา ทว่ากลับไม่ได้ช่วยให้วงจรทารุณนี้หลุดพ้นแต่อย่างใด เพราะยิ่งกรีดร้องมากเท่าใด..ก็ยิ่งตอกย้ำการกระทำที่มิอาจเรียกว่ามนุษย์ได้ทุกค่ำคืน

        จนกว่า..ผิวหนังในจานจะกลืนลงไปในท้องของเด็กชายจนหมด..

 
        แม้อาเจียนก็ต้องเก็บมันเข้าไปใหม่..


        แม้เน่าเปื่อย..ก็ต้องฝืนทน


        เช่นนี้ทุกค่ำคืน..


        จะไม่มีความเสียใจ แม้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองจะสิ้น..


        จะไม่มีความเจ็บปวด แม้ว่าความตายจะเฉือนเนื้อหัวใจให้ขาดสะบั้น..


        ทั้งหมด เพื่ออำนาจ และดวงตาของเทพนาคิน


       ‘ เนื้อหนัง ที่เต็มไปด้วยอำนาจสืบทอด ของพระบิดาและมารดาของเจ้า..


        จงเสวยมันเข้าไป..บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา โอรสแห่งเทพนาคิน! ’

 
      !!!

 
      ดวงตาสีเข้มผุดขึ้นมาห้วงภวังค์อันมืดมิดโดยฉับพลัน ภาพความจริงปรากฏขึ้นแทนความฝัน หยาดเหงื่อประพรมทั่วดวงหน้างดงามและเรือนร่างที่เปลือยเปล่า แผ่นอกกว้างผายยกขึ้นลงด้วยความเหนื่อยหอบ เสียงลมหายใจที่ผ่อนออกมาอย่างแรงนั้นแสดงถึงความตึงงเครียดในจิตใจ ครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ความฝันในวัยเด็กรุมเข้ามาในหัว บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา ยันกายลุกขึ้นจากเตียงบรรทม ก่อนจะพลิกตัวมานั่งที่ขอบเตียง มือแกร่งยกขึ้นเสยเส้นผมสีราตรีกาลที่ปรกใบหน้าไปด้านหลัง แต่สัมผัสเย็นชื้นจากสิ่งๆหนึ่งที่ฝ่ามือทำให้เขาชะงักงัน พอหงายมองก็พบหยดน้ำใสๆที่กำลังร่วงหยดลงมาอีกครั้ง

 
       ความรู้สึกที่ขาดหาย..

       ความรู้สึกที่แสดงถึงชีวิต..

       มันกำลังไหลลงมาจากขอบตาทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัว

 
       บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา ตกใจกับบางสิ่งที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของตัวเอง เขาลืมไปแล้วความเสียใจคืออะไร และลืมความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้นเพื่อการเป็นเทพนาคินที่สมบูรณ์ แต่แท้จริงเขามิอาจลบเลือนความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจตัวเองได้เลย เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เพราะครึ่งหนึ่งของนาคิน นั่นคือมนุษย์ มีความคิด และหาใช่สัตว์ป่าที่ทำตามเพียงสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียวไม่

 
       บางทีความกดดันที่แบกรับไว้ตลอดมา แม้จะทำให้ร่างกายของชายผู้นี้แข็งแกร่ง..แต่ไฉนเลยน้ำตากลับไหลออกมาแทนคำตอบทุกอย่าง หรือทั้งหมดแท้จริงแล้ว กฏของเทพนาคินที่สมบูรณ์เป็นเพียงแค่ฉากบังหน้าที่ปกปิดจุดอ่อนของตัวเองที่ว่า พวกเขามัน...

 
      อ่อนแอ...

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 7]UP 4/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 04-08-2015 22:30:24

ค่ำคืนที่ 7 : อนาคาน  Part จบ

       อาทิตย์สดใสทอแสงอยู่เหนือราชวังแห่งอนาคาน เป็นเวลากว่า 3 วันแล้วที่มิกิถูกขังอยู่ในห้องบรรทมขององค์ชายบาฮาล แม้สามวันมานี้ร่างสูงจะไม่ได้มาพักที่ห้องของตัวเองเพราะเห็นแก่เขา แต่อิสระที่ได้รับเพียงน้อยนิดก็ไม่คลายให้หายอึดอัด ถึงการกระทำที่ตอบสนองกลับมาจะทำให้เขารู้แน่ชัดว่าองค์ชายบาฮาลมีนิสัยที่ต่างจากพี่ชายราวฟ้าเหว ซึ่งนั่นทำให้เกิดความเชื่อใจอยู่ในระดับหนึ่งแต่ก็ยังไม่มากพอที่ปักใจเชื่อไปทุกสิ่ง จนกว่าเขาจะได้รับอสิระอย่างแท้จริง

 
       แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น เขาจำเป็นจะต้องมีร่างกายที่กลับมาแข็งแรงเหมือนเก่าด้วย เสื้อผ้าอย่างดีตามแบบฉบับของชาวอาหรับชั้นสูงถูกยกมาให้ผลัดเปลี่ยน อาหารมากมายครบสามมื้อถูกยกมาเพื่อสนองความหิวในท้องน้อยๆของเด็กหนุ่ม แต่โดยส่วนใหญ่แล้วอาหารในแถบพื้นที่คงไม่มีอะไรมากมายนักนอกจาก พวกแผ่นแป้ง ซุปและผลไม้ คงไม่มีอาหารจำพวกแบบที่เขาชอบอย่างเช่นสปาเก็ตตี้เหมือนอย่างที่เคยทานเท่าไร แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่เรื่องมากอะไรนัก หน้ำซ้ำการสั่งให้บริวารมาปรณนิบัติเขาอย่างดีก็ทำอดแปลกใจจนอึดอัดไม่ได้ ทั้งที่ตอนแรกปฏิบัติกับเขาอย่างกับเป็นพวกนักโทษในเรือนจำ บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่เป็นการขุนหมูให้อ้วนก่อนนำไปเชือดหรือเปล่า

 
        คำถามนี้เขาอยากจะแกล้งถามบาฮาลให้เข้าใจเหมือนกัน แต่พอนึกถึงร่างสูงกำยำขึ้นมาแล้ว เรื่องเมื่อคืนก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที ใบหน้าคมเข้มนั้นใกล้เพียงเอื้อม ลมหายใจอุ่นๆไหลรดไปทั่วแก้ม ดวงตาคมสีกรมเข้มยิ่งมองก็ยิ่งดึงดูดหัวใจของเขาให้เข้าไปในหุบเหวลึก


        ช่วงเวลาหนึ่งเขากลับรู้สึกบังคับตัวเองไม่ได้แม้แต่จะเพียงคิด เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกำลังสะกดการกระทำของเขาให้ลุ่มหลงจนมิอาจถอนตัว ริมฝีปากของชายผู้นั้นทำให้ดวงใจเต้นระส่ำ ทันทีเคลื่อนเข้ามาใกล้จนแทบแนบประชิดกัน ร่างแกร่งก็เหมือนดึงสติกลับคืนมาได้ทัน ก่อนที่เจ้าตัวจะผลักเขาออกแล้วรีบหนีออกไปจากห้อง ทิ้งไว้แค่ความงุนงงของคนที่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

 
       ทีแรกเขาคิดว่าทั้งหมด อาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าของร่างกาย และจิตใจที่อ่อนแอของตัวเอง แต่เขาว่าคงไม่ใช่แบบนั้นแน่ อย่างไรถึงจะแน่ใจว่า เซรุ่มจากดอกเพเซียจะทำให้ตัวเขามีฟีโรโมนที่ดึงดูดพวก(มนุษย์)งู แต่เขาว่ามันไม่น่าจะดึงดูดให้เขาลุ่มหลงไปกับมันด้วย

 
       สิ่งที่เขาสงสัยก็คือ..ตั้งแต่วันนั้น เขาก็ไม่พบหน้าของราชาบาซิกค์อีกเลย ถึงจะไม่อยากนึกคนโหดร้ายพรรณนั้น แต่ก็อดสงสัยเป็นไม่ได้ว่าเขากำลังวางแผนทำสิ่งใดต่อ อีกทั้งตอนนี้คำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบก็มีอยู่เต็มหัว เพราะตั้งแต่เขาถูกนำตัวมาที่อนาคาน เขากลับไม่ทราบเรื่องราวของเมืองลึกลับนี้เลยแม้แต่น้อย แถมข้อมูลที่พอจะจำได้ก็ไม่ได้ประโยชน์เลยสักนิด ในห้องก็ไม่มีหนังสือให้อ่าน โทรทัศน์วิทยุ อินเตอร์เน็ตก็ไม่มี ราวกับเมืองแห่งนี้ต้องการจะตัดขาดออกจากสังคมโลก ครั้นจะเอ่ยปากถามบาฮาลออกไปตรงๆเกี่ยวกับเมืองก็คงไม่ได้รับคำตอบที่ตรงใจ เขาจึงได้แต่กินๆนอนๆอยู่ในห้องไปวันๆ

 
        กระทั่งความเบื่อกัดกินเต็มพิกัด จึงรีบย้ายร่างกายที่ไร้ซึ่งการพันธนาการใดๆ เดินออกไปชะโงกหน้ารับลมร้อนอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาสีมรกตเป็นประวับวามมองนครเมืองแห่งอนาคานที่ทอดยาวออกไปอย่างหลงใหล ซึ่งจากมุมนี้ทำให้เห็นได้กว้างไกลนัก

 
        เนื่องจากราชวังอนาคานตั้งตระหง่านอยู่สูงสุดของพื้นที่ ทำให้เมืองด้านล่างมองออกเป็นที่ราบชันไล่ระดับกันลงไปราวกับบรรไดทราย บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำด้วยดินทรายเนื้อผสมที่มีลักษณะยกขึ้นจากพื้นคล้ายกับตึก เพียงแต่เจาะบานประตูและหน้าตาเอาไว้เป็นโพรงคล้ายกับถ้ำในเมืองโบราณ บริเวณตามแยกมีเสาหินที่สลักเป็นรูปงูเอาไว้มากมายที่กำลังทำกิริยาต่างๆ เช่นขดตัว แผ่แม่เบี้ย หรือแม้กระทั้งกำลังรักเหยื่อที่เป็นเทพธิดา


        ความจริงแล้วอนาคานเป็นเมืองที่น่าค้นหามาก ถ้าเกิดเขาเป็นนักโบราณคดีไม่ใช่นักชีววิทยาคงได้ลุ่มหลงจนงอหัวไม่ขึ้น แต่คำว่า ‘โบราณ’ ฟังยังไงก็ไม่เหมาะกับเขาอยู่ดี และคงเลวร้ายสำหรับเขามากที่ต้องอยู่ในเมืองของ(มนุษย์)งูไปทั้งชีวิต เขาคงเป็นบ้าตายเข้าสักวัน แม้ที่นี่จะมีความเจริญในระดับหนึ่ง แต่อยู่ในเกณฑ์ที่อาจจะเรียกได้ว่าด้อยพัฒนาไปสักนิด ถึงแม้จากวันที่หนีครานั้น ภายในเมืองเงียบเหงาราวกับเมืองร้าง แต่ตอนนี้กลับมีผู้คนและรถจิ๊บคันเล็กๆเริ่มสันจรไปมาบ้าง แต่มันก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้อยู่ดี ว่าราชาบาซิกค์ทำสิ่งใดบ้างในการปกครองบ้านเมืองนอกจากการบังคับขู่เข็นจิตใจเขาเล่น และอีกอย่างที่สงสัยก็คือ..

 
         ภายในเมืองนี้เขาแทบไม่เห็นผู้หญิงเลยสักคน หรืออาจเป็นเพราะราชาของที่นี่ไม่โปรด ผู้หญิง..?

 
        “ อยากออกไปข้างนอกงั้นหรือ ” เสียงทุ้มเข้มคุ้นเคยดังขึ้นแทรกในห้วงความคิด เด็กหนุ่มผินใบหน้าหันกลับมอง ก่อนจะหลบสายตามองพื้นด้วยความรู้สึกที่ไม่แน่ใจนักว่าควรไว้ใจร่างตรงหน้าดีไม่


      “ คืนนี้ ฉันจะไปจากที่นี่ ” แต่สุดท้ายก็ขยับปากเอื้อนเอ่ยสิ่งที่กำลังคิดออกมา ถึงน้ำเสียงนั้นจะเบาหวิวไม่หนักแน่นเพราะความกังวล แต่บาฮาลกลับไม่คิดคิดใจอะไรนัก ก่อนเขายื่นสิ่งหนึ่งทีพกติดมาด้วยให้


       “ เช่นนั้นเจ้าควรทำสิ่งนี้ไปด้วย ”

       เด็กหนุ่มสองสายเลือดกระพริบตาปริบๆ มองผ้าคลุมที่ถักทอด้วยผ้าที่เป็นเกล็ดมันเลื่อมสีดำราวกับเกล็ดของงู มิกิเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่เข้าใจ


        “ มันคืออะไร ” 


       “ คลุมมันไว้ มันจะกลบกลิ่นของเจ้า ” บาฮาลกล่าวด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งเหมือนเช่นเคย ก่อนจะรีบหันตัวออกไป แต่ทำไมพอเห็นการกระทำขององค์ชายนักรบตรงหน้าแล้ว มันกลับทำให้อดที่อมยิ้มเป็นไม่ได้ และเขาก็ไม่ใช่คนใจร้ายที่จะเฉยเมยกับการกระทำที่หวังดี


        “ บาฮาล.. ” เสียงเรียกนั้นทำให้เท้าแกร่งหยุกชะงัด เสี้ยวใบหน้าคมเข้มหันมองอย่างคาใจ

 
        “ ขอบคุณ.. ” คำเพียงสั้นๆ เอ่ยพร้อมกับดวงหน้าหวานที่ปรับรอยยิ้มบางเบา แต่กลับหวานละมุนจนหัวใจที่เงียบสงบสะดุดขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ บาฮาลกระแอ่มไอหนึ่งครั้งเพื่อเรียกความคิดของตัวกลับมาก่อนจะเตลิดไปไกล

 
        “ เจ้าควรรีบไสหัวไป ตั้งแต่คืนก่อน ” แม้คำพูดนั้นจะไม่น่าฟังเท่าไร แต่กลับบ่งบอกความเป็นตัวตนขององค์ชายแห่งอนาคานได้อย่างดิบดี ถึงเสียงประตูห้องจะปิดลงไปแล้ว แต่มิกิไม่อาจหุบยิ้มได้ จะว่าขบขันก็ว่าใช่ จะว่ามองดูน่ารักก็ไม่เลว แต่ว่ามันคงดีกว่าถ้าทุกคนที่ปฏิบัติดีกับเขาอย่างเช่นบาฮาล ทว่า..พอคิดเช่นนั้นแล้วใบหน้าที่แสนเย็นชาของใครคนนั้นก็ผุดขึ้นมาให้หดหู่หัวใจ มิกิกำผ้าคลุมเกล็ดงูมือของตัวเองแน่น อย่างไรวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะอยู่ที่นี่..

 



        ตะวันลาลับ ค่ำคืนหนาวเหน็บเข้าย่ำเยือน สายลมราตรีโชยผ้าม่านโบกสะบัด มิกิหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงดาวทอประกายระยับบนผืนนภาสีดำสนิท แสงจันทร์ที่สาดส่องต้องนครเมืองแห่งอนาคาน มองดูแล้วช่างเป็นภาพที่ธรรมชาติรังสรรค์ได้อย่างงดงาม ซึ่งเขาจะขอเลือกจำจดแต่ภาพอันแสนวิจิตรของที่นี้ไว้ในจิตใจ แต่ในส่วนที่เลวร้ายจะขอลบเลือนให้หมดสิ้น อิสระภาพรอคอยอยู่เบื้องหน้า นกน้อยในกรงขังสีทองเตรียมจะโผบิน

 
        มิกิหลับตาลงถอนหายใจยาว เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมกับการหลบหนี หลังจากที่วัดความเชื่อขององค์ชายบาฮาลเป็นเวลาสามวัน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกระทำอีกครั้ง ถึงจากบทเรียนครั้งแรกนั้นจะแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่อย่างไรเขาก็ยังมีลมหายใจ แม้เขาจะไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมบาฮาลถึงอยากให้เขาไปจากที่นี่นัก แต่ก็ไม่เคยคิดจะถามเพื่อเพิ่มความปวดหัวให้ตัวเอง ตอนนี้สิ่งเดียวที่รู้อยู่ก็คือ ที่เขายังไม่ตายเพราะเซรุ่มที่ฉีดเขาไปในร่างกาย แต่อย่างไรยานั้นจะต้องมีวันหมดอายุ ทางเลือกจึงมีอยู่ไม่มากสำหรับเขา แต่ถ้าให้ต้องนอนทนรอความตายอย่างเดียว คงไม่ใช่ คิโนมุระ มิกิ คนนี้แน่ พอคิดได้กระนั้นหัวใจก็กลับมามีความหวังอีกครั้ง

 
        มิกิชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดโล่งพลันมองลู่ทางที่ใช้ในการหลบหนีอย่างละเอียดถี่ถ้วน บริเวณด้านล่างปลอดคน..ทั้งควรจะเต็มไปด้วยทหารเฝ้ายาม แต่ทั้งหมดอาจเป็นเพราะคำสั่งจากองค์ชายบาฮาลที่ล่อลวงออกไปทางอื่น เมื่อพื้นที่ด้านปลอดภัย มิกิก็รีบนำเชือกที่ร่างสูงแอบนำมาให้ที่ซ่อนไว้อยู่ใต้เตียงออกมาผูกไว้กับขาเตียงด้วยเงื่อนตาย ก่อนจะโยนเชือกออกนอกต่างต่างสู่พื้นเบื้องล่าง


        การหลบหนีในรูปแบบเดิมนั้นทำเอาร่างบางเริ่มรู้สึกหวั่นๆ แต่คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้มากนัก เพราะเขาถูกสั่งขังให้อยู่แต่ในห้องบรรทมขององค์ชายบาฮาล ฉะนั้นการเดินออกไปอย่างปกตินั้นจึงลืมไปได้เลย


        มิกิสะบัดไล่ความคิดไร้สาระของตัวเอง ก็จะโหนเชือกลงมาจากทางหน้าต่างขององค์ชายบาฮาลอย่างเงียบเชียบที่สุดโดยที่ไม่ลืมคลุมผ้าเกล็ดงูเพื่อกลบกลิ่น


       ทันทีเท้าติดพื้นความรู้สึกโล่งใจก็เข้ามาเปราะหนึ่ง แต่ตราบใดที่ยังไม่พ้นจากเมืองแห่งนี้เขาจะไว้ใจอะไม่ได้อย่างเด็ดขาด ร่างบางรีบแอบซุกตัวอยู่หลังพุ่มไม้ริมทางเดินหินอ่อน เหงื่อไคเริ่มไหลประพรมบ่งบอกถึงความตึงเครียดที่กดดัน เขาพยายามมองพวกทหารอีกครั้ง ก่อนจะเบิกตากว้างตกใจเมื่อทหารนายหนึ่งกำลังเดินเข้ามา

       มิกิรีบลดตัวต่ำแทบจะติดดิน เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนถึงระยะของตัวเอง ร่างเล็กพยายามกลั้นเสียงลมหายใจและไม่ขยับตัวเพื่อให้รู้ถึงความผิดปกติ แต่ก็ไม่อาจลอดพ้นสายตาของทหารขี้สงสัยได้เมื่อเห็นเงาตะครุ่มอยู่หลังพุ่มไม้

       ทหารยามเดินเข้ามาใก้ลขึ้นอย่างสงสัย มือยื่นออกไปหวังจะแหวกพุ่มไม้ออกเพื่อหาสิ่งที่อยู่ด้านใน ขณะที่มิกิได้แต่ปิดตาแน่น หัวใจเต้นโครมครามราวกบมันจะทะลุออกมาด้านนอก


      มือนั้นเอื้อมเข้ามาใกล้จนสัมปลายเส้นผมสีบรอนด์ของตัวเอง.. มิกิก็หัวใจหล่นวูบ!

 
      “ เจ้ากำลังทำสิ่งใด ” สุรเสียงดุดันทำมือนั้นถึงกับชะงักงัน ทหารหนุ่มรีบขานรับก้มถวายเคารพผู้สูงศักดิ์อย่างหวาดกลัว

 
       “ ราชาบาซิกค์จะทรงออกจากห้องประทับแล้ว ไยพวกเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่อีก ”

 
      “ กระหม่อมขออภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่มาเดินตรวจดูความเรียบร้อย ก่อนเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ ” ทหารหนุ่มกล่าวอย่างเลิ่กลั่ก


       “ บังอาจ! ข้าไม่มีเวลามาฟังเจ้าแก้ตัว รีบเข้าไปด้านในเดี๋ยวนี้” สิ้นเสียงตวาท ทหารนายนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปทันที มิกิถอนหายใจโล่งอก ทันทีที่เห็นผู้ที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ


       “ เจ้าจะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม ข้าชักเริ่มไม่ได้แน่ใจว่าเจ้าอยากจะกลับจริงหรือเปล่า ” ไม่ปล่อยให้เสียเวลานาน องค์ชายบาฮาลกล่าวเสียงดุใส่คนที่ยังคงแอบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ ก่อนจะสาวเท้านำไป ร่างเล็กกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ก่อนจะรีบตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปทันที


        บริเวณท้ายราชวังของอนาคานเป็นคอกม้าและอูฐที่ไว้สำหรับเป็นสัตว์พาหนะในการเดินทางระยะใกล้ๆ ซึ่งเวลานี้ไม่มีคนคอยควบคุมดูแล องค์ชายบาฮาลเลือกอาชาที่ดูเชื่องที่สุดให้แก่มิกิ ถึงเขาจะเคยขี่ม้ามาบ้างในสมัยตอนเด็กๆ แต่ใช่ว่าเขาจะขี่มันเป็น มิหิหน้าเสียทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องขี่ม้าตัวนี้หนีออกไปจากเมืองเพียงลำพัง


      “ จะไม่ไปส่งหน่อยเหรอ ” พอได้ยินคำถามสิ้นคิด ดวงตาสีกรมก็ตวัดขวับทันที จนร่างเล็กสะดุ้งตกใจ

 
       “ เจ้าขี่ไม่เป็นหรือ ” เสียงเข้มพูดถามขึ้น มิกิพยักหน้ารับอย่างอายๆ บาฮาลถอนหายใจ

 
       “ ไม่มีเวลาแล้ว.. ”


        “ จะ ทำอะไรน่ะ อุบบ..” ลืมตัวจนโวยวายส่งเสียงดัง แต่ไม่ทันไรร่างสูงก็เข้ามาประชิดติดตัว ก่อนฝ่ามือหนาจะตรงเข้าปิดปากนั่นให้เงียบสนิท และเพียงพริบตามือใหญ่โอบอุ้มกายบางขึ้นไปอยู่บนหลังม้าอย่างง่ายดายราวกับเขาน้ำหนักเบาอย่างกับเด็กๆ

       มิกิกระพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนเด็กนน้อยที่กำลังถูกคุณพ่อสอนขี่ม้า

 
      “ จับบังเหียนให้มั่น เดาะเท้าเบาๆค่อยๆบังคับมัน ” บาฮาลกล่าวเรียบพลางรีบขัดท่วงท่าให้เขาเสร็จสรรจโดยไม่สนใจว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ ริมฝีปากบางกำลังจะเผยอพูดโต้เถียง แต่คนตัวสูงกลับเขย่งตัวคล้องกระบอกน้ำเข้าที่ลำคอของเขาแทน

 
      “ นี่คือน้ำ ข้าไม่อยากให้เจ้าตายก่อนจะได้เจอเมืองอื่น ” น้ำเสียงนั้นแม้จะฟังดูแข้งกร้าว แต่กลับแฝงไว้ด้วยความห่วงใยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว แม้จะเพียงระยะเวลาสั้นๆแต่เขากลับโกหกตัวเองไม่ได้เขาไม่ได้สนใจร่างตรงหน้า ซึ่งทั้งหมดมันไม่ได้มาจากกลิ่นกายของบุปผชาติที่มิกิมี

 
        “ ขอบคุณ.. ” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา แต่ดังก้องยิ่งนัก ความรู้สึกลึกๆในใจที่เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันปรากฏขึ้น แต่ด้วยเหตุจำเป็นเขาก็เข้าใจดีว่าจะปล่อยให้ร่างงามยังอยู่ที่นี่ไม่ได้ ทั้งหมดอาจไม่เป็นผลดีต่ออนาคาน เพราะถ้าหากเขาคาดเดาเรื่องทั้งหมดไม่ผิดพลาด พี่ชายของเขาคงต้องการจะใช้มิกิเป็นเครื่องมือบางอย่างเป็นแน่ และนั่นไม่ได้หมายถึงอันตรายเฉพาะอนาคาน แต่จะเป็นตัวของเด็กหนุ่มเองด้วย เขาได้แต่หวังว่า เมื่อกาลเวลาผ่านเลยไป และพรมหลิขิตมีจริง พวกเขาอาจจะได้พบกันอีก


            “ ไปซะ.. ”


            เพี๊ยะ!


            สิ้นเสียงฝ่ามือที่ตบลงยังปั้นท้ายของสัตว์พาหนะ อาชาสีเข้มก็พุ่งทยานไปทันที มิกิรีบก้มตัวจับบังเหียนม้าไว้แน่นโดยฉับพลัน เองค์ชายบาฮาลแอบคลี่ยยิ้มโดนไม่รู้ตัว แล้วมองผ่นหลังเล็กก็กำลังจากไปไกลเรื่อยๆ แต่ทำไมหัวใจของเขากลับรู้สึกเย็นวาบเหมือนกำลังจะขาดใจ


            องค์ชายบาฮาลหลับตาลง กลืนน้ำลายลงคอราวกับต้องการลืมเรื่องทุกสิ่ง ก่อนจะตื่นขึ้นมาปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด เพราะคิดว่าหลังจากองค์ราชาทราบเรื่องนี้แล้ว จะต้องทรงกริ้วเป็นแน่  แต่กว่าจะถึงช่วงเวลานั้นเขาหวังให้มิกิออกพ้นสู่ประตูเมืองแห่งทะเลทราย เพราะการสั่งให้ตามหาในทะเลทรายนั้น ยากยิ่งกว่าการงมเข็มจากมหาสมุทร..

 
         

            เสียงควบม้ายังคงดังไม่หยุดหย่อน สายลมเย็นกระทบเข้าใบหน้า เส้นผมสีอ่อนพริ้วไสวไปตามแรงวิ่ง ร่างบนหลังม้าเกร๊งจนตัวแข็งเพราะกลัวจะพรัดตก แต่กระก็พยายามเงยหน้ามองหนทาง มิกิขบกรามแน่นสะกัดกั้นความความกลัว อีกเพียงไม่กี่อึดใจก็จะพ้นประตูเมืองแห่งอนาคานที่ไร้ซึ่งผู้คน และทันทีเท้าแรกของสัตว์พาหนะ เหยียบย่ำลงผืนทรายเย็นตาด้านนอก หัวใจก็ผองโตขึ้นทันที เมื่อนกน้อยกำลังอิสระภาพกลับคืนสู่ผืนฟ้าสีคราม

 
            ทว่า..นกน้อยที่ลืมตัวว่าถูกตีตราจอง ขนปีกที่ถูกถอนออกจนหมดทำอย่างไรก็ไม่อาจหวนคืนอยู่ท้องฟ้าได้ ฝากระบอกน้ำที่แขว้นไว้อยู่ที่ลำคอค่อยๆแง้มเปิดออกด้วยแรงดันจากภายใน เงาดำพาดยาวค่อยๆเลื้อยขึ้นออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว ดวงตาอสรพิษสีดำกลมเกลี้ยงราวกับลูกแก้ว มองท่อนแขนที่ถูกปกคลุมด้วยผ้าชั้นดี ลิ้นสองแฉกผุดออกมาสำรวจพื้นที่


            พ้นประตูเมืองมาได้ไม่นานนัก มิกิเริ่มสัมผัสได้ถึงน้ำหนักแปลกประหลาดที่เริ่มมากขึ้นบริเวณลำคอของตัวเองจนอึดอัด ก่อนการเคลื่อนไหวบีบรัด จะบดเบียดลงมาอย่างหนักที่ลำคอของตัวเองจนหายใจติดขัด แต่ทันทีที่พบสิ่งแปลกปลอม นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างอย่างตกใจ อสรพิษสีดำขนาดเกือบเท่าท่อนแขนชูคคอปรากฏกายเลื้อยออกมาจากกระบอกน้ำที่บาฮาลเป็นคนมอบให้ ทันใดหัวใจดวงน้อยก็แทบหยุดเต้น มือเผลอละออกจากบังเหียนโดยฉับพลัน อาชาไร้การควบคุม ร่างกายก็มิอาจทรงตัวได้ ร่างเล็กพลัดตกลงจากหลังม้า แรงวิ่งทำให้ร่างของเขาต้องกลิ้งตลบคลุกไปผืนทรายละเอียดจนเจ็บแสบไปทั่วผิวกาย ความจุกแน่นไหลท่วมล้นไปทั้วทั้งแผ่นอก ขณะที่ลมหายใจที่เคยมีกลับเริ่มจางหายเพราะแรงที่บีบรัดที่ต้นคอ

 
           ร่างเล็กดิ้นทุรนอยู่กับผืนทราย มือเรียวพยายามแกะการพันธนาการที่กำลังพรากชีวิตนี้ออกไปจากตัวจนสีหน้าก่ำแดงใกล้ขาดใจ น้ำตาเริ่มคลอล้นออกมาจากริมขอบตาอีกครั้ง แต่ทั้งหมดไม่ได้มาจากความเจ็บปวดทางกาย แต่เป็นจิตใจที่คาดคิดว่าจะโดนหักหลัง


            อสรพิษตามสำนวนภาษา ก็ไม่ควรไว้ใจ


            เขาควรท่องคำนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ..


            อย่างไรซะเขาก็เพิ่งเข้าใจเหตุผลของบาฮาล แท้จริงแล้วที่บอกว่าให้รีบไปจากอนาคานก็ไม่ได้หมายถึงการจากไปแบบมีชีวิต เพราะถ้าเขาเป็นตัวปัญหาจริง การฆ่าให้ตายนั้นเป็นเรื่องง่ายกว่าการปล่อยให้มีชีวิตรอดเป็นแน่ เพียงคิดแค่นั้นก็หลับตาลงยอมรับชะตากรรมอันโหดร้ายของตัวเอง


            มิกิไร้เรี่ยวร่างจะขัดขืนอีกต่อไป ทิ้งร่างกายนอนนิ่ง ดวงตางดงามเงยมองดวงดาราเปล่งประกายท่ามกลางท้องฟ้าราตรี ความสวยงามและสงบสุขนี้ แม้จะสิ้นใจทั้งแบบนี้ก็ไม่รู้สึกเสียใจอีกแล้ว..

 
            เพราะบนโลกใบนี้ไม่เหลืออีกแล้ว คนที่ไว้ใจ

 
            ไม่เหลืออีกแล้วคนที่รักคน

 
            ต่อให้เอ่ยลาก็ไม่มีใครอยากจะฟัง..

 
            ดวงตาคู่สวยใกล้ปิดลง ลมหายใจเฮือกสุดท้ายกำลังขาดหายไป สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือ เงาดำสูงใหญ่คร่อมกาย เสียงนุ่มลึกนั่งฟังแล้วราวกับยมฑูตที่ลงมารับ

 

            ดวงวิญญาณ..

 
            “ กลับบ้านกันเถอะ ”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 7]UP 4/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 04-08-2015 22:57:17
เอ๊ะใครนะ ฝ่าบาทแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 7]UP 4/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Serioz ที่ 05-08-2015 00:43:04
อ่านแล้วลุ้นมากเอาใจช่วยมิกิสุดๆ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 7]UP 4/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 05-08-2015 02:42:04
สนุกมากๆและเศร้าเช่นกัน  สงสารมิกิ :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 7]UP 4/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 05-08-2015 13:52:02
มิกิ~~~~ 

ใครมาช่วยยยน้ออ  :hao4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 06-08-2015 19:44:41
           
ค่ำคืนที่ 8 : ล่าม Part 1



             อิสระภาพ...


             ความหวัง...


            ความโหยหาจากดวงใจของนกตัวน้อยที่อยากจะหวนคืนสู่ท้องฟ้าอันกว้างไกล ซึ่งมีดวงตะวันส่องแสงเจิดจรัสนำทางไป สายลมจะโอบล้อมร่างกายให้ได้สัมผัสถึงอิสระภาพที่ไหลผ่านไปตามปลายนิ้ว ทว่า..ทั้งหมดเป็นเพียงภาพเลือนรางในห้วงความฝันที่แสนหวานช่ำ


           ไม่มีปีกที่ใช้โผบิน..


          ไม่มีท้องฟ้าที่กว้างไกล..


          มีเพียงแค่กรงขังสีทองที่ต้องทุกข์ทนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

         
         หลังจากที่พยายามกลับสู่บ้านเกิดอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วแผนทั้งหมดกลับพังไม่เป็นท่า เด็กหนุ่มที่บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ถูกลากตัวกลับมาที่ราชวังแห่งอนาคานอีกครั้ง แสงไฟที่สว่างไสวของราชวัง อาจมองดูแล้วเหมือนกับปราสาทสวรรค์ หากในความเป็นจริงไม่ต่างอะไรนักจากกรงขัง

     
          ตั้งแต่ความหวังถูกทำลายไป ในสายตาของเขา ภาพทุกอย่างก็เลื่อนลอยไปหมด จากนัยน์ตาดุจแสงมรกตกลับว่างเปล่าราวกับคนที่ไม่อยากจะรับรู้สิ่งใด กำแพงหนาแน่นก่อตัวขึ้นในจิตใจ หลังจากที่โดนทำลายความเชื่อใจจนย่อยยับ ขณะที่หัวใจก็เหมือนโดนทำร้ายอย่างเจ็บช้ำจนมิอาจจะคาดหวังสิ่งใดได้อีก บทเรียนอันแสนทรมาณนี้ทำให้เขาต้องจดจำไปชั่วชีวิต..


         อยากจะร้องไห้ ให้ความรู้สึกที่กำลังจุกแน่นที่แผ่นอกระบายออกมา แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาเลยสักหยด อย่างไรจะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ นอกจากตัวเขาเองที่โง่งม และสมควรแล้วที่ทั้งหมดกลายเป็นเช่นนี้


        ตอนนี้สิ่งเดียวที่กำลังตอกย้ำถึงความจริงก็มีเพียงเสียงลมหายใจ ขณะที่ร่างกายรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยดั่งไร้เรี่ยวแรง มีเพียงสัมผัสอบอุ่นที่แผ่นหลังราวกับกำลังโอบอุ้มด้วยอ้อมแขนอันแข็งแกร่ง สายตาเบื้องหน้าเป็นแผ่นอกที่ผายกว้างสวยงามด้วยกล้ามเนื้อสมชายหนุ่ม อยากจะเอื้อมมือไปสัมผัส ผิวเนื้อขาวละเอียดนั่น ฟังเสียงหัวใจที่ร้อนลุ่มอยู่ในกายว่าจะดังเช่นเดียวกันกับเขาหรือไม่ เส้นผมสีดำที่ปลิวไสวตามแรงก้าว ยาวปรกลงมาละกรอบหน้างดงามที่ไร้การบดบัง ใบหน้านั่นหากเผยรอยยิ้มที่ดังมาจากหัวใจจะน่ามองสักแค่ไหน เสียงนุ่มทุ้มที่เปล่งจากริมฝีปากหยักสวย ทำไมถึงอยากได้ยินคำปลอบใจ มากกว่าการกระทำที่เจ็บช้ำ แต่ทั้งหมดมันหาไม่ได้เลย..


       ทุกสิ่งทุกอย่าง คือกรง ซึ่งเขาจะไม่มีวัน ได้กลับไปยังที่ๆเขาจากมาได้อีกแล้ว..


       ดวงตาสีเขียวมรกตหลับลง ปล่อยให้ร่างกายที่ถูกอ้อมแขนของใครบางคนพาไปด้วยใจที่ว่างเปล่า..เรี่ยวแรงต่อต้าน ถูกแทนที่ด้วยความสิ้นหวัง อยากจะทิ้งร่างกายตัวเองเอาไว้เบื้องหลัง และไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว แต่ว่า..กายเนื้อที่ยังคงผูกกับจิตใจ ก็ย่อมเป็นเรือนร่างที่แสดงออกมาอย่างซื่อตรง รู้สึกตัวอีกครั้ง อ้อมแขนที่รั้งไว้ก็ปล่อยออก พร้อมกับหัวใจที่หล่นวูบพร้อมกับร่างกาย


        ตูม!


       เสี้ยววินาทีที่ความเย็นวาบห่อหุ้มไปทั่วร่างกาย พร้อมกับเสียงหยาดน้ำในสระขนาดกลางสาดกระเซ็น สติที่หายไปเนิ่นนานกลับฟื้นคืนกลับมาโดยฉับพลัน สัญชาตญาณทำเอาดวงตาคู่สวยลืมขึ้น ขณะที่ร่างกายตะเกียดตะกายดิ้นรนเหมือนลูกสุนัขที่ถูกจับโยนลงบ่อว่ายมาขึ้นฝั่ง ทว่าความตกใจทำให้เขาไม่สามารถควบคุมลมหายใจตัวเองได้ มิกิเผลอกลืนน้ำไปหลายอึก ก่อนจะไอสำลักเอาน้ำใสๆออกมาจนตัวงอ ไม่ช้าก็นอนสิ้นแรงหายใจรวยรินหมดสภาพอยู่บนพื้นเย็นเฉียบที่เจ่อนอง


        “ บทลงโทษ..สำหรับคำโกหก ”
        ริมฝีปากหยักสวยขยับเอ่ยเสียงนิ่งงัน ดวงคาคมกริบจ้องมองมายังร่างบอบบางที่นอนหมดเรี่ยวแรงบริเวณขอบสระ เสื้อผ้าสีขาวที่ห่อหุ้มเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำในสระจนแนบผิวกายละเอียดชวนมองยิ่งนัก แต่เพียงแต่ก้าวเท้าเดินไปใกล้ ปฏิกิริยาที่ตอบสนองกลับเป็นการถอยหนี


        “ ยะ..อย่า..อึก” มือเรียวพยายามดันร่างกายให้ถอยห่าง เมื่อเห็นเงาดูสูงใหญ่คร่อมทับร่าง นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้าง เสียงหวานเปล่งรนรานวิงวอนขอร้องอย่างไร้ศักดิ์ศรี ทว่ากลับไม่พ้นเงื้อมือของมัจจุราชที่ตรงเข้าบีบลำคอคอขาวเสมือนเป็นเพียงกิ่งไม้เปราะๆ


        “ เป็นอะไรไปเล่ามิกิ ความอวดดีของนายมันหายไปไหนหมด ”


        น้ำเสียงเย้ยหยันเอ่ยจากชายตรงหน้า อุ้มมืออันแข็งแกร่งออกแรงบีบลำคอแล้วยกขึ้นจนตัวลอย มือเรียวพยายามปัดป่ายการกระทำอันโหดร้ายต่อต้าน ทั้งทุบตี จิก ข่วน แต่ก็เป็นเพียงแรงกัดจากแมลงตัวน้อยที่ไม่ระคายผิว ขณะที่อากาศเริ่มหดหายไปเรื่อยๆจนร่างกายกระตุกเก็รงเกินจะทานไหว ดวงตาคู่สวยเหลือบมองใบหน้าที่เย็นชาของราชาแห่งอนาคานด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปน


         น่าแปลก..ทั้งที่ควรเกลียดชิงชัง แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าแววตาคนคนนี้ช่างน่าสงสารนัก


        ตูม!


        อีกครั้งที่ร่างกายถูกแรงเหวี่ยงมหาศาลตกลงในสระ แอ่งน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง  แต่คนที่ขาดอากาศจนแทบขาดใจ เมื่อหล่นลงไปก็ควานเอาน้ำในสระเข้าลำคอไปกว่าหลายอึก ก่อนเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายจะพยุงตัวขึ้นเหนือผิวน้ำอย่างลำบากลำบน  และทิ้งตัวไอสำลักอยู่กับพื้น สลับกับขวนหาอากาศอย่างตะกละตะกลาม เมื่อร่างกายที่มิอาจปรับตัวได้ในฉับพลัน


        แค่ก แค่ก
 

        เสียงสำลักยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง น้ำใสๆไอล้นออกมาจากปากและจมูกจนแสบร้อน วินาทีหนึ่งเหมือนชีวิตกำลังใกล้ดับทำให้รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก แต่กลับกันคงดีเสียกว่าหากไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป ทว่าสัญชาตญาณกลับพาร่างกายออกมาเผชิญกับความเป็นจริง

        มิกิพยายามปรับลมหายใจของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ แต่น้ำที่สำลักเข้าไปเป็นจำนวนมากทำให้ไอแทรกขึ้นมาทุกครั้ง จนต้องกำมือทุบหน้าอกของตัวเองให้น้ำเหล่านั้นไหลออกมาให้หมด


       “ รู้สึกอย่างไรบ้างกับการทรยศหักหลัง ”


         ประโยคที่ราวกับต้องการตอกย้ำในจิตใจเอ่ยขึ้นเรียบ ทว่ากลับไม่ได้ผลตามที่คิดไว้นัก ร่างเล็กพยายามเข้นเสียงหัวเราะในลำคอของตัวเองจนราชาแห่งอนาคานต้องขมวดคิ้วแปลกใจ ก่อนถ้อยคำที่ไม่คาดคิดจะกล่าวจากริมฝีปากของเด็กหนุ่ม

          “ อสรพิษเป็นสัตว์ชั้นต่ำ ฉันควรรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว  ว่าพวกแกมันลิ้นสองแฉก! การทรยศหักหลักไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันเป็นสันดานของพวกแก!! อะ!! ”


          ถ้อยคำนั้นเปรียบเสมือนไฟอันร้อนแรงที่ถูกปลุกให้โหมไหม้โดยไม่รู้ตัว ไม่ทันขาดคำเขาก็ถูกกระชากคอเสื้ออย่างรุนแรง ร่างกายลอยเคว้งด้วยเรี่ยวแรงจากมือเพียงข้างเดียวของร่างตรงหน้า มิกิตกใจจนดวงตาวูบไหว ไม่คาดคิดว่าจะทำให้ธารน้ำแข็งอย่างบาซิกค์ จะกลายเป็นลาวาได้ในพริบตา


           “ ตัวข้าไม่เคยทรยศใคร!! อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าบาฮาลกับเจ้าวางแผนทำสิ่งใดเอาไว้ มันเจ็บใช่ไหมละมิกิ เจ็บใช่ไหมที่ถูกคนที่ไว้ใจหักหลังจนกลายเป็นเช่นนี้!! ” บาซิกค์ตวาดก้อง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างดุดันแต่คล้ายกับว่ามีอะไรภายในใจที่แสนขมขื่น พอมองไปที่ดวงตาที่วาวโรจน์ไปด้วยความโกรธจนขาดสติ มิกิก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่เกรงภัย..ถึงจะสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้อยากรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับร่างตรงหน้า ในเมื่อเผยจุดอ่อนแอของตัวเองออกมาเขาก็จะใช้มันให้เป็นประโยชน์


           “ นายมันน่าสงสารบาซิกค์ อึก.. ” สิ่งที่ได้ยินนั้นทำเอาดวงตาคมนั้นชะงักงัน รอยยิ้มเย้ยหยันจากใบหน้าของเด็กหนุ่มผุดขึ้นมาราวกับกำลังดูถูกราชาอสรพิษว่าเป็นเพียงแค่ลูกงูที่ยังไม่เติบโต


           “ ฉันไม่ได้ไว้ใจพวกนายมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก ไอพวกงูนรก!! ” ตะคอกเสียงแข็งกร้าว ดวงตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่กลัวเกรง บาซิกค์ขบกรามตัวเองจนแน่นระงับอารมณ์ปะทุที่เผลอลืมไปตามแรงยั่วโทสะของเด็กหนุ่ม แม้ความรู้สึกภายในจะอยากฉีกร่างกายอันบอบบางนี้ออกเป็นชิ้นๆ แต่ก็ต้องรั้งการกระทำเอาไว้ทุกอย่าง เพราะมันอาจจะง่ายดายเกินไปถ้าแค่เพียงประทานความตายมาให้ แต่สำหรับลูกนกที่ดื้อดึงดันอยากจะโผบิน ก็ต้องล่ามขามันเอาไว้กับกรง!


         “ เก่งมากนะมิกิที่ยังมีแรงยั่วโมโหฉันได้อีก ” น้ำเสียงนั้นเงียบสงบลงจนน่าแปลก เด็กหนุ่มสองสายเลือดขมวดคิ้วลงเมื่อมีบางอย่างผิดสังเกต ก่อนดวงตาคมกริบคู่นั้นจะหันมาสบอย่างเยือกเย็น


         “ บาฮาลยังไม่ได้แตะต้องนายสินะ.. ” สิ้นคำถาม ดวงตาสีอ่อนก็เบิกโตทันที


         “ ถ..ถอยออกไปนะ!! ”สิ่งที่คิดทำเอามือเรียวรีบออกแรงผลักการกำกุมของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่ก็ลืมไปว่าร่างกายยังไม่ได้แตะพื้น ทำให้ร่วงลงมาจนปั้นท้ายกระแทก


           ด้วยความกลัวทำให้มิกิไม่มีเวลาให้เจ็บมากนัก ดวงตาคู่สวยรีบเงยมองร่างสูงสง่าที่คร่อมอยู่เหนือศีรษะ ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากล้นสมศักดิ์แผร่กระจายออกมาทันทีที่ใบหน้างดงามนั้นปรายตาลงต่ำ ก้มมองเขาที่ต้อยต่ำราวกับเป็นเพียงเศษดิน มือขาวซีดยื่นออกไปด้านหน้าของเด็กหนุ่มนิ่ง กายบางเขยิบหนีอย่างไม่ไว้ใจในบางสิ่ง ทั้งที่รู้ดีว่าไม่ทางหลุดพ้น!


           “ บทลงโทษอันแสนงดงามจักปรากฏเป็น.. ” เสียงเรียบเย็นนั่นเงียบหายไป ดวงตาสีอำพันหรี่ลง ก่อนชั่ววินาทีจะผันแปรเป็นดวงตาที่รียาวของอสรพิษ!

           “ นี่คือ..ของขวัญของนาย มิกิ ” ฉับพลัน น้ำหนักบางอย่างปรากฏเข้ามาคล้องพันที่ลำคอ ก่อนแรงบดเบียดบีดรัดจนแทบขาดใจทำให้ร่างเล็กล้มดิ้นทุนรนทุรายอยู่กับพื้น เล็บมือพยายามจิกแกะสิ่งมีชวิตแปลกปลอมที่รัดอยู่บนต้นคอเพื่อหาอิสระ แต่เกล็ดมันเลื่อมก็ลื่นเกินกว่าที่ดึงออกได้ แรงบีบรัดแน่นขึ้นจนใบหน้าหวานแดงก่ำ แต่เสี้ยววินาทีถัดมาน้ำหนักของสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมกลับพลันหายไปในพริบตา


           เสียงไอสำลักจากการการขาดอากาศไปดังขึ้นอีกครั้ง สัมผัสเย็นวาบคล้ายกับเหล็กเย็นปรากฏขึ้นบริเวณลำคอ มือเรียวยกขึ้นสัมผัสสิ่งแปลกที่ปรากฏขึ้นกับตัวเอง เขาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใดแต่ความรู้สึกเขากลับบอกว่ามันต้องไม่ดีแน่!


          “โอ้ย” เร็วเท่าความคิด คำตอบของเขาก็ถูกเฉลย เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับแรงกระชากจากลำคออย่างแรง จนร่างกายไม่อาจทรงตัวล้มพับกองกับพื้นแข็งกระด้าง ร่างเล็กพยายามลุกขึ้นขืนตัว ทว่าเมื่อดวงตาคู่สวยเงยขึ้นมองก็พบร่างสูงกำยำที่อยู่ห่างออกไปกว่าช่วงตัว  แต่สิ่งที่อยู่ปลายมือกลับเป็นโซ่สีทองสองเส้นที่ผูกติดไว้ที่ปลายนิ้ว พอไล่มองตามความยาวของโซ่นั่นก็มามาหยุดอยู่ที่ลำคอของเขาพอดี!


          “ ชอบหรือเปล่ามิกิ..ปลอกคอของนาย.. ”

         
 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 06-08-2015 19:45:33
        ค่ำคืนที่ 8 : ล่าม Part 2


           เพียงได้ยินคำตอบ ร่างกายก็เหมือนจะชาด้านไปหมด การกระทำหยามศักดิ์ศีรราวกับเขาเป็นสัตว์เลี้ยง เป็นความจริงที่มิอาจยอมรับได้มือเรียวพยายามยกขึ้นแกะปลอกคอเหล็กที่ไม่ต้องการออกไปจากตัว เล็บพยายามจิกแกะเข้าแผ่นเหล็กจนเจ็บไปทั่วปลายนิ้ว หวังลมๆแล้งๆว่าปลอกคอนี้จะหลุดพ้น ทว่า..บาซิกค์กลับไม่ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้ทำดั่งใจชอบมากนัก โซ่ทองเส้นเล็กทว่าแข็งแรงถูกกระตุกดึงจากร่างผู้เป็นเจ้าของ ทำเอาสัตว์เลี้ยงที่กำลังดื้อพยศ มิอาจต้านจึงเซเข้าปะทะกับแผ่นอกอันแข็งแกร่ง

          “ อุก..อ๊ะ! ” รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกวงแขนอันแข็งแรงบีบรัดไว้แน่นจนแนบชิดมิอาจขยับ การกระทำที่คล้ายกับอสรพิษกำลังรัดเพื่อกลืนกินเหยื่อ ทำให้มิกิเผลอหลุดเสียงครวญด้วยความจุกแน่น แม้มือเรียวจะพยายามออกแรงดันแผ่นอกอันกว้างผายนั่นออกไป ก็ไม่สามารถทำได้ คล้ายกับร่างกายนี้กำลังถูกผูกติดกันไว้

          “ นกน้อยของข้า.. ” สรรพนามแทนตัวเองที่เปลี่ยนไปกับน้ำเสียงทุ้มต่ำเคลื่อนกระซิบข้างใบหูราวกับอยากจะให้ก้องกังวานไปหัวของร่างในอ้อมแขน บ่งบอกถึงอารมณืที่เริ่มก่อตัวของร่างตรงหน้าได้อย่างดิบดี ดวงตารีคมของอสรพิษร้ายหรี่มอง ลิ้นยาวของงูลากเลียหยดน้ำที่เกาะพรมที่พวงแก้มขาวละเอียด

         “ ย..อย่า  อย่าทำแบบนี้!! ” ร้องด้วยความรู้สึกเกินจะฝืนทนกับสิ่งที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด สัมผัสอันน่าขยะแขยงนี้ทำให้สบถเสียงออกมาดังลั่น ทว่ากลับมิอาจหยุดการกระทำอันน่ารังเกียจนี้ให้ชะงักลงได้!

         “ เหยื่อของข้า.. ” แรงบีบรัดจากอ้อมแขนกระชับแน่นขึ้น ริมปากเคลื่อนลงมาตามกลิ่นบุปผาโบราณที่เริ่มโชยคลุ้งออกจากร่างกายของเด็กหนุ่มที่ต้นคอ ก่อนคมเขี้ยวจะขบกัดลงไปเบาๆที่หัวไหล่มนราวกับจะตรีตราจอง ความรู้สึกวาบหวามแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นนี้ทำให้กายบางสั่นสะท้านมิอาจกลั้น

          “ และ ของของข้า.. ” เสียงแห่บพร่าดังกระซิบ ลมหายใจอุ่นร้อนจากร่างสูงใหญ่ ไหลรดต้นคอขาวระหง เรียวลิ้นอสรพิษลากไล้จากกระดูกไห้ปลาร้ายาวจรดเรียวคาง สัมผัสอันน่าสะอิดอะเอียดทำให้อยากจะลอกผิวหนังของตัวออกจากตัว

          “ ปล่อยฉัน! บ้าเอ้ย! ” ร้องลั่นด้วยสติที่ใกล้ขาดสะบั้นเต็มที กายบางพยายามออกแรงดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากวงแขนอันแกร่ง ใบหน้าหวานสะบัดหนีไม่ให้ความรู้สึกอันน่ารังเกียจนั้นสัมผัสลงบนผิวหน้า ทว่า..ยิ่งเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยการขัดขืน ก็ยิ่งอยากจะเอาชนะ ไม่ว่าจะแลกมาด้วยวิธีใดก็ตาม!

           มือหนาเลื่อนมาขยุ้มท้ายทอยเล็ก เส้นผมสีบลอนด์ถูกดึงตามแรงบางเบาแต่มากพอที่จะทำให้ใบหน้าที่ผสมระหว่างฟากฝั่งเอเชียและยุโรปได้อย่างลงตัวนั้นเงยขึ้น ดวงตาอสรพิษจ้องเขม็งสั่งการพร้อมกับเสียงเรียบเย็น


          “ มองตาข้าสิมิกิ..มองข้า ”


         “ ไม่!! ” ปฏิเสธไม่ทำตามสั่ง ดวงตาปิดลงจนแน่นไม่ยอมสบ ใบหน้าหวานพยายามส่ายหนีโดยไม่สนแรงดึงหลังศีรษะ วืธีการหนีแบบเด็กน้อยจนหนทางนี้ทำเอาบาซิกค์เริ่มรู้สึกใกล้หมดความอดทน

         “ ลืมตาขึ้นมองข้า.. ”

          “ ไม่! ”

         “ มองข้า.. ”

          “ พอสักที..อึก พอสักที!! ”

           “ มองตาข้า!!! ” คำรามเสียงดังจนสะดุ้ง เมื่อมิอาจทานทนร่างที่ดื้อรั้นได้ไหว มือหนาจิกเข้าเส้นผมอย่างแรงจนดวงตาสีอ่อนเผยลืมขึ้นจากเสียงตะคอกแข็งกร้าว แต่พอได้เห็นนัยน์ตาคู่สวย ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำใสๆที่เอ่อคลอไว้อย่างน่าสงสาร ก็ทำเอาหัวใจที่โหดร้ายอ่อนไหวไปชั่วขณะ

           “ ได้โปรด..ปล่อยฉันไป..ฮึก..ปล่อยฉันไป ฮือ..” หยาดน้ำตาไหลลงมาเป็นสายราวกับไม่มีวันจบสิ้น น้ำใสๆอาบแก้มขาวละเอียดจนเปรอะเปื้อน เสียงสะอื้นดังพร้อมคำอ้อนวอนขอร้องของเด็กหนุ่ม ที่ไม่เหลือศักดิ์ศรีหยิ่งทะนง

           บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา เห็นภาพนี้ก็พลันทำให้รู้สึกแปลกๆขึ้นมาในหัวใจ ภาพของเด็กหนุ่มที่สะท้อนในดวงตากลับบ่งบอกความจริงให้ฉุดคิดขึ้นในหัวของตัวเอง แต่กระนั้นเขากลับเลือกที่จะไม่ตอบรับ โกหกบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเหมือนไม่เคยมี อย่างไรพายุไฟที่โหมกระหน่ำออกมาแล้ว ก็ยากที่จะใช้เพียงแค่หยาดน้ำดับ

           “ ทำให้ข้าพอใจ..แล้วเจ้าจะได้อิสระภาพ.. ” เสียงแผ่วดังกระซิบ แต่กลับนุ่มลึกเช่นมนต์สะกด ดวงตาอสรพิษสีเหลืองทองจ้องนัยน์ตากลมโตที่เต็มไปหยาดน้ำใสๆดั่งผลึกแก้ว แต่เพียงฉับพลันที่เผลอสบก็ราวกับชีวิตและลมหายใจกำลังถูกดึงดูดออกจากร่างเพราะเนตรราชาคู่นั้น

             สายลมเย็นพัดวูบผ่าน เส้นผมสีดำปลิวสยาย แสงจันทร์สีขาวทองสาดส่องขลับให้ใบหน้าที่หล่อเหลาปานรูปปั้นเทพสวรรค์นั้นงดงามไร้ที่ติ ดวงตาเรียวคมหรี่ลงมองเด็กหนุ่มในเงื้อมือนิ่งงัน แต่กลับสะกดทุกสรรพสิ่งจนเงียบกริบ รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนถูกต้องมนต์จนมิอาจละสายตาตัวเองได้ ริมฝีปากของบาซิกค์เคลื่อนลงมาใกล้จนน่าหวาดหวั่น ทว่า..ร่างกายกลับไม่เลื่อนหนีปฏิเสธอย่างที่ควรจะเป็น คล้ายกับว่าเขากำลังลุ่มหลง..

         นัยน์ตาคู่นั้น..

          “ อ..อื๊ม ”

          วินาทีที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มทาบทับลงมาอย่างหวานละมุน ในท้องก็ปั่นป่วนสับสนไปทุกสิ่ง หัวสมองขาวโพลนจนไม่รู้ว่าควรยับยั้งความรู้สึกวาบหวามนี้อย่างไร สติคล้ายกับกำลังหลงระเริงอยู่ในบ่วงเสน่หาจนมิอาจควบคุมร่างกายตนเองได้

         แรงกดจากริมฝีปากที่ประทับลงมากำลังกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเขาแม้หัวใจ กระทั่งหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ..รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไฟที่กำลังผลาญเผาร่างกายเล็กๆนี้ให้มอดไหม้ มือที่ประคองท้ายทอยเริ่มเคลื่อนมาลูบอยู่บริเวณแก้มที่เปื้อนคราบน้ำตา เสื้อผ้าเปียกชื้นของเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าถูกบาซิกค์ดึงทิ้งกองกับพื้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เวลานี้จึงเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่าใต้การกอดขององค์ราชาแห่งอนาคาน..

         “ ฮึก..อือ..อ ”

         เสียงครางหวานหลุดลอดออกมาจากรสจูบที่หนักหน่วง ร่างกายร้อนเร่าทุกวินาทีที่ถูกมืออันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายไล้สัมผัสผ่านผิวกาย ความระอุร้อนจากอุณภูมิในร่างกายทำให้หยาดเหงื่อเริ่มไหลแทรกซึม มว่า..ภายในคล้ายกับกำลังหลอมละลาย
 
        ขณะที่จุมพิตนั้นอย่างไม่ได้คายลง ความหิวกระหายก็เริ่มก่อตัวจนตัวเขาเองก็เริ่มมัวเมา ใบหน้าหวานเอียงลงรับสัมผัสที่มอบให้อย่างชำนาญ ริมฝีปากของเด็กหนุ่มที่ตอบรับอย่างไม่ยอมใคร นั้นแสดงให้เห็นถึงสติที่ไร้การควบคุม เขารู้แต่เพียงว่าเขาต้องการ..ต้องการแค่คนคนนี้!

           “ ต้องการขนาดนั้นเลยเหรอ.. ” ริมฝีปากออันหอมหวานถอดออก เสียงแหบพร่าร้อนแรงนั้นชวนให้ร่างกายต้องไหวสะท้าน ราวกับได้ยินเสียงในห้วงความคิดของคนในอ้อมกอด

            “ น..นะ..ทำ..อะ..อึก ” พยายามจะเปล่งเสียงพูดออกมา แต่กลับฟังไม่ออกเลยสักนิดราวกับถูกสะกด บาซิกค์คลี่เย็นเยียบ นิ้วเรียวเคลื่อนจากแก้มมาหยุดเกลี่ยลงที่ริมฝีปากอันอ่อนนุ่ม  ดวงตาคมกริบมองรูปหน้าหวานละมุนราวผู้ล่า สะกดความคิดในหัวของมิกิให้หยุดชะงัก

             “ สนุกกับมันเถอะมิกิ.. ” สิ้นคำเชิญชวนที่น่าหวาดหวั่น ในหัวของเขาก็หมุนวนไปหมดคล้ายกำลังมีพายุลูกใหญ่กำลังพัดทำลายทุกสิ่งอยู่ในนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็มิทานอดได้อีกต่อไป ปลดปล่อยร่างกายให้ไปตามกลไกอย่างที่อยากจะเป็น เขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว สติหลงใหล งุนงงนี้ในอีกความรู้สึกคือความเพลิดเพลินของร่างกาย

         ร้อนแรง

         หนักหน่วง

         รุนแรง

          หลอมละลาย

          เขากำลังรับสัมผัสทั้งหมดนี้จาก ริมฝีปากสวยงามนั่น ลิ้นอุ่นร้อนรุกล้ำสอดแทรกเข้ามาไล่ต้อนควานหาความหวานช่ำดุจภุมราดูดกลืนน้ำผึ้ง มือทั้งสองเปลี่ยนมาคลึงคลำอยู่ที่สะโพกกลมมนที่เต่งตึง สัมผัสที่มอบ..ทำให้มิกิหัวสมองพร่าเบลอไปหมด กระทั้งได้ยินเสียงสั่นถี่ระรัวราวกับกระดิ่งจิ๋วเล็กๆแผ่วเบาผ่านใบหูกึกก้อง
 
        เสียงนี้มันคืออะไร..

        แล้วความรู้สึกนึกนี้คืออะไรกันแน่..

         แม้อยากจะรู้คำตอบ แต่ก็อยากให้การกระทำนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนสุดทาง สติที่ถูกมอมเมาแล้วยากจะหวนคืน ดั่งเหล้าที่ทำให้เลือดในกายซูบฉีดขึ้นอย่างร้อนแรง จนปรารถนา..

         ปรารถนาเหลือเกิน..

          “ ข้าจะให้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ.. ” ดวงตาอสรพิษจ้องมองอย่างเสน่หา มือเรียวแต่ก่อนที่เคยยันแผ่นอกกว้างเริ่มเป็นไปตามธรรมชาติ เสื้อคลุมสูงศักดิ์ศักดิ์ถูกปลดลงสู่แทบเท้า กายสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงาม ผิวพรรณสะอาดผ่องใสดุจแสงจันทร์ มิกิเปลี่ยนมาเป็นโอบคล้องลำคออันแข็งแกร่งเอาไว้ ใบหน้าหวานยื่นเข้าใกล้ ริมฝีปากเผยอขึ้นเชิญชวนอย่างต้องการไม่รู้จักอับอาย หากไม่ได้รับการเติมเต็มร่างกายนี้ต้องสูญสลายเป็นแน่!

            “ มนุษย์นี่ ใจร้อนจริงนะ.. ” สิ่งที่เห็นทำเอาบาซิกค์ยกยิ้มมุมปาก ใบหน้างดงามโน้มลงมาใกล้ตามคำปรารถนา ก่อนริมฝีปากจะปิดทับอย่างดูดดื่ม

            แสงสลัวจากเปลวเทียนในห้อง ปรากฏเป็นภาพเงาดำทั้งสองที่กำลังบรรเลงเพลงรักบนกำแพงอย่างร้อนแรง แม้ลมทะเลทรายยามค่ำคืนจะเย็นเฉียบจนขนลุกตั้ง แต่ก็มิอาจพรากให้พวกเขาแยกออกจากกัน

           ร่างกายที่ถูกผูกพันธด้วยโซ่ตรวนเสน่หานี้ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งยากจะถอดถอน รู้สึกตัวอีกทีก็ปล่อยสิ้นทุกอย่างจนไม่เหลือความเป็นตัวเอง

 
             พอริมฝีปากผละออกเชื่องช้า ปล่อยโอกาสให้เสียงลมหายใจเหนื่อยล้าหอบเอาอากาศเข้าใหม่ รู้สึกตัวอีกครั้ง ก็ทิ้งร่างกายบนเตียงนุ่ม โดยมีร่างกายสูงใหญ่คร่อมทับอยู่ด้านบน เส้นผมสีดำยาวปรกรับใบหน้าอันน่าหลงใหล เพียงแค่คิดก็ถูกจุมพิตปิดลง ทว่าครั้งนี้กับรวดเร็วราวกับต้องการให้ข้างใต้นั้นกระหายรักมากขึ้น!

             กลีบปากร้อนเปลี่ยนเป้าหมาย ลิ้นชำนาญลากไล้ลงตั้งแต่ปลายคางจรดแผ่นอกบางเรียบ ก่อนตรงเข้าครองเป็นเจ้าของยอดเนินสีอ่อนอย่างรวดเร็ว ทั้งดุนดัน เกี่ยวกระหวัดจนแข็งขันเต่งตึงเป็นไตแข็ง กระนั้นก็ยังไม่พอใจตามต้องการ  ริมฝีปากจึงเม้มขบลงแผ่วเบา ความรู้สึกยากจะทานทนนี้ทำกายบางบิดไหวสั่นสะท้าน

         “ อึก..อ๊ะ”
         เสียงครางหวานร้องดังกระเส่า ขณะปฏิกิริยาใต้ระหว่างขาที่เริ่มแข็งขืนอยู่นาน ก็ระอุจนแทบทนไม่ไหวต้องการปลดปล่อยออก แต่ไม่ทันไรก็ถูกคุกอีกครั้ง ขาทั้งสองและสะโพกถูกเรี่ยวแรงจากท่อนแขนอันแข็งแกร่งยกขึ้นอย่างง่ายดาย กายหนาโน้มทับลงมาชิดจนกล้ามสวยงามแนบชิดซึ่งกันและกัน ขณะที่มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าหวานสวยไม่ให้เบี่ยงหนี ก่อนจะมอบจุมพิตที่ไร้ปราณีมาบดขยี้

           มิกิ โอบกอดแผ่นหลังนั้นไว้แน่น เล็บจิกลงที่หัวไหล่เพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยว ร่างกายรู้สึกแปลกประหลาดอย่างไม่เคยเป็น แม้จะอ่อนไหวและยังไม่ได้รับการปรณเปรอปลดปล่อยอย่างต้องการ แต่กล้ามเนื้อแข็งตึงที่แนบประชิดลงมาเสียดสีก็ทำให้เขารู้สึกดีอยู่ไม่น้อย เมื่อเริ่มมีจังหวะการเคลื่อนไหวราวคลื่นทะเล

           บาซิกค์ยอมรับจริงว่ามิกิสามารถเติบเต็มทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการของเทพนาคินได้อย่างแท้จริง แค่มีร่างกายอันหวานละมุม กับกลิ่นเกี้ยวรักจากบุปผชาติแห่งฮาซานนี้ เขาก็ไม่ต้องทนปฏิบัติตามกฏของเทพนาคินอีกแล้ว ขอเพียงสิ่งนี้ยังอยู่กับตัว อนาคานจะไม่ต้องทนอยู่ใต้บัญชาของซาคาเดียร์อีก

            “ แฮ่ก..อ๊ะ”

            หลังจากบาซิกค์ดูดกลืนความหวานพร้อมหยดเลือดในโพรงของร่างเล็กจนสมใจ ก็เลียฝีปากของตัวอีกครั้ง นิ้วเรียวเปลี่ยนจากประคองใบหน้า เป็นสอดเข้าในโพรงปากที่กำลังหอบหายใจครางเสียงกระเส่า เป็นการกระปลุกเร้าราวกับต้องการให้เลือดในกายไปรวมอยู่ที่ส่วนล่างอย่างทรมาณ ใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยความรู้หลากหลายปะปนจนไม่สามารถอธิบายได้ แต่ในสายตาขององค์ราชาแห่งอนาคานแล้วช่างดูยั่วยวนเกินจะห้ามใจ

 
            เมื่อปรารถนาจะเห็นสีหน้าของคนใต้ล่างมากกว่านี้ นิ้วยาวก็สอดลงใต้หว่างของคนที่กำลังทรมาณ แต่เพียงแค่กอบกุมส่วนอ่อนไหว ความต้องการที่เพิ่มพูนขึ้นสูงอยู่ก่อนหน้าก็แทบทะลักล้น

           “   อ๊ะ..อึก..หยุด..” แม้จะส่งเสียงห้ามปราม แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมหยุด บาซิกค์คลี่ยิ้มที่ไม่รู้ว่าเย้ยหยั่นหรือสมเพช แต่ดวงตาเรียวคมกลับจับจ้องสีหน้าของมิกิที่แสดงออกมาอย่างซื่อตรงจนมิอาจละสายตาได้

 
           บาซิกค์เริ่มกระตุกนิ้วของตัวเองถี่ขึ้น ในขณะเดียวกันความรู้สึกสั่นสะท้านก็หลั่งเข้ามาความสัมพัสที่เริ่มรวมตัวกันในร่างกาย

          “  อื๊..ม ฮะ...อ๊า..! ”

          สุดท้ายก็มิท้านทนได้ไหว กายบางกระตุกวูบทันทีที่เกิดจุดกักเก็บ หยาดน้ำหวานสีขาวข้นไหลทะลักออกมามากล้น กลิ่นคาวของแรงปรารถหนาคละคลุ้งไปทั่วห้อง

         มิกิหอบหายใจอยู่บนเตียง มือที่จับยึดแผ่นหลังทิ้งลงหมดเรี่ยวแรง นัยน์ตาปรือช่ำเยิ้มไปด้วยแรงอารมณ์ที่เพิ่งมอดดับ ทว่า..คนที่ต้องการเติมเต็มที่แท้จริง ยังไม่ต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบเพียงแค่นี้ ไม่ทันไรร่างอันอ่อนปวกเปียกก็ถูกจับยกขึ้นสูงกว่าเดิม หว่างถูกแยกออกห่าง ด้วยท่วงท่าที่พร้อมเบียดแทรก

        มิกิเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป มือพยายามผลักดันการรุกล้ำอันน่าหวาดหวั่นออกไปจากตัว ทว่ากลับถูกมือที่แข็งแรงกว่าเพียงข้างเดียวรวบบีบเอาไว้อย่างรุนแรงและกดลงเหนือศรีษะจนแทบจะจมลงไปกับเตียง ส่วนอีกข้างกดลงบนโซ่เส้นเล็กๆที่อยู่บนปอกคอทองคำ

        เพียงพริบตาเดียวโซ่ที่ไม่เคยตรวดมัดใดๆ กลับเข้ามาพันธนาอยู่ที่ข้อมือทั้งสองข้างและเชื่อมเข้ากับปอกคอของตัวเองราวกับสัตว์ที่โดนล่าม แต่ไม่มีเวลาให้ตกใจมากนัก ทันทีที่มือของตัวเองถูกกดให้จนลงเหนือศีรษะโซ่เส้นเล็กๆนั่นก็เชื่อมเข้ากับเสาประดับม่านที่หัวเตียงไปอีกครั้ง เหมือนต้องการให้เด็กหนุ่มจมผูกอยู่บนเตียงนี้ชั่วนิรันดร์!

         “ จะ..ทะ.. ”

        ผุดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วหลีกหนี ทว่าพยายามเปล่งเสียงออกมาเท่าไรแต่ก็กลายเป็นเหมือนเช่นเคย เขาไม่สามารถพูดอะไรได้คล้ายกับเสียงมันถูกทำให้หายไป สติที่มัวเมาแม้จะเริ่มกลับมาควบคุมได้บ้างและพอจะมองว่าอะไรคือสิ่งใด สายตาจึงเริ่มแสดงอาการหวั่นวิตกออกมากับสิ่งที่กำลังทำต่อไปอย่างชัดเจน

           “ ไม่ต้องกลัวมิกิ..มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นระหว่างเรา”

          แม้เสียงเรียบเย็นเอ่ยแผ่วเบา แต่กลับก้องกังวาลอย่างชัดเจนจนหัวใจดวงน้อยกระตุกไหว ฝ่ามือทรงอำนาจลูบลงที่ข้างแก้มของคนที่นั่งอยู่ราวกับเป็นการปลอบประโลม ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการสู้รบถัดไปนี้เสียมากกว่า จนรอยยิ้มเย็นยะเยือกนั้นยกขึ้น

           ฟืบ!

         เพียงมือหนาผลักลงบนแผ่นอกแบนราบ ร่างกายก็เหมือนถูกดูดลงบนหุบเหวลึก จมลงไปกับเตียงทว่าข้อมือทั้งสองข้าที่ตรึงเอาไว้กับลำคอและเสากลับเหนี่ยวรั้งให้กางแยกออก แรงตึงจากโซ่ทำให้รู้สึกอึดทรมานยากต่อการหายใจ แต่นั้นก็พยายามกอบโกยอากาศเท่าที่จะทำได้ บาซิกค์ไม่รอช้ารีบแทรกกายขึ้นมาคร่อมเหนือคนที่ไร้ทางสู้ทันที

            ศอกข้างหนึ่งเท้าลงข้างแก้ม นิ้วเรียวยาวก็ไล่ลูบเส้นผมสีบลอนด์ทองบนศีรษะเล็กอย่างเพลิดเพลิน ส่วนอีกข้างก็สนุกอยู่กับการเกลี่ยและบีบอยู่บนผิวปากเปียกชุ่มเพื่อให้เลือดไหลซึมจากแผลที่แตกออก

            “ จากนี้จะเจ็บปวดกว่านี้นัก เจ้าจะทนได้หรือไม่ ” กล่าวอย่างเยือกเย็น ดวงตาเรียวคมจ้องมองราวกับผู้ล่ากำลังสนุกอยู่กับการไล่ต้อนเหยื่อให้หวาดกลัว

            “ ตอบข้าสิมิกิ..ตอบข้ามา ”

            “ ร..โร..จะ ” พยายามจะเปล่งเสียงต่อว่าด้วยความรังเกียจ ดวงตาที่เริ่มมีสติกลับคืนเต็มไปด้วยการต่อต้านขัดขืนอย่างรุนแรงแม้ร่างกายนั้นกำลังพ่ายแพ้ราบคาบ บาซิกค์เห็นเช่นก็ยิ่งชอบใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มเย็น คว้าขวดแก้วเล็กๆขึ้นมาจากหัวเตียง

            “ จะผ่อนผันให้เจ้าด้วยน้ำมันแล้วกัน.. ” สิ้นคำก็ถูกจับยกสะโพกให้สูงขึ้น ขวดน้ำมันหอมถูกราดลงบนช่องทางแคบระหว่างเนินเนื้อทั้งสองข้างอย่างมากล้น ขณะน้ำมันหอมส่วนเกินไหลชโลมอาบลงบนร่างกายของเด็กหนุ่มตั้งแต่หน้าท้องแบนราบไปจนถึงแผ่นอกเปล่าแปลือยจนเงางามน่าลูบสัมผัส

            ไม่ปล่อยให้เสียเวลานาน บาซิกค์รีบสอดนิ้วชุ่มน้ำมันลงลงไปบนช่องทางคับแคบจากสะโพกที่ยกขึ้น ความลื่นของน้ำมัน แม้จะทำให้แทรกเข้าในส่วนลึกได้อย่างง่ายดาย แต่เพียงแค่นั้น ความรู้สึกเสียววาบก็พลันผุดขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด จิตใจสั่งให้ต่อต้านทันที

            “ หยะ...หยุ..อ๊ะ..” สุดท้ายแม้จิตใจจะต่อต้านแต่ร่างกายกลับไม่ขยับดั่งใจต้องการเลยสักนิด คล้ายกับมันกำลังเป็นไปตามคำสั่งของร่างตรงหน้าทำให้เขารู้สึกเกลียดร่างกายตัวเองขึ้นมา ทว่าไม่ทันไรความป่าเถื่อนโหดร้ายก็เพิ่มพูนขึ้น เมื่อนิ้วที่ 2 และ 3 เพิ่มเข้ามาอย่างเลือดเย็น!

            “ อ๊า!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทั้งน้ำตาที่มิอาจกั้น ความรุนแรงที่เกินขึ้นทำให้ช่องทางเกิดแผลฉีกขาด ของเหลวสีแดงเริ่มไหลซึมออกมาจากระหว่างขา ขณะที่นิ้วทั้งสามยังสอดคาไว้จนสัมผัสได้ถึงการตอดรับที่เต้นไหวตุบๆ

            บาซิกค์เลียริมฝีปากของตัวเองเหมือนสัตว์ที่หิวกระหาย เขาไม่สนใจว่าร่างนี้จะได้รับความเจ็บปวดเจียนตายหรือไม่ แต่หากวันนี้ตัวเขาเองไม่ได้รับการเติมเต็มจนจบ การเป็นเทพนาคินก็ใช่ว่าจะพิโรธไม่ได้!

            “ อึก..ฮะ! ” นิ้วถูกถอดออกมาอย่างรวดเร็ว เสียงครางร้องเจ็บหลุดออกมาเพียงชั่วครู่ ดวงหน้าหวานนิ่วลงด้วยความเจ็บปวดเหลือคณา นัยน์ตาปิดแน่นจนหยาดน้ำตาไหลอาบลงมาอีกครั้ง แต่ราชาอสรพิษไม่ได้สนใจนัก เมื่อช่องว่างเป็นอิสระได้ไม่นาน บาซิกค์ก็รีบจัดการกับความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเข้าไปแทนที่อย่างรวดเร็ว แต่ขนาดที่ขยายออกก็ยังไม่พอจะต้อนรับทุกสิ่งทุกอย่างได้จนหมด แม้จะมีน้ำมันชโลมชุ่ม ก็มิอาจเข้าไปได้ในรวดเดียว ความเจ็บปวดทำให้ร่างเล็กนั้นบิดเร้า ใบหน้าเหยเกเกินจะรับ ภาพที่เห็นทำให้บาซิกค์ช่างรู้สึกสมเพชยิ่งนักที่มนุษย์เป็นสัตว์อ่อนแอ

            ใช้เวลาสักพักก่อนจะดุนดันทั้งหมดเข้าไปได้ มิกิหอบหายใจทนรับกับความเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ ครั้นจะยกมือมาดันรั้งร่างกายอันใหญ่โตนั้นออกไปก็ทำไม่ได้เพราะโซ่ที่ถูกล่ามติดไว้กับเสาหัวเตียงจนรู้สึกอึดอัดทรมาน ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ชายตรงหน้าอยากให้ต้องการอยากให้เป็น เพื่อให้เด้กหนุ่มได้ลิ้มรสความทรมาณของเลือดเนื้อเพียงแค่นี้ยังเป็นสั่งสอนขั้นพื้นฐานนักเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาพบเจอในอดีต

            เพียงแค่คิดอารมณ์รุนแรงก็ปะทุก่อตัวขึ้นมาราวกับก้อนที่รนไฟจนร้อนกรุ่น หากถือไว้เรื่อยๆมือไม้ก็จะลอกไหม้จนถึงเนื้อหนัง บาซิกค์ไม่เอ่ยพูดสิ่งใดอีก และใจคอก็ไม่คิดจะประโลมปลอบอีกต่อไป ความบ้าคลั่งยั้นกายโหมกระหน่ำกระแทกกระทั้นลงมาหนักหน่วงราวกับจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้แหลกสลายเป็นหน้ากอง ทว่าการกระทำเช่นนี้ทำไมถึงได้ปลุกกระตุ้นส่วนที่เงียบสงบลงไปแล้วกลับตื่นตัวขึ้นมาอีกได้อย่างน่าละอาย

            มิกิหลับตาลงไม่อยากจะสนใจสิ่งที่เกินขึ้นต่อไปอีกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ยึดได้มีเพียงแขนที่เกร็งโซ่ล่ามทั้งสองไว้จนตึงแน่น ดวงตาปิดลง ริมฝีปาเม้มลงกัดฟันระงับความเจ็บปวดทั้งหมด จนเลือดไหลอาบลงมาเป็นสาย

            บาซิกค์ตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะโน้มตัวดันกายโน้มเอาไปประชิดจนช่องว่าง ความเจ็บแปล็บที่ช่วงล่างทำให้ร่างบางต้องเผลอร่างครวญความเจ็บ จังหวะนั้นจึงรีบสอดมือเข้าด้านล่างขยุ้มเส้นผมท้อยให้ศรีษะเล็กหงายเหงย ก่อนริมฝีปากที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากอารมณ์จะเข้าครอบครองพร้อมหยาดเลือดที่ขมฝาดในโพรงปาก

          เรียวลิ้นดุดันดูดกลืนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น แม้อีกฝ่ายจะหลีกหนีแต่คนไล่ต้อนก็กลับมารวบรัดเสียงจนอ่อนแรง ร่างกายที่ถูกตรึงด้วยโซ่กลับมีความปรารถนาขึ้นอีกครั้งเมื่อถูกจูบอย่างร้อนแรง กลไกของร่างเมื่อถูกกระตุ้นตามหลักของวิทยาศาตร์แล้ว แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ก็เป็นความจริงอันน่ารังเกียจสำหรับเขาเวลานี้มากนัก ใจหนึ่งก็ต้องการราวกับกำลังถูกครอบงำด้วยอะไรบางอย่าง แต่อีกใจกลับหักห้ามจนสับสนไม่รู้ควรทำสิ่งใด ทว่า..ยามที่เผลอสบดวงตาสีเหลืองทองคู่นั้นก็คล้ายกับว่าชีวิตของเขากำลังตกเป็นทาสที่ต้องทำตามรับสั่งของชายผู้นี้อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ

         ตามหัวใจปรารถนา..

          เสียงนั้นดังก้องจนหัวใจมอมเมา ร่างกายที่ถูกสอดแทรกด้วยความใหญ่โต ถูกจับผลิกให้ลุกขึ้นนั่งขณะที่อีกฝ่ายที่คร่อมอยู่กลับเปลี่ยนไปเป็นนอนราบอยู่บนเตียง ความเจ็บปวดไหลแทรกเข้ามาในร่างกายราวกับสายฟ้าฟาด แต่พอรู้ตั้วว่ากำลังถูกจ้องด้วยดวงตาสีเหลืองอำพันเปล่งประกายนั้นมันก็ทำให้เขาไม่รู้สึกใดๆ แม้เลือดสีเข้มจะซึมออกมาระหว่างขาจนเริ่มชุ่ม แต่อีกครั้งที่ความมืดมนครอบงำจนสับสนไม่รุ้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร

          อยากจะทำ..

          ต้องการ..

          ความรัก..จากชายคนนี้

            “เจ้าจะสนุกกันมัน.. ” สิ้นเสียงราวกับเป็นบัญชาที่ก้องดัง มิกิเริ่มทำในสิ่งที่น่าอับอายอย่างไม่น่าให้อภัยไปจนวันตาย แต่ร่างกายมิอาจปฏิบัติตามความคิด แม้ดวงตาจะเป็นสิ่งเดียวที่ปฏิบัติอย่างซื่อตรงกับเจ้าของของมันด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลอาบลงมา แต่สะโพกของเขากลับตอบรับความสุขสมที่อยู่ด้านล่าง ด้วยการเคลื่อนกายขยับขึ้น พร้อมกับพยายามผ่อนน้ำหนักตัวไม่ให้กระแทกลงมาให้เจ็บปวด ทว่าจังหวะที่กระทำนั้นช่างร้อนแรงเหมือนกับกำลังควบอาชาอันสง่างามใต้แสงจันทร์ แต่กลับกัน..การกระทำเช่นนี้ดันสร้างความรู้สึกพอใจอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง

            กายบางที่ปรนเปรออย่างร้อนแรง หลายครั้งทำให้ราชาแห่งอนาคานหลุดเสียงคำรามออกมาอย่างพึงพอใจ ขณะเดียวกันสีหน้าก็กัดกลั้นความรู้สึกบางอย่างในตัวเองไว้ด้วย ไม่ช้าเมื่อความควบคุมความสุขสมเริ่มเกินกว่าจะรับที่อยากจะให้เป็น

            ร่างเล็กถูกจับพลิกตัวจนบนเตียงอีกครั้ง บาซิกค์ขยับสะโพกกลมเข้าลึกขึ้น ก่อนจะโน้มกายทาบทับลงมาอย่างไม่สนใจ ความเจ็บทำให้มิกิต้องนิ่วหน้าทน เมื่อแรงกระแทกเริ่มกระชั้นถี่และเร็วขึ้นเรื่อยๆดุจพายุที่กำลังกระหน่ำเทลงมาครั้งสุดท้าย

           “ มิกิ....” เสียงทุ้มแห่บพร่าดังกระซิบข้างใบหูของคนที่อยู่ด้านล่างดั่งมนต์สะกด เพราะยิ่งได้ยินมากเท่าไรก็ยิ่งปลุกอุณหภูมิในร่างกายให้ขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆไปจนถึงดวงหน้าที่แดงระเรื่อ ขณะที่นัยน์ตาคู่สวยกลับคลอไปด้วยหยาดน้ำตาหลากอารมณ์ที่ถาโถมจนไม่รู้จิตใจตัวเอง

            ย..อย่าเรียกชื่อฉัน..

           เสียงห้ามในห้วงความคิดนั้นร้องค้านขึ้นอย่าฝืนทน แม้ร่างกายทุกสัดส่วนของร่างนี้จะไม่ได้ขัดขืนการกระทำ แต่ดวงตาสีอ่อนที่แสดงออกอย่างจัดเจนถึงความรู้สึกของตัวเองและแววตาที่ต่อต้านนั้น ยิ่งทำให้ราชาแห่งอนาคานกลับหงุดหงิดนัก อยากจะเอาชนะทุกอย่างแม้กระทั่งหัวใจของเด็กหนุ่มคนนี้!

            “ มิกิ.. ”

            “ ย..หยุด..หยุด ” หลุดร้องคำพูดออกมาเป็นคำทั้งน้ำตาได้อย่างชัดเจน ทว่ามิอาจหยุดการกระทำนี้ได้ต่อไปอีกแล้ว เมื่อเรือนร่างนี้กลับไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป

            เมื่อได้เห็นดวงตา และเสียงนั่น! 

           ดวงตาที่จ้องมอง..ก็เหมือนร่างกายกำลัง....

            มอดไหม้

            เสียงที่ยิ่งเรียก..ก็เหมือนร่างกายกำลัง.......

            หลอมละลาย

            งูที่เลือกรัดเหยื่อเอาไว้แล้ว..ต่อให้ต้องตายก็ไม่ยอมปล่อย..

             นั่นเพราะ..

            “ ร่างกายนาย..เป็นของฉัน..มิกิ ”

            ค่ำคืนนี้จะดำเนินไปเนิ่นนาน....จนกว่าเหยื่อจะกลืนลงไปในท้องจนหมด..
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 06-08-2015 19:49:16
 
ค่ำคืนที่ 8 : ล่าม Part จบ


            ภายในห้องสี่เหลี่ยม ล้อมรอบด้วยกำแพงหนาทึบ ทั่วทั้งห้องว่างเปล่าไม่มีสิ่งของใดๆ มีเพียง เสียงหยดน้ำไหลลงจากเพดานสูงหยดลงสู่พื้น กับร่างกำยำสูงใหญ่ที่แขนทั้งสองถูมัดตึงไว้ติดกับกำงแพง อาภรณ์ที่เคยสวมใส่สูงศักดิ์ของนักรบถูกถอดออกจนเกลี้ยงเหลือแค่เพียงร่างเปลือยเปล่า

 

 

         แม้จะยังไม่มีการลงโทษใดๆเกิดขึ้น แต่บาฮาล ฮอร์น ซัลคาฟา องค์ชายเพียงหนึ่งเดียวของอนาคานกลับอดที่กังวลเป็นไม่ได้ แต่เหตุนั้นไม่ได้วิตกกลัวเรื่องจะถูกลงทัณฑ์จากองค์ราชา แต่อีกเหตุผลคือการถูกเด็กหนุ่มนั้นเกลียดขี้หน้า อยากจะเอ่ยปากอธิบายความจริงทุกอย่าง แต่ดูเหมือนตอนนี้ก็คงสายเกินไป งูที่มีเพียงพละกำลังอย่างเขา คงมิอาจเทียบเท่างูที่พิษร้ายแรงได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธตัวเอง ทั้งที่อีกฝ่ายขอร้องให้เขาไปส่งแท้ๆ แต่เขากลับเลือกจะปฏิเสธ และสุดท้ายเรื่องราวที่ปกปิดมาทั้งหมด ก็หมือนเป็นเพียงแค่คำโกหกของเด็กน้อยที่ใครก็ดูออก..

 

            “ พระองค์ไม่ควรขัดรับสั่งองค์ราชาตั้งแต่แรก ถ้าจะตรัสว่าทรงสงสารท่านมิกิก็ยิ่งไม่มีสิทธิ์..” เสียงเรียบคุ้นหูดังขึ้นจากในมุมมืด เรียกดวงตาสีกรมเข้มให้เพิ่งมอง ก่อนจะพบร่างสูงโปรงของหัวหน้าราชบริวาร

 

            “ เจ้าจะมาเยาะเย้ยข้าสินะ ซาอิด ” กล่าวอย่างรู้ทันความคิด แต่ใบหน้าคมเข้มของคนตรงหน้าก็ยังคงประดับรอยยิ้มบางๆไว้อย่างเช่นเคย

 

            “ หาได้เป็นเช่นนั้น กระหม่อมแค่มาตามรับสั่งขององค์ราชา ว่าพระองค์เป็นเช่นไร ”

 

            “ คิดว่าข้าจะหายตัวได้งั้นหรือ มีรับสั่งให้ลงทัณฑ์เช่นไร ข้าก็จะไม่เกรงเจ้าไม่ต้องลีลา” เริ่มขึ้นเสียงแข็งด้วยความหงุดหงิด ยิ่งเห็ฯใบหน้าของคนที่ไม่ค่อยชอบใจอุณภูมิในร่างก็ก็ยิ่งเดือดปะทุขึ้น ซาอิดเข้าใจอารมณ์ขององค์ชายบาฮาลดีว่าไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยขี้โมโห แต่ยิ่งเห็นก็ยิ่งกลับทำให้รู้สึกสนุก

 

            “ ยังไม่มีบัญชาใดๆทั้งสิ้น แค่ให้มาดูเฉยๆ นับว่าองค์ราชายังทรงเมตตาพระองค์มากนัก เรื่องใหญ่เช่นนี้ หากเป็นกระหม่อมคงถูกประหารชีวิตไปแล้ว ” คำพูดที่ที่แผงไปด้วยความดูแคลนสมเพช ทำเอาองค์ชายหนุ่มถึงกับเดือดดาดเป็นไฟ

 

            “ ออกไป..ออกไปให้พ้นหน้าข้าซาอิด! ” กล่าวไล่อย่างไม่ไว้หน้า หากอยู่นานกว่านี้คงสาบานได้ว่าจะแหกคุกนี่ออกไปแล้วฉีกร่างตรงหน้าเป็นชิ้นๆ ทว่า..ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาคมกริบคู่นั้นไม่ได้ฉายแววถึงความหวาดกลัวเลยสักนิด แต่กลับท้าทายจนน่าหงุดหงิด รอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูยกขึ้นที่มุมปากสวย ก่อนโค้งตัวลง

 

            “ น้อมรับบัญชา แต่ก่อนไปกระหม่อมมีเรื่องให้ทรงทราบเป็นการส่วนตัวเล็กน้อย ” พอได้ยินกระโยคหลัง คิ้วหนาก็ขมวดเป็นปม

 

            “ เรื่องอะไร.. ” ซาอิดฉีกยิ้มเย็น..

 

            “ ทั้งหมดเกี่ยวกับคนที่พระองค์พาหลบหนี…เรื่องของท่าน มิกิ ”

 

 

 

 

            เวลาผ่านพ้น ไป 2 คืนเต็ม จันทร์สง่ายามค่ำคืนหวนคืนสู่ท้องนภามืดทึบอีกครั้ง ลมทะเลทรายหนาวเหน็บพัดพริ้วเข้ามาในห้องบรรทมของผู้ครองนครโบราณ บนร่างบอบบางที่คงหลับไม่ได้สติปรากฏร่องรอยของการสู้รบเป็นจ้ำแดง เส้นผมพริ้วไหวแผ่วเบายามกระทบแสงดวงเดือนเปล่งประกายทองอ่อนๆสวยงาม ใบหน้าหวานหมดจดมีปราบน้ำตาแห้งเกรอะกรัง ริมฝีปากแหกปากมีรอยแผลที่แตกออกจากการต่อสู้ในค่ำคืนสวาทรัก

 

            แม้ค่ำคืนนั้นจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่นับได้ว่าเป็นเวลาที่เนิ่นนานเกินกว่าเด็กหนุ่มจะรับไหว นิ้วเรียวบางเริ่มขยับอีกครั้ง สติที่ดับวูบไปนานก็เริ่มกลับคืนมาดั่งเช่นเดิม ดวงตาที่บวมฉ่ำจากการร้องไห้ระบายความรู้สึกปรือลืมขึ้นเชื่องช้าราวกับไม่อยากจะเผชิญกับความจริง

 

            ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตามันมือครึ้มไปหมด ทว่ากลับรับรู้ได้ว่ากำลังอยู่บนเตียงนอนในห้องของคนที่เกลียดชัง พอเลื่อนสายตาออกไปมองทั้งที่ใบหน้านั้นยังซบลงกับหมอน ก็พบร่างสูงกำลังนอนอยู่ข้างกาย ความตกใจ ทำให้ต้องรับยันตัวถอยห่าง ทว่า..เพียงขยับขึ้นก็รู้สึกเจ็บระบทที่สะโพกและปั้นท้ายราวกับช่วงล่างถูกทำลายของตัวเองนั้นก็ทำเอาน้ำตาเล็ด เสียงที่ควรจะเปล่งร้องครวญก็แหบแห้งเสียงจนไม่มีเสียงใดๆ คล้ายกับลำคอของตัวเองถูกแผดเผาไปจนสิ้น


           มิกิพยายามตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตามหลังจากที่เขาถูกบาซิกค์สวมปลอกคอ แล้วสบดวงตาคู่นั้นเขาก็จำได้แค่ภาพเรือนลางที่ไม่ปะติปะต่อกันเท่านัก

 
          เห็นดวงตาสีเหลืองทอง

 
         เห็นการเคลื่อนไหว..

 
         และร่วมรัก ของชายผู้นั้น

 
         !!!

 
        “ อึก! ”

       คิดเพียงแค่นั้นความรู้สึกหนึ่งก็เล่นเจ็บแปล็ดเข้ามาที่ส่วนช่องทางปลายสะโพก ดวงตาสีอ่อนเบิกโตตกใจ เมื่อลองเอามือล้วงสัมผัสลงไปก็พบของเหลวสีแดงข้นปะปนด้วยน้ำสีขาวไหลออกมา ถึงมันจะเพียงเล็กน้อย แต่ทั้งหมดก็เพียงพอที่จะทพให้สตินั้นขาดสะบั้น มิอาจทำใจรับได้ เมื่อรู้สสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

 
       มือเรียวอีกข้างยกขึ้นปิดปากตัวเองเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นนั้นดังเล็ดรอดออกมาให้คนที่นอนข้างกายตื่น มิกิพยายามคลานลงจากเตียงอย่าเงียบเชียบที่สุด พลันสายเหลือบไปเห็นโต๊ะที่ตั้งชุดอาหารเอาไว้มากมายความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาให้หัวทันที

 

        มีดปอกผลไม้ถูกหยิบขึ้นมาจากโต๊ะ แม้ทุกครั้งที่ขาเรียวยาวก้าวเดินจะรู้สึกเจ็บจนแทบทนไม่ไหวแต่ก็พยายามคลานไปอย่างเงียบเชียบที่สุด กระทั่งถึงร่างทรงอำนาจที่ทำลายความเป็นของเขาจนย่อยยัย

 

         หยามเกียรติ

 

         หยามศักดิ์ศรี

 

         จนไม่เหลือความเป็นคน

 

          ความโกรธชิงชังแค้นเคืองเข้าครอบง่ำจนมิอาจ สะกดคำว่าให้อภัยได้ถูกต้อง มีดคมกริบถูกมือเรียวกำแน่นจนสั่น ก่อนยกขึ้นสูง ถ้าคนคนนี้ตายไปซะ ทุกๆอย่างจะได้จบสิ้นสักที

 

          ไปตายซะ!!

 

          กึก..

 

           ………

 

          คมมีดชะงักหยุดเฉียดใกล้แผ่นอก มือเรียวสั่นเทาด้วยความลังเลที่กำลังมากล้นในจิตใจ.. เพียงแค่แทงลงไปทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบสิ้น แต่เขากลับ..

 

         แหมะ...

 

         “ ฮึก..”

         น้ำตาไหลอาบลงมาเป็นสายหยดลงบนหลังมือของตัวเองจนเย็นชื้น ทั้งที่โดยย่ำยี จนไม่เหลือคุณค่าของความเป็นคน แต่เขากลับใจไม่กล้าแกร่งพอที่จะฆ่าคนได้ ในจิตใจมันเป็นความทรมาณที่กำลังต่อสู้อยู่กับความถูกต้อง แม้อยากจะฆ่าให้ตาย แต่เขาก็ไม่ใช่คนแบบนั้น!

 

          มันเจ็บ..

 

        มันอึดอัด..

 

           กลางแผ่นอกของตัวเอง..

 

          ความอ่อนแอที่เกิดขึ้น ทำให้เขารู้สึกเกลียดตัวเอง..เกลียดตัวเองมากที่สุด! ดังนั้นคนที่สมควรตายมากสุดก็คือ..

 

          ตัวเขาเอง..

 

          แหมะ...

 

           แหมะ...

 

         หยาดเลือดสีเข้มไหลล้นออกมาจากคมมีดที่กรีดเฉือนบนข้อมือหยดลงบนเตียงนุ่ม สีแดงสดไหลอาบรดทั่วท่อนแขนเรียวยาว ความเจ็บปวด แสบร้อนเริ่มให้ล้นไปทั่วร่างกาย แต่ไม่นานก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความด้านชา ดวงตาเริ่มหนักขึ้นจนปรือต่ำ กลิ่นคาวคลุ้งของหยาดโลหิตล่องลอยตลบ มีดและมือทิ้งลงพร้อมกับร่างกายที่ทรุดฮวบกองกับพื้น เสียงล้มที่ดังข้างกาย เรียกสติของคนที่นอนอยู่บนเตียงหวนคืนฮับพลัน ทว่า..ภาพที่เห็นทำให้ดวงตาของราชาอสะพิษวาวโรจน์อย่างไม่เคยเป็น

 

          “ มิกิ! ”

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 06-08-2015 20:06:23
สุดยอดความเป็นเอสเอ็ม
ล่อลวง ให้ลุ่มหลง
เอาวะอย่าให้น้องมิกิมีอำนาจนะ
เอิ่ม..คงไม่มีฉากกลัวเมียเพราะเรื่องนี้นายเอกเป็นรองทุกฉากทีอ่านมาตั้งแต่บทแรก
อะไรจะลำบากกว่านางเอกพิศาลอีกนะนี่
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-08-2015 20:40:10
 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Serioz ที่ 07-08-2015 01:11:58
ตอนนี้สงสารมิกิจับใจㅠ ㅠ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 07-08-2015 02:03:41
โถมิกิ :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 07-08-2015 17:35:56
ขอบคุณ ทุกคอมเม้นต์ที่ให้กำลังใจนะคะ ><

ไม่มีโอกาสได้ตอบเม้นในนี้เลย..แฮร่ๆ..

ยังก็ ดี้ ของ ฝากผลงานด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะ พรุ่งนี้  ลงตอนใหม่ให้เนร๊อะ ><
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 07-08-2015 18:42:13
กรี๊ดดด มิกิของแม่ถูกย่ำยีซะแล้ว :sad4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 10-08-2015 07:16:44
 :katai1: 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 11-08-2015 23:14:05
           กฏของเทพนาคิน คือความเป็นไปของวงจรชีวิตเหล่านาคินและราเมียร์ ซึ่งสิ่งที่เป็นเสมือนกงล้อให้ขับเคลื่อนไป คือการกำหนด ‘ฤดูกาลเก็บเกี่ยว' ที่จะจัดขึ้นทุก 30 ปี


           อนาคานที่เป็นเสมือนกายเนื้อจึงจำเป็นต้องส่งกายเนื้อไปรวมกับจิตวิญญาณที่ซาคาเดียร์ โดยแล้วแต่การกำหนดของเทพนาคิน ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกนั้นจะได้รับการยกย่องว่าจะเป็นบรรไดสู่สวรรค์ เป็นเกียรติอันสูงส่งแห่งนาคิน แต่หากทั้งหมดเป็นความจริงที่กุขึ้นเพื่อลวงโลกเพียงเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงฐานะที่ถูกกำหนด นั้นคือ 'เครื่องสังเวย' ของราเมียร์


          นาคินจะมอบร่างกายและอำนาจให้กับการถือกำเนิดแห่งชีวิตใหม่โดยมีราเมียร์เป็นผู้เลี้ยงดู


          ทุกอย่างนี้เป็นการบูชา เป็นพิธีกรรมสืบทอด..


          ทว่า..สิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายคือทุก 210 ปี เทพนาคินที่ปกครองอนาคานจำเป็นจะต้องเลือกราชีนีคู่บัลลังก์ เพื่อให้กำเนิดโอรสเทพนาคินองค์ใหม่ โดยการคัดเลือกนั้นไม่จำเป็นจะต้องชอบพอ โปรดปราน แต่ทั้งหมดมาจากจิตใจที่ว่างเปล่า  หากปฏิเสธการเลือกคู่ครอง ตามตำนานได้ระบุเอาไว้ว่าจะเกิดเหตุภัยพิบัติ โรคระบาด และคำสาปแห่งความตายจะเข้าปกคลุมทั้ง ซาคาเดียร์และอนาคาน ดังนั้นเทพนาคินจำเป็นจะต้องปฏิบัติ เพื่อป้องกันสิ่งเหล่านี้ และอาจเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเทพนาคินทุกองค์ถึงถูกสอนให้ไร้ซึ่งความรู้สึก เพราะปลายทางของพวกเขามีเพียงแค่ความว่างเปล่าที่รออยู่


          ดังเช่นความรัก..จักไม่ปรากฏในหัวใจ ซึ่งมิอาจมีรักได้


          บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา รู้ซึ้งถึงสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น..และตีความได้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่ละครตบตา แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องคัดค้านกฏที่ปฏิบัติมาเนิ่นนาน ไม่ใช่ว่าเขาเคารพซึ่งบรรพบุรุษ แต่การมีชีวิตอยู่ที่เป็นเสมือนแค่ไม้ค้ำจุนเหล่าชีวิตของนาคินนั้นก็ทำให้เขารู้สึกสนุกอยู่ไม่น้อย แม้แท้จริงจะเป็นเพียงหุ่นเชิดที่รอการเขี่ยทิ้งเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายก็ตาม


           ถึงจะเคยสงสัยว่า..กฏของเทพนาคินที่เกิดขึ้น..ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด แม้จะเคยได้ยินสำนวนของพวกมนุษย์ว่าความรักนั้นเปรียบเสมือนพิษที่ร้ายแรงที่สุดยามขาดหาย หากลองสัมผัสความเจ็บปวดที่อกข้างซ้าย มันจะใช่บาดแผลที่เกิดจากพิษรักครั้งในอดีตใช่หรือไม่ ทั้งหมดเขาไม่เข้าใจเลยสักนิด รู้แต่เพียงว่า

       เกลียด..เกลียดการถูกทรยศหักหลัก

       เกลียด..รอยยิ้มเสแสร้ง

       เกลียด..การหลอกลวง

       เกลียด..ดวงตา..และร่างกายนั่น

      ถึงจะเข้าใจดีเรื่องอยุติธรรมพวกนี้ตั้งแต่เยาว์วัย แต่ก็ต้องแสร้งเป็นไม่มีความรู้สึกใดๆ เสมือนมีผ้าขาวบางๆผูกดวงตาเอาไว้ แม้เห็นเลือนราง..แต่ไม่สามารถพร่ำพูด มีเพียงแค่ความโหดร้าย และความหนาวเหน็บเท่านั้นที่ถูกเรียนรู้ จนกลายเป็นร่างกายที่เสมือนไร้ชีวิต


       สำหรับ คิโนมุระ มิกิแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ ก็เป็นเพียงแค่ ‘เครื่องมือ’ ที่สามารถยื้อชีวิตของตัวเองออกไปได้ ตราบสิ้นชีวิตของคนคนนี้ เหล่านาคินจะไม่ถูกส่งไปซาคาเดียร์หากอารมณ์เกี้ยวรักนั้นถูกปลดปล่อยออกมาก่อนกำหนดด้วยกลิ่นบุปพชาติโบราณที่ออกมาจากร่างกายบอบบางนี้


        เขาพยายามคิดแค่นั้น..


        แต่ทำไมพอเห็นผลของสิ่งที่กระทำ มันถึงได้รู้สึกหนักหน่วงที่แผ่นอกเช่นนี้ ทั้งที่ภายในใจยังคงเมินเฉยเย็นเยือก รูปกายภายนอกก็มิได้แปรเปลี่ยน แต่ก้อนเนื้อภายในอกข้างซ้ายเล่า..มันยังเป็นเช่นเดิมหรือเปล่า


       ไม่เข้าใจจริงๆ..

        “ ฝ่าบาท..”


        “ พวกเจ้าออกไปหมด ” ไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยสิ่งใด สุรเสียงเรียบเย็นก็ตรัสสั่ง ก่อนดวงตาคมจะปรายตามองร่างสูงโปร่งของหัวหน้าราชบริวาร “ ยกเว้นซาอิด ”


          ร่างสูงโค้งตัวเล็กน้อบรับคำสั่ง พอสิ้นคนที่ไม่ต้องการออกไปจนหมด  ราชาบาซิกค์ก็ลุดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงจากที่นั่งประทับ ก่อนจะหย่อนตัวลงริมขอบเตียง ดวงตาเรียวคมหรี่ลงมองร่างที่ยังคงหลับลึกไม่รับรู้สิ่งใด แรงดึงดูดบางอย่างทำให้มือเรียวขาวยกขึ้นปัดเกลี่ยเส้นผมสีอ่อนบนดวงหน้าหวานอย่างทะนุถนอมราวเป็นดอกไม้บอบบาง ก่อนจะปรายตาลงมองข้อมือเล็กที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวและชะงักงันไปชั่วครู่ เมื่อเห็นคราบของเหลวสีแดงแห้งๆที่ไหลซึมออกมาจากผ้า


          “ ความปรารถนาของนายจะไม่มีวันเป็นจริง..ถ้าฉันไม่อนุญาต ” พร่ำเอ่ยแผ่วเบา แม้จะไม่มีการตอบสนองของร่างที่นอนอยู่ แต่เหมือนกลับต้องการให้เสียงนี้ก้องทุ้มในหูของคนคนนี้แม้ในยามหลับ จนมิอาจคิดถึงสิ่งใดได้


          จะมีแค่เขา..


          จะมีแค่เขาเพียงคนเดียว..


          กึก..


           หลังจากที่ยืนนิ่งมองดูผู้เป็นเจ้าชีวิตอยู่ซักพัก หัวหน้าราชบริวารหนุ่มพลันสะดุ้งตัวทันทีที่รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมที่ขึ้นมาเลื้อยพันอยู่ที่ลำคอ อสรพิษเกล็ดสีขาวมันวาว แลบลิ้นยาว ดวงตากลมจ้องมองเขานิ่งราวกับจะสำรวจทุกสิ่งที่ใคร่รู้ แต่กระนั้นก็ไม่มีแววคุกคามแต่อย่างใด ซาอิดกลืนน้ำลงคออึกหนึ่งด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนผู้เป็นใหญ่แห่งอนาคานจะหันมาคลี่ยิ้มเย็นเยียบและให้ความสนใจกับคนที่เขาขอให้อยู่ต่อ


             “ เจ้าพบสิ่งใดมาบ้าง ”


             “ ทูลองค์ราชา ข้อมูลของคิโนมุระ มิกิ ยังไม่พบสิ่งใดเพิ่มเติม แต่ทราบข่าวมาว่า ก่อนที่ท่านมิกิจะถูกพ่อค้าทาสจับมาประมูลขายที่อาราบัส เกิดเหตุระเบิดขึ้นทางตอนใต้ของเมือง ที่นั่นเป็นโอเอซิสและมีสถานีวิจัยของพวกต่างชาติ คาดว่าท่านมิกิมาจากที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะประสงค์ให้กระหม่อมทำสิ่งใดต่อ” ซาอิดกล่าวไปตามความจริง หลังจากที่กลับจากซาคาเดียร์ ก็มีรับสั่งให้เขาสืบหาข้อมูลของมิกิต่อโดยทันที ดูเหมือนว่าองค์ราชาจะค่อนข้างสนใจเด็กหนุ่มคนนี้เป็นพิเศษ ซึ่งในตามความคิด..หากองค์ราชาเห็นมิกิเป็นเพียงแค่เครื่องมือ ก็คงไม่จำเป็นต้องอยากรู้เบื้องหลังให้มากความเช่นนี้ แต่กลับสั่งให้ค้นอย่างระเอียดถี่ถ้วนมากกว่าใครจนแปลกใจ


         “ ยังไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ” รอยยิ้มหุบลงจนเหลือเพียงริมฝีปากที่เรียบเป็นเส้นตรง น้ำเสียงไม่มีสามารถคาดเดาอารมณ์ได้ทำเอาหัวหน้าราชบริวารนิ่วหน้าลงด้วยความสงสัย ขณะที่อสรพิษสีเผือกที่พันอยู่ที่ลำคอเริ่มชูคอสูงขึ้นจนอยู่ในระดับสายตาของซาอิค


            “ บาฮาลเป็นอย่างไร ” คำถามนั้นแสดงถึงความห่วงใย แต่พอผสานกับน้ำเสียงเรียบเย็นนั้นดูไม่ใช่


            “ ทรงได้รับโทษตามพระบัญชาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ”       


            “ ซาอิด..เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดนอกเหนือคำสั่งข้าใช่หรือไม่ ”

            อสรพิษชูคอขึ้นสูง ลิ้นยาวแลบออกมาพร้อมคมเขี้ยวส่งเสียงขู่ฟ่อพร้อมจู่โจมทันทีหากได้ยินเสียงรับสั่ง แต่หัวหน้าราชบริวารไม่ได้แสดงความตื่นกลัวแต่อย่างใด ริมฝีปากขยับเปล่งเสียงบางอย่างเป็นภาษาที่ฟังไม่ออก เพียงแค่นั้นอาการของเจ้างูนั่นก่อนสงบลง ก่อนปรายนิ้วของเขาจะดันศีรษะของมันให้ออกห่างใบหน้า


            “ เปล่าพ่ะย่ะค่ะ ” คำตอบนั้นชัดเจน น้ำเสียงที่พูดไม่ได้แสดงถึงความลังเลแต่อย่างใด บาซิกค์ทำเพียงพยักใบหน้ารับในคำตอบนั้น ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณว่าเขาไม่มีธุระอะไรอีก ร่างสูงจึงโค้งตัวลงแสดงถึงความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะก้าวเดินไปจากห้อง ทิ้งร่างของผู้ปกครองชีวิตอยู่เพียงลำพังกับคนที่ยังไไม่ฟื้นคืนสติ





            สองวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ...


            หลังจากคืนนั้นร่างบางก็ได้สติหวนคืน แต่ดวงใจที่บอบช้ำมาอย่างหนัก พอตื่นขึ้นมาแล้วพบสภาพความเป็นจริง ก็มิอาจยอมรับได้ ขีวิตคล้ายกับกำลังพบวงจรอันโหดร้ายเสียยิ่งกว่าถูกจองจำ


           จะหนีก็ไม่ได้


           จะตายก็ทำไม่ได้


            ชีวิตราวกับตายทั้งเป็น


            มิกินั่งอยู่บนเตียงด้วยใจที่เหม่อลอย แม้หัวใจจะยังคงเต้นเหมือนเช่นเคย ทว่านัยน์ตาของตัวเขานั้นราวกับไร้ชีวิต มันว่างเปล่าเลื่อนลอยเสียจนไร้ที่ยึดเหนี่ยว หลายครั้งที่พวกบริวารของราชาบาซิกค์นำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะตามรับสั่ง แต่ก็ถูกร่างเล็กอาละวาดปัดกวาดทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะจนระเนระนาด เสื้อผ้าที่ถูกนำมาให้ ก็ไม่ยอมผลัดเปลี่ยนโดยง่าย จำเป็นต้องใช้คนถึง4คนถึงจะจับใส่ได้


            แม้อารมณ์เกรี้ยวกราดจะแสดงออกมาผ่านทางกระทำ แต่ดวงตากลับเผยเพียงความซึมเศร้า ไม่ปริปากพูดใดๆ มีเพียงความเงียบกับอารมณ์ที่แปรปรวนเหมือนคนที่เสียสติ ถึงข้อมือทั้งสองที่เคยถูกมัดด้วยโซ่ทองจะหายไปแล้ว แต่หลักฐานที่ปรากฏเด่นชัดให้นึกถึงความอัปยศคือปลอกคอสรพิษที่ต้นคอของตัวเอง!


          ร่างกายนี้แปดเปื้อนเกินกว่าจะชำระล้าง ความโกรธเกลียดทำให้มิกิทุบตีและทำร้ายร่างกายตัวเองจนเป็นรอยช้ำแดง ทว่า..กลับไม่มีคำสั่งให้จับร่างบางมัดไว้กับเสาเตียงเหมือนที่เคยทำแต่อย่างใด บาซิกค์ทำเพียงแค่ปล่อยให้ร่างบางได้ระบายจนพอใจ พอตื่นขึ้นมาก็มีรับสั่งให้บริวารและหมอของราชวังมาทำแผลให้ใหม่อีกครั้ง เป็นเช่นนี้จนกลายเป็นวงจรที่แสนทรมานราวกับตายทั้งเป็น ซึ่งราชาบาซิกค์ต้องการให้มิกิผจญกับฝันร้ายเช่นนี้ไปเรื่อยๆหากไม่ยอมหยุด


            และวันนี้ก็ไม่ใช่วันแรกที่อารมณ์ของร่างเล็กนั้นแปรปรวน เขายังคงนั่งกอดเข่าดังเช่นคนอมทุกข์บนเตียงบรรทมของราชาที่พรากทุกอย่าง แต่จู่ๆน้ำตาก็ไหลอาบแก้มลงมาเป็นสาย ความหวังที่หมดสิ้นไปตอนนี้เขาเข้าใจแล้วมันรู้สึกเช่นไร แต่มันคงดีกว่านี้ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆทั่วไป แต่สำหรับเขาใครจะรู้ล่ะว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง..


            เขาควรทำอย่างไรดี..นี่คือคำถามที่ดังขึ้นในใจแต่ไร้ซึ่งคำตอบมาช้านาน หัวใจที่ยังเต้น มันคงเต้นไปตามหน้าที่ที่บ่งบอกว่าเขายังมีชีวิต แต่ความรู้สึกที่อยู่ข้างในล่ะ? คงไม่มีใครแม้แต่จะเหลียวแล คงมีเพียงคนที่รอคอยการเหยียบย่ำและระบายสิ่งที่ต้องการอยากจะได้ในฐานะที่เขาเป็นเพียงแค่เหยื่อที่ไม่มีทางสู้


            เขาควร..ทิ้งร่างกายนี้หรือเปล่า..?


            “ ยังไม่ได้อาบน้ำอีกหรือ ” เสียงที่ไม่อยากได้ยินทำเอาดวงตาสีอ่อนนั้นเบิกโต ปฏิกิริยาของร่างกายตอบสนองตามสัญชาตญาณที่กลายเป็นเงื่อนไขเมื่อพบสิ่งเร้ากระตุ้น กายบางขยับถอยหนีชิดหัวเตียง ร่างกายสั่นเทาดุจนกน้อยที่กำลังหวาดกลัว

            “ กลัวขนาดนั้นเลยหรือ ”

            ขยับตัวเข้าไปใกล้คนที่ถอยหนี กายสูงใหญ่นั่งข้างกายที่สั่นเทา ใบหน้าคมคายยื่นเข้าไปใกล้จนลมหายใจไหลรดพวงแก้มที่อาบคราบน้ำตา ดวงตาเรียวคมหรี่ลงมองราวกับสำรวจทุกสิ่ง สายตาที่มิอาจคาดเดาทำให้มิกิปิดตาหนี ทว่า..มือทรงอำนาจกลับยกขึ้นแตะลงบนริมฝีปากที่เม้มลงกลั้นความรู้สึก เห็นหยาดเหงื่อเริ่มไหลซึมจากกรอบหน้าสวย และเหมือนได้ยินเสียงหัวใจของร่างตรงหน้าที่เต้นระส่ำเหมือนเหมือนกำลังประท้วงสิ่งที่เผชิญ


            “ เด็กดื้อหายไปไหนแล้วล่ะ ”

            มิกิไม่โต้ตอบสิ่งใด ทำเพียงแค่ปิดตาจนแน่นไม่อยากรับรู้ พยายามเขยิบถอยร่างกายจนแทบจะฝั่งลงไปในกำแพง มือบางกำผ้าปูที่นอนจนยับย่น ภาพนี้ช่างสร้างความหงุดหงิดให้แก่ราชานัก  แต่เขากกลับไม่อยากเปิดเผยความโหดร้ายออกมาให้หวาดหลัวมากไปกว่านี้ หากแต่ยกขนมหวานขึ้นมาเป็นเหยื่อล่อแทน


            “ สบตาข้าสิ..แล้วข้าจะพาเจ้าออกไปข้างนอกนั่น ” กระซิบเสียงนุ่มลึกข้างใบหู เหยื่อล่ออันแสนเย้ายวนเขยื้อนเอ่ยจากริมฝีปากหยักสวย ก่อนจะคลี่เป็นรอยยิ้มบางเบาที่มิอาจคาดเดาความรู้สึก
       

           พอได้ยินเช่นนั้น มิกิรู้ดีว่าความหวังที่พูดเสมือนเป็นสิ่งเสพย์ติด ทั้งที่ไม่ควรเชื่อ แต่หัวใจกลับต้องการอยากจะได้สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจจนมอมเมา และเมื่อความต้องการและความโหยหาอยู่เหนือทุกสิ่ง เขาก็มิอาจห้ามใจไว้ได้อีก


            ดวงตาสีมรกตค่อยๆเปิดลืมขึ้นเชื่องช้า เห็นใบหน้าอันงดงามหมดจดดุจทวยเทพของคนตรงหน้าช่างดูยิ่งใหญ่ สมอาภรณ์ขาวสูงศักดิ์ รัดเกล้าทองคำรูปอสรพิษแผร่แม่เบี้ยแสดงถึงความองอาจของชายผู้นี้ ทว่า..รูปลักษณ์ไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาหลงใหล แต่เป็นนดวงเนตรของราชาต่างหากที่น่าหวาดหวั่น

            เนตรที่สะกดทุกสรรพสิ่งตามต้องการ..

           ใจจิตนี้ลุ่มหลงอีกครั้ง ก่อนร่างกายจะล่องลอยไปไกลแสนไกลดั่งคำเชิญชวน..

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 8]UP 6/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 11-08-2015 23:19:41


          ณ สถานณีวิจัย บนประเทศเล็กๆที่เป็นหมู่เกาะแต่หากเติบโตด้วยเทคโนโลยีก้าวล้ำ ซึ่งเป็นเสมือนแรงขับเคลื่อนสำคัญทางเศรษฐกิจโลกให้เจริญเติบโต ในขณะที่ผู้ที่สามารถคิดค้นวิทยาการใหม่ๆได้สำเร็จกลับถูกยกย่องราวกับพระเจ้าผู้สร้างโลกที่สามารถสร้างความหวังให้กับผู้คน


         ศาสตราจารย์ค็อตเลอร์นักวิทยาศาตร์ทางการแพทย์ชื่อดัง หลังจากที่กลับจากทะเลทรายฮาซานพร้อมกับของขวัญชิ้นโตจากผู้ร่วมทีมอันแสนโง่เง่า เขาก็ถูกยกย่องเยี่ยงวีรบุรุษ ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น เพราะหลักฐานทุกอย่างถูกทำลายลงไปหมด มีเพียงแต่ลมปากที่พร่ำพูดสร้างเรื่องที่ไม่ใช่ความจริง และเบนเป้าหมายของผู้คนมาที่ผลงานวิจัยที่แลกมาซึ่งชีวิตของเพื่อนร่วมงานอย่างศาสตร์จารย์โลเกีย และการแสร้งบีบน้ำตาย่อมได้รับความเห็นอกเห็นใจเกินคาด โครงการเซรุ่มเพื่อรักษาโรคเจ้าหญิงนิทราจากดอกเพเซียจึงสามารถพัฒนาต่อได้

        ทว่า..ความจริง ของของเหลวสีชมพูในหลอดแก้วที่นำมา พอศึกษาแล้วสกัดออกมาจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากของเล่นหลอกเด็ก ไม่ว่าจะทดลองกี่ครั้งต่อกี่ครั้งผลการทดลองก็ไม่ต่างอะไรจากที่ทะเลทรายฮาซาน

       “ นี่มันของปลอม!! ”

        เพล๊ง!! หลอดทดลองถูกปาลงพื้นด้วยแรงอารมณ์ ใบหน้าของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความหงุดหงิด  เมื่อรู้ว่าสิ่งที่พยายามมาทั้งนั้นไร้ค่า!

          แสบนักนะโลเกีย..

          “ เราจะทำยังไงดีครับศาสตราจารย์ คาดว่าเซรุ่มที่สมบูรณ์จริงๆ อยู่ที่พวกเขาทั้งสองคน แต่..พวกเขา ” เสียงจากลูกน้องเงียบหายไป เพราะความจริงที่ไม่อยากเอ่ยถึง ค็อคเลอร์ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ก่อนกระชับเสื้อกาวน์ของตัวเอง ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด


           “กลับไปที่ทะเลทรายฮาซาน เก็บทุกอย่างที่ยังเหลือกลับไป” กล่าวจบก็ย่ำเท้าหนักๆออกไปจากห้องทดลอง เหยียบย่ำผ่านของเหลวสีชมพูที่เปรอะเปื้อนอยู่ที่พื้นตามแรงอารมณ์ แม้โลเกียจะจากโลกนี้ไปแล้วแต่กลับทิ้งทวนเขาได้เจ็บแสบนัก จนอยากจะกลับไปฆ่าให้ตายซ้ำสอง ตอนนี้สิ่งหนึ่งที่เขาสงสัยมาที่สุดก็คือ..แม้ศพของโลเกียจะถูกนำกลับมาที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว แต่ดันไม่พบร่างของผู้ช่วยคนสนิทของโลเกียเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ควรจะตายไปด้วยกัน!

           ทว่า..ในเรื่องร้ายๆก็ยังมีเรื่องดี ตามข้อสันนิฐานในใจของเขานั้นเป็นไปได้ 2 อย่างก็คือ ศพของมิกินั้นโดนแรงระเบิดจนไฟคอกไม่เหลือซาก กับอีกหนึ่งที่มีทางเป็นได้น้อยมากก็คือ เจ้าเด็กนั่นยังมีชีวิตอยู่..






       เสียงปี่แหลมสูงไล่บรรเลง..


        ม่านควันพร้อมกลิ่นบุปพชาติจากกำยานโชยคลุ้งขจรขจายมอมเมา


         มีเสียงสายน้ำไหลล้นออกมาจากรูปปั้นสลักอสรพิษที่ตรงมุมสระชำระกายขององค์เทพแห่งนาคิน ปลายเท้าเรียวค่อยๆเยื่องก้าวสัมผัสสายน้ำเย็นเฉียบ กระนั้นความหนาวเหน็บก็แล่นตรงเข้ามาสู่ร่างกายจนขนลุกตั้ง ทว่าเมื่อสบกับสายตาร้อนแรงของบุคคลที่นั่งผิงขอบสระอยู่ครึ่งตัวมาก่อนหน้า ก็พลันลืมเรื่องความเย็นของน้ำในสระไปจนหมดสิ้น

         มือเรียวเอื้อมปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ปกคลุมไปจนสิ้น ผ้าสีขาวล่องลอยอยู่เหนือผิวน้ำก่อนค่อยๆจมหายไปในสระ ร่างกายเปลือยเปล่าก้าวเดินเชื่องช้า สัมผัสถึงหยาดน้ำที่ค่อยๆท่วมกายมาเรื่อยๆจนถึงเอวคอดเล็ก  ดวงตาคู่สวยหลับลงราวกับทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ทว่า..เสียงหอบหายใจที่ดังขึ้นพร้อมกับจังหวะหัวใจที่เต้นแรงถี่ขึ้นทุกวินาที กลับตรงข้ามกับของรู้สึกของตัวเองโดยสิ้นเชิง

          บาซิกค์จ้องมองการกระทำที่น่าอภิรมณ์นิ่งงัน เสียงเครื่องดนตรที่เรียกมาช่างปลุกปั้นบรรยากาศให้เป็นใจยิ่งนัก ดวงตาสีอำพันทอดมองแสงอรุณที่สาดส่องผ่านหน้าต่างกระทบต้องกับพื้นน้ำเป็นประกายระยับ  ผิวเนื้อเนียนละเอียดดุจเม็ดทรายสีทองชวนเอื้อมไปสัมผัสยิงนัก สะท้อนกับร่างกายเย้ายวนกลางสายน้ำดุจเทพงามจำแลงกาย


         ใบหน้าเรียวหวานหันหนีจากดวงตาคมกริบร้อนแรงเหมือนต้องการให้ร่างกายหลอมละลายอยู่ตรงหน้า  มิกิพยายามเม้มริมฝีปากเข้าหากันจนแน่น แต่ความอับอายในจิตใจกลับปรากฏจนพวงแก้มทั้งสองขึ้นสีแดงระเรื่อดุจผลไม้สุก ขาเรียวงามหยุดชะงักด้วยความกังวลและหวาดหวั่นมิอาจก้าวเดินจนสุด กระนั้นผู้ที่เฝ้ามองทุกกิริยาจึงเผยมือขึ้นมาด้านหน้าราวกับเชิญชวนให้ตอบรับ


        " เดินเข้ามา.. "

         ถึงจะได้ยินเสียงเรียบเย็นเอ่ยสั่ง แต่ร่างบางกลับยื่นนิ่ง วินาทีนั้นเหมือนหัวใจกำลังหยุดเต้นไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร ความสับสน ทำให้ลังเลจนไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ผิดหรือถูก แม้ไม่ได้เอ่ยปากขอสิ่งใด เพราะความหวังของเขามันพังทลายจนไม่เหลือชิ้นดีอีกแล้ว แต่พอได้ยินประโยคให้ความหวังที่อาบยาพิษเอาไว้ ในหัวมันว่างเปล่าไปหมด ใจหนึ่งอยากประชดร่างกายตัวเองให้มันย่อยยับไปซะในเมื่อความบริสุทธิ์นั้นไม่มีค่าอีกต่อไป เพราะถึงออกไปด้านนอกได้สำเร็จ ก็ใช่ว่าจะหนีคนคนนี้พ้น ชีวิตของเขามันกลายเป็นสีขาวดำไปแล้ว เวลาที่เหลืออยู่จึงไม่มีค่าใดๆอีก ในเมื่ออยากจะได้ตัวเขานัก เขาก็สนองให้ทุกสิ่ง..


         “ สีหน้าแบบนั้น ไม่พอใจหรือไง ” น้ำเสียงเรียบเย็นกระตุ้นดวงตาที่ปิดไปให้ลืมขึ้นมอง แม้ในแววตาสีอ่อนดุจแสงมรกตนั้นแสดงถึงความต่อต้านที่ปรากฏขึ่น แต่มิกิกลับเลือกที่จะไม่พูดสิ่งใด


          “ คิโนมุระ..มิกิ สิ่งที่นายปราถนาจริงๆ คืออสิรภาพจริงหรือ”

           ร่างสูงใหญ่ลุดกายออกจากริมขอบสระ ก้าวเดินเข้ามาใกล้หาคนที่ไม่ยอมขยับ แต่ด้วยคำพูด..ทำให้ร่างบางต้องฉุกคิด ทว่า..กลับเหมือนมีเข็มเล่มเล็กเข้ามาแทงที่หัวใจจนสะดุ้งกับความเป็นจริงที่ตอกย้ำเข้ามาว่า..


             อิสรภาพ..ที่ปลายทางไม่มีผู้ใด


            “ อิสรภาพที่นายต้องการ ในนั้น..จะมีใครรอนายอยู่งั้นหรือ ถึงอยากจะหนีไปจากที่นี่ ”

            ไม่รู้ว่าบาซิกค์ถึงตัวเขาตั้งแต่เมื่อไร รู้สึกตัวอีกที..แผ่นหลังของตัวเองก็ถูกกอดไว้หลวมๆ สัมผัสจากลมหายใจอบอุ่นที่รดแผ่นหลังนั้นทำให้เขาอึดอัดจนอยากจะหนีไปให้ไกล ทว่า..น้ำเสียงทุ้มต่ำกลับสร้างแรงกดดันมหาศาลเข้ามาในจิตใจ กระทั่งแทรกแซงลืมเรื่องทุกอย่างไปจนสิ้น มือและเท้าเย็นเฉียบเสียยิ่งกว่าน้ำในสระ ความรู้สึกที่คล้ายกับลอกเปลือกเนื้อของหัวใจออกทีล่ะนิดสร้างแผลฉกรรจ์ยากจะทานทน


          “ ใครล่ะ..คนที่รอนายอยู่ ” เสียงนั่นใกล้..แนบชิดข้างแก้ม


          “ พ่อ..”


          “ แม่หรือ.. ”


          “ ครอบครัว ”


            “….”


            “ หรือ คนรัก”


            “ หุบปากซะ! ” เมื่อความรู้สึกที่กักเก็บนั้นเกินจะทานทน ก็ตวาทเสียงลั่นดังจนเสียงบรรเลงบทเพลงอันแสนปวดร้าวในห้องเงียบสงบลง

             
            มือเรียวผลักแผ่นอกกว้างของบาซิกค์ออกจนร่างสูงถอยผงะ ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องด้วยความเคืองโกรธ แต่กิริยาเช่นนี้กลับทำให้ราชาแห่งอนาคานพอใจนัก


            “ หึ พูดได้แล้วสินะ ” รอยยิ้มเย็นเยียบคลี่ออก ดวงตาอสรพิษจับจ้องนิ่งงันราวกับต้องการจะลวงลึกเข้าไปในอกข้างซ้ายของเด็กหนุ่ม แต่พอเห็นสายตาของผู้ที่เหยียบย่ำอยู่บนความรู้สึกอ่อนแอก็ทำให้มิกิรู้ตัวว่ากำลังติดกับ แต่จะถอยหนีก็ไม่ทันแล้ว


             “  คำพูดของฉันมันแทงใจดำนายหรือไง ว่าความจริงแล้วชีวิตนาย..มันไม่มีใครต้องการ.. ” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่ง ทว่า..ถ้อยคำสุดท้ายกลับตอกย้ำจนหัวใจกนะตุกวาบ ร่างกายเริ่มเย็นจัดแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็ง ใบหน้านั้นซีดเผือดราวกับถูกล้วงเอาความลับจากหัวใจ มีความรู้สึกบางอย่างจุกแน่นอยู่ตรงแผ่นอกและลำคอของตัวเอง เมื่อความจริงอันแสนเจ็บช้ำที่ถูกไล่ต้อนมาพร้อมกับความทรงจำ ซึ่งมันกำลังระบายออกเป็น..หยาดน้ำที่ริมขอบตา สมใจคนกระทำ


            แหมะ..


            แหมะ..

 
            น้ำตาไหลอาบลงมาเป็นสาย ทว่าดวงตาคู่สวยกลับมิได้เบือนหนี ในแววตาที่ฉ่ำคลอปะปนไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าความเสียใจ ทว่า..ภาพร่างกายที่สั่นไหวกับริมฝีปากที่พยายามเม้มลงกลั้นเสียงสะอื้น กลับทำให้ราชาบาซิกค์ถึงกับต้องระงับสิ่งที่จะพูดต่อไป หากแทนที่ด้วยความรู้สึกผิดก่อตัวในใจจนน่าหงุดหงิด


          ไม่อยากเห็นน้ำตาแบบนี้..


           “ อย่างนาย..ฮึก..จะไปรู้อะไร..ตรอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร.. นายมันไม่รู้เรื่องของฉันเลยด้วยซ้ำ อย่ามาพูดเหมือนรู้ดีเรื่องฉันไปซักทุกเรื่องได้ไหม!...นายมัน...ฮึก  นายมัน..”


           ฟรืบ!


          เสี้ยววินาทีที่กำลังพลั้งปากต่อว่าตามแรงอารมณ์ที่ถูกกระตุ้น แต่เศษของหัวใจที่คิดว่าแตกละเอียดเป็นผุยผงกลับสมานคืนใหม่อย่างง่ายดาย  เพียงแค่..


           อ้อมกอดนั้น..


           ความอบอุ่นของคนที่เกลียดชัง..


          “ เงียบซะ..”  คำสั่งเพียงสั้นๆ แต่กลับสะกดลึกเข้าไปในจิตใจ ไม่ใช่เพราะอำนาจจากดวงตาชายผู้นี้ ไม่ใช่การบังคับข่มขู่ใดๆ แต่เป็นตัวเขาเองที่หัวใจมันโอนเอนอ่อนแอไร้ที่พึ่งพิง ต้องการความหวัง..คำปลอบใจจนขณะยอมทรยศความรู้สึกตัวเอง แม้อยากจะผลักไสบุรุษผู้นี้ไปแค่ไหน  มือที่ทำท่าเหมือนจะยกขึ้นรั้งการกระทำทิ้งลงข้างกาย ปล่อยให้ร่างกายอันเปลือเปล่าอยู่ภายใต้อ้อมแขนของราชา..


           หมดสิ้นแล้วศักดิ์ศรี หมดสิ้นแล้วหัวใจ..


           ดวงหน้าหวานซบลงที่ไหล่กว้าง ปล่อยเสียงสะอื้นและหยาดน้ำตาร่วงหยดลงมาผสมกับผืนน้ำในสระ บาซิกค์ไม่รู้ว่าทำไมตัวเขาถึงต้องทำเช่นนี้ เขาไม่ควรเห็นใจ หรือมีความรู้สึกใดๆให้กับเด็กหนุ่มคนนี้ ทว่าพอเห็นน้ำตานั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับพังทลาย เหมือนกับเขาได้เห็นความเจ็บช้ำของตัวเองในอดีตที่ไม่น่าจดจำ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตามทำปรารถนาของเด็กหนุ่มไปเสียแล้ว


          “ เลิกบีบน้ำตาแล้วแต่งตัวซะ..” กล่าวจบพร้อมอ้อมแขนกำยำที่พลักออก บาซิกค์ก้าวขึ้นจากสระชำระกาย “ ก่อนฉันจะเปลี่ยนใจ ”หยาดน้ำใสๆไหลจากไรผมสีดำสนิท เสี้ยวหน้าคมเข้มที่หันมาย้ำเตือนสิ่งที่ไม่อยากเชื่อหู ทำเอาร่างบอบบางที่กลางสระนิ่งสงบ ริมฝีปากบางกำลังจะเผยอเอ่ยถาม แต่ร่างเจ้าชีวิตแห่งอนาคานก็หายไปเสียแล้ว..



            แสงอรุณสาดส่องมายังนครโบราณที่ห้อมล้อมไปด้วยทะเลทรายเหลืองอร่าม สายลมอบอ่าวพรายพัดต้นปาล์มสูงใหญ่ที่เรียงตัวกับตามแนวถนนโยกไหว  อากาศอันแสนร้อนระอุไม่ได้ชวนให้น่าออกมายืนกลางแดดเลยสักนิด แต่สำหรับใครบางคนกลับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่จะมีโอกาสได้เปิดหูเปิดตา

           การเสด็จชมเมืองอย่างเงียบๆเป็นไปตามคำเรียกร้องของเด็กหนุ่ม จึงไม่มีราชองค์รักษ์ติดตาม หลังจากที่อยู่ราชวังมาตลอด มิกิได้แต่มองภาพทิวทัศน์ของเมืองที่เต็มไปด้วยอารายธรรมโบราณผ่านบานหน้าต่างเพียงเท่านั้น แต่พอได้ลงมาสัมผัสจริงๆแล้ว..แม้ในยามใด อนาคานก็ยังคงเป็นเมืองที่เงียบสงบ และไม่ค่อยมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ดังเช่นเมืองอื่นๆในแถบทะเลทราย อย่างเช่นเมืองอาราบัสที่เขาถูกขายมา


            แต่จะว่าไป..เพราะเป็นเช่นนี้หรือเปล่า อนาคานจึงสามารถอยู่อย่างเงียบสงบไร้ซึ่งปัญหา และอยู่ภายใต้การปกครองขององค์สมมุติเทพแห่งนาคินของพวกเขาได้อย่างไม่มีข้อขัดแย้ง


            มิกิ ได้แต่เงียบงันไม่ปริปากพูดใดๆ แม้สิ่งที่เอ่ยออกมาจากชายข้างกายจะเป็นความจริง แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเท่าไรนัก


            เวลานี้..เขาขี่อยู่บนอาชารูปร่างดีสีน้ำตาลเข้มราวเปลือกไม้ เสื้อผ้าที่ชวมใส่เป็นชุดโธปสีขาวคร่อมเท้า ส่วนบนศรีษะก็ถูกคลุมด้วยผ้าที่เรียกว่ากุห์ตราดั่งเช่นชาวอาหรับที่ไว้สำหรับบดบังแสงแดด และเม็ดทรายที่ปลิวลอยมา ทว่า..คนที่จับบังเหียนไว้อยู่ด้านหลังกลับเป็นมือทรงอำนาจของผู้ปกครองแห่งอนาคาน

         
             ลักษณะที่คล้ายกับการโอบกอดนี้ทำเอาร่างเล็กไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร จิตใจก็พลัยร้อนรุ่มอยู่ไม่เป็นสุข แม้เขาจะเคยสัมผัสทุกสัดส่วนร่างกายของบาซิกค์มาแล้ว แต่ทุกครั้งที่กายแกร่งอยู่ใกล้ร่างกายของตัวเองก็สั่นสะท้านไปจนถึงสันหลัง ความตื่นกลัวที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาทำให้เขาเลือกที่จะก้มหลบสายตาผู้คน และไม่กล้ากวาดมองรอบๆอย่างที่ใจหวัง แต่พอก้มลงมาก็กลับพบหลักฐานการเหยียบย่ำศรีที่สวมอยู่ต้นคอของตัวเอง


            สิ่งนั้นทำให้เขากลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดหวั่น ความเกลียดชังลึกๆทำให้เขาขบกรามแน่น มือทั้งสองยกขึ้นจับปลอกคอนั่นราวกับว่าต้องการให้มันหายไป


            “ ไม่ชอบปลอกคอนี้งั้นหรือ ” เสียงทุ้มกระซิบข้างใบหู ใบหน้าคมก้มลงมาใกล้ แม้จะมีผ้ากุห์ตราคอยบดบัง ทว่ากลับยังคงสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รดต้นคอ จนต้องแอบกลืนน้ำลาย


            “ ทางข้างนี้คือตลาดของอนาคาน มนุษย์ที่ถูกนำมาที่นี่จะถูกซื้อขายกันที่นั่น คล้ายกับการค้าทาสแต่ปลอกคอนี้จะแสดงว่านายมีเจ้าของโดยสมบูรณ์แล้ว จะไม่มีใครกล้าแตะต้อง” ประโยคตอกย้ำเข้ามาในจิตใจที่บอบช้ำ ริมฝีปากปากเม้มลงแน่นสะกัดกั้นฐานะอันน่าขมขื่น แต่เขากลับระบายได้เพียงกุมมือของตัวเองไว้จนแน่น


            ราขาบาซิกค์ยกยิ้มที่มุมปากเมื่อไม่เห็นการโต้ตอบ ก่อนจะควบม้ามุ่งตรงไปยังตลาดแห่งเดียวของอนาคานทันที


            ข้างต้นปาล์มสูงใหญ่ต้นหนึ่งใกล้กับอาคารถ่ำที่ไร้ซึ่งผู้อยู่อาศัย ราชาบาซิกค์ไม่ได้เลือกเส้นทางที่ผ่ากลางโดยตรง หากแต่หลบอยู่ในเงาของต้นปาล์ม จากมุมนี้ ทำให้เขามองเห็นตลาดของอนาคานไม่ได้ครึกครื้นอย่างที่จินตนาการไว้เท่าไรนัก แม้จะมีรวงร้านตั้งอยู่ริมทาง แต่ก็บางตาเสียจนราวกับไม่ใช่ตลาด มีผู้คนอยู่ในชุดโธปสีดายาวคร่อมเท้าต่างพาก็เดินก้มหน้าโดยมิได้สนใจผู้มาใหม่ โดยมีผ้าโพกพันศรีษะบังบดใบหน้าจากแสงแดด แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่เห็นผู้หญิงในเมืองนี้เลยสักคนเดียว จะว่าเพราะการแต่งกายที่ดูดกลมกลืนเหมือนกันก็ไม่น่าใช่ เพราะสัดส่วนร่างกายของผู้ชายกับผู้หญิงในแทบทะเลทรายนี้จะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด มิกิเห็นสิ้นค้าที่ตั้งกันเรียงราย ส่วนใหญ่จะเป็ฯพวกสินค้าตากแห้ง ผ้าดำ และเครื่องประดับที่ทำหินหายาก แต่พอเห็นการดำเนินชีวิตของผู้คนแบบนี้เขาก็ทำให้เขาอยากกลับบ้านเกิดตัวขึ้นมา


            “ ที่นี่ไม่มีอะไรให้ เพลินตาอย่างที่คิดหรอก ผิดกับประเทศของนายสินะ” แม้เสียงลมหายใจของคนที่อยู่ด้านหลังจะสม่ำเสมอ แต่น้ำเสียงตอนท้ายนั้นแผ่วลงราวกับมีเรื่องหน้าหนักใจ บางทีคำว่า ‘ล้าหลัง’ อาจจะดูสวยหรูเกินไปกับอนาคาน แต่ถึงอย่างไร ตามบ้านเรือน รวงร้าน รวมไปถึงหัวมุมตามตรอกซอก กลับพบสิ่งหนึ่งที่คล้ายกล้ายกับเสาแม้ที่ถูกเผาจนไหม้ดำ ทว่า..กลับสลักเป็นรูปงูได้อย่างปราณีตสวยงามดูน่าเกรงขาม


            และนี่อาจเป็นสิ่งๆเดียวที่เป็นเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ผู้คน และแทบไม่น่าเชื่อวัฒนธรรมอันเก่าแก่นี้จะสามารถผูกหัวใจของชาวเมืองเป็นหนึ่งกันได้..แต่ปัญหาของอนาคานก็คือ...


          ไร้ชีวิต..


          “ นี่คือความจริงของอนาคาน ” บาซิกค์กล่าวเรียบ แม้แววตาจะไม่ได้แสดงถึงความเศร้าสร้อย แต่มิกิกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้น


           ถึงจะมีเรื่องชวนตกใจที่แทบคงไม่มีใครเชื่อ แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองแห่งนี้บ้าง ทำไม..ผู้คนถึงกลายเป็นมนุษย์งู และบาซิกค์ต้องการตัวเขาเพียงเพราะกลิ่นของดอกเพเซียที่ฉีดเข้าไปในร่างกายทำให้ลุ่มหลงนั้นจริงหรือเปล่า และถ้า..สิ่งนี้มันหายไป มันจะเกิดอะไรขึ้นกลับตัวเขา จะมีความโหดยิ่งกว่านี้รออยู่อีกหรือไม่


           ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจนแทบระเบิด คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวโดยไม่ที่กระจ่างเลยสักนิด ถึงสัญชาตญาณจะบอกว่าเขาไม่ควรอยู่ที่นี่ แต่กลับกันในเรื่องของความเป็นจริงก็คือ..


            ประตูทางออกล่ะอยู่ที่ใด?


             เขาก็อยากรู้เหมือนกัน…


            กึก.....กึก


            เสียงที่คล้ายกับการง้างเส้นเชือกดังขึ้นในมุมมืดของซอกตึก มือหนึ่งดึงคมศรดึงคมศรค้างไว้ ดวงตาดุจพญาเหยี่ยวของผู้ล่าจ้องเล็งเป้าหมายบนหลังอาชาสีเข้ม!

            ฟริ้ว!

 
            ฉึก!!
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 9]UP 11/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Serioz ที่ 14-08-2015 03:38:14
อ่านแล้วเจ็บจริงๆนะ เหมือนให้ควาหวังที่จะให้อิสรภาพกับมิกิ
แต่กลับแบบตบหัวแล้วลูบหลัง เซ็งมาก สงสารมิกิสุดๆเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 9]UP 11/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 14-08-2015 04:12:41
ยิีงอ่านยิ่งสงสารมิกิ  เมื้อไหร่ท่านงูจะเผ็นผู้เผ็นคน?กับเค้าสักทีนะ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 9]UP 11/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 14-08-2015 09:32:08
หัวใจเว้าแหว่งสองดวง เติมเต็มเป็นหนึ่งเดียว
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 9]UP 11/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 18-08-2015 16:47:02
    ค่ำคืนที่ 10 : หัวใจที่แห้งแล้ง Part 1

            ซ่า...

 

            ซ่า.....

 

            นั่นคงเป็นเสียง..เสียงของสายฝนที่กำลังตกลงมาอย่างหนัก  ภาพรอบด้านมีเพียงแค่แสงไฟสลัวๆจากเสาไฟบนท้องถนนเปล่าเปลี่ยว ทว่า..กลับพร่ามัวเสียจนมองสิ่งใดได้ไม่ชัด เด็กหนุ่มนั่งทรุดลงกับพื้น เสื้อนักศึกษาสีขาวเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำใสๆที่ตกลงมาจากฟากฟ้าสีดำสนิท ในอ้อมแขนมีร่างของหญิงสาวนอนนิ่งคล้ายกับกำลังหลับฝัน แต่ของเหลวสีแดงสดที่กำลังไหลย้อมชุดสีชมพูที่สวมใส่ไปพร้อมกับสายฝนนั้น กลับย้ำเตือนความจริงอันน่าเศร้าสลด

 

            น้ำตาไหลลงมาพร้อมกับเสียงตะโกนและเสียงร้องเรียกจากเด็กหนุ่มก้องไปทั่วท้องถนน แต่กลับไม่มีใครได้ยินเลยสักคน ราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน ความเสียใจระคนคับแค้นทำให้เขาคุมสติแทบไม่อยู่ กระทั่งมือที่เย็นเฉียบของหญิงสาวที่คิดว่าสิ้นใจแตะลงข้างแก้มเรียกสติที่กำลังแตกเป็นเสี่ยงให้กลับย้อนมา ทว่า..ข้อความสุดท้ายที่พยายามเปล่งออกมาพร้อมกับรอยยิ้มนั่นทำเอามิอาจกลั้นความรู้สึกที่เริ่มเอ่อล้นออกมาแทบไม่ไหว แต่ก่อนที่จะคัดค้านสิ่งใด มือที่เคยกุมข้างแก้มก็ทิ้งลงสู่พื้น เด็กหนุ่มกอดร่างนั้นไว้พลางส่งเสียงกู่ร้องราวกับจะสิ้นใจตามหญิงสาวไป แต่เพียบพริบตาที่สายลมบางเบาโชยมา ร่างที่โอบกอดไว้ก็พัดปลิวไปกลายเป็นกลีบกุหลาบสีชมพูไปจนหมด

 

            สิ้นกลิ่นสายฝน..เหลือเพียงร่างกายที่หนาวสะท้าน มือทั้งสองยกขึ้นกอดเรือนร่างตัวเองที่ยังคงสั่นเทา แต่เบื้องหน้ากลับมีแสงจากประกายไฟเล็กๆให้พึ่งพิง เพียงเงยหน้าขึ้นก็พบแผ่นหลังพ่อของตัวเองกำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ

 

            ‘คุณพ่อ!..คุณพ่ออย่าทิ้งผม! ’ เสียงนั่นร้องขอในความมืดมิด พร้อมกับร่างกายที่กำลังวิ่งตามแผ่นหลังพ่อของตัวเอง แต่ต่อให้ก้าวเร็วแค่ไหน ภาพของแผ่นหลังอันอบอุ่นก็ไกลห่างออกไปเรื่อยๆ ท้ายสุดก็กลืนหายไปกับความมืดต่อหน้าต่อตา

 

            วินาทีนั้นเหมือนร่างกายมันอ่อนแอเต็มทน ขณะเดียวกับจิตใจก็ต้องการโหยหาความอบอุ่นจากใครสักคน กระทั่งมืออันแสนคุ้นเคยลูบลงบนศีรษะ ดวงตาคู่สวยเงยขึ้นสบอย่างตกใจ กระทั่งเห็นร่างในเสื้อกาวน์สีขาวคุ้นตา ใบหน้าของชายวัยกลางคนที่ยิ้มต้อนรับ มันทำให้หัวใจนั้นเต้นแรงอย่างยินดี

 

            ‘ ศาสตราจารย์โลเกีย!’

 

            ปัง!

 

            เสียงบางอย่างดังก้องใบหู ดวงตาสีเขียวเบิกโต  ชุดกาวน์สีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีแดงสดที่ไหลรินออกมาจากรอยกระสุนที่หน้าท้องของชายตรงหน้า ศาสตราจารย์โลเกียล้มลงกองกับพื้น เขาพยายามเอื้อมไปคว้ามือนั่น แต่กลับคว้ามาได้เพียงอากาศ

 

           ภาพที่เห็นตอกย้ำบาดแผลในใจที่บอบช้ำสุดจะทน ร่างกายเย็นเฉียบราวกับถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง แต่น่าแปลกที่เหงื่อกลับไหลซึมออกมา รับกับจังหวะหัวใจที่เต้นแปลกไปทุกวินาที

 

             คล้ายกับจะหยุด..

 

             แต่ก็คล้ายกับเต้นระส่ำ

 

              ริมฝีปากที่พยายามเผยอออกเปล่งเสียงเรียก แต่กลับไม่มีเสียงใดๆหลุดรอด  น้ำตาไหลอาบลงมาหยดลงไปบนพื้นสีดำ เกิดเป็นระลอกคลื่นดั่งน้ำกระเพื่อม ไม่ช้าภาพของศาสตรจารย์ก็เลือนรางหายกับสายน้ำสีดำ

 

            ทว่า..พอรู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนกับตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกกลางบ่อน้ำขนาดใหญ่ มีเสียงขู่ฟ่อของบางสิ่งดังขึ้นจากทุกสารทิศ เด็กหนุ่มพยายามหันไปด้วยความตื่นกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่ขาทั้งสองข้างกลับหนักอึ้งจนยกไม่ขึ้น ท้ายสุดก็เสียการทรงตัวล้มหงายลงไป แต่สิ่งที่รออยู่เบื้องล่างกลับไปใช่หยาดน้ำอย่างที่เขาคิด แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างใต้ สิ่งมีชีวิตมีเกล็ดมันเลื่อมสีดำจำนวนนับร้อยกำลังเลื้อยชอนไชขึ้นมาตามร่างกายจนชวนสะอิดสะเอียด เสียงกรีดร้องดั่งสนั่นแสดงถึงความหวาดกลัวสุดคณา

 

          เขาอยากจะหนี..แต่กลับไม่มีแรงเลยสักนิด

 

            ร่างกายนี้กำลังจมลง..อยู่ในดงของอสรพิษที่เกลียดชัง

 

            หายใจ..

 

           หายใจไม่ออก

 

            ขณะภาพที่สะท้อนในดวงตากำลังดับมืดลง กลับปรากฏเป็นร่างเงาดำสูงใหญ่กำลังยืนคร่อมกาย..

 

            ช่วยด้วย..

 

           ช่วยผมด้วย..

 

          มือที่ใกล้สิ้นแรงยื่นออกไป หวังให้คำขอร้องสุดท้ายของเขานั้นถูกตอบรับ แม้บนใบหน้าของชายผู้นั้นจะไม่ปรากฏรอยยิ้ม แม้ดวงตานั้นจะเย็นเยือก แต่หัวใจคงเต้นดังเหมือนกันใช่หรือไม่..

 

           ก็แค่ไม่อยากถูก..

 

           ทอดทิ้ง..ได้โปรด

 

            บาซิกค์..

 

           ฉึก!!!!!
 
 

 

 

        แค่ก แค่ก!


           วินาทีที่รู้สึกตัวก็สะดุ้งออกจากเตียงพลันโก่งตัวไอมาออกมาราวกับกำลังสำลักภาพความฝันที่ไม่ควรปรากฏ มือเรียวทุบหน้าอกตัวเองอย่างแรงเพื่อระบายความจุกที่เกาะตัวอยู่ใต้แผ่นอก เหงื่อไหลซึมโซมกาย หน้าผากเปียกชื้น ใบหน้าอ่อนล้าราวกำลังวิ่งหนีบางสิ่งมาเป็นไมล์ๆ ไม่นานก็เริ่มปรับจังหวะหายใจกลับเป็นปกติได้อีกครั้ง

 

            ร่างบางพยายามตั้งสติ ก่อนเบี่ยงตัวไปนั่งที่ริมขอบเตียง มือยกขึ้นเสยเส้นผมสีอ่อนที่ชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ แล้วจับอยู่ที่หน้าผากของตัวเองค้างไว้สัมผัสอุฤหภูมิที่ร้อนระอุ ก่อนก้มหน้าลงดั่งคนอมทุกข์และกลืนน้ำลายเหนียวๆอึกหนึ่งลงลำคอ ดวงตาคู่สวยปิดลงแน่นต้องการลืมเลือนฝันร้ายที่ไม่น่าจดจำ รู้สึกปวดหัวขึ้นมาข้างเดียวทั้งที่ไม่ควรจะเป็น

 

            ทำไมกัน ทั้งที่ไม่ควรจะห่วง หรือกังวลเกี่ยวกับชายผู้นั้น แต่กลับห้ามภาพในหัวของตัวเองไม่ได้เลยสักนิด

 

           มือที่เปื้อนเลือด..

 

มือที่เปื้อนเลือดนั่น..

 

           เพราะเขา

 

           “ บ้าเอ้ย!! ”

           สบถเสียงลั่นอย่างไม่เข้าใจ ความหงุดหงิดทำให้ออกแรงทุบลงไปที่ผ้าปูเตียงเพื่อระบายจนยับย่น ก่อนถอนหายใจออกมาแรงๆ ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด

 

           “ ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้นะมิกิ ” พ่นบ่นกับตัวเอง ร่างเล็กทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงที่ไร้คู่นอนอย่างหมดอาลัย ไม่อยากนึกถึงคำๆนั้น แต่ในใจกลับปฏิเสธไม่ได้ว่ามีเรื่องของชายผู้นั้นเต็มหัว ถ้าหลับตาลงไปแล้วลืมทุกสิ่งได้ก็คงจะดี แต่บาดแผลกับหยดเหลือที่ยังคงมีสัมผัสหลงเหลือที่ผิวหน้าและดวงตาทำให้เขาลบออกไปไม่ได้ หรือทั้งหมดอาจเป็นเพราะ..พิษร้าย ที่กำลังฝั่งลงไปในใจของเขากับ พิษ..จากชายผู้นั้น

 

            บาซิกค์..

 

 

 

              “ ฝ่าบาทไม่ควรตัดสินพระทัยเช่นนี้ เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นกาลกิณี อนาคานจะร้อนเป็นไฟ เหตุเภทภัยจักอุบัติขึ้น กฏของบรรพบุรุษจะถูกฉีกขาด ซาคาเดียร์คงไม่ยอมอยู่อย่างสงบเป็นแน่ ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยความหมายของมันใช่หรือไม่ ”

             ตัวแทนผู้อาวุโสทั้งหมดของอนาคานที่มาเข้าเฝ้ากันหนาตา จนท้องพระโรงที่เคยกว่าขว้างแคบลงไปถนัดเอ่ยอย่างร้อนรน หลังจากเหตุการลอบทำร้ายองค์เทพแห่งนาคินเกิดขึ้นในวันนั้น ก็มีการถกเถียงกันจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านไม่เคยเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นเลยสักครั้ง จึงนับเป็นสิ่งอัปมงคลร้ายแรง ประจวบกับจังหวะที่อนาคานนำเด็กหนุ่มต่างแดนเข้ามา ทำให้สาเหตุนั้นถูกโยนออกไปอย่างไม่มีข้อแม้

 

              “ เจ้ากำลังพูดว่า การเป็นเทพนาคิน นั้นไม่มีอำนาจใดใช่หรือเปล่า ” องค์ราชาแห่งอนาคานตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นเหมือนเช่นเคย ทว่าดวงตากลับไม่แสดงออกถึงอารมณ์ที่สงบนิ่งเลยแม้แต่น้อย แต่หากวาวโรจน์ด้วยความโกรธเคืองราวกับต้องการจะฉีกร่างของคนที่ขัดใจออกเป็นชิ้นๆ

 

              “ ฝะ..ฝ่าบาทอย่างทรงตรัสเช่นนั้น กระหม่อมหมายความว่า.. ”

 

              “ แผลนี่ เจ้าคิดว่า เป็นลูกธนูที่ลอยมาจากความกริ้วของบรรพบุรุษองค์เทพนาคินที่ข้าไม่ได้ปฏิบัติตามหรือไง ” มือทรงอำนาจถูกยกขึ้นในระดับที่มองเห็นท่อนแขนถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว ทั้งๆที่แผลนั้นควรจะสมานกันโดยไว ทว่าจนป่านยังคงกลับมีเลือดสีแดงไหลซึมออกมาจนน่าหงุดหงิด และเขาก็คิดว่าทุกคนก็คงรู้ดีว่าใครเป็นคนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ เพียงแต่ทำเป็นแสร้งเป็นตามืดบอด และโยนให้คนอื่น!

 

               “ ทั้งหมดเป็นไปตามประสงค์ขององค์เทพ ” ผู้อาวุโสได้แต่เอ่ยตอบเสียงแผ่ว ไม่แม้มีใครจะกล้าเงยหน้าขึ้นสบ  สิ่งที่เห็นทำให้องค์ราชาบาซิกค์คลี่ยิ้มเย็นเยียบอย่างดูแคลน ทว่าในแววตาพร้อมที่แผลดเผาทุกสิ่ง!

 

               “ หึ..แล้วใครคือองค์เทพของพวกเจ้า.. ณ ตอนนี้ ข้ามีตัวตนต่อหน้าพวกเจ้าหรือไม่ บรรณาการนาคินในฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่ข้าปฏิเสธไป ข้าคงคิดผิดถนัดที่มิได้ส่งพวกเจ้าไปที่ซาคาเดียร์!! ” แผดเสียงดังลั่นอย่างไม่เคยเป็น นิ้วเรียวชี้หน้าอย่างเหลืออดใบหน้าคมเต็มไปด้วยความกริ้วโกรธเมื่อได้รับคำตอบที่น่าผิดหวังแท้จริงแล้วองค์เทพนาคินก็ไม่ต่างอะไรจากตุ๊กตาประดับที่อนาคาน

 

             “ เลือดของข้า..คือเลือดขององค์เทพนาคินของพวกเจ้า มันกำลังหยดลงบนพื้นอย่างไร้ค่า ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก ”

          รอยยิ้มหุบลงจนกลายเป็นเส้นตรงราบ ใบหน้าคมถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ แต่ทั้งคำพูดและน้ำเสียงกลับทำให้ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดต่อเพราะกลัวจะถูกลงทัณฑ์ ทว่าผู้อาวุโสคนที่จุดประเด็นกลับยังคงยืนทำใจกล้า แม้ร่างกายจะสั่นจนแทบล้มพับ แต่อย่างเรื่องนี้ก็คงปล่อยไว้ไม่ได้

 

              “ ฝ่าบาทอย่างทรงลืมความจริงที่ว่า ถึงอย่างไรอนาคาน ก็มิอาจอยู่เหนือซาคาเดียร์ได้ พวกเราคือกายเนื้อที่จะต้องมอบให้จิตวิญญาณ นั้นเป็นกฏของเทพนา!.. ”

 

          ฟ่อ!!!

          เสี้ยววินาทีก่อนที่ประโยคนั้นจะจบ กลับถูกแทนที่ด้วยเสียงขู่ฟ่อของอสรพิษที่ขดตัวอยู่ที่เท้า ปลายหางที่สั่นไหวมีลักษณะเป็นป้อง มีเสียงคล้ายกระดิ่งเล็กๆสั่นสะเทือนถี่ระรัว นัยน์ตารีเรียวจับจ้องเหยื่อนิ่ง ขณะที่มันเริ่มแยกเขี้ยวขู่จนตัวแทนของผู้อาวุโสแต่ยืนตัวสั่นกลืนน้ำลายด้วยความตื่นกลัว

 

          “ ฝ่าบาท! กระหม่อมรู้ว่าทรงเคืองแค้น แต่เราจะทำอย่างไรได้ เมื่อมิอาจมีหลักฐานมากำชับความผิด ทรงอย่าลงทัณฑ์ผู้อาวุโสเช่นนี้เลย! ” ก่อนเหตุการณ์จะบานปลายจนนองเลือด หัวหน้าราชบริวารแห่งอนาคานที่ดูอยู่นานก็รีบลุดขึ้นพูดขัด เรียกดวงตาคมที่กำลังวาวโรจน์ด้วยความกริ้วตวัดกลับมาทันที

 

             “ งั้นเจ้าก็ไปจับมันให้ข้าซาอิด เผาและถลกหนังมันผู้นั้นออกมาดู ว่าแท้จริงเป็น ราเมียร์แห่งซาคาเดียร์อย่างที่ข้าคิดจริงหรือไม่! ” ตวาดเสียงออกไปอย่างเหลืออด จนคนที่รับฟังสะดุ้ง ซาอิดแม้ไม่เคยเห็นองค์ราชาเป็นเช่นนี้ แต่เขากลับคิดว่าทั้งหมดอาจเป็นผลจากเหตุการณ์ที่เก็บงำมาตั้งแต่ครั้งในอดีต อย่างไรเขื่อนน้ำที่กักกั้นความทุกข์ระทมที่มิอาจระบาย พอมีรอยร้าวขึ้นก็เลยระเบิดออกมาจนยากจะปิด ถึงต้นเหตุของรอยร้าวแผลแรกนั้นจะมาจาก...

 

           ราซิส..พี่ชายของเขา

 

           “ฝ่าบาทก็ทรงรู้พระทัยตัวเองดีว่าเหตุใดซาคาเดียร์ถึงทำเช่นนี้ หลังจากที่ทรงขอให้กระหม่อมนำสิ่งนั้นไปให้ซาคาเดียร์ ทั้งหมดเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น..หากฝ่าบาทยังประสงค์ให้ท่านมิกิยังอยู่ที่นี่”

 

          “ เจ้ากำลังหวาดกลัวซาคาเดียร์อย่างงั้นหรือซาอิด! สายเลือดของเจ้ามันก็ขี้ขลาดกันหมด!”

 

            “ กระหม่อมไม่ใช่ท่านพี่ราซิส! สิ่งที่กระหม่อมทูล คืออยากให้พระองค์ทรงตรองเรื่องนี้ดูให้ดีว่าจะเกิดสิ่งใดหลังจากนี้ ” ร่างของหัวหน้าราชบริวารสวนกลับ มือเรียวกำจนแน่นระงับอารมณ์ที่พูนล้นออกมาเมื่อโดนหยามสายเลือด แม้จะคับแค้นในใจเพราะคนที่ส่งพี่ชายเขาไปตายนั้นคือคนตรงหน้า แต่เขากลับไม่สามารถปริปากต่อว่าได้แม้คำเดียว เพราะสิ่งที่ปลูกฝั่งมาก็คือ เขาต้องเคารพและปกป้องไว้ซึ่งเทพนาคิน

 

              “ชีวิตของพวกเราเหล่านาคินทุกตนเป็นของฝ่าบาทของเพียงแค่มีรับสั่ง หากจะตัดสินพระทัยอย่างไรกระหม่อมก็ไม่เกี่ยง ขอให้พระองค์ตัดสินให้แน่วแน่ว่า นั่นคือสิ่งที่ประสงค์ให้อนาคานเป็นเช่นนั้น กระหม่อมก็ยอมถวายให้ทุกสิ่ง ได้โปรดตัดสินพระทัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ”

 

               “ ขอองค์ราชา ได้โปรดตัดสินพระทัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ” ซาอิดคุกเข่าก้มลงจนศรีษะแตะพื้นท้องพระโรง ก่อนผู้อาวุโสทั้งหลายจะคุกเข่าและยอมทำตามกันหมดส่งเสียงกึกก้องจนหนักใจ

 

             คำพูดและการกระทำที่มอบให้ทำให้บาซิกค์ถึงกับต้องครุ่นคิดอย่างหนัก แม้จะเคยแบกรับความกดดันมามากตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย แต่กลับไม่เคยเจอเรื่องที่น่าหงดหงิดหัวใจเท่านี้มาก่อน เหมือนเจอตัวต้นเหตุอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ หน่ำซ้ำยังอาจจะต้องเสียของสำคัญเพื่อแลกกับบางสิ่งที่ดูจอมปลอม ราชาบาซิกค์กำมือข้างที่มีบาดแผลจนสั่นเกร็ง เลือดสีเข้มไหลออกมาไม่หยุดหย่อน ทว่าความแสบร้อนกลับไม่ได้ทำให้การกระทำของตนเองนั้นหยุดลงแต่อย่างใด ราวกับพยายามจะให้ความเจ็บปวดนั้นระบายออกมาจากหยาดเลือดของตัวเอง ดวงตาเรียวคมหลับลงปรับลมหายใจให้สงบเยือกเย็นอีกครั้ง อย่างไร..อนาคานก็ยังคงเป็นแค่อนาคาน.. คนที่ควรเสียเลือดต่อไป..ก็มีเพียงแค่..

 

             เทพนาคิน..

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 9]UP 11/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 18-08-2015 16:51:00

ค่ำคืนที่ 10 : หัวใจที่แห้งแล้ง Part จบ
 

            อาทิตย์อัสดงลาลับไปอีกครั้ง มิกินั่งอยู่ริมหน้าต่างที่เคยเปิดโล่งแต่บัดนี้ถูกกั้นด้วยตะแกงเหล็กจนน่าอึดอัด แต่กระนั้นดวงตาคู่สวยก็ยังคงเหลือบมองท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยสีดำมืดครึ้ม ทว่ายังมีแสงดาวและแสงจันทร์เป็นประกายเด่นสง่าอยู่เบื้องบน สัมผัสจากสายลมเอื่อยแผ่วพัดโชยเส้นผมสีบอนลด์อ่อนพริ้วไหว มือที่ขาวที่ยกเท้าใบหน้าที่มิอาจบอกได้ว่ากำลังครุ่นคิดหรือเป็นกังวลกันแน่

 

            หลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนั้น เขาก็ไม่พบหน้าของบาซิกค์อีกเลย หนึ่งวันเต็มๆจวบจวนจะใกล้สองวันที่ถูกขังอยู่ในห้องนอน ถึงแม้เวลานึกถึงคนคนนั้นทีไร ความเจ็บช้ำก็จะวิ่งเข้ามาที่แผ่นอกทุกครั้งจนอยากจะหลีกหนี แต่วินาทีที่ถูกลอบทำร้ายต่อหน้า จู่ๆหัวใจมันก็เหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ..

 

            ไม่สิ..คนที่โดนทำร้ายไม่ใช่บาซิกค์

 

             แต่เป็นตัวเขาต่างหาก ที่คมศรนั้นพรุ่งตรงมายังกลางหัวใจ ทว่า..คนที่รับเอาไว้กลับไม่ใช่ตัวเขา วินาทีที่เห็นศรเหล็กพุ่งทะลุออกมาจากท่อนแขนที่ใช้บดบัง พร้อมกับหยดเลือดสีแดงที่กระเซ็นเปรอะเปื้อนใบหน้าของตัวเอง ในหัวมันก็ขาวโพลนจนลืมหายใจ แม้ไม่มีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากร่างคนที่อยู่ข้างกาย แม้สีหน้าของคนที่ได้รับบาดแผลนั้นช่างเจ็บปวดนัก แต่เพียงแค่นั้นก็พอให้ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวได้ แม้ถึงกับกลั่นออกมาเป็นน้ำตาใสๆ แต่เพราะความตกใจ และไม่คิดว่าผู้ปกครองแห่งอนาคานจะมิสภาพเป็นเช่นนี้ ทำให้จิตใจเขาสับสน

 

             เขาควรดีใจ..ใช่หรือเปล่า? ที่บาซิกค์ได้รับบาดเจ็บ มันควรต้องเป็นเช่นนั้น แต่ทำไมเล่า ตรงก้อนเนื้อข้างใต้แผ่นอกนี้กลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย..

 

             เขาคงเริ่มเสียสติไปแล้ว..บ้าจริงๆ

 

              “ กำลังคิดถึงเรื่องของฉันอยู่งั้นหรือ ” ประโยคที่พูดเข้าข้างตัวเองเสียเต็มประดา ทำเอาคนที่กำลังนั่งอยู่ริมหน้าสะดุ้งตัวเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าบาซิกค์เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร แต่กระนั้นก็พยายามหลบใบหน้าที่เริ่มผ่าวที่ถูกล้วงเอาความจริงว่ากำลังคิดเรื่องของเจ้าตัวอยู่เต็มอก แต่พอมองไปยังเบื้องล่างเพื่อหลีกหนี ก็เห็นท่อนแขนที่ยังคงถูกพันด้วยผ้าขาว ทว่ากลับยังคงชุ่มไปด้วยคาบเลือดสีแดงสด ใบหน้าหวานนิ่วลงด้วยความสงสัย ทั่งที่แผลหนักๆที่ใบหน้าเจ้าตัวยังสามารถหายได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงวัน นับภาษอะไรกับแผลแค่นี้ถึงยังไม่หายไป

 

              “ แผลนั่น ทำไมถึงยังไม่หายไป ” มิกิถามขึ้น สองขาพาร่างกายเดินเข้าไปใกล้อย่างลืมตัว ดวงตาคู่สวยมองดูแผลนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเท่าไร

 

             “ คมศรนั้นอาบพิษ แผลนี่มิอาจสมานได้ใหม่โดยง่าย ” คำตอบเรียบๆแต่กลับทำให้คนที่เดินเข้ามาถึงกับต้องกลืนน้ำลายดังเอื้อก แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับเลือกที่จะประชดมากกว่าคำปลอบใจ

 

             “ น่าจะโดนกลางหัวใจ จะได้ตายไปซะ ” ดวงตาสีอ่อนเงยขึ้นสบ รอยยิ้มยกขึ้นที่มุมปากอย่างยียวน แต่บาซิกค์กลับไม่มีทีท่าว่าจะโมโหเลยสักนิด หากแต่ยืนนิ่งจ้องมองนิ่งราวกับหุ่นไม้

 

             “ นายคงได้สิ้นใจตายก่อน ” ความจริงที่พูดทำเอาร่างบางถึงกับสะอึกในใจ แต่เขายังไม่ยอมหรอก

 

             “ แต่นายคงไม่ปล่อยให้ฉันตายง่ายๆ ”

 

             “ ความตายทำได้ง่ายมาก.. ” บาซิกค์ยิ้มเย็นเยียบ

 

             ฟ่อ!

 

             เสียงขู่จากสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากคิดทำเอาร่างบางตัวแข็งทื่อเย็นยะเยือกไปทั้งตัว  พอเหลือบตาลงมอง ก็พบงูหางกระดิ่งขนาดใหญ่กำลังขดตัวพร้อมจู่โจมอยู่ที่ข้อเท้าของตัวเอง หางที่สั่นถี่ระรัวบ่งบอกว่าถ้ายกเท้าขึ้นหรือขยับแม้แต่เพียงเล็กน้อย คมเขี้ยวคงได้ฝั้งลงไปในขาขาวๆของเขาแน่ๆ

 

            “ เพียงแค่พริบตา พิษของงูหางกระดิ่งจะค่อยๆทำลายอวัยวะภายในของนายทีละส่วน เลือดจะไหลออกมาไม่หยุด น้ำลายจะฟูมปาก ขณะที่ร่างกายตายจะเป็นอัมพาต ส่วนการหายใจของนายก็ติดขัด ประสาทสัมผัสจะตายด้านและไม่รับรู้อะไรอีก ชอบความตายแบบนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงนั้นแสนราบเรียบ ผิดกับคำพูดที่ฟังดูเลือดเย็น มิกิพยายามผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะ แม้มือและเท้าจะเริ่มเย็นเฉียบจนกลายเป็นน้ำแข็ง และขาก็เริ่มอ่อนแรงจนอยากจะล้มพับ

 

            บาซิกค์เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มซีดลงทุกที ริมฝีปากจึงเขยื้อนเอ่ยเปล่งเสียงเป็นภาษาบางอย่างที่ฟังไม่เข้าใจ ก่อนอสรพิษแห่งทะเลทรายจะเลื้อยหายเข้าไปใต้เตียง เมื่อเห็นสิ่งที่ทำให้หวาดกลัวจากไป มิกิก็ล้มพับกองกับพื้น ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราชาแห่งอนาคานมองนิ่งงันก่อนจะเบือนสายตาออกแล้วก้าวเดินไปริมหน้าต่าง ดวงตาสีอำพันคมกริบสะท้องกับแสงจันทร์ เหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรี

 

            “ คิโนมุระ มิกิ หากได้อิสรภาพตามต้องการ นายจะไปที่ใด ” เด็กหนุ่มสะดุ้งตัวทันทีที่ได้ยินคำถามที่ไม่อยากเชื่อหู แต่กระนั้นความกังวลที่ล้นอยู่เต็มอกกับอดีตเลวร้ายที่ผ่านมา มันทำให้เขาไม่อยากจะไว้ใจสิ่งใดอีก จึงไม่มีคำตอบใดเอ่ยออกมา

 

            “คำตอบล่ะ..”

 

            “ อย่ามาให้ความหวังกับฉัน ” เขากล่าวอย่างตัดพ้อ สองขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่ไม่คิดจะปรายตามองคนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเลยสักนิด ทำไมพอได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วเขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 

             อิสรภาพ ตามต้องการงั้นหรือ..จะมาให้ความหวังอะไรกันตอนนี้ ในเมื่อหัวใจของเขามันไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว

 

             มิกิสาวเท้าเดินกลับไปยังเตียงนอนนุ่ม ทว่า..ไม่ทันได้ล้มตัวลงไป ประตูห้องก็ถูกเปิดออกผ่าง มีทหารหลายนายเดินลุมกรู่กันเข้ามา มิกิหันไปมองคนที่ยังคงยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างนิ่งงันอย่างสับสน แต่มีเพียงแค่ดวงตาสีอำพันจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

 

            “ จะ..จะทำอะไรน่ะ! บาซิกค์ ” มิกิเริ่มร้องโวยวาย เมื่อเนื้อตัวถูกทหารรุมจับกุม กายบางพยามดิ้นขัดขืน แต่ก็มิอาจหลุดพ้น ภาพในอดีตย้อกลับมาในหัวจนต้องขบกรามแน่นคิดไปต่างๆนานา ทว่า..ถ้อยคำที่เอ่ยจากริมฝีปากหยักสวยนั้นทำเอาเขายืนค้าง

 

            “ พาเขากลับไปยังอาราบัส ”

 

 

 

              ในคุกใต้ดินของราชวังอนาคาน เต็มไปด้วยห้องขุมขังเหล่านาคินไว้มากมายเป็นทางยาวระหว่างสองข้างทาง ทว่าห้องขังที่อยู่ลึกสุด ที่ไว้สำหรับนักโทษต้องคดีอาญากลับไม่คิดว่าจะต้องมาขังราชนิกูล

 

             ภายในห้องสี่เหลี่ยมมืดทึบไม่เห็นแม้แต่แสงตะวัน มีร่างของเจ้าชายแห่งอนาคานถูกคุมขัง ร่างกายที่เคยแข็งแรงกำยำบัดนี้กลับดูดสูบผอมลงไปมาก จากโทษทัณฑ์ที่ได้รับ ไม่มีการให้อาหาร ไม่มีการให้น้ำดื่ม แต่ปล่อยให้ร่างกายนั้นกัดกินตัวเอง ที่มีชีวิตอยู่ได้เกินหนึ่งสัปดาห์นั่น คืออาศัยหยาดน้ำที่รั่วซึมมาจากเพดานประทั่งชีวิต

 

             บาฮาลรู้สึกเจ็บใจที่ทุกอย่างพลาดท่ากลายเป็นเช่นนี้ แต่นับว่าองค์ราชาบาซิกค์นั้นเมตตากว่าที่เขาคิดไว้นัก ทั้งที่กระทำนั้นเปรียบเสมือนซึ่งกบฏ แต่ก็คงยังไว้ชีวิตถึงสายตาเย็นเยือกนั้นจะไม่เคยดูแคลนเขาเลยสักนิด แต่ที่รอดชีวิตมาได้ก็เพราะสายตาเช่นนั้น

 

               ในอดีต คนที่จะเป็นโอรสของเทพนาคินได้จะมีแค่องค์เดียวเท่านั้น พี่หรือน้องที่ร่วมสายเลือดอันเกิดจากครรภ์พระมารดาเดียวกันจักต้องฆ่าฟันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ แต่ตอนนั้นร่างกายของเขาอ่อนแอมากนัก คล้ายกับคนที่โรค 3 วันดี 4 วันไข้ การปลิดชีพเขานั้นทำได้ง่ายดาน ทว่าราชาบาซิกค์กลับไม่คิดที่จะทำเช่นนั้น แม้วาจาที่เปล่งออกมาในตอนนั้น อยากจะทำให้เขาฆ่าพี่ชายของตัวเองตายคามือ แต่พอมาทราบเหตุผลจากถ้อยคำที่ดูแคลนว่าน้องของตัวเองนั้นอ่อนแอ จักให้ฆ่าไปก็ไร้เกียรติศักดิ์ศรี ก็ทำให้ชีวิตของเขายังดำรงอยู่ได้ และอยู่ในฐานะองค์ชายแห่งอนาคานภายใต้เงาของเทพนาคิน แต่นั้นเขากลับไม่เสียใจเลยสักนิด กลับกันผู้เป็นพี่ต้องรับภาระที่หนักอึ้งเกินกว่าเขาจะเข้าใจได้

 

            แต่ทั้งที่คิดจะช่วยเบาภาระ เพราะการที่เด็กหนุ่มคนนั้นถูกนำตัวมาไว้ที่อนาคาน ก็รู้โดยทันทีว่าผู้เป็นพี่ต้องการสิ่งใด แต่สิ่งนั้นก็อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่อนาคานไม่อาจยอมรับ เขาจึงลงมือตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่ทันคิด จนมีสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้

 

          ตึง!

 

          เสียงประตูห้องขังถูกเปิดออก แสงไฟสลัวๆจากคบไฟด้านนอกส่องเข้ามาต้องร่างกายที่ซูบผอม ดวงตาสีกรมหรี่ลงมองผู้ที่มาเยือนให้ชัดๆ เห็นร่างสูงโปร่งยืนบดบังแสงจากด้านนอกจนเห็นเพียงเงาดำมิอาจเห็นใบหน้าที่แสดงออก แต่กระนั้นก็คงไม่ยากเกินความสามารถที่คาดเดา

 

           “ ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้ปล่อยตัวพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ ” น้ำเสียงที่คุ้นเคยจนไม่อยากได้ยินนั้นทำเอาใบหน้าขององค์ชายของอนาคานขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกแปลกๆกับถ้อยคำนั้น แต่ไม่ทันได้เอ่ยปากสิ่งใด  ร่างสูงโปร่งก็หยุดอยู่ตรงหน้า มือยกขึ้นไขกุญแจบนข้อมือแกร่งที่ถูกจองจับทั้งสองข้าง แต่พออิสระหวนกลับมา ร่างกายที่เคยมัยตึงเอาไว้ก็ล้มซบลงไปในอ้อมแขนของชายตรงหน้า

 

             “ ข้าเกลียดเจ้า..ซาอิด ” ข้อความนั้นไม่น่าฟังเท่าไร แต่ใบหน้าคมเข้มกลับซบลงไปที่หัวไหล่กว้างของคนที่รังเกียจ เพราะไม่มีแรงจะขืนตัวขึ้นเลยสักนิด ท่าทีที่อ่อนแออย่างน่าสงสารนี้ ทำให้หัวหน้าราชบริวารคลี่ยิ้มออกมาที่มุมปาก

 

             “ กระหม่อมก็เกลียดพระองค์ ” สิ้นเสียงที่ตอบกลับ ก็เปลี่ยนเป็นให้วงแขนกำยำมาพาดลำคอของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆเดินพยุงเอาร่างกายที่อ่อนแอนั้นออกมาจากห้องขัง

 

             “ ที่บอกว่าองค์ราชาทรงอภัยโทษ นี่เจ้ากำลังโกหกข้าอยู่ใช่ไหม ” บาฮาลกล่าวนิ่ง ดวงตาสีกรมเหล่มองคนที่ช่วงพยุงอย่างไม่ไว้ใจ

 

             “ กระหม่อมมิได้ทูลเท็จ ” คำตอบเพียงสั้นๆแต่ฟังแล้วน่าหงุดหงิดนัก

 

             “ ไม่ต้องมาพยุงข้า! ก็เพราะเจ้าที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ ” ไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่า ถึงได้ตวาดเสียงออกไปอย่างเกินจะทน แต่ซษอิดกลับไม่มีแววว่าจะสนใจเท่าไร

 

              “ อย่าทรงตรัสเช่นนี้..หากไม่มีหลักฐานเพียงพอจะกล่าวหากระหม่อม ” เขากล่าวไปตามจริงที่ช่วนน่าโมโหยิ่ง!

 

             “ ข้าเกลียดเจ้า! ”

 

            “ พระองค์เกลียดมาตั้งนานแล้ว จะเปลี่ยนพระทัยเป็นชอบนั่นสิแปลก ” คำพูดของฝ่ายตรงข้าม นั้นทำเอาองค์ชายหนุ่มถึงกับขบกรามแน่นกว่าเดิม ในเมื่อมิอาจต่อร้องต่อเถียงจนชนะได้อย่างใจหวัง ร่างกายก็เจ็บแต่ทำไมต้องป่วนประสาทกับบริวารงี่เง่านี่อีก สู้เงียบไปเสียยังจะดีกว่า

 

            เมื่อเห็นองค์ชายบาฮาลยอมสงบลง ซาอิคก็ไม่คิดจะปริปากยั่วโมโหอีก ก่อนจะหันใบหน้าไปสบกับคนที่พยุงแล้วกล่าวเสียงจริงจังถึงเรื่องบางอย่าง

 

               “ องค์ชายบาฮาล..ตอนนี้กระหม่อมไม่รู้ว่าองค์ราชาตัดสินพระทัยถูกหรือเปล่า ” เรื่องที่เกริ่นขึ้นเรียกความสนใจขององค์ชายของอนาคานนั้นได้อย่างดิบดี ก่อนซาอิคจะกล่าวต่อว่า

 

              “ ครานี้ อนาคานจำเป็นต้องพึงพระองค์ ”

 

              “ เกิดอะไรขึ้น? ” ใบหน้าคมเข้มขมวดคิ้วลงเป็นปมแน่น ซาอิดถอนหายใจเบาๆทีครั้ง ก่อนจะกล่าวออกไปตามจริง

 

               “ ท่านมิกิ ถูกส่งกลับไปยังอาราบัสแล้วพ่ะย่ะค่ะ ”

 


              สายลมเย็นเยือกยามค่ำคืนโชยพัด เกล็ดทรายโปรยปรายห้อมล้อมนครเมืองที่เต็มไปด้วยดรุณีแห่งทะเลทรายลายล้อม ซาคาเดียร์เป็นนครที่เพรียบพร้อมไปด้วยสาวงามสะพรั่ง ทว่าน่าแปลกเมื่อลองสอดส่องสายตาไปทั่วกลับไม่พบบุรุษเพศย่างกายมาเลยสักคนเดียว หรือว่านี่จะเป็นเมืองแห่งอิสตรีกันแน่


          ราชวังแห่งซาคาเดียร์ถูกสร้างอย่างยิ่งใหญ่ รูปปั้นสลักงูและน้ำพุ รูปเทพธิดาที่กำลังถูกเกี้ยวรัดด้วยอสรพิษ นั้นช่างแสนงามวิจิตร มีเสียงดนตรีขับกล่อมไพเราะดังขึ้นมาจากด้านในวังทำให้ค่ำคืนนี้ดูครื้นเครงยิ่งนัก

 

            ร่างอรชรสง่างามนั่งอยู่บนบังลังค์ทองคำ ดวงตาสีสวยหรี่ลงมองเหล่าบริวารที่กำลังเริงรำตามบทเพลงอย่างสนุกสนาน ทั้งโยกย้ายส่ายสะโพก เปลือยกายด้วยผ้าน้อยชิ้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องอับอายเพราะในที่นี้มีเพียงแค่หญิงงาม

 

ราชีนีคิเมดาห์กระตุกยิ้ม มือที่สวมแหวนที่ประดับด้วยเพรชพลอยล้ำค่า ขยับถ้วยทองคำที่มีน้ำสีแดงเข้มเกือบดำในมุนวนไปมา ใบหน้างดงามดั่งทวยเทพเทพีนั้น พึ่งพอใจกับสิ่งที่ได้ยินยิ่งนัก ก่อนจะปรายดวงตาเรียวสวย คุยกับใครบางคนที่หลบอยู่หลังเสาสลักลายอสรพิษเกรี้ยวพัน

 

            “ เจ้าทำสำเร็จหรือไม่ ” สุรเสียงเรียบเอ่ยถาม ถึงแม้จะไม่มีคำตอบรับใดๆ แต่ใบหน้างามนั้นกับพยักหน้ารับราวกับได้รับคำตอบ

 

           “ หวังว่าเจ้าคงไม่ได้ทำให้เด็กน้อยต้องกลัวหัวหดหรอกนะ ” รอยยิ้มนั้นคลี่ออกมาอย่างดูแคลน และแฝงไปด้วยความรู้สึกที่อยู่เหนือว่าใครผู้นั้นที่เปรียบเป็นเด็กน้อย ร่างงามยกขึ้นดื่มไวน์รสเลิศในถ้วยทองคำให้สำราญใจ ก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าไปโดยพลันเมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่ง

 

             “ หึ..ถึงกฏของเทพนาคินจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงก็จริง และฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะต้องดำเนินต่อไป แต่.. ” เสียงนั่นเว้นช่วงไป ดวงตาสีสวยมองดูน้ำในถ้วยที่สะท้อนเป็นภาพอันงดงามของตัวเอง

 
              ใบหน้าที่ไม่มีผู้ใดจะพรากมันไปได้!

 

              “ ข้าจักไม่ยอมสูญเสียกายนี้..เพียงเพื่อเด็กที่จะเกิดในท้องนี่เด็ดขาด ” ยกรอยยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาของทวยเทพที่บูชาแท้จริงแล้วเป็นพญามารอันแสนน่ากลัว ก่อนมือเรียวงามที่ประดับด้วยแหวนเพรชพลอยจะเผยมือออกทางเสาต้นหนึ่ง

 

                “ ใช่ไหม..ราซิส ”

                สิ้นเสียงที่เอ่ยถาม อสรพิษสีดำสลับทองลักษณะลวดลายเป็นป้องๆก็เลื้อยออกมาจากหลังเสา ก่อนจะขึ้นมาพันอยู่ที่ท่อนงาม ดวงตารีเรียวจ้อ'มององค์ราชีนีแห่งซาคาเดียร์ราวกับจะสื่อข้อความบางอย่าง แต่กลับถูกริมฝีปากของหญิงงามจุมพิตลงไปอย่างแผ่วเบา..

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 11]UP 21/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 21-08-2015 15:53:38
 ค่ำคืนที่ 11 : เด็กน้อยที่ถูกทิ้ง....Part 1

 

          “ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ”

 
         เสียงสบถดังอย่างไม่พอใจในขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษที่กำลังเดินทางไปยังอาราบัส ตามรับสั่งขององค์ราชาแห่งอนาคาน


         มิกิเดินวนไปบนมาอยู่ด้านในด้วยความหงุดหงิด แม้จะเผลอตวาดเสียงถามพวกทหารที่จับตัวเขามาราวกับนักโทษ แต่ก็ไม่มีใครปริปากบอกอะไรเขาเลยสักคน การกระทำแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยราวกับเขาเป็นหมูหมาที่พร้อมจะทิ้งขว้างนั้นชวนให้น่าโมโหยิ่ง  รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยสักอย่าง นึกอยากจะมาก็ให้มานึกอยากจะให้ไปก็ไป

 
         คำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัวจนสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นที่อนาคานกันแน่ ถึงเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา และเขาก็ไม่อยากจะรับรู้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันสักหน่อยว่า ไอคนที่ยิ่งธนูมาเพื่อหวังที่จะฆ่าเขานั้นต้องการอะไร! ในเมื่อบาซิกค์ดึงเขาเข้ามาในเรื่องบ้าๆนี้ได้ หากจะบอกความจริงคงไม่มีอะไรน่าตกใจไปกว่านี้อีกแล้ว

 
         มิกินั่งลงบนฟูกเบาะของขบวนรถไฟพลางพยายามผ่อนลมหายใจสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้มากที่สุด แม้จะเป็นเรื่องดีที่เขาออกมาจากอนาคานได้สำเร็จดั่งใจ แต่ทำไมตรงกลางอกนี้กลับไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด มีแต่ความน่าโมโหหงุดหงิดคล้ายคนจะเป็นบ้าเสียให้ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน จนปวดหัวไปหมด มือยกขึ้นนวดตลึงอยู่ที่ขมับ


         คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเองหรือไงกัน!

 
         ก่นด่าอยู่ในใจ  เอาเถอะ! ในเมื่อบาซิกค์ต้องการทำแบบนี้ เขาก็ยินดีจะสนองให้โดยจากไปให้พ้นๆจากทวีปทะเลทรายนรกนี่สักที

 
         ไม่มีเหตุผลจะต้องสนใจ..

         ไม่มีเหตุผลจะต้องรับรู้..


         หยุดคิด..แล้วกลับบ้านสะมิกิ


         เขาควรคิดแบบนั้นสินะ..


         แผ่นหลังบางแนบพิงลงบนผนังเบาะ กายบางเอนลงพลางถอนหายใจยาวราวกับเบื่อชีวิตนี้เต็มทน ดวงตาสีอ่อนมองออกไปด้านนอกผ่านกระจกบานใหญ่ รอบด้านมีเพียงทะเลทรายสีมืดครึ้มที่ยังคงลายล้อมอยู่ทุกทิศ พระจันทร์ยังคงเด่นสง่ากลางผืนฟ้า ทว่ากลับไร้ซึ้งดวงดาราสะดับข้างกาย ทั้งๆที่ภาพตรงหน้านั้นงดงามแสนวิจิตร แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามัน..

 
         โดดเดี่ยวนัก..


         “นายกำลังคิดอะไรอยู่ บาซิกค์” ใจที่เหม่อลอยพร่ำไปตามคิด อยากรู้ให้หายแคลนใจในทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ทว่าคำถามนี้ คงไม่มีวันได้รับคำตอบอีกแล้ว.. ก่อนความมืดมิดจะเข้าปกคลุมพร้อมกับดวงทั้งสองที่ปิดลง..


         เมื่อสัมผัสไออุ่นจากแสงอรุณที่สาดส่อง และรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ที่หยุดลง พอฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าขบวนรถไฟมาถึงยังอาราบัสแล้ว ทว่าไม่ทันได้พูดพร่ำสิ่งใด ตัวเขาก็ถูกพวกทหารโยนลงจากขบวนรถไฟอย่างรวดเร็วเสมือนอยากจะให้เขาไปสะให้พ้นๆ เด็กหนุ่มหันไปจะตัดพ้อต่อว่า แต่ไม่ทันไรขบวนรถไฟนั้นก็ปิดลงทันควันก่อนวิ่งกลับไปทันที ทำให้มิกิได้แต่ยืนอ้าปากค้าง ให้คำพูดมันกระจุกอยู่ที่ลำคอไม่ได้ระบายออกมา


         นี่มันจะมากไปแล้ว!


          เขาอยากตะโกนด่าเสียงดัง แต่ก็ทำได้เพียงเก็บงำไว้อยู่ในใจ ความรู้สึกที่คล้ายกับโดนตัดหางปล่อยวัดนี้ทำให้เขารู้ว่าไม่เคยมีค่าใดๆกับคนนั้นเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโห แต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นก็คือ การโยนเข้าทิ้งในสภาพที่มีเพียงแต่เสื้อผ้ากับลมหายใจต่างหาก!


         ไม่ใช่ว่าอยากหนี แต่จะเอาเงินที่ไหนกลับประเทศ!

 
         มิกิถอนหายใจอีกครั้ง เขาคงต้องอายุสั้นลงแน่ๆเพราะเรื่องบ้าๆพวกนี้ มือเรียวยกขึ้นเกาศรีษะจนเส้นผมสีอ่อนยุ่งเหยิง พยายามตั้งสิตใจนับหนึ่งสามในใจว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่พอเหลือบมอบสภาพตัวเอง ก็มีเพียงแค่ชุดโธปสีขาวค่อมเท้าบางๆ ผ้าคลุมเกล็ดงู และปลอกคอทองคำลายอสรพิษที่ถอดไม่ได้!

 
         “ บ้าเอ้ย!.. ” สุดท้ายก็ทนไม่ไหวสบถกับตัวเองอย่างหัวเสีย จนคนรอบข้างในชานขลาหันมามองเป็นทางเดียว แต่เด็กหนุ่มกลับไม่สนใจ สนใจแค่เพียงเขาจะทำอะไรได้บ้างตอนจากนี้ต่างหาก!

 
         นี่บาซิกค์คิดจะใช้วิธีนี้แกล้งเขาหรือไงถึงได้ทำแบบนี้ เขาอยากได้อิสระก็จริงแต่อย่างน้อยถ้าจะให้จากกันโดยดีก็น่าจะมีของสมนาคุณให้เขาเสียบ้าง ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด สุดท้ายจึงได้แต่เดินย้ำเท้าตึงตังเตร็ดเตร่เข้าไปในเมืองอาราบัสหวังไปไปตายเอาดาบหน้าว่าพอจะหาลู่ทางกลับบ้านเกิดได้หรือไม่

 
          ตอนนี้..เขาเหนื่อย..กระหายน้ำ และอยากได้ที่พัก


         ทว่า..ไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียว แม้ท่ามกลางทะเลทรายปัจจัยเรื่องเงินจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะน้ำคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ตอนนี้ถ้าอยู่ในเมืองแห่งการค้าแล้ว ถ้าไม่ใช้เงินแลกที่พัก แล้วจะให้ไปใช้อะไร!


         ตอนนี้เป้าหมายแรกก็คือ การหาเงินมาใช้ และตอนนี้สิ่งที่พอจะขายก็มีเพียงแค่ผ้าคลุมเกล็ดงูมันเลื่อม ถึงมันจะเป็นสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะช่วยกลบกลิ่นดอกเพเซียที่อยู่ในร่างกายของเขาไม่ให้แผ่ออกมาได้ แต่เขาไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆ เพราะไอของที่ดูมีราคาที่สุดกลับถอดไม่ได้นี่สิ


         มิกิเดินเข้าไปในเมืองอาราบัส เมืองเล็กๆทว่ากลับมีชีวิตชีวาด้วยการค้าขายทุกประเภท โดยเฉพาะเรื่องทาสมนุษย์ที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนว่าโลกใบนี้ยังคงมีอยู่

 
         ตลอดสองฝั่งข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งร้านขายผ้า ร้านขายเครื่องประดับ และร้านขายของแห้งจำพวกเครื่องเทศ และถั่วอบแห้ง ถึงสิ้นค้าในทวีปแห่งทะเลทรายนี้จะดูเหมือนๆกันไปหมดและไม่ค่อยมีสิ่งใดน่าสนใจน่าดึงดูดเท่ากับประเทศที่เจริญแล้ว แต่เมื่อเอาอาราบัสไปเทียบกับอนาคาน อนาคานกลับดูเหมือนชนบทชนกลุ่มน้อยไปในทันที น่าแปลกที่อนาคานน่าจะมีของมีค่ามากมายเพราะดูจากภายในพระราชวังที่โอ่อ่าและเต็มไปข้าวของงดงามแล้ว แต่ภายในเมืองกลับไม่มีสิ่งใดเลยสักอย่าง ถึงจะบอกว่าผู้คนภายในเมืองนั้นคือมนุษย์งูกันทั้งหมดจึงไม่จำเป็นจำสนใจกับเรื่องสินค้าก็ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไร เพราะตลอดเวลาที่อยู่นั้น มีเพียงครั้งเดียวที่เห็นคนมีหัวเป็นงู แต่นั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่าเพราะมันก็มืดมากแล้วเขาก็เห็นไม่ชัดเท่าไร แต่สิ่งที่เขาแน่ใจก็คืน คนในอนาคานสามารถควบคุมอสรพิษได้ และนับถือพวกมันเสมือนเป็นเทพเจ้า


         แต่นั้นก็เป็นเพียงความคิดของเขาเพียงฝ่ายเดียว..และไม่เคยได้รับคำอธิบายใดจากใครในอนาคาน
 

         ทำไมมันน่าหงุดหงิดแบบนี้นะ..!?

 
         อีกครั้งที่เรื่องของอนาคานฉุกคิดขึ้นมาในหัวจนน่าโมโหตัวเองจนลืมสังเกตรอบด้าน เวลานี้ มีผู้คนมากมายที่แต่งกายเช่นเดียวกับชาวอาหรับที่มีผ้าโพกศรีษะต่างจับจ้องมาทางทางเขาแทบทุกคนที่เขาเดินผ่าน

 
         มีอะไรติดหน้าเขางั้นหรือ

 
         มือเรียวยกขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของตัวเอง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ

 
         หรือว่าชุดเขาจะแปลกกว่าคนอื่น...แต่มองดูแล้วก็ไม่ใช่ ถ้างั้นสิ่งใดล่ะ


         " เอ๊ะ! " เขาสะดุ้งตัวทันทีเมื่อมีชายชราแต่งตัวดั่งเช่นชาวอาหรับมาหยุดอยู่ตรงหน้า สายตานั่นกำลังสะท้อนภาพบางสิ่งที่อยู่บริเวณลำคอ

 
         " พ่อหนุ่ม ปลอกคอนี่..ทองคำงั้นหรือ" ชายชราเงยหน้าขึ้นมาถาม ทำท่าจะเอื้อมมือมาจับที่ลำคอของเขา

 
         " ปะ..เปล่าครับไม่ใช่ ขะ..ขอโทษครับ " เด็กหนุ่มต่างชาติปัดมือนั้นออกอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณ ก่อนรีบเดินเบี่ยงตัวหนีไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรซะขึ้นชื่อว่าเมืองแห่งการค้าคงไว้ใจอะไรไม่ได้ ยิ่งเป็นการใส่ของมีค่าเอาไว้กับตัว ก็ยิ่งเหมือนการล่อเสือให้มาขย้ำ โดยเฉพาะทองดำซึ่งเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด แต่จะให้เขาทำยังไงได้ ในไไอปลอกแสนซวยนี่มนถอดไม่ได้!

 
         มิกิรีบเดินหนีออกมาจนเหนื่อยหอบ เพราะปลอกคอเจ้าปัญหานี่ทำให้เขาต้องคอยกำชับปลอกคอเสื้ออยู่ตลอดเวลา ตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำอย่างเร่งด่วนก็คือการหาที่พักแล้วหาอะไรมาปิดปลอกคอบ้าๆนี่ ก่อนสายตาของเขาจะไปสะดุดอยู่ที่ร้านๆหนึ่งซึ่งอยู่ข้างๆตนปาล์มสูงใหญ่ ดูแล้วน่าจะเป็นร้านขายของเก่า ซึ่งดูแล้วที่นี่อาจจะทำให้เขาขายผ้าเกล็ดงูทิ้งได้

 
         มิกิเดินเข้าไปในร้าน แล้วรีบหยิบผ้าเกล็ดงูมาพ่อค้าประเมินราคา แต่พอพ่อค้ามาตรวจดูสภาพของผ้าชิ้นนี้ก็ถึงกับตาลุกวาว และถามกับเขาว่าไปได้มาจากที่ใด พอพูดชื่อนครเมืองนาคินขึ้นมา พ่อค้านั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สายตาเจ้าเล่ห์นั้นไม่รู้ว่ารู้จักหรือไม่รู้จักชื่อเมืองแห่งนี้กันแน่แต่ ก่อนจะบอกราคาออกไปอยู่ที่ 2 พันลูซ มิกิกระพริบตาปริบๆแม้ไม่รู้ว่าราคาของผ้าคลุมนี้เท่าไรแต่ก็รู้ว่าคงไม่ใช่ราคาที่แท้จริงของผ้าผืนนี้แน่ จึงแกล้งขู่ไปว่ารู้จักกับคนในราชวังของอนาคาน อย่างสนิดสนม หากอยากได้ผ้านี้เขาจะไปขอมาให้ ทีแรกพ่อค้าไม่เชื่อ แต่พอโ๙ว์หลักฐานเป็นปลอกคอทอง(ที่ถอดไม่ได้)อยู่ที่ลำคอ และมันก็ได้ผลเกินคาด การต่อรองจบอยู่ที่ 5 พันลูซ แถมด้วยแผนที่ของเมืองอาราบัสและทะเลทรายฮาซานมาอีกฟรีๆจนเด็กหนุ่มแอบแอบแปลกใจเล้กน้อย เพราะใครจะรู้ล่ะว่าถึงอนาคานจะเป็นเมืองปิด แต่พอยังมีอิทธิพลต่อเมืองรอบด้านรวมทั้งความต้องการในผลิตภัณฑ์ของเมือง แต่ก่อนที่จะหาที่พัก เขาต้องหาร้านที่สามารถกำจัดปัญหาใหญ่โตบนคอเข้าเสียก่อนจะได้ไม่เป็นเป้าสายตา


      หลังจากแวะร้านผ้าเพื่อซื้อผ้าพันคอมาปกปิด แม้จะร้อนเหงื่อท่วม ในที่สุด มิกิก็ได้ที่พักชั่วคราวเป็นห้องเล็กๆในโรงแรมซ่อมซอในราคาไม่ถึง 1 พันลูซต่อคืน ในห้องนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากเตียงนอนแข็งๆ โต๊ะเก้าอี้เก่าๆใกล้พังหนึ่งชุด และบานหน้าต่างที่ไม่มีตะแกงกั้น ทว่าสภาพเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่าการมีเตียงนุ่มๆหรือมีข้าราชบริวารมาดูเหมือนตอนที่อยู่ในวังอนาคานเสียอีก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหายแปลกๆ


        มิกิล้มตัวลงนอนลงบนเตียง ดวงตาสีเขียวอ่อนเงยมองดูเพดานที่มีรอยแตกร้าวสมสภาพโรงแรมเก่าๆ จากนี้เขาจะทำอย่างไรต่อไปกับอิสระที่ได้ครอบครองดี ในหัวมันว่างเปล่าไปหมด แต่เขาจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้เช่นกัน เงินหนึ่งห้าพันลูซไม่สามารถประทังชีวิตได้ตลอดไป เขาจำเป็นจะต้องหาทางติดต่อศูนย์วิจัย เพื่อให้ที่นั่นส่งคนมารับเขากลับไปที่ญี่ปุ่น แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ ความคิดเขาก็ชะงักงันในทันที ภาพในอดีตย้อนกลับมาจนดวงตาเบิกกว้าง ความเจ็บใจกับการหักหลังทรยศของเพื่อนร่วมงานทำให้เขากัดฟันแน่นด้วยความเครียดแค้น

 
            คำถามหนึ่งก็คือ..จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้หากศาสตร์จารย์ค็อดเลอร์และพวกชั่วช้านั้นยังรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่..เขาจะติดต่อที่นั่นไม่ได้ แต่จะมีทางไหนบางล่ะที่เขาจะได้กลับไปแล้วลากไอพวกสารเลวนั้นเข้าคุกให้สมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับเขาและศาสตราจารย์โลเกีย

 
             คิดไม่ออกเลย..


            “ เฮ้อ.. ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นในห้องที่เงียบเฉียบ กายบางบิดตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัวของคนที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน กระทั่งสายตาเหลือบเห็นม้วนกระดาษแผนที่ที่เขาได้มาจากร้านขายของเก่า จึงเดินไปหยิบมาขึ้น พอกางออกก็พบแผนที่รอบๆเมืองอาราบัสที่ลายล้อมไปด้วยดินแดนแห่งทะเลทราย


             มิกิพยายามหรี่ตามองแผนที่อย่างครุนคิด ที่จริงแล้ว เขาดูแผนที่ไม่เป็นเท่าไร แต่ก็พอจะมองลู่ทางออกมาอยู่บ้างว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วสถานที่จากมาอยู่ทางทิศใด ซึ่งมันเป็นเหมือนการจินตนาการภาพในหัวและคาดเดา แต่น่าแปลกที่มันกลับได้ผลจนน่าใจหาย

 
         มิกิมองแผนที่ไปเรื่อยๆ ทีแรกเขาจะลองเดาทิศทางของเมืองอนาคานว่าตั้งอยู่ที่ใด แต่ตอนที่เขาถูกนำตัวมาจนขึ้นรถไฟกลับถูกปิดตาจนมองไม่เห็นอะไร รู้สึกตัวอีกก็อยู่บนรถไฟเสียแล้ว นั่นทำให้เขาต้องล้มเลิกความตั้งไปโดยปริยาย แต่แล้วความคิดหนึ่งกลับแล่นเข้ามาหัว ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่น่าจะเป็นประโยชน์นอกจากการตอกย้ำจิตใจของตัวเองเล่น


            จากตรงนี้คืออาราบัส..แต่ถ้าไล่ขึ้นทางเหนือออกไปจะพบโอเอซิส แล้วที่นั้นก็เป็น..


            นิ้วมือเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงรูปแอ่งน้ำบนแผนที่ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นโอเอซิสที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองมากนัก


         “ ศูนย์วิจัยอยู่นี่สินะ.. ” เด็กหนุ่มกล่าวเรียบๆกับตัวเอง ก่อนจะพับแผ่นที่แล้ววางไว้ที่โต๊ะตามเดิม บางทีหนทางที่จะทำให้เขากลับประเทศบ้านเกิดได้อาจจะอยู่ที่นี่ก็ได้..

 
 

         สองวันผ่านพ้นไปโดยไร้ซึ่งเงาของเด็กหนุ่มต่างชาติ บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นอกจากมีรับสั่งด้วยใบหน้าตายด้านว่า อีกสองอาทิตย์ตกฟาก ฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะถูกดำเนินไปตามกฏตามช่วงอายุ 210 ปีของเทพนาคิน นั่นคือ ฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายที่เขาจะต้องเลือกราชีนีคู่บัลลังค์ เพื่อให้กำเนิดโอรสเทพนาคินองค์ใหม่ จากนั้นองค์ราชาก็เก็บตัวอยู่ในห้องจำศีลตลอดเวลาเพื่อชำระล้างจิตใจและความรู้สึกทุกอย่างที่คงมีให้ว่างเปล่า โดยทิ้งการปกครองเบื้องบนไว้ให้องค์ชายบาฮาลเป็นการชั่วคราว


         นั่นเป็นสิ่งที่องค์ชายบาฮาลควรกระทำตามอย่างไม่มีข้อแม้และไม่ควรคิดสงสัย ทว่า..ความรู้สึกแปลกบางอย่างกลับบอกเขาว่า ในแววตาของพี่ชายตัวเองนั้นมีแต่ความเศร้าสร้อยโดดเดี่ยว ถึงแม้ภายนอกที่แสดงออกมาจะเยือกเย็นยามที่สบสายตานั่นเหมือนเช่นเคย แต่ลึกๆเข้าไปกลับไม่ใช่ ระหว่างที่โดนกักขังจากโทษทัณฑ์เขาก็พอรู้เรื่อวราวอยู่บ้างจากซาอิด แต่เพราะเขาไม่เห็นกับตาจึงไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ถึงจะคิดว่าการปล่อยตัวมิกิไปนั้นทางเลือกที่ถูกต้อง ซึ่งอนาคานควรได้รับ แต่ทำไมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เข้าจึงเรียกซาอิดเข้าเพื่อสอบถามให้ชัดเจน

 
         ความเจ็บปวดในดวงตาสีอำพันคู่นั้นคือสิ่งใด..

 
         “ ข้าไม่เคยเห็นสายพระเนตรขององค์ราชาเป็นเช่นนี้มาก่อน” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาใจเอ่ยขึ้นในห้องทรงงานของราชาแห่งอนาคาน เรียกหัวหน้าราชบริวารเพียงหนึ่งเดียวที่เข้าเฝ้าเป็นเพื่อนคู่คิดหันมาสบ ใบหน้าที่เคยประดับรอยยิ้มเหมือนเช่นเคยกลับเปลี่ยนเม้มริมฝีปากลงเสียแน่น คล้ายกับกำลังลำบากจะที่บอกบางอย่างในสิ่งที่ถาม แต่ก็เลือกที่จะออกความเห็นออกไป


         “ องค์ราชา ทรงทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดเพื่ออนาคานแล้วพ่ะย่ะค่ะ ”


         “ สิ่งที่ถูกต้อง? ” บาฮาลเลิกคิ้วถามในคำตอบที่ต่อให้ฟังอีกครั้งก็ยังไม่เข้าใจ


         ซาอิดเบือนหน้าหนีไปทางอื่นคล้ายไม่อยากสบสายตา อาการเช่นนี้องค์ชายแห่งอนาคานจึงแน่ใจได้เลยว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนจะผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เค้นคำถามที่สามารถกรีดหัวใจคนฟังเป็นริ้วๆได้


         “ แล้วถ้าหากสิ่งที่ถูกนั้นคือการส่งเจ้าไปตายที่ซาคาเดียร์เหมือนพี่ชายเจ้าล่ะซาอิด ”

            ฟังความบาดหัวใจจบ ซาอิดหันกลับมาสบกับเจ้าของคำถามด้วยแววตาที่แข็งกระด้าง ริมฝีปากเผยอขึ้นคิดต่อว่าไปตามแรงยั่วโทสะ แต่ก็มีสติเพียงพอไม่พลั้งปากออกไป

 
         “ หากนั่นคือสิ่งที่สมควรกระหม่อมเองก็มิอาจขัดรับสั่ง ” พยายามปรับน้ำเสียงให้สงบนิ่งมากที่สุด แต่บาฮาลกลับคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี


         “ เจ้ามันโง่เง่า ซาอิด คำตอบของคำถามนี้ ข้าอยากรู้จริงว่าจะมีใครบ้างที่ไม่รักชีวิตตัวเองเช่นเจ้าบ้าง ”

         บาฮาลส่งสายตาทอดมอง หัวหน้าราชบริวารที่ยื่นตัวแข็งปั่นหน้าไม่ถูกกับคำตอบที่ได้รับ สังเกตเห็นมือเรียวที่กำแน่น ซาอิดรู้สึกกำลังถูกดวงตาสีกรมเข้มนั้นเล่นงานอย่างหนัก จะหายใจแต่ละครั้งก็รู้สึกอึดอัด เหมือนกำลังถูกล้วงลึกเข้าไปในจิตใจ สายตาคู่นั้นช่างเหมือนกับองค์ราชาบาซิกค์ไม่มีผิด


         “ ถึงปากเจ้าจะพูดว่าไป แต่ข้าก็ยังคงได้ยินเสียงหัวใจที่ตื่นกลัวของเจ้าอยู่ดี ”

 
         “ เช่นนั้นพระองค์จึงอยากจะตรัสว่า องค์ราชามิควรเสด็จไปยังซาคาเดียร์หรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงจะพิสูจน์ความกล้าได้ ” ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าจนหลุดพ้นจากสายตาพันธนาการนั่น เสียงที่เริ่มขึ้นดังแสดงที่แรงอารมณ์ที่เริ่มเก็บกลั้นไวไม่อยู่ ทว่าคำถามที่ถามออกไปกลับทำให้องค์ชายบาฮาลต้องขมวดคิ้วเป็นปมแน่น


         “ ต่อให้คิดเช่นนั้น อย่างไรพวกเราก็คงเปลี่ยนแปลงกฏของเทพนาคินไม่ได้! ”

         บาฮาลตวาดดัง ม่านประเพณีที่เคร่งครัดถูกยกขึ้นพูดจนคนฟังถึงกับสะอึก ความจริงที่เหล่านาคินทุกคนรู้ดีและให้การเคารพปฏิบัติกันมาช้านานนั้นไม่มีวนเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่พูด ซึ่งเป็นเสมือนโซ่เหล็กขนาดใหญ่ที่มัดตรวนพวกเขาไว้ด้วยกันอย่างไม่มีข้อแม้ ทว่า หากโซ่นั้นทำให้เกิดบาดแผลอย่างไม่ยุติทำก็ควรจะปลดทิ้งใช่หรือไม่


         “ แต่การคิดไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงพ่ะย่ะค่ะ การกระทำต่างหาก ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ” ซาอิดยังคงยืนกรานเสียงเดิม องค์ชายบาฮาลยืนขึ้นจากที่นั่งประทับทรงงาน ก่อนจะสาวเข้ามาใกล้หัวหน้าราชบริวารหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนสบลงไปยังนัยน์ตาสีครามดุจท้องฟ้าสดใส มือทรงอำนาจตบลงไปบนบ่าหนักๆ ราวกับจะตักเตือน


         “ การเปลี่ยนแปลง ข้าชอบคำนี้แต่ไม่ใช่กับอนาคาน ” ถ้อยคำนั้นเหมือนจะให้ความหวังแต่กลับตัดทอนเสียจนเสียกำลังใจทว่าซาอิดยังคงพูดต่อไป


         “ อนาคานหวาดกลัวต่อกฏของเทพนาคินเกินไป ซึ่งนั่นทำให้ที่นี่อ่อนแออย่างไร้เหตุผล หากท่านมิกิถูกมองว่าเป็นสิ่งเลวร้าย แล้วกฏของเทพนาคินล่ะพ่ะย่ะค่ะคือสิ่งใด ”

 
         “ ซาอิด!! ” สรุเสียงตวาดก้อง ไม่พอใจที่ร่างตรงหน้าพูดจาหมิ่นกฏเทพนาคิน ทว่าซาอิดยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่นลงทุกที

 
         “ หากเกิดขึ้นซึ่งฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย กฏของเทพนาคินก็ยังคงอยู่เช่นเดิม นั่นคือสิ่งที่พวกเราปรารถนาจริงๆหรือเป็นเพียงแค่ความเห็นแก่ตัวกันแน่ พวกเราควรจะคิดให้ดี ว่าบรรณนาการนาคินเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นการเล่นสนุกของซาคาเดียร์ ”


         “ หยุดนะ! ”

 
         “ ทีแรก กระหม่อมมองว่า องค์ราชาทรงไม่ต้องการเช่นนั้น..แต่เพราะพวกเรายังต้องการได้รับการปกป้อง จึงเรียกร้องทุกอย่างจากเทพนาคิน ที่องค์ราชาบาซิกค์ทรงทำไม่เป็นแค่เพียงยื้อชีวิต แต่นั้นรวมไปถึงชาวนาคินทุกคนที่จะไม่ได้ถูกเป็นส่งไปเป็นเครื่องบรรณนาการที่ซาคาเดียร์อีก แต่พวกเรากลับโง่เขลาเกินและคิดว่ากฏคือทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่! ”


         “ซาอิด!”

 
         ขอบตามเริ่มร้อนผ่าวขึ้นทุกที

 
          “ตอนนั้น ในความหมายที่แท้จริงกลับไม่มีใครเข้าใจ รวมทั้งกระหม่อมด้วย เรื่องทั้งหมดที่ทูลบอก กระหม่อมไม่ได้คิดคดทรยศอนาคานแต่อย่างใด แต่ไม่อยากให้ใครต้องเสียชีวิตอีกแล้ว พระองค์อาจจะมองเรื่องนี้มันเป็นไปได้ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลง แต่บรรณนาการนาคินก็เป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไปและไม่ยุติธรรมเลยสักนิด การที่ส่งพี่ชายของประหม่อมไปตายนั่นสมควรแล้วหรืออย่างไร ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างทั้งนั้น กฏบ้าบอเช่นนี้กระหม่อมมิอาจยอมรับได้เด็ดขาด ที่ทำได้ก็มีเพียงรักษาเทพนาคิน แต่พวกเรากำลังส่งพระองค์ไปสังเวย ถ้าตอนนี้ไม่ใช่พระองค์ที่พอจะช่วยองค์ราชาได้แล้วจะมีใครเป็นไปได้อีก..กระหม่อมไม่อยาก..กระหม่อมไม่.. ”

 
         แหมะ..

 
         จู่ๆน้ำตาก็ไหลลงมาเป็นสายไม่หยุดหย่อนพร้อมกับสิ่งที่เก็บงำอยู่ในใจ สติที่พยายามควบคุมแตกกระเจิงออกเป็นเสี่ยงเช่นเศษแก้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้เสียงที่พร่ำระบายออกมาหยุดชะงักไปไม่ใช่น้ำตาของตัวเอง แต่เป็นมือทั้งอุ่นทั้งสองข้างที่ประคองใบหน้าของเขาให้เงยขึ้นมาสบดวงตาสีเข้มทรงอำนาจคู่นั้น วินาทีเหมือนกำอากาศายไปชั่วขณะ  เพียงแค่มองก็เหมือนกับกำลังสะกดทุกสิ่งให้กำดิ่งลึกลงไปในหลุมดำที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทว่ากลับสงบและเยือกเย็นจนไม่อยากจะถอดถอนตัวขึ้นมา ใบหน้าคมเข้มอยู่ใกล้ ปลายจมูกโด่งสันแนบชิดเพียงลมหายใจ ริมฝีปากอ่อนนุ่มเพียงแค่ขยับก็สัมผัสได้กลีบปากหนาสวยของคนตรงข้าม หัวใจมิอาจตอบได้ว่าเต้นเป็นจังหวะเดียวกันหรือไม่ แต่ตรงใต้แผ่นอกนี้กลับใกล้จะระเบิดออกเต็มที เมื่อสัมผัสใก้ลชิด

 
          องค์ชายบาฮาลขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เห็นใบหน้านั้นที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งๆที่เป็นคนที่เกลียดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และไม่ชอบขี้หน้า แต่พอเริ่มเห็นซาอิดเป็นเช่นนี้หัวใจมันก็กระตุกแปลกๆ จนต้องใช้มือทั้งสองประคองใบหน้านั้นขึ้นมาเพื่อให้ได้สติ กระทั้งคนตรงหน้านิ่งเงียบไปกับการกระทำ ทว่าถ้อยคำที่พร่ำออกมาทั้งหมดมันคล้ายว่าซาอิดกำลัง..


         “ เจ้าคิดสิ่งใดกับองค์ราชาอยู่กันแน่ซาอิด..” มือหนาทั้งสองค่อยๆผละออก คำถามที่ไม่คาดคิด พร้อมกับน้ำเสียงเรียบสงบแต่แฝงไปด้วยความตัดพ้อจนคนฟังถึงกับใจหาย ซาอิดมองการกระทำขององค์ชายนิ่ง ปากกำลังจะเอ่ยปากอธิบายทุกสิ่ง แต่องค์ชายบาฮาลกลับหันแผ่นให้แล้วกล่าวไล่อย่างเย็นชา


         “ ออกไปซะ ข้าเกลียดคนอย่างเจ้าที่สุด ” สิ้นรับสั่งไม่แม้แต่จะปรายตามอง หัวหน้าราชบริวารหนุ่มได้แต่โค้งจำใจรับคำสั่ง แต่ในใจกลับรู้สึกเจ็ยแปล็บขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ไฉนเรื่องทั้งหมดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน ก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากห้องทรงงาน พร้อมเสียงประตูที่ปิดลงพร้อมกับประโยคหนึ่งที่ยังคงดังก้องในหูขององค์ชายแห่งอนาคาน

 
         ‘มีเพียงพระองค์ที่สามารถช่วยองค์ราชาได้..’

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 11]UP 21/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 21-08-2015 16:00:06
 ค่ำคืนที่ 11 : เด็กน้อยที่ถูกทิ้ง Part จบ

       แสงอรุณสาดส่องเหนือนครแห่งการค้าอาราบัส ไอแดดร้อนแรงสมดั่งภูมิภาคที่เต็มไปด้วยทะเลทรายพูนสูง เพียงแค่สายลมพัดผ่านก็รู้สึกแสบเนื้อตัวไปหมด


        สองคืนเต็มๆในการตัดสินใจกับเงินที่เหลือไม่สามพันลูซ มิกิพยายามหาลู่ทางที่จะกลับไปยังสถานีวิจัย แต่จากการถามผู้คนด้วยภาษากลางของคนต่างชาติแล้ว ก็ได้คำตอบที่เหมือนกันว่า โอเอซิสแห่งนั้นไม่มีค่อยนิยมในการเดินทางของพวกพ่อค้าเพราะสุดปลายทางเป็นแค่ที่ราบสูงชันซึ่งมีหุบเหวลึกขวางกัน การที่เขาจะขอติดขบวนคาราวานไปลงยังโอเอซิสจึงแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่หากต้องการไปจริงๆ เขาต้องเช่าม้าหรืออูฐเป็นพาหนะไปเองเท่านั้น ซึ่งก็ใช้เวลาค่อนวันกว่าจะไปถึง


       ทว่า..ทางเลือกที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด กลับผลักดันให้เด็กหนุ่มต่างชาติตัดสินใจในที่สุด มิกิเลือกที่จะเช่าอูฐในราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ ก่อนจะขึ้นขี่อูฐที่เช่ามาด้วยท่าทีที่งกๆเงิ่นๆ แต่พอเริ่มจับจังหวะและเรียนรู้ได้ ก็คิดว่ามันไม่ได้แตกต่างจากการขี่ม้าเท่าไรนัก เพียงแต่ความรู้สึกที่ได้รับมันดูช้าเอื่อยๆเรื่อยๆเสียมากกว่า


       เขาเดินทางออกจากเมืองอาราบัสสู่ทะเลทรายเวิ้งว้างตั้งแต่เช้ากระทั่งตอนนี้..ตะวันส่องเหนือหัว เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่า การเดินทางเพียงลำพังโดยมีทะเลทรายล้อมรอบกับพระอาทิตย์ร้อนๆที่ส่องรนอยู่นี่ ไม่ต่างอะไรกับย่างเนื้อตัวเองเล่น


        อากาศที่ร้อนอบอ้าวดั่งเตาอบนี้ ทำให้รู้สึกแสบคันไปทั้งตัวคล้ายผิวหนังมันจะลอกไหม้ เหงื่อไคลไหลซึมอยู่ตลอดเวลาราวกับอาบ แม้ก่อนหน้า จะใช้ผ้าพันคอที่ซื้อมาจากในเมืองมาพันโพกศรีษะแล้วนำส่วนหนึ่งมาปกปิดใบหน้าจากแสงแดดและเกล็ดทราย แต่ดูท่า..ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก นอกจากจะอบให้มันรู้สึกร้อนกว่าเดิม

 
       เดินทางไมาได้สัก2ชั่วโมงกว่า มือเรียวหยิบเอาแผนที่ที่เหน็บเอาไว้กับกระเป๋าสัมภาระที่ติดมากับอูฐเช่าขึ้นมาดู จากอาราบัสเดินขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ ก็จะพบโอเอซิสที่ตั้งของสถานีวิจัย มองดูในแผนที่นั้นง่ายแสนง่าย แต่พอมาอยู่ตรงนี้จริงๆ ทั้งหน้าหลังก็ล้อมรอบไปด้วยทะเลทรายไปเสียหมดจนจับทิศจับทางไม่ถูก


       เสียงถอนหายใจดังขึ้นมายาวพรืดอีกครั้ง มืออีกข้างยกกระบองน้ำขึ้นดื่มให้สดชื่นแต่กลับไม่มีน้ำเลยสักหยด เพียงแค่นั้นก็รู้สึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมาดื่มน้ำมาตลอดทาง


       “ ให้มันได้แบบนี้สิ มิกิ ” บ่นกับตัวเองพึมพรำ ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่กลับมาที่นี่ สุดท้ายหงุดหงิดไปก็เท่านั้น เพราะหากเลืือกที่จะไม่เดินทางต่อก็คงอยู่เป็นศพไร้ญาติกลางทะเลทรายแน่ นึกแล้วคงอบอุ่นพิลึก(ด้วยไอแดด) ก่อนเขาจะพยายามมุ่งตรงต่อไป เพื่อหาโอเอซิสนั้นให้เจอ

 
       อีกชั่วโมงถัดมา ในขณะที่ความเหนื่อยกัดกินไปทั่วร่าง ก็ไม่รู้ว่าสวรรค์เป็นใจหรือโชคชะตาพาให้พานพบ เขาก็มาถึงยังโอเอซิสซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของสถานีวิจัยที่เขาเคยทำงานอยู่


       มิกิผูกอูฐเข้ากับต้นปาล์มสูงใหญ่ในบริเวณนั้น ก่อนจะรีบวักน้ำในทะเลสาบขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย  ในที่สุดน้ำเย็นๆจากในทะเลทราบก็ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นอีกครั้งราวกับได้ขึ้นสวรรค์


       เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น เด็กหนุ่มในชุดโธปสีขาวก็ยืนขึ้นเต็มความสูง นัยน์ตาสีเขียวอ่อนของเลือดต่างชาติหรี่มองสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่ค่อยหลงเหลือสภาพสถานีวิจัยเท่าไร โดยรอบเต็มไปด้วยเศษซากจากแรงระเบิดที่ทำเอาประตูรั่วเหล็กที่กั้นระหว่างสถานีบิดเบี้ยวจนดูไม่ออก มีคราบเขม่าสีดำจากเปลวไฟและแรงระเบิดยังคงหลงเหลืออยู่โดยรอบ อีกทั้งทางเข้าด้านหน้าที่เคยเป็นประตูขนาดใหญ่ก็หลงเหลือเพียงแค่โครงเหล็กคดงอ ไม่อาจเรียกได้ว่าประตูอีกต่อไป


       เขาถอนหายใจกับภาพที่เห็น รู้สึกจิตใจเต้นไม่เป็นปกติเลยสักนิด อนุภาพการทำลายของระเบิดแม้จะไม่ถึงกับทำให้สถานีนี้แตกเป็นเสี่ยงเหมือนเปลือกไข่ที่ถูกกระเทาะ แต่ก็อดไม่ไดที่จะใจหายวาบเมื่อได้เห็นสภาพที่ตัวเองเคยเผชิญ หากศาสตราจารย์โลเกียไม่เป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้ เขาก็คง..


       'เลิกคิดมากสักทีมิกิ..เพราะแบบนี้เธอถึงได้ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเหมือนคนอื่นเขาสักที’


       จู่ๆประโยคนี้ ก็ผุดก้องขึ้นในหู ซึ่งเป็นประโยคที่ศาสตราจารย์โลเกียชอบบ่นว่าเขาเป็นประจำเวลาที่เขาค้านสมมุติฐานของงานวิจัยของเจ้าตัวด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่อยู่ก่ำกึ่งระหว่างความห่วงใยกับเสียดสี น่าแปลกถึงจะไม่ชอบใจนักแต่มันกลับทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้ง ก่อนจะลงด้วยเสียงทะเลาะกันระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กเช่นนั้นเรื่อยมา ทว่า..วันนี้ มันกลับทำให้ริมขอบตาของเขาร้อนผ่าวขึ้น ราวกับถูกกระตุ้นความรู้สึกส่วนลึกที่หายไปนานในจิตใจ


       “ ตาแก่เอ้ย..ตายไปแล้วยังจะสร้างเรื่องให้ผมเดือดร้อนอีก.. ” มือยกขึ้นมาปิดดวงตาที่ร้อนผ่าวไปหมด กลั้นน้ำใสๆไม่ให้รินไหลออกมา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นเช่นเก่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งร้องไห้ แต่เขาต้องหาหนทางกลับประเทศ และทวนคืนทุกอย่างจากพวกคนชั่วช้าที่ทำกับเขา ว่าแล้วก็สาวเท้าเดินย่ำเข้าไปสถานีวิจัยในทันที

 
       พอมาถึงหน้าที่เคยเป็นประตูทางเข้าที่บัดนี้เหลือแต่โครงเหล็กบิดเบี้ยวจนดูไม่ออก มิกิเดินเข้าไป แต่และย่างก้าวมีเสียงดังกร๊อบแกร๊บ ด้วยเศษกระจกกระจัดกระจายเกลือนกลาดเต็มพื้น ด้านซ้ายมือที่ควรจะเป็นบันไดขึ้นไปยังชั้นสอง กลับถูกแรงระเบิดทำให้เพดานด้านบนหล่นมาทับจนแทบจะปิดทางเดินไปหมด พอหันมาตรงทางเดินก็พบสายไฟห้อยระย้าลงมาราวกับเถาวัลย์เต็มไปหมด รวมทั้งมีฝุ่นควันตลบอบอวลและกลิ่นเขม่าขี้เถ้ายังคงหลงเหลือจนหายใจได้ติดขัด  เขาจึงใช้ผ้าคลุมศรีษะขึ้นมาปิดจมูกเพื่อช่วยกรองอากาศ
 

       ยิ่งเดินเข้ามาลึกขึ้น ใบหน้าหวานก็นิ่วลงเรื่อยๆ เพราะแสงสว่างจากด้านนอกไม่อาจเข้าถึงทำให้มืดลองจนแทบเห็นอะไรได้ไม่ชัด เขาจำได้ว่าบริเวณด้านข้างกำแพงก่อนถึงบันไดฝั่งตรงข้ามที่จะขึ้นไปยังชั้นสองของสถานีอีกด้าน จะมีตู้ถังดับเพลิงที่ติดไว้กับผนัง ซึ่งมีของจำพวก ถังดับเพลิง ขวาน และอุปกรณ์ฉุกเฉินอยู่ด้านใน หนึ่งในนั้นคือไฟฉายเล็กๆที่เอาไว้ใช้ยามไฟดับ

 
       โชคดีที่แรงระเบิดนั้นทำให้ตู้ของถังดับเพลิงปิดเบี้ยวจนกระจกกั้นแตกละเอียด ทำให้เขาสามารถล้วงมือเข้าหาสิ่งของที่อยู่ด้านในได้อย่างไม่ยากเย็น แต่สัมผัสจากบางสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ในมุมลึกของตู้ทำให้เขาถึงกับสะดุ้ง

 
       “ โอ้ย!! ” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าบริเวณปลายนิ้วมือของตัวเองมีรอยฟันซี่เล็กๆกดลงไปจนเป็นรอยถลอก แต่แผลก็ไม่ลึกมาจนเลือดไหลซึม เขาเบิ่งตามองสิ่งที่รอบทำร้ายที่อยู่ด้านในให้ชัดๆ  ก่อนจะพบว่าเป็นหนูตัวน้อยที่แอบมาซ่อนตัวหลบภัยอยู่ในนี้

 
       “ ไอหนูบ้านี่! ”

       มิกิขบกรามแน่นด้าวยความหงุดหงิด ก่อนจะแก้เผ็ดด้วยการใช้มือตบลงที่โครงตู้เหล็กให้เกิดเสียงดังโครมคราม แกล้งเจ้าหนูให้ตกใจวิ่งเตลิดออกไปจากตู้


       เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตเจ้าปัญหาหายลับไป เขาจึงใช้มือล้วงเข้าไปด้านในอีกครั้ง ก่อนจะพบกล่องอุปกรณ์เล็กๆที่อยู่ด้านในสุด เขาหยิบมาออก ก่อนจะเปิดฝาออกข้างในมีทั้ง เชือก กรรไกร ฆ้อน ตลับเมตร และไฟฉาย


       เขายกไฟฉายขึ้น..ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปขนาดนี้ รวมทั้งเจ้ากล่องอุปกรณ์ก็เพิ่งผ่านสมรภูมิระเบิดมา เขาก็ไม่แน่ใจว่าของที่อยู่ด้านในมันจะยังคงมีสภาพสมบูรณ์หรือเปล่า ว่าแล้วก็ลงมือบิดซ้ายทีขวาทีตบที่ฝ่ามืออยู่สักพัก แสงไฟก็เริ่มติดๆดับๆ ก่อนจะสว่างค้างอยู่แบบนั้นให้ชื่นใจ ทีนี่เขาก็ไปสำรวจด้านบนได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว..

 



       หนูตัวน้อยวิ่งออกมาด้วยความตื่นกลัว แสงอาทิตย์ที่ส่องเหนือท้องฟ้า ทำให้เห็นเส้นขนเล็กๆสีน้ำตาลไหม้ หางที่ยาวเท่าขนาดลำตัวกับน้ำหนักที่เบานั้นทำให้มันเคลื่อนที่ได้ว่องไว ทว่า..หนูก็ยังคงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในวงจรของผู้ถูกล่า สัญชาตทำให้มันต้องรีบกลับรังหรือทีซ่อนตัวโดยเร็ว แต่ทันทีที่สัตว์สี่เท้าเหยียบย้ำลงบนพื้นทรายร้อนระอุ ก็เหมือนกับสัญญาณหัวใจขาดหายไปในฉับพลัน!

 
       ฟ่อ!


       คมเขี้ยวฝังลงไปยังลำคอของเหยื่อที่ไม่ทันระวัง นักฆ่าที่แฝงเร้นกายอยู่ในพื้นทรายแนบเนียนปรากฏกายอันใหญ่โตจากพื้นทราย อสรพิษสีเหลืองทรายเต็มไปด้วยเกล็ดหยาบกระด้างฉีดพิษเข้ายังเจ้าหนูตัวน้อยที่น่าสงสาร เสียงร้องของสัตว์ตัวจิ๋วดังขึ้นเหมือนเจ็บปวดแต่เพียงไม่นานก็แน่นิ่งไปไปในบัดดัล งูพิษค่อยๆกลืนหนูตัวน้อยลงในท้อง ช่างเป็นภาพที่แสนโหดร้ายยิ่งนัก ก่อนเท้าข้างหนึ่งของใครบางคนจะเหยียบย้ำลงไปข้างๆอสรพิษผู้หาร ดวงตามิได้สนใจการล่าเหยื่ออันสมบูรณ์แบบของเจ้างูเลยสักนิด จมูกโด่งสันสูดดมกลิ่นอายบางอย่างที่ลอยโชยมาตามสายลม รอยยิ้มหนึ่งผุดขึ้นบนใบหน้าใต้ผ้าคลุมแต่เยือกเย็นเสียจนน่าหวาดกลัว

 

 
 

            พอเดินขึ้นมาถึงห้องที่ตัวเองเคยวิจัยเกี่ยวกับเซรุ่มของดอกเพเซีย ประตูด้านหน้าที่เขาเคยโดนขังเอาไว้ก็ถูกแรงระเบิดจนเปิดโล่งจนเป็นรูโบ๋

 
       แต่เพียงก้าวแรกที่เข้าไปด้านใน สายลมวูบหนึ่งก็พัดผ่านใบหน้าจนรู้สึกเย็นวาบจนขนลุกตั้ง เขาสะบัดใบหน้าแรงๆตั้งสติ ก่อนจะส่องไฟฉายเข้าไป


       ท่ามกลางความมืดมิดภาพที่สะท้อนสู่สายตา ไม่อาจเรียกได้ว่าห้องทดลองอีกต่อไป ข้าวของทุกอย่างระเนระนาดไปคนละทิศคนละทางไปหมดคล้ายกับโดนถล่มจนย่อยยับ บนพื้นเต็มไปล่องรอยของระเบิดที่มอดไหม้แผลเผา มีฝุ่นผงสีดำล่องลอยไปทั่ว

 
       สภาพเช่นนี้ทำให้คนที่มาควานหาความหวังถึงกับขาแข้งอ่อนไปหมด แต่ทั้งหมดมิอาจเจ็บเท่ากับภาพความทรงจำที่ผุดขึ้นมาในหัวนี้


       ในห้องวิจัยที่แสนน่าเบื่อที่ไม่มีค่าแก่การจดจำ แต่กลับเต็มไปด้วยภาพของตัวเขาและชายวัยกลางคนที่เขาเทิลทูลเป็นพ่อคนที่สองที่เขาจะไม่มีทอดทิ้ง..

 
       เสียงหัวเราะ..

 
       มือที่ลูบศรีษะ


       รอยยิ้มนั่น..

 
       ทั้งหมดเป็นภาพบาดที่แสนปวดร้าวจนแถบจะไม่แรงรั้งยืน ราวกับหัวใจนี้มันกำลังบีบรัดตัวจนทรมานแม้กระทั่งหายใจ ทั้งที่รู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามานั่งนึกเรื่องอดีตอีกแล้ว แต่กลับทำไม่ได้เลยสักนิด


       เข้มแข็งสิมิกิ..

 
       อย่าร้องไห้สิมิกิ..

 
       คำพูดเหล่านั้นเขามักได้ยินเสมอเวลาท้อแท้ แต่มัน..ไม่มีอีกแล้ว

 
       “ คุณมันใจร้ายศาสตราจารย์..ฮึก.  ” พยายามกลั่นเสียงสะอื้นและหยดน้ำตาไม่รินไหล สองมือยกขึ้นมาปิดดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ แผ่นหลังเอนผิงลงไปกับขอบประตูทางเข้า ร่างกายค่อยไหลทรุดลง


       เขาร้องไห้..ร้องเสียจนราวกับชีวิตกำลังสิ้นไป ...

 
       เพราะหลังจากวันที่เขาหนีรอดออกมา ชีวิตของเขาก็สับสนวุ่นวายไปหมด จนความจริงอีกด้านที่เกิดขึ้นลืมเลือนออกไปจากหัวสมอง ทว่า..เวลาที่กลับฟื้นคืนมามันแทบให้เขาทนไม่ไหว อยากระบายความเสียใจนี้ ออกไปจากหัวของเขาสักที


       " ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย.. " มือเรียวทุบลงไปกับพื้น เศษของฝุ่นผงทำให้รู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือแต่ก็ไม่เท่ากับจิตใจที่บอบช้ำ

 
       ' คนขวานผ่าซากอย่างนายยอมแพ้เป็นที่ไหน ลุกขึ้นมาสิมิกิ ท้อแท้ตอนนี้มันยังเร็วไปร้อยปี'

ประโยคของศาสตรจารย์ผุดขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง มือนั้นที่ยื่นมาให้เขาจับ ราวกับคอยเป็นไม้ที่คอยพยุงให้ลุกขึ้นสู้ต่อไป


       ใช่สิ..ยอมแพ้ตอนนี้มันยังเร็วไป

 
       ในที่สุดกก็พยายามตั้งสติให้ได้ มือยกขึ้นมาปาดน้ำตาของตัวเอง มิกิพยุงตัวลุกขึ้นอีกครั้ง สูดหายใจเข้าลึกและผ่อนออกมายาวๆ ก่อนจะหันหน้าเดินเข้าไปสำรวจห้องที่อยู่ด้านในอย่างระเอียดอีกครั้ง ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีอะไรเหลือเลย

 
       เขามองหาทุกสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ กระทั่งส่องไฟฉายไปเห็นตู้เหล็กสีเทาตู้หนึ่งที่ถูกทำเป็นช่องติดกับตัวกำแพง จึงขมวดคิ้วเป็นปมแน่น และใช้ไฟฉายส่องตู้นั้นอย่างไม่วางตา

 
       หากจำไม่ผิด ช่องบนกำแพงที่สร้างขึ้นก่อนจะมีตู้เหล็กนี้ถูกออกแบบมาผิด ศาสตราจารย์โลเกียจึงบอกให้ทำเป็นตู้เก็บของเล็กๆ หรือไว้เก็บพวกเอกสารพวกผลวิจัยที่ยังรอการตรวจสมมุติฐานของเขากับศาสตราจารย์ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้ และเอกสารที่เอาทดสอบนั้นเป็นต้นฉบับบของทางศูนย์วิจัยทั้งหมด แต่การจะเปิดมันได้ก็ต้องใช้กุญแจ.. ทว่า..สภาพแบบนี้คงหากุญไม่เจอแน่ จะทำยังไงล่ะ?

 
       “ ขวานนั่น! ” ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวทันที ก่อนจะชั้นบนเขาจำได้ว่าที่ตู้ถังดับเพลิงมีขวานเหล็กสีแดงอยู่ด้านในด้วย หากใช้สิ่งนี้อาจจะพอเปิดเอาของที่อยู่ด้านในออกมาได้


       มิกิรีบลงไปหยิบขวานไม้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขึ้นมาด้านบนและรีบใช้ขวานสับลงไปที่ตู้ที่ช่องกำแพงทันที ในที่สุดก็สามารถทะลุถึงด้านในได้สำเร็จมือบางรีบคว้าสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา มาเป็นซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดA3 พอเปิดดูด้านในก็พบเอกสารสีขาวที่ยังคงอยู่ในสภาพทีสมบูรณ์


       เขาหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับงานวิจัยที่พิสูจน์สมมุติฐานแบบไม่เป็นทางการ หากแบบฟอร์มที่ใช้สรุปนั้นเป็นของศูนย์วิจัยโดยตรง ซึ่งด้านหลังระบุรายละเอียดต่างๆเอาไว้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังมีใบประวัติการทำงานของทุกคนนี่ที่แอบถ่ายเอกสารเก็บเอาไว้ และนี่น่าจะเป็นสิ่งที่เขาน่าจะใช้ได้!


       มือเรียวไล่เปิดทีละแผ่น พลิกหน้าพลิกหลัง หาเบอร์โทรศัพท์บุคคลอื่นที่สามารถติดต่อได้นอกจากทีมนักวิทยาศาตร์ทางการแพทย์ที่หักหลัง แต่ไม่ทันจะได้ดูจนครบ เสียงย้ำฝีเท้าลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษแก้วก็ทำให้เขาหยุดชะงัก ก่อนจะรีบส่องไฟฉายไปต้นตอของเสียงที่อยู่หน้าประตู!


       “ ใครน่ะ! ” ร่างบางส่งเสียงถามทันที มืออีกข้างกอดซองเอกสารไว้แน่น ไฟฉายถูกส่องไปยังบุคคลที่มาเยือน แต่กลับพบเพียงแค่ร่างสูงบางในชุดคลุมสีดำ และใบหน้าที่ก้มลงต่ำจนผ้าคลุมปรกใบหน้าลงมาจนมองเห็นได้ไม่ชัด ก่อนเสียงสูดลมหายใจของบุรุษปริศนาตรงหน้าจะทำให้เขาถึงกับตัวแข็งทื่อ รู้สึกขยะแขยงกับการกระทำเช่นนี้

 
       “ ตัวเจ้าหอมจัง...และก็หอม..กลิ่นของบ้านเกิด.. ” คำพูดที่ฟังแล้วไม่เข้าใใจเท่าไรพรำขึ้น ทว่า..ไม่เท่ากัยรอยยิ้มเย็นเยียบคลี่ออกจนน่าขนลุก มิกิเบิกตากว้างตกใจหัวใจแทบหยุดเต้น เห็นฟันที่เรียงสวยของคนตรงหน้าค่อยๆงอกออกมาเป็นเขี้ยวยาวคมกริบราวกับในหนังสยองขวัญ แต่ไม่เท่ากับเสี้ยววินาทีที่เห็นใบหน้ากำลังกลายเป็นเกล็ด!


       เกล็ดของงู!


        “วิ่ง!!”
       ไม่รู้ว่าได้ยินเสียงของใครตะโกนบอก แต่เพียงแค่นั้นก็ปลุกสัญชาตญาณทั้งหมดที่อยู่ในตัวให้ตื่นได้ทันที สองขารีบวิ่งอย่างรวดเร็วผ่านประตูทางด้านหลังของห้องวิจัย ทว่า..พอออกมาด้านนอกก็แทบชะงักฝีเท้าไม่ทัน เมื่อพบโพรงหลุมขนาดใหญ่จากพื้นที่ถล่มลงไปยังด้านล่าง

 
       ไม่มีเววลาในคิดมากนัก ร่างบางตัดสินใจกระโดดข้ามฝั่งออกไป แต่ดันกะจังหวะพลาดทำให้ล้มขลุกลงไปกับพื้นที่เต็มไปด้วยเศษฝุ่นผงจนบาดเข้ากับเนื้อตัวเจ็บไปหมด


       ทว่า..เสียงการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างที่ตามมาจากด้านหลัง ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างแล้วดึงสติกลับคืนมาโดยไว ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปยังบันไดอีกข้าง  คิดจะลงไปยังชั้นหนั่งเพื่อออกไปด้านนอก แต่กลืมไปว่าแรงระเบิดทำให้เพดานถล่มลงปิดทับทางออกของบันได เขาจึงจำเป็นเป็นต้องวิ่งสวนขึ้นไปด้านบนแทน


สองเท้าพาร่างกายที่เหนื่อยหอบจากการวิ่งหนีบางสิ่งขึ้นมายังดาดฟ้าของสถานีวิจัย มิกิวิ่งมายังสุดขอบกั้นของตึกจนไร้ทางหนี ดวงตาคู่สวยมองลงไปยังพื้นด้านล่าง หากวัดระดับความสูงคงเทียบเท่ากับตึก 4 ชั้น ถึงจะตกลงไปหากไม่ตาย แต่ก็คงเลี้ยงไม่โต


       เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รู้สึกไร้หนทางจะหนีรอด เขาไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใครและต้องการอะไรจากตัวเขา แต่สัญชาตญาณกลับบ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงอันตรายและน่ากลัวของชายผู้นี้ อย่างไรหากประตูดาดฟ้าเปิดออก เขาคงเห็นรูปลักษณ์ของหมอนั่นซึ่งๆหน้า


            ตึง


            ตึง!


       เร็วเท่าความคิดประตูดาดฟ้าก็สั่นสะเทือน แรงผลักที่ดันมาจากจากด้านในราวกับสัตว์ที่บ้าคลั่งค่อยๆทำให้ประตูเหล็กโก่งโงอย่างง่ายดาย มิกิก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ดวงตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่บานประตู กระทั่งไม่มีที่เหลือพอจะให้เขาถอยได้อีกแล้ว เม็ดเหงื่อก็ผุดเกาะเต็มทั่วใบหน้า อีกไม่นานประตูนั่นคงพังลงแล้วคนที่อยู่ด้านในคงตามเขามาได้ เขาพยายามคิดหาหนทางรอด แต่พื้นที่โล่งๆที่ไม่มีสิ่งใดบดบังนั้นทำให้หัวสมองเขาขาวโลนไปหมด ราวกับที่แห่งนี้เป็นลานประหาร ลานประหารเพื่อเขา
 

       “ มิกิหยุด!! ”

 
       “ อ๊ะ!! ”
 
       วินาทีนั้นทุกอย่างขาวโพลนไปหมด เมื่อขาข้างหนึ่งเผลอหย่นลงไปยังพื้นอากาศโปร่งๆจนเสียการทรงตัว ดวงตาสีเขียวนั้นเบิกกว้างตกใจ กายบางพลัดตกจากดาดฟ้าทันที !


       วืด!

 
       จบแล้วสินะ..

 
       ฟรืบ!

       เงาดำของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เคลื่อนผ่านสายตา ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่แทนที่จะได้รับความเจ็บปวดจากแรงกระแทกพื้น  แต่ตัวเขากลับรู้สึกเหมือนถูกโอบรัดกลางอากาศ เกล็ดสีดำมันเลื่อมพันธนาการอยู่รอบตัว ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกถึงการบีบรัด อึดอัดแต่อย่างใด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมดจนไม่รู้ว่าตัวเป็นอย่างไร สุดท้าย..ทันทีที่ขาทั้งสองแตะพื้นอย่างนุ่มนวล เขาจึงได้มีโอกาสมองสิ่งนั้นให้ชัด ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อพบว่าสิ่งที่ช่วยเหลือเป็นอสรพิษสีดำขนาดใหญ่เท่าช้างขดตัวอยู่รอบกาย แต่เพียงเห็นดวงตาสีน้ำเข้มดุจห้วงทะเลลึกในมหาสมุทรนั้นแล้วมันทำให้เขานึกถึงใครบางคนขึ้นมา..


       “ นายคือ.. ”


       “ ท่านมิกิ.. ” เสียงหนึ่งเรียกให้เขาหันไปหา ก่อนอสรพิษจะคลายตัวออก เผยเห็นร่างสูงโปร่งของหัวหน้าราชบริวารแห่งอนาคานกำลังเผยยิ้มมาให้ ทว่าไม่ทันได้ถามอะไร เสียงหัวเราะเบาๆจากทางดาดฟ้าด้านบน ก็ทำให้ทุกคนต้องรีบหันไปมอง หากคนที่ตกใจมากที่สุดกลับเป็น..


        “ ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ ซาอิด.. ”

       สายลมโชยพัด ผ้าคลุมศรีษะถูกถลกออก เส้นผมสีทองยาวสลวยพริ้วไหวไปตามแรงลม เรือนร่างสูงบางสมส่วน เข้ากับใบหน้างดงามราวกับรูปหล่อทองคำกำลังคลี่ยิ้มหวานละไมน่าหลงใหล แต่สิ่งที่แปลกใจก็คือ ดวงตาสีครามดุจท้องฟ้าสว่างไสวนั้นยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนกับใครบางคนจนน่าใจหาย แต่ถ้าเขาฟังไม่ผิดบุรุษผู้นี้เรียกชื่อของ..


       ซาอิด..
 

       “ ท่านพี่...ราซิส ”

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 11]UP 21/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 21-08-2015 17:55:18
กรี๊ดดดดดดดดดดด ปมเพียบ!!!!!!
อ่านรวดเดียวเลย แฮ่กๆ มิกินี่Mปะลูก ถูกทำขนาดนั้นแล้วยังอยากกลับไป
ซาอิดโผล่มาช่วยรึเปล่า เจอคุณพี่ชายด้วย
รอตอนต่อไปน้าาาาา
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 11]UP 21/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-08-2015 18:27:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 12]UP 23/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 23-08-2015 18:21:17
 

ค่ำคืนที่ 12 : อาทิตย์กลางพายุทราย Part 1


           ฟ่อ!


           เสียงอสรพิษขู่คำราม นัยน์ตาสีกรมเข้มดุจห้วงท้องมหาสมุทรจับจ้องไปที่ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าของสิ่งปลูกสร้าง แต่พอเห็นใบหน้าที่งดงามปานรูปปั้นสลักนั้นแล้ว ก็ชะงักงันไป ยิ่งเห็นดวงเนตรที่คล้ายคลึงกับหัวหน้าราชบริวารหนุ่มที่ติดตามมา ในหัวก็เต็มไปด้วยคำถามมากมาย ไม่คาดคิดว่าบุคคลที่ไม่ควรอยู่บนโลกในนี้ ยังมีชีวิตอยู่!

 
           “ องค์ชายบาฮาลยังทรงเหมือนเดิมนะพ่ะย่ะค่ะ สมแล้วที่เป็นองค์ชายแห่งอนาคาน กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่ได้พบพระองค์อีก ” ประโยคที่อยู่ก่ำกึ่งระหว่างความประสงค์ดีกับร้ายนั้นทำให้อสรพิษสีดำขนาดใหญ่ชูคอขึ้นสูง นัยน์ตาวาวโรจน์ไปด้วยความไม่พอใจ แต่สำหรับบุรุษร่างสูงโปร่งของบริวารข้างกายกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องใดๆ นอกเสียจากได้ยินเสียงหัวใจที่มิอาจอดทนต่อคำถามที่เก็บไว้ได้อีก


           “ ท่านพี่ราซิส! ” เสียงนั้นตะโกนขึ้นไปด้านบนอย่างแข็งกร้าว แต่กลับเจือไปด้วยความสับสนที่ปรากฏขึ้นบนรูปหน้า ราซิส จาร์ อารากัส เบือนสายตาหันมาให้ความสนใจกับน้องชายของตนเอง รอยยิ้มบางๆยกขึ้นที่มุมปากสวย

 
            “ ซาอิด น้องรักของข้า..เจ้ายังอ่อนแอ ไม่เปลี่ยนไปเลย ” คำพูดที่เอ่ยขึ้นกำลังกรีดแทงหัวใจของผู้เป็นน้องให้รู้สึกเจ็บปวด ทว่า เพียงพริบตาเดียวที่เบนความสนใจ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นทันที

 
            “ ซาอิด!!...อึก! ”ราชบริวารหนุ่มรีบหันไปตามเสียงเรียกทันที!


            “ ท่านมิกิ! ”

            ดวงตาคมเบิกโตไม่คาดคิด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่งูทะเลทรายสีน้ำตาลเลื้อยขึ้นมาพันแข้งขา ก่อนขึ้นมารัดอยู่บริเวณรอบเอวของเด็กหนุ่มต่างชาติ


            ซาอิดรีบเปล่งเสียงพูดเป็นภาษาบางอย่าง แต่กลับไม่เป็นผลเลยสักนิด มิกิได้แต่ยืนตัวตัวแข็งเป็นหินไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ทำได้แต่เพียงส่งสายตาเว้าวอนขอความช่วยเหลือจากราชบริวารหนุ่ม ความรู้สึกในตอนนี้ ทั้งขยะแขยง ทั้งหวาดกลัว จนเม็ดเหงื่อเกาะท่วมกายราวกับอาบ


            “ ยังไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม พวกลูกครึ่งนี่ ไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ ” คำพูดกรีดแทงใจทำเอาหัวหน้าราชบริวารหนุ่มเจ็บข้างใต้แผ่นอก ขบกรามด้วยความเจ็บใจ ในความจริงที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้


            ฟ่อ!!


            เสียงคำรามดังกึกก้องจนเกิดเป็นระลอกคลื่นเสียง อสรพิษสีดำขนาดขนาดมหึมา  ชูคอขึ้นสูง ดวงเนตรสัตว์ร้ายจ้องเขม็งไปที่ฝูงงูที่พันธนาการร่างบอบบาง ขากรรไกรขยายกว้างเผยให้เห็นคมเขี้ยวอสรพิษ เพียงเสี้ยววินาทีจากการข่มขู่ พวกงูเล็กแห่งทะเลทรายก็เลื้อยหนีไปจนหมดยอมทำตามรับสั่งของราชาที่เหนือกว่า พอเขาอสิระห้วนคืน กายบางก็ทรุดตัวลงไปกับพื้นทรายอย่างหมดเรี่ยวแรง


            ราซิสตวัดสายตามาที่งูยักษ์ที่ฉีกหน้าเขา

 
            “ องค์ชายบาฮาล ไยพระองค์ถึงทำเช่นนี้กับเหยื่อของกระหม่อมเล่า ” ดวงตาสีครามหรี่ลงจ้องล้วงเอาความลับ “ เด็กคนนั้น..แท้จริงแล้วสำคัญอะไรกับอนาคานงั้นหรือ ”

            คำถามนั้นมีเพียงความเงียบงันที่เป็นคำตอบ ราซิสจับจ้องสายตาไปที่งูสีดำขนาดใหญ่ที่พยายามใช้ลำตัวที่เป็นกล้ามเนื้อแข็งแรงขดตัวรอบๆมนุษย์ทั้งสองให้อยู่ในวงราวกับต้องการปกป้อง ดวงตาอสรพิษจับจ้องนิ่งไปที่ชายร่างสูงโปร่งด้านบน และพร้อมจู่โจมทุกเมื่อหากชายผู้นั้นคิดจะทำสิ่งใด


            ราซิสอมยิ้มบางๆที่มุมปาก สายลมแห่งทะเลทรายโบกพัดจนเส้นผมสีทองอร่ามปลิวสยาย ในดวงตาสีครามนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา แต่หากคนที่มีสายเลือดเดียวกัน คงไม่ยากเกินจะเดาความหมายนั้น..

 
            ต่อสู้..


            “ ท่านพี่หยุดนะ! ” เสียงตะโกนทำให้ร่างสูงสง่านั้นหยุดชะงัก รอยยิ้มที่มีแต่ความเย็นชาเยียบขึ้นบนใบหน้าของผู้เป็นพี่ชาย จนซาอิดสะดุ้งเฮือก ความเกลียดชังที่ส่งทอดมาจากดวงตาสีเดียวกับเขานั้นมันคือสิ่งใดกัน


            “ เป็นอะไรไปซาอิด เจ้ากลัวว่าข้าจะฆ่าองค์ชายแห่งอนาคานหรืออย่างไร แต่ก็น่าแปลกที่เจ้ายังคงภักดี ทั้งที่รู้ว่าที่นั่นทำอะไรกับพี่ชายของเจ้า! ” ตวาดเสียงแข็งกร้าว ข้อความที่เสียดแทงหัวใจย้ำภาพในอดีตจนตัวสั่นไหว ซาอิดกลืนน้ำลายเหนียวๆลงลำคอด้วยความรู้สึกยากเย็น เล็บจิกลงไปบนฝ่ามือเพื่อพยายามกลั้นอารมณ์ส่วนลึกของตัวเองที่ถูกกระตุ้น 

 
            “ ฆ่าหมอนั่นซะ แล้วมากับข้า..ซาอิด ” ข้อเสนอแสนเลือดเย็นเอ่ยอย่างง่ายดายทำเอามิกิถึงกับเบิกตากว้าง ตรงหน้าของเขาตอนนี้เห็นเพียงแผ่นหลังที่สั่นเทาของหัวหน้าราชบริวารหนุ่ม บรรยากาศกดดันนั้นทำลืมอากาศที่ร้อนอบอาวของทะเลทรายไปชั่วครู่ ขณะที่อสรพิษดำกลับเปลี่ยนทวงท่ามาจ้องขู่ร่างสูงของหัวหน้าราชบริวารหากคิดจะทำร้ายมิกิ


            ซาอิดคลี่รอยยิ้ม ใบหน้าที่ก้มลงให้แสงเงาบดบังนั้นมิอาจมองเห็นสีหน้าได้ชัดเจน ทว่า..มือที่กำแน่นอยู่ จู่ๆกลับชักกริดสีเงินเงาวับจากข้างลำตัวขึ้นมากระทันหัน ความตกใจทำเอาเด็กหนุ่มต่างชาติถึงกับเบิกโต ทว่า..ปลายอันแหลมคมของกริดกลับไม่ได้หันมาทางเขาอย่างที่คิด แต่กลับยกขึ้นอย่างท้าทายคนที่อยู่ด้านบน!


            “ นั้นคือคำตอบของเจ้าสินะซาอิด.. ”

            ราซิสหรี่ดวงตาลง คลี่ยิ้มบาง มีเสียงหัวเราะจากในลำคอดังขึ้นแผ่วเบา ลมทะเลทรายร้อนแรงวูบหนึ่งพัดโชยเส้นผมสีทองนั้นปลิวสยายอีกครั้ง ก่อนร่างทั้งร่างจะทิ้งตัวลงมาจากดาดฟ้าสูงในทันที!


            “ ท่านพี่! ”


            ฟ่อ!!


           ชั่ววินาทีไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พื้นทรายฟุ้งตลบด้วยทรายสีน้ำตาลจนมองไม่เห็นสิ่งใด ทว่าสิ่งที่แปลกไป คือแรงสั่นสะเทือนจะพื้นผิวใต้เท้า ดวงตาคู่สวยเห็นเนินทรายพองพูนขึ้นจากข้างใต้พื้นทรายกำลังพุ่งตรงมาเข้ามา! อสรพิษดำสัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัยรีบใช้ตัวเข้าขวางในทันที!

 
            ฟู่ม!!

 
            เปลวทรายฟุ้งกระจายจากแรงปะทะ ฝุ่นควันตลบเป็นม่านจนมองไม่เห็นสิ่งใด แต่ยังได้เสียงขู่คำรามสูงต่ำสนั่น ไม่ช้ารอ กระทั่งฝุ่นทรายจางหายไป จึงปรากฏเป็นเงาร่างยักษ์ของสิ่งมีชีวิตบางสิ่งที่กำลังพันเกี่ยวกระหวัดอยู่ที่ผืนทราย!

 
            “ นี่มัน..อะไรกัน ” ค่อยๆเอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตา ตรงหน้าปรากฏเป็นรูปร่างของงูยักษ์สองตนกำลังต่อสู้ดุเดือด ตัวหนึ่งมีสีดำสนิท อีกตนที่มีผิวเกล็ดเป็นปุ่มป่ำหยาบกระด้างสีเหลืองทอง เหนือตาแต่ละข้างมีส่วนที่คล้ายกับเขายื่นออกมา ด้านบนของงูมีแถบสีดำคล้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตลอดความยาวของลำตัว


            “ ท่านมิกิ!! ”

 
            ตูม!


            ซาอิดรีบกระโดดผลักเด็กหนุ่มที่ยืนตะลึงเป็นเสาหิน ให้ล้มลง ก่อนที่หางงูขนาดมหึมาจะฟาดลงมาจนผืนทรายฟุ้งกระจาย


            ด้วยแรงกระแทกทำให้เขารู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย แต่พอลืมตาขึ้นมาก็ลืมเลือนเรื่องนั้นไปจนสนิท เสียงอสรพิษกำลังต่อสู้กันร้องขู่คำราม เสียยิ่งกว่าในภาพยนตร์ที่เขาเคยดู ขณะที่หัวใจก็เต้นระทึกราวกับจะเกิดออกมา ทั้งหมดคงต้องเป็นความฝันแน่ๆ มันต้องเป็นความฝัน.. ว่าแล้วก็ลงมือพิสูจน์ด้วยการหยิกเข้าที่ต้นแขนของตัวเอง


            “ โอ้ย! ” ความเจ็บนั้นทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้ง นี่ไม่ใช่ความฝัน และตรงหน้าก็คือ งูยักษ์ที่กำลังสู้กัน!


            ฟ่อ!!


            อสรพิษดำคำรามดัง  ขากรรไกรที่แข็งแรง และคมเขี้ยวอันใหญ่โตฝั่งลงไปยังเกล็ดที่ดูแข็งกระด้างของงูสีเหลือง เสียงแหลมกรีดร้องคล้ายเจ็บปวด ทว่า..มันก็พยายามบิดลำตัวยาวๆไปมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรัดรอบตัวได้ งูยักษ์ทั้งสองจึงเกลือกลิ้งคลุกกับฝุ่นทรายพันกันเป็นเกลียว มองดูคล้ายกับเชือกสีดำเหลืองขนาดใหญ่พลิกไปมา หากเป็นแบบนี้ต้องแย่แน่ ดูท่าแล้วท่าไม่มีฝ่ายใดสิ้นลม การต่อสู้นี้ก็คงไม่จบโดยง่าย แต่คนที่จะหยุดอสูรพวกนี้ได้คงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างเขาแน่ แต่พอหันสายตามามองที่ร่างของหัวราชบริวารหนุ่มกลับได้แต่ยินนิ่งทำอะไรไม่ถูก


            “ ซาอิด ทำอะไรสักอย่างสิ! ” เสียงเรียกนั้นดึงสติร่างสูงให้กลับมา ขณะเดียวกัน อสรพิษดำก็เริ่มใช้กล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่าเข้ารัดอีกฝ่าบจนเริ่มเสียเปรียบ ขากรรไกรที่กว้างขวางของงูดำเริ่มอ้าออกพร้อมจะกลืนกินเหยื่อที่อ่อนแกกว่าลงไปทั้งตัว ทว่า..


            องค์ชาย..บาฮาลคืองูที่ไร้พิษ ถึงร่างกายจะต่อต้านพิษได้ แต่ไม่ใช่กับงูพิษอย่างท่านพี่ราซิส ที่เขาแหลมบนดวงตานั่น หากสัมผัสเพียงเล็กน้อย พิษจะตรงเข้าสู่ขั่วหัวใจอย่างรวดเร็ว จนไม่มีเวลาที่ร่างกายได้ต่อต้าน


            ไม่ได้..ไม่ได้นะ!!


            “ องค์ชายอย่า! ”


            ฉึก!!


            กริซเงาวับถูกขว้างออกไปอย่างแม่นยำ ปลายเหล็กคมกริบฝั้งเข้าที่กลางหน้าท้องของอสรพิษดำ ความเจ็บปวดทำให้มันร้องลั่นคลายตัวออก จนอสรพิษอีกตัวได้โอกาสรีบมุดหนีลงพื้นทราย


            ซาอิดรีบวิ่งเข้าไปด้วยหัวใจที่เต้นถี่ อสรพิษดำขนาดใหญ่ค่อยๆกลับกลายเป็นร่างมนุษย์


           องค์ชายบาฮาลคำรามลอดไรฟันทรุดกายอยู่บนพื้นทราย ที่หน้าท้องมีกริซสีเงินฝั่งลึก เลือดเข้มไหลรินเสียจนอาบพื้น ดวงเนตรสีกรมพยายามกลั้นความเจ็บปวด จับจ้องไปที่ผู้กระทำอย่างไม่คาดคิด ความเจ็บปวดที่บาดแผล คงไม่เท่ากับจิตใจที่เหมือนกำลังถูกแผลดเผามอญไหม้จากคนที่เขาไม่ไว้ใจมากตั้งแต่ต้น

 
           “ ซาอิด!! เจ้ามัน.. ” อยากจะคำรามแผดเสียงดัง แต่ความเจ็บก็ทำให้ร่างกายทรุดลงกับพื้นจมกองเลือดของตัวเอง เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นทุกวินาที และไม่ช้าสติที่มีก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว


           ซาอิดเบิกตากว้างกับสิ่งตัวเองทำ ใบหน้าคมซีดเผือด ขณะที่หัวใจก็หนาวสะท้านไปทั่ว เขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ แต่ทั้งหมดมันผิดพลาด มันพลาดเพราะเขา!


           “ เจ้าทำได้ดีมากซาอิด แต่วิธีการช่วยเหลือของเจ้าอาจจะพลาดไปหน่อย” เสียงนุ่มลึกปรากฏขึ้นด้านหน้า บุรุษสูงสง่าในชุดคลุมดำไม่ได้มีบาดแผลอย่างที่เขาคิด มีเพียงแค่บริเวณลำคอที่ปรากฏเป็นรอยคมเขี้ยว แต่เพียงไม่นานก็ค่อยๆหายไปเป็นผิวพรรณสวยงามดั่งเดิม


           “ จะทำยังไงเล่าซาอิด..แผลนั้นอาจจะทำให้องค์ชายสิ้นพระชนย์ก็เป็นได้นะ หรือถ้ารอด เจ้าก็คงหนีไม่พ้นข้อหากบฏ” ประโยคที่พูดขึ้นทำเอาร่างกายเย็นสะท้านมากกว่าเดิม ดวงตาคมกริบสีครามจ้องเขม็งไปที่น้องชายที่ยังคงยืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง ความจริงที่เกิดขึ้นทำเอาหัวสมองของเขาขาวโพลน ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ได้แต่กำมือตัวเองแน่น


           “ ข้าจะเสนอทางเลือกสองทางง่ายๆเป็นทางออกให้เจ้าแล้วกันนะซาอิด..” รอยยิ้มเย็นเยือกของราซิสคลี่ออก ริมฝีปากเขยื้อนเอ่ย “ ฆ่าพวกเขาแล้วมากับข้า กับอีกหนึ่งก็คือ.. ”

 
           “ กลับไปซะ! ” ซาอิดแผดเสียงแทรกขึ้น ยังไงเขาก็ไม่มีวันคิดคดทรยศอนาคาน! ดวงตาสีครามหรี่ลง ก่อนจะหัวเราะในลำคอราวกับเป็นเรื่องตลก


           “ ซาอิดข้าจะกลับไปต่อเมื่อ เจ้าฆ่าเด็กคนนั้น ” นิ้วเรียวชี้มายังร่างบอบบางที่หลบอยู่ด้านหลัง มิกิมองเสี้ยวหน้าหนึ่งของหัวหน้าราชบริวารหนุ่มหันมา สายตานั้นราวกับพยายามจะสื่อข้อความอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทันที่เขาจะได้เข้าใจ ก็ต้องเบิกตากว้าง
 

           “ โอ้ย!! ” ร้องขึ้นด้วยความเจ็บ กายบางล้มไปกับพื้น มือเอื้อมลงไปสัมผัสบริเวณข้อเท้าที่รู้สึกเจ็บ ของเหลวสีแดงเปรอะเปื้อนปลายนิ้ว ก่อนจะเห็นงูทะเลทรายสีน้ำตาลเลื้อยพันขาเข้าขึ้นมาจนถึงหัวเข่า สิ่งที่เห็นทำเอาหัวใจหล่นวูบ


           “ เจ้าทำได้ดีมาก ” คำกล่าวชมเอ่ยจากริฝีปากหยักโค้ง ราซิสปรายตามองเด็กหนุ่มผู้เป็นเหยื่อ ก่อนรอยยิ้มเรียบจะหันมามอบให้ผู้เป็นน้องที่ยืนอยู่ข้างกาย


           “ แล้ววันหลังข้าจะมารับเจ้าไปอยู่ที่ซาคาเดียร์ก็แล้วกัน ” มือหนึ่งตบลงบนบ่ากว้างของผู้เป็นน้อง ราซิสก้าวเดินผ่านไปร่างกายของเด็กหนุ่มไปเชื่องช้า รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบางๆช่างเหมือนกับรอยยิ้มของผู้ที่คิดหักหลัง แต่กลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป แต่กลับไม่เข้าใจว่าคือสิ่งใด ทว่า..ตอนนี้หัวสมองกำลังขาวโพลน ภาพทุกอย่างพร่าเบลอไปหมด ร่างกายกำลังจะหมดแรงลงทุกที


            กี่ครั้งแล้วนะมิกิ..ที่ความตาย..เข้ามาทักทาย..

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 12]UP 23/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 23-08-2015 18:21:37

           กลางคืนเข้าเยือนย่ำ แสงเดือนส่องสว่างท่ามกลางฟากฟ้ามืดดำ ดวงดารามองดูแล้วช่างไกลห่างจากดวงเดือนยิ่งนัก สายลมที่โบกพัดทำให้ ใบของต้นปาล์มสูงใหญ่เสียดสีกันจนเกิดเป็นบทเพลงที่น่าวังเวง


           ทว่า..ยังคงมีแสงสว่างจากกองไฟเล็กๆในสถานที่ที่น่าหดหู่

 
            ซาอิด จาร์ อารากัส นั่งมองร่างที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลสีขาว เปลือกตายังคงปิดลงแน่นิ่งไม่ได้สติ มีเพียงแค่เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอที่บ่งบอกว่าร่างนี้ยังมีชีวิต


            บาดแผลฉกรรจ์ที่ช่องท้องเกิดจากมือที่เปื้อนเลือดของเขาเอง แต่ต่อให้จะรู้สึกผิดอย่างไร ก็มิได้ช่วยลบการกระทำอันเลวร้ายได้ นัยน์ตาที่สะท้อนภาพของเขาในนั้นมันเต็มไปด้วยความผิดหวัง ขณะเดียวกันก็กับเจือไปด้วยความเจ็บปวดราวกับได้ทำลายหัวใจขององค์ชายไปด้วย

 
            ภาพลักษณ์ที่เกลียดชังคงเพิ่มพูนกลายเป็นความแค้นในไม่ช้าสินะ..

 
           แต่เขาไม่ได้ตั้งใจ

 
           ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างกลายเป็นเช่นนี้


            แม้ความจริงที่เกิด อาจจะบิดเบือนความจงรักภักดีกับอนาคานเช่นดั่งกฏของเทพนาคินที่อยู่ในใจ แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่แน่ใจตัวเองเช่นกันว่า ที่ทำไปเพราะทนไม่ได้ที่จะเห็นพี่ชายต้องตาย หรือว่าองค์ชายกันแน่


           เขาสับสน..


           ตอนนี้เขาไม่รู้จริงๆว่า ควรทำอย่างไรต่อไป หรือก้าวไปทางไหน สิ่งที่ทำคงไม่ต่างอะไรจากทรยศ แต่ว่า...


           “ นายต้องการอะไรกันแน่ซาอิด ” เสียงเรียกนั้นทำเอาคนที่กำลังนั่งอยู่ข้างองค์ชายหันมา เห็นร่างของเด็กหนุ่มผอมบางเดินกระเพกขมวดคิ้วมองเขาอย่างครุ่นคิด มิกิรู้สึกหัวสมองจะยังไม่หายมึนงงและคล้ายกับคนกำลังไข้ขึ้น แต่ก็อุส่าห์พยุงร่างลุกขึ้นมาหาเพื่อหวังจะได้คำตอบจากเรื่องบ้าๆนี่


           ความจริง..เขาควรจะตายไปแล้ว แต่พอลืมตาขึ้นมาได้อีกครั้ง ก็กลับกลายเป็นว่ายังมีลมหายใจ ก่อนจะโกงไออาเจียนออกมาจนตัวงอ อาเจียนเอาน้ำใสๆบางอย่างออกจากลำคอ  เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นแต่มีความเป็นไปได้สูงที่เขาถูกคนตรงหน้าช่วยขับพิษออกและรักษาให้ก่อนที่พิษจะแล่นเข้าสู่หัวใจ พอเหลือบมองที่ปลายขาก็พบสมุนไพรบางอย่างถูกพอกปกเอาไว้ที่แผลของเขาเพื่อลดอาการบวมแล้วพันทับด้วยผ้าสีขาว

 
           มิกิไม่เข้าใจการกระทำของซาอิดเลยสักนิด เสมือนเป็นการตบหัวอย่างรุนแรงแล้วค่อยมาลูบหลัง ก็ไม่ใช่ ในใบหน้าที่ดูเศร้าสร้อยที่เหมือนจะแสดงออกอย่างชัดเจน แต่ทว่าภายในกลับอ่านไม่ออกเลยสักนิด


           เขาได้ยิน ซาอิดเรียกมนุษย์งูสีเหลืองนั้นว่า ‘ท่านพี่’ ซึ่งน่าจะเป็นคนของอนาคานด้วยกัน แต่ดูท่าความสัมพันธ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาสับสนไปหมด ว่าเหตุคนของอนาคานถึงทำร้ายพวกเดียวกันเอง ถึงความจริงเขาไม่ได้อยากรู้เรื่องราวให้ซับซ้อน หากนั้นมันไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา!

 
           “ แผลนั่น หายดีแล้วเหรอขอรับ ” ซาอิดไม่ตอบคำถาม มือใหญ่เทน้ำออกจากระบอกไม้ลงบนผ้าสีขาวแล้วบิดให้พอชื้น ก่อนจะเช็ดไปที่ร่างกายของคนที่ยังไม่ได้สติ ท่าทางที่ทำเหมือนเขาไม่ได้อยู่ในสายตา ยิ่งปลุกอารมณ์ให้เด็กหนุ่มโมโหขึ้นมากกว่าเก่า


           “ เกิดอะไรขึ้นที่อนาคานกันแน่..ทำไมพี่ชายของนายถึงต้องการฆ่าฉัน! ” มิกิตวาดเสียดัง ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็งคาดคั้น มือเรียวปัดผ้าสีขาวที่ร่างตรงหน้ากำลังบิดจนหลุดมือ แต่คำตอบที่ได้รับก็ยังไม่ตรงอย่างใจ


           “ ท่านมิกิควรพักผ่อน ทางนี้เดี๋ยวกระผมจะดูแลองค์ชายบาฮาลต่อเอง” ร่างสูงหันมายิ้มให้ไม่คิดโกรธ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเกล็ดทรายนั้นขึ้นมาใหม่ กิริยาอันน่าหงุดหงิดนี้ทำเอาความอดทนของเด็กหนุ่มขาดสะบั้นในทันที

 
           “ ซาอิด!! ”

 
           ผั๊วะ!


           กำปั้นหนึ่งต่อยออกไปอย่างเต็มแรงบนจนคนสูงกว่าล้มลงไปกองกับพื้น ซาอิดสะบัดใบหน้าแรงๆเพื่อไล่ความมึนงงที่ได้รับ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากที่ยังคงรู้สึกเจ็บ ก่อนจะสัมผัสได้หยดเลือดไหลที่ซึมจากบาดแผลที่ปลิดแตก


            “ คิดว่าทำแบบนี้แล้ว จะลบเลือนความผิดที่ก่อเอาไว้กับคนอื่นได้งั้นเหรอ!! นายแทงบาฮาล นายบังคับงูนั้นกัดฉัน แต่กลับมาช่วยชีวิตพวกเราไว้ จะให้ฉันคิดยังไง! นายกับพี่ชายนายต้องการอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้อยากฆ่าฉัน!! ”

           เสียงตวาดดั่งกึกก้องตามแรงอารมณ์ มือกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายให้ลุกขึ้น ซาอิดมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความโกรธ และเขาเข้าใจความรู้สึกนั้นดี


           เป็นโกรธที่อยู่ในใจ


           เป็นไฟที่กำลังค่อยๆเผาไหม้หัวใจจนควบคุมไม่ได้


           ซาอิดจับแตะมือเล็กนั่นไว้แผ่วเบา ดวงตาหลับลงพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมาอย่างใจเย็น


            มิกิมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ ท่าทางที่เป็นกังวลจนน่าหนักใจนี้คงมีเหตุอะไรบางซุกซ่อนอย่างอยู่ข้างในเป็นแน่ แต่เขาเองจะปล่อยให้ตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องราวเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อชีวิตได้เข้ามาพัวพันจนยากจะแก้ เขาก็ควรรู้ว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้น


           “ ความจริงแล้ว ท่านพี่ราซิสควรจะตายไปแล้วขอรับ” เสียงเรียบนั้นฟังดูแผ่วเบาแต่เจ็บปวดยิ่งนัก มิกิค่อยๆลดมือตัวเองออกจากคอเสื้อของซาอิด ใบหน้าหวานขมวดคิ้วย่นอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่ทันได้ถาม เรื่องราวทั้งหมดก็เริ่มร้อยเรียงออกมา


            “ เมื่อ 60 ปีก่อน ครั้งถึงคราวที่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวคืนครบ องค์ราชาบาซิกค์ทรงมีรับสั่งให้ท่านพี่ราซิส ไปเป็นเครื่องสังเวยที่ซาคาเดียร์ขอรับ ”


           “ ซาคาเดียร์? ฤดูกาลเก็บเกี่ยว? ” เด็กหนุ่มทวนเสียงถามอย่างสงสัย เมื่อเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ซาอิดอธิบายต่อ


           “ ซาคาเดียร์เป็นเมืองที่คล้ายคลึงกับอนาคานแต่แยกออกจากกัน และไม่มีบุรุศเพศ อีกทั้งยังเป็นเมืองเพียงแห่งเดียวที่อนาคานติดต่อ ส่วนฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่ว่านั้นก็คือ ฤดูกาลที่ชาวอนาคาน จะต้องส่งนาคินหนุ่มไปยังซาคาเดียร์ ตามกฏของเทพนาคินเพื่อให้กำเนิดสายเลือดใหม่ โดยนาคินที่ถูกเลือกจะถูกกำหนดโดยองค์ราชาแห่งอนาคาน ที่เป็นเสมือนสมมุติเทพแห่งนาคิน”


           “ นาคิน คืออะไร ” เขาถามเสียงห้วน ซาอิดพยายามคลี่ยิ้มตอบ


           “ อย่างที่ท่านมิกิเห็น..นาคินคือ มนุษย์ที่สามารถแปลกกายเป็นอสรพิษได้ และสามารถสื่อสาร บังคับพวกงูได้ตามใจชอบ ดั่งเช่นองค์ชายบาฮาลหรือท่านพี่ราซิสขอรับ ”

           สิ้นคำตอบ ภาพการต่อสู้ของอสรพิษยักษ์ทั้งสองตัวในตอนกลางวันก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาในทันที ด้วยเหตุนี้เองสินะ งูพวกนั้นถึงได้ล้อมเขาไว้ราวกับถูกควบคุม แล้วเรื่องนี้ก็ทำให้เขาฉุกคิดถึงองค์ราชาแห่งอานาคานขึ้นมาด้วยเช่นกัน พอผสมกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เขาก็เริ่มเข้าใจอย่างชัดเจน ถึงจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กที่มิอาจยอมรับความจริง


           คนแปลงร่างเป็นงูได้งั้นเหรอ ถ้าในโลกนี้จะมีมนุษย์นก มนุษย์ปลามาอีกเขาก็ไม่แปลกใจแล้ว


           “ ตามกฏของเทพนาคินก็คือ ชาวนาคินที่อยู่อนาคานนั้น จะเปรียบดั่งกายเนื้อซึ่งเป็นบุรุษ ส่วนซาคาเดียร์เสมือนกับจิตวิญญาณของอิสตรี เมื่อนำสองสิ่งนี้มารวมกันก็จะก่อกำเนิดหนึ่งชีวิตขึ้นมาใหม่  ทว่า..กฏของเทพนาคินก็คือกฏของธรรมชาติ  กายเนื้อจะถูกจิตวิญญาณกลืนกิน ”


           “ หมายความว่ายังไง ” พอได้เช่นนั้นก็รู้สึกไม่เข้าใจมากเดิม ขณะที่ในใจก็เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีกับเรื่องที่จะพูดต่อไป   ซาอิดพยายามคลี่ยิ้มบางๆ ทว่ารอยยิ้มกลับน่าเศร้าเสียจนหวั่นใจ ในดวงตาคู่นั้น เหมือนกำลังเต็นไปด้วยความทุกข์

 
           “ นาคินที่ถูกส่งตัวไปยังซาคาเดียร์จะต้องตายขอรับ โดยการเป็นเครื่องสังเวยให้กับคู่ครองที่เรียกว่า ‘ราเมียร์’ หรือมนุษย์งูเพศเมีย หลังจากการร่วมรัก”

           ทุกสิ่งเงียบลงสนิท..สายลมโบกพัดจนเย็นเยือกไล่ตั้งแต่ปลายนิ้ว ขณะที่หัวใจก็กลับบีบตัวคล้ายกับยังไม่อยากยอมรับความจริง


           เรื่องน่าเศร้าพวกนี้มันอะไรกัน..


           เครื่องสังเวย..เครื่องสังเวยงั้นหรอ


           “ ราเมียร์จะกลืนกินนาคิน ขอรับ”

 
           “ นี่มันเรื่องบ้าสิ้นดี! ทำไมถึงได้ยอมตายกันเล่า! ” เสียงตะโกนอย่างสุดทนดังมาจากเด็กหนุ่มตรงหน้าคล้ายมิอาจยอมรับ


           ไม่เข้าใจเลย..


           ไม่เข้าใจเลยสักนิด..
 

           นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน..


           มือเรียวกำจนแน่น รู้สึกเจ็บใจในเรื่องที่ได้ยินอย่างไร้สาเหตุ ทั้งๆที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยสักนิด ซาอิดเงยใบหน้าขึ้นมองดวงหน้าหวางของคนตรงหน้าเสมือนแบบรับความเจ็บนั้นไว้กับตัวเอง ทว่า..เรื่องนี้ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้อยู่ดี


           “ ทั้งหมดคือกฏของเทพนาคิน เป็นคำสาปของพวกเรา หากฝืนซึ่งกฏ ก็หมายถึงหายนะที่จะครอบงำทั้งอนาคานและซาคาเดียร์ เป็นบาปกรรมของพวกเราที่มิอาจเลี่ยง”

 
           “ แต่พี่ชายของนายยังไม่ตาย! ” มิกิสวนขึ้น ซาอิดถึงกับชะงักไป แต่ไม่นานก็พูดขึ้นต่อ “ เรื่องนี้กระผมก็ไม่ทราบเช่นกัน" เขาส่ายใบหน้าเบาๆ ใช่..ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพี่ชายของเขายังไม่ตาย..แต่เพราะอะไร เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “ ตอนนั้นกระผม..” คำพูดหนึ่งหายไปคล้ายกับไม่อยากเอ่ย เวลานั้น สมองของเขามันสับสนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ถึงได้ตัดสินใจไปทั้งแบบนั้น

 
           มิกิเห็นอาการของหัวหน้าราชบริวารหนุ่ม ก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาเป็นคนพูดปลอบได้ไม่เก่งแต่ก็รู้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ซาอิดไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เรื่องราวทั้งหมดเป็นแบบนี้ แต่พอเรื่องราวอันน่าปวดหัวนี้เริ่มกระจ่างขึ้นมาทีละน้อยก็ทำให้เขาถึงกับต้องกุมขมับ แต่อย่างไรก็ยังมีประโยคหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในหัว

 
           “ ประโยคตอนก่อนที่พี่ชายนายจะกลายร่างเป็นนาคิน หมายความว่ายังไง ” พอได้ยินเช่นนั้นแล้ว แววตาของชายตรงหน้าก็ปรากฎความเศ้ราสร้อยขึ้นมาเด่นชัด แต่ก็ยอมตอบออกไปทั้งที่ในใจเจ็บปวด

 
           “ อย่างที่ท่านพี่ราซิสบอก กระผม ไม่ใช่ทั้งนาคิน หรือ มนุษย์หรอกขอรับ ” เขาตอบเสียงสั่น มิกิได้แต่เงียบฟัง รู้สึกไม่ควรที่จะถามคำถามนี้ออกไป แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ซาอิดบอกต่ออีกว่า


            “ เพราะท่านแม่ มิใช่ราเมียร์ แต่เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนท่านมิกิขอรับ กระผมจึงไม่สามารถแปลงกายเป็นนาคินเต็มตัวได้ ตอนนั้นจึงทำได้เพียงวิ่งเข้าไปทั้งแบบนั้น”


           “ งั้นนายก็เหมือนฉันสิ ”

 
           “ เหมือน? ” ซาอิดทวนเสียงถามอย่างสงสัย มิกิพยายามคลี่รอยยิ้มออก ถึงจะรู้ว่าคงไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่ทำแบบนี้ บรรยากาศน่าเศร้าก็อาจจะดีขึ้น


           “ ก็..ฉันน่ะเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศสกับญี่ปุ่นน่ะ มันก็สองสายเลือดคล้ายๆกันนะ” เขาพยายามทำเสียงสดใสแต่ ซาอิดก็ยังคงตีหน้าเศร้าอยู่ดี


           “ ชีวิตกระผมไม่ได้เหมือนท่านมิกิหรอกขอรับ ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมถึงได้คุยกับงูรู้เรื่อง แต่หลังจากตอนที่พบท่านพี่ราซิสแล้วนำตัวกลับมายังอนาคาน ก็ทราบเรื่องทุกอย่าง.. ท่านพี่ราซิสเล่าให้ฟังว่า คืนนั้นหลังจากการร่วมรักในฤดูกาลเก็บเกี่ยว ท่านพ่อได้หนีออกไปพบท่านแม่ของกระผม ก่อนวันรุ่งขึ้นจะกลับมาเป็นเครื่องสังเวยให้แก่ราเมียร์ที่ท้องท่านพี่ที่ซาคาเดียร์ ”


           “ แล้ว...การที่ส่งพี่ชายนายไปที่ซาคาเดียร์ นั่นเกิดจากอะไร”


           “ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นไปประสงค์ขององค์เทพขอรับ ”


           “ ไม่ใช่..ฉันหมายถึงก่อนหน้านั้น มันเกิดอะไร ” มิกิปรับคำถามใหม่อย่างจริงจัง เมื่อเรื่องราวทั้งหมดเริ่มซับซ้อนขึ้นทุกที ซาอิดถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเล่าเรื่องที่ตัวรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับพี่ชายเขา


           “ ท่านพี่ราชิสเคยเป็นองค์รักษ์คนสนิทขององค์ราชาขอรับ แต่มีอยู่คืนหนึ่งที่องค์ราชาทรงทอดพระเนตรเห็นกลางดึกว่า ท่านพี่ราซิสจะลอบปลงพระชนย์พระองค์ แต่ด้วยอะไรบางอย่างที่กระหม่อมก็ไม่อาจทราบทำให้ท่านพี่กลับเลือกที่จะปลิดชีพตัวเองทิ้งต่อหน้าพระพักตร์แทน ถึงท่านพี่ราซิสจะไม่ตาย เพราะองค์ราชาทรงเมตตาช่วยเหลือ แต่กลับกลายเป็นว่าอีกไม่กี่อาทิตย์ถัดมาก็ถูกส่งไปเป็นเครื่องสังเวยที่ซาคาเดียร์ ทั้งที่ยังไม่ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว พอหลังจากเหตุการณ์วันนั้นผู้คนในวังก็พากันเกลียดขี้หน้ากระผม อีกด้วยสายเลือดที่มิอาจเป็นนาคินเต็มตัวเช่นนี้ด้วย จึงแทบจะถูกประหารชีวิต แต่องค์ราชาก็ไว้ชีวิตกระผมไว้  หลังจากนั้น..กระผมก็เชื่อว่าท่านพี่ราซิสได้ตายไปแล้วมาตลอด กระทั่งตอนนี้.. ” ซาอิดเงียบไปอีกครั้ง แต่ทำไมพอได้ฟังกระนั้น เขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดนัก เพราะจากที่ฟัง..ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่พี่ชายของซาอิดต้องการจะฆ่าเขา ถ้าจะโกรธเกลียดก็ควรไปลงที่บาซิกค์ถึงจะถูก!

 
            “ ใช่กระทั่งตอนนี้ ที่พี่ชายนายต้องการจะฆ่าฉันด้วย เพราะอะไร? ” มิกิเริ่มขึ้นเสียงขึ้นถาม ซาอิดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง สุดท้ายแล้วก็ต้องเผยออกมา


           “ หากกระผมคิดไม่ผิด..ท่านมิกิก็เปรียบเสมือน ช่องว่างของกฏแห่งเทพนาคิน ขอรับ ”

 
           “ ช่องว่าง..? ” เขาทวนเสียง ซาอิดพยักใบหน้ารับก่อนเล่าต่อ

 
           “ อย่างที่กระผมบอกไป..ถ้าให้พูดง่ายๆก็คือ ฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็เหมือนกับฤดูผสมพันธุ์ของสัตว์ ความจริงแล้วดอกเพเซียไม่สามารถกระตุ้นให้มนุษย์นาคินเกิดอารมณ์เกี้ยวรักได้ แต่สำหรับตัวท่านมิกิแล้วกลับมีกลิ่นของดอกเพเซียกระจายออกมาอย่างเข้มข้น ซึ่งทำให้พวกเราสามารถรับรู้และเกิดอารมณ์ร่วมรักก่อนจะถึงฤดูกาลผสมพันธุ์  ” พอได้ยินเรื่องประหลาดพวกนี้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่หัวเราะตัวเองเบา ก่อนจะประชดตัวเอง


           “ นี่ฉันคงเป็นไวอาก้าของพวกนายสินะ ” มิกิเบือนสายตาหนี อย่างเบื่อหน่าย ร่างบางลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น เท้าคางมองหัวหน้าราชบริวารหนุ่มด้วยสายตาเหมือนจะแยกเขี้ยวใส่ ถึงว่า..ราชาบาซิกค์ถึงได้ชอบทำแบบนั้นกับเขานัก แต่ว่าฟังยังไงก็ไม่ขึ้นอยู่ดี
 

           “ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลขั้นร้ายแรงถึงต้องฆ่าแกงกันนี่ ” ใบหน้าหวานนิ่วลงอย่างหงุดหงิด เมื่อได้รู้ความจริงอันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!


           “ นั่นก็เพราะ..ถึงนาคินจะเกิดอารมณ์เมื่อได้รับกลิ่น แต่สำหรับราเมียร์กลับตรงกันข้าม หากเดาไม่ผิดท่านพี่ราซิสคงอยู่รับใช้องค์ราชีนีที่ซาคาเดียร์ และรับบัญชามา ขอรับ”


           “ แล้วยังไง ราชีนีของซาคาเดียร์ ฉันยังไม่เคยเจอหน้าเลยด้วยซ้ำ ” ร่างบางตอบไปตามจริง รู้สึกหงุดหงิดชะมัดที่จู่ๆก็โดนหมายตัวทั้งที่ไม่รู้จักกัน! ซาอิดถอนหายใจไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไร แต่ดูเหมือนจะหนักใจมากที่จะพูดเรื่องต่อไปนี้


           “ เรื่องนั้น เพราะองค์ราชา มีรับสั่งให้กระผมนำเลือดของท่านมิกิไปให้ที่ซาคาเดียร์ขอรับ และขอปฏิเสธฤดูกาลเก็บเกี่ยว ที่จะถึงออกไป ”

 
           “ ว่าไงนะ! ”

           พอรู้สึกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง ใบหน้าของชายผู้นั้นที่เป็นตัวต้นเหตุให้เขาโดนตามล่าก็ปรากฏขึ้นมาในหัวทันที รู้สึกโมโหจนอยากจะต่อยสักหมักให้หายแค้นจริงๆที่เรื่องแบบนี้กับเขาได้


           “ ในเลือดของท่านมีกลิ่นของดอกเพเซียเข้มข้นมากขอรับ และนั้นก็มากพอที่จำทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่อนาคานได้ ”


           “ แต่ว่า..ถ้าฉันเป็นเหมือนยากระตุ้นเซ็กส์ มันก็ต้องเป็นเรื่องดีกับพวกนายไม่ใช่เหรอ ” เขาพยายามถาม ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ยังไงก็ยังไม่เข้าใจเท่าไรนัก ซาอิดหลบสายตามองลงบนพื้นทรายละเอียด ก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆ


            “ ท่านมิกิ..จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อฤดูกาลเก็บเกี่ยวมาก่อนกำหนด โดยที่เหล่าราเมียร์ยังไม่พร้อมจะให้กำเนิดขอรับ ” เขาเงยหน้าขึ้น มิกิถึงกับเงียบไปเมื่อได้ยินคำถามให้ทำให้ต้องนึกคิด แต่คำตอบก็กล่าวออกมาเสียก่อน


           “ กายเนื้อจะไม่รวมกับจิตวิญญาณ จนมิอาจกำเนิดชวิตใหม่ แล้วท่านมิกิคิดหรือว่า ชาวนาคินจะไม่ออกนอกอนาคานเพื่อปลดปล่อยและร่วมรัก และ..หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นคงยากที่จะควบคุม แต่ถ้าหากเป็นไปตามรับสั่งขององค์เทพนาคินนกำหนดแล้ว ก็หมายถึงการยื้อชีวิตเหล่านาคินทุกตนออกไป การร่วมรักสามารถเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องเสียสละร่างกายของเหล่านาคิน องค์ราชาถึงอยากจะกักขังท่านมิกิไว้เพื่อพวกเรา

            แต่..การทำเช่นนี้มันกลับกลายเป็นการฉีกกฏของเทพนาคินโดยอ้อมเช่นกัน เพราะการร่วมรักของเหล่านาคินที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาลทำให้กฏนั้นคลาดเคลื่อน  และอีกไม่นานก็จะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย ซึ่งองค์ราชา จะต้องเลือดราชีนีคู่บัลลังค์ เพื่อให้กำเนิดโอรสเทพนาคินองค์ใหม่ พระองค์จะต้องมอบทุกอย่างให้เหมือนเช่นดั่งนาคิน และทั้งราชาและราชีนีจะต้องมอบทั้งกายเนื้อ จิตวิญาณให้แด่โอรส เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจสืบทอด องค์ราชาจะต้องถูกสังเวย และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไม นาคินถึงไม่ไม่ควรมีสิ่งที่เรียกความรู้สึก หรือความรัก ทั้งหมดเพื่อละทิ้งความเจ็บปวด ”

           พอทุกอย่างอธิบายออกมาจนหมด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงแค่สิ่งของที่ถูกเก็บไว้ใช้งาน พอหมดค่า ก้ไม่มีความหมายอะไรมากกว่านี้ ความรู้สึกนี้มันทำให้เขารู้สึกเกลียดชังบาซิกค์มากขึ้น


           เขาเข้าใจแล้ว...


           เข้าใจ..ทุกอย่างเลย
 

           “ สุดท้ายแล้ว..พวกนายก็เห็นฉันเป็นแค่เครื่องมือ..หึ ที่มาตามหาก็เพราะความขี้ขลาดกลัวตายสินะ ถึงอยากให้ฉันกลับไป น่าตลกสิ้นดี ” เขากล่าวไปตามที่คิดอย่างไม่ไว้หน้า แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่

 

           “ เรื่องนี้แค่บังเอิญน่ะขอรับ..กระผมไม่ได้ตามหาท่านมิกิ แต่แค่มาดูว่ามีอะไรที่พอจะทำได้บ้างเพื่อช่วยเหลือองค์ราชาก่อนจะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย เพราะได้ยินว่าท่านมิกิเป็นนักวิจัยเกี่ยวกับดอกเพเซีย จึงคิดว่าน่าจะมีข้อมูลอะไรที่นี่บ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้กลิ่นของท่านมิกิตั้งแต่ที่เมืองอาราบัส จนมาถึงที่นี่ ”


           บังเอิญงั้นเหรอ..น่าตลกสิ้นดี


           “ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่กระผมกับองค์ชายจะพาท่านมิกิหลับหรอกขอรับ เพราะองค์ราชาให้อิสระภาพกับท่านมิกิแล้ว ซึ่งถือเป็นคำสั่งเด็ดขาดที่มิอาจขัด นอกเสียจากว่าท่านมิกิอยากจะกลับมาที่อนาคานเอง ”

 
           “ แล้วนายคิดหรือว่า ฉันจะโง่กลับไปเพื่อพวกนาย ” เขาพูดอย่างนึกขัน นกน้อยที่ได้อิสระภาพไปแล้ว ทำไมถึงอยากกลับไปอยู่ในกรงอีก


           “ปลอกคอนั่น..คือหลักฐานว่าองค์ราชาทรงยอมรับท่านมิกิเป็นคนของอนาคาน และทุกคนมีบ้านให้กลับไปเสมอขอรับ ท่านมิกิก็เช่นกัน..”
            ซาอิดกล่าวด้วยใบหน้าที่แย้มยิ้ม แต่พอได้ยินประโยคนี้แล้วราวกับมีประกายไฟเล็กๆจุดสว่างขึ้นมาในห้องที่มีแต่สีดำสนิท ‘บ้าน’ คือคำพูดที่แสนอบอุ่นอยู่เสมอ แต่เขากลับลืมมันไปแล้วว่ามีคำพูดอันแสนวิเศษอยู่บนโลกใบนี้ ถึงจะน่าขำที่ชีวิตของเขาไม่เคยมีโอกาสสัมผัสคำคำนั้นเลยซักครั้ง เพราะตลอดชีวิตมีแต่การสูญเสียมีแต่การถูกทอดทิ้งจนกลายเป็นเรื่องชินชา


           ไม่รู้จักคำว่าครอบครัว


           ไม่รู้จักคำว่าความรัก


           คำถามหนึ่งที่ฉุกคิดขึ้นมาก็คือ...นั่นสิ..ผมมีบ้านให้กลับไปเหมือนเขาบ้างหรือเปล่า..

 
           แล้วถ้ามี..มันคือที่ไหนกัน เขาเองก็อยากรู้..


           บ้านเหรอ...อบอุ่นจัง..
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 12]UP 23/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 23-08-2015 18:30:59

         เป็นเวลากว่าหลายชั่วโมงที่ความอ่อนล้าทำให้เขาผลอยหลับไป ซาอิดนอนอยู่ใต้ต้นปาล์มขนาดใหญ่ ใบหน้ายามหลับนั้นดูซูบโทรมจากดูแลองค์ชายที่ไข้ขึ้นสูงมาตลอดทั้งคืน ทว่า..ก่อนที่ฟ้าจะสาง เงาตะคุ่มดำก็ทาบทับร่างกายที่ยังไม่ได้สติ มือปริศนายื่นไปหมายจะแตะต้องใบหน้าหมดจด แต่ไอร้อนของร่างกายอีกฝ่ายก็พลันทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆลืมขึ้น ภาพทุกอย่างกลับคืนมาเชื่องช้า แต่ดวงตาคมกริบสีเข้มนั้นกลับสะท้อนเด่นชัดเป็นที่สุด และชวนให้รู้สึกถึง..


         โกรธเคือง..


          “องค์ชาย.. ”


         ผั๊วะ!


         กำปั้นหนึ่งซัดลงไปเต็มๆที่ข้างแก้ม การจู่โจมที่ได้รับทำให้ราชบริวารหนุ่มแทบล้มลงไปนอนซบกับพื้นทราย เมื่อลองเอามือสัมผัสจุดที่รู้สึกเจ็บ ก็พบ ริมฝีปากกลบไปด้วยเลือดสีแดงสด แต่ไม่ทันได้เรียบเรียงเหตุการณ์ทุกอย่าง อารมณ์ดั่งไฟเผาของคนที่ทำร้ายก็ฉุดกระชากร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของเขาขึ้นมาอย่างรุนแรง โดยไม่สนใจความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายได้รับเลยแม้แต่น้อย มืออันแข็งแกร่งดึงคอเสื้อด้วยความโกธราจนยับย่น ส่วนอีกข้างก็กำแน่น ง้างขึ้นสูงเตรียมชกให้หายแค้นอีกครั้ง

 
         “ บาฮาลหยุดนะ! ” มิกิรีบวิ่งเข้ามาห้ามพร้อมกับพยายามจับมือของคนอารมณืร้อนออก หลังจากได้เสียงแปลกๆดังขึ้น เขาก็เลยตื่นขึ้นมาดู แต่ไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้

 
         “ อย่ามาขวางข้ามิกิ! ข้าจะฆ่ามันให้สมกับสิ่งที่มันไว้กับข้า ซาอิด! ไอคนทรยศ!! ” แผดเสียงด้วยความโกรธ สติขาดสะบั้นด้วยเพลิงอารมณ์ที่มอดไหม้ มิกิพยายามห้ามปรามก่อนเรื่องจะเลวร้ายขึ้น แต่เรี่ยวแรงของเขาก็น้อยนิดจนเกินไปเมื่อเทียบกับบาฮาลแล้ว ก่อนจะตัดสินใจกระทำบางอย่างเพื่อให้ร่างตรงหน้าหยุด

 
         เพี๊ยะ!!


         “ นายนั่นล่ะหยุด!! ”

         ฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าคมจนสะบัด เสียงแข็งกร้าวร้องบอกเพื่อเรียกสติ มือหนาที่ดึงคอเสื้อของอีกฝ่ายชะงักไป ก่อนจะยกขึ้นมาลูบแก้มของตัวเองที่ถูกตบ ดวงตาคมตวัดควับหาคนที่เพิ่งทำร้าย แต่มิกิกลับจ้องหน้าเขม็งราวกับเขาต่างหากเป็นฝ่ายผิด


         “ ซาอิด เป็นคนทำแผลให้นายทั้งหมด และเฝ้านายตลอดทั้งคืน นายยังทำร้ายเขาอีกเหรอ ”


         “ แต่มัน! ”


         “ ถ้าต้องการให้นายตายจริงๆ เขาคงปล่อยให้นายตายไปแล้ว และฉันก็คงไม่มีชีวิตอยู่ตรงนี้  ” มิกิสวนขึ้นทันควันจนคนที่กำลังเอ่ยปากต่อว่าชะงัก ถึงใบหน้าของบาฮาลจะเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ดวงตาก็ครุ่นคิดไปตามที่ร่างเล็กบอก


          จริงอยู่ว่าถ้าซาอิดอยากให้พวกเขาตายคงฆ่าพวกเขาทิ้ง แล้วหนีไปกับราซิสที่ซาคาเดียร์ หากทั้งหมดกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะซาอิดยังอยู่ที่นี่ แต่เขาจะไว้ใจได้อย่างไรในเมื่อคนคนนี้เป็นคนที่ทำร้ายพวกเขา!

 
         “ ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมเอง องค์ชายจะทรงลงทัณฑ์หรือจะประทานความตายมาให้ก็ไม่แปลก ท่านมิกิอย่าได้ห้ามปรามองค์ชายเลย ”

         คนที่ทำให้เกิดเรื่องพูดเสียงแผ่ว ซาอิดนั่งคุกเข่าลง ก่อนจะก้มกราบลงกัยพื้นแสดงความเคารพบื้องเหมือนขาวอนาคานจนศรีษะติดกับผืนทราย ทว่า..การแสดงการกระทำอย่างจริงใจของเขากลับไร้ความหมายในสายตาที่มีแต่ความเกลียดชังของร่างสูงศักดิ์


         “ ดี! งั้นข้าจะประทานความตายให้สมใจเจ้า ฮึก.. ” บาฮาลชักกริดคมกริบของมาจากข้างเอวของหัวหน้าราชบริวารหนุ่มในทันที แต่ก่อนที่คมกริดนั้นจะถึงตัว แผลที่ช่องท้องก็เจ็บขึ้นมากระทันหัน อาวุธที่อยู่ในมือร่วงหล่นลงพื้น ร่างกายปวดเจ็บเกินจะทรงตัวได้ สิ่งที่เกิดทำให้ร่างที่ก้มอยู่ต้องเงยขึ้นมามอง ก่อนจะรีบเข้าประคองคนที่บาดเจ็บอย่างไม่ลังเล


         “ องค์ชาย! ”

 
         “ อย่ามาแตะต้องตัวข้า! ” บาฮาลสะบัดมือของซาอิดออกอย่างแรง จนร่างสูงล้มกองกับพื้น ทว่าเจ็บทางกายไม่เท่ากับเจ็บทางใจที่ได้เห็นดวงตาคู่เข้มเต็มไปด้วยความรังเกียจ


         “ เจ้ามันคนทรยศ..กล้าดียังไงมาแตะต้องตัวข้า พวกเจ้ามันสารเลวเหมือนกันทั้งพี่น้อง แต่พี่เจ้ายังสูงกว่าเจ้านัก พวกครึ่งๆกลางๆอย่างเจ้า ไม่ควรอยู่รับใช้องค์ราชามาตั้งแต่แรก ไสหัวไป! อนาคานไม่ต้องการคนเช่นเจ้าอีก! ”


         “ พอสักทีบาฮาล! ”


         “ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!! ” สุดท้ายคนที่ทนกับคำครหาไม่ไหวกลับเป็นมิกิ แต่ทว่าก็โดนเสียงทรงอำนาจตวาทสวนความจริงออกมาจนพูดไม่ออก  เด็กหนุ่มได้แต่กัดฟันมองร่างที่ก้มอยู่แทบเท้าของผู้สูงศักดิ์อย่างจงรักภักดีด้วยความนึกสงสาร เห็นไหล่ที่สั่นไหวเบาๆก็เข้าใจดีว่าซาอิดรู้สึกเช่นไร


         บาฮาลพยุงตัวลุกขึ้นอีกครั้ง ถึงจะเจ็บแผลจนเลือดเริ่มไหลซึมจากผ้า แต่ก็ยังฝืนยืนเต็มความสูง จนเงาสูงใหญ่ทาบทับค่อมร่างที่ก้มแทบเท้าแสดงถึงความเหนือกว่าของชนชั้น สายตาคมกริบจ้องมองร่างของหัวหน้าราชบริวารหนุ่มอย่างดูแคลน ก่อนจะแผดเสียงดังอีกครั้ง


         “ รีบไปซะ! รีบไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้! ก่อนที่ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆซาอิด! ” เขาเอ่ยไล่อย่างไม่ไยดี โดยไม่สนว่าคำพูดนั้นจะกรีดหัวใจคนฟังให้เป็นริ้วๆมากแค่ไหน ซาอิด พยายามกลั้นความรู้สึกที่ร้อนผ่าวบนขอบตาของตัวเอง มือแกร่งกำแน่นจนสั่น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้อนาคานจะทำให้เขาเจ็บปวดมามาก แต่เขาก็กล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าที่นั้นคือบ้านที่แท้จริงของเขา


          ตั้งแต่เขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าโลใบนี้มันแสนโสมม แม่ของเขาถูกพวกโจรฆ่าตายตั้งแต่เขาอายุเพียงแค่ 3 ขวบและไม่เคยรู้ว่าพ่อของตัวเองคือใคร เขาเร่ร่อนไปกับขบวนพ่อค้าทาส ประทังชีวิตด้วยเกล็ดขนมปัง กับเศษซากของพวกงูที่คอยขย่อนเหยื่อของมันออกมาให้เขากินตลอด 10 ปี กระทั้งท่านพี่ราซิสได้มาพาเขาออกไปจากนรกนั้น แล้วอยู่ที่อนาคานมาตลอดจนเติบใหญ่ ถึงอนาคานจะไม่อาจเรียกว่าสวรรค์ได้เต็มคำ แต่ก็ดีที่สุดเท่าที่เขาเกิดมา และเขาก็สัญญากับพี่ราซิสว่า จะยอมถวายชีวิตให้แก่อนาคานและเทพนาคิน!


         “ ทูลองค์ชายกระหม่อมขออภัย..ขอเพียงรับสั่งนี้เท่านั้นที่กระหม่อมมิอาจสามารถทำได้ หากกลับไปที่อนาคานกระหม่อมยินดีรับโทษทัณฑ์ทุกอย่าง แม้จะถึงแก่ชีวิตกระหม่อมก็จะไม่ขอค้านอะไร ขอเพียงได้ชดใช้ความผิดที่กระหม่อมได้ทำไว้  และได้กลับไปรับใช้อนาคานจนวินาทีสุดท้าย ถึงจะเป็นความตายกระหม่อมก็ไม่หวาดกลัว แต่ได้โปรดทรงเมตตา...อย่าขับไล่กระหม่อมเลย.. ” พยายามกลั้นเสียงที่สั่นคลอ แต่มิอาจปิดร่างกายให้สั่นไหว น้ำตาหยดลงบนพื้นทรายแล้วก็หายไป แต่ผืนทรายก็มิอาจดูดซับความเสียใจของร่างนี้ได้ บาฮาลกำมือจนแน่น รู้สึกหงุดหงิดและสับสนในความคิดของตัวเองจนแทบจะบ้าคลั่ง ถ้าภักดีไยถึงทำเช่นนี้กับเขาเล่า


         “ เจ้าจะให้ข้าเชื่อคำพูดเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าปักกริดพิษใส่ข้า! ”

 
         “ กระหม่อมขอโทษ!..ฮึก! ” ครานี้เสียงสะอื้นดังจนมิอาจกลั้น ร่างกายสั่นไหวไม่ปิดบัง

 
         “..กระหม่อมไม่อยากให้พระองค์สิ้นพระชนย์ไปเพราะพิษจากเขาของท่านพี่ราซิส ..กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจ หากถึงที่อนาคานจะทรงแทงกระหม่อมด้วยกริดให้ตาย กระหม่อมก็ยินดี ขอเพียงให้กระหม่อมได้กลับไปที่อนาคานเป็นครั้งสุดท้าย ก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ ” คำพูดนั้นช่างดูเอาแต่ใจจนน่าหงุดหงิด แต่เสียงที่สั่นเครืออย่างไม่เคยเป็นก็เกินกว่าจะเคืองโกรธ องค์ชายนักรบแห่งอนาคานแม้จะเคยเห็นการบีบน้ำตาร้องขอชีวิตมามากล้นจนชินชา แต่กลับซาอิดกลับตัดสินใจไม่ได้ ใจหนึ่งก็โกรธเคืองจนมิอาจให้อภัย แต่อีกใจก็ก็ไขว้เขวเสียจนสับสนกับความคิดตัวเอง

 
         “ฮึ่ย!!” สิ่งที่ทำได้มีเพียงสถบลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เตะเท้าแรงๆระบายไปที่ผืนทรายจนเม็ดทรายสาดกระเซ็น ก่อนจะหนีเดินไปนั่งลงอีกฝั่งไม่อยากเห็นหน้าใครบางคน


         มิกิถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นบาฮาลไม่คิดทำอะไรซาอิดมากกว่านี้ หลังจากช่วยพยุงซาอิดให้ลุกขึ้นเสร็จ เขาก็เดินย่ำเท้ามาที่องค์ชายเจ้าอารมณ์ที่นั่งหน้าบึ้งตึงอยู่อีกฝั่ง ขณะที่แสงอาทิตย์เริ่มสว่างขึ้นรับเช้าวันใหม่ที่ละน้อย


        “ ทำไมเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่ ” เมื่อเห็นเงาของคนที่เดินเข้ามา เสียงห้วนๆชวนมีเรื่องก็เอ่ยถามในทันที อาการแบบนี้เหมือนเด็กน้อยขี้งอนก็ไม่ปาน!

 
         “ ฉันแค่..มาตรวจดูอะไรที่นี่นิดหน่อย ไม่เกี่ยวกับนาย ” พูดจบก็นั่งลงข้างๆ

 
         “ เช่นนั้นคงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ลาก่อน ”แต่พอนั่งลงอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นอย่างเสียมารยาทในทันที แผ่นหลังกว้างหันให้เขา ก่อนเจ้าตัวจะเดินไปยังอาชาสีเข้มสองตัวที่ผูกเอากับต้นปาล์มต้นเดียวกัน

 
         “ บาฮาล! ” เสียงเรียกทำให้ขาที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงัก ใบหน้าคมเข้นหันมาสบ เห็นเด็กหนุ่มกำลังวิ่งมาหา ก่อนจะมาหยุดหอบหายใจอยู่ตรงหน้า

 
          “ ฉัน...จะกลับไป ” สิ่งที่ได้ยินทำเอาคนฟังขมวดคิ้ว


         “ เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร ” คราวนี้มิกิตัดสินใจพูดให้ชัดเจนมากขึ้น


         “ ฉันจะกลับไปยังอนาคาน ” ถึงเสียงนั้นจะไม่ดังมากนัก แต่ทุกคำพูดกลับเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนจนนึกแปลกใจ บาฮาลกลอกสายตา คิดว่านี่คือเรื่องตลก และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นกตัวน้อยที่ร่ำร้องโผบินสู่ท้องฟ้าอยู่ทุกค่ำคืนยามที่ถูกจับใส่กรง เหตุใดถึงอยากผูกมัดตัวเองด้วยการกลับไปยังคุกคุมขัง สมองของหมอนี่มันต้องเพลี้ยนไปแล้วแน่ๆ


         “ คนอย่างเจ้าที่เรียกร้องหาอิสรภาพ ไยถึงยอมกลับถูกขังไวในกรงอีก นี่คือทุกอย่างที่เจ้าต้องการแล้ว ที่ข้ามาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อตามหาเจ้า แต่มาเพราะคิดว่าที่นี่น่าจะมีอะไรหลงเหลือพอจะช่วยอนาคานได้ ดูท่าแล้วมีเพียงแค่เศษเหล็ก กับมนุษย์คนหนึ่งที่ทำเอาชีวิตข้าเกือบไม่รอด เจ้ามันหายนะของอนาคาน รีบไสหัวกลับบ้านเกิดเจ้าไปซะ!” ตวาดจบก็หันหลังไปปลดเชือกม้าที่ผูกอยู่ออก ขณะคนที่ถูกตอกหน้าไม่อดทนอีกต่อไป

 
         พอกันทีกับความงี่เง่าคนอนาคาน!

 
         “ ก็เพราะอนาคานเป็นแบบนี้ไง! ถึงต้องสูญเสียอยู่ร่ำไป! ” พอได้ยินเสียงตะโกนไล่หลัง องค์ชายหนุ่มก็หันหน้ามาอย่างเอาเรื่อง


         “ นี่เจ้า! ”

         ซาอิดเมื่อได้ยินเสียงที่เริ่มดังขึ้น จึงรีบเดินขึ้นมาดู ก็พบองค์ชายบาฮาลกำลังจ้องหน้ากับเด็กหนุ่มต่างชาติอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่พอมิกิเห็นเขาเดินมาก็เริ่มพูดขึ้นต่อในทันที


         “ ซาอิดบอกฉันกับเรื่องทุกอย่างแล้ว แต่มันจะยากนักเรื่องไง กับการแค่ขอร้องคนอื่นเขาดีๆ ทั้งๆที่ตัวเองเดือดร้อนจะเป็นจะตายอยู่แล้ว ” พอได้ยินกระนั้นสายคมกริบก็ตวัดมาที่ร่างของหัวหน้าราชบริวารหนุ่มอย่างคาดโทษ ทั้งที่เรื่องภายในของอนาคานไม่ควรบอกคนนอกให้ล่วงรู้ แต่กลับบอกเสียจนหมดเปลือก ซาอิดไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ความผิดเดิมก็มากพอจะทำให้องค์ชายเกลียดชังมากอยู่แล้ว พอมีเรื่องใหม่เข้ามา เขาจึงทำได้แต่ก้มหน้ามองพื้น

 
         “ อนาคานไม่เคยเดือนร้อน ไม่จำเป็นต้องขอร้องใคร เรื่องนี้มนุษย์อย่างเจ้าไม่เกี่ยวถอยไป! ” อีกครั้งที่องค์ชายบาฮาลปฏิเสธโดยไม่คิดให้เสียเวลา เมื่อปลดเชือดม้าเสร็จก็ยกตัวขึ้นขี่ในทันที ท่าทางที่ดื้อด้านไม่เข้าเรื่องเช่นนี้ช่างเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต แต่บาฮาลก็เป็นไม้แก่เกินกว่าที่เขาจะดัดแล้ว บางทีถ้าไม่ตอกไปตรงๆเสียบ้างก็คงไม่รู้เรื่อง


         “ งั้นก็ปล่อยให้บาซิกค์ตายซะ! ถ้าการขอร้องยากมากนัก! ”

 
         “ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฏ!! ”


         “ กฏงี่เง่า ทั้งที่รู้ว่าอีกไม่นานอนาคานจะส่งบาซิกค์ไปตายน่ะเหรอบาฮาล!! ” เสียงแข็งกร้าวตะโกนสวน ความจริงที่ได้ยินทำเอาองค์ชายบาฮาลรู้สึกเหมือนแผ่นอกกำลังถูกถ่วงด้วยก้อนหินหนักๆ เขาไม่เข้าใจเลยจริงว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ แล้วทำไมถึงได้ได้สนใจเรื่องของอนาคานขนาดนี้ แต่ดูจากสีหน้ามุ่นมั่นของเจ้าตัวก็เหมือนกับได้ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวลงไปแล้ว


         “ เจ้าไม่ใช่ชาวอนาคาน ไยต้องสนใจเรื่องนี้ ”

 
         “ ฉันไม่อยากสนใจ!..แต่ทั้งหมดเป็นเพราะพี่ชายนายไม่ใช่เหรอ ที่ลากฉันเข้ามาเกี่ยวด้วย!” สิ่งที่ได้ยินทำเอาดวงเนตรคู่เข้มเบิกโต มิกิมองใบหน้าขององค์ชายแห่งอนาคานนิ่งไม่คิดหลบ

 
         “ ตอบฉันมาสิ..ถ้าฉันไม่มีประโยชน์อะไร แล้วทำไมบาซิกค์ต้องจับฉันไว้ที่อนาคานด้วย ”เสียงเรียบถามกลับอย่างแน่วแน่ จนคนฟังถึงกับคาดไม่ถึง ดวงตาคู่สวยหรี่ลงต่ำ เอ่ยความจริงที่รู้อย่างเจ็บปวด


         “ เพราะพวกนาย..เห็นฉันเป็นแค่เครื่องมือไงล่ะ ”

         เสียงนั้นดังก้องไปทั่วพื้นทราย ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบลงทันทีราวกับจะเสริมให้ข้อความของเขาชัดเจนขึ้น องค์ชายบาฮาลไม่อาจตอบสิ่งใด เพราะข้อความที่เอ่ยออกมานั้นคือความจริง


         มิกิค่อยๆสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ม้าขององค์ชายอนาคานจนประชิด มือเรียวลูบลนแผงคอของมันแผ่วเบา


         “ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเหตุผลที่บาซิกค์ปล่อยฉันเพราะอะไร แต่ที่ฉันรู้ก็คือ ถ้าไม่อยากให้อนาคานสูญเสียอะไรอีก ก็พาฉันกลับไป ” รูปหน้าหวานเงยขึ้นสบผู้สูงศักดิ์ ดวงตาคู่สวยแม้จะฉายแววเด็ดเดี่ยวกล้าหาญแต่ลึกเขากลับมองเห็นจุดประสงค์อะไรบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ใต้แววตางดงามนั้น รอยยิ้มที่คลี่ออกบางเบาแม้จะดูสวยงาม แต่อีกมุมกลับดูร้ายกาจ

 
         “ เจ้าต้องการอะไรกันแน่มิกิ ” พอถามเช่นนั้นออกไป รอยยิ้มนั้นก็คลี่กว้างขึ้น ในดวงตาส่อแววเจ้าเล่ห์แต่ก็ท้าทายอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจของคนที่คิดจะต่อรองเลยสักนิด คนประเภทนี้ ไม่บ้าบิ่นก็โง่เต็มที


         “ สิ่งที่ฉันควรจะได้จากการช่วยเหลือครั้งนี้ คือ ของหวาน และชีวิตของฉัน ” ได้ยินกระนั้น คิ้วเข้มก็ขมวดแน่นเป็นปม คาดเดาไม่ออกเลยว่าสิ่งที่ร่างเล็กต้องการคือสิ่งใด แต่ไม่ทันที่จะได้ตอบตกลง เด็กหนุ่มก็ไปปลดเชือกของม้าอีกตัวออกโดยทันที ก่อนจะขึ้นไปขี่อยู่บนหลัง


         “ เจ้าทำอะไรน่ะ! ” บาฮาลโวยวายเมื่อเขายังไม่ได้อนุญาต แต่เด็กหนุ่มหันกลับมามองเพียงเสี้ยวหน้า

 
         “ คอยเรียกฉันว่า’ท่าน’ ได้เลย ”

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 12]UP 23/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 23-08-2015 18:31:29


         จากเช้าตรู่จรดใกล้จะหมดวันอีกครั้ง พระราชวังอนาคานก็ยังคงเงียบสงัดดั่งร้างผู้อาศัย ถึงแม้ข้าราชบริวารและเหล่าผู้อาวุโสยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม แต่เมื่อไร้ซึ่งเงาของเจ้าแผ่นดินแล้ว ชีวิตประจำวันก็แสนจะราบเงียบราวกับน้ำที่นิ่งสงบ ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่หาได้มีผู้ใดพร่ำปากบ่น แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งหมดคือวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันมาช้านาน ซึ่งได้หลอมรวมชาวนาคินทุกคนเข้ากับเรื่องทั้งหมดนี้จนเป็นสิ่งที่ชินตา


         ภายในห้องอันมืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใด ใครบางคนกำลังครุ่นคิดถึงกฎของเทพนาคินซึ่งเป็นกฏสูงสุดที่พวกเขายึดติด ถึงกฏนั้นจะนำมาซึ่งความสูญเสียของอนาคาน แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขากลับเชื่อว่า กฏนี้จะนำไปสู่ความสมบูรณ์ของชาวนาคิน แม้ความจริงที่ปรากฏออกมาจะตรงกันข้าม และไม่เห็นมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง แต่พวกเขาก็ต้องจำใจเชื่อเสมือนคนตาบอดมองที่ไม่เห็นสิ่งใด และคอยบังคับจิตใจของตัวเองให้เชื่ออยู่เสมอว่า ทุกอย่างได้เป็นไปตามประสงค์ขององค์เทพบรรพบุรุษนาคินอย่างสมควรแล้ว


         ทุกคนเลือกที่จะเชื่อเช่นนั้น..

 
         กฏจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอีก..หากประชาชนทุกคนต้องการ


         องค์ราชาบาซิกค์ยอมรับในความเป็นไปเช่นนั้น และเลือกที่จะละทิ้งความคิด อยู่ในห้องอันมืดมิด เพื่อชำระความรู้สึกของตัวเองออกไปให้หมด ทั้งหมดเพื่อความสมบูรณ์แบบของพิธีการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย ให้เปลือกกายสะอาดบริสุทธิ์พอที่จะมอบให้แด่โอรสของเทพนาคินที่ถือกำเนิดใหม่


         ระยะเวลา 210 ปี นั้นช่างแสนสั้น เมื่อเทียบกับการละทิ้งความรู้สึกทั้งหมดที่มี กี่ครั้งที่ริมฝีปากนี้เปื้อนเลือด กี่ครั้งที่โดนกักขังห้ามน้ำตาไม่ให้หลั่งออกมา ความมืด และความโดดเดี่ยว เป็นเพียงสองสิ่งที่เดินเคียงคู่เขายันวาระสุดท้ายของชีวิต แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อชีวิตนี้ไม่เคยใช่ของๆเขาตั้งแต่แรก ทั้งอำนาจ กายเนื้อ และจิตวิญญาณ ล้วนแต่สืบทอดมาจากเนื้อหนังของบรรพบุรุษทั้งสิ้น ซึ่งอีกไม่นานเนื้อหนังนี้จะต้องตกเป็นของผู้อื่น แต่ทำไมก้อนเนื้อตรงใต้แผ่นอกมันถึงได้สั่นไหวนัก หรือเขากำลังหวาดกลัวกันแน่..


         ทั้งที่ควร..ละทิ้งทุกสิ่ง..แต่กลับทำไมไม่ได้


            “ บาซิกค์!.. ” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิดอย่างน่าประหลาด ทั้งที่คิดเขาไม่มีวันได้ยินเสียงนั้นอีกแล้ว แต่พอยิ่งอยู่ในห้องที่เงียบกริบ เสียงนั้นก็ยิ่งแว่วชัดขึ้น คล้ายกับว่าเจ้าของอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่ ดวงตาสีอำพันลืมขึ้นท่ามกลางความมืด จู่ๆก็รู้สึกมีความหวังเล็กๆดุจประกายไฟที่จู่ๆก็ผุดขึ้นกลางใจ ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่คำตอบคงรอเขาอยู่ที่ด้านนอก

 




             “ ออกมาเจอหน้าฉันเดี๋ยวนี้! ”

               เสียงโวยวายดังก้องไปทั่วท้องพระโรงแห่งอนาคาน หลังจากที่องค์ชายบาฮาลเสด็จมาถึงวัง มิกิก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปด้านในโดยไม่สนผู้ใด เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายเห็นเด็กหนุ่มต่างชาติที่ไม่ควรจะอยู่ที่นี่กลับมา ก็ต่างเรียกพวกทหารให้มาจับกุม ล้อมหน้าล้อมหลังไว้จนหมดไร้ทางหนี มือเรียวรีบชักมีดพกที่เขานำติดตัวมาด้วยจากอาราบัสเป็นอาวุธป้องกันตัว ทว่าดวงตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นหาได้เกรงกลัวไม่ ร่างบางยังคงประกาศเสียงแข็งกร้าวเรียกผู้ปกครองแห่งอนาคานมาเผชิญหน้าในทันที

 

            “ บาซิกค์! ฉันรู้ว่านายได้ยิน ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้! ” ประโยคคำสั่งทำให้ราชบริวารทั้งหมดเบิกตากว้าง ไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะกล้าออกคำสั่งกับผู้ปกครองสูงสุดแห่งอนาคาน เห็นทีคงต้องสั่งสอนให้รู้จักที่ต่ำที่สูง!

 

            “ เหตุใดนายถึงยังอยู่ที่นี่ คิดถึงกรงขังขนาดนั้นเลยหรือ.. ”

            ไม่ทันได้กระทำใดๆ เร็วเท่าความคิด เสียงเย็นเยือกดังก้องไปทั่วท้องพระโรงจนทุกอย่างเงียบกริบ

มิกิเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงคุ้นหู บนบัลลังก์ทองคำสลักลายอสรพิษอย่างน่าเกรงขาม ปรากฏร่างสูงศักดิ์ในชุดเสื้อสีดำทองของกษัตริย์เพียงหนึ่งเดียวแห่งอนาคานที่ยืนคู่บัลลลังก์ดุจองค์เทพ เส้นผมสีดำสนิดถูกปล่อยยาวสลวยจรดปั้นเอว บนศรีษะสวมรัดเกล้าอสรพิษแผ่แม่เบี้ยแสดงถึงความเป็นราชา รูปหน้างดงามคมเข้มประหนึ่งรูปหล่อทวยเทพจ้องมองด้วยดวงตาเรียวคมที่วาวโรจน์ไปด้วยความเย็นเยือกเหมือนเช่นเคย

 

เมื่อเห็นคนที่ต้องการปรากฏ ร่างเล็กตะโกนสวนขึ้นไปด้วยความโกรธทันที

 

            “ บาซิกค์ ไอคนขี้ขลาด! ”

สิ่งที่ได้ยินทำเอาทุกคนในราชวังนั้นชะงักงันตกใจ ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปที่ร่างบนบัลลังก์อย่างกล้าหาญไม่ได้แสดงถึงความตื่นกลัวอย่างที่เคยเป็นเลยสักนิด แล้วสิ่งนั้นเองก็ทำให้รอยยิ้มหยั่นบนริมฝีปากหยักสวยคลี่ออกด้วยความถูกใจ มิกิยังคงต่อว่า

 

            “ เลิกข่มขู่คนอื่น แล้วทำเป็นเข้มแข็งสักที!”

            สิ้นความอดทนกับการดูหมิ่นองค์เทพของพวกเขา บริวารรอบกายทั้งหมดรวมมทั้งอสรพิษมากมายที่ถูกเรียกมาก็เตรียมรุมกรู่กันเข้ามาหวังจะทำร้ายเด็กหนุ่ม แต่กลับถูกเสียงแข็งกร้าวปรามไว้

 

            “ หยุด!! ” เสียงคำรามขององค์เทพนาคินทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ร่างสูงศักดิ์ประทับลงบนบัลลังก์อสรพิษ ดวงตาเรียวคมจ้องมองมาที่เด็กหนุ่มราวกับเหยื่อที่หวนกลับมาเป็นอาหาร

 

            “ ยังปากกล้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน.. ” บาซิกค์ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ ดวงของเด็กหนุ่มเริ่มผันแปรเป็นเคืองโกรธ ก่อนจะพูดออกไปอย่างไม่เกรง

 

            “ คิดว่าทำแบบนี้กับฉันแล้ว ฉันจะดีใจงั้นหรือบาซิกค์ ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ขาเรียวขยับก้าวเดินเข้ามาใกล้คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงมากขึ้น การกระทำของมิกิ ทำเอาราชาแห่งอนาคานต้องขมวดคิ้วสงสัย แต่ขณะเดียวกันก็เกิดนึกสนุกยิ่งนักที่ได้คาดเดาการกลับมาครั้งนี้ของร่างบางตรงหน้านั้นมีจุดประสงค์อะไรกันแน่

 

            “ ฉันให้โอกาสนายอีกครั้ง กลับไปตอนนี้ก็ยังไม่สาย ” หยั่นเชิงของอีกฝ่ายด้วยโอกาสของอสิรภาพ ทว่า คำตอบที่ได้รับกลับเป็นการกระทำไม่คาดคิด จนทุกคนเบิกตากว้าง

 

            กรีด….

 

            แหมะ..

 

            แหมะ..

 

            มีดพกคมกริบกดลงไปที่ฝ่ามือของตัวเอง ความแสบร้อนของเนื้อหนังที่โดนกรีดทำให้เด็กหนุ่มต้องขบกรามแน่นสะกัดกั้นความเจ็บ แค่เพียงเลือดสีแดงเข้มไหลหยดลงบนพื้นท้องพระโรง กลิ่นอันโปรดของบุปผชาติแห่งทะเลทรายก็โชยคลุ้งจนสติของชาวนาคินแทบแตกกระเจิง

 

            “ ฉันว่าพวกนายต้องการสิ่งนี้..แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ” มิกิกำมือที่มีบาดแผลยืนชูขึ้นต่อหน้าองค์ราชาแห่งอนาคาน บาซิกค์เบิกตากว้างกับการกระทำของร่างเล็ก ขณะที่หัวใจก็เต้นสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นหอมหวนจนยากจะห้ามใจ

 

            “ ฝ..ฝ่าบาทอย่าหลงเชื่อนะพ่ะย่ะค่ะ เขาจะนำภัยพิบัติมาสู่พวกเรา ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ยังควบคุมสติไว้รีบเอ่ยเตือน ทว่ามิกิกลับแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

 

            “ งั้นหรือ..”

              ขาดคำก็กำมือของตัวเองจนแน่น บีบให้เลือดสีแดงไหลหยดลงมาจากมือของตัวเองราวกับจะย้อมพระราชวังด้วยเลือด มิกิกัดฟันแน่น ทั้งที่เจ็บจนแทบชา แต่คงไม่มีวิธีใดอีกแล้วที่ทำให้บาซิกค์ยอมรับความต้องการของเขาได้รวดเร็วเท่าวิธีนี้  ในเมื่อกลิ่นในเลือดของเขาสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคานได้ หลั่งออกมาโชว์ประสิทธิภาพของมันออกมาสักหน่อยจะเป็นไรไป

 

            “ ต้องการสิ่งใด ” คำถามนั้นดูเหมือนไม่พอใจ แต่ลึกๆกลับแสดงถึงความต้องการอยู่ไม่น้อย มิกิพยายามใช้ชายเสื้ออุดแผลของตัวเองไม่ให้เลือดไหลต่อ ก่อนจะคลี่ยิ้มเสนอในสิ่งที่เขาต้องการ

 

            “ ก็แค่เรื่องง่ายๆ นายต้องช่วยฉันวิจัยเรื่องดอกเพเซียให้เสร็จ สร้างห้องทดลองให้ฉัน ขอที่พัก อาหารครบ 3 มื้อ  และสุดท้ายคือ คำขอร้องจากปากของนายว่าต้องการให้ฉันช่วย ” พอได้ยินกระนั้น บาซิกค์ถึงกับส่งเสียงหัวเราะออกมา

 

            “ คิดว่าเรื่องนี้ฉันจะ.. ”

 

            “ พูดออกมาเถอะ...บาซิกค์ ความต้องการของนายจากหัวใจ” เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของอีกฝ่ายนั้นทำให้เขาชะงักไปทันที ในแววตาคู่สวยไม่ได้เต็มไปด้วยความสมเพชหรือสงสารอย่างที่เขาคิด แต่มันกลับสื่อออกมาถึงความร้องขอเสียมากกว่า อีกทั้งยังเจือไปด้วยความซื่อตรงเสียจนเขาไม่เข้าใจ เหตุผลทั้งหมดอาจเป็นกำแพงหนาที่ก่อตัวขึ้นปิดกั้นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความรู้สึกอื่นที่เขาควรจะได้รับ จึงเกิดคำถามที่ว่าเขาควรยื่นมือออกไปโอบกอดสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ ขณะเดียวกลับหัวใจดวงนี้ที่มันเหมือนจะอ่อนแรงลงทันที

 

            ความห่วงใย..

 

            ความเห็นใจ..

 

            ความอบอุ่น...

 

            ทุกอย่างถูกสื่อสารมาทางนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้น และสีหน้าของเขาที่คนเขาเคยทำร้ายกักขัง.. ข้อเรียกร้องที่เสนอมาข้างต้น มันดูเป็นเพียงข้อเรียกร้องที่เล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับสิ่งที่มอบให้ ทั้งๆที่เขาไม่ควรนำเรื่องนี้มาหมกมุ่น และมิกิก็น่าจะรู้ว่าเขามองเป็นเพียงเครื่องมือที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แต่ด้วยความที่อนาคานยังคงเป็นอนาคานเขาก็เลยยอมสละคนตรงหน้าทิ้งไปแล้วเลือกที่จะปฎิบัติตามกฏ แต่ทำไมล่ะ?.. ทำไมถึงยังกลับมาที่นี่อีก? ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองอาจจะต้องตายก็ได้..

 

            เพราะอะไรกัน..ไม่เข้าใจ

 

            ไม่เข้าใจจริงๆ

 

            “ ฝ่าบาทอย่าสนพระทัยเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ หากทรงยอมรับ นี่ก็หมายถึงสงครามระหว่างเรากับซาคาเดียร์นะพ่ะย่ะค่ะ ” ผู้อาวุโสหลายคนพยายามเอ่ยเตือนเป็นเสียงเดียวกัน และนั้นเป็นความจริงที่อนาคานไม่อาจหนีพ้นหากยอมรับข้อเสนอของเด็กหนุ่มคนนี้

 

            “ มิกิ..นายรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หากไม่ทำกฏของเทพนา.. ”

 

            “ เลิกทำตามกฏงี่เง่านั้นซักที!! ”  มิกิตวาดลั่นไปทั่วท้องพระโรง

 

               พอกันทีกับความงมงายของอนาคาน!

 

 “ หึ..สงครามเหรอ..ความตายเหรอ นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว อนาคานไมได้เป็นเมืองขึ้นของซาคาเดียร์ ทำไมถึงต้องยอมส่งบรรณาการนาคินไปให้ ทั้งที่รู้ว่าเบื้องหน้าคือความตาย ถึงไม่มีทางเดินจะเลือกเดิน แต่ทำไมถึงไม่ยอมลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเองดูสักครั้ง กฏของเทพนาคินเป็นมายังไงฉันไม่รู้ แต่ฟังแล้วก็เป็นแค่ข้ออ้างที่เห็นแก่ตัว และหลบซ่อนความหวาดกลัวของตัวเองทั้งนั้น ทำไมมนุษย์ถึงอยู่ได้ด้วยความรัก แล้วทำไมนาคินถึงมีมันไม่ได้ นายเคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า เพราะกฏงั้นเหรอ! มันก็แค่นิทานหลอกเด็กที่ไม่รู้จักโต! ”

ระบายออกไปทั้งหมดอย่างสุดจะกลั้น ไม่รู้ว่าทำเขาถึงได้รู้สึกแค้นแทนชาวนาคินนัก ทั้งๆที่อนาคานได้แต่ทำเรื่องเลวร้ายให้เขา นึกแล้วก็เป็นเรื่องน่าตลdสิ้นดี ทั้งๆที่ไม่อยากจะนึกถึงที่นี่ อยากจะกลับบ้าน แต่ในสภาพความเป็นจริงกลับไม่มีที่ใดที่เขาสามารถกลับไปได้ ไม่มีใครรอเขาอยู่อีกแล้ว แต่พอรู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีคนที่ต้องการเขาอยู่ หัวใจขอเข้าก็กลับโหยหาความรู้สึกที่มีใครสักคนที่ต้องการเขา แม้จะเป็นเพียงแค่เครื่องมือ แต่ก็อาจพูดได้เต็มคำว่า บาซิกค์ต้องการเขา ถึงความคิดงี่เง่านี่จะทำให้เขารู้สึกสมเพชตัวเอง..แต่มันกลับ..เติมเต็มให้ส่วนที่หายไปได้ แค่นั้นก็เพียงพอ

 

            “ เด็กที่ไม่รู้จักโตงั้นหรือ ฉันชอบคำนี้จัง.. ” หลังจากที่เงียบไปนาน ในที่สุดราชาบาซิกค์ก็เผยรอยยิ้มออกมา แต่กริยาที่ตอบสนองแบบนี้ ร่างเล็กไม่สามารถเดาใจได้เลยว่าร่างสูงศักดิ์กำลังคิดสิ่งใดอยู่ภายใต้ดวงตาคมกริบนั่น

 

            “ มิกิ...” เสียงเรียกเย็นเยียบนั่นทำเอากายบางถึงกลับสะดุ้ง ดวงตาสีอำพันหรี่ลงต่ำจ้องราวกับต้องการลองใจ “หากฉันปฏิเสธล่ะ ”

 

            “ ฉันก็ขอต่อยสักหมัดก่อนตายแล้วกัน ” เขาตอบออกไปอย่างไม่ไหวหน้าและคงทำจริงก็จะต้องตาย ได้ยินเช่นนั้นทพให้รอยยิ้มที่คลี่อยู่บางเผยออกกว้างกว่าเดิม ก่อนราชาแห่งอนาคานจะหัวเราะออกมาอย่างไม่ปิดบัง

 

            “ เยี่ยม!.. ฉันยอมรับ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเช่นกัน” มิกิหรี่ตาลงอย่างไม่ไว้ใจ บาซิกค์ประกบมือเข้าประสานกัน ดวงตาเรียวคมยิ่งจ้องมองก็เหมืนอผู้ล่าที่เหนือชั้นกว่า กว่าจะกล่าวด้วยน้เสียงจริงจัง

 

            “ ในเมื่อการตกลงครั้งนี้ ก็เเหมือนเป็นป่าวประกาศจะเป็นศัตรูกับซาคาเดียร์โดยทางอ้อม แต่ฉันไม่ต้องการเช่นนั้น”

 

            “ นายจะทำอะไรบาซิกค์ ” ยิ่งเห็นดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองเขานิ่งงันก็ยิ่งเพิ่มพูมความไม่น่าไว้ใจ รู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่างที่ต้องเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับเขาจากชายตรงหน้า จนต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ แต่กระนั้นก็ได้ทำใจกล้าที่จะเผชิญ

 

“เพื่อเป็นการประกาศสงครามกับซาคาเดียร์อย่างชัดเจน นายจำเป็นจะต้อง.. ” เสียงนั้นหายไป พร้อมกับลมหายใจของเด็กหนุ่มที่ขาดไปชั่วขณะเช่นกัน ก่อนที่ริมฝีปากจะเขยื้อยเอ่ยคำตอบออกมา

 

            “ แต่งงาน..กับฉัน.. ” คำพูดนั้นแผ่วเบาราวกระซิบ หากแต่กลับดังก้องไปทั่วท้องพระโรงแห่งอนาคาน จนเหล่าข้าราชบริวารที่ได้ยินก็ต่างพากันเบิกตากว้าง จากถ้อยคำขององค์ราชา

 

มิกิยืนนิ่งค้าง เสมือนเสียงแผ่วเบาของชายตรงหน้าสะกดทุกสิ่งแม้แต่ลมหายใจ หัวใจที่เต้นอยู่ภายใต้กายนี้เต้นดังขึ้น และแรงขึ้นเรื่อยๆจนยากจะควบคุม รู้สึกวิญญาณเหมือนจะหลุดออกจากร่าง พอยิ่งเห็นมือทรงอำนาจนั้นยื่นลงมาจากบัลลังก์อย่างเชิญชวน ริมฝีปากหยักโค้งเปล่งคำพูดจนมิอาจต่อต้าน

 

            “ ตกลงหรือเปล่า..ว่าที่ราชีนีของข้า” สุรเสียงนุ่มลึกนั้นยากจะต่อต้าน มือที่เผยรับราวกับรอการตอบรับจากเด็กหนุ่มตรงหน้า วินาทีนั้นหัวสมองมันขาวโพลนไปหมด รู้ตัวอีกทีมือก็ยื่นออกไปเสียแล้ว

 

            “ ฉัน.. ”
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 12]UP 23/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: mana_ai ที่ 23-08-2015 20:56:09
ขอแต่งงานแล้วววว
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 12]UP 23/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Serioz ที่ 26-08-2015 04:57:32
ไม่ได้เข้ามาอ่านเลย
อ่านจนตาฉ่ำ  ขอบคุณมากๆค่ะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 12]UP 23/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: JY_JRB ที่ 26-08-2015 09:11:07
คุณพระ !  กรี๊ดดด เลยอะ 555 เจอประโยคเด็ด
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 13]UP 26/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 26-08-2015 19:57:11
ค่ำคืนที่ 13 : น้ำผึ้งบนผืนทราย Part 1

        วันนี้เป็นอีกวันที่เต็มไปด้วยความสับสนของคิโนมุระ มิกิ เด็กหนุ่มต่างชาติไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดว่าทำไมถึงยื่นมือไปรับข้อเสนอของเจ้านครแห่งนาคินได้ ราวกับว่าในเวลานั้น เขาเห็นบางสิ่งในแววตาที่ไม่สามารถปฏิเสธ

 

        ทั้งที่ไม่ได้รับรู้ถึงอำนาจหรือมนต์สะกดใดๆ เหมือนอย่างที่เคยผ่านมา แต่หัวใจกลับลุ่มหลงราวกับกำลังอ่อนแอหาที่พึ่งพิงอย่างไร้เหตุผล พอภาพทุกอย่างกลับคืนมาชัดเจนอีกครั้ง ก็เห็นรอยยิ้มบางเบาเผยขึ้นบนรูปหน้าคมเข้ม มือที่ยึดจับไว้ หาใช่ความรู้สึกเย็นเยือกอย่างที่เคยสัมผัสไม่..

 

        แต่มันเป็นความสุขใจต่างหาก..

 

        ยกเว้นตอนนี้..

 

        “ฉันยังไม่ได้ตกลงกับนายนะบาซิกค์ โอ้ย! ” เสียงโหวกเหวกดังขึ้นจากร่างของเด็กหนุ่มที่ถูกข้าราชบริวารทั้งหลาย    ลุมกรูเข้ามาขัดเนื้อขัดตัวที่สระน้ำในห้องบรรทมตามรับสั่งขององค์ราชา  แต่จะพูดว่า ‘พามา’ ก็ไม่ถูกเท่าไร เพราะสภาพของเขาตอนนี้เหมือนถูก ‘โยน’ ลงน้ำเสียมากกว่า

 

         ร่างกายเปลือยเปล่าถูกขัดถูอย่างปราณีต แต่ด้วยความดื้อดึงของตัวเขาเอง ทำให้การรับใช้ของราชบริวารนั้นเปรียบเสมือนสนามรบ ใบหน้าหวานมุ่ยลงด้วยความหงุดหงิด รู้สึกไม่ชินที่โดนปรนนิบัติพัดวีแบบนี้ ทั้งๆที่เขายังไม่ได้พูดอะไร แต่เจ้าของร่างสูงศักดิ์ที่นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงหน้า กลับทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาไปแล้ว

 

        “เผลอปล่อยไปเที่ยวเล่นข้างนอกไม่ได้เลยนะ..” พูดจบก็เอามือลูบคางของตัวเอง ดวงตาเรียวคมจับจ้องมาที่เด็กหนุ่มราวกับมองสัตว์เลี้ยงมอมแมมกำลังอาบน้ำ

 

        “บาซิกค์ฉันยังไม่ เหวอ! ” กำลังจะลุกขึ้นออกจากสระไปทักท้วง แต่แขนที่ยังขัดไม่เสร็จก็ถูกพวกราชบริวารดึงกลับไปใหม่จนร่างผอมบางเสียหลักลื่นล้ม น้ำในสระสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง แต่มิวายเด็กหนุ่มก็ยังคงดิ้นขัด บาซิกค์ไม่เอ่ยพูดอะไรต่อ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมองดูลูกแมวจอมดื้อตัวใหญ่ถูกจับอาบน้ำ ซึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ตนเองกลับเผยยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นภาพเหล่านั้น

 

        วินาทีที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายจบลง เด็กหนุ่มต่างชาติถูกจับแต่งตัวใหม่ให้เหมาะสมอีกครั้ง แต่ทำไมมิกิถึงได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังกลายเป็นตุ๊กตาให้กับบาซิกค์เข้าไปทุกที

 

         เวลานี้เขาอยู่ในชุดโธปสีขาวยาวคร่อมเท้า แต่หากเนื้อผ้าบางเสียจนเห็นผิวพรรณที่อยู่ภายใน จากคอเสื้อด้านหน้าผ่ากลางลากยาวจนมาเกือบถึงสะดือ เผยแผ่นอกแบนราบ และปลอกคออสรพิษที่อยู่บนต้นคออย่างชัดเจน โชคดีที่มีเสื้อคลุมเกล็ดงูสีดำสวมทับอยู่ด้านนอกอีกชั้น จึงทำให้เขาไม่รู้สึกเขินอายมากนัก แต่พอเห็นสภาพตัวเองในกระจก กลับรู้สึกเหมือนกำลังจะกลายเป็นนางรำเปลื้องผ้า ต่อหน้าราชาจอมเจ้าชู้ในภาพยนตร์เรื่องอาหรับราตรีจังนะ

 

        “งดงามจริงๆ” เสียงนุ่มลึกเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ชวนขนลุกจนคนที่ส่องกระจกสะดุ้ง บาซิกค์ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้พวกราชบริวารที่อยู่ในห้องออกไปให้หมด พอสิ้นเสียงประตูปิดลงร่างสูงศักดิ์ก็ค่อยๆก้าวเดินเข้าไปประชิดคนที่ยืนตัวแข็งเป็นหิน

 

        “ทะ ทำอะไรน่ะ..” มิกิผงะเท้าถอยหลังด้วยความไม่ไว้ใจ เมื่อเห็นคนสูงกว่าตรงเข้าประชิด ไม่ทันได้หนีไปไหนพ้น มือใหญ่ทั้งสองก็จับเข้าประคองที่ข้างแก้มขาวนุ่ม พลางจับใบหน้าเขาพลิกไปพลิกมาเหมือนกำลังชมสินค้าเพื่อหาตำหนิ สัมผัสที่ได้นั้นชวนให้เขารู้สึกแปลกๆ

 

        “ผอมไปนะ..” สิ่งที่ได้ยินทำเอาใบหน้าหวานร้อนผ่าว เด็กหนุ่มรีบปัดมือของอีกฝ่ายออกจากใบหน้าของตัวเอง

 

        “เลิกทำเหมือนฉันเป็นตุ๊กตาของนายสักที ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะยอม..”  เสียงโวยวายไม่ทันได้พร่ำจนจบ นิ้วเรียวก็แตะลงบนริมฝีปากเขาจนเงียบสนิท ดวงตาเรียวคมจับจ้องมายังดวงหน้าหวานของอีกฝ่ายนิ่ง

 

        “ทำไมล่ะ มิกิ.. นายก็รู้อยู่แก่ใจว่า การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการชอบพอกันของเราสองคน นายจะได้สิ่งที่นายต้องการ ส่วนฉันก็จะได้ประโยชน์จากตัวนาย ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย”

 

        “แต่นายเป็นถึงกษัตริย์ และฉันก็เป็นผู้ชาย อย่าพูดเหมือนการแต่งงานเป็นเรื่องง่ายๆ ได้ไหม” อีกครั้งที่ปัดความเอาแต่ใจของร่างตรงหน้าออกอย่างไม่ไยดี และพยายามพูดในเรื่องความเป็นจริง แต่ทำไมพอยิ่งกระทำเช่นนี้แล้ว เขาถึงได้รู้สึกนิสัยของตัวเองเหมือนกับผู้หญิงเข้าทุกที มือเรียวพยายามดันแผงอกกว้างให้ถอยห่างเพื่อหวังจะเดินหนี แต่กลับถูกวงแขนแกร่งโอบเข้าที่เอวคอดของตัวเอง   มิกิเบิกตากว้างอยากจะเอ่ยปากโวยวาย แต่พอเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นแล้ว มันทำให้เขารู้สึกเย็นหัวใจแปลกๆ

 

        “ถึงกฏของเทพนาคินจะให้ฉันต้องเลือกราชีนีคู่บัลลังก์เมื่อถึงคราว 210 ปี แต่ก็ไม่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านั้นห้ามฉันอภิเษกกับใคร ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มหรือสาวงาม”

 

        “แต่นายเป็นกษัตริย์!”

 

        “ซึ่งนายไม่เคยมองว่าฉันเป็น..” น้ำเสียงตัดพ้อที่ได้ยิน ทำเอาคำพูดของเด็กหนุ่มที่กำลังจะเอ่ยต่อกลืนหายไปในลำคอ

         ใช่..มันเป็นความจริงที่เขาไม่เคยมองบาซิกค์ว่าเป็นกษัตริย์หรือราชาเลยสักนิด สิ่งหนึ่งเพราะความโหดร้ายทารุณที่ได้รับ ทำให้เขาลืมที่จะให้เกียรติใดๆกับนครแห่งนี้ แต่พอถึงคราวที่เขาจำเป็นต้องใช้ประโยชน์บ้าง ทิฐิกับภาพในอดีตที่อยู่ในจิตใจ กลับทำให้เขาสับสนว่าควรจะทำตัวอย่างไร หรือควรพูดจาอย่างไร ทว่า..คำตอบนั้นก็ไม่ได้ดังมาจากความคิดเขา

 

        “อย่าดื้อไปหน่อยเลยมิกิ เพื่องานวิจัยของนายแล้ว.. ” บาซิกค์เว้นจังหวะไป ใบหน้าคมเข้มเคลื่อนเข้ามาใกล้ จมูกโด่งสันแทบแนบชิดกับข้างแก้มจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ข้างใบหูสม่ำเสมอ “นาย..ต้องการฉัน” สุ้มเสียงทุ้มต่ำกังวาลในหูดังมนต์สะกด หากเป็นเมื่อก่อน คำพูดที่จี้ตรงจุดหัวใจเช่นนี้เขาคงพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ยังไงเสีย..ถ้าร่างกายเขาคือสิ่งที่บาซิกค์ต้องการ เขาต่างหากที่ควรจะมีสิทธิ์อยู่เหนือกว่า

 

        “เปล่าไม่ใช่.” มือเรียวยันแผงอกของบาซิกค์ให้ถอยออก ดวงตาคู่สวยจ้องไปที่ใบหน้าหล่อเหลาอย่างกล้าหาญ ก่อนรอยยิ้มบางๆ จะยกขึ้นบนมุมปาก พร้อมกับคำพูดหนึ่งที่ตอกลงไปในใจของอีกฝ่าย

 

         “นายต่างหากที่ต้องการฉัน..บาซิกค์” ได้ยินสิ่งที่กล่าว ดวงตาสีอำพันหรี่ลงต่ำ รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่เด็กหนุ่มกล้าสู้หน้าเขาขึ้นมา ก่อนมิกิจะพูดต่อไป

 

        “ถึงเรื่องนี้จะไม่สำคัญสำหรับนาย แต่สำหรับมนุษย์มันคือการเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่ง จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็อยู่ที่คู่ครอง หากไม่มีรัก มันก็เหมือนกับถูกขัง”

 

        “นายก็เลยต้องการสิ่งนั้นด้วยเหรอมิกิ” น้ำเสียงทุ้มต่ำสวนกลับ มิกิตกใจกับคำถามที่ย้อนมาจนหัวสมองว่างเปล่าไปชั่วครู่ แต่พอมาคิดดูดีๆ เขากลับตอบไม่ได้เต็มปากว่าเขาไม่ได้ต้องการความรักจากชายผู้นี้ แต่สิ่งที่เขาหวังจากหัวใจอันแห้งแล้งของบาซิกค์ก็คืออิสรภาพที่แท้จริงต่างหาก

 

        “ฉันไม่ได้ต้องการ..นายต่างหากที่ต้องการ ‘ความรัก’ ”

        ไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นแทงหัวใจชายหนุ่มให้เจ็บช้ำมากแค่ไหน ทว่าความจริงของคนที่โหยหาความรักนั้นที่ไม่ใช่เขา อย่างไรชีวิตนี้ก็ยังไม่ดีพร้อม และยังไม่อยากผูกมัดใดๆ กับใคร แม้เขาจะไม่รู้ว่าปลายทางของเรื่องจะเป็นอย่างไร และคนที่จะเจ็บปวดที่สุดนั้นคือใคร แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเขาไม่ผูกเชือกรั้งใครเอาไว้


 

        “ฉันจะช่วยจนถึงวันเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย..แต่หลังจากวันนั้น ฉันจะกลับประเทศ แล้วทุกอย่างจะต้องยกเลิก..เราสองคนจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน.. ” สิ้นประโยคสุดท้ายมือที่โอบกอดเอวอีกฝ่ายไว้ก็ปล่อยลงทันใด ดวงตาสีอำพันจ้องมองดวงหน้าหวานอย่างสงบนิ่ง..นิ่งเสียจนคล้ายกับว่ากำลังปิดซ่อนความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ลึกข้างในแววตา

 

        ขณะที่ตรงนี้..ตรงก้อนเนื้อใต้แผ่นอกนี่..ทำไมถึงได้บีบแรงจนเจ็บ พอลองยกมือขึ้นมาสัมผัส ก็ยังพบว่ามันยังคงเต้นสม่ำเสมออยู่

 

        ทว่า..ทำไมกันเล่า..มันถึงได้ไม่เหมือนเดิม

 

        เมื่อรู้ว่า ความสัมพันธ์ทุกอย่างต้องจบลง...

 

        แม้ความจริง ยามต้องการร่างกายมาเติมเต็ม อำนาจทุกอย่างที่มีล้วนทำได้ง่ายดายนัก แต่กลับไม่พอใจเลยสักนิด หากต้องใช้อำนาจเพื่อครอบครองทุกอย่างแม้กระทั่งหัวใจ

 

         มิกิเมื่อเห็นบาซิกค์ยืนนิ่งราวครุ่นคิด ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดจาไม่ดีออกไป แต่ปากก็หนักเกินกว่าจะเปล่งเสียงพูด ไม่ทันไร..บาซิกค์ก็มองเขาด้วยดวงตาเย็นเยือกเหมือนเช่นเคยคล้ายกับไม่รู้สึกใดๆ ก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้อง ทิ้งไว้แค่เพียงเสียงถอนหายใจของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความกังวล

 

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 13]UP 26/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 26-08-2015 20:00:34
ค่ำคืนที่ 13 : น้ำผึ้นบนผืนทราย Part 2

     กลางคืนเยือนย่ำ มิกินั่งอยู่ริมระเบียงในห้อง ดวงตาคู่สวยปิดลงจมอยู่กับความคิดของตัวเอง และฟังเสียงสายลมยามค่ำคืนผ่านหน้าต่างที่ปิดกั้นด้วยตะแกรงเหล็ก อากาศเย็นๆ สัมผัสที่ข้างแก้มชวนให้รู้สึกปลอดโปร่ง ทว่าในใจกลับสับสนกับสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำ

 

     สิ่งที่พูดไปเมื่อตอนกลางวัน เขาไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายบาซิกค์เลยสักนิด แต่เพื่อให้ความสัมพันธ์คงอยู่ในที่ที่ควรจะเป็น เขาจะต้องไม่ผูกเชือกให้ใครเจ็บปวด

 

     อย่างไร...เหตุผลทั้งหมด บาซิกค์ก็ต้องการเพียงเลือดของเขาที่มีกลิ่นของดอกเพเซียเจือปนอยู่เท่านั้น น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันทั้งที่เซรุ่มที่ศาสตราจารย์สกัดมาควรจะอยู่ในตัวเขาไม่เกินสามอาทิตย์ แต่พอนับวันดูแล้ว มันกลับไม่ได้เจือจางลงเลยแม้แต่น้อย

 

     จากการสังเกต ทุกครั้งที่เขาแสดงความรู้สึกต่างๆ อย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเศร้า ก็เหมือนกับว่ากลิ่นของดอกเพเซียจะแรงขึ้นตามอารมณ์ ถ้าสมมุติฐานของเขาไม่ผิดพลาดเลือดและร่างกายคงหลอมรวมกับเซรุ่มได้ดี จึงทำให้ระยะเวลานั้นอาจจะเทียบเท่ากับการฉีดฟีลเลอร์แบบชั่วคราว ซึ่งก็คงอยู่ได้ราวๆ 4เดือน แต่พอลองคิดเล่นๆ ว่า เกิดวันพรุ่งนี้กลิ่นของดอกเพเซียที่ใช้ต่อรองกับบาซิกค์หายไปขึ้นมา ตัวเขาจะเป็นยังไงต่อไป

 

     ไม่มีมนุษย์คนใดอยู่ที่อนาคานได้..

 

     เขายังจำประโยคนี้ของซาอิดได้อย่างแม่นยำ คำตอบ..คงมีเพียงอย่างเดียวคือความตาย แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น ในเมื่อธรรมชาติสร้างให้ทุกๆ คนล้วนมีแต่ความเห็นแก่ตัว  เขาก็จะขอกอบโกยทุกอย่างในสิ่งที่เขาควรจะได้รับจากที่นี่ เพื่อให้สมกับที่ชายผู้นั้นเห็นเขาเป็นเพียงเครื่องมือ.. แต่ทำไมข้อแลกเปลี่ยนที่เสนอไปกลับค่อยๆ ดึงตัวเขาเข้าไปให้ถลำลึกมากขึ้นเช่นนี้ เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน..

 

     มิกิสะบัดศรีษะพยายามสละความคิดอันน่าปวดหัวของตัวเอง หากตอนนี้อยู่ที่ญี่ปุ่นเขาคงกระดกสาเกแรงๆ ให้หายฟุ้งซ่าน เมามายให้ลืมโลก แล้วค่อยตื่นขึ้นมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ ถึงจะรู้ว่าที่นี่อาจจะมีสิ่งที่ต้องการ แต่ครั้นจะเอ่ยปากสั่งราชบริวารที่เฝ้าอยู่หน้าห้องก็ไม่รู้ว่าเอาสิทธิ์อะไรไปสั่งเพราะเขาก็ยังไม่ใช่พระชายา

 

     ถึงแม้จะไม่เอ่ยปากรับคำ แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง หากร่างกายนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆ เขาก็ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง เขาอาจจะถูกขายให้กับพวกเศรษฐีลามก หรืออาจจะถูกฆ่าตาย ถ้าคิดในแง่ดีถึงเขาจะรับตำแหน่งพระชายาไปก็ใช่ว่าจะมีใครรู้จักเขาอยู่ดี

 

     มันคงไม่มีอะไรเสียหาย..เพราะในชีวิตที่เหลืออยู่ก็..

 

     ไม่มีใครเหลืออีกแล้ว

 

     ตำแหน่งพระชายาเขายอมรับ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นตลอดไป  เขาอยากกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง ออกเดินไปที่ไกลแสนไกล ห่างจากโลกที่โหดร้ายใบนี้  แต่หัวใจอีกข้างกลับไม่ได้เห็นด้วยเมื่อสิ่งที่ต้องการกลับแลกมาด้วยความ..โดดเดี่ยว

 

     มิกิหลับตาลง ปล่อยให้สายลมพัดผ่านใบหน้าอยู่แบบนั้นสักพัก  แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เขาเบื่อบรรยากาศอุดอู้ในหัวนี้เต็มทน  ร่างเล็กลุกขึ้น เดินไปหยิบเสื้อคลุมเกล็ดงูแล้วออกไปจากห้องทันที

 

     แสงจันทร์กระจ่างส่องสว่างบนผืนฟ้าที่ไร้หมู่ดารา  หลังจากออกมาด้านนอก มิกิเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเปื่อย รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในสวนราชวังซึ่งเต็มไปด้วยพืชทะเลทรายทั้งไม้พุ่มแห้งๆ ที่วางริมทางเดินราวกับรั้ว กระบองเพชรหลายต้นเบ่งบานดอกหลากสีงามสะพรั่ง ต้นปาล์มสูงใหญ่โบกไหวไปตามสายลมจนได้ยินเสียงเสียดสีของใบ มีน้ำพุรูปปั้นงูจงอางขนาดใหญ่แผ่แม่เบี้ยอยู่ใจกลางสวน  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถเดินโลดแล่นได้อย่างเปิดเผยไม่ต้องคอยหลบหนีในราชวังแห่งนี้ ถึงพวกทหารจะยังคงมองเขาด้วยสายตาที่จ้องจะจับผิด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก  พอเปรยยิ้มบางๆ ออกไป ทหารพวกนั้นก็ต่างพากันรีบหันหน้าหนี ท่าทางที่เห็นทำให้นึกขำอยู่ไม่น้อย

 

     กระทั่งอากาศภายนอกเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ แต่น่าแปลกที่เขากลับชอบอากาศหนาวๆ ของทะเลทรายมากกว่าความร้อน เพราะสามารถช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของสมองลงได้บ้าง  แต่ก็อดไม่ได้ที่จะใช้เท้าเตะกองทรายไปเรื่อยๆ ราวกับความเบื่อหน่ายยังไม่หายไป

 

     เขาไม่ใช่คนดี...

 

     แต่ถึงดีก็ไม่ควรจะไปดีด้วยกับบาซิกค์เลยสักนิด เมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าตัวเคยทำเอาไว้

 

     “บ้าเอ๊ย!” ขาเรียวเตะกองทรายอีกครั้ง พลางถอนหายใจยาวกับความคิดน่าหงุดหงิดของตัวเอง  กระทั่งได้กลิ่นหอมของบางอย่างคล้ายกับกุหลาบล่องลอยมาตามสายลมยามค่ำคืน

 

     มิกิหันซ้ายทีขวาทีหาทิศทางของกลิ่นหอมนั่น ก่อนสายตาจะไปสะดุดอยู่ที่หอคอยเตี้ยๆ ที่มีความสูงเท่ากับราชวัง บนสุดมีแสงไฟส่องสว่างออกมา  ไม่รู้ว่าคิดอย่างไรสองขาก็พาร่างของเขาเดินเข้าไปเสียแล้ว

 

     พอมาเห็นใกล้ๆ ก็พบว่าบริเวณโดยรอบของหอคอยนี้ถูกพันด้วยไม้เลื้อยบางอย่างไปจนถึงยอดบนสุด  บริเวณประตูทางเข้าของหอคอยนั้นถูกแง้มเปิดเอาไว้อยู่แล้ว

 

     ทันทีที่เข้ามา กลิ่นหอมของกุหลาบก็โชยเข้าจมูกแรงขึ้น ดวงตาคู่สวยกวาดสายตามองสำรวจ  ด้านในเป็นบันไดไม้วนไปถึงชั้นบนสุด บนกำแพงรอบๆ ถูกเจาะเป็นร่องๆ สลักด้วยรูปหน้าของอสรพิษกำลังแยกเขี้ยว  ในปากนั้นมีตะเกียงเล็กๆ จุดไฟให้ความสว่าง

 

     มิกิก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งใกล้ถึงชั้นบนสุดมากเท่าไรกลิ่นของกุหลาบก็ยิ่งแรงขึ้น  คิ้วเรียวขมวดขึ้นด้วยความสงสัยว่าทำไมที่ทะเลทรายถึงมีกลิ่นของกุหลาบได้  แต่เมื่อผลักบานประตูตรงหน้าออกไป สิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาถึงกับชะงักงัน

 

     ตรงหน้าคล้ายกับดาดฟ้าโล่งกว้าง เท้าย่ำลงบนดินทรายเย็นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับดินทรายบริเวณโอเอซิส ดวงตาคู่สวยกวาดมองรอบๆ ตรงกลางเป็นโครงไม้โปร่งๆ ที่สร้างเป็นโดมเล็กๆ มีไม้เลื้อยชนิดหนึ่งพันไว้โดยรอบ ทว่ากลับมีดอกสีแดงสดคล้ายกุหลาบดูสวยงามยิ่งนัก ก่อนสายตาจะสะดุดอยู่ที่ร่างที่นั่งหันแผ่นหลังให้ของใครบางคน ข้างกายเป็นโต๊ะเล็กๆ ซึ่งมีขวดสุราตั้งไว้ ใบหน้างดงามนั้นกำลังขึ้นมองพระจันทร์บนผืนฟ้ากว้างไกล

 

     วินาทีหนึ่งที่สายลมเอื่อยพัดแผ่วเบา..กลิ่นหอมรัญจวนของดอกไม้ที่ไม่น่าอยู่ในทะเลทรายล่องลอยมาพร้อมกับเส้นผมสีดำที่พริ้วไสว บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟาจ้องมองผืนฟ้าอยู่แบบนั้นอย่างเหม่อลอย  ภาพที่เห็นทำให้เขารู้สึกทุกข์ขึ้นในหัวใจ บางทีชายที่คิดว่าแข็งแกร่ง อาจจะไม่ใช่คนแข็งแกร่งมาทั้งแต่ต้น เพราะทั้งหมดเป็นเพียงแค่เปลือกนอก ซึ่งด้านในลึกๆ นั้น เขาอาจไม่รู้อะไรเลย

 

     “ ชอบที่จะยืนมองคนอื่นแบบนี้เหรอมิกิ” ในที่สุดบาซิกค์ก็สัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของคนที่แอบยืนอยู่ทางด้านหลัง เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะทำใจกล้าเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ทว่าบาซิกค์กลับยกขวดสุราขึ้นดื่มรวดเดียว ราวกับสุรานั้นไม่มีรส

 

     “ นายจะดื่มแบบนี้ไม่ได้นะ! ”

     ด้วยความตกใจ รู้ตัวอีกทีก็แย่งขวดสุราออกจากมือของบาซิกค์ไปแล้ว สายตาคมกริบตวัดควับกลับมา มองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา

 

     “ ทำไมล่ะ..” คำถามง่ายๆ พอผสานกับเสียงเย็นเยียบนั้นทำให้มิกิถึงกับกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ ริมฝีปากบางเม้มลงเข้าหากันเนื่องจากไม่ได้เตรียมคำตอบนั้นเอาไว้ แต่ลึกๆ กลับบอกเขาว่าจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ ก่อนร่างบางจะตัดสินใจนั่งลงบนผืนทรายข้างๆ ทว่า..คนที่นั่งอยู่กลับคว้าขวดสุราแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงสวนทางกับเขา

 

     “จะไปไหนน่ะบาซิกค์!” มิกิรีบทักขึ้นเมื่อเห็นบาซิกค์ทำท่าจะเดินหนีเขาไปเสียดื้อๆ

     บาซิกค์ชะงักฝีเท้า เสี้ยวหน้างดงามหันมาสบ ริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่มีถ้อยคำใดเอ่ยออกมา

 

     “เดี๋ยวสิ!” ร่างเล็กรีบลุกขึ้นมายืนขวางคนที่กำลังเดินหนี บาซิกค์ขมวดคิ้วลงต่ำ

 

     “ต้องการอะไร..” คำถามห้วนๆ เอ่ยพร้อมกับเสียงที่เรียบเย็น ฟังแล้วช่างเหินห่างจนหัวใจหนาวเหน็บ

     ขณะที่มิกิเองกลับไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองเลยสักนิด ว่าทำไมเขาจะต้องรู้สึกผิดต่อชายผู้นี้ด้วย  แต่ปากก็หนักเกินไปที่จะพูดความรู้สึกของตัวเอง  เวลานี้ไม่ใช่เวลามานั่งสับสนจมอยู่กับความคิด อย่างไรหากตัดสินใจที่จะเดินหน้าแล้วเขาก็ควรรู้เรื่องราวทุกอย่างมากขึ้นกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องของเทพนาคิน!

 

     " ถึงเวลาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟังได้หรือยังบาซิกค์ " น้ำเสียงจริงจังเอ่ยขึ้น ดวงตาคู่สวยจ้องมองอย่างแน่วแน่ไม่สั่นไหว  ท่าทางของเด็กหนุ่มทำให้เจ้าแห่งนาคินต้องกอดอกมองอย่างครุ่นคิด

 

     "ทำไม..นายถึงได้อยากรู้เรื่องของอนาคานนัก" คำถามเรียบๆ แต่แฝงไว้ด้วยความกดดันเอ่ยจากปากของผู้ปกครอง อนาคาน มิกิส่ายหน้าปฏิเสธ

 

     "ไม่ใช่..ที่ฉันอยากรู้ไม่ใช่อนาคาน แต่เป็นเรื่องของนายต่างหาก" พอได้ยินคำตอบบาซิกค์ก็ยกยิ้มขึ้น

 

     "เรื่องของฉัน? มันน่าสนใจสำหรับนายตั้งแต่เมื่อไรกัน ฉันว่า..นายคอยดูทุกอย่างเงียบๆ และเป็นเพียงแค่เครื่องมืออย่างที่นายต้องการจะดีกว่า"

 

     " ถึงมันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้..ฉันก็ควรรู้เรื่องทั้งหมดจากปากของนาย" มิกิเริ่มขึ้นเสียงดัง ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้

 

     "หึ..ในฐานะอะไรล่ะ"

     คำถามนี้ทำเอามิกิถึงกับเงียบสนิท คล้ายกับคำพูดบางอย่างมันกระจุกอยู่ตรงปลายลิ้นแต่ไม่สามารถตอบออกมาได้ บาซิกค์เห็นท่าทีลังเลของมิกิ ก็คลี่รอยยิ้มเย็นเยียบ กายสูงใหญ่ขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้น มือทรงอำนาจค่อยๆ เชยคางให้มาสบ ดวงตากับเขาเชื่องช้า

 

     "พูดสิมิกิ พูดให้ชัดๆ แล้วฉันจะเล่าทุกอย่างที่นายอยากรู้" ข้อเสนอถูกหยิบยื่นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ยั่วยวนเป็นที่สุด ดวงตาเรียวคมจ้องมองราวกับจะล้วงเอาความจริงในจิตใจของเขา แต่มิกิฉลาดเพียงพอที่จะไม่ตกหลุมพรางง่ายๆ เช่นนี้

 

     " บาซิกค์..ฉันจะบอกอะไรให้ ตอนนี้ฉันไม่คิดว่านายมีสิทธิ์มาสั่งอะไรด้วยซ้ำ..เพราะในดวงตาของนายมันปรากฏแต่ภาพของฉัน..ลมหายใจของนายก็มีแต่ฉัน อย่าเล่นตัวให้มากหน่อยเลยพ่องูใหญ่ นายรู้อยู่แล้วว่าฉันแลกข้อตกลงนี้ก็เพื่ออะไร  หึ...ว่าที่พระชายาของกษัตริย์แห่งอนาคาน ฟังดูไม่เลวเลยว่างั้นไหม" มือยกขึ้นปัดมือที่เชยคางออก ดวงหน้าหวานจ้องมองมาที่ราชานาคินอย่างไม่เกรง แต่สิ่งที่ได้ยินทำเอาบาซิกค์หัวเราะในลำคอแผ่วเบา

 

     " นายมันเด็กปากดีมิกิ..ถ้าเกิดยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นแล้ว งั้น..ในฐานะพระชายา เขาทำอะไรกันบ้างล่ะ " ดวงตาเรียวคมหรี่มอง พร้อมกับมือที่เปลี่ยนมาโอบรัดแผ่นหลังบางไว้อย่างรวดเร็ว  การกระทำที่มาพร้อมกับคำพูดทำเอาคนตัวเล็กไม่ทันได้ตั้งตัว

 

     " จะทำอะไรน่ะ!"

 

     " ใครกันที่มีสิทธิ์สัมผัส ปลดเปลื้องอาภรณ์ของพระชายา จนถึงกระดุมเม็ดสุดท้าย..ถ้าไม่ใช่ " ใบหน้าคมเข้มเริ่มลุกล้ำเข้ามาใกล้ เสียงนุ่มทุ้มกระซิบข้างใบหู "พระสวามี" กายบางเย็นวาบ จมูกโด่งสันคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ลมหายใจอุ่นร้อนด้วยฤทธิ์ของสุราเคลื่อนไล้ใบหน้า กลิ่นหอมของบุปผชาติของกายบางโชยฟุ้งยิ่งกว่ากลิ่นกำยานกุหลาบที่จุดไว้ระหว่างที่ดื่มเหล้าเคล้าแสงจันทร์จนมิอาจหักห้ามใจ ริมฝีปากหยักสวยเคลื่อนลงเชื่องช้า..ใกล้จรดลงไปบนกลีบปากนุ่มของอีกฝ่าย ทว่า..

 

     " ถ้าจูบมา..ฉันจะกัดนาย " ครานี้เสียงเรียบเย็นกลับเอ่ยออกมาจากเด็กหนุ่มตรงหน้า ดวงตาสีอ่อนจ้องเขม็งไปที่ใบหน้างดงามที่ซ่อนความเจ้าเล่ห์อย่างเอาเรื่อง ขณะที่บาซิกค์กลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

 

     “ เป็นอะไรไปเล่า..ก่อนจะถึงวันที่นายกลับ..วันนี้นายก็ยังคงเป็นว่าที่พระชายาของฉัน ทำหน้าที่สักหน่อย..ซ้อมเอาไว้ก็ไม่เสียหาย..”

 

     “ เพิ่งรู้ว่างูเวลาเมาเหล้าจะเพิ่มความเจ้าเล่ห์มากขึ้น” มิกิจ้องตาไม่กระพริบ

 

     “ นายมันเด็กดื้อ..มิกิ ”

 

     “ แค่ป้องกันตัวเองจากการถูกงูล่วงละเมิด คงไม่ผิดอะไร ”

 

     “ ผิดสิ” บาซิกค์ตอบเรียบ มิกิขมวดคิ้วไม่เข้าใจในความหาย ก่อนกายสูงจะขยับเข้าไปใกล้จนแทบจะแนบชิด ดวงตาสีอำพันมองมาที่เขานิ่งงัน “ เพราะนายยินยอมกลับมาหาฉันต่างหาก ” สิ่งที่ได้ยินราวกับเป็นกระสุนที่ยิ่งตอกย้ำการกระทำของตัวเองได้อย่างดิบดี ความจริงที่ตัวเขาไม่ได้นึกถึงเพราะไม่คิดจะยอมรับ หัวใจของเขาเต้นดังเสียจนกลัวว่าจะได้ยินออกมาด้านนอก แต่สุดท้ายก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าที่กลับมา เหตุผลหลักๆ กลับเป็นเพราะชายผู้นี้ ส่วนเรื่องอื่นกลับกลายเป็นแค่ผลพลอยได้ ทั้งๆ ที่ทั้งหมดควรสลับกัน

 

     “ ยังไงซะ..ฉันก็แค่พระชายาชั่วคราวเท่านั้น..ฉันจะไม่.. ”

            ไม่ทันได้พูดจนจบ จุมพิตแผ่วเบาก็ประทับลงบนกลีบปากนุ่ม สัมผัสอ่อนโยนเพียงชั่วอึดใจทำเอาหัวสมองเขาขาวโพลนไปหมด รู้สึกตัวอีกทีรสจูบหอมหวานด้วยกลิ่นสุราร้อนแรงนั้นก็เคลือบติดอยู่ที่ริมฝีปากไปแล้ว

 

     “ มิกิ.. ” เสียงนุ่มลึกเรียก มือใหญ่ประคองใบหน้างดงามไว้อย่างทะนุถนอม นัยน์ตาเรียวคมมองลึกเข้าไปในดวงตาสีอ่อนที่สะท้อนออกมาเป็นภาพของตัวเขา ริมฝีปากหยักสวยของเจ้าชีวิตเหล่านาคิน เขยื้อนเอ่ยสิ่งที่ไม่คาดคิด

 

     “ ข้าจะไม่มีวันทิ้งของของข้า ”

 

     หัวใจดวงน้อยพองโตขึ้นอย่างน่าประหลาด ขณะเดียวกันที่ความอบอุ่นบางอย่างแล่นผ่านเข้ามากลางใจแทนความเยือกเย็น รู้สึกไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด หรือเพราะร่างกายนี้อ่อนแอเต็มทนถึงได้เอนไหวไปตามคำพูดของชายที่ทำร้ายได้อย่างง่ายดายนัก  สุดท้ายกลับกลายเป็นว่ายินยอม ตอบรับจุมพิตอันแสนอันตรายนั้นกลับไปอย่างโหยหา วินาทีต่อจากนี้จะเป็นยังไงต่อไป..ในหัวกลับว่างเปล่าไปหมด แต่ร่างกายกลับร้อนผ่าวตามสัมผัสที่ได้รับ

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 13]UP 26/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 26-08-2015 20:07:42
ค่ำคืนที่ 13 : น้ำผึ้งบนผืนทราย Part 3

           หลังจากกลับมายังราชวัง หัวหน้าราชบริวารแห่งอนาคานก็มิได้พูดจาใดๆ หากแต่ทำตามที่ตนเองกล่าวไว้กับองค์ชายบาฮาลด้วยความบริสุทธิ์ใจในทันที เขารีบเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับผู้อาวุโสฟัง และขอชดใช้ความผิดด้วยการถูกคุมขังที่คุกใต้ดินของอนาคาน  องค์ชายบาฮาลพอทราบเรื่องเข้า ก็มิได้ปริปากกล่าวถ้อยคำใด เพราะเป็นเรื่องอันสมควรที่ซาอิดควรได้รับการลงโทษ แต่ทำไมในใจกลับรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก  ครั้นจะเดินไปไหนอะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด

            เวลานี้ซาอิดคงกำลังถูกคุมตัวไปคุกใต้ดินของอนาคานสินะ..สองขาก้าวเดินวนไปวนมาในห้องบรรทมของตัวเองอยู่สักพัก ก่อนจะอดกลั้นไม่ไหว อยากจะเจอหน้าคนที่ทำให้หัวใจร้อนรนเช่นนี้..

            พอออกมาจากห้องก็รีบถามกับพวกนายทหาร ก่อนจะทราบว่าซาอิดกำลังถูกคุมตัวไปอย่างที่คิด เขาจึงไปดักรออยู่ที่บริเวณบันไดทางเข้า เมื่อเห็นทหารสองนายนำตัวหัวหน้าราชบริวารแห่งอนาคานมา ก็รีบสาวเท้าไปยืนหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่เขาต้องการในทันที

            “ องค์ชาย!” พอพบผู้เป็นเจ้าชีวิต ทหารทั้งหมดที่กำลังคุมตัวซาอิดก็รีบก้มหัวถวายความเคารพทันใด  ขณะที่ดวงตาสีครามเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ก็ร้องขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่ไม่ทันไรก็ต้องรีบหลบสายตาเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำ

            “ ข้ายังมิได้มีรับสั่งลงโทษเจ้า ทำเช่นนี้หมายความว่ายังไง ” ดวงตาคู่เข้มหรี่ลง น้ำเสียงที่ดุดันเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจกับการกระทำเช่นนี้ ทว่าใบหน้าที่หลบอยู่ก็ยังมิได้เงยมองเขา ยิ่งเห็นก็ยิ่งน่าหงุดหงิดนัก

            “ กระหม่อมรู้ผลของการกระทำดีพ่ะย่ะค่ะว่าเวลานี้ควรอยู่ที่ใด  ส่วนที่เหลือ..แล้วแต่องค์ชายจะทรงตัดสินพระทัย กระหม่อมไม่มีอะไรจะแก้ตัว ”

            “ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันซาอิด!” เสียงตวาดลั่นด้วยความไม่พอใจ ซาอิดสะดุ้งตัวด้วยความตกใจเมื่อถูกมือใหญ่บีบแก้มให้หันมาสบใบหน้าคมเข้มให้ชัดๆ “ คิดว่าการตัดสินใจแบบนี้ของเจ้าจะทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นงั้นหรือ! ”  ซาอิดมองใบหน้าของผู้เป็นองค์ชาย ดวงตาเกรี้ยวกราดนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า ทำไมองค์ชายจะต้องโมโหด้วย..ทั้งหมดคือเรื่องที่เขาต้องยอมรับไม่ใช่หรือ

            “ หากอยากรับโทษทัณฑ์นัก ข้าก็จะสนองให้เจ้าจนไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย!” กล่าวด้วยเสียงดังก้อง มือใหญ่ปัดใบหน้าของอีกฝ่ายออกด้วยความโกรธ ซาอิดรู้สึกหูอื้อไปหมด แม้หัวใจของเขายังคงเต้นดัง  ทว่าภายในกลับรู้สึกว่างเปล่าเกินจะเจ็บปวด

            “กระหม่อมน้อมรับพ่ะย่ะค่ะ.. ” ขานรับด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับคนกำลังหมดเรี่ยวแรง สุดท้ายแล้วจะช้าหรือเร็ว การตัดสินขององค์ชายก็มีค่าเท่ากัน  เขาทำร้ายราชนิกูลแห่งอนาคานคงหนีไม่พ้นโทษเหล่านี้ แต่หากสิ่งที่ทำอยู่สามารถทำให้คนตรงหน้าสบายใจได้เขาจะน้อมรับทุกอย่าง แม้กระทั่งความตาย

            “เจ้ามันโง่เง่าที่สุด.. ” บาฮาลพ่นลมหายใจฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์ กายแกร่งเดินผ่าวงทหารออกไป ไหล่กว้างกระแทกเข้ากับร่างสูงจนถอยเซ แต่ซาอิดก็มิได้ปริปากพูดใดๆ ดวงตาสีครามได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างหายไปจนลับตา

 



          ลมทะเลทรายยามวิกาลพัดโชยอากาศหนาวเหน็บ..

           ในค่ำคืนที่อุณหภูมิลดลงต่ำเช่นนี้ มนุษย์ควรหลบอยู่ในที่พักและห่มผ้าอุ่นๆ สักผืนเพื่อหาไออุ่น หากแต่ใครบางคนกำลังใช้ร่างกายห่อหุ้มซึ่งกันและกันท่ามกลางแสงจันทร์ราตรี

          บรรยากาศเต็มไปด้วยไอร้อนระอุ หากแต่ยากที่จะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้ กลิ่นอายที่เกิดขึ้นเต็มไปด้วยความปรารถนา แต่หาใช่ความรักที่ลอยอยู่คละคลุ้งไม่ ในใจของเด็กหนุ่มนั้นกำลังสับสน เหมือนถูกมอมเมาจากความหฤหรรษ์บางอย่างจากร่างสูงใหญ่ที่ยืนคร่อมกายอยู่ทางด้านหลังเป็นคนมอบให้
 
          สองมือถูกมัดรวบขึ้นเหนือศรีษะ ข้อมือบางผูกด้วยโซ่ทองเส้นเล็กไว้กับโครงเสา..

          มิกิไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกจุมพิตอันแสนหวานฉ่ำชักจูงให้เขามาอยู่ในสภาพที่น่าอับอายเช่นนี้ อาภรณ์ที่เคยสวมปิดบัง บัดนี้ถูกถลกออกจนกองรวมอยู่บนผืนทราย กระนั้นร่างกายที่เปลือยเปล่าก็หาได้รู้สึกเหน็บหนาวไม่ หากแต่กำลังร้อนเร่าจากการปรนเปรออย่างสุขสมด้วยเรือนร่างสูงใหญ่ที่กอดรัดไว้แนบชิดราวกับจะหลอมรวมตัวเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน


          ทว่า..เขากลับไม่ชอบใจเท่าไรนักที่โดนมัดอิสรภาพเอาไว้


          “ปล่อยโซ่นี่ออกเดี๋ยวนี้นะ! บาซิกค์..อ๊ะ! ” เสียงร้อยโวยวายหยุดชะงักลง เมื่อส่วนล่างโดนคุกคามโดยไม่ทันตั้งตัว นิ้วอุ่นร้อนกอบกุมความเป็นชายของเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างนุ่มนวล แต่ขณะเดียวกันการขยับของหัวแม่มือที่นวดคลึงอยู่ที่ส่วนปลายกลับทำให้รู้สึกประหลาดจนยากจะทานทน

          “อย่าปฏิเสธเลยมิกิ หากรังเกียจฉัน นายจะยินยอมทำไมตั้งแต่แรก ”


          “นั้นก็เพราะนาย..อ๊าห์” เสียงครางหวานที่เจือไปด้วยความดื้อดึงสยบลงอีกครั้ง เมื่อถูกแรงกระตุ้นจากมือของอีกฝ่ายทำอย่างหนักหน่วง จนขาทั้งสองสั่นเทิ้ม ขณะที่ภายในหัวกลับเริ่มร้อนรุ่มเหมือนเครื่องยนตร์ที่เพิ่งเดินเครื่อง


          “เพราะฉันงั้นหรือ... ” บาซิกค์กระซิบเสียงต่ำแหบพร่าที่ข้างแก้ม ลมหายใจอุ่นร้อนสม่ำเสมอที่สัมผัสลงบนซอกคอ ทำให้สันหลังรู้สึกเย็นวาบจนเริ่มหวั่นใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อไป “ ร่างกายนายต่างหาก..ที่เรียกร้อง ” คมเขี้ยวอสรพิษกัดลงที่เนื้อกระดูกอ่อนของใบหู ตามด้วยลิ้นอุ่นร้อนที่โลมเลียทาบทับปลอบประโลม  สัมผัสที่ไม่คุ้นเคยทำเอาร่างที่กอดรัดไว้บิดเกร็งด้วยความซาบซ่าน


          “อะ..อ๊า.. ” หลุดเสียงครางออกมาอย่างน่าอับอาย บาซิกค์กระตุกยิ้มเย็นเยียบที่มุมปาก ใบหน้าโน้มลงมาใกล้กระซิบที่ข้างแก้ม


          “ชู่ว..อย่าส่งเสียงดังนักสิ..อยากให้คนอื่นรู้หรือไง ว่าเรากำลังทำอะไรกัน..กลางแจ้ง”  คำพูดที่กึ่งกลั่นแกล้งกึ่งจริงจังพร้อมกับรอยยิ้มนั้น ทำเอามิกิถึงกับหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

          “ก็มันเป็นเพราะใครกันเล่า! ” เอียงใบหน้าหันมาประท้วงคนที่อยู่ด้านหลัง แต่บาซิกค์หาได้สะทกสะท้านไม่

            “จะว่าฉันคนเดียวหรือไงกันมิกิ งั้นบอกมาสิว่า..นายมาเข้าใกล้ฉันทำไม ” คำถามที่ไล่ต้อนนั้น ทำเอามิกิถึงกับพูดไม่ออก หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเถียงออกมาได้ทันควัน แต่ตอนนี้..พอถามความรู้สึกตัวเอง กลับไม่รู้ว่าต้องการสิ่งใด และทำไมคำพูดของเขาเมื่อตอนกลางวันนั้นมันถึงทำให้เขารู้สึกผิดมาจนถึงตอนนี้ด้วย ขณะเดียวกันทั้งที่ไม่ควรปล่อยร่างกายให้เป็นไปตามแรงอารมณ์ แต่สุดท้ายกลับอยู่ในอ้อมกอดของชายผู้นี้ไปเสียแล้ว


            “ฉะ..ฉันก็แค่ต้องการจะคุย..แต่นาย โอ้ย! ”

          จู่ๆ โซ่ที่ผูกมัดขาดออกจากเสาอย่างรวดเร็ว แต่พอรู้สึกตัวอีกที หัวไหล่ก็ถูกมือหนากระชากอย่างแรงจนพลิกหัน ร่างกายที่เสียการทรงตัวล้มหงายลงบนผืนทรายละเอียด ก่อนกายสูงใหญ่จะทาบตัวลงมาในทันที


            “แค่คุยงั้นหรือ...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบ กายสูงใหญ่คร่อมทับอยู่เบื้องบน มิกิเจ็บระบมไปทั่วแผ่นหลัง แต่พอเห็นใบหน้างดงามสะท้อนแสงจันทร์แล้ว หัวใจก็แทบหยุดเต้น ตรงหน้าคือราชาผู้ปกครองนครแห่งนาคินที่น่าเกรงขาม เส้นผมสีดำยาวสยายปรกลงมา ดวงตาเรียวยาวของสัตว์ร้ายจ้องมองเขานิ่งสะกดทุกสิ่ง “ มองตาฉันสิมิกิ แล้วพูดว่านายไม่ต้องการฉัน ” ด้วยเสียงนุ่มลึกกับแววตาคู่นั้น ไม่ต้องใช้มนต์สะกดใดบังคับ จิตใจก็ยากจะปฏิเสธ มิกิไม่รู้สึกตัวเองเลยสักนิดว่ากำลังลุ่มหลง คำพูดที่เคยลอยเต็มในหัว กลับถูกลบเลือนหายไปจนหมด...ทั้งๆที่การปฏิเสธออกไปทำได้ง่ายดายแท้ๆ แต่เขากลับทำไม่ได้..

            พูดสิ..มิกิ
 

            “ฉัน....” กลีบปากนุ่มกำลังเขยื้อนเอ่ย แต่กับถูกขโมยคำตอบออกไปด้วยรสจูบที่ปิดลงอย่างหอมหวาน สัมผัสที่นุ่มละมุน ราวกับดึงหัวใจของเขาให้เสพย์ติดพิษรักนี้อย่างไม่มีข้อกังขา


            “ให้ผืนทรายนี้ จดจำสัมผัสทุกอย่างแทนคำตอบของนาย..” สิ้นคำหวานที่พร่ำบอก ริมฝีปากหยักสวยกดลงอีกครั้งราวกับต้องการย้ำสัมผัสเย้ายวน รู้สึกร่างกายเหมือนขนนกที่ล่องลอยออกไปไกลแสนไกลในผืนฟ้า..

 
          ล่องลอยอยู่แบบนั้น..

          จนไม่อยากจะตกลงมา...


          “ฉันต้องการนาย..มิกิ” คำหวานพร่ำย้ำจนหัวใจแทบหลอมละลาย วงแขนแกร่งช้อนกอดกายบางใต้ผืนทรายอย่างบรรจง การกระทำเช่นนี้ทำให้ร่างกายของเด็กหนุ่มไร้การต่อต้านใดๆ กลิ่นอายที่หวานฉ่ำดุจน้ำผึ้งทำให้เขาคล้อยตามอย่างหลงใหล เขาเคยพูดไว้ว่าคนที่โหยหาความรักนั้นคือบาซิกค์ แต่ตอนนี้เขาต่างหากที่ต้องการความรักนั่น..

 
          หรือหัวใจกำลังหลงรักอ้อมกอดที่เจ็บปวดนี้กัน..


          บ้าที่สุดเลย...

 
          สุดท้ายก็ตอบรับจุมพิตนั้นไปด้วยความปรารถนาของตัวเอง..

          “อึก..อื้อ” เสียงหวานเล็ดรอดออกมาแสดงถึงความพอใจจากสัมผัสที่ได้รับ เรียวลิ้นที่ช่ำชองยังคงไล่ต้อนดูดกลืนหยาดน้ำหวานจากภายในอย่างเพลิดเพลิน สติสัมปชัญญะเหมือนหลุดลอยไปไกลแสนไกล ขณะที่กลไกตามธรรมชาติของร่างกายกลับปลุกปั่นความร้อนระอุในส่วนล่างให้เริ่มเกร็งแข็ง มือเรียวโอบคล้องคอของอีกฝ่าย แผ่นหลังแอ่นยกขึ้นจากผืนทรายโดยไม่รู้ตัว

 
          “นายกำลังยั่วฉันเหรอ มิกิ” มิกิสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินคำพูดของบาซิกค์  แต่พอลืมตาที่ปรือฉ่ำขึ้นมาก็พบว่าอาภรณ์ของราชาถูกปลดเปลื้องจนหมด เหลือแค่เพียงร่างกายเปลือยเปล่าสมชายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงาม  ผิวขาวละเอียดยิ่งมองใต้แสงจันทร์กลับสะท้อนเป็นสีทองอ่อนๆ ราวกับทวยเทพบนสรวงสวรรค์มิอาจละสายตาได้  ทว่าพอเหลือบมองท่อนกายที่อยู่ด้านล่างกลับรู้สึกหวาดหวั่นแปลกๆ หากสิ่งนั้นต้องเข้ามาในร่างกาย แม้ว่าเขาจะเคยผ่านมาแล้ว


          “สายตาแบบนั้น คงไม่ใช่คิดอะไรลามกอยู่หรอกนะ” สิ่งที่พูดทันความคิด ทำเอามิกิหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย

 
          “ฉันไม่ได้คิดซะ..อุบบ”

          ริมฝีปากที่พยายามท้วงความเขินอาย แต่กลับถูกกลีบปากสวยทาบทับลงมาจนกลืนหาย จูบอันร้อนแรงพยายามปลุกเร้า เรียวลิ้นลุกล้ำเข้าไปสำรวจทุกซอกทุกมุมและดูดกลืนทุกสิ่งอย่างถือวิสาสะจนสติของคนที่ถูกคุกคามแทบขาดรอน กว่าจะปล่อยโอกาสให้หายใจร่างกายก็แทบจะไร้เรี่ยวแรง


          “แฮ่ก.บาซิกค์ นายมัน..อึก”

มิกิหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ไม่ทันไรก็ถูกกระตุ้นอีกครั้ง เมื่อปลายลิ้นสัมผัสลงที่แผ่นอก ก่อนจะลากไล้ลงมาเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า..

 
          ผ่านหน้าท้อง..

 
          ผ่านสะดือ..

 
          ไปจนถึงจุดอ่อนไหวที่สุดของร่างกาย มิกิถึงกับร้องห้ามด้วยความตกใจ

 
          “อย่านะ!” กายบางลุกตัวขึ้นนั่ง ใช้ส้นเท้าดันลงบนผืนทรายเพื่อถอยหนี ทว่าไม่ทันได้ทำดั่งใจ ก็ถูกมือหนาคว้าท่อนขาเรียวดึงเข้ามาใกล้ตัว รอยยิ้มบางอย่างผุดขึ้นที่มุมปาก ดวงตาเรียวคมจ้องมองนิ่งเหมือนสัตว์ร้ายที่จะไม่มีวันปล่อยเหยื่อของมัน


          “อย่าขัดใจสิ..” พูดจบร่างกายก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจ เมื่อมือหนาจับเข่าให้ตั้งชัน ลิ้นเปียกชื้นไล่เลียตั้งแต่หัวเข่ากลม ลากยาวไปจนถึงโคนขาอ่อนด้านใน สัมผัสที่ไม่คุ้นเคยนี้ทำให้รู้สึกโหวงกลวงในช่องท้อง ขณะเดียวกลับโกหกความรู้สึกดีของตัวเองไม่ได้จนน่าแปลกใจ กระทั่งความปรารถนาของเขาถูกกลืนกินอย่างไม่ทันตั้งตัว


          ความร้อนเร่าราวกับไฟเผาในร่างกายระอุขึ้น สัมผัสที่มอบให้ราวกับต้องการครอบครองทุกสิ่งในร่างกาย เรียวลิ้นที่ดุนดันอย่างชำนาญ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ปกครองสูงสุดแห่งนครโบราณจะเป็นคนมอบให้ด้วยตนเอง มิกิรู้สึกแปลกๆ แต่ก็มิอาจปฏิเสธความสุขสมนี้ได้


          “อื๊อ...อ๊ะ!” เผลอครางเสียงหวานหลุดออกมา เมื่อทั้งมือและลิ้นของเจ้าแห่งนาคินปรนนิบัติให้อย่างไม่นึกรังเกียจ แม้เขาจะรู้สึกอับอาย แต่ก็ไม่อยากให้การกระทำนี้หยุดลง ในเมื่อเจ้าตัวเป็นคนปลุกขึ้นมาต้องพาเขาไปให้จนสุดทาง มิกิเผลอคิดแบบนั้นอย่างเห็นแก่ตัว

           แต่มันเป็นความต้องการ..ความต้องการจริงๆ


          “บาซิกค์..อึก..พอแล้ว..ฉันจะ” เมื่อร่างกายเริ่มใกล้ถึงขีดสุด มิกิพยายามเอ่ยเสียงเป็นสัญญาณห้ามปราม ทว่าอีกฝ่ายกับยังไม่ยอมหยุด และกลับเร่งเร้ามากขึ้นจนยากจะทานทน


          “บาซิกค์พอได้แล้ว...ฉันจะ..อ๊ะ!”

          คล้ายกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านกายจนกระตุก เมื่อปลายลิ้นหยอกล้อลงไปที่ส่วนปลาย บาซิกค์แอบชำเลืองขึ้นมามอง เห็นดวงหน้าหวานแดงซ่านไปด้วยความอับอาย กระนั้นเสียงหอบหายใจที่ได้ยินกลับเป็นฉนวนที่ปลุกอารมณ์เขาได้อย่างดิบดี ก่อนจะก้มลงไปจัดการกับสิ่งที่ค้างคาอยู่ให้เสร็จ


          มิกิพยายามเอื้อมมือมาดันศีรษะของอีกฝ่ายออก แต่เรี่ยวแรงก็หดหายเมื่อริมฝีปากนั้นครอบครองความปรารถนาที่ร้อนรุ่มลึกจนไปถึงโคน ผสานความสุขที่คลั่งอยู่ภายในให้ใกล้ทะลักออกมาเต็มที  มือจึงเปลี่ยนจากดันกลับกลายเป็นว่าขยุ้มเส้นผมสีดำเอาไว้เพื่อระบายความรู้สึกนั้นออกมาแทน แผ่นหลังแอ่นเกร็งบิดเร้ายกขึ้นจากผืนทราย ร่างกายร้อนระอุราวกับสุมไฟ สะโพกส่ายขยับโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายก็มิอาจทานทน ถูกลอกคราบทุกอย่างออกมาจนหมดสิ้น

 
          “อึก...อ๊า..อ๊าา..”

          เปล่งเสียงหวานออกมาเพราะยากเกินจะกลั้น ร่างกายเกร็งกระตุกปลดปล่อยคราบของตัณหาออกมาเต็มที่ในโพรงปากที่ครอบครอง บาซิกค์กลืนกินทุกหยาดหยดความหวานจนหมด ขณะที่จมูกของเขากลับได้กลิ่นหอมของดอกเพเซียโชยคลุ้งรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นจากร่างบอบบางนี้ เขาผละตัวขึ้น เลียริมฝีปากของตนเองที่ยังหลงเหลือรสอันหอมหวาน ดวงตาเรียวคมเลื่อนมองใบหน้าที่แดงก่ำและฉ่ำปรือไปด้วยคราบน้ำตา ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา


          “มิกิ...” มือหนาเอื้อมขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่บดบังใบหน้าของอีกฝ่ายออก หน้าผากที่เปียกชื้นคงบ่งบอกได้ถึงอุณภูมิที่ยังคงหลงเหลือและพลุ่งพล่านอยู่ในร่างบอบบาง แต่พอเด็กหนุ่มได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนที่แหบพร่า หัวใจก็กระตุกวูบอีกครั้ง เหมือนน้ำเสียงนั้น ต้องการจะปลุกกระตุ้นและบดเบียดความร้อนเร่าให้ไหลแทรกเข้ามา จึงไม่กล้าสบสายตา

 
          “อย่าหลบตาฉัน”

          มือใหญ่เชยใบหน้าของเด็กหนุ่มให้หันกลับมา ภายในดวงตาสีอำพันสวยงามกำลังสะท้อนเป็นภาพของตัวเขา แต่ในแววตากลับซ่อนพายุที่คุกรุ่นอยู่พร้อมทำลายทุกสิ่ง

          มิกิรู้สึกหวั่นใจเมื่อเห็นแววตาคู่นั้น แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ ทว่าพอพบบางสิ่งที่พองโตอยู่เบื้องล่างของราชาเขาถึงกับกลืนน้ำลาย บาซิกค์เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เขามากขึ้น ความกลัวทำให้ร่างกายถอยหลังหนี ภาพในอดีตหวนคืนกลับมา ทว่า..กลับถูกลบเลือนไปด้วยจุมพิตบนเปลือกตา

 
          “จงแสดงแต่ความร้อนแรงออกมา”

          ประโยคที่เขาเคยได้ยินถูกย้ำเตือนอีกครั้ง เป็นประโยคที่บาซิกค์เคยพูดกับเขาในครั้งแรกก่อนที่จะนำตัวเขามาที่อนาคาน

           ความทรงจำที่หายไปถูกเรียกคืนมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ

           เสียงที่ดังก้องในหูเสมือนสะกดทุกการกระทำ แต่ความรู้สึกที่ได้รับไม่ใช่ความหวาดกลัวเหมือนทีแรกแต่เป็นการปลอบประโลมอย่างแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น มือใหญ่คู่นั้นประคองใบหน้า บรรจงป้อนจุมพิตประทับลงไปบนกลีบปากอย่างนุ่มนวล ลิ้นเปียกชุ่มเกี่ยวกระหวัดอย่างเสน่หาปรนเปรอให้เคลิบเคลิ้ม ขณะที่มือก็เริ่มเลื่อนจากใบหน้าผันมาเป็นการโอบรัดแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยเกล็ดทรายละเอียด


          อ้อมกอดของบาซิกค์กระชับแนบแน่น เนื้อหนังที่เคลื่อนไหวเสียดสีกันดุจคลื่นแผ่วเบา ซึ่งเป็นสัมผัสที่ปลุกกระตุ้นความต้องการจนไม่อยากแยกจาก การกระทำเช่นนี้ราวกับอสรพิษที่กำลังรัดเหยื่อไม่ให้หนีได้


          “นายจะเป็นพระชายาของฉัน...” สิ้นเสียงการเล้าโลมที่แสนหอมหวานนั้นท่าทางก็ถูกแปรเปลี่ยนในฉับพลัน มิกิถูกจับพลิกตัวให้หันหลังในทันที


          “จะทำอะไรน่ะ!!” ส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกจับพลิกกาย แต่ไม่ทันจะได้หนีไปไหน ร่างกายก็ถูกทาบทับด้วยกายใหญ่ที่บดเบียดลงมาแนบชิด มิกิรับรู้ถึงน้ำหนักตัวของอีกฝ่ายที่กดลงมาที่แผ่นหลังจนเริ่มหายใจอึดอัด มือพยายามปัดป่ายไปด้านหลัง ทว่ากับถูกรวบอยู่ในอุ้งมือหนาของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย ก่อนความร้อนจะปรากฏบนข้อมือ ไม่นานก็กลับกลายเป็นโซ่ทองพันธนาการอิสรภาพเอาไว้อีกครั้ง


          ใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาใกล้


          “นายคิดว่าเวลางูร่วมรักมันควรจะเป็นแบบไหนล่ะ” คำถามที่ได้ยินทำเอาร่างเล็กรู้สึกเย็นวาบไปตามสันหลัง มิกิเริ่มสัมผัสได้ถึงความไม่น่าไว้ใจจึงพยายามออกแรงดิ้น

          “อย่าคิดทำอะไรนะ!...” รีบเอ่ยห้ามเสียงดังพลางพยายามออกแรงดิ้น แต่เท่าไรก็ไม่เป็นผลเมื่อถูกกดทับด้วยน้ำหนักของคนตัวใหญ่กว่าจนร่างกายแทบจมลงไปกับผืนทราย ก่อนจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของบางสิ่งที่เปียกชื้นซึ่งกำลังแทรกซึมอยู่บริเวณช่องทางด้านหลังจนเขาต้องเบิกตากว้าง

          “นั่นมันอะไรน่ะ!...”

 
          “นายไม่ควรรู้..แต่ทำแบบนี้ นายอาจจะรู้สึกดีที่สุด ” คำตอบที่เป็นปริศนายิ่งทำให้หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น บางอย่างที่กำลังคลอเคลียอยู่มันกำลังขยับเข้ามาด้านใน และเขาก็แน่ใจได้เลยว่ามันไม่ใช่นิ้วมือ!


          “บาซิกค์! หยุดนะ เอามันออกไป! อึก..เอามันออกไปจากตัวฉัน!!” เสียงร้องโวยวายดังลั่น แต่สุดท้ายก็กลับไม่ได้รับความเห็นใจ บางสิ่งที่เขาไม่อยากคิดกำลังเข้าไปด้านในลึกขึ้น


          “อุก..อ๊า...อ๊ะ! ” สัมผัสแปลกประหลาดจากบางสิ่งที่คล้ายกับท่อนเนื้อที่มันเลื่อมลุกล้ำเข้ามา ขยายช่องทางที่ปิดกั้นอย่างง่ายดาย ความรู้สึกจุกแน่นทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะเปล่งเสียงร้อง จึงได้แต่เกร็งตัวต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ต้องการ


          “อย่าเกร็งสิ่งมิกิ ปล่อยให้มันเข้าไปข้างในนายจะได้ไม่เจ็บตัวนัก” สุดท้ายก็มิอาจต่อต้านสิ่งนั้น เล็บมือจึงจิกลงบนผืนทรายเพื่อระบายความน่าขยะแขยงของบางอย่าง กระทั่งบาซิกค์เห็นว่าช่องทางของเขานั้นพร้อมแล้วที่จะรับทุกอย่างไป จึงดึงสิ่งที่เขาปล่อยเข้าไปออกมา

 
          “อ๊ะ!”

          เสียงหวานเล็ดลอดออกมาด้วยความรู้สึกวาบหวามฉับพลัน ขณะที่ช่องทางด้านหลังสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นเหนียวๆ จนชุ่มฉ่ำ แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่บาซิกค์เอาใส่เข้ามาในตัวเขาคืออะไร แต่พอเห็นรอยยิ้มกระหยิ่มบนใบหน้าของบาซิกค์แล้วไม่อยากจะคาดเดาเลยจริงๆ ก่อนความคิดของเขาจะหายไปในท่วงที เมื่อความเป็นชายที่เต็มไปด้วยไฟคุกรุ่นล่วงล้ำเข้าไปสำรวจในร่างกายแทนที่


          “ อ่ะ! ”

          “ข้างในของนายมันช่างร้อนแรงจริงๆ” สัมผัสได้ถึงร่างกายที่เร่าร้อนบิดเกร็ง ผนังด้านในตอดรัดสิ่งลุกล้ำเข้ามาจนแทบคลั่ง กายที่แนบชิดพยายามกดลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนเชื่อมต่อเหมือนเป็นคนคนเดียวกัน ทว่ากลับน่าแปลกที่ร่างเล็กกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด หรืออาจจะเป็นเพราะสิ่งนั้นที่บาซิกค์ปล่อยเข้ามาให้ร่างกายตอนแรก เวลานี้ในหัวสมองของเขากลับระอุขึ้นด้วยความร้อนแรงอีกครั้ง แม้จะรู้สึกอึดอัดที่อีกฝ่ายโถมทับลงมาทั้งร่างกาย แต่กลับเป็นความรู้สึกสุขสมอย่างแปลกประหลาดจนแทบลืมหายใจ


          บาซิกค์เริ่มเคลื่อนไหวแผ่วเบาดุจพายุที่เริ่มก่อตัวทีละน้อย ความซาบซ่านไหลขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง ลมหายใจหอบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผิวกายกลับเสียดสีกับผืนทรายจนรู้สึกเจ็บ


          “บาซิกค์.. ฉันเจ็บ..อึก..ฮ่ะ..อึก..อ๊า” การกระทำรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดุจพายุโหม ท่วงท่าเปลี่ยนเป็นการตะแคงข้างเพื่อให้ความเจ็บนั้นคลายลง เรียวขาข้างหนึ่งขึ้นถูกยกขึ้นด้วยมือของบาซิกค์ ส่วนมืออีกข้างกลับขยุ้มอยู่ที่เส้นผมสีอ่อนของเด็กหนุ่ม


          “ อย่างเกร็งสิ ปล่อยร่างกายไปกับผืนทราย ” บาซิกค์กล่าวไปตามจริงที่เห็น มิกิเม้มริมฝีปากลงแน่นเหมือนพยายามปิดกั้นความเจ็บ ก่อนร่างแกร่งจะโน้มลงไปป้อนจุมพิตอันดูดดื่มเพื่อให้เด็กหนุ่มลืมเลือนทุกสิ่ง เสียงครางหวานหลุดรอดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ความเร่าร้อนระอุโชกโชนในค่ำคืนที่มีเพียงแสงจันทร์และผืนทราย ความปรารถนาทุกอย่างกำลังแล่นไปตามอารมณ์ที่กำลังพลั่งพลูไปจนถึงขีดสุด ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หรือหนักหน่วงมากเท่าไร แต่กลับเหมือนหัวใจกำลังโบยบินไปหาอิสระบนเส้นขอบฟ้านั้น กลิ่นหอมของดอกรักเสน่หาอบอวลโชยคลุ้งไปตามสายลม เชื่อว่าคืนนี้ ไม่ใครก็คนใด อาจได้รู้หัวใจตัวเอง


           “พระชายาของข้า”
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 13]UP 26/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 26-08-2015 20:13:48
ค่ำคืนที่ 13 : น้ำผึ้งบนผืนทราย Part 4

      ลมทะเลทรายสัมผัสใบหน้า แสงอาทิตย์สาดส่องรอดผ่านบานหน้าต่าง อุณหภูมิที่ร้อนขึ้น เรียกสติของคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงบรรทมให้รู้สึกตัว เปลือกตาค่อยๆเปิดขึ้นเชื่องช้า นัยน์ตาสีเขียวอ่อนยังคงชะลึมชะลืมปรับภาพต่างๆได้ไม่ชัดนัก แต่พอสติกลับมาครบก็บิดกายอ้าปากหาววอดๆอย่างลืมตัว ทว่าเพียงขยับก็รู้สึกปวดหนึบที่สะโพกจนสะดุ้ง

      มิกิเบิกตากว้างอย่างตื่นตะหนก ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนพลันแล่นเข้ามาในหัว มือเรียวรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่พอเปิดผ้าห่มออกสำรวจ ก็พบว่าร่างกายเขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ซ้ำแล้วยังมีร่องลอยหลักฐานต่างๆก็ปรากฏเป็นรอยแดงจ้ำทั่วทั้งตัว เพียงแค่เห็น..อุณภูมิในร่างกายมันร้อนขึ้นอีกครั้ง ทั้งโกรธ ทั้งอับอาย แต่เขาเรียบเรียงไม่ได้ว่าเขามาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง

      บาซิกค์คงไม่ใช่อุ้มเขามาทั้งสภาพโล่งโจ้งหรอกนะ

      แต่พอลองนึกเหตุการณ์เมื่อคืน จู่ๆใบหน้ามันก็ร้อนผ่าวไปจนถึงใบหู รู้สึกอยากจะร้องดังๆระบายความมักง่ายของหัวใจตัวเองไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ สิ่งสุดท้ายที่จำได้..มีเพียงสัมผัสจากผืนทรายตรงแผ่นอก กับจุมพิตที่นุ่มนวล

      ที่หลังใบหู

      ที่ซอกคอ

      ที่ข้างแก้ม..

      ที่...

      “ โอ้ยทำไมมันเยอะแบบนี้! ” สุดท้ายก็คุมความเขินอายของตัวเองไม่ไหว ร้องโวยวายออกมาด้วยความหงุดหงิด มิกิยกมือขึ้นมาลูบแก้มของตัวเองที่ยังคงร้อนผะผ่าว ก่อนเปลี่ยนมาแตะลงบนริมฝีปากที่ยังคงหลงเหลือรสชาติอันหอมหวาน


      ให้มันได้แบบนี้สิมิกิ...

      เขาถอนหายใจกับตัวเอง พลางบ่นในใจพึมพำ อย่างไรก็ทำลงไปแล้วคงย้อนอดีตอะไรไม่ได้อีก

      ทว่าไม่ทันได้คิดอะไรนานนัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออก มีราชบริวารหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกเขาว่า องค์ราชาบาซิกค์มีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า แต่เพียงได้ยินชื่ออีกฝ่ายหัวใจมันก็เต้นระส่ำไปหมด คล้ายกับเป็นปฏิกิริยาตามกลไลเงื่อนไขของสิ่งเร้า ถึงในใจจะบอกกับตัวเองว่ายังไม่พร้อมจะเจอหน้า ทว่าอีกใจกลับไม่อยากทำตัวเหมือนสาวน้อยงี่เง่าไร้เหตุผล สุดท้ายจึงรีบจัดการกับร่างกายตัวเองให้เสร็จก่อนจะไปพบบาซิกค์


      เด็กหนุ่มเดินตามราชบริวารที่นำทางไปเรื่อยๆ ผ่านท้องพระโรงแล้วเดินมายังสุดทางเดินทางทิศตะวันตกของราชวัง ตรงหน้าเป็นบานประตูสูงใหญ่ สลักด้วยลายเทพธิดากลางพงไพร มีอสรพิษเกี้ยวพันอยู่ที่ท่อนขาทั้งสองข้าง


      มิกิกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ตั้งแต่อยู่ที่นี่ เขาไม่เคยเข้ามาในห้องนี้มาก่อน แต่สงสัยได้ไม่ทันไร ประตูห้องก็ถูกเปิดออกต้อนรับความสงสัยของเขา


      ทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างกับภาพที่ไม่คาดคิด ตรงหน้าสะท้อนภาพเขียวชะอุ่มของพรรณไม้นานาชนิดที่ไม่น่าจะขึ้นอยู่ตามทะเลทราย พื้นดินเป็นเดินร่วนนุ่มเท้าดูอุดมสมบูรณ์ ปกคลุมด้วยพื้นหญ้านิ่มๆสีเขียวขจี มีร่องน้ำและกุหลาบแดงถูกปลูกเป็นรั้วรอบๆกับแพงอิฐโบราณเก่าๆยิ่งทำให้ดูน่าพิศมัย  ส่วนด้านบนเป็นโครงหลังคาทรงกลม มีผ้าอะไรบางอย่างเป็นสีเนื้ออ่อนๆ เหมือนช่วยกรองแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา พร้อมกับผีเสื้อตัวน้อยที่ไม่น่ามีอยู่กลับโผบบินไปทั่ว

 
      บาซิกค์นั่งรออยู่ที่โต๊ะรับรองเล็กๆท่ามกลางแมกไม้ ดวงตาสีอำพันตวัดสายตามาต้อนรับเด็กหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามา


      “ ไม่ยักรู้ว่า..อนาคานจะมีที่แบบนี้อยู่ ” มิกิตัดสินใจพูดออกไป มองคนที่กำลังจิบน้ำอะไรบางอย่างในถ้วยอย่างใจเย็น ก่อนรอยยิ้มบางๆจะคลี่ออกที่มุมปาก

      “ ก็แค่เรือนเพาะชำเล็กๆ พอดีเจอตาน้ำที่อยู่ใต้ดิน กับดินที่พอเหมาะ ก็เลยกลายเป็นแบบนี้”

      “ หึ..ดูสบายใจจังนะ ” เด็กหนุ่มประชดกลับ แต่คนที่นั่งอยู่กลับไม่ได้สะทกสะท้าน หากเผยมือมาทางเขาอย่างเชิญชวน

      “ นั่งลงสิมิกิ ” รอยยิ้มบางคลี่ออก แม้จะดูเป็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรเพียงใด แต่กลับรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ แต่สุดท้ายขาทั้งสองก็พาเขามานั่งแต่โดยดี ก่อนบาซิกค์จะยื่นถ้วยน้ำมาให้

 
      “ ชาเหรอ ” ดวงตาคู่สวยกระพริบปริบๆ มองน้ำสีเขียวใสๆในถ้วยอย่างสงสัย ก่อนจะเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกายทวงคำตอบ

 
      “ เผื่อจะช่วยให้หายคิดถึงบ้านเกิด ” พูดจบก็จิบน้ำชาของตัวเองอย่างสบายใจ


      “ ชาร้อนที่ทะเลทรายเนี่ยนะ! ” บ่นดังไม่เชื่อหูของตัวเองเลยสักนิด ตรรกะแบบไหนจิบชาร้อนในทะเลทรายแล้วจะหายคิดถึงบ้านเกิด!

 
      “ อืม..รสชาติดี.. ” บาซิกค์ครางเสียงต่ำในลำคออย่างสุขใจราวกับไม่เห็นเด็กหนุ่มอยู่ในสายตา เห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแรงๆ

 
      “ บาซิกค์..นายคงไม่คิดว่าชาร้อนๆกลางทะเลทราย จะทำให้ฉันเปลี่ยนใจอยู่ที่นี่หรอกนะ ” เขาพูดอย่างรู้ทัน 


      “ เปล่า... ” บาซิกค์ยิ้มเรียบ วางถ้วยชาในมือลง ก่อนดวงตาคมจะหันมาสบ “ ก็แค่ตอบแทนเรื่องเมื่อคืน ” ได้ยินคำตอบพร้อมกับน้ำเสียงเรียบนิ่ง นั้นชวนให้เขารู้สึกร้อนฉ่าไปทั้งหน้าและลามมาจนถึงใบหู ไม่เข้าใจจริงๆว่าบาซิกค์จงใจจะยั่วโมโหเขาหรือยังไงถึงได้ทำแบบนี้ แต่เป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนทำให้เขาก็โทษใครไม่ได้เช่นกัน นอกจากตัวเขาเอง จากแค่จะพูดปรับความเข้าใจ ดันกลายเป็นถูกงูรัดไปเสียได้

      นอกจากจะเปลืองตัวแล้ว ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มมาเลยสักนิด!

      “ คงดีกว่านี้ ถ้าเปลี่ยนเรื่องชาเป็นเรื่องของนาย ” เขาพยายามปรับเสียงให้จริงจังขึ้น

      “ เทพนาคินไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดถึง ” ร่างสูงตอบเสียงแผ่ว แต่ก็ดังพอจะทำให้เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเจ้าตัวกำลังปฏิเสธ c9jระหว่างที่เขากำลังจะขึ้นเสียงดังสวน บาซิกค์ก็ตอบออกมา

      “ แต่ถ้าเป็นเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งในนครแห่งอนาคานแล้ว..ก็พอเล่าได้อยู่ ” ข้อความที่ดูเหมือนเป็นความนัยบางอย่างทำเอาเด็กหนุ่มขมวดคิ้ว

      “ เด็กชายงั้นเหรอ ” มิกิทวนเสียงถามอย่างสงสัย บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟาผ่อนลมหายใจออก ดวงตาเรียวคมหลับลงชั่วครู่ ริมฝีปากเรียบเป็นเส้นตรง ก่อนจะลืมตาขึ้น เล่าเรื่องของ ‘เด็กชาย’ ออกไป


      “ เด็กชายคนนั้น..เป็นเด็กชายที่เกิดจากอำนาจและมนตราท่ามกลางกองอสรพิษ ไม่รู้ว่าใครเป็นบิดาหรือมารดา  มีเพียงอสรพิษทะเลทรายที่ลายล้อม สีแรกที่มองเห็นคือสีแดง เสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงกรีดร้องของตัวเอง ขณะที่ในหัวกลับรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังพร่ำสอนกฏของเทพนาคินตลอดเวลา..กระทั่งเหมือนซึมซับเข้าไปในหัวของตัวเอง แต่นั่น หาได้ใช่เรื่องโหดร้าย เท่ากับเมื่อเขาอายุครบ 1 ปีเต็ม”


       “ เกิดอะไรขึ้น.. ” มิกิถามออกไปอย่างลังเล ถึงเรื่องราวที่ฟังจะเริ่มต้นได้ไม่สวยนักแต่เขาก็จำเป็นจะต้องรู้เรื่องราวของชายตรงหน้ามากกว่านี้ บาซิกค์คลี่ยิ้มเรียบก่อนเอ่ยต่อ


      “ 1 ปีจากนั้น เป็นครั้งแรกที่เด็กชายจะได้พบกับสิ่งที่รอคอย เมื่อรู้ว่าเขาจะได้พบพระบิดาและมารดาของเขาว่าเป็นใคร แต่ทว่า..พิธีย่างก้าวเข้าสู่ตำแหน่งที่ชาวนาคินเคารพบูชานั้น ทั้งอำนาจ..มนตราและความแข็งแกร่ง ทุกอย่างกลับแลกมาด้วยสิ่งเขาไม่คาดคิด”

      บางซิกค์เว้นจังหวะเงียบไป ดวงตาคมจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มที่แทบจะลืมหายใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาเล่า

      “ บนโต๊ะเสวย ตรงหน้าคือกองเนื้อหนังของ..ผู้ให้กำเนิดทั้งสอง..เด็กชายทานสิ่งเล่านั้นลงไป..” สิ้นประโยค ลมหายใจชองเด็กหนุ่มก็แทบจะหายไปเสียสนิท สิ่งที่ได้ยินมันยิ่งกว่าความโหดร้าย จนไม่รู้จะสรรหาคำอธิบายใดมาเปรียบ แต่ยิ่งฟังน้ำเสียงที่ราบเรียบดั่งเช่นคนไร้ความรู้สึกของบาซิกค์แล้ว ความตึงเครียดกลับกระจุกอยู่ที่แผ่นอก พอคิดภาพตามหัวสมองของเขาก็ปวดไปหมด จนอยากจะอาเจียน


      “ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน.. ” สบถออกราวกับไม่อยากจะได้ยินเรื่องราวต่อจากนี้อีกแล้ว เด็กหนุ่มหลับตาลง ถอนหายใจยาวอย่างอึดอัด ความรู้สึกผิดเหมือนตัวเองดันไปเปิดปากเรื่องที่เขาไม่สมควรจะรู้ ถาโถมเข้ามาในจิตใจ แต่บาซิกค์กลับยังคงเล่าต่อ


       “  แต่ทุกครั้งที่เด็กชายปฏิเสธ เหล็กที่เผาไฟจนร้อนจะทาบทับลงไปที่ กลางหลัง หัวไหล่ ท่อนแขน หรือแม้กระทั่งใบหน้า เสียงร้องไม่ได้ลดทอนความปราณีต แต่ยิ่งดังมากเท่าไร และยิ่งแสดงความเจ็บปวดให้เห็น เหล็กนั่น..ก็จะทิ่มแทงลงมาเรื่อยๆ มีรอยแผลเกิดขึ้นมากมายตามตัว แต่เพียงไม่นาน ผิวหนังของเด็กชายก็จะลอกออกใหม่ด้วยอำนาจที่เขาได้รับ จนกว่าหัวใจทั้งหมดจะชินชาหาได้รู้สึกใดๆ วงจรเช่นนี้..จะดำเนินไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่า.. ”


      “ เขาจะกินเนื้อพ่อแม่ตัวเองจนหมด.. ”


      “ พอแล้ว! ” เด็กหนุ่มตะโกนลั่นออกมา เสียงหอบหายใจดังขึ้นอย่างเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไคลไหลซึมเกาะตามร่างกาย แถมหัวใจก็เต้นแรงเสียจนเหมือนกำลังตื่นกลัว

 
      “ นายกลัวเหรอมิกิ.. มันก็แค่เรื่องของเด็กชายที่โง่เง่าคนนึง” บาซิกค์ยังคงท่าทีนิ่งเฉยเหมือนเช่นเคย ดวงตาเรียวคมจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างสนใจ ขณะที่มิกิเองกลับเริ่มรับไม่ไหวกับเรื่องราวแบบนี้


      “ การได้มาซึ่งอำนาจมากล้น ย่อมแลกด้วยสิ่งที่คู่ควรเสมอ.. ” เว้นจังหวะไปอีกครั้ง รอยยิ้มเย็นเยียบกระตุกขึ้นที่มุมปาก ดวงตาสีอำพันจ้องมองราวกับต้องการเจาะเข้าไปในจิตใจ


      “ หัวใจไงล่ะมิกิ.. ” คำตอบที่ได้ยินทำเอาร่างเล็กรู้สึกเย็นวาบจนถึงสันหลัง มือยกขึ้นมากุมที่แผ่นอกข้างซ้ายของตัวเอง


      ความเลือดเย็น


      ความโหดร้าย

 
      บัดนี้เขาเข้าใจทั้งหมดแล้วว่าบาซิกค์เป็นคนแบบนี้ไปได้อย่างไร ใจจริงแล้วเขาไม่เชื่อเรื่องโชคชะตานำพาอะไรเท่าไรนัก แต่ด้วยหลักการของวิทยาศาตร์..

 
            เหตุจะนำไปสู่ผล..


            แล้วถ้าเรื่องนี่'ผล'ที่เกิดขึ้นคือจิตใต้สำนึกที่เลือดเย็น ก็ต้องโทษ 'เหตุ' อันวิปริตที่ทำให้เรื่องแบบนี้!


            ตัวเราคือตัวเรา..ไม่มีใครสามารถบังคับได้ แต่การปลูกฝังจิตสำนึกด้านลบตั้งแต่เด็ก ก็เหมือนกับการหยดหมึกลงในแก้วน้ำ ใส ยิ่งหยดมากเท่าไร น้ำก็ยิ่งกลายเป็นสีดำ จนไม่เหลือความใสสะอาด


      “ หลังจากเด็กชายล่ะทิ้งทุกอย่างได้สำเร็จ ทุกคนก็ต่างปรนิบัติเขาเป็นอย่างดี เสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หน้าที่เขามีเพียงแค่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับผู้คน กับเป็นสมมุติเทพที่กำหนดชาวนาคินให้ไปสู่บันไดสวรรค์ทุกๆ 30 ปี ” สิ่งที่ได้ยินทำเอาเด็กหนุ่มขมวดคิ้ว การคัดเลือดชาวนาคิน หากเขาเดาไม่ผิดพิธีที่ว่าก็คือ..


      “ ฤดูกาลเก็บเกี่ยว.. ” มิกิตอบเรียบ บาซิกค์พนักใบหน้ายอมรับ“ บาฮาลกับซาอิดคงเล่าให้ฟังบ้างแล้วสินะ ”ก่อนจะเล่าต่อ


      “ 30 ปี กับนาคินหนุ่ม 30 ตน เพื่อให้กำเนิดนาคินหรือราเมียร์ ตามกฏของเทพนาคินแล้ว นายคิดว่าซาคาเดียร์ จะมองอนาคานเป็นอะไร..คำตอบก็คือ.. “ บาซิกค์คลี่ยิ้มอย่างเจ็บปวด มิกิเบิกตากว้าง “ อาหารไงล่ะ ”


      เพล๊ง!


      มือเรียวปัดถ้วยชาบนโต๊ะจนตกแตก กายบางลุกขึ้นพรวด ใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยแรงอารมณ์ที่มิอาจยอมรับ ขณะที่ดวงตาของเขากลับเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นทุกที ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดว่าทำไมถึงได้เจ็บปวดแทน แต่ให้เขาทนฟังอยู่แบบนี้ ก็ไม่ไหวแล้ว!


      “ เอะอะ อะไรก็อ้างกฏของเทพนาคิน พวกนายเป็นบ้าอะไรกันไปหมด ทำไมถึงจะต้องยอมทิ้งชีวิตของตัวเองให้คนอื่นโดยที่ไม่สงสัยอะไร ซาคาเดียร์จะเป็นใครที่ยิ่งใหญ่มาจากไหน หรืออาจเป็นคนเขียนกฏบ้าๆนี่ขึ้นมาฉันไม่รู้! แต่นายบอกว่าเทพนาคินคือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของนาคิน แต่ทำไมถึงได้ส่งประชาชนของตัวเองไปตายได้อย่างเลือดเย็น แล้วอนาคานจะแต่งตั้งเทพนาคินไปเพื่ออะไรกัน ในเมื่อเขาไม่ต่างอะไรจากหุ่นเชิดที่อยู่ภายใต้คนเขียนกฏที่กลายเป็นซากศพไปแล้ว! ” เด็กหนุ่มขึ้นเสียงดังด้วยความอัดอั้น บาซิกค์แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่ามิกิจะพูดเช่นนี้ออกมา


      “ฉันไม่ดูถูกที่นี่หรอกนะบาซิกค์ เพราะเทพนาคินของพวกนายก็เหมือนกับศาสนา หรือพระมหากษัตริย์ที่ค้ำจุนจิตใจประชาชน แต่มันไม่มีเหตุผลเลยว่าทำไมถึงเลือกที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่ามีความตายรออยู่ตรงหน้า แล้วทำไมถึงไม่คิดเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้! ”

      ประโยคที่ย้ำเตือนเข้ามาถึงความจริงที่เกิดขึ้น ทำเอาราชานาคินถึงกลับเบิกตาขึ้น

      ใช่..พวกเขาไม่มีเหตุผลเลยสักนิดตามที่เด็กหนุ่มกล่าว แต่เพราะเป็นความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาตั้งแต่ครั้นโบราณกาล ทำให้พวกเขาเลือกที่จะทิ้งความสงสัยไว้ด้านหลัง และกระทำในสิ่งที่สืบทอดกันมาอย่างเต็มใจ อย่างไร้ซึ่งคำถาม


      เพราะกฏทำให้เขาเชื่อ..

      เพราะกฏทำให้พวกเขาเลือกที่จะเป็นแบบนั้น..

      ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว..การให้กำเนิดโอรสเทพนาคิน เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่า..ราเมียร์นั้นไม่จำเป็นจะต้อง.

 
      กินนาคินด้วยกัน


      “ เพราะกลัวโรคระบาด กลัวคำสาป งั้นเหรอ ใครล่ะจะเป็นคนพิสูจน์ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริง! แต่ถ้ามันเกิดขึ้นล่ะก็ เทพนาคินที่ทรงอำนาจมนตรา ก็คงไม่อยู่เฉยๆรอดูประชาชนล้มตายไปต่อหน้าต่อตาหรอกใช่ไหม ” น้ำเสียงนั้นอ่อนลง ในดวงตาสีเขียวอ่อนเริ่มมีน้ำตาคลอมากขึ้นทุกที ทำไมกัน ทำไมถึงได้รู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้


      “ ตรงนี้ของนายเคยเจ็บปวด และฉันเชื่อว่านายเคยร้องไห้เหมือนกับฉัน! ” เตบ็งเสียงออกไปดัง มือเรียวยกขึ้นกุมแผ่นอกของตนเองไว้แน่น บาซิกค์รีบลุกขึ้นยืน เหมือนจะพยายามทักท้วง แต่มิกิกลับไม่อยากจะฟังอะไรอีกแล้ว


      “ จะทนแสร้งไม่มีความรู้สึกเพื่อะไร ในเมื่อร่างกายกำเนิดมาพร้อมสิ่งเหล่านี้โดยธรรมชาติ ถึงนายจะบอกตัวเองว่าไม่ใช่..แต่ตรงนี้ของนายรู้คำตอบดีที่สุด ” นิ้วเรียวชี้ไปที่แผ่นอกกว้างของคนตรงหน้า บาซิกค์ยืนนิ่งงัน ดวงตาเบิกกว้างอีกครั้ง เมื่อคำพูดของมิกิเจาะเข้าไปในหัวใจ


      ตรงนี้ของฉัน..คือคำตอบงั้นเหรอ..

 
      เขาตั้งคำถามขึ้น พลางมองลงที่แผ่นอกกว้างของตัวเองอย่างสงสัย ก้อนเนื้อที่อยู่ภายในมันช่างเต้นแรงขึ้นกว่าที่เคย ความเจ็บปวด ความอัดอั้นที่ซ่อนไว้อยู่ข้างในนี้ เขาไม่เคยรับรู้มันเลยสักนิดว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุใด และช่วงชีวิตนี้เขาจำไม่ได้ว่าความเสียใจคืออะไร หรือหยดน้ำทีขอบตาหยดลงมาได้อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างเคยสัมผัส แต่กลับถูกลบออกไปจนมิอาจจำได้ เขสอยากเรียนรู้ อยากจะเข้าใจ แต่ชีวิตนี้ก็ไม่รู้ว่าจะสายเกินไปหรือไม่ หากจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


      “ ทุกวินาทีไม่เคยมีคำว่าสายเกินไป ถึงชีวิตมนุษย์ไม่ได้ยืนยาวเหมือนกับพวกนาคิน แต่ทุกก้าวของพวกเราก็พยายามทำให้มีคุณค่ามากที่สุด และถ้าหาก..เลือดของฉันจะสามารถทำสิ่งที่มีค่าให้กับพวกนายได้ ฉันก็จะทำมัน..แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะอยู่กับนายตลอดไป” ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินทำเอาหัวใจของราชาหนุ่มรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา จังหวะที่เต้นเปลี่ยนไปคล้ายกำลังหมดเรี่ยวแรงนี้คืออะไร เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ขณะเดียวกัน..กลับรู้สึกเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในหัวของเขาก็ว่างเปล่าไปหมด เมื่อคิดสภาพที่ปราศจากคนตรงหน้า


      “ หากฉันไป นายสัญญากับฉันสิว่า..จะมีความกล้าหาญพอ แล้วเปลี่ยนแปลงที่นี่..บาซิกค์ ” คำพูดที่เหมือนกำลังบอกลาช่างเจ็บปวดหัวใจจนยากจะทานทนอีกต่อไป ราชาแห่งอนาคานรีบเดินเข้าไปใกล้ รู้สึกตัวอีกที่ก็คว้ากายบางที่ที่ปลุกความรู้สึกนี้เข้ามาสวมกอดโดยทันที เขาไม่อยากจะฟังอะไรอีกแล้ว เพราะข้างในตรงนี้..

      มันเหนื่อย...

      เหนื่อยเหลือเกิน

 
      “ มิกิ.. ”  เสียงทุ้มต่ำพร่ำเรียกเบาดุจไร้แรง ใบหน้าคมเข้มกดซบลงบนไหล่บาง ท่าทีเคยดูองอาจเกรงขามของราชานาคินสละสิ้น แม้ร่างกายจะไม่ได้สั่นไหวแต่เด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวด และโดดเดี่ยวจากอ้อมแขน หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงผลักร่างนี้ออกอย่าได้มาเฉียดใกล้ แต่ตอนนี้กลับปล่อยให้บาซิกค์กอดเขาอยู่แบบนั้น..ขณะที่ในใจก็กลับสับสนว่า เขาควรกอดชายคนนี้กลับหรือเปล่า

      อ้อมกอดแห่งความเศร้านี้โอบรัดเนิ่นนาน

 
      อยากจะเอ่ยคำสั้นๆแต่กลับ ยากเหลือเกิน...


      อย่าไปนะ มิกิ..
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 13]UP 26/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 26-08-2015 20:17:22
 
ค่ำคืนที่ 13 : น้ำผึ้งบนผืนทราย Part จบ


            ฟืบ ฟืบ

 

           เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังขึ้นท่ามกลางทะเลทรายฮาซานอันร้อนระอุ พาหนะขนาดใหญ่บินมาจอดอยู่ที่นอกรั้วของเมืองอาราบัส แรงลมจากใบพัดทำให้เกล็ดทรายฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง เพียงไม่นาน ชายรูปร่างผอมสูงในชุดลำลองก็ก้าวเดินลงมาจากฮอ มีแว่นกันแดดสีดำสวมทับบดบังใบหน้าเอาไว้ เขาเดาะลิ้นเบาๆหนึ่งที ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เมื่อต้องกลับมาเผชิญกลับสภาพอากาศที่แสนร้อน

 

           “ เฮ้อ..ทะเลทราย ทะเลทราย..น่าเบื่อชะมัด ”พร่ำบ่นไปตามภาษาของคนรำคาญเรื่องน่าจุกจิก แต่เพียงไม่นานรถจิ๊บคันหนึ่งก็มุ่งตรงมาจากเมืองอาราบัส ฝ่าทะเลทรายออกมารับ

 

           เขารีบขึ้นรถไปเพราะความร้อน แต่พอนั่งลง ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถก็ยื่นซองจดหมายบางอย่างให้

 

           “ ศาสราจารย์ค็อดเลอร์ครับ มีคนฝากสิ่งนี้เอาไว้ให้ครับ ” ค็อดเลอร์พลิกซองจดหมายนั่งดูอย่างสงสัย แต่เพียงเห็นสัญลักษณ์รูปงูจงอางแผ่แม่เบี้ย หน้าซองเขาถึงกับต้องถอดแว่นมอง ก่อนจะเปิดอ่านข้อความที่อยู่ด้านใน

 

            ‘ แด่คนที่กำลังตามหา คิโนมุระ มิกิ ’

 

 

           

            “ คิโนมุระ มิกิ นักชีววิทยา ที่ถูกส่งมาวิจัยเรื่องดอกเพเซียหรือ.. ”

           ไวน์ชั้นดีในถ้วยทองคำไหวตามแรงจากมือเรียวงามของหญิงสาวสูงศักดิ์

           บนบัลลังก์ทอง ราชีนีคิเมดาห์จ้องมองน้ำในแก้วอย่างครุ่นคิด ก่อนยกจิบน้ำเลิศรสให้เย็นลง แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามมองในด้านไหน ก็เห็นผลลัพธ์อยู่ด้านเดียว หลังจากที่คนของเธอไปสืบข่าวมา ก็ทราบว่าราชาบาซิกค์กำลังอภิเษกสมรสกับเด็กหนุ่มต่างชาติ การกระทำเช่นนี้นอกจะหยามเกียรติซาคาเดียร์แล้ว ยังเสมือนเป็นการฉีกกฏของเทพนาคินอย่างไม่เกรงกลัว ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเด็กหนุ่มที่มีเลือดพิเศษนั่น คุ้มค่ากับการแลกเปลี่ยนจริงหรือไม่

 

           “ เจ้าทำพลาดหรือราซิส ” สุรเสียงเรียบเย็นเอ่ยคุยกับบริวารที่อยู่ด้านล่าง ชายหนุ่มผมทองก้มหัวถวายความเคารพ ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง ทูลความไปตามจริง

 

           “ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแปลกใจเล็กน้อยที่พบองค์ชายบาฮาล กับซาอิดอยู่ที่นั่นด้วย ” ถึงจะทำผิดพลาดแต่น้ำเสียงนั้นกลับราบเรียบไม่หวาดกลัว ราชีนีคิเมดาห์วางแก้วในมือลงกล่าวอย่างแปลกใจ

 

           “ องค์ชายบาฮาล ยังไม่ได้ถูกปลงพระชนย์อีกหรือ หึ..แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไร ขณะกฏของเทพนาคินยังกล้าฉีกได้ นับภาษาอะไรกับการไว้ชีวิตน้องชายตัวเองจริงไหม ” เธอกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอย่างนึกขัน

 

            ความจริงที่ว่า..โอรสเทพนาคินนั้นจะต้องเกิดจากเทพนาคินล่ะราเมียร์คู่บัลลังก์ จะมีเพียงโอรสองค์แรกเพียงพระองค์เดียวที่มีสิทธิ์เป็นเทพนาคิน หากมีโอรสองค์อื่นเกิดตามมา สุดท้ายก็จะต้องถูกกำจัดสิ้นก่อนที่โอรสองค์แรกจะมีอายุครบ 1 ปีเต็ม ทว่า..องค์ชายบาฮาลกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

           เธอเคยได้ยินว่าเพราะร่างกายขององค์ชายบาฮาลนั้นอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด และไม่มีใครคิดว่าจะมีอายุอยู่ได้เกิน 1 ปี จึงไม่มีผู้ใดสนใจ สุดท้ายหลังจากราชพิธีมอบอำนาจของเทพนาคิน กลับพบว่าองค์ชายบาฮาลยังมีลมหายใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความความเอ็นดูในสายเลือดตัวเองหรืออย่างไร ภายใต้แววตาอันแสนเย็นชาของบาซิกค์นั้นกลับไว้ชีวิตองค์ชายบาฮาลเอาไว้ โดยอ้างเพื่อใช้ประโยชน์

 

           “ ทำไมพระองค์ต้องใส่พระทัยเรื่ององค์ชายบาฮาลนักล่ะพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรอำนาจและมนตราก็เป็นขององค์ราชาบาซิกค์ องค์ชายบาฮาลก็ไม่ต่างอะไรจากนาคินทั่วไป ที่เหนือกว่าก็คือพละกำลังแต่ไร้พิษสง อย่างไรซาคาเดียร์ก็ยังคงอยู่เหนืออนาคาน หรือว่าที่พระองค์ทรงถามเช่นนี้ เป็นเพราะทรงอยากจะอภิเษกเป็นราชีนีคู่บัลลังก์กับองค์ราชา แต่ทรงกลัวว่าจะทำไม่ได้เพราะมีเทพนาคินสองพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ”

           ราซิสถามอย่างใคร่รู้ หากการคาดเดาของเขาไม่ผิดพลาด ถึงอำนาจและมนตราทั้งหมดจะอยู่ที่เทพนาคินองค์ปัจจุบัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของเทพนาคินจะไร้ซึ่งอำนาจไปสะทีเดียว หากองค์ชายบาฮาลดื่มเลือดสักหยดของราชาบาซิกค์ล่ะก็..

 

           “ หึ..ถามได้ดีราซิส..แต่เป็นไปไม่ได้ที่บาฮาลจะกลายเป็นเทพนาคิน หากอำนาจนั้นผ่านทางเนื้อหนังมิใช่หยาดเลือด และข้าก็ยังไม่อยากอภิเษกกับใคร อย่างไรองค์ราชาก็ไม่สามารถเลือกข้าเป็นราชีนีคู่บัลลังก์ได้ หากข้ามีคู่ที่หมายปองไว้อยู่แล้ว ตามกฏของเทพนาคินที่เขียนเอาไว้เพื่อซาคาเดียร์ ” ดวงหน้างดงามเผยยิ้มอย่างเจาเล่ห์ ดวงตาคู่สวยปรายตามองไปยังแท่นบูชาทองคำที่อยู่ด้านหลังบัลลังก์ ซึ่งเป็นรูปปั้นเทพครึ่งคนครึ่งงู กำลังกอดคัมภีร์เล่มโตไว้ในอ้อมแขน ทว่าใบหน้าของเทพนั้นช่างแสนเศร้า

 

            “ เทพนาคินองค์ใหม่จะต้องถือกำเนิด เพื่อเขาจะได้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า ขณะที่ราชีนีราเมียร์จะไม่สามารถสละบัลลังก์ได้ ถ้าราชีนีมีเลือกคู่ครองไว้อยู่แล้ว ” คิเมดาห์มองรูปปั้นนั้นแล้วแสยะรอยยิ้ม อย่างไรกฏของเทพนาคินก็เป็นสิ่งสูงสุดที่ชาวนาคินและราเมียร์ต่างให้ความเคารพ ซึ่งแผนการของเธอจะต้องสำเร็จ และพิธีการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายจะต้องถูกจัดขึ้น

 

           “ ข้าเลยไม่กินเจ้าไงราซิส ”เธอเอ่ยยิ้ม แต่ราซิสกลับหัวเราะเบาๆออกมา

 

           “ กระหม่อมรู้ตั้งแต่ต้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ.แต่ถึงทรงทำได้..พระองค์ก็ไม่ทำ เพราะพระองค์..” ถ้อยคำหนึ่งเงียบหายไป พร้อมกับกายของชายหนุ่มที่ไปปรากฏอยู่ตรงหน้าราชีนีของซาคาเดียร์ นิ้วเรียวช้อนใบหน้าของหญิงสาวอย่างถือวิสาสะ คิเมดาห์คลี่ยิ้มพอใจ

 

           “ หึ..จัดการงานของเจ้าให้เสร็จ แล้วข้าจะให้รางวัลเจ้า ” ราชิสยิ้มตอบรับ นัยน์ตาสีครามกระจ่างงดงามแต่หากแต่ไปด้วยความชั่วร้าย

 

 

           “ เรื่องนั้นพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ”

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด

 

           ฮือออออออออออ  ในที่สุดบทนนี้ ก็จบ ยืดยาวววมากก 15000 เวิรด์ ตัดได้ 3 ตอนเลยนะยูววว T^T ช่วงนี้ ความเร็วในการเขียนมันช้ายิ่งกว่าตัวสล็อดตื่นนอน ขออภัยจริงจัง แบบว่า หัวมันกลวงๆ นึกอะไรม่ออก ยิ่งตอน NC นะ ยิ่งกลวง 5555  ถ่อววว รู้สึกหลังเนื้อหาค่อนข้างหนักนิด ไขออภัยที่ล่าช้าค่ะ แต่ 19 ตอน จบแล้วนะยูวววว  เนื้อเรื่องช่วงหลังเลยค่อนข้างบีบบบ ร้องไห้น้ำตาร่วงง

 
 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 13]UP 26/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 27-08-2015 00:35:17
สนุกมากกกกกกกก แต่แอบสับสนชื่อตัวละครเล็กน้อย
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 13]UP 26/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 27-08-2015 14:45:46
เป็นกฏที่เห็นแก่ตัวมากกกก อยากรู้จังใครเขียนขึ้นมาเนี่ยยย  :katai1:

ปล. อีนังงูพิษษษษ คำนี้ขอมอบให้กับนางเมดาห์ (จำชื่อไม่ได้ละ 55555)  :z6: :beat:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 13]UP 26/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 28-08-2015 16:06:33
ตอบคอมเม้นต์ งื้ออ ไม่ได้ตอบนานเลย

ขอตอบรวมนะคะ

ขอบคุณทุกคนมากๆนะคะที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ มาจนถึงตอนล่าสุด ยังไงก็ขอฝากผลงานด้วยนะคะ คืนพรุ่งนี้ ดี้จะทำการอัพตอนใหม่ค่ะ ><
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 14]UP 29/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 29-08-2015 17:05:37
            “เลิกมองแบบนั้นสักทีบาซิกค์!”

            เสียงโวยวายดังขึ้นในห้องบรรทมไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไร หลังจากเขาที่เผลอปากรับคำจะยินยอมแต่งงานด้วย แต่ไฉนเขาถึงได้ตกมาอยู่ในสภาพที่น่าอเนจอนาจ อับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินนี้เช่นนี้ เมื่อดันหลงเชื่อคำพูดของอสรพิษเจ้าเล่ห์ ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่างูนั้นลิ้นสองแฉกเชื่อถือไม่ได้

 

            แต่ใครจะรู้ล่ะว่าบาซิกค์จะให้เขามาลองสวมชุดเจ้าสาว!

 

            “หยุดโวยวายสักทีมิกิ ที่ทำแบบนี้เพราะฉันต้องการดูว่านายพร้อมทุกอย่าง” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยเหมือนเขานั่นล่ะเป็นฝ่ายผิดชวนให้โมโหยิ่ง ทว่านัยน์ตาสีอำพันคมกริบยังคงจับจ้องไปทุกสัดส่วนของร่างกายในชุดพิธีอภิเษกของพระชายาที่ล่อตาล่อใจ  จนคนถูกมองหน้าแดงก่พไม่รู้จะหลบหนีสายตานั้นยังไง

 

            “ แล้วทำไมฉันต้องแต่งชุดเจ้าสาวแบบนี้ด้วยเล่า! ” มิกิท้วงเสียงดัง หลังจากที่บาซิกค์โบกมือไล่ราชบริวารออกไปให้หมด พอมองสภาพตัวเองในกระจก สติเขาก็ขาดพึง แทบอยากจะหายตัวไปจากโลก

 

            ชุดเจ้าสาวบ้าอะไร นี่มันชุดนางรำเปลื้องผ้าชัดๆ!

 

            “ เป็นพระชายาก็ต้องใส่ชุดเจ้าสาวสิ.. ”

 

            “ ยังไม่ได้เป็นสักหน่อย! ”

 

            “ เดี๋ยวก็เป็น.. ” ถ้อยคำนั้นสงบนิ่งจนน่าหมั่นไส้ แต่ทำเอาคนที่กำลังยืนเถียงสะอึกพูดไม่ออกเพราะความจริงที่ปรากฏ รู้สึกอยากกลับคำพูดเสียตอนนี้ แต่ก็สายเกินไป

 

            ก็ใครจะรู้ล่ะว่าต้องทำเรื่องน่าอายแบบนี้!

 

            แม้จะเป็นชุดเจ้าสาวปกติแบบที่เขาเข้าใจก็ทำใจยากพออยู่แล้ว เขาเป็นผู้ชายด้วยไม่ควรจะแต่งอะไรแบบนี้ แต่พอเห็นชุดพิธีที่เขาต้องสวมที่อนาคานแล้วก็แทบจะลมจับ เพราะมันล่อแหลมเหมือนกับชุดนางรำโยกสะโพกล่อเฒ่าลามกเสียมากกว่า

 

            เวลานี้ร่างกายด้านบนของเขาแทบไม่มีอะไรปกปิดเลยสักนิด มีเพียงแค่โซ่ทองคำลายเกล็ดงู ลากไขว้กันเป็นรูปกากบาทกลางลำตัว ปลอกคอที่ถอดไม่ได้แต่กลับห้อยเพิ่มลูกปัดสีเงินระโยงระยางมาจนถึงแผ่นอกราวกัยสร้อยคอของพวกอียีปห์โบราณ แถมส่วนล่างที่ควรจะใส่กางเกงกลับเป็นกระโปรงจีบบางๆสีขาวที่สั้นเหนือเข่ามากกว่าคืบ เพียงแค่ลมพัดหรือก้าวเดินก็เตลิดเปิดเปิงหมดทุกอย่าง แม้จะมีเข็มขัดหัวอสรพิษคาดพันไว้รอบเอว แต่กลับไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด โชคดีที่ด้านหลังเป็นผ้าสีทรายที่เย็บติดกับกระโปรง โดยส่วนปลายประดับด้วยเลื่อมเพรชระยิบระยับ เลยพอปกปิดสะโพกเขาได้บ้าง

 

            บาซิกค์บอกว่านี่เป็นแค่ชุดพิธีเบื้องต้น วันแต่งจริงๆ เขาต้องสวมผ้าปิดใบหน้า รัดเกล้า ผ้าคลุมปั้งบนบ่าทั้งสองข้าง มีกำไลมือและข้อเท้าอีกด้วย ถึงจะพยายามทำใจเหมือนตัวเองกำลังแต่งคอสเพลย์แนวไอยคุปต์ แต่ไม่ว่าเขาจะแต่งตัวเต็มยศหรือครึ่งยศ มันก็ไม่ช่วยลดความอับอายได้ พอยิ่งเจอสายตาที่จ้องมองมาแบบร้อนแรงปสนจะกลืนกินด้วยแล้วเขาก็อยากจะมุดดินหนี ราวกับอีกไม่น่าเขาจะถูกพ่องูตรงหน้าเขมือบ!

 

            โดยเฉพาะส่วนนั้นที่บาซิกค์จ้องจนขนลุก!

 

            “เลิกเอามือปิดตรงนั้นได้แล้ว ยืนตัวตรงๆฉันจะได้ดูนายให้ชัดๆ ” คำสั่งที่วางอำนาจกับนั้นช่างชวนโมโห แต่เป็นตายยังไงเขาก็ไม่มีวันเอามือออกแน่

 

            บาซิกค์ขมวดคิ้ว เดินตรงดิ่งเข้ามาหาอย่างไม่ลังเล มิกิตกใจผงะเท้าถอยหลังหนี แต่ก็ช้าเกินไป มือทั้งสองข้างถูกคว้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนเรี่ยวแรงที่เหนือกว่าจะดันตัวเขาจนแผ่นหลังชิดติดกำแพง ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าคมเข้มนั้นอยู่ใกล้ นัยน์ตาอสรพิษกวาดมองสำรวจไปทั่วร่างกายอย่างร้อนแรงราวกับจะแผดเผา

 

            “ สวยงามมาก..” ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาใกล้ ลมหายใจที่ไหลรดต้นคอนั้นทำให้เขาสั่นสะท้าน ทว่า..ปฏิกิริยาส่วนล่างกลับแสดงออกถึงความรู้สึกที่น่าอับอาย

 

            “ อึก.. ” บาซิกค์หรี่ตาจ้องมองราวกับจะล้วงเอาความลับ ขณะที่มิกิเมื่อเห็นสายตา ความร้อนก็พลันวิ่งมาถึงใบหน้า เขาจะปล่อยเป็นแบบนี้ไม่ได้ ร่างเล็กจึงเริ่มดิ้นทันที

 

            “ พะ..พอใจหรือยัง เลิกมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นได้แล้ว! ”

 

            “ถ้าให้เลิกมอง..แล้วนายอยากให้ฉันทำอะไรล่ะมิกิ” บาซิกค์ยิ้มเย็นเยียบ ดวงตาเรียวคมมองราวล่วงรู้ความคิดกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขา

 

            สุดท้ายเมื่อถูกไล่ต้อนจนมุม จนไม่มีที่ให้ถอยหนี ริมฝีปากเร่าร้อนก็ตรงเข้าประกบปากเขาอย่างฉาบฉวย การจู่โจมที่ไม่ทันตั้งตัวพลันทำเอาสติหลุดลอย ร่างกายอ่อนแรงดังกำลังถูกดูดกลืนกิน ลิ้นอ่อนนุ่มแทรกซึมบดเบียดสำรวจไปทั่วทุกซอกทุกมุมในโพรงปาก ความวาบหว่ามที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกมวนในท้องของตัวเองคล้ายมีพายุขนาดย่อมกำลังก่อตัวจนในหัวปั่นป่วนไปหมด กระทั่งหลุดเสียงครางหวานออกมาอย่างลืมตัว บาซิกค์ยิ้มอย่างได้ใจ

 

            “ หึ..ทิ้งไว้แค่นี้ก่อน เดี๋ยวชุดจะขาด ” การกระทำหยุดชะงัก จู่ร่างสูงทิ้งแรงปรารถนาของเด็กหนุ่มอย่างหน้าตาเฉย ก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้องโดยไม่สนใจคนที่ยืนทำตาปริบๆ

 

             มิกินิ่งอึ้งไปชั่วขณะ..แต่พอเริ่มรู้ตัวว่าถูกกลั่นแก้จนส่วนล่างปวดหนึบ ก็ตะโกนไล่หลังเสียงสนั่น

            “ ไองูบ้าเอ้ย!! ”

 



 

            อีกทางด้านหนึ่ง องค์ชายบาฮาลรวมทั้งเหล่าบรรดาขุนนาง และผู้อาวุโสแห่งอนาคานกำลังประชุมอยู่ในห้องทรงงานขององค์ชายอย่างเคร่งเครียด

 
            หลังจากที่ซาอิด สำเร็จโทษตัวเอง และยอมรับความผิดทั้งหมด โดยคุมขังตัวเองอยู่ที่คุกใต้ดินของราชวังก่อนที่จะมีรับสั่ง แต่การกระทำนั้นก็หาได้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้เลยแม้แต่น้อย แม้บัญชาเด็ดขาดจะอยู่ที่องค์ชายบาฮาล แต่เหล่าผู้อาวุโสก็ไม่มีใครยอมความ ทว่า..ร่างสูงก็ยังคงนั่งนิ่งงัน ไม่ปริปากตรัสถอยคำใดๆมานานเกือบครึ่งชั่วโมง


            เขาบาดเจ็บ..จากพิษกริชของซาอิด

 
            ทั้งที่ไม่ควรอภัยโทษ แต่ทำไมเขาถึงได้อยากทำเช่นนั้น น้ำตาที่ไหลอาบลงมาจากใบหน้าของหัวหน้าราชบริวารหนุ่ม เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามันคือการแสดงความเสียใจ หรือต้องการให้เขาเห็นใจกันแน่

 
            ใจหนึ่งบอกใช่..ทว่าอีกใจบอกไม่

 
            ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด มิอาจหาคำตอบให้ตัวเองได้เลยสักนิด กระทั่งเสียงจากผู้อาวุโสคนหนึ่งในห้องดึงสติของเขาไป

 
            “ ทูลองค์ชาย..อย่างไร กระหม่อมก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะอภัยโทษ ถึงท่านหัวหน้ราชบริวารจะปฏิบัติหน้าที่มาเป็นอย่างดี แต่ความดีก็หาได้ลบความผิดใหญ่ล้วงครั้งนี้ได้ สายเลือด จาร์ อารากัส พระองค์ไม่ควรไว้พระทัย หากราชิสคนพี่เป็นนาคินแท้ๆยังทรยศได้ นับภาษาอะไรกับคนน้องที่มีสายเลือดเพียงครึ่งเดียว พระชไม่ควรปล่อยไว้นะพ่ะย่ะค่ะ”


            “ ข้าเพิ่งรู้ว่าพวกเจ้าวัดความซื่อสัตย์จากสายเลือด ” สุรเสียงนิ่งเรียบ แต่คล้ายกับกำลังเจือไปด้วยความกริ้วโกรธในประโยค จนคนฟังก้มหน้าไม่กล้าสบดวงตาคมเข้ม

            องค์ชายบาฮาลหลับตาลง มือข้างหนึ่งจับลงบนผ้าพันแผลบริเวณช่วงเอว ที่ยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ เขาผ่อนลมหายใจ พยายามคลายความกดดันที่อยู่ในใจตัวเอง ตอนนี้ความสับสนทำให้เขาไม่พร้อมที่จะตัดสินใจ

 
            “ ข้ายังไม่พร้อมจะตัดสินใจ แต่อย่างไรก็ไม่ได้หมายความว่าจะอภัยโทษ พวกเจ้าไม่ต้องคิดแทนข้า ออกไปซะ ” สั่งด้วยเสียงเด็ดขาด เหล่าบริวาณได้แต่จำใจขานรับไม่กล้าพูด ก่อนจะรีบออกไปจากห้องอย่างเสียมิได้


            เมื่อเห็นทุกคนออกไปหมด ร่างสูงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องของซาอิดที่อยู่ในหัวจนน่าหงุดหงิดนัก ทั้งที่แค่เอ่ยปากสั่ง ก็สามารถประทานความตายได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทว่ากลับขยับปากได้อยากเย็นคล้ายกับมีใครมากถ่วงเอาไว้ในที่สุด ก็ทนไม่ไหวกับภาวะที่ตนเองเป็น กายสูงใหญ่ลุกขึ้นจากที่นั่งทรงงาน ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

 

 
            องค์ชายบาฮาบาลเดินออกจากห้องทรงงานด้วยใจที่ยังคงไม่สงบ..

           เขาอยากออกไปข้างนอกนั่น และพักผ่อนอยู่ในมุมสงบของเขาที่ไม่มีใครล่วงรู้ แต่ระหว่างที่กำลังเดินผ่านท้องพระโรงของราชวัง ฝีเท้าก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านหลัง

            หากเดาไม่ผิดนั่นคงเป็นเสียงของมิกิกับองค์ราชาเป็นแน่

            จะว่าไปแล้ว..หลังจากที่กลับมาจากซากปรักหักพังนั่นแล้ว เขาก็ยังไม่ได้พูดคุยกับทั้งคู่เลย เพราะด้วยเรื่องของซาอิดทำให้เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะทูลบอก พอรู้สึกตัวอีกที องค์ราชาก็ทรงยอมรับเรื่องของมิกิเป็นที่เรียบร้อย และอีกไม่นานก็จะอภิเษกสมรสกัน แม้พิธีครั้งนี้จะจัดขึ้นเพื่อเปิดสงครามกับซาคาเดียร์อย่างเต็มตัว แต่ดูจากสีหน้าของบาซิกค์แล้วช่างดูมีความสุขอย่างไม่เคยเป็น เขาจึงไม่อยากทูลบอกเรื่องพวกนี้ให้ปวดหัว โดยเฉพาะเรื่องของราซิส..อดีตองครักษ์เทพนาคินที่บัดนี้


            ยังมีชีวิตอยู่..


            “ บาฮาล..” เสียงเรียบเย็นทำเอาร่างสูงหลุดออกจากภวังค์ ราชาแห่งอนาคานย่างเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นพร้อมกับเด็กหนุ่มต่างชาติที่อยู่ในชุดโธปสีขาวปกติ

 
            มิกิมององค์ชายบาฮาลนิ่ง แต่ร่างสูงกลับหลบสายตาคล้ายกับมีเรื่องปิดบัง เรียกคิ้วเรียวให้ขมวดเข้าหากัน หากเดาจากสีหน้าของบาฮาลแล้ว ก็ทำให้เขานึกเรื่องบางอย่างได้ ว่าเขายังไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่สถานีวิจัยให้บาซิกค์ฟัง

 
            “ บาซิกค์คือ.. ”


            “ ท่านพี่ลองชุดพิธีอภิเษกให้มิกิเสร็จแล้วหรือ” บาฮาลแทรกพูดสวนขึ้นทันที เดาในความคิดของเด็กหนุ่มว่าคิดจะพูดเรื่องอะไร


            นัยน์ตาสีอำพันมองผู้เป็นน้องนิ่งก่อนจะตวัดสายตาคนกริบมาที่เด็กหนุ่มข้างกาย มิกิพลันสะดุ้งเฮือกหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึง เมื่อคิดถึงสภาพน่าอายเมื่อครู่

            “ เสร็จแล้ว..สัดส่วนพอดีทุกอย่าง ” รอยยิ้มบางๆคลี่ออก มิกิแทบแทรกตัวมุดหายลงไปใต้พื้น แต่ขณะที่กำลังจะโวยวายใส่ บาซิกค์กลับชิงถามเรื่องหนึ่งขึ้น

 
            “ ซาอิดล่ะ..”


            “….” คำถามนั้นราวกับกระสุนปืนยิงตรงกลางใจขององค์ชายหนุ่ม ทว่ากลับไม่สามารถตอบอะไรได้

 
            ดวงตาสีอำพันจ้องมองร่างสูงตรงหน้านิ่ง ขณะที่มิกิกลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันที่เปลี่ยนไป ถึงภายนอกบาฮาลจะดูแข็งแกร่งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของชายผู้นี้แล้วกลับเป็นเพียงน้องชายธรรมดา


            “ มีอะไรที่ข้ายังไม่รู้งั้นหรือ..บาฮาล ” เสียงทรงอำนาจนั้นนิ่งงันราวกับจะเค้นเอาคำคอบ ดวงตาคมจับจ้องไม่เคลื่อนไหว บาฮาลกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ อย่างไรถ้ากล่าวปดออกไปบาซิกค์คงจับได้ สุดท้ายจึงเลือกที่จะค่อยๆเผยความจริงที่ยังไม่อยากบอก

 
            “ ท่านพี่ ทรงจำราซิสได้หรือไม่ ”


            “ คนทรยศ ” บาซิกค์ไม่ลังเลที่จะพูดเลยสักนิด สีหน้าที่เย็นชานั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่า หากคนผู้นี้มาอยู่ต่อหน้า คงไม่พ้นที่จะถูกร่างสูงหักคอทิ้ง


            “ เขายังมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ แล้วเข้าพวกกับซาคาเดียร์ ” บาฮาลกล่าวไปตามจริง คิดว่าองค์ราชาต้องทรงกริ้วและตกใจเป็นแน่ ทว่ากลับหัวเราะเบาๆออกมาแทน ราวไม่แปลกใจเลยสักนิด

 

            “  ที่แท้ ซาคาเดียร์ ก็แสร้งทำเป็นรักษากฏเทพนาคินสินะ” รอยยิ้มหยั่นปรากฏขึ้น ก่อนดวงตาคมจะสังเกตุเห็นแผลที่ท้องของผู้เป็นน้องชาย


            “ แผลนั้นราซิสเป็นคนทำเจ้าหรือ ” ได้ยินคำถาม บาฮาลถึงกับเม้มริมฝีปากลงคล้ายกับไม่อยากตอบ

            “ เปล่า..ซาอิดเป็นคนทำพ่ะย่ะค่ะ ” นั้นเสียงนั้นแผ่วเบาราวกับกระซิบ บาซิกค์หัวเราะในลำคอ

            “ เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง แล้วมันอยู่ที่ใด ”คำพูดนั้นฟังดูชิงชังจนน่าใจหาย บาฮาลเลือกตอบไปตามความจริงไม่ปิดปัง

            “ ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินของวังพ่ะย่ะค่ะ ”


            “ ฆ่ามันซะ ” รับสั่งเลือดเย็นเอ่ยขึ้น  “ ด้วยมือของเจ้า ” ดวงตาคมหรี่มองราวกับจะวัดความกล้า ขณะที่หัวสมองของบาฮาลขาวโพลนไปชั่วขณะเมื่อได้ยินรับสั่ง มิกิเห็นท่าไม่ดี จึงรีบแทรกขึ้น

 
            “ อย่านะบาซิกค์ ” มิกิรีบเดินเข้ามาขว้างไว้ แต่พออยู่ต่อหน้าบาซิกค์เวลานี้ร่างกายก็ตื่นสั่น คล้ายกับรู้ว่าไม่ควรขัดแต่ ก็ทำใจกล้าพูดไปตามความคิด

 
            “ นายไม่เข้าใจ ถ้าไม่ได้ซาอิดช่วยไว้ ทั้งฉันและบาฮาล คงตายไปแล้ว”


            “ ดูแผลนั่นก่อนมิกิ..” สิ้นเสียงพร้อมกับมือที่เผยไปด้านหน้า เด็กหนุ่มรับหันไปตามบอก เห็นบริเวณช่วงเอวของบาฮาลพันด้วยผ้าพันแผล แม้จะผ่านไปกว่าหลายวันแต่เลือดของบาฮาลก็ยังคงไหลซึมออกมา ราวกับเป็นบาดแผลใหม่ๆ


            “ นั่นคือพิษที่ร้ายแรงที่สุดของอนาคาน ไม่มีรักษาหายสนิท แม้นาคินจะลอกคราบใหม่กี่ครั้งก็ตาม ” บาซิกค์กล่าวอย่างเย็นชา

            “ แต่เขาไม่ได้ตั้งใจ ถ้าไม่ทำแบบนั้น ราซิสจะฆ่าเราทุกคน”

            “ พอได้แล้วมิกิ..” บาฮาลมิอาจทนฟังได้ต่อได้จึงได้พูดขึ้นขัด อย่างไรการกระทำที่ทำลงไปก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง บาดแผลที่ปรากฏบนร่างกายก็เป็นเครื่องย้ำเตือนได้เป็นอย่างดี เขาไม่ควรลังเลอีกแล้ว


            “ ซาอิด จาร์ อารากัส และ ราซิส จาร์ อารากัสไม่ใช่คนของอนาคานอีกต่อไป ต้องฆ่าเขาเพื่อความปลอดภัยของเทพนาคิน”

            “ อย่าพูดแบบนั้นนะ! ” มิกิตะโกนสวนขึ้นจนเขาต้องเบิกตากว้าง ดวงตาสีเขียวอ่อนมองหน้าเขานิ่ง แต่ทว่าลึกๆกัลบเจือไปด้วยความผิดหวัง

            “ฉันก็ไม่ได้เข้าข้างซาอิด แต่ที่ฉันกลับมาที่นี่ก็เพราะคำพูดของเขาที่ทำให้ฉันรู้ทุกอย่าง  ถึงการกระทำของเขาจะเกือบฆ่าพวกเราทั้งหมด แต่ถ้าเขาจะทรยศอนาคานจริงๆ ทั้งฉันและบาฮาลคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ” มิกิพูดขึ้นราวรับเจ็บปวดของซาอิดไว้เสียเอง อย่างไรถึงเขาจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับอนาคานมากไปกว่านี้ แต่จะให้เขาอยู่เฉยๆทนดูคนที่ช่วยเหลือชีวิตเขาต้องตาย คงทำไม่ได้แน่ หากคำพูดของเขาพอเปลี่ยนใจบาซิกค์ได้เขาก็จะพูด

            “  ฉันไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ ราซิสทำอะไรเอาไว้ แต่ถ้าพี่มันเลวก็ไม่ได้หมายความว่าน้องมันจะต้องเลวด้วยเสมอไป ให้โอกาสเขาเถอะ” เขาขอร้องเสียงสั่น บาซิกค์หลับตาลง แต่พอลืมขึ้นมาก็ยังคงพูดอย่างไร้เยื้อใย


            “ กฏย่อมเป็นกฏมิกิ อนาคานไม่ต้อนรับคนทรยศ และจะไม่มีครั้งที่สอง ”

            “ แล้วถ้าฉันทรยศนายล่ะบาซิกค์! ”มิกิขึ้นเสียงดัง ดวงตาคู่สวยเปลี่ยนหันมามองเจ้านครแห่งนาคินอย่างไม่เกรงกลัว

            “ฉันเคยหนีจากที่นี่มาตั้งกี่ครั้ง แล้วถ้าฉันทำอีกครั้งล่ะ ” ร่างเล็กกล่าวอย่างท้าทาย บาซิกค์ยังคงเงียบไร้ซึ่งคำตอบ

            “ ถ้าเป็นฉัน นาย..จะฆ่าฉันหรือเปล่า ” คำถามนั้นช่างแสนเศร้าดวงคู่สวยเป็นประกายสั่นไหวคล้ายกับปรารถนาคำว่า’ไม่’จากชายตรงหน้า ทว่า..สิ่งที่เขาได้ยินกลับตรงข้าม ทำลายหัวใจของเขาอย่างสิ้นเชิง

            “ ฉันจะฆ่านายด้วยมือของฉันเองมิกิ ” บาซิกค์กล่าวนิ่ง ร่างเล็กเม้มริมฝีปากลง เขาคงสำคัญตัวกับบาซิกค์ผิดไปเองถึงได้เจ็บช้ำเช่นนี้ หากความสัมพันธ์ทางกายที่เกิดไม่ได้ช่วยให้บาซิกค์มีความรู้สึกขึ้นมาเขาก็ไม่สนใจอะไรอีก ถ้าเห็นเขาเป็นสิ่งของ คนตรงหน้าก็ไม่มีค่าอะไรให้จดจำว่าเป็นคน!

            “ งั้นก็เชิญฆ่าคนที่ช่วยนายทิ้งได้เลยบาซิกค์.. ” มิกิกล่าวเสียงเย็นอย่างไม่เคยเป็น นัยน์ตาคู่สวยรีบหลบหนี ก่อนที่หยาดน้ำตาจะเริ่มคลอจนเริ่มเอ่อ ร่างบางเดินหันหลังกลับไป โดยไม่สนใจราชาแห่งอนาคานเลยสักนิด บางทีถ้าเขาไม่กลับมาที่นี่คงดีกว่า..





            เสียงอึกทึกวุ่นวายนี่คืออะไร..

            ร่างหนึ่งสะดุ้งตื่นจากเตียงกลางดึก มีเสียงโครมครามดังอยู่ด้านนอกจนน่าแปลกใจ เขารีบสวมเสื้อคลุมที่แขว้นไว้ที่เสาปลายเตียง ก่อนเดินออกไปเปิดประตู

            ทันทีที่ออกมาด้านนอก กลิ่นคาวเลือดก็ตีคลุ้งเข้าจมูกจนต้องรีบเอามือปิด ทว่าพอได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาสีครามก็เบิกกว้างตกใจ

           ทางเดินชะโลมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ศพทหารมากมายตายเกลื่อนกลาด เสียง’ตึงตัง’ ดังขึ้น เพดานด้านบนจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเขาต้องเงยมอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าเสียงนั้นดังมาจากห้องของราชาบาซิกค์!

            ร่างสูงโปร่งรีบเร่งฝีเท้าขึ้นไปด้านบน ตามไรผมเริ่มมีเหงื่อไคไหลซึมตามหัวใจที่เต้นระรัว ทว่ายิ่งเข้าไปใกล้ห้องผู้เป็นเจ้าชีวิตมาเท่าใด ภาพการตายอันน่าสยดสยองระหว่างทางเดินก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ศพทหารบางนายบ้างก็ไร้ศรีษะ บ้างก็ตัวขาดครึ่ง แต่ที่แปลกใจก็คือสภาพของการตายของคนที่ขาดอากาศหายใจ น้ำลายฟูมปากยังคงหลออกมาแม้จะสิ้นใจ ดวงตาปูดโปนใกล้ถล่นเหลือขึ้นจนเห็นแต่ตาขาวน่ากลัว ใบหน้าม่วงช้ำคล้ายกำลังเน่าเปื่อยหรือมีเลือดไหลออกมาจากใต้ผิวหนัง ลักษณะที่เขาเห็นคล้ายกับอาการถูกพิษของงู ใบหน้าของใครบาคนผุดขึ้นในหัว

            ตึง!

            ประตูห้องบรรทมเปิดออกดังคล้ายกับถูกแรงระเบิดดันจากภายใน วัตถุขนาดใหญ่กระเด็นกระแทกเข้ากับกำแพงของราชวังสั่นสะเทือนจนเขาสะดุ้ง แต่พอมองวัตถุนั้นให้ดีๆ กลับพบว่าเป็นร่างของอสรพิษทะเลทรายขนาดใหญ่เท่าคน เกล็ดสีเหลืองมองหยาบด้านเป็นปุ่มป่ำ หน้าท้องสีขาวแบนราบไร้บาดแผล ดวงตาของอสรพิษช่างคุ้นเคย บนเปลือกตาด้านบนมีเขาแหลมงอกออกมา ทันทีที่เห็นทุกอย่างครบท้วนเขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยปาก อสรพิษชูคอสูงขึ้น ส่งเสียงขู่ฟ่อกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า

            ใครกัน..

         เรือนร่างสูงสว่างก้าวเดินตามมา เส้นผมสีดำปลิวสยายไปตามแรง ใบหน้างดงามนั้นไร้ซึ่งบาดแผลใดๆ ดวงตาสีอำพันสว่าไสวทว่ากลับให้ความรู้สึกเย็นเยือกที่สัมผัสได้ราวกับต้องการแช่แข็งคนรอบกายให้ไร้ลมหายใจ


            ในมือของผู้สูงศักดิ์มีกริสสีเงินเงาวับ ดวงตาอสรพิษสั่นไหววูบหนึ่ง ริมฝีปากหยักสวยของชายตรงหน้าเขยื้อนเอ่ยบางสิ่ง ทว่ากลับได้ยินไม่ชัด เว้นแต่ประโยคท้ายที่ทำเอาเขาหัวใจหล่นวูบ


            “ เจ้าคนทรยศราซิส!” ดวงตาร่างสูงเบิกว้าง กริสเงินแทงลงที่ท้องอสรพิษ!

            “ ท่านพี่!! ”

            !!

           สะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝันฉับพลัน ดวงตาสีครามเบิกกว้างเต็มตา ลมหายใจหอบถี่กระชั้นเหมือนหัวใจดวงนี้เคยหยุดเต้นไป เม็ดเหงื่อไหลโซมกาย อยากจะยกมือขึ้นมาซับ แต่ร่างกายก็ถูกมัดตึงไว้กับโซ่ตรวนที่ยึดติดไว้กับผนังชื้นๆในคุกใต้ดินดิน..

           ฝันร้ายทำให้หัวใจเต้นระส่ำไม่สงบ.. ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความตึงเครียดหลอมรวมอยู่ในหัวสมอง  พยายามนึกถึงสิ่งแรกที่ราชาบิกซิกค์พูดขึ้น..แต่กลับว่างเปล่าไปหมด ที่จำได้แม่นยำคือประโยคตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ

            เขาไม่เข้าใจ...

          ไม่เข้าใจเลยสักนิด..

            ความอึดอัดกระจุกอยู่ที่กลางอกจนแทบจะสำลักตาย ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน แต่เพราะเหตุใดถึงได้หาว่าพี่ชายเขาเป็นคนฆ่าทหารพวกนั้น

            ไม่มีใครเห็นกับตา..

            พี่ราซิสเป็นองครักษ์มิใช่หรือ...แล้วเหตุใด..เหตุใดกันเล่าถึงได้ทำเรื่องแบบนี้!

            ความเจ็บช้ำ ปะปนกับความเศร้าไหลประดั่งเข้ามาที่ดวงตาทั้งสองข้าง..

            “ ฮึก.. ”

            อีกครั้งที่น้ำตาไหลออกมารดลงมาที่ใบหน้า ก่อนจะหยุดลงบนพื้นที่ไม่มีผู้ใดอยากเกยียบย้ำ
     
           ไร้ความรัก

           ไร้ความเห็นใจ..

            นี่คือสิ่งตอบแทนสำหรับความจงรักภักดีงั้นหรือ..เขาควรจะลืม หรือเกลียดชัง สุดท้ายคำตอบนั้นก้ไม่เคยได้รู้เลยสักครั้ง เพราะคำพูดของพี่ชายที่ฝากฝังจนพาให้หัวใจสับสน

          ‘ อนาคานคือบ้านของเรา’

         ‘ จงมอบชีวิตทั้งหมดที่เจ้ามีให้เทพนาคิน เพื่อความสุขของพวกเรา’

         เขาทำตามทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมกัน..

          ฟ่อ!

      เสียงขู่ของบางอย่างทำให้ค่อยๆเขาต้องช้อนดวงตาที่ชุ่มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมอง สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังนั้นเห็นอสรพิษสรเหลืองทองตัวหนึ่งอยู่กับเขา

            องค์ชายบาฮาลคงตัดสินพระทัยแล้วสินะ.

            ซาอิดคิดอย่างสิ้นหวัง อสรพิษที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า องค์ชายบาฮษลคงสั่งมาประหารเขา ดวงตาสีครามหลับลง ร่างกายไร้การขัดขืนยอมรับทุกสิ่ง ขระเดียวกันหูก้ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดผิวหยังหยาบแข็งก็เกี้ยวรัดที่ท่อนขาเปลือยเปล่า ก่อนจะรู้สึกว่ามันเลื้อยสูงขึ้นเรื่อยๆ

             ที่เอว..

            ที่แผ่นอก..

            จุดหมายคือลำคอ..

            เขาคิดในง่ายร้าย เพราะหากเป็นบริเวณนี้ ต่อให้เนนาคินที่แข็งแกร่งเพียงใดก้มิอาจต้านทานพิษได้ พิษจะแพร่เข้าสู่หลอดลมจนเป็นอัมพาต ไม่สามารถหายใด ก่อนไปถึงหัวใจ ความตายชั่วพริบตานี้แม้จะน่ากลัว แต่เทียบแล้วคงทรมาณน้อยกว่าโดนกัดที่ส่วนอื่นแล้วปล่อยให้ร่างกายค่อยๆตาย

            ซาอิดกลืนน้ำลายลงคอ อสรพิษอยู่บริเวณที่เขาคิด ลิ้นสองแฉกแล่บออกใกล้ใบหูจนชวนสั่น แม้เขาจะสามารถสื่อสารกับอสรพิษและอยากจะพูดสั่งเสียไว้ก่อนตาย แต่ก็กลับเลือกที่จะปิดปากเงียบ อย่างไรเขาก็ไม่เลือกใครที่จะฝากอะไร ทว่าใบหน้าของใครบางคนกลับผุดขึ้นมา

            องค์ชายบาฮาลงั้นหรือ..

            ทั้งๆที่เป็นคนประทานความตายมาให้แต่ทำไม..ถึงยังได้คิดถึงเขาคนนั้น

            “ อยากตายขนาดนั้นเลยเหรอซาอิด” น้ำเสียงนั้นทำเอาคนที่กำลังสิ้นหวังนั้นสะดุ้งตกใจ เมื่อรู้วว่าเสียงนั้นเป็นของ..

            “ ท่านพี่! ” เขาพยายามหันซ้ายหันขวา แต่ก็พบสิ่งใดนอกจากงูที่พันอยู่ที่ลำคอ หรือว่า!

            “ มากับข้าที่ซาคาเดียร์ ข้าจะช่วยเจ้า ” สิ้นเสียงโดยไม่รอคำตอบรับ โซ่ตรวนที่พันธนาการไว้ก็หลุดออกทันที ราวกับมีเวทย์มนต์

            ร่างกายเปลือยเปล่าทรุดลงกับพื้นเย็นเฉียบ ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะยันตัวลุกขึ้น อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้กินอะไรเลยตลอดสามวันมานี้ อาศัยแต่น้ำที่ไหลซึมจากเพดานบนที่หยดลงมาประทังชีวิต หากเป็นนาคินเต็มตัวเขาคงไม่เป็นเป็นเช่นนี้ แต่สายเลือดที่ไหลเวียนเพียงครึ่งเดียวทำให้เขาอ่อนแอ ขนาดที่กำลังคิด ทุกอย่างก็ค่อยเริ่มมืดลง รู้สึกอยากหลบตาลงทุกวินาที สิ่งที่เห็นเป็นครั้งสุดท้ายคือ ท่อนขาเรียวยาวของผู่เป็นพี่ชายที่อยู่ข้างกาย ก่อนทุกอย่างจะหายไป

            อีกทางด้านหนึ่ง องค์ชายบาฮาลหลังจากที่พยายามครุ่นคิดมาทั้งวันว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร แม้จะมีเหตุผลที่เขาได้ฟังจากมิกิ แต่เขาก็ยังหาคำตอบไม่ว่าควรจะเลือกกฏหรือว่าความรู้สึกส่วนตัว อีกเหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาไม่แน่ใจว่าซาอิดคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ด้วยความข้องใจ สุดท้ายก็ทำให้สองขาก้าวเดินมาจนถึงคุกที่คุมขัง

            ทว่าพอมาถึง กลับต้องเบิกตากว้างไม่คาดคิด เมื่อสภาพทางเดินที่อยู่ตรงหน้ากลับถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ศพทหารตายเกลื่อนกลาด

            ไม่มีเสียงกรีดร้อง

           ไม่มีเสียงการต่อสู้

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขานึกถึงคราวอดีตขึ้นมาทันตา ชื่อของบุคคลลหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว สองรีบพาให้เขาวิ่งไปด้านใน ขณะที่หัวใจก็เต้นแรงขึ้นทุกวินาที ดวงตาคู่เข้มเบิกกว้าง ประตูห้องขังด้านในสุดถูกแหกออกจนไม่เหลือสภาพ เขารีบเข้าไปดู แต่ที่เห็นก็มีเพียงความว่างเปล่าไร้เงาของของผู้ถูกคุมขัง

            ทว่า..แสงไฟจากจากภายนอกที่ส่องเข้ามาทำให้เขาเห็นข้อความบางอย่างที่เขียนด้วยตัวอักษรเลือดบนผนังของคุกใต้ดิน

 
         ‘รักจากคนทรยศ’
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 14]UP 29/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 03-09-2015 21:27:40
สนุกมากกกกกก อ่านรวดเดียวเลยค่ะ พล็อตเรื่องดี ปกติเกลียดงูมาก แต่พออ่านเรื่องนี้แล้วเริ่มจะบรรเทาความเกลียดลงนิดนึง ลุ้นคู่องค์ชายฮาบาลมากค่ะ มาต่อเร็วๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 14]UP 29/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 04-09-2015 10:41:02
สงสารซาอิดเหลือเกิน :mew2: :mew2: บาฮาลนี่ใจร้ายใจดำเหมือนพี่ชายตัวเองไม่มีผิด :fire:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 14]UP 29/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: noozzz ที่ 04-09-2015 23:25:47
ซาอิดเหมือนเป็นเครื่องมือให้พี่ชายเลย ถ้าจะช่วยน้องควรมานานแล้วป่ะ ไม่ใช่มาตอนเกิดเรื่อง
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 15]UP 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 08-09-2015 15:01:26
ค่ำคืนที่ 15 : แก้แค้น

         เหตุการณ์ลอบเข้าราชวังของผู้ทรยศแพร่สะพัดไปถึงหูองค์ราชาในที่สุด..

        แม้ภายใต้ใบหน้างดงามนั้นจะดูเฉยเมยไม่แสดงแสดงอาการหวาดวิตก แต่การที่ข่มจิตใจให้สงบนิ่งเหมือนน้ำแข็ง ก็หาใช่ว่าจะไม่คิดทำสิ่งใด ลึกๆแล้วในนัยน์ตาเรียวคมดุจแสงอำพันก็มีความตึงเครียดอยู่ไม่น้อย.. สิ่งที่เกิดเหมือนกับแค่พลุดอกแรกที่จุดเป็นสัญญาณเตือนถึงดอกถัดๆไป ซึ่งก็หมายความว่า มีความเป็นได้ที่ซาคาเดียร์จะทราบข่าวจากภายใน ว่าอีกไม่ช้า พิธีอภิเษกสมรสจะถูกจัดขึ้น แต่การที่คนนอกสามารถเข้ามาที่อนาคานได้อย่างง่ายดายนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงการป้องกันที่หละหลวม

 
        อย่างไรตอนนี้..เขาไม่รู้ว่าทางซาคาเดียร์วางแผนใดเอาไว้ แต่เขาคิดว่าการที่ราซิสมาที่นี่ ไม่ได้มีจุดประสงค์จะมาช่วยผู้เป็นน้องชายจริงๆ แต่หากตัวซาอิดเป็นผลพลอยได้เสียมากกว่า ดูจากการกระทำที่มุ่งเน้นที่ภาพการสังหารอย่างสยดสยอง ราซิสคงต้องการจะข่มขวัญอนาคานให้อยู่ในความระแวง ว่าจะมีใครเป็นหนอนบ่อนไส้หรือไม่


        ราชาบาซิกค์ครุ่นคิดอย่างหนัก เดิมทีราซิสเป็นองครักษ์ที่อยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุด และย่อมรู้ทุกซอกทุกมุมของอนาคานเป็นอย่างดี แม้จะอยากตัดเรื่องหนอนบ่อนไส้ในอนาคานทิ้งไปเพียงไร แต่เขาก็ไม่อยากจะประมาณจนเกินไป


        ตอนนี้เขาจำเป็นจะต้องเดินหน้าในเรื่องพิธีอภิเษกที่จะจัดขึ้นอีกเพียงไม่กี่วันให้เสร็จสิ้น และพิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายจะถูกตัดออก ถึงจะดูเหมือนเป็นการแหกกฏ แต่ด้วยช่องว่างของกฏเทพนาคินแล้วเขาสามารถทำได้

 
        เทพนาคินจักต้องเลือกราชีนีคู่บัลลังค์..

 
        ซึ่งเขาก็ได้เลือกแล้ว..


        ถึงแม้เนื้อเรื่องหลังจากนี้ก็คงกลายเป็นสงคราม ที่ไม่เคยปราฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ บรรพบุรุษเทพนาคิน ทวยเทพเหล่าราเมียร์จะสาปแช่งเขาอย่างไรก็ช่าง เขาไม่สน หากชีวิตที่เหลือสามารถนำพาประเทศเล็กๆนี้หลุดพ้นจากความืดมิดได้เขาก็ยินดี ถึงตอนนี้ อนาคานยังไม่สามารถโต้ตอบสิ่งใดได้ เพราะไม่มีหลักฐานมายืนยันว่า ซาคาเดียร์ ส่งราซิส มาที่อนาคานจริง แม้จะมีตัวหนังสือเขียนด้วยเลือด แต่ก็ไม่อาจระบุได้ว่าราซิสไปคนเขียนมันขึ้นมา


        แม้จะร้อนรนในใจจนแทบไหม้ แต่พวกเขาจำเป็นต้องรอ..จนกว่าจะถึงวันอภิเษก และเมื่อนั้นจะเป็นจะการประกาศสงครามเต็มตัว โดยไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีก

 
        สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้ ที่เป็นการทำตามกฏของอนาคานก็คือ..ตามล่าสายเลือดทรยศกลับมารับโทษทัณฑ์ เขาจึงตามตัวบาฮาลมาเข้าที่ห้องทรงานเป็นการส่วนตัว


        “ ท่านพี่ เรื่องนี้ข้าขอเป็นคนรับผิดชอบ ” ร่างสูงขององค์ชายแห่งนาคินโค้งคำนับขออนุญาตราชาแห่งอนาคานด้วยใจที่รู้สึกผิด บาซิกค์มองผู้เป็นน้องนิ่ง ดวงตาสีอำพันยากจะคาดเดาสิ่งที่คิด
 

        “ ไยเจ้าถึงได้พูดเช่นนี้ ” คล้ายกับคำทูลขอนั้นดูร้อนตัวจนผิดแปลก มุมปากยกขึ้นบางเบาจนแทบมองไม่เห็น ทว่ากลับให้ความรู้สึกเย็นวาบ


        “ น้องขออภัย ที่ซาอิดหนีไปได้ เพราะข้ามัวแต่ลังเลสับสน เลยมิได้สั่งลงโทษทัณฑ์อย่างที่ท่านพี่ตรัส จึงทำให้ทหารต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก  ”


        “ เจ้าคิดว่า ราชิสมาเพื่อช่วยน้องชายตัวเองจริงๆนะหรือ? “  คำถามนั้นทำเอาองค์ชายบาฮาลต้องเงยหน้าขึ้น ราชาแห่งอนาคานกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เลือดของชาวนาคินเข้มข้นก็จริง แต่สายสัมพันธ์พี่น้องของชาวนาคินไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถึงเลือดจะข้นกว่าน้ำ แต่ก็ได้หมายความว่าเจ้าเป็นข้า หรือข้าคือเจ้า  ถ้าไม่มีผลประโยชน์ก็คงไม่ลงมือให้เสียแรง ” สิ้นประโยคที่ตอกย้ำความจริง ทำเอาองค์ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่แผ่นอก


        ใช่อย่างที่ท่านพี่พูด..ที่ทรงไว้ชีวิตเขาก็เพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้าที่ต้องการใช้งาน แต่ด้วยข้ออ้างนี้ทำให้เขายังมีลมหายใจอยู่ทุกวันนี้มิใช่หรือ? แม้ภายใต้หน้ากากเย็นชา เขาจะไม่เคยได้รับความรัก ความเอ็นดู เลยสักครั้ง แต่ก็นับเป็นประสบการณ์ที่คนตรงหน้ามอบให้เพื่อให้เขาเข้มแข็ง และมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้


        “ น้องเข้าใจดีพะย่ะค่ะ แต่..สำหรับน้องมันคือการแลกชิวิต ซึ่งสมควรแล้วที่ข้าจะต้องตอบแทน ” บาฮาลโค้งศรีษะลงกล่าวด้วยเสียงหนักแน่ จนคนฟังรู้สึกแปลกใจ ทั้งที่พูดจาจงใจทำร้ายจิตใจ แต่ไยถึงได้คิดเช่นนี้


        เขาอยากให้บาฮาลเกลียดเขา..


         เพราะหากแผนการนี้ไม่สำเร็จ เขาคงไม่มีเกียรติที่จะเป็นเทพนาคินอีกต่อไป และเมื่อนั้นเขาจะให้บาฮาลสังหาร ความเกลียดชังจะทำให้คมดาบไม่ลังเล ทว่า..ทั้งที่ไม่เคยสนใจไยดี ทำไมถึงยังภักดีกับเขาอยู่เล่า..

 
        “ อีกไม่กี่วันก็จะถึงพิธีอภิเษก ตามกฏของพิธี องค์เทพจะต้องบริสุทธิ์ในชั่วระยะเวลาก่อนจะครองคู่ มิควรต้องแปดเปื้อนหยดเลือด ” บาฮาลพูดไปตามความจริง

 
        ในช่วง 2 อาทิตย์ ก่อนที่จะวันอภิเษก และแต่งตั้งพระชายา องค์เทพนาคินและว่าที่พระชายาจะต้องชำระกายและใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่องเสมือนดอกไม้ขาว ห้ามทำสิ่งใดอันเป็นกระทำชั่ว ฆ่าฟันช่มเหงจิตใจ มิเช่นนั้นจะถือว่าเป็นลางร้ายของการครองคู่ ที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวไฟ และโอรสที่กำเนิดมาจะเป็นกาลกีณีต่อแผ่นดิน.. พอคิดถึงตอนนี้ เขาก็อยากรู้เช่นกันว่า บิดาและมารดาผู้ให้กำเนิดทั้งสอง ได้ล่วงล้ำทำสิ่งเลวร้ายก่อนจะภิเษกกันหรือเปล่า ชีวิตถึงได้กลายเป็นเช่นนี้


        “ หากเจ้าพูดเช่นนี้ข้าคงปฏิเสธไม่ได้ ”


        อย่างไรเขาก็ไม่อยากจะทำให้การใช้ชีวิตที่เหลือนั้นเป็นลางร้ายอยู่ดี จึงได้ตอบรับคำขอนั้นบาฮาลด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เหมือนจะขอบคุณที่ทำทุกอย่างแทนเขา ซึ่งเจ้าตัวก็น้อมรับคำสั่งด้วยความเต็มใจ ทว่า..เรื่องนี้มันก็ทำให้เขานึกถึงคู่ครองของตัวเอง

 
        มิกิเป็นคนใจร้อนวู่วาม โผ่งผ่าง และหัวดื้ออยู่ไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันจิตใจกลับละเอียดอ่อน และอ่อนไหวง่ายดายไม่มั่นคง หากทราบเรื่องที่ทหารถูกสังหารโหดเหี้ยมในวังคงไม่วาย คงยืนกรานปฏิเสธที่จะเข้าพิธีสาบานเป็นพระชายาเป็นแน่  การตัดไฟไม่ให้เหิมตั้งแต่ต้นจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด


        “ บาฮาล..บอกกับราชบริวารทุกคนให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับกับว่าที่พระชายาด้วย ”

 
        “ ทรงวางพระทัยได้.. ”

        บาฮาลน้อมรับบัญชาสุดท้ายขององค์ราชา

 



        แสงสว่างลาลับจากขอบฟ้าเบื้องบน..

 
        เป็นอีกวันที่ความอักอ่วนวิงแล่นในหัวใจจนอึดอัด จนเตลิดมาอยู่ในสวนของพระราชวัง แม้จะไม่มีต้นไม้สวยงามมาเพลินตาให้ลื่นรมณ์ แต่พอมองต้นกระบองเพรช และเม็ดทรายละเอียดที่แผ่ราวกับพื้นพรมก็ทำให้เขารู้สึกดีกว่าอยู่ในห้องนอนอุดอู้

 
        เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงข้างๆกองทรายเย็นๆ พลันถอนหายใจออกมาไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไร แล้วปล่อยให้สายลมยามค่ำคืนโบกพัดผ่านใบหน้าและร่างกายเสียอยู่แบบนั้น โดยไม่กลัวความหนาวเหน็บจะทำให้จับไข้

 
        เปลือกตาปิดลงไป..

 
        พยายามสละทิ้งความคิดทุกอย่างเพื่อให้ใจดวงนี้สงบ..ทว่าลึกๆก็เหมือนกับเขากำลังหลอกตัวเอง


        สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เขาต้องคิดซ้ำไปซ้ำมา คำพูดของบาซิกค์ย้ำเตือนเข้ามาในหัว มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่น่าออกตัวเข้าไปยุ่งกับเรื่องของเทพนาคินเลยแม้แต่น้อย รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นผู้นำกบฏแผ่นดินยังไงชอบกล แม้ความจริงบางอย่างจะโหดร้าย แต่ถ้ามันเป็นความจริงตามธรรมชาติคนตัวเล็กๆอย่างเขาจะมีอำนาจพอไปฝืนธรรมชาติได้หรืออย่างไร


        ใช่ว่าสิ่งที่ทำไป จะเป็นการกระเทาะหินให้เกิดประกายไฟบนใบไม้แห้งหรอกหรือ?


        เรื่องของความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่อ่อนไหว แต่ถ้าการชักจูงผู้คนมาสู่ทางเดินที่ถูกต้องก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าฝนตกลงมาเขาจะตะโกนขึ้นฟ้าสั่งให้มันหยุดได้งั้นหรือ..?

 
        คำตอบคือไม่ สิ่งที่ทำได้หรือคือ การป้องกัน หรือหลีกเลี่ยง เขาจะเป็นคนกางร่มให้คนคนนั้น ไม่ให้ร่างกายต้องเปียกปอนไปมากกว่านี้ 


        เขากล้าวิ่งฝ่าสายฝน..

 
        แต่ไม่กล้าข้ามศพใคร..

 
         เขาก็ไม่ต้องการมันเกิดขึ้น จะว่าเขาเป็นคนดีแต่ปากก็ได้..เพราะเขาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าตัวเขาจะสามารถช่วยอนาคานได้จริงๆ ความกลัวความกังวลเกิดขึ้นในจิตใจ บางทีเรื่องนี้มันอาจจะใหญ่โตเกินไปสำหรับคนตัวเล็กๆอย่างเขา..

 
        ถ้าเกิดความวุ่นวายเกิดขึ้นเกินกว่าที่จะรับมือไหวล่ะ..เขาจะทำยังไง

 
        หนีงั้นเหรอ..?

 
        หรือเอาตัวรอดไปคนเดียวเหมือนคราวที่เขาทิ้งศาสตราจารย์โลกเกียออกมา..

 
        อ่า..เขามันเห็นแก่ตัวสินะ ที่ทำเป็นพูดจะทำแบบนั้นแบบนี้ให้คนอื่น สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ของตัวเองที่เขาควรจะได้รับจากบาซิกค์..

 
        งานวิจัยของเขา..

 
        และบ้าน..


        ทว่าทำไม คำหลังมันฟังแล้วถึงได้ดูห่างไกลจังนะ..ไม่เข้าใจเลยจริงๆ


        ทั้งๆที่ชีวิตของเขาจะได้เริ่มขึ้นใหม่และไม่มีอะไรต้องแคร์ หลังจากการแต่งงานจอมปลอมนั้นจบลง เขาก็จะไม่เกี่ยวข้องใดๆกับอนาคานอีก..เขาทำในสิ่งที่ทำได้แล้ว


        แต่ว่าจะเหมือนเป็นการทิ้งระเบิดลูกใหญ่ให้กับอนาคานไหมนะ..?


        จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป..?

 
        “ สีหน้าแบบนั้น กำลังคิดเรื่องที่นี่อยู่หรือ? ” คำถามราวกับรู้ความคิดทำเอาคนที่กำลังนั่งอยู่ถอนหายใจ ในที่สุดเสียงที่ยังไม่พร้อมจะได้ยินก็ตามมาหลอกหลอนเขาจนได้

 
        ร่างบางลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เกาะตามขา ดวงตาสีเขียวสวยเงยขึ้นสบชายหนุ่มร่างสูงที่มาเยือน เห็นริมฝีปากที่เรียบเป็นเส้นตรง กับใบหน้างดงามแต่หากนิ่งเฉยแล้ว ก็ทำให้ไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ พอนึกประโยคล่าสุดที่เคยคุยกัน จู่ๆก๋น้อยใจจนแทบบไม่อยากจะมองหน้า เขาหลบบาซิกค์มา 1 วันเต็มๆแล้ว แถมอีกซักวันจะเป็นไรไป สองขาพาเดินหนีออกไปทันที


        “ ยังโกรธอยู่อีกหรือ.. ”

        มิกิชะงักเท้าโดยพลัน จู่ๆหัวใจเต้นกระตุกดังอย่างไม่มีสาเหตุ ว่าแต่ทำไมเขาต้องหยุดเดิน เหมือนว่าตัวเองกำลังอยากได้ยินประโยคหลังจากนี้ด้วยเล่า!


        บาซิกค์เมื่อเห็นร่างเล็กยืนนิ่ง ก็เดินเข้ามาใกล้ขึ้น ทว่าเสียงฝีเท้าของเขากลับทำให้คนตรงหน้าล่นเท้าถ้อยอกไปจนเขาต้องหยุด ดวงตาสีอำพันท่ามกลางแสงจันทร์มองแผ่นหลังบางนิ่ง ขณะที่สายลมโกรกพัดจนส้นผมสีอ่อนของเด็กหนุ่มสองสายเลือดปลิวสยาย

 
        “ ฉัน..ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องโกรธนาย ทุกอย่างที่นายตัดสินใจล้วนแต่สมควรแล้ว ไม่ต้องห่วงจากนี้ ฉันจะรู้ฐานะของฉัน ก่อนหน้านี้ที่ก้าวก่าย ฉันจ้องขอโทษด้วย แต่จากนี้ ไม่ว่านายจะตัดสินใจทำอะไร ฉันจะคัดค้าน และไม่ขอรับรู้เรื่องราวของอนาคานอีก ให้สมกับที่ตัวเองเป็นเพียงเครื่องมือ..และทำตามข้อตกลงของเรา” มิกิกล่าวเสียงนิ่ง แต่ไม่รู้ทำไมในหัวใจกลับบีบเต้นแปลกๆ ราวกับมันจะบอกว่าเขาไม่ควรพูดแบบนี้

 
        “ นายต้องการแบบนั้นจริงๆหรือมิกิ.. ” สุรเสียงนั้นเสียบนิ่งจนใจหาย แต่กลับทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกปวดใจไปด้วยขณะเดียวกัน ทั้งที่ตัวเองเป็นคนพูด และต้องการจะตัดปัญหาทุกสิ่ง แต่เขากลับใจแข็งไม่พอหรืออย่างไร ถึงได้หวั่นไหวกับคำถามนี้ไปได้ สุดท้ายก็ต้องทำใจแข็ง ตอบกลับด้วยความเย็นชา


        “ คำตอบของคนนอกสำคัญด้วยเหรอ ” จู่ๆก็นึกกล่าวตัดพ้อราวกับหญิงขี้งอนไปเสียดื้อๆ เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดว่าทำไมถึงได้พูดแบบนี้ แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะมีเหตุผลทางอารมณ์ที่ไม่อยากเผชิญหน้าได้ มิกิเดินหนีแล้วคิดจะกลับห้อง แต่เพียงเขาก้าวขาฉับได้ไม่กี่ก้าว ตรงหน้าก็ปรากฏสิ่งมีชีวิตมีเกล็ดขดตัวอยู่กับผืนทราย ดวงตาอสรพิษมองนิ่ง ที่ปลายหางเป็นปล้องเล็กๆกำลังสั่นถี่ระรัว จนได้ยินคลื่นเสียงคล้ายกระดิ่ง เขาทำเพียงแค่ล่นเท้าถอย น่าแปลกที่เขาเคยกลัวงูพวกนี้จนขึ้นสมอง แต่พอมาถึงตรงนี้ กลัวนั้นกลับเริ่มกลยเป็นความชินชา


        “ หันมาหาฉันมิกิ ” เสียงเย็นวางอำนาจจนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพรืดยาว พอพบวิธีการบังคับแบบนี้มันยิ่งทำให้เขาไม่สบอารมณ์


        ทำไมเขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดกับการกระทำของบาซิกค์ขนาดนี้นะ!

        “ ถ้านายอยากจะฆ่าฉัน ก็ทำได้เลย ไม่ต้องรอ ” มิกิหันเสี้ยวหน้ามาตอบเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างไร้สึกความหวาดเกรง สิ่งที่ได้ยินทำเอาบาซิกค์ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจนใจต้องพูดออกไป

 
        “ สิ่งที่นายคาดหวังมิอาจทำที่นี่ได้ อนาคานไม่เหมือนกับประเทศของนาย ”

 
        “ ถูกต้องแล้ว..ขอให้นายพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ และขอให้ทุกอย่างดีขึ้นเมื่อฉันจากไป.. ” เด็กหนุ่มหันมามองางสูงศักดิ์ คลี่ยิ้มทิ้งไว้ที่มุมปาก ก่อนกล่าวถ้อยคำที่ทำให้ก้อนเนื้อใต้แผ่นออกของชายตรงหน้าสั่นสะเทือน

 
        “ ไม่ว่าจะมีลมหายใจหรือไม่มีก็ตาม.. ”

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 15]UP 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 08-09-2015 15:08:23
ค่ำคืนที่ 15 : แก้แค้น Part 2


         แม้จะเป็นอีกหนึ่งคืนที่ต้องนอนคนเดียวเหมือนเช่นเคย แต่หัวใจกลับว้าวุ่นด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง


         หลังจากที่ทิ้งคำพูดขุ่นเคืองใจเอาไว้ ทั้งเขาและบาซิกค์ต่างก็มองหน้ากันไม่ติด..ร่างสูงมาซ้ายเขาก็จะเดินไปขวา ร่างสูงเดินมาทางขวาเขาจะเดินไปทางซ้าย ถึงเหล่าข้าราชบริวารและบรรดาผู้อาวุโสจะไม่สนใจเขาเท่าไรนัก แต่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างออกไประหว่างความสัมพันธ์ของเขากับองค์ราชา


         ทว่า..ภายใต้หน้ากากงดงามแม้จะนิ่งเฉยเสมือนไม่แสดงความรู้สึกใด แต่ลึกๆในนัยน์ตากลับซ่อนเร้นความร้อนกรุ่นอยู่ภายในตลอดเวลา

 
         จวบจนกระทั่งตอนนี้..

 
         ในรุ่งเช้า ผู้อาวุโสรายหนึ่งได้เข้ามาพบเขาถึงเรื่องพิธี ‘สรงน้ำนิมิตนาคิน’ ที่เขาต้องปฏิบัติตามก่อนถึงวันมงคล ตามกฎของเทพนาคิน


         ทีแรกเขานึกสงสัยอยู่บ้าง เพราะผู้อาวุโสมิได้อธิบายอะไรให้เขาฟังเลยสักนิด แต่ถึงจะลังเลใจ แต่สุดท้ายเก็ยินยอมไปแต่โดยดี

 
         มิกิเดินตามผู้อาวุโสนาคินจนมาถึงด้านหลังพระราชวัง แต่เพียงเห็นภาพที่ปรากฏ หัวใจก็เต้นดังตามสัญชาตญาณบางอย่างที่ทำให้รู้สึกตื่นตัว

 
         ตรงหน้าคือลานพิธีกว้าง ล้อมรอบด้วยต้นปาล์มสูงใหญ่ พื้นที่ตรงกลางถูกขุดเป็นสระสี่เหลี่ยมจัตุรัสปูพื้นด้วยหินอ่อนกลมเกลี้ยง บริเวณมุมสระด้านหน้าทั้งสองข้าง มีรูปปั้นสลักลายเป็นรูปของอสรพิษที่เกี้ยวพันอยู่กันแท่นเสาบางอย่าง ขนาดที่ปากของสัตว์ร้ายกำลังคาบลูกแก้วขาวขนาดใหญ่ระหว่างคมเขี้ยวทั้งสองข้าง

 
         มิกิกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พิธีตรงหน้าราวกับเป็นพิธีล้างสาวบริสุทธิ์ก่อนถูกเป็นเครื่องสังเซ่นไหว้ท่ามกลางสายตาของผู้คนเหมื่อนตามภาพยนตร์ แต่ตอนนี้จะนับสายตาเหล่านั้นเป็นคนก็ไม่ถูกเท่าไร เพราะพวกเขาต่างไม่ใช่มนุษย์เต็ทร้อยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นทหารที่ยืนรายล้อมหันแผ่นหลังให้สระ หรือแม้แต่ผู้อาวุโสในวัง จนไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป


         “นี่คือพิธีสรงน้ำนิมิตนาคิน ทั้งองค์เทพและพระชายา จะต้องทำพิธีนี้ ก่อนเข้าพิธีอภิเษก นิมิตที่เห็น จะบ่งบอกอนาคตของอนาคานหลังจากครองคู่ และบอกถึงโอรสของเทพนาคินในอนาคตว่าจะนำไปสู่สิ่งใด ” ผู้อาวุโสข้างกายอธิบายกับเด็กหนุ่ม แม้น้ำเสียงนั้นจะเรียบเย็นเสมือนไม่เต็มใจเสียเท่าไร แต่สิ่งนั้นก็ไม่ทำให้เขาสงสัยเท่ากับประโยคสุดท้ายที่เน้นย้ำถึงโอรสเทพนาคินองค์ถัดไป

 
         คำว่า’นิมิต’ ในความหมายที่เขาเข้าใจคือการเห็นภาพสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทางวิทยาศาตร์เป็นกลไกของสมองที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้

 
         เขาคือว่าที่พระชายา..และเทพนาคินจำเป็นจะต้องมีราชีนีคู่บัลลังก์ เพื่อมอบอำนาจให้กับโอรสของเทพนาคินองค์ถัดไปที่จะถือกำเนิด แต่เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเขาเป็นชายหนุ่มไม่สามารถตั้งท้องได้ อีกอย่างเขาก็เป็นแค่พระชายาชั่วคราวเท่านั้น หลังจากแต่งงานกับบาซิกค์เสร็จ เขาก็จะกลับประเทศทันที ถึงอยากจะท้วงความจริง


         แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับบอกให้เขาควรเงียบไว้ดีกว่าจะเปล่งเสียงโวยวายกับเรื่องท้องได้หรือไม่ได้ คำถามหนึ่งที่มาแทนที่ก็คือ.. 

 
         “ ถ้านิมิตบอกฉันว่า ไม่ควรเป็นคู่ครองล่ะ มันจะเป็นยังไง ” ไม่รู้ว่าทำไมเสียงของเขาถึงได้สั่นขนาดนี้


         ผู้อาวุโสตีหน้านิ่ง แต่ก็ตอบเขาออกไป


         “ ไม่มีผู้ใดมิควรเป็นคู่ครอง หากเทพนาคินทรงเลือกแล้ว นิมิตเป็นอย่างไร เหล่านาคินได้แต่ก้มหน้ายอมรับ เพราะนั่นคือลิขิตของเทพนาคินที่ประสงค์จะให้เป็น ” คำตอบช่างแสนเรียบ ทว่าความหมายช่างแสนเศร้า

         มิกิแทบไม่อยากจะเชื่อว่าชาวนาคินยึดติดกับเทพนาคินขนาดนี้ เพราะสุดท้าย..ไม่ว่าผลจากนิมิตจะออกมาเลวร้ายเป็นภาพบ้านเมืองจะถูกเผาทำลายแค่ไหน แต่พิธีแต่งงานก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยพวกเขาไม่มีสิทธิ์หักห้าม ได้แต่ก้มหัวรับชะตากรรมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

 
          ทั้งที่รู้ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปมเชือก..

 
         แม้ไม่รู้ในอดีตเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง แต่ในอนาคตถ้าเขาเห็นเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาเขาควรจะทำอย่างไร

 
         นายไม่ควรสนใจมิกิ..

 
         นายคือเครื่องมือมิกิ..


         เขาย้ำกับตัวเองในใจ แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกแย่ขนาดนี้ บางทีคำกล่าวที่ว่าสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อนทางความคิดที่สุดในโลกคือมนุษย์ คงเป็นเรื่องจริง และเขาเพิ่งจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันก็วันนี้ 

 
         “ หมายความว่าฉันจะเห็นภาพนิมิตอนาคตของที่นี่หลังจากลงสระนี้ไป ” เขาถามย้ำความเข้าใจของตัวเอง ผู้อาวุโสพยักหน้า

 
         “ แล้วถ้า..ฉันไม่อะไรล่ะ” คำถามแผ่วเบานี้ทำเอาชายสูงวัยถึงกับนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับคำตอบ

 
         “ ทั้งองค์ราชา และว่าที่พระชายาจะได้เห็น ไม่คนใดก็คนหนึ่ง หรือทั้งสอง หากไม่พบ แสดงว่าอนาคตนั้นดับสูญ ”


         “ ดับสูญ? ” เขาทวนเสียงสงสัย แต่กลับรู้สึกไม่ดีเลยสักนิดที่ได้ยินคำนี้ ก่อนความจริงอันน่าจะใจจะทำให้หัวใจเขาเย็นวาบ


         “ โอรสเทพนาคินจะไม่ประสูติใหม่ และพิธีอภิเษกจะไม่ถูกจัดขึ้น” พอได้ยินคำตอบมือไม้เขาก้แข็งไปหมด หัวใจราวกับหล่นหายไป การประสูติของโอรสเทพนาคิน ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันเป็นไปได้เพราะเขาเป็นผู้ชาย ฉะนั้น คำตอบที่จะเกิดขึ้นหลังจากการลงสระนิมิตครั้งนี้มีเพียงอยู่เดียวคือเขาจะไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่เขาควรตื่นตัวเอ่ยปากปฏิเสธหรือไม่? เขาก็ยังไม่รู้ตัวเอง ทว่าอย่างไร..เขาก็คงเดาคำตอบของบาซิกค์ได้ไม่ยากอยู่ดีว่าจะเห็นอะไรหรือไม่


         “ แล้ว..องค์ราชาล่ะ เห็นนิมิตหรือเปล่า ”  เด็กหนุ่มแกล้งถามขึ้น ผู้อาวุโสกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

 
         “ พระองค์ไม่ประสงค์บอก ” นั้นไงว่าแล้ว! เพราะไม่เห็นเลยไม่กล้าบอก และเขาก็พอจะเดาทุกอย่างได้ แต่เพื่อให้พิธีดำเนินไป บางทีบาซิกค์อาจจำเป็นจะต้องโกหก ดังนั้นหากพิธีต่างถูกกำหนดมาตั้งแต่แรก การที่เขาจะเห็นอะไรหรือไม่เห็นอะไรก็ไม่มีความหมายอยู่ดี


         “ พระชายาจะต้องดื่มเลือดนาคินก่อนลงสระ ” เหมือนจะเสียเวลาไปพอสมควร จู่ๆถ้วยเงินสามขาถูกยื่นมาให้เขา เด็กหนุ่มมองอย่างลังเล ก่อนจะรับมา


         ด้านในถ้วยมีน้ำสีแดงข้นเข้ม ขณะที่กลิ่นคาวเลือดก็ตีคลุ้งเข้าจมูกจนอยากจะเบือนหน้าหนี ทว่าเขาจะปฏิเสธก็คงทำไม่ได้ มือเรียวจึงจำใจรับถ้วยนั้นมา ก่อนจะกลั้นใจดื่มลงคอไปให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่รับรู้รสชาติ

 
         พอดื่มจนหมดแก้ว ไม่ทันที่รสเลือดจะหายคาวคลุ้งในโพรงปาก ผู้อาวุสาก็เอ่ยสั่งต่อทันที

 
         “ ถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดเหลือเพียงแค่ชุดคลุมด้วยขอรับ การสรงน้ำนิมิต..ผู้ลงกายต้องปราศจากการปิดกั้นทุกประการ  ”  เด็กหนุ่มเบิกตากว้างขึ้นอย่างไม่คาดคิด แต่ไม่ทันได้ขัดขืนอะไร เสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายก็ถูกพวกข้าราชบริวาณรุมเข้าเสียแล้ว..


         ใช้เวลาเพียงไม่นาน เสื้อผ้าของเขาก็ถูกถอดออกจนเหลือเพียงผ้าคลุมไหล่บางๆที่มีความยาวจรดพื้น แต่ก็ปกปิดเฉพาะส่วนหลังเท่านั้น ขณะที่ด้านหน้ากลับเปล่าเปลือยจนรู้สึกเย็นโล่ง ดูแล้วช่างเป็นการกระทำที่น่าอับอายมากที่สุด ที่ต้องมาแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่น ที่จริงเขาอยากจะร้องโวยวายอยู่หรอก พอเจอสีหน้าจริงจังของผู้อาวุโสเข้าไปเขาก็ต้องชะงักงัน แล้วคิดเสียว่ารีบๆพิธีงี่เง่านี้ให้จบๆเร็วเสียท่าจะปลอดภัยกว่า กระทั่งได้ยินเสียงกลองดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มต้น..

 
         ตึง


         ตึง


         เสียงกลอนลั่นดังพร้อมกับหัวใจที่เต้นกระตุก สองขาเรียวค่อยๆก้าวเชื่องไปด้านหน้า ปลายเท้าสัมผัสลงบนผิวน้ำเย็นเฉียบก่อนจะย่ำเหยียบลงไปเต็มตัวทั้งสองข้าง น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยทั้งที่อยู่กลางแสงอาทิตย์แผดเผาของทะเลทราย แต่น้ำในสระกลับไม่ได้มีอุณหภูมิสูงไปด้วย


         ลมหายใจผ่อนออกแผ่วเบา ดวงตาสีมรกตทอดมองตรงอออกไปยังผืนน้ำที่ไหกระเพื่อมจากการก้าวเดินเข้าไปเรื่อยๆ จนเห็นระลอกคลื่นบางเบากระทบฝั่ง ขณะที่แสงอาทิตย์เบื้องบนส่องกระทบกับผิวน้ำจนเป็นประกายระยับงดงาม

 
         มือเรียวปลดเปลื้องผ้าจากหัวไหล่มน กายผอมบางก้าวลงไปเรื่อยๆดังถูกสะกด ขณะที่เสียงหัวใจที่เคยตื่นตัวกลับสงบนิ่งอย่างน่าแปลกใจ กระทั่งใจกลางสระปรากฏภาพว่าที่พระชายาประจักต่อทุกสายตา แสงแดดร้อนแรงที่ส่องลงทำให้บุคคลที่ยืนนิ่งท่ามกลางน้ำศักดิ์ศิทธิ์นั่นดูเปล่งประกายดุจแสงทองคำ ดวงตาคู่สวยปิดลง ระดับน้ำสูงขึ้นจนท่วมแผ่นอก

 
         ทุกสิ่งทุกอย่างดูเงียบสงบ..


         ได้ยืนแค่เสียงสายลม ที่พัดใบปาล์มเสียดสี


         เขาพยามข่มจิตใจของตัวเองให้สงบนิ่ง ทั้งๆที่รู้ดีว่าภาพนิมิตคงไม่มีวันเกิดขึ้น..


         ทว่า..รอเพียงไม่นานนัก ในหัว..จู่ๆก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด  กลิ่นคาวเลือดของนาคินที่ดื่มเข้าไปเมื่อครู่ตีคลุ้งขึ้นจมูกจนต้องรับยกมือขึ้นปิดปาก ไอร้อนของแสงแดดกับอุณหภูมิในร่างกายที่เริ่มผันเปลี่ยนทำให้ต้องรีบลืมตาขึ้น แต่กลับพบว่าภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวหมุนวนเป็นเกลียวคลื่น ขณะที่กำลังตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง  ขาทั้งสองข้างก็คล้ายกับมีบางอย่างดูดลงไปด้านล่าง จนกระทั่งเสียการทรงตัวกายบางจมดิ่งสู่ผืนน้ำในทันที


         ใต้น้ำนั้นหนาวเหน็บอึดอัด ร่างบางพยายามตะเกียดตะกายขึ้นสู่งผิวน้ำหาอากายหายใจ แต่ยิ่งขยับเท่าไรก็ยิ่งจมดิ่งลึกขึ้นราวกับร่างกายถูกถ่วงด้วยหินหนักๆ ขณะที่ร่างกายกำลังทะเยอทะยานเอาชีวิตรอด ดวงตาคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างตกใจเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ขนาดใหญ่ว่ายผ่านไป ชั่วครู่ลำตัวยาวที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีขาวก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่ทันจะได้คิดว่าสิ่งมีชีวิตนั้นอะไร ร่างกายก็พลันโดนพันธนาการด้วยการเกี้ยวรัดไว้อย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อหุ้มเกล็ดสีขาวทีแข็งแรงพันรอบตัวเขาไว้จนแน่น แต่ไม่ว่าพยายามดิ้นรนเท่าไรก็ต้องเสียแรงเปล่า

 
         อากาศเริ่มหดหายลงไปทุกที..

 
         วินาทีที่หัวใจเต้นอ่อนลงทุกที ตรงหน้าก็ปรากฏสิ่งที่ลอบทำร้าย อสรพิษขนาดมหึมาสีขาวเกลี้ยงเกลาจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีเหลืองทองนิ่ง น่าแปลกที่ตัวเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด แต่เหมือนกับนัยน์ตาคู่นั้นกำลังสะกดสายตาของเขาเอาไว้ และเพียงไม่นาน ทุกอย่างก็ข้าวโพลนไปหมด..


         เสียงอึกทึกดังขึ้นในโสตประสาท ดวงตาคู่สวยลืมขึ้น ทว่าภาพทุกอย่างกับพร่าเบอลเห็นเพียงรำไร มีคนวิ่งไปวิ่งมาอยู่ที่ไหนสักแห่ง..


         ความวุ่นวายนี้คืออะไร..

 
         อนาคานเหรอ..?


         กระทั่งได้ยินเสียงตวาดแหลม ดังขึ้น แต่กลับอู้อี้เสียจนไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใคร ขณะที่ภาพแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว

 
         ‘ รีบช่วยองค์เทพเร็วเข้า!’


         ‘ ดวงตา ดวงตาของเทพนาคิน!’

 
         ‘ ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ไอตัวกาลกิณี ’


         ‘ เจ้ามันสมควรตาย สมควรตายไปซะ! ’

         !!

 
         วูบหนึ่งภาพแปรเปลี่ยนไป เขาเห็นเองกับบาซิกค์กำลังจับมือกัน แต่ทว่า..ทำไมกลับเป็oท่ามกลางกองเลือด!


         ‘ ฉันมันเห็นแก่ตัว.. ’

 
         ‘ มิกิ..’


         ' บาซิคก์ '

 
         ตูม!!

 
         ราวกับเสียงระเบิดก้องในใบหู ภาพตรงหน้าสว่างวาบไปชั่วครู่ ก่อนค่อยๆหดหายไปเหมือนแสงพลุไฟที่มอดดับ ท่ามกลางความมืดมิดเหลือเพียงแค่ตัวเขาเพียงลำพัง สติทุกอย่างเหมือนหลุดลอยออกไปตามกลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้ง ขณะที่มือทั้งสองข้างกับเหนียวเหนอะไปด้วยของเหลวบางอย่าง


         เขายกขึ้นดู..


         มือชุ่มไปด้วยหยาดน้ำสีแดงฉาน..


         ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้าง เมื่อพบว่ามือของเขากำลัง..เปื้อนเลือด

 
         หายใจไม่ออกเลย..

 


          ราวกับความฝันผ่านพ้นไปเพียงวูบหนึ่ง ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องบรรทมขององค์ราชาบาซิกค์ ที่ริมขอบเตียงมีร่างสูงศักดิ์แห่งอนาคาน ดวงตาสีอำพันคุ้นตากำลังมองเขา ถึงจะไม่รู้ความหมายของสายตาคู่นี้แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาจนแปลกใจไม่ได้ ขณะที่มืออันงดงามนั้นกลับค่อยๆวางลงตรงกลางหน้าผากอย่างถือวิสาสะ ความประหม่าทำให้หัวใจเต้นแรง ทั้งที่ปกติเขาควรจะปัดมือนั้นทิ้งแต่กลับปล่อยให้สัมผัสอยู่แบบนั้น

 
         เจ้าตัวจะรู้ไหมนะว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่..


         “ รู้สึกดีขึ้นไหม..มิกิ ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียบ ถึงแม้จะฟังดูเรียบเย็นแต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความห่วงใยอยู่ในนั้น

 
         พอเริ่มตั้งสติได้ มิกิพยุงตัวขึ้นนั่ง ก่อนจะยันตัวนั่งพิงที่หัวเตียง มือเรียวยกขึ้นบีบที่จุดขมับของตัวเอง รู้สึกเหมือนศรีษะถูกทุบด้วยฆ้อนแข็งๆ จนปวดราวกับหัวสมองจะแตกเป็นเสี่ยง แต่ปากเจ้ากรรมกลับพูดออกไปแค่..

 
         “ ฉันไม่เป็นไร ”

         เขาตอบเสียงเย็น แต่ทำไมถึงได้รู้สึกผิดนัก ราวกับว่าเขาคำตอบของเขาต้องการไล่คนตรงหน้าไปให้พ้นๆ เหมือนคนไม่กล้าเผชิญความจริง ดวงตาคู่สวยก้มหลบลง ชั่วครู่หนึ่งเหมือนเขาได้ยินเสียงถอนหายใจของบาซิกค์ดังแผ่วออกมา

 
         “ เห็นนิมิตหรือเปล่า.. ” พอได้ยินคำถามร่างกายก็แอบเกร็งขึ้นชั่วครู่อย่างไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มเม้มฝีปากลง ไม่รู้ว่าควรจะให้คำตอบแบบใด ใจหนึ่งบอกว่าเขาควรพูด แต่อีกใจกลับบอกให้เขาเก็บเงียบไว้จะดีกว่า


         ถึงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นภาพนิมิตนั้นเลยแม้แต่น้อย อย่างไรไม่รู้ว่าที่เห็นใช่ภาพนิมิตหรือไม่ แต่คำตอบก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พิธีอภิเษกจะต้องถูกจัดขึ้นต่อ แม้ภาพที่เห็นจะปรากฏติดชัดอยู่ในหัวจนเกิดความหวาดกลัว


         มือที่เปื้อนเลือด..

 
         ภาพนี้ทำหัวใจของเขาหนาวสะท้าน..มีคนเคยพูดไว้ถ้าอะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด ต่อให้รู้อย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงได้..

         “ ฉัน..ไม่เห็นอะไร”  เด็กก้มใบหน้าลง ตอบเสียงแผ่วเบาราวกับไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยินคำโกหก แต่เขาก็ยังคงสัมผัสได้ถึงสายที่จ้องมองเขานิ่ง ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วครู่แต่สุดท้าย เขาก็เลือกที่จะถามคำถามหนึ่งขึ้นมา


         “ นายล่ะบาซิกค์ ” คำถามเพียงสั้นๆ แต่พอจะทำลายความกดดันนี้ลงได้บ้าง ถึงความจริงเขาจะไม่อยากทราบคำตอบของบาซิกค์ก็ตาม


         “ ฉันเห็น..ทุกอย่าง ” บาซิกค์ตอบไปตามตรง แต่น้ำเสียงเรียบเย็นนั้นราวกับกำลังตำหนิเขาว่าเป็นพวกไม่ยอมรับความจริง จนรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้

 
         แต่ถึงจะคิดแบบนั้น แต่เขาก็ไม่กล้าถามต่อว่าเป็นอย่างไร เพราะสุดท้ายแล้ว..ถึงผลที่ตามมาจะเลวร้ายจนเขาไม่อยากคิด แต่ในเมื่อยอมแลกลงทุนแลกเปลี่ยนไปแล้ว เขาต้องเสี่ยง..แม้ในใจจะพร่ำบอกเขาว่าควรหยุดก็ตาม..


หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 15]UP 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 08-09-2015 15:12:51

ค่ำคืนที่ 15 : แก้แค้น Part จบ
 

        จันทร์กระจ่าง ลอยเด่นท่ามกลางม่านฟ้าสีดำ


        ลมหนาวยามค่ำคืนพรายพัดเกล็ดทรายผ่านนครเมืองอันยิ่งใหญ่ไพศาล..แม้ควรเป็นเวลาแก่การพักผ่อนร่างกาย แต่สำหรับซาคาเดียร์กลับเป็นสถานที่ที่เพิ่งตื่นจากการบรรทม

 
        ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่ตกแต่งด้วยข้าวของเรียบง่าย ปรากฏร่างของชายหนุ่มซูบผอมนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้ ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว เปลือกตาสีเนื้อยังคงปิดสนิทมาเป็นเวลาเกือบสองวันเต็ม กระทั่งใครบางคนอดทนกับการรอคอยอันแสนยาวนานนี้ไม่ไหว ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ชนิดหนึ่ง  จึงยื่นไปที่ปลายจมูกของคนที่กำลังนอนหลับ


        สักพักไม่นานกลิ่นฉุน ก็ทำให้ใบหน้าที่นิ่งสงบนั้นเริ่มขมวดคิ้วเป็นปม จนเริ่มหันหนีจากสิ่งก่อกวน ภาพที่เห็นทำเอาคนที่แอบแกล้งอดอมยิ้มเป็นไม่ได้

 
        นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เเห็นภาพแบบนี้..ใครบางคนคิด


        กระทั่งความอดทนเลือนหาย เปลือกตาสีเนื้อค่อยๆลืมขึ้น ดวงตาสีครามสดใสดุจท้องฟ้ากระพริบถี่ต้อนรับภาพโลกใบเก่า


        ที่ไหนกัน..?

        คือคำถามแรกที่เขาคิด แต่พอข้างกายปรากฏเจ้าของร่างสูงโปร่ง ก็ทำให้ความทรงจำต่างๆหวนคืนในพริบตา


        ดวงตาสีเดียวกันกับเขาก้มลงมองเขาอย่างปรีดา สายลมที่ลอดผ่านหน้าต่างพัดเส้นผมสีทองพริ้วไสว ใบหน้าที่อบอุ่นและงดงามทำให้เขาจำได้ไม่เสื่อมคลาย 

        “ ท่านพี่ราซิส ” แค่เห็นผู้เป็นพี่ก็คิดจะยันตัวเองลุกขึ้น แต่เพียงขยับก็คล้ายกระดูกข้างในร่างกายนั้นแหลกละเอียดจนเจ็บระบม

 
        “ อย่าขยับสิ เจ้ายังไม่หายดีนะ ” คนตรงหน้าที่ถูกเรียกว่าเป็นพี่ชายนั้นตอบอย่างใจดี ซาอิดกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ไม่เข้าใจเลยอะไรเลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น

 
        “ ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วเกิดอะไรขึ้นที่อนาคาน ” ซาอิดถามอย่างร้อนรน

 
        “ อย่าใจร้อนนักน้องพี่..ไยเจ้าต้องห่วงใยคนที่ตบรางวัลกับการกระทำของเจ้าเช่นนี้ด้วยเล่า ” คำตอบนั้นทำเอาหัวหน้าราชบริวารนาคินถึงกับเงียบไป ก่อนประโยคถัดมาจะทำเอาหัวใจเขาวูบเย็น


        “ หึ..แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่ที่แสนดีคนนี้ตอบแทนพวกเขาแทนเจ้าหมดแล้ว ” ราซิสทำเสียงขึ้นจมูก พลางคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี


        “ ท่านไม่ได้หมายความว่า! ” เขาเบิกตาขึ้นไม่อยากเอ่ยสิ่งที่คิด ราซิสนั่งลงที่ขอบเตียงเดาะลิ้นเบาๆ ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะของน้องชายตนอย่างเอ็นดู

 
        “ ซาอิด..เจ้าเหงามากหรือเปล่า อ่า..ดูยังไงแล้วนิสัยเจ้าก็ยังคงเป็นเด็กไม่เปลี่ยนแปลง ใครพูดอะไรก็เชื่อ ใครพาไปทางไหนก็ไป ข้าชักเริ่มสงสัยแล้วว่าเจ้ามีเลือดของอสรพิษที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครอยู่หรือเปล่า  ” ราซิสลุกขึ้นจากขอบเตียง เดินไปที่ริมหน้าต่าง ดวงตาสีครามสวยเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าสีดำสนิท

 
        “ ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าจะมอบความสุขแก่เจ้า คืนนี้.. เราจะมาดูพลุไฟที่สวยงามกันคืนนี้ ” สิ่งที่ได้ทำเอาเขาถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก ทว่าข้อความนั้นมักลับทำให้สังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย..

 



        ยังไม่ทันข้ามวัน พระราชวังแห่งอนาคานก็เริ่มวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง..

 
        ราชาบาซิกค์ปล่อยให้มิกิพักผ่อนอยู่ในห้องบรรทมของตัวเองอย่างเช่นเคย และให้บริวารสองคนคอยเฝ้าอยู่หน้าห้อง เผื่อร่างเล็กต้องการสิ่งใดจะได้จัดหาให้ ส่วนตัวเขากลับประทับอยู่ที่ห้องทรงงานขององค์ชายบาฮาล ที่บัดนี้กลายเป็นที่ประชุมชั่วคราว ซึ่งองค์ชายบาฮาลกำลังวางแผนบางอย่างเพื่อลอบเข้าไปยังพระราชวังซาคาเดียร์

 
        แผนการทุกอย่างเป็นไปอย่างรัดกุม ช่องโหว่งทุกอย่างถูกอุดด้วยการติตรองจากผู้อาวุโสหลายคน จึงไม่มีทีท่าว่าจะพลาดได้

        อย่างไร การจับนักโทษให้ได้ก่อนพิธีอภิเษกจะสามารถสร้างความปลอดภัยให้กับองค์ราชาและพระชายาได้มากกว่า ปล่อยอสรพิษออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะลอบหันมาทำร้ายเมื่อไร แต่ขณะที่กำลังสรุปแผนการทั้งหมด ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ราชบริวารรายหนึ่งก้มเคารพด้วยความรีบร้อน ก่อนจะตรงดิ่งเข้ามาถวายความเคารพ แล้วยื่นจดหมายปริศนาให้แด่องค์ราชา

        ตราสัญลักษณ์รูปงูเห่าแผ่แม่เบี้ยที่อยู่ด้านหน้าซองทำให้องค์ราชาต้องขมวดคิ้ว ขณะที่บรรยากาศภายในห้องกลับเริ่มตึงเครียด องค์ชายบาฮาลรีบดินเข้ามาประชิดพี่ชายตน พเื่อหวังจะช่วยเหลือ

 
        บาซิกค์เปิดซองจดหมายออก มือทรงอำนาจหยิบกระดาษที่พับเป็นสี่เหลี่ยมขึ้น แต่พอคลี่ออกวัตถุบางอย่างหล่นลงมาจนเขาต้องมองตาม บาฮาลคว้ามันไว้ก่อนจะตกสู่พื้น แต่พอเห็นก็ต้องเปิดตาขึ้น เมื่อพบว่ามันเป็นซากดอกไม้สีส้มแดงที่ถูกทับจนแห้งเป็นกลายสีน้ำตาล ขณะที่ข้อความข้างในกระดาษกลับระบุประโยคที่ต้องฉงนคิด


        ‘ ฉลองรักให้สำราญด้วยพลุไฟ..ดอกไม้ต้องมอดไหม้’

 
        พออ่านจนจบ ความรู้สึกไม่ดีบางอย่างก็พลันแล่นเข้ามาในจิตใจ บาฮาลสบตาพี่ชายเพื่อหาคำตอบของข้อความนี้ ทว่า ไม่ทันจะได้เอ่ยถาม องค์ราชาก็ขย้ำกระดาษทิ้ง ร่างสูงศักดิ์รีบเปิดประตูออกไปด้านนอกทันที


            สองขาก้าวเดินแทบจะวิ่ง หัวใจกระตุกแรงอย่างไม่เคยเป็น หลังจากอ่านจบ ทั้งข้อความและดอกไม้ ทำให้ใบหน้าของใครบางปรากฏขึ้นมา

 
            มิกิ..


            “ ท่านพี่! เกิดอะไรขึ้น ” เสียงบาฮาลตะโกนไล่หลังตามเขามา ก่อนความร้อนรนที่อยู่ในใจจจะทำให้เขาตวาดสั่งเสียงดังทันที

            “ ปิดทางเข้าออกของวังให้หมดเดี๋ยวนี้!! ใครแปลกหน้าฆ่าให้หมด! ”

 
 

            ในขณะที่ความวุ่นวายเกิดขึ้น เด็กหนุ่มที่กำลังนอนหลับก็พลันรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้นในห้อง พอลืมตาขึ้นมาก็พบราชบริวารคนหนึ่งเพิ่งจะยัดบางอย่างลงในตู้เล็กๆข้างกระจก แต่เป็นเพราะเจ้าตัวหันแผ่นหลังบังเอาไว้ทำให้เขาไม่รู้ว่าคือสิ่งใด แต่คิดว่าคงเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่บาซิกค์สั่งให้มาเก็บจึงไม่ได้ใส่ใจนัก

            เมื่อราชบริวารคนนั้นเห็นเขาตื่นขึ้น จึงหันใบหน้ามายิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร เด็กหนุ่มยิ้มกลับด้วยความแปลกใจ เพราะปกติแล้วตั้งแต่อยู่ที่นี่มาไม่เคยมีใครยิ้มให้เขาแม้แต่คนเดียว แต่ไม่ทันได้พูดอะไรเสียงประตูห้องก็ปิดลงพร้อมกับการจากไป

 
เด็กหนุ่มใช้ลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเอง หลังจากนอนหลับต่อก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น แต่ตอนนี้เขาเริ่มหิวน้ำแล้วมากกว่า ร่างเล็กจึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่โต๊ะรับแขกตรงกลางที่มีกาน้ำตั้งอยู่

 

        เขารินน้ำใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นดื่มอย่างกระหายไปหลายแก้ว ก่อนเขาจะถอนหายใจออกมายาว  พลางก้มลงมองถ้วยน้ำที่อยู่ในมือ ซึ่งกำลังสะท้อนเป็นภาพตัวเขา


        ภาพของคนงี่เง่าคนหนึ่งที่ไม่รู้จักโต ..

 

ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้คิดแบบนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงอาจนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ และถ้ามันนำไปสู่จุดที่แย่ลงกว่าเก่าเขาจะลงมือทำมันไปเพื่ออะไร แต่พอรู้แบบนี้..เขากลับไม่เข้าตัวเองเลยสักนิด ว่าทำไมถึงไม่ยอมพูดความจริง

 

เขาตัดสินใจแล้ว..เขาจะบอกบาซิกค์กับสิ่งที่เขาเห็นทุกอย่าง คิดกระนั้นเด็กหนุ่มคิดจะตามหาบาซิกค์ แต่ไม่ทันไรประตูตรงหน้าก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาเสียก่อน บาซิกค์เข้ามาหาเขาในห้องด้วยท่าทางร้อนรน ก่อนจะตรงเข้าคว้าข้อมือเขาในทันที ท่าทีร้อนรนดังไฟเผานี่ทำให้เขาตกใจจนทำตัวไม่ถูก

 

        “ เดี๋ยว! จะทำอะไรน่ะ! ”

 

        “ ไม่มีเวลาอธิบายรีบออกจากห้องเดี๋ยวนี้! ”

 

            ตึง!

 

        ขณะที่กำลังโต้เถียงกัน ประตูห้องก็ถูกปิดลงกระทันหัน บาซิกค์รีบวิ่งออกไป มือพยายามผลักๆดันๆ แต่กลับพบว่าประตูล็อคจากด้านนอกราวกับจะจงใจขังพวกเขาไว้ในห้อง มิกิขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนเดินตามเข้ามา แต่เพียงก้าวขาได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากด้านหลัง


        กึก..

 
        ดวงตาคู่สวยหันตาม ตู้เล็กข้างกระจกถูกแง้มเปิดออก อสรพิษสีแดงเข้มเลื้อยออกมาจากด้านใน พลันให้เขาได้ยินเสียง


        ติ๊ด..


        ติ๊ด..
 

        ติ๊ด!..

 
        “ มิกิ!!! ”  บาซิกค์ตะโกนลั่น เด็กหนุ่มหัวใจหล่นวูบ

 

        ตูม!!!

 
        ราวกับภาพแสดงอย่างเชื่องช้า ไฟโลกันย์พร้อมกับเสียงกัปนาถดังสนั่นจนหูอื้นชา ความร้อนแรงของไฟแล่นเข้ามาใกล้พลางเผาผลาญทุกอย่างที่ผ่านทางของมันให้เป็นจุณในพริบตา


        ภาพทุกอย่าสว่างไสวไปหมด ขณะที่หูทั้งสองข้างดัง’หวี่’ จนไม่ได้ยินเสียงใด ร่างกายร้อนวาบปลิวไปดุจขนนกที่กำลังมอดไหม้..
 

        นี่หรือจุดจบของเขา

 
        ฟุ่ม!!


         แรงระเบิดทำให้ห้องของเจ้าชีวิตนาคินระเบิดโพรงกว้าง ผสานกับเสียงทำลายล้างทำให้พระราชวังสั่นสะเทือนจนฝ่าเพดานจกลงมาราวกับราชวังจะถล่ม เหล่าทหารต่างวิ่งหลบกันวุ่น มีวัตถุก้อนสีดำขนาดมหึมากระเด็นออกมาจากในห้องของเจ้าชีวิต แล้วกระแทกเข้ากับกำแพงหนาด้านนอกจนทะลุไปอีกฝั่ง

 
          มิกิเจ็บจนร่างแหลกสลาย แผ่นหลังและศรีษะกระแทกเข้ากับบางสิ่งบางอย่างอย่างรุนแรงจนแสบร้อน เหมือนกระดูกภายในแตกระเอียด ร่างกายเจ็บปวดทรมานร้อนผ่าวเหมือนถูกไฟคลอก ขณะที่เพียงขยับก็เจ็บเจียนตายราวกับกระดูกทั้งตัวมันแปลกละเอียด ทว่ากลับไม่มีแรงแม้เปล่งเสียงร้อง ภาพทุกอย่างมืดมิดไปหมด ศรีษะที่แตกทำให้เลือดสดไหลอาบรดใบหน้าของเขาลงมา ขณะที่กลิ่นที่คล้ายกับเนื้อไหม้เกรียมตลบคลุ้ง

 
            แต่ทำไมเขาถึงสัมผัสความเจ็บปวดนี้ได้ทุกอย่างล่ะ!

 
          กระทั่งคำถามนั้นถูกเปิดออก เมื่อความมืดมิดที่ห่อหุ้มคลายตัวทิ้งลง ภาพตรงหน้าที่ปรากฏหลงเหลือเพียงซากจากพลังการทำลายล้างของระเบิด เขาเบิกตากว้าง ทำไม ทำเขาถึงได้มีชีวิตอยู่..

 
            กลิ่นเนื้อไหม้ลอยเข้าจมูกอีกครั้ง ความคิดต่างๆหยุดชะงัก พร้อมกับหัวใจที่แทบจะหยุดเต้น ดวงตาคู่สวยเหลือบมองวัตถุที่ห่อหุ้มตัวเขาเมื่อครู่ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเป็นงูขนาดยักษ์ เกล็ดทั้งหมดของมันไหม้เกรียมจนไม่เหลือเคล้าของสีเดิม ก้อนเนื้อที่ยังคงกระเพื่อมไหวบ่งบอกว่าร่างนี้ยังมีลมหายใจ แต่หายใจอ่อนเหลือเกินราวกับจะแหมดรงลงเมื่อไรก็ได้ เลือดสีเข้มชโลมไปรอบกาย

 
            สติสัมปัญชญะที่มีเริ่มขาดกระเจิงหลุดลอบ รอบข้างมีเสียงวุ่นวายเกิดขึ้น..

 
            กลิ่นเนื้อไหม้ลอยคลุ้ง

 
            พอลองยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ในนิมิตก็ประจักขึ้นทันที


            มือที่เปื้อนเลือด

 
          ก่อนเสียงกรีดร้องจะดั่นลั่นออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

 
        “ บาซิกค์!!!”

 

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 


 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 15]UP 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 08-09-2015 19:02:07
ไม่นะะะะะ  :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

โอ้ยค้างงงง  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 16]UP 16/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 16-09-2015 16:30:51

ค่ำคืนที่ 16 : น้ำตาที่ระเหยบนผืนทราย.. Part 1


            เป็นเวลากว่าสองวันเต็ม ที่พระราชวังแห่งอนาคานตกอยู่ในความเศร้าสลด นครโบราณเดิมที่ไร้สีสันบัดนี้กลับหมองหม่นลงกว่าเดิมนัก ราวกับทั่วทั้งเมืองกำลังถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศครึ้มฝน

            ร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงกว้างในห้องบรรทมขององค์ชายนาคิน แผ่นอกบางที่ยกขึ้นลงแผ่วเบา เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า กำลังอ่อนแรงแม้กระทั่งหายใจ

            องค์ชายบาฮาลนั่งที่ริมขอบเตียง ดวงตาสีเข้มมองว่าที่พระชายาแห่งอนาคานแล้วรู้สึกเป็นห่วงจับใจ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นโดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว ถึงแม้หลักฐานจะไม่ปรากฏถึงผู้กระทำ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่เดาเรื่องราวไม่ออกว่าเป็นฝีมือของใคร

            หลังจากเกิดระเบิดขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่ทันข้ามคืนเขาก็จับตัวคนร้ายได้ ทว่า..ไม่ทันได้สอบสวนใดๆ คนร้ายก็ดื่มยาพิษ และสิ้นใจลงต่อหน้า

            บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วก็เป็นได้ ที่เขาต้องทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่อนาคานจะย่อยยับและตกอยู่ในเงื้อมมือของซาคาเดียร์โดยสมบูรณ์แบบ

            การหลบหนีไม่ใช่ทางออก

            ขณะเดียวกันการอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา

            เขาควรตระหนักในความจริงข้อนี้ตั้งแต่แรก และถ้ารอบคอบมากกว่านี้ เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น

            มือใหญ่เอื้อมลงมาเกลี่ยเส้นผมที่บดบังใบหน้าอันอ่อนหวานของเด็กหนุ่มออก  แต่พอเห็นผ้าพันแผลที่พันทับอยู่บนศีรษะแล้วก็อดหวั่นใจเป็นไม่ได้..

            อีกนานเท่าใดกันกว่าร่างนี้จะฟื้น..

            อีกนานเท่าใดกันที่ความสงบจะหวนคืนสู่อนาคาน..

            เขาได้แต่ถามในใจอยู่แบบนั้น ปล่อยให้สายลมพัดเอื่อยแผ่ว..

            แม้หัวใจจะร้อนรุ่มดุจไฟเผา แต่ก็ทำได้แค่ภาวนาให้ อนาคานตื่นจากฝันร้ายสักที..




            ภาพรอบกายคือความมืดมิด สัมผัสร้อนผ่าวยังคงตระตรึงบนผิวหนัง ลมหายใจอ่อนลงราวกับร่างนี้กำลังหมดเรี่ยวแรง กลิ่นไหม้ของเนื้อที่สุกเกรียมคลุ้งอยู่ในอากาศ ปนกับกลิ่นคาวเลือด..ขณะที่มือทั้งสองข้างเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีแดงฉาน..

            น้ำตาไหลลงมาจากขอบตาหยดแล้วหยดเล่า..

            อยากจะลบเลือนความทรงจำเหล่านั้นให้หมดสิ้น แต่สุดท้ายก็เป็นเหมือนกับเทปที่ฉายภาพวนไปวนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความอัดอั้นบางอย่างทำให้หัวใจดวงนี้ทรมานเสียยิ่งกว่าโดนเฉือนเนื้อ สิ่งที่เห็นเป็นดังคุกคุมขังให้เขาจมดิ่งสู้ฝันร้ายที่ดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

            เสียงร้องตะโกนปนสะอื้นปานจะขาดใจเรียกชื่อของใครบางคน แต่ตรงหน้าปรากฏแค่ร่างของอสรพิษไหม้เกรียมนอนนิ่งอยู่แทบเท้า เลือดสีแดงสดยังคงไม่หยุดไหลรินจากบาดแผลเหวอะวิ่น ขณะที่ภาพเปลวเพลิงสีแดงกลับพวยพุ่งมารอบด้าน ความร้อนระอุและอำนาจการทำลายทำให้ดวงตาที่เจือไปด้วยคราบน้ำตาต้องเบิกโต ก่อนพายุเพลิงจะถาโถมกลืนกินทุกสิ่งจนเหลือแต่เถ้าธุลี..

            !!

            รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบไป ความเย็นวาบไล่ขึ้นมาตามสันหลังจนร่างสั่นสะท้าน ดวงตาโตลืมตื่นขึ้นจากห้วงนิทราฉับพลัน

            ภาพทุกอย่างค่อยๆ ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง ทว่าสิ่งแรกที่ร่างกายรับรู้คืออาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงราวกับมันจะแตกออก

            “โอ้ย!” มิกิเปล่งเสียงโอดครวญในลำคอด้วยความปวด กระนั้นก็พยายามใช้สองมือยันร่างของตัวเองขึ้น แต่เพียงแค่ขยับก็ต้องร้องระทมราวกับกระดูกข้างในมันแตกละเอียดไปหมด สุดท้ายแม้จะทรงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงก็ยังทำไม่ได้ ถึงแม้โชคดีที่เขายังมีชีวิตรอด ทว่าภาพบางอย่างที่ค้างอยู่ในใจกลับทำให้เขาลืมนึกถึงตัวเองไปเสียสนิท

            เป็นห่วงจนแทบจะขาดใจ..

            อยากจะตามหาจนแทบทนไม่ไหว

            แต่ร่างกายงี่เง่านี่กลับไม่มีเรี่ยวแรงพอเลยสักนิด ขณะที่หัวใจบีบคั้นตัวเขาจนรู้สึกทรมาน อยากทำในสิ่งที่ต้องการ แต่กลับทำไม่ได้ สิ่งที่พอระบายจึงกลายเป็นหยาดน้ำตาที่ล้นเอ่อออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง แม้จะเม้มริมฝีปากตัวเองลงแน่น พยายามกักกลั้นฝืนความรู้สึกตัวเองเพียงใด กลับไม่สามารถปกปิดความเสียใจของตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย..

            เขาขอโทษ…

            เขาเสียใจ..

            แต่อาจไม่เพียงพอสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ อยากหลับตาลงและตื่นขึ้นมาใหม่ และภาวนาให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้ายชั่วข้ามคืน แต่มันไม่เป็นจริง..

            กี่ครั้งแล้วที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน..

            กี่ครั้งแล้วที่ทำให้ชีวิตคนอื่นต้องพบจุดจบ

            เขามันน่าสมเพช..บางทีชีวิตเดียวที่ไม่ควรค่ากับการอยู่บนโลกใบนี้ อาจจะเป็นชีวิตของเขาเอง..

            มิกิใช้นัยน์ตาที่ฉ่ำคลอด้วยคราบน้ำตากวาดมองไปรอบๆ เขาไม่สนใจว่านี่คือห้องของใคร แต่ในห้องที่ไร้ซึ่งผู้คนนี้เหมาะสมแล้วที่จะจบชีวิตลงอย่างโดดเดี่ยวและเพื่อชดใช้ความผิด หน้าต่างที่เปิดโล่งไว้บานหนึ่งมีขนาดใหญ่พอที่จะให้คนลอดผ่านออกไปได้ ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว..บางทีชั่ววินาทีที่ได้โบยบินบนท้องฟ้าก่อนดับชีวิตลงคงทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย..

            คิดกระนั้น เด็กหนุ่มก็พยายามพาร่างกายอันบอบช้ำลงจากเตียง แต่ด้วยสภาพอ่อนแอของเขา กลับกลายเป็นว่าพลัดตกลงมาจนล้มหมอบอยู่กับพื้น

            แรงกระแทกทำให้เขาเจ็บระบมไปทั้งร่าง เนื้อตัวปวดร้าวราวกับโดนระดมทุบด้วยฆ้อนแข็งๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แต่กระนั้นก็ยังกัดฟันไว้แน่น อดทนต่อความรู้สึกเหล่านั้นแม้จะเจ็บเจียนตาย แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมานะในหนทางที่ตัวเองคิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันคือความผิดพลาด

            สองแขนพยายามพาร่างบอบบางตะเกียกตะกายไปด้านหน้า ขณะเท้าทั้งสองข้างก็พยายามดันตัวให้เคลื่อนที่ไป แม้น้ำตาจะไหลงพรากลงมาอย่างไม่ขาดสาย

            ฉันจะชดใช้ให้นายเองบาซิกค์..

            ฉันจะชดใช้ให้นายทุกอย่าง

            ในที่สุด มือก็เอื้อมแตะลงบนขอบหน้าต่าง พยายามออกแรงใช้เข่าทั้งสองข้างยันตัวเองลุกขึ้นไป ไม่ทันไรก็ทรุดตัวล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง รู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก ขนาดอยากจะฆ่าตัวตายยังไม่มีแรงทำได้ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลพราก แต่ก็ยังเอื้อมมือเพื่อพยุงเองให้ปีนขึ้นไปให้ได้มากที่สุด จนกระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้นจากทางด้านหลัง

 
            “ มิกิ! ”

            สิ่งที่เห็นทำเอาคนที่เพิ่งเดินเข้ามาเบิกตากว้าง ร่างสูงใหญ่รีบไปดึงคนที่กำลังปีนขึ้นขอบหน้าต่างมาทันที

            “ปล่อยฉัน!! ฮึก..ปล่อยฉันนะ! บ้าเอ้ย!” เสียงสบถลั่นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลนองหน้า กายบางพยายามดิ้นสุดแรงจนลืมความเจ็บเมื่อถูกตัดความหวัง บาฮาลจึงรีบล็อคแขนทั้งสองข้างของคนที่กำลังคิดสั้นไว้แน่น

            “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ตั้งสติหน่อยได้ไหม!” ขึ้นเสียงดังหวังเตือนสติ ขณะที่พยายามลากร่างเล็กให้ถอยห่างออกมาจากขอบหน้าต่างไปด้วย มิกิออกแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดสุดกำลัง เขาจิกนิ้วเท้าลงกับพื้น เปล่งเสียงโวยวายก้องไม่แพ้กับหยดน้ำตาที่ไหลราวกับเป็นสายเลือด

            “ปล่อยฉันนะบาฮาล..ปล่อยฉันสิ! ปล่อยให้ตายสักที ฉันมันตัวกาลกิณี พี่ชายนายต้องมาตายก็เพราะฉัน เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะฉัน ฮึก เพราะฉันทั้งนั้น!! ฮือๆ” ความอัดอั้นระบายออกจนสิ้น น้ำตาไหลอาบลงจากมาจากดวงตาราวกับไม่มีวันจบ  ความเจ็บช้ำที่หัวใจทำให้เขาร้องไห้อย่างไม่รู้จักอับอาย องค์ชายบาฮาลเมื่อเห็นมิกิเป็นเช่นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อดึงสติของร่างในอ้อมแขนนี้กลับคืนมาได้ สุดท้ายจึงเลือกที่จะกอดร่างกายที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เสมือนวิญญาณใกล้แหลกสลายเต็มทีของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น แม้มิกิจะระดมทุบตีแผ่นหลังของเขาไม่หยุด พร้อมกับส่งเสียงสะอื้นร้องออกมาอย่างน่าสงสาร

เขากอดมิกิไว้แบบนั้น จนสุดท้ายมือทั้งสองข้างก็เริ่มหมดแรง เหลือเพียงแค่เสียงสะอื้นร่ำไห้ที่ยังคงได้ยินอยู่ข้างหู รวมทั้งหยาดน้ำตาเปียกชื้นที่ไหลหยดลงมาบนไหล่

            มิกิยังคงสั่นเทาด้วยความเสียใจเกินจะรับ

            ขณะที่บาฮาลกลับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อที่จะได้คลายความเศร้าที่กัดกินหัวใจของร่างนี้ลงได้ แต่การฆ่าตัวตายก็ไม่ใช่ทางออกในการแก้ไขข้อผิดพลาด บางทีเหตุที่มิกิคิดเช่นนี้ อาจเป็นเพราะเรื่องของพี่ชายเขา ซึ่งถ้าเขามาช้ากว่านี้เพียงก้าวเดียว ชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้คงได้สูญสลายอย่างไร้ความหมายแน่ เพราะความจริงที่เกิดขึ้น มันอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าตัวกำลังคิด..

            “มิกิ..องค์ราชายังทรงมีชีวิตอยู่นะ” ถ้อยคำที่เอ่ยปลอบ ราวกับเป็นประกายไฟเล็กๆ จุดลงกลางหัวใจของเด็กหนุ่ม เสียงสะอื้นหยุดชะงักลง ใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตารีบเปล่งเสียงถามในทันที

            “เขาปลอดภัยใช่ไหม ฮึก..เขาปลอดภัยใช่ไหม” เด็กหนุ่มถามย้ำอย่างร้อนรน ขณะที่บาฮาลกลับไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าองค์ราชาปลอดภัย แต่ก็ไม่อยากจะทำให้มิกิคิดมากไปกว่านี้ เขาจึงเลือกที่จะพยักหน้า แล้วโกหกออกไป

            “องค์ราชาทรงปลอดภัยดี อย่าห่วงไปมิกิ..ตอนนี้คนสำคัญที่องค์ราชาสั่งมาคือตัวเจ้า”

            “ฉันอยาก...ฮึก..ฉันอยากพบเขา” มิกิยังคงสะอื้นไม่หยุด บาฮาลหลับตาลง แล้วลูบศีรษะของคนในอ้อมกอดปลอบโยน

            “พักผ่อนซะมิกิ..”


หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 16]UP 16/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 16-09-2015 16:46:42
ค่ำคืนที่ 16 : น้ำตาที่ระเหยบนผืนทราย..Part 2


            สองวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว..

            อาการบาดเจ็บของเด็กหนุ่มเริ่มทุเลาลงแล้ว เวลานี้เขาสามารถลุกขึ้นเดินออกไปไหนมาไหนได้ ถึงจะมีบางครั้งที่อาการเจ็บแปลบจะแล่นเข้ามาที่แผ่นหลังอยู่บ้าง เนื่องจากแรงกระแทกที่รุนแรงจนกระดูกแทบหัก หากในตอนนั้นไม่มีร่างกายของอสรพิษห่อหุ้มเขาไว้ คงได้พิการตลอดชีวิตแน่

            ทว่า..พอนึกถึงนาคินที่ปกป้อง ความรู้สึกผิดก็พลันแล่นเข้ามาในจิตใจ ถึงบาฮาลจะเคยบอกเขาว่าองค์ราชาบาซิกค์ปลอดภัยดี แต่สองวันที่ผ่านมาเขายังไม่พบเจ้าตัวเลยสักนิด พอถามไถ่จากพวกข้าราชบริวารก็ไม่มีใครเต็มใจปริปากบอกเขาเลยสักคนว่าบาซิกค์รักษาตัวอยู่ที่ใด มีเพียงน้ำเสียงที่นิ่งงัน กับดวงตาที่แสดงความเกลียดชังในตัวเขาที่ส่งมาให้ และเขาก็เข้าใจเหตุผลนั้นดีว่าทำไม แต่ก็ไม่มีสิทธิไปถือโกรธสายตาเหล่านั้นแม้แต่น้อย


            ความจริงบทลงโทษที่เขาได้รับ อาจจะน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสิ่งที่กระทำ

            เขาอยากพบบาซิกค์ อยากจะบอกความรู้สึกของตัวเองและขอโทษสำหรับทุกอย่าง เพราะทั้งหมดเป็นความผิดของเขา หากเขาไม่ดึงดันยัดความคิดของตัวเองที่คิดว่าถูกต้อง ทุกอย่างคงไม่เป็นเช่นนี้ เขาไม่ควรปรับเปลี่ยนธรรมชาติของคนอื่น แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเขาเองเป็นคนจุดชนวนทำลายทุกสิ่ง..

            เขาไม่ควรมาที่นี่..เหมือนอย่างที่บาฮาลเคยพูด

            ทว่า ความหวังที่จะปรับความเข้าใจนั้นช่างแสนเลือนราง หรือบางทีในหัวใจดวงนี้ก็กลัวว่ามันจะสายเกินไป แม้จะพยายามตามหาเท่าไรแต่สิ่งที่คว้ากลับมามีเพียงแค่อากาศ ชาวอนาคานคงไม่อยากให้เขาเข้าใกล้องค์เทพของพวกเขาอีกแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าใจ แม้แต่องค์ชายบาฮาลก็หายตัวไปตั้งแต่เมื่อวาน

            สุดท้าย ก็ได้แต่เดินสะเปะสะปะไปทั่วราชวัง เข้าห้องนู้นออกห้องนี้แทบจะทุกห้อง ถึงจะไม่มีใครยอมบอกอะไร และแม้พระราชวังจะกว้างขวางเพียงใด เขาก็ไม่มีวันยอมอยู่เฉยๆ แน่

            กระทั่งรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่ห้องบรรทมของราชาบาซิกค์ สภาพที่ทอดสู่สายตา มิอาจเรียกว่าห้องได้อีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายย่อยยับจนเหมือนเป็นโพรงของซากปรักหักพัง สายลมจากด้านนอกพัดผ่านเข้ามาจากซากกำแพงที่ถูกระเบิดจนเป็นรูโบ๋

            เขาสูดหายใจเข้าลึก..พอได้กลิ่นขี้เถ้าไหม้ยังคงหลงเหลือไว้เป็นหลักฐานของการทำลายก็รู้สึกหดหู่หัวใจจนต้องเม้มริมฝีปากลง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกลับมาที่นี่เพื่อตอกย้ำความผิดพลาดของตัวเอง แต่อาจเป็นเพราะเขาอยากจะเก็บภาพความทรงจำไว้ในหัวก็เป็นได้ ทั้งดี และ ไม่ดี

            ทุกอย่างเกิดขึ้นที่นี่..กระทั่งถูกพังทลายลงภายในเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที

            เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่สักพัก ปล่อยให้ลมทะเลทรายพัดโชยเส้นผมปลิวสยาย ดวงตาคู่สวยหลุบลง พยายามปรับลมหายใจของตัวเองให้สม่ำเสมอ แต่ได้เพียงไม่นานนัก เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกความสนใจ

            นัยน์ตาสีอ่อนลืมขึ้นหันกลับไปมอง งูหางกระดิ่งสีเหลืองน้ำตาลตัวหนึ่งกำลังขดตัวจ้องมองเขา ปลายหางที่เป็นปล้องเล็กๆ กำลังสั่นระรัวจนเปลี่ยนคลื่นถี่เป็นสัญญาณเวลาเจอผู้บุกรุก แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ได้หวาดกลัวอย่างที่คิด เพราะหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงก้าวถอยหลังหนีอย่างไม่ลังเล ทว่าครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่าเสียงสั่นเตือนของอสรพิษไม่ใช่การการขู่เพื่อปกป้องตัวเอง แต่เหมือนกำลังสื่อสารกับเขา

            มิกิขมวดคิ้วลง ไม่นานงูหางกระดิ่งตัวนั้นก็เลื้อยผ่านเขาไปทางขวามือ ดวงตาคู่สวยมองตามมันไป ก่อนมันจะขดตัวสั่นหางอีกครั้งแล้วสบตาเขา ราวกับต้องการให้เด็กหนุ่มเดินมาทางนี้


            “อยากให้ฉันตามไปเหรอ..”

            ไม่รู้ว่าเขาเสียสติไปแล้วหรือเปล่าถึงคิดจะคุยกับงูรู้เรื่อง ถึงเขาจะอยู่ในเมืองที่มีงูเป็นเสมือนสมมุติเทพมาเป็นเวลานานพอสมควร แต่ใช่ว่าจะสื่อสารกับงูได้เหมือนเพื่อนเล่น ทว่าอสรพิษกลับตอบด้วยการสั่นหางของมันสั้นๆ เหมือนจะพูดคำว่า ‘ใช่’ ก่อนมันจะเลื้อยเข้าไปด้านใน

            มิกิกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ถึงจะรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่สัญชาตญาณก็ย้ำอยู่ในใจว่าไม่เป็นไร ถึงจะรู้ว่างูหางกระดิ่งนั้นขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดในทะเลทราย แต่สองขาก็พาก้าวเดินตามอสรพิษไปอย่างไม่ระแวดระวัง


            ตอนนี้เขาเดินเข้ามาอยู่ในส่วนห้องปีกขวามือของห้องบรรทม ซึ่งเคยมีสระน้ำเล็กๆ ตั้งอยู่ใจกลาง ทว่าแรงระเบิดกลับทำให้เพดานด้านบนถล่มลงมาทับแทบทั้งหมดจนเหลือเพียงพื้นที่ใจกลางสระ เช่นเดียวกับรูปปั้นอสรพิษตรงมุมสระทั้งสองข้างก็บิดเบี้ยวไม่เป็นรูปจากพลังการทำลาย

            อสรพิษทะเลทรายเลื้อยมาขดตัวอยู่ที่รูปปั้นที่มุมหนึ่งของสระ ก่อนจะสั่นปลายหางอีกครั้งดึงความสนใจจากเขา

            พอเริ่มขยับฝีเท้าเข้าไปใกล้พอสมควร อสรพิษก็เลื้อยหนีเข้าไปหลบอยู่ในซากเพดานด้านข้าง มิกิขมวดคิ้วอีกครั้งด้วยความฉงน แต่เมื่อมาถึงจุดที่เจ้างูขดตัว เขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ข้างรูปปั้นอสรพิษ

            ตรงเสาด้านข้างเป็นช่องสี่เหลี่ยมจตุรัส มีลูกแก้วหินขนาดเท่ากำมือวางอยู่ด้านในนั้น ความรู้สึกอะไรบางอย่างทำให้เขายกลูกแก้วหินนั้นขึ้นมาดู แล้วเสียงครืดคราดก็ดังขึ้น!

            ตึง!

            มิกิรีบหันหลังไปมองตามเสียงของบางอย่างที่เคลื่อนไหว บริเวณใจกลางสระปรากฏเป็นรอยแยกที่ค่อยๆ ห่างออกจากกัน เมื่อสิ้นสุดลงก็พบทางเดินเป็นบันไดลาดลึกลงไปด้านในที่มืดมิด

            ทางลับใต้ดิน!

            เด็กหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ถึงจะเคยคิดเล่นๆ อยู่ว่า ในเมืองโบราณอย่างเช่นอนาคานน่าจะมีพวกสมบัติหรือทางลับอะไรพวกนี้ซ่อนอยู่บ้างเหมือนอย่างในภาพยนตร์ แต่ก็ไม่นึกว่าเขาจะสามารถหาพบโดยการได้รับความช่วยเหลือจากงู แต่ไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรมากมายต่อจากนั้น อสรพิษทะเลทรายที่หลบซ่อนอยู่ใต้ซากเพดานก็เลื้อยออกมาผ่านสายตาเขาไป แล้วเคลื่อนที่ลงไปข้างในทางเดินลับที่ไร้แสงไฟ

            มิกิได้แต่ยืนนิ่ง หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ แปลกๆ ใจหนึ่งก็อยากรู้แต่อีกใจก็เกิดกลัวขึ้นหน่อยๆ เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรรอเขาอยู่ด้านในนั้น แต่พอลองถามสัญชาตญาณตัวเอง มันกลับบอกว่าเขาควรลงไปในนั้น ใช้เวลาตัดสินใจอยู่สักพักพลางกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง สองเท้าก็พาร่างบางสู่ความเร้นลับในที่สุด..

            ทางเดินมืดมิดลาดชันลงไปเรื่อยๆ สิ่งที่เห็นมีเพียงภาพสีดำรอบกาย มิกิรู้สึกตื่นกลัวอย่างบอกไม่ถูก แต่สองขาก็พาให้เขาก้าวเดินลงไปลึกขึ้น สายตาก็เริ่มปรับให้เห็นสิ่งต่างๆ ลางๆ ได้แล้ว แต่มือก็ยังคอยใช้คลำเกาะตามกำแพงไปเรื่อยๆ ด้วยความระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ทีแรกเขาไม่มั่นใจนักว่าจะเดินไปทางไหนถึงจะถูกต้อง แต่พอได้ยินเสียงสั่นถี่จากปลายหางของอสรพิษ เขาก็แน่ใจได้เลยว่ามันกำลังนำทางเขาไปหาบางสิ่ง


            ใช้เวลาอีกสักพักสายตาก็เริ่มเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น ด้านในยังคงเป็นทางเดินมืดสนิทที่ลึกลงไปเรื่อยๆ ขณะที่อากาศรอบข้างก็เย็นลงจนเริ่มหนาว เขาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ด้านล่างนั้น แต่ถ้าให้เขาหันหลังกลับตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว

            ในที่สุดก็เดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย..

            มิกิยืนเต็มความสูง ดวงตาคู่สวยพยายามหรี่ลงมองภาพสถานที่ตรงหน้าให้ชัดๆ..ที่นี่เป็นโพรงขนาดใหญ่กว้างขวาง มีหินย้อยลงมาจากด้านบนจนถึงพื้นดินด้านล่างพร้อมกับน้ำใสๆ มองดูแล้วราวกับเสาหินขนาดใหญ่ที่เคลือบเงา ขณะที่กลิ่นชื้นของดินและไอน้ำลอยคลุ้ง อุณภูมิที่ร่างกายสัมผัสคือความเย็นสบาย

            อสรพิษที่นำทางเขาไม่รู้ว่าเลื้อยหายไปไหนแล้ว แต่เขาก็ยังคงเดินเข้าไปเรื่อยๆ แม้จะรู้สึกหวั่นใจอยู่ลึกๆ ที่เวลานี้เขาต้องพึ่งสายตาตัวเอง

            กระทั่ง..สุดปลายสายตาเห็นเงาตะครุ่มของบางสิ่งไหวกระเพื่อมขึ้นลงเหมือนกำลังหายใจ สองเท้าก็ชะงักลง

            น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยทั้งที่ตอนแรกเขามีความหวาดกลัวอยู่เต็มอก แต่บัดนี้กลับแทนที่ด้วยความสังหรณ์ใจ มิกิเดินเข้าไปใกล้สิ่งนั้นมากขึ้น แต่พอเงาดำรับรู้ถึงการเคลื่อนไหว มันก็ขยับขดตัวจนแหมือนเป็นก้อนกลมๆ ชั่วครู่เสียงสั่นสะเทือนถี่ระรัวคล้ายกับอสรพิษทะเลทรายก็ดังกังวานไปทั่ว ราวกับกำลังขู่เตือนผู้บุกรุกไม่ให้เข้าใกล้


            มิกิหยุดนิ่งอยู่กับที่ พยายามเพ่งตามองสิ่งมีชีวิตนั้นให้ชัดว่าคือสิ่งใด พอสายตาเริ่มปรับภาพต่างๆได้ เขาก็พบว่าตรงหน้าคือ อสรพิษนาคินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น มันกำลังขดตัวเป็นก้อน ส่วนหัวของมันหดถอยลงเตรียมจู่โจม ขณะที่ปลายหางใหญ่โตก็สั่นระรัวส่งเสียงกึกก้อง

            แม้เขาจะตกใจ แต่ก็ไม่ใช่เพราะขนาดความใหญ่โตโอฬารของมัน แต่เป็นสภาพของอสรพิษที่เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ เกล็ดตามลำตัวของมันหลุดลอกขาดวิ่น จนเห็นเนื้อสีแดงสดเป็นย่อมๆ ไปทั่ว ขณะที่ส่วนหัวก็เป็นรอยแผลฉกรรจ์พาดบากลงมา มีรอยไหม้เป็นปื้นแดงทาบทับไปจนถึงดวงตาที่ปิดสนิททั้งสองข้าง เพียงแค่เห็นหัวใจก็หล่นร่วงไปอยู่แทบเท้า  ข้างในอกรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาด้วยความสงสารและเสียใจ พลันนึกถึงใบหน้าของชายผู้หนึ่งเป็นไม่ได้ ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวขึ้น..น้ำใสๆ ไหลล้นออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกยามจ้องมองบอกเขาว่า นาคินตัวนี้ คือคนคนนั้น!

            “บาซิกค์! นายคือบาซิกค์ใช่ไหม” น้ำตาหยดลงบนพื้น เอ่ยคำถามปนเสียงสะอื้นตามหัวใจที่โหยหาเรียกร้อง สองขาก้าวเดินออกไปอย่างไม่กลัวตาย แม้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ใช่คนที่เขาต้องการ

            เป็นเพราะดวงตาทั้งสองข้างมิอาจรับรู้ อสรพิษจึงสั่นหางแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เริ่มเข้ามาใกล้ ทว่า..เสียงที่คุ้นเคยกลับทำให้มันไม่ได้ขยับตัวถอยหนี ราวกับรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าสิ่งที่กำลังมาไม่เป็นอันตราย

            หัวใจของสัตว์ร้ายเต้นเร็วขึ้น รู้สึกถึงไอร้อนที่อยู่ใกล้อยู่ ความรู้สึกคุ้นเคยนี้ทำให้ความระแวดระวังของมันลดลง ปลายหางที่สั่นถี่เริ่มเบาลงเรื่อยๆ ขณะที่มิกิค่อยๆ เอื้อมมือเรียวออกไปใกล้มากขึ้นหวังจะสัมผัสร่างกายของฝ่ายตรงข้าม อสรพิษย่อศีรษะลงต่ำในระดับมือของเด็กหนุ่มราวกับมันรับรู้ได้


            ลมหายใจอุ่นๆของสัตว์ร้ายพ่นออก จนกลายเป็นไอระเหย...

            ลิ้นเรียวยาวสองแฉกเลียมือของคนที่มันมั่นใจว่าเป็นใครอย่างอ่อนโยน..

            เพียงได้สัมผัสก็มิอาจกลั้นความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป  วินาทีสุดท้ายราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน มือเรียววางบนปลายจมูกอสรพิษ แค่นั้นความสุขใจก็ปะเดปะดังเข้ามาจนดวงตาทั้งสองข้างหักห้ามความรู้สึกที่กักกลั้นไว้ไม่ไหว น้ำตาพร้อมกับเสียงสะอื้นปลดปล่อยออกมาอย่างไม่รู้จักอับอาย โผกอดอสรพิษเกลียดชังอย่างโหยหา กำแพงที่เคยปิดกั้นพังทลายลงในพริบตา..ริมฝีปากพร่ำเอ่ยสิ่งที่กักเก็บอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า


            “ฉันขอโทษ..ฮึก ฉันขอโทษ ฮือๆ” เสียงสะอื้นดังก้อง ความรู้สึกผิดและเสียใจทำให้ยอมพูดทุกอย่าง ข้ามทิฐิของตัวเอง สองแขนโอบกอดไว้แนบแน่นราวกับกลัวว่าอสรพิษตนนี้จะหายไป บาซิกค์อยากจะโต้ตอบด้วยคำพูด แต่ด้วยร่างนี้เขาไม่สามารถสื่อสารกับมิกิได้ แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าเด็กหนุ่มหาเขาเจอได้ยังไง แต่สุดท้ายก็เลิกคิดถึงเรื่องนั้น


            เขาหายห่วงแล้ว เพราะชีวิตมนุษย์นั้นเปราะบาง..


            หากตัดสินใจช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาที เขาอาจจะไม่มีวันเจอร่างนี้อีก..


            เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำคือสิ่งใด รู้แต่เพียงเขาคงทนไม่ได้หากร่างนี้ต้องสูญสลายไป.


            อสรพิษโต้ตอบการกอดด้วยการใช้หางรัดร่างเด็กหนุ่มไว้หลวมๆ พลางใช้ศีรษะคลอเคลียที่ข้างแก้มเปียกชื้นราวกับจะซับน้ำให้ จนเด็กหนุ่มอดอมยิ้มเป็นไม่ได้

 
            พวกเขากอดกันอยู่แบบนั้นเนิ่นนาน..

            ดวงตาของเทพนาคิน จะไม่มีวันมองใครอื่นนอกจากคนคนนี้..

            มิกิ..

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 16]UP 16/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 16-09-2015 16:51:22
  ค่ำคืนที่ 16 : น้ำตาที่ระเหยบนผืนทราย..Part 3
         
             กลางทะเลทรายร้อนระอุ อาทิตย์แผดเผาราวกับต้องการลอกผิวหนังให้ไหม้เกรียม หากมองจากผืนฟ้าเบื้องบนมองลงมา จะเห็นกลุ่มคนชุดดำจำนวนนับสิบบนหลังอาชาที่กำลังควบออกไปยังทะเลทรายเวิ้งว้าง

            ร่างสูงใหญ่ของผู้นำอยู่น่าขบวน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของหลุมคนชุดดำ หยุดม้าอยู่ที่เนินทรายสูงพูน ดวงตาคมกริบสีเข้มใต้ผ้าคลุมศรีษะหรี่ลงมองภาพรางของกำแพงเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลสุดสายตา

            ความชิงชังปรากฏขึ้นบนแววตานั้นอย่างชัดเจน ขณะที่สีหน้าภายใต้ผ้าคลุมก็แสดงออกไม่ต่างกัน เขาขบฟันแน่น  มือที่กุมบังเหียนม้าเอื้อมออกไปด้านหน้า เหมือนต้องการคว้าเมืองที่เป็นจุดหมายนั้นอยู่ในกำมือ  ก่อนจะบีบจนสั่น ราวกับกำลังระบายความโกรธแค้น

            เชิญเสวยสุขบนความทุกข์ของคนอื่นให้พอใจ อีกเพียงไม่นาน เมืองอันยิ่งใหญ่จะต้องรับรู้ถึงความเจ็บปวดของพวกเขา
 หากนี่คือสงคราม..’เวลา’ คงไม่ใช่เครื่องมือที่ดีนักแต่การโต้ตอบอย่างแยบยลต่างหากถึงจะสาสม

            ว่าแล้วก็กระตุกบังเหียนม้าแรงๆอีกครั้ง อาชาสีเข้มพุ่งทยายไปด้านหน้านำกลุมคนชุดดำจำนวนนับสิบก้าวเข้าสู่นครเบื้องหน้า..

            ได้เวลาทวงคืน..

 

            อากาศคืนนี้ช่างหนาวเย็นจับหัวใจ เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่หัวหน้าราชบริวารหนุ่มอยู่ที่ซาคาเดียร์ แต่กลับยังไม่รู้สึกชินเสียที

            ภายในห้องพักสี่เหลี่ยมเรียบหรู ซาอิดนั่งลงที่ริมขอบเตียงพลางครุ่นคิด เวลานี้บาดแผลตามร่างหายไปแล้ว และร่างกายของเขาก็เริ่มกลับมาแข็งแรงเหมือนเก่า ทีแรกเขาคิดว่าราชีนีคิเมดาห์จะมีรับสั่งขังเขาไว้ตามมาทีหลัง แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเท่าไรนัก

            หลายครั้งที่เขาพยายามถามหาเหตุผลว่าทำไมราซิสถึงพาน้องชายอย่างเขามาที่นี่ แต่ราซิสกลับให้คำตอบแค่เพียงว่า

            ‘จากนี้ไปเจ้าไม่ใช่คนของอนาคาอีกต่อไปแล้ว..’

            ประโยคนั้นทำให้เขารู้สึกเย็นวาบในหัวใจ รู้สึกใจหาย และยังมิอาจยอมรับสถานะใหม่ของตัวเองได้ เขาอยากจะกลับไป..แต่อย่างไรสายเลือดของเขาก็คงถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ การเริ่มใหม่สำหรับเขาคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว สุดท้ายจึงได้แต่ใช้ชีวิตทิ้งลมหายใจไปวันๆ โดยที่ไม่คอยรับใช้ใคร

            บางครั้ง เขาก็พยายามคิดว่า อนาคานกับซาคาเดียร์แตกต่างกันเช่นไร หนึ่งสิ่งที่เด่นชัดก็คือซาคาเดียร์คือเมืองแห่งหญิงสาว ไม่มีนาคินชายคนใดสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ ถ้าไม่นับกรณีตัวเขาและท่านพี่ราซิส ส่วนอีกหนึ่งคือระบอบการปกครอง และชีวิตการเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ นั้นมีสีสันมากกว่าอนาคานหลายเท่านักพวก เขาร้องเพลงเต้นรำ อย่างมีความสุข..ไร้ซึ่งความตึงเครียดใดๆ ขณะที่พระราชวังก็ใหญ่โตหรูหรากว่าบ้านเขามากนัก

            ซาอิดเคยใช้เวลาทั้งวันเพื่อสำรวจที่นี่ แต่ก็ยังไม่ครบทุกส่วนอยู่ดี ทว่า..ถึงจะใหญ่โตเพียงใด แต่กลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก และแม้ซาคาเดียร์จะมีสาวงามที่ปฏิบัติหน้าเยี่ยงชายทุกอย่าง แต่ภายใต้หน้ากากและรอยยิ้มงดงามของพวกนาง ในแววตาหาได้ยิ้มตาไปด้วยไม่ ผิดกับอนาคาน ที่ถึงจะเป็นเมืองที่เงียบเหงา แต่ก็เป็นความเงียบเหงาที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้แสร้งทำ

            เขาไม่ชอบที่นี่เลย..

            แต่คงกลับอนาคานไปไม่ได้อีกแล้ว องค์ชายบาฮาลคงอยากจะฆ่าเขาให้ตายด้วยมือตัวเอง แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้เล่า เพราะเขาไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรเลยสักอย่าง

            จะว่าไป..หลังจากคำพูดในคืนนั้นของท่านพี่ราซิส ก็ทำให้เขารู้สึกใจไม่ดียิ่งนัก เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองบ้านเกิด แต่พอพยายามสืบเสาะหาความดูเท่าไร ก็มีเพียงแต่ความเงียบงันเท่านั้นที่เป็นคำตอบ เขาไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ ว่าซาคาเดียร์คิดจะวางแผนอะไรต่อไป

            สุดท้ายความอึดอัดแล้วความเป็นกังวลในหัวใจ ก็ทำให้ลุกขึ้นพรวดจากเตียง แล้วเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่แขวนเอาไว้ที่ราวตั้งมาสวมทับ ก่อนจะเปิดประตูออกไปด้านนอก เผื่ออากาศเย็นๆจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

            ไม่รุ้ว่าเป็นเวลากี่ยามแล้ว ถึงแม้ทุกอย่างจะดูเงียบเฉียบและมืดดำไปหมด แต่ซาคาเดียร์ก็ยังคงจุดคบไฟให้ความสว่างบนเสาทุกต้นเสมือนว่าที่แห่งนี้ไม่เคยหลับ

            ขาเรียวยาวก้าวเดินไปตามทางเดินทิศตะวันออกของวังที่อยู่ติดกับสวนสระน้ำ ที่นี่เงียบกริบมาก ไม่มีสาวใช้หรือพวกทหารคอยเฝ้าหนาตาเหมือนกับฝั่งอื่น มีเพียงแค่ทหารหญิงสองคนที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า

            ซาอิดนั่งลงอยู่ที่ริมบันไดขั้นสุดท้ายที่ลงไปยังสระเบื้องล่าง ดวงตาสีครามทอดมองผืนน้ำที่สะท้อนภาพดวงเดือนลอยเด่นอยู่ใจกลาง ก่อนภาพนั้นจะกระเพื่อมไหวเป็นระลอกคลื่น เมื่อหินก้อนเล็กๆถูกมือเรียวขว้างลงไปในสระ ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น สีหน้าของชายหนุ่มมองดูแล้วช่างแสนเบื่อหน่ายเต็มที ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ดั่งใจสักอย่าง

            เวลานี้เขาคงกลายเป็นคนของซาคาเดียร์ไปแล้วสินะ..

            แต่..อนาคานจะรู้ไหมว่าความรู้สึกตอนนี้ของเขาเป็นเช่นไร..

            อยากให้คนๆนั้นรับรู้ เพียงแค่เศษเสี้ยวของความรู้ของเขาบ้างก็ยังดี..ว่าเขาไม่ได้เต็มใจ..หนีไป

            ขณะที่กำลังขว้างก้อนหินลงน้ำเหมือนเช่นเคย เพื่อระบายความเบื่อหน่าย จู่ๆข้อมือของเขาก็ถูกยึดไว้ฉับพลัน ดวงตาสีครามเบิกโต ริมฝีปากถูกอุ้งมือใหญ่ปิดไว้กระทันหันจากทางด้านหลัง

            “ อย่าส่งเสียงดัง ไม่งั้นข้าจะปาดคอเจ้า ” เหล็กกล้าเย็นเฉียบจ่อไว้ต้นคอของหัวหน้าบริวารหนุ่ม ควมคมของมันเพียงแค่กลืนน้ำลายก็สามารถบาดลจนเลือดไหลซึม ทว่า การกระทำมิอาจทำให้ตกใจเท่าเสียงของคนพูดขู่ ดวงตาสีฟ้าครามชำเลืองหางตาหาผู้ที่อยู่ด้านหลัง

            องค์ชาย..!

            พอร่างสูงรู้ว่าคนที่ลอบจู่โจมเป็นใคร มือหนาก็คลายออกจากริมฝีปาก ดวงตาสีครามเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ตรงหน้าคือร่างผู้เป็นเจ้าชีวิตในชุดเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าที่ไร้การปกปิดขมวดคิ้วมองเขา

            “ พระองค์มาที่นี่ได้ยังไง ” ถามขึ้นด้วยความรู้สึกปะปนหลากหลาย ทั้งแปลกใจและดีใจขณะเดียวกัน ถึงไม่รู้ว่าองค์ชายจะคิดเช่นเดียวกับเขาหรือไม่ แต่เพียงได้เห็นหน้า หัวใจข้างในก็เต้นแรงขึ้น

            องค์ชายบาฮาลรู้สึกสับสนในตัวเอง ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมใบหน้านั้นถึงต้องยิ้มอย่างเปี่ยมสุขด้วยเลยเจอหน้าเขา ทั้งที่ควรจะตกใจแล้วร้องขอชีวิจเสียมากกว่า แต่อย่างไรเขาก็ยังไม่ไว้ใจคนที่ทรยศต่ออนาคาน และตอนนี้เขาจะเสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้

            “ เรื่องนั้นไม่สำคัญ บอกข้ามาราชีนีอยู่ที่ใด ” คำถามนั้นทำเอาราชบริวารหนุ่มกลืนน้ำลาย เข้าใจในทันทีว่าร่างสูงมาที่นี่เพราะเหตุใด แต่ไม่ทันได้เอ่ยตอบ  คมดาบก็แทบแนบชิดกับลำคอ

            “ นำทางข้าไป.. ”

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 16]UP 16/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 16-09-2015 16:52:23
ค่ำคืนที่ 16 : น้ำตาที่ระเหยบนผืนทราย...part จบ

            ในห้องสรงน้ำของราชีนีคิเมดาห์ นางกำลังชำระร่างกายในอ่างทองคำอย่างสบายใจ น้ำอุ่นๆ ผสานกับกลิ่นหอมของกำยานกลิ่นกุหลาบทำให้เธอรู้สึกเคลิบเคลิ้ม รอยยิ้มบางเบายกขึ้นที่มุมปากสวยของหญิงงาม มือเรียวไล้ไปตามท่อนแขน ถูผิวกายผุดผ่อวราวกับต้องการโอ้อวดชายหนุ่มที่อยู่ในห้อง  ทว่าคนข้างกายที่เรียกมาปรนนิบัติกลับแสดงสีหน้านิ่งเฉยราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจตลอดเวลา ในที่สุดเธอก็ทนความเงียบไม่ไหว จึงเป็นฝ่ายเปิดปากถามขึ้น

            “ เป็นอะไรไปราซิส ไยเจ้าถึงทำสีหน้าเช่นนั้น ไม่อยากลงน้ำเป็นเพื่อนข้างั้นหรือ ”  คิเมดาห์เอนตัวมาเกาะที่ริมขอบอ่าง ริมฝีปากเขยื้อนถามอย่างยั่วยวน ราซิสหลุบตาลง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ

            “ หาได้เป็นเช่นนั้น กระหม่อมแค่กังวลกับเรื่องน้องชายนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ”

            “ พักนี้เจ้าหายใจเข้า หายใจออกเป็นน้องชายตลอดเลยนะ ลืมราชีนีอย่างข้าไปแล้วหรือไร ” เธอคลี่ยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง มือเรียวขาวยกขึ้นมาจากอ่างกุหลาบแล้วลูบไล้ด้วยมืออีกข้างต่อหน้าชายหนุ่ม

            ราซิสยกมุมปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนโน้มตัวลงใกล้หญิงสาวกระซิบเสียงนุ่มข้างใบหู

            “ พระองค์น้อยพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

            “ หึ..ราซิสเจ้าสำคัญตัวผิดไปหรือเปล่า ” คิเมดาห์หัวเราะเบาๆก่อนจะผินใบหน้าสวยงามปานเทวีมาหาองครักษ์ข้างกาย ราซิสกระแอ่มไอก่อนยืดตัวตรง

            “ อาจเป็นเช่นนั้น หากพระองค์ทรงไม่ต้องการ กระหม่อมก็จะออกไป ” พอได้ยินเช่นนั้น หญิงก็หัวเราะออกมาเบาๆ

            “ เพราะขี้น้อยใจเช่นนี้สินะ เจ้าถึงได้แค้นราชาบาซิกค์มากนัก ” เธอเอ่ยอย่างนึกขัน แต่สำหรับราซิสแล้วกลับเป็นจี้จุดเข้าหัวใจตัวเองอย่างจัง

            ในอดีตเขาเคยเป็นองครักษ์คนสนิทขององค์ราชา ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟที่ไหนเขาก็ยินดีเสี่ยงชีวิตทำให้สำเร็จให้จงได้ แต่หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำเอาความจงรักภักดีหายไปในพริบตา เหลือเพียงแค่ความเกลียดชังแทนที่ในหัวใจ

            “ พระองค์ตรัสได้ไม่ผิด.. ” ราซิสกล่าวนิ่ง ก่อนคำนับราชานีแห่งซาคาเดียร์ แล้วคิดจะเดินออกไปจากห้อง

            คิเมดาห์มองตามแผ่นหลังขององค์รักษ์  ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มลงเป็นเส้นตรง ถึงจะคิดว่าตัวเองอาจจะพูดแรงไป แต่หากรักจะอยู่ที่นี่ คนที่เจ้าตัวควรบูชานั้นคือเธอ ไม่ใช่เจานายที่ไม่เห็นค่า แต่ขณะที่ราซิสกำลังเอื้อมไปบิดลูกบิดประตู สิ่งหนึ่งก็ทำให้เขาชะงักไป

            “ องค์ราชานี.. ”  เสียงเรียกนั้นทำเอากลีบปากสวยแสยะยิ้ม คิดว่าราซิสต้องพูดอะไรเพื่อเอาใจเธอเป็นแน่ แต่หากผิดคาด

            “ เรามีแขกมาเยือนพ่ะย่ะค่ะ ” ทันทีที่ได้ยิน ดวงตานางพญาก็เบิกกว้างทันที!

            ปึง!

            ประตูห้องถูกถีบออกผ่าง ราซิสกระโดดตัวถอยหลังออกมาใหเพ้นแนวจู่โจม ก่อนใช้ตัวป้องกันผู้เป็นเจ้าชีวิตไว้เบื้องหน้า ดวงตาสีครามหรี่ลงมอง ตรงหน้าปรากฏเป็นชายชุดดำรูปร่างสูงกำยำ ในเงื้อมือของเขามีร่างของอดีตหัวหน้าราชบริวารอยู่ในอ้อมแขน  ขณะที่ดาบเรียวคมก็จ่อไว้ที่ลำคอขาว

            ราชีนีคิเมดาห์ขมวดคิ้วลงต่ำ สีหน้าในตอนแรกนั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธที่มีคนมาขัดจังหวะระหว่างที่เธอกำลังเสวยสุข แต่พอมองผู้บุกรุกให้ชัด สีหน้ากับแปลเปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน

            “ นึกว่าใครที่แท้..องค์ชายบาฮาลนี่เอง เป็นอย่างไรบ้างองค์ราชาสบายดีหรือไม่ ” ร่างงามรุกขึ้นจากอ่างทองคำ ไม่อับร่างกายของหญิงสาวที่ไร้การปกปิด แต่หากทักทายด้วยท่าทีเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “ อย่ามาเสแสร้ง! ”

            “ บังอาจขึ้นเสียงกับข้าหรือ รู้หรือเปล่าว่าข้าคือใคร ” ดวงตานางพญาจ้องมองนิ่งราวกับคนตรงหน้าเป็นเหยื่อตัวน้อย  เธอเผยมือทั้งสองข้าง มนตราทำให้หยาดน้ำในอ่างย้อนปกคลุมกายอรชรของหญิงสาวราวกับอสรพิษเกี้ยวพัน กระทั่งกลายเป็นอาภรณ์ทองคำของราชีนีสูงศักดิ์ บาฮาลยังคงจับตัวประกันของตัวเอาไว้แน่น ขณะที่ซาอิดกลับไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรถึงจพถูกต้อง จึงได้แต่ปล่อยตัวไปไม่ขัดขืน

            “ ข้าจะให้เวลาเจ้า รีบออกไปจากที่นี่ซะ แล้วข้าจะทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ” ข้อเสนอแสนง่ายดายจากราชีนีหยิบยื่นมาให้ ได้ยินเช่นนั้นองค์ชายบาฮาลถึงกับเดือดพล่าน..เขาเป็นนักรบอย่างก็ไม่เคยกลัวตายกับการกระทำของตนเองอยู่แล้ว แต่ในเมื่อความอดทนสิ้นสุด วันนี้เขาต้องต้องได้เลือดอสรพิษชั่วร้ายมาล้างเท้าให้จงได้

            “ ไม่สิ่งใดเกิดขึ้น เหมือนที่พวกเจ้าทำร้ายเทพนาคินใช่หรือไม่ ไม่ว่าสารเลวนั้นจะสูงส่งมาจากไหน ข้าก็จะดึงมันจากบัลลังงก์จอมปลอมให้จงได้ เจ้าจะยอมรับโทษทัณฑ์แต่โดยดีหรืออยากให้แผ่นนี้ชโลมด้วยเลือดของเจ้า! ”

            “ หึ..อสรพิษที่ไร้พิษสง กำลังล้อเล่นกับนางพญาอยู่ใช่หรือไม่ ยอมรับโทษทัณฑ์อะไรกัน ข้าไม่เห็นรู้เลยสักนิด หากไม่มีหลักฐานก็อย่ามาปรักปรำกัน เทพนาคินก็คือองค์เทพที่ซาคาเดียร์เคารพบูชาด้วยเช่นกัน หากต้องการความช่วยเหลือ พวกเราก็พร้อมที่ยื่นมือช่วย ไม่ใช่มากล่าวหาคนที่จับมือดมไม่ได้! ”

            “ อนาคานไม่ต้องการมือเปื้อนเลือดสกปรกอย่างเจ้า ต่อหน้ากราบไหว้บูชา ลับหลังคงใช้เท้าละเลงเหยียบย้ำ พอกันทีกับเมืองที่ไม่มีความละอายแก่ใจ หากกฏเทพนาคินไม่ได้ค้ำคอพวกเจ้าเอาไว้ เมืองนี้ก็เป็นแค่เมืองชั้นต่ำไร้ซึ่งสำนึก! ”

            “ หุบปากซะ! ” คิเมดาห์ตวาดลั่นอย่างเหลือด มือเรียวกำแน่ด้วยความโกรธ “เจ้ากำลังลบหลู่ชาคาเดียร์ หากองค์ราชาของเจ้าต้องการสงคราม ข้าจะสังเวยองค์ชายอย่างเจ้าเป็นคนแรก เพื่อบูชาแด่กฏของเทพนาคิน! ” สิ้นเสียงพื้นห้องก็เต็มไปด้วยอสรพิษนั้นร้อยราวกับพรม พวกมันชูคอขึ้นสูงแผ่แม่เบี้ยส่งเสียงขู่ฟ่vผู้เป็นศัตรู แต่องค์ชายหาได้เกรงกลัวไม่ วันนี้ถ้าไม่ได้เลือดราชีนีจอมปลอมมาล้างเท้าทวยเทพ เขาจะไม่ยอมกลับไปที่อนาคานอีก!

            “ หึ บูชากฏเทพนาคิน ทั้งหมดก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวง หากมีคนต้องสังเวยเพราะกฏนี้ คิเมดาห์เจ้านั่นล่ะที่สมควรมากที่สุด! ”

            สิ้นเสียงร่างแกร่งก็พุ่งทยานออกไป กลายเป็นอสรพิษดำขนาดยักษ์ คมเขี้ยวแยกกว้างพร้อมกลืนกินราชีนีโอหังที่อยู่ตรงหน้า แต่ไม่ทันจะได้ปลิดลมหายใจ อสรพิษทะเลทรายสีเหลืองทองอีกตัวก็กระโจนตัวเข้ามาขว้างกั้น แรงปะทะทำให้ทั่วทั้งห้องสั่นเสทือนคล้ายกับจะถล่มลงมา

            คิเมดาห์แสยะยิ้มมองดูภาพการต่อสู้อย่างไร้ซึ่งความปราณี เธอยกมือขึ้นสูง อสรพิษที่พื้นทั้งหมดชูคอขึ้นขู่คำราม ก่อนนิ้วเรียวงามชี้บัญชาไปที่ร่างของอสรพิษดำ!

            “ ฆ่ามัน.. ” สิ้นเสียงเลือดเย็น งูเห่านับร้อยก็รุมเข้าไปร่วมต่อสู้ทันที ซาอิดเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นเนื้อตัวสั่นเทาจนทำอะไรไม่ถูก แต่ไม่ทันได้ที่อสรพิษพวกนั้นถึงตัวเจ้าชีวิต แรงสั่นเสทือนทำให้พื้นที่ยืนอยู่ก็เกิดรอยร้าวแยก ไม่ช้าพื้นดินก็ยุบหวบลงไปต่อหน้าต่อตา ซูบทุกสิ่งลงไปเบื้องล่างทันที!

            โครม!

            เสียงถล่มดังกึกก้อง ฝุ่นควันลอยคลุ้งตลบราวกับม่าน เศษซากของสิ่งปลุกสร้างชิ้นเล็กชิ้นน้อยยังคงตกลงมาราวกับสายฝน อสรพิษนับร้อยนอนไร้ลมหายใจ ทว่าการต่อสู้ของนาคินยักษ์ทั้งสองหาได้จบลงไม่

            ซาอิดตกลงมาด้านล่าง รู้สึกเจ็บระบมไปตามเนื้อตัว ศรีษะแตกออกเล็กน้อยจากแรงกระแทก โชคดีที่ความสูงนั้นไม่มากนักจึงไม่ถึงกับสิ้นหายใจ แต่พอลองขยับร่างกาย ก็เจ็บแปลบที่ท่อนขาจนต้องร้องครวญ เมื่อมองตามก็พบว่าซากเพดานทับขาเขาไว้อยู่ เขาออกแรงใช้ฝ่ามือดันสิ่งที่ทับอยู่ออกไป ครั้นจะพยายามยืนเต็มตัว ก็ต้องล้มพับกองกับพื้นไปใหม่เพราะความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาราวกับกระแสไฟฟ้าตามแนวกระดูกท่อนขา

            ขาเขาคงจะหัก..

            คิดแบบนั้นกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ไม่ทันไรเสียงโครมครามที่ดังอยู่เบื้องหน้าก็ดึงความสนใจเขาไปอีกครั้ง ดวงตาสีครามเบิกกว้างขึ้น เมื่อเห็นอสรพิษขนาดใหญ่มามากมายกำลังต่อสู้กันอยู่ไปทั่วบริเวณ

            ภายความโหดร้ายปราฏขึ้นสู่สายตา กลิ่นดาวเลือดโชยคลุ้งอบอวล หัวใจของเขาไหววูบสับสน ไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใด ภาพหยาดของเหลวสีแดงสดมากมายก็ยังคงสาดกระเซ็น ราวกับต้องการย้อมพระราชวังสวยงามนี้เป็นสีแดง

            ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น นัยน์ตาสั่นเครือมิอาจกลั้นความรู้สึกก่อบนริมขอบตา

            ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้..

            ทั้งๆกฏของเทพนาคินมีเพื่อความสงบสุข..แต่แล้วทำไมเล่า

            คนที่ไม่ใช่ทั้งนาคิน และราเมียร์อย่างเขาจะมีอำนาจได้รั้งเหตุการณ์นี้ได้..

            ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเพราะ ‘กฏ’ ที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกต้อง แต่หากภาพที่ปรากฏสู่ดวงตาเขาเวลานี้มันมิใช่การต่อสู้เพื่อความถูกต้อง แต่คือความเห็นแก่ตัว ที่สะท้อนออกมา

            มันทำให้เขาฉุกคิดได้ว่า..แท้จริงแล้ว คำสาปร้ายจากการฝืนกฎของเทพนาคิน นั้นไม่ใช่โรคระบาดร้าย แต่เป็น..

            การที่เรา เข่นฆ่ากันเอง..

           
            พอแล้ว..ไม่เอาอีกแล้ว

            หยุด..หยุดสักที..

            คิดเช่นนั้นจิตใจก็ราวกับโดนสะกดลอยออกจะสิได้สติ กายสูงโปร่งพาร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล ค่อยๆก้าวหาสงครามที่ยังไม่ได้ผู้ชนะ แม้แต่ล่ะย่างก้าวจะเจ็บที่ท่อนขานเจียนอยากจะตัดมันออกจะร่าง แต่หากหัวใจมันเจ็บจนด้านชาไร้ความรู้สึกใดอีก น้ำตาไหลอาบลงมาจากแก้ม หยดลงตามพื้นที่เจ่อนองด้วยซากอสรพิษ จังหวะหนึ่งที่ใกล้เพียงเอื้อมมือของชายหนุ่มที่จะเอ่ยห้ามศึก นาคินยักษ์ทั้งสองก็ขู่คำรามชูคอสูงพร้อมเผด็จศึก!

            “ อย่านะ!! ”  พุ่งตัวออกไปจนลืมความเจ็บ เสี้ยวินาทีทุกอย่างขาวโพลน..

            ฉึก!

            ‘ ซาอิดอนาคานคือบ้านของเจ้า เจ้าต้องเคารพกฏและภักดีกับเทพนาคินด้วยชีวิต’

            ‘ เจ้าเห็นไหม อนาคานอบอุ่นเพียงใด ’

            ‘ การไปสู่ซาคาเดียร์ ก็เหมือนกับเรากำลังก้าวข้ามบันไดสวรรค์อย่างได้คิดสงสัยเชียว’

            ‘ ท่านพี่! ทำไมถึงได้ทำเช่นนี้ ’

            ‘ เหรียญนี่ ข้ามอบให้เจ้า ’

            ‘สายเลือดของคนทรยศ..’

            ‘ อนาคานคือบ้านของเจ้า ’


            แหมะ..

            แหมะ..

            ความคิดต่างๆไหลท่วมเข้ามาพร้อมกับเสียงสะท้อนในอดีตที่ก้องอยู่ในหู ภาพความทรงจำอันอบอุ่น ทำให้ใจดวงนี้พองโตขึ้นช่วงขณะ แม้สุดท้ายภาพทุกอย่างอาจจะเป็นผลไม้หวานที่อาบยาพิษ แต่หากผลไม้ลูกนี้เป็นลูกสุดท้ายที่จะหยุดความตายของทุกคนได้ เขาก็ยินยอมรับรสชาติอันแสนหอมหวานนี้อย่างเต็มใจ

            คมเขี้ยวนาคินเหลืองและดำฝั้งลงบนบ่าของชายหนุ่มทั้งสองด้านก่อนถอดถอน หยาดเลือดไหลโซมลงมาทั่วทั้งร่างออกมาจากบาดแผลที่ฝั้งเขี้ยว การต่อสู้ของทั้งสองนาคินชะงักงัน ดวงตาสัตว์ร้ายเบิกกว้าง ไม่ช้าเสียงดัง ‘ตุบ’ ก็ดังขึ้นพร้อมกับภาพราชบริวารหนุ่มที่ล้มลงจมกองเลือดของตัวเอง

            “ ซาอิด!! ” เสียงร้องดังลั่น อสรพิษทะเลทรายกลายเป็นชายผอมสูง ผมสีทองปลิวสยายไปตามแรงก้าวเร่งรีบ มือแกร่งพยุงร่างที่พลั้งมือทำร้ายขึ้นมาไว้ในอ้อมแขม สายตาคมกริบที่เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวบัดนี้คลอไปด้วยน้ำใสๆริมขอบตาอย่างไม่รู้ตัว

            “ ซาอิด ซาอิด !! ”  พร่ำเรียกชื่อซ้ำๆปานจะขาดใจ ประคองร่างที่ใกล้สิ้นลมไว้ในอ้อมแขน สองมือของผู้เป็นพี่ชายตบลงที่ใบหน้าหน้าของน้องชายตัวเองเพื่อไม่ให้ดวงตาสีครามนั้นปิดลง

            ซาอิดรู้สึกเหมือนลมหายใจกำลังขาดใจ ริมฝีปากพยายามเผยอขึ้นหาอากาศ แต่กลับรู้สึกว่าเนื้อตัวชาไปหมดเหมือนถูกแช่แข็ง แม้จะรับอากาศเข้าไปก็ลำบากยิ่ง หัวใจเต้นช้าลงเรื่อยๆราวกับมันจะหยุดเหมือนไรก็ได้ ตรงหน้าคือภาพพร่ามัวของใครบางคน แต่เสียงที่กำลังพร่ำเรียกชื่อเขาทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคือพี่ชายตัวเอง มีของเหลวบางอย่างหยดลงมาในปาก แต่ลิ้นก็ชาเกินกว่าจะรับรสชาติ ทุกอย่างดำมืดลงเรื่อยๆ

            อสรพิษดำคืนร่าง องค์ชายบาฮาลเบิกตากว้างกับภาพที่เห็น ใบหน้าคมเข้มถอดสีจนซีดเซียว หัวใจคล้ายกับหลุดหายไปจากร่าง  แม้จะตราหน้าว่าซาอิดคือคนทรยศ แต่เขากลับไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดว่าทำไมถึงได้ปานจะขาดใจ เขาเป็นนักรบ เห็นคนตายมาก็มากล้น แต่ทำไมกับคนๆนี้ ถึงทำให้สองเท้ารีบวิ่งเข้าไปหาได้

            ทว่า..แม้สถานการ์ณจะเปลี่ยนไปชั่วครู แต่สถานะของเขาในตอนนี้ก็คือผู้บุกรุก ยังไม่ทันจะได้แย่งราชบริวารหนุ่มมากจากมือของศัตรู เขาก็ต้องชะงักฝีเท้าไว้ฉับพลัน ตรงหน้าปรากฏฝูงอสรพิษขนาดใหญ่นับสิบที่เลื้อยเข้ามารายล้อมคู่พี่น้องทั้งสองราวกับจะปกป้อง ก่อนหญิงสูงศักดิ์แห่งซาคาเดียร์จะก้าวมายืนขวาง

            “ อย่าขยับ..เดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่เตือนว่าพิษงูเห่าร้ายแรงขนาดไหน ”ดวงตานางพญาจิกมององค์ชายหนุ่มอย่างสมเพช รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นบนดวงหน้างดงาม

            “ ปล่อยซาอิดนะ! ” ขึ้นเสียงตวาดดังด้วยความเจ็บใจ คิเมดาห์สาวเท้าเดินมาประชันหน้าองค์ชายหนุ่มอย่างไม่เกรง

            “ โถ่ๆ..องค์ชายบาฮาลไยเจ้าถึงได้ลังเลเช่นนี้ ข้าอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ทำไมไม่ลงมือฆ่าข้าเสียล่ะ จะเป็นห่วงคนทรยศทำไม ” สรุเสียงราบเรียบแต่เจือไปด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า คิเมดาห์ไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะล้วงเอาความรู้สึกของร่างตรงออกมาเป็นเครื่องมือ จนหัวใจองค์ชายหนุ่มถึงกับกระตุก ทั้งที่จุดประสงค์ที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าต้องการเด็ดศีรษะราชีนีชั่วช้า แต่ก็พลันหายไปในพริบตา เพียงเพราะราชบริวารที่ทรยศต่อนาคานเพียงคนเดียว

             ทำไมกัน..ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้

            มือแกร่งกำแน่นจนสั่น ใจหนึ่งก็ห่วงร่างที่รับคมเขี้ยวพิษไปสุดใจ แต่อีกใจก็สั่งระงับเอาไว้ จึงได้แต่ยืนนิ่งพยายามคิดแต่หัวสมองก็ว่างเปล่าไร้ทางออก คิเมดาห์ปรายสายตามองเขาก็จะคลี่รอยยิ้มหวานดุจน้ำผึ้งอาบยาพิษ

            “ เป็นนักรบเสียเปล่า แต่จุดประสงค์ไม่ชัดเจนแบบนี้ ก็เท่ากับเอาชีวิตคนมาทิ้งโดยเสียเปล่า ” เธอกล่าวอย่างนึกขัน และเพียงไม่นาน ทหารของซาดาเดียร์ในราชวังที่เงียบหายไป ก็ลายล้อมองค์ชายหนุ่มไว้รอบด้าน ขณะที่ศพของกลุ่มคนชุดดำ ก็ถูกโยงลงแทบเท้าขององค์ชายบาฮาล จนดวงเนตรสีเข้มเบิกกว้าง..

            “ คิดว่าซาคาเดียร์ไร้กำลังถึงขนาดนั้นหรือไงองค์ชาย กะอีแค่ดอกไม้ยาสลบไม่กี่ดอก คิดว่าจะสามารถทำให้ทหารทั้งวังหลับได้หมดหรือไง” องค์ชายบาฮาลกลืนน้ำลายลงคอ คิ้วหนาขมวดเข้าหันจนแน่นแสดงถึงความตึงเครียด เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ใบหน้าคมเข้ม

             เพราะความขาดสติทำให้แผนการของเขานั้นไม่รัดกุมรอบคอบ และไม่ได้คิดถึงผลเสียหรือเรื่องอื่นที่จะตามมา จึงได้พาชีวิตของคนอื่นมาสังเวยอย่างไร้ความหมาย

            บาฮาลขบฟันจนแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับการแก้ไขสถานการณ์นี้ ยอมรับเพราะความประมาทจึงคิดว่าทุกอย่างจะง่ายดาย แต่ความจริงแล้วถึงคิเมดาห์จะเป็นสตรีแต่ก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด สุดท้ายที่คิดจะแก้แค้นให้พี่ชาย กลับกลายทำให้เรื่องราวใหญ่โตจนกลายเป็นชนวนไฟ


            เขานี่มัน..โง่สิ้นดี!

            “ ว่าไงล่ะองค์ชาย ในเมื่อเลือกที่จะเข้าถ้ำมาแบบนี้ ข้าคงไม่ปล่อยออกไปง่ายๆแน่ ” คิเมดาห์เอ่ยอย่างนึกสนุก  มือเรียวยกขึ้นกวักเบาๆ ก่อนทหารหญิงด้านนอกจะรุมกรูกันเข้ามาหาองค์ชายพร้อมกับ ใช้คมหอกจ่อไว้ที่ร่างของชายหนุ่ม

            “ ดิ้นรน ขัดขืน ชีวิตของงูที่ไร้พิษก็เป็นเช่นนี้ ราชาบาซิกค์คงเสียพระทัยน่าดู ที่น้องชายของตัวเองคิดมากำจัดข้าเพราะคิดว่าข้าเป็นคนที่ลอบทำร้ายพระองค์ หึ..แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่มันไม่ใช่ ..ซาคาเดียร์ควรโต้ตอบอย่างไรดี ” คำตอบที่ได้ยินทำเอาดวงตานักรบขยายกว้าง เพราะหากเรื่องที่พูดเป็นเรื่องจริง สิ่งที่เขากระทำอยู่ก็เท่ากับว่าเป็นการจุดไฟสงครามให้ซาคาเดียร์กับอนาคานโดยไม่ต้องรอถึงวันอภิเษก กองทัพของซาคาเดียร์คงอาจบุกรุกเข้าชิงเมือง ขณะที่อนาคานคงไม่มีอาสได้ตั้งตัว ประชาชนจะล้มตายเป็นจำนวนมาก เพราะความเขลาของเขลาแท้ๆถึงได้ลายเป็นเช่นนี้ เขาจะยอมไม่ได้เป็นอันขาด หากรับผิดก็ขอไว้แต่เพียงผู้เดียว

            “ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับองค์ราชา! เป็นความคิดของข้าคนเดียวที่ต้องการกำจัดราชีนีชั่วช้าอย่างเจ้า!”

            เพียะ!

            “ บังอาจนัก! เป็นแต่งูชั้นต่ำไร้พิษ อย่าคิดมาดูถูกข้า!” ฝ่ามือเรียวตบลงใบหน้าคมจนสะบัด เลือดไหลซิปจากมุมปากที่แตกออก หากอยากทำให้เธอไม่สบอารมณือารมณ์ก็ต้องลงไม้ลงมือกันบ้าง แต่อย่างไรในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้วทุกอย่างก็เข้าทางเธอตามต้องการโดยไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด เธออยากจะรู้นักว่าองค์ราชาแห่งอนาคานจะมีแรงเหลือมาตัดสินใจเรื่องนี้อยู่อีกไหม


            “ จะเอาอย่างไรดีล่ะ..ถึงฆ่าเจ้าทิ้ง หรือไม่ฆ่าเจ้าทิ้ง ก็มีเหตุผลเพียงพอต่อการก่อสงครามได้ หึ...แต่ว่าข้าไม่อยากจะให้คนของข้าเสียเลือดเนื้อ แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเป็นพวกเครื่องสังเวยอย่างเจ้า ” ถ้อยคำดูถูกเอ่ยขึ้น บาฮาลสติขาดผึง

            “ ราชีนีชั่วคิดจะทำอะไร! อึก!” ไม่ทันได้พูดจนจบ บริเวณลำคอก็ปรากฏอสรพิษขนาดใหญ่พันอยู่รอบ คล้ายกับมีเวทย์มนต์บางอย่างทำให้น้ำหนักของมันนั้นมหาศาลจนต้องทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น ครั้นคิดจะแปลงร่างเป็นนาคินก็มิอาจทำได้ เหมือนกับร่างกายนี้ถูกสิ่งที่อยู่บนคอสะกดไว้ทุกสิ่ง

             คิเมดาห์แสยะยิ้ม ดวงตางดงามดุจเมจพลอยสีชมพู เป็นประกายด้วยความพอใจ

            “ ไม่ต้องห่วง..ชีวิตเจ้าได้สังเวยแด่ซาคาเดียร์แน่ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากจะเล่นเกมส์บางอย่างกับองค์ราชาสักหน่อย ว่าเขาจะชดใช้ให้ข้าด้วยวิธีใด..เมื่อรู้ความจริงว่า ” ร่างงามเดินเข้ามาใกล้ขึ้น นิ้วเรียวช้อนที่ปลายคางขององค์ชายหนุ่มให้มองขึ้นสบดวงตา ริมฝีปากหยักสวยเขยื้อนเอ่ยประโยคสุดท้าย จะทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น

            “ ระเบิดนั่นคือของขวัญ จากว่าที่..พระชายา ”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด



          โอ้ยยยยยยยยยยยยย  แอมโซซอรี่มากๆ ที่หายไปนานนน ฮืออออออออออ (กราบอ่อนแฟนๆทุกคน หวังว่าจะให้อภัยนักเขียนตาดำคนนี้ ฮ์อออ T_T) พอดีไรท์เกิดปัญหา แก้ไม่ได้เคลียร์ไม่ออกจริงๆกับตอนนี้ น้ำตาจะไหลเป็นสายเลือด ด้วยความพยายามจะปิดตอนให้ได้ไปๆมาๆ ก็ทำไม่ได้ด้วยเรื่องเนื้อเรื่องหลายๆอย่าง ความจริงดี้เขียนจบ นานแล้ว แต่..มันหาความสมเหตุสมผลไม่ได้ สรุป ก็เลยแก้ยาว แต่แก้ยังไงก็คิดว่ามันไม่โอเคร  ฮืออออ สุดท้ายก็ไปลงเอยกับการเปลี่ยนเนื้อเรื่อง ในช่วงหลัง ยืดออกไปอีกหน่อยย แต่คือมันก็ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก เพิ่งเคยเขียนแฟนตาซีการเมือง ไรท์แทบลมจับเอามือทาบแล้วร้องว่าขุ่นพระ ยาก! แท้จริงหนอ บุษบา? =[]=!

              เอาเป็นว่าติดตาม ใครที่รอฉากมุ้งมิ้งระหว่างเฮียกับนุ้งมิกิ เจอกันตอนหน้า ตอนนี้เอาน้ำตาไปก่อน อ่า..บาฮาลหนออออ ช่างน่าสงสาร อยู่กับเมียงูไปก่อน ค่อยกลับ ถ่อวววว ถถถ

ปล.ขอโต๊ดก๊าบบที่มาช้า อย่า โกรธเค้านะตะเองเดี๋ยวให้ปีโป้ *0*/
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 16]UP 16/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 14-10-2015 23:29:42
 ค่ำคืนที่ 17 : เกล็ดทรายใต้ผืนน้ำ Part 1     

         ห้วงความคิดทุกอย่างแสนมืดมิด..
         รอบด้านราวกับถูกทาทับด้วยสีดำ..
         ในลำคอแห้งผากแทบกลายเป็นผุยผง..

         แม้คิดว่าชีวิตนี้คงสูญสลายไปแล้ว แต่ความต้องการที่ปรากฏขึ้นกลับเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดิบดี ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นสม่ำเสมอ แต่เปลือกตายังคงหนักอึ้งเกินกว่าจะลืมขึ้นมาได้ ร่างกายที่ร้อนผ่าวราวกับอวัยวะภายในถูกแผดเผานี้คืออะไร

         ความสับสนทำให้ใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อระส่ำระส่ายอยู่บนเตียงดังคนกำลังฝันร้าย แต่กระนั้นสัมผัสนุ่มชื้นจากผ้าชุบน้ำก็ยังคงไล่เช็ดตามร่างกายที่บอบช้ำของชายหนุ่ม เพื่อระบายความร้อนรุ่ม

         ในแววตาสีครามสวยงามของผู้อยู่ข้างกาย สะท้อนความสงสารออกมาชัดเจน ไม่คิดไม่ฝันว่าน้องชายตัวเองจะกระทำเช่นนี้ โชคดีที่เขายังพอมีสติหลงเหลือ จึงได้ทำการถอนพิษด้วยโลหิตของตัวเองได้ทันท่วงที ก่อนที่อะไรจะแย่ลงกว่านี้

         ถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นจะดูเข้าทางกับฝ่ายซาคาเดียร์ แต่หากต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของน้องชายตนเองแล้ว เขาก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้

         เขาไม่เคยรู้ความคิดของซาอิด และไม่เคยถามความรู้สึกว่าเป็นเช่นไร แต่เพราะเชื่อว่าสิ่งที่เขาเลือกให้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทว่า คำตอบของความเป็นจริงคือความอึดอัด

         แต่จะทำอย่างไรได้เล่า.. หาคนในบ้านเดียวกันแท้ๆยังแปรพรรคได้ นับภาษาอะไรกับจิตใจที่ไม่มั่นคงมาตั้งแต่แรก เขาควรจะเรียนรู้เอาไว้ เป็นบทเรียนชีวิต

         !

          ขณะที่ราซิสกำลังใช้ผ้าเช็ดไปตามลำตัวของน้องชาย จู่ๆก็ถูกคว้ามือเอาไว้ เปลือกตาของคนที่นอนอยู่ค่อยๆลืมขึ้นเชื่องช้า คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแสดงความเจ็บปวดที่ยังคงหลงเหลือ

         “ ฟื้นแล้วหรือ..เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” รีบถามด้วยความร้อนรนพลางค่อยๆประคองร่างที่อ่อนแรงพิงที่หัวเตียง

         “ นะ..น้ำ..” เสียงแหบแห้งเอ่ยขออย่างน่าสงสาร ราซิสรีบรินน้ำจากเยือกแก้วมาให้ แต่เพียงร่างบนเตียงดื่มเข้าไปได้ไม่กี่อึก ก็อาเจียนออกมาจนหมด

         พิษยังไม่หมดสินะ..

        “ เจ้านอนพักต่ออีกหน่อยเถอะ ร่างกายของเจ้ายังขับพิษออกมาไม่หมด”

 
         “ ข้าไม่เป็นไร ข้าอยากออกไปจากที่นี่” แม้จะเสียงจะอ่อนแรง แต่เจ้าตัวก็ยังทำท่าจะลุกออกจากเตียงให้ได้ ราซิสถอนหายใจให้กับน้องชายที่ดื้อดึง


         “ ถึงจะมีเลือดนาคินในตัว..แต่ก็เพียงครึ่งเดียว ดื่มน้ำนี่อีกหน่อย แล้วพักผ่อนเถอะ ”

         เพล๊ง!

         แก้วน้ำถูกปัดออกจากมือคนถือจนตกแตก ไม่รู้ว่าถ้อยคำที่พลั้งปากพูดออกไปได้ซ้ำเติมบาดแผลให้คนตรงหน้าจนคุมตัวเองไม่อยู่ แต่พอจะหันมาตำหนิ ก็พบใบหน้าของน้องชายที่เปลี่ยนไป ริมขอบตาทั้งสองข้างมีน้ำใสคลอจนเอ่อหยดลงมา


         “ มีสายเลือดเพียงครึ่งเดียวแล้วมันยังไง ตัวข้ามันอ่อนแอนักหรือไง ” ซาอิดตวาดเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจ ทว่าน้ำตาที่หยดลงมาบนผ้ากลับทำให้พี่ชายอย่างเขาพูดไม่ออก ดวงตาสีเดียวกันกับเขามองมาด้วยความเจ็บปวดเกินบรรยาย


         “ บอกข้าที..ข้าควรทำอย่างไร ฮึก..ได้โปรด บอกข้าที ว่าข้าควรมอบชีวิตให้ใคร ข้าไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว ข้าไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้!! ” เสียงตะโกนด้วยความเจ็บปวดดังพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลงมาหยดแล้วหยดเล่า

         ราซิสหลุบตาลง บังคับตัวเองให้ใจนิ่งสงบ อย่างไรเขาก็ไม่แน่ใจในคำตอบของตัวเองนัก เพราะความจริงที่รับรู้ได้มิได้งดงามเหมือนกับคำพูดอย่างที่เคยกล่าวไว้


         “ จงเลือก คนที่สมควร.. ”


         “ แต่ท่านพี่บอกอนาคานคือบ้าน! และซาคาเดียร์ก็เป็นเสมือนพี่น้อง ทำเช่นนี้ก็เท่ากับฆ่าครอบครัวเดียวกันเอง!! ”  แม้เสียงตะโกนจะแหบแห้ง แต่เขาทนต่อความอึดอัดนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะเป็นเพราะกฏหรือพวกเราเอง เขาไม่สนใจอีกแล้ว เขาอยากให้ทุกอย่างหยุด และจบลงเท่านี้ กลิ่นคาวเลือดที่โชยคลุ้ง และภาพศพพี่น้องตายเกลือนกลาด เขาไม่อยากเห็น.. ไม่อยากเห็น!!

 
         “ ชาวนาคินไม่เคยมีครอบครัวมาตั้งแต่แรก แม้แต่เทพนาคิน ก็ไม่มี ที่ข้าพูดกับเจ้าเช่นนั้นก็เพราะต้องการให้เจ้ามีความหวัง ” ถึงเสียงนั่นจะอ่อนโยนเหมือนปลอบใจแต่แท้จริงถ้อยคำเหล่านั้นทำให้กลับสร้างแบดแผลที่แสนปวดร้าวข้างใน ยิ่งได้ยิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นอ่อนแอเพียงใด แต่ก็ไม่อยากยอมรับความจริง

 
         “ แต่ท่านพี่ทำให้ข้าเชื่อว่าที่นั้นคือบ้าน…มันคือบ้าน ฮึก.. .” น้ำตาอาบลงมาเป็นสาย มือทั้งสองยกกุมใบหน้า เข่าทั้งสองยกขึ้นชัน ริมฝีปากเม้มลงพยายามกลั้นเสียงสะอื้น แต่กลับทำไม่ไหวเลยสักนิด ประโยคสุดท้ายที่อยากเอ่ยเต็มปากเต็มคำเหมือนครั้งก่อนก็คือ.. ” บ..บ้านของเราฮือ..” แต่กลับ..สั่นคลอเหลือเกิน


         ราซิสถอนหายใจ มือลูบบนศรีษะของคนที่กำลังร้องไห้ปลอบใจ หากพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น บางทีการปล่อยให้ซาอิดได้ทบทวนสิ่งต่างๆคนเดียวอาจจะทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่ทันทีที่ลุกออกจากริมขอบเตียง เขาก็ถูกกระชากข้อมือให้หันมา

         “ เหตุใดท่านพี่ถึงต้องทรยศจากอนาคานด้วย! ท่านพี่ร้องขอชีวิตงั้นหรือ หากเป็นข้ายอมตายเสียยังจะดีกว่าเป็นข้ารับใช้ราชีนี! ”


         “ เงียบซะซาอิด ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูด ”

         “ ข้าไม่หยุด! และข้าจะไม่ทนอีกต่อไป!! ” ราซิสถูกเหวี่ยงมือออก ร่างที่ประกาศก้าวลุกออกจากเตียงโดยพลัน สายตาจ้องมองไปที่หน้าประตู  แต่ไม่ทันได้ก้าวเท้าไปถึง ก็ถูกดึงตัวเอาไว้ในอ้อมแขนของผู้เป็นพี่

 
         “ ปลอยข้า! ข้าจะไปหาองค์ชาย ปล่อยข้านะ ข้าจะรับใช้องค์ชาย ข้าเกลียดที่นี่ ได้ยินไหมข้าเกลียดที่นี่ ฮือๆ ” เสียงโวยปะปนกับเสียงสะอื้นอย่างเจ็บปวด ทว่าพิษที่ยังคงเหลือ ผสานกับร่างกายที่อ่อนแอทำให้ทรุดตัวลงกับพื้น แล้วอาเจียนเอาของเสียซึ่งเป็นน้ำใสๆออกมาจนแสบลำคอเหมือนจะเผาไหม้

 

         เจ็บใจ..จนน้ำตาคลออยู่ที่ปลายหางตา

         น้ำตาหยดมาพร้อมกับเสียงกลั้นสะอื้น


         ราซิสมองดูภาพน้องชายแล้วก็บีบหัวใจเช่นนัก แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า เพราะเขาก็มีเหตุผลที่มิอาจให้อภัยอนาคานเช่นกัน และเขาก็คิดว่าการอธิบายอาจไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่อาจะให้ฉุดให้มันยิ่งแย่ลง 

 
            “ ข้าก็เคยเป็นเช่นเดียวกับเจ้าซาอิด..ความสับสนนี้ข้าเข้าใจดี ” ร่างสูงย่อตัวลงข้างกายผู้ป็นน้องที่นั่งทรุดตัวกับพื้นอย่างคนหมดเรี่ยวแรง

 
            “ ท่านพี่ยังรักอนาคานอยู่หรือเปล่า.. ” เสียงนั้นฟังดูเลื่อนลอย หมดหวัง ราวกับไม่ใส่ใจว่าจะได้รับคำตอบที่ต้องการหรือไม่ ดวงตาที่คลอฉ่ำเอาแต่เหม่อมมองออกด้านหน้าบนกำแพงว่างเปล่า


         ราซิสถอนหายใจคำถามนั้น สุดท้ายเขาคงต้องเลือกที่จะพูดความจริงบางส่วน

            “ ทั้งรักและเกลียดชัง.. ”คำพูดหนึ่งหลุดออกมาจากคนข้างกาย ดวงตาสีครามที่เหม่อค่อยๆหันมามอง ใบหน้าของผู้เป็นชายช่างดูเงียบสงบ แต่ขณะเดียวกับภายใต้ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ซ่อนเอาไว้เช่นกัน

 
            หมายว่ายังไง..

          ราซิสหลุบตาลง ผ่อมลมหายใจ ทุกอย่างเงียบสงบลงชั่วครู่ สายลมหนาวนอกหน้าต่างพัดผ่านเข้ามาจนรู้สึกเย็นวาบที่หัวใจ คำตอบที่กำลังเขยื้อนเอ่ยจากริมฝีปากบางนั้นจะทำให้เขาเข้าใจทุกสิ่ง..


            “ แต่ทั้งหมดจะโทษใครไม่ได้ นอกจากความโหยหา และความต้องการของตัวข้าเอง ” พูดจบก็หันมามองร่างที่นิ่งอึ้งกับคำตอบ เนตรคู่สวยจ้องมองเขา แต่กลับไม่เข้าใจความหมายที่พี่ชายกำลังสื่อในแววตาเลยสักนิด เหมือนกับว่า ทั้งหมดเกิดเพราะความรู้สึกหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้จะนัยน์ตาคู่นั้น ทว่า..คำถามที่เอ่ยออกมาก็พาให้ใจเขากระตุก


            “ ซาอิด เจ้ารักองค์เทพหรือเปล่า ” ได้ยินคำถาม ซาอิดหยุดคิดอยู่ชั่วครู่ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าออกไปเรียบๆ เพราะอย่างไรเขาก็มิอาจโกหกตัวเองได้ว่าองค์เทพนาคินคือทุกสิ่งของชีวิต แต่หากคำตอบของพี่ชายกลับทำให้เขาขมวดคิ้ว


            “ แต่ความรักของเจ้า ไม่เหมือนเช่นข้า.. ” น้ำเสียงนั้นช่างแสนเศร้า ราซิสหลับตาลงหันใบหน้าหนีไปทางหน้าต่าง ดวงตาสีครามมองออกไปยังท้องฟ้าราตรีราวกับต้องการหลบซ่อนความเจ็บปวดไม่ให้ใครได้เห็น ในค่ำคืนนั้นไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเหตุใดองครักษ์ที่ภักดีที่สุดของอนาคานถึงได้ลอบทำร้ายองค์เทพ ทั้งหมดยังเป็นปริศนาที่รู้ล่วงกันแค่นายบ่าวสองคน แต่ถึงความจริงจะไม่ปรากฏออกมาทั้งหมด แต่มันกลับบีบหัวใจของเขาจนมิอาจจะยอมรับ..

 
            เพราะรักจึงยอมเสี่ยงชีวิต

         เพราะรักจึงไม่คิดถึงเรื่องของตัวเอง

         แต่วิมานที่จะมีเพียงเราสอง คงเป็นได้เพียงภาพความฝัน

         ฝันที่เจ็บปวด..


            “ หากความตายคือการปฏิเสธ และการมีชีวิตคือการยอมรับแต่เจ้ารู้ไหม..” ราซิสเว้นช่วงไป ซาอิดหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆก่อนประโยคสุดท้ายจะหลุดออกมา “ รักย่อมเจ็บปวด การประทานความตายด้วยน้ำมือคนรักเอง ยังโหดร้ายกว่าปล่อยให้ตายด้วยน้ำมือคนอื่น.. ” สิ้นเสียง ทุกอย่างดูเงียบไปหมด ไม่มีแม้แต่เสียงลมพัด แม้แต่เสียงหายใจก็แผ่วเบาราวกับหยุดลง ดวงตาสีครามที่ฉ่ำคลอด้วยคราบน้ำตาขยายเปิด เมื่อได้รู้ความจริงบางอย่าง.. ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ก็พอจะให้เขาเข้าใจทุกอย่าง..


            ราซิสมองหน้าน้องชายนิ่ง แต่ก็คล้ายกับเห็นตัวเอง ครั้งหนึ่งที่เคยขาดสติ เขากลายเป็นคนสับสนกับความรู้สึกและสะสมเช่นนั้นมาเรื่อยๆ จนเหมือนกับเขื่อนที่กักกั้นไว้ไม่อยู่ ท้ายสุดเมื่อทะลักออก ก็พลาดพลั้งลงมือทุกอย่างลงไปแล้ว..

 
         เคยคิดว่ากฏ คือสิ่งขว้างกั้น แต่การก้าวข้ามนั้นก็ทำได้แสนง่าย..

         แต่มันจะไปได้อย่างไรหากใจคนไม่คิดตรงกัน..

         อยากจะพาหนีพบชีวิตใหม่..แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือการผลักเขาเข้าสู่นรก เขาไม่มีวันลืมวันนั้น

         วันที่เขา..ถูกส่งไปตายที่ซาคาเดียร์..


            “ ทั้งซาคาเดียร์ และอนาคานควรพบกับการเปลี่ยนแปลง และข้าคิดว่าคิเมดาห์จะทำมันได้.. ” ราซิสลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แผ่นหลังกว้างหันให้ผู้เป็นน้องชาย หลบซ่อนใบหน้าที่ไม่ต้องการให้ใครเห็น ก่อนจะทิ้งท้ายไว้


            “ พักผ่อนซะ..และหวังว่าเจ้าจะไม่อยากรู้เรื่องข้าอีก ” เสียงประตูปิดลง ความโดดเดี่ยวกลับเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้างกายอีกครั้ง ซาอิดนอนห่อตัวอยู่กับพื้น ทิ้งศรีษะลงกับพื้นเย็นๆ แม้ดวงตามองกำแพงห้องอยู่แบบนั้น แม้จะไม่นำตาไหลหยดลงมา ทว่าความเจ็บปวดบางอย่างที่รับรู้จากพี่ชายตัวเอง กลับทำให้หัวใจของเขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน..

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 16]UP 16/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 14-10-2015 23:34:08
 ค่ำคืนที่ 17 : เกล็ดทรายใต้ผืนน้ำ Part จบ

            “ แผลนายก็หายเร็วกว่าที่คิดไว้นะ ทำไมยังกลับร่างเดิมไม่ได้อีกเหรอ แล้วถ้าไม่รัดฉันไว้นายจะลอกคราบด้วยตัวเองไม่ได้หรือไง ”

     เสียงบ่นหน่ายๆดังขึ้นเป็นรอบที่ 3 ของวัน หลังจากที่พบบาซิกค์ในสภาพของงูหางกระดิ่งขนาดยักษ์ในโพรงลับใต้ดินของอนาคาน ก็เป็นเวลากว่าสองวันแล้ว ที่เจ้าตัวเอาแต่โอบรัดเขาไว้หลวมๆไม่ปล่อยให้กระดุกกระดิกไปไหน ทุกครั้งลงมาที่นี่

            เขาไม่เข้าใจธรรมชาติของงูเท่าไร ว่าเวลาลอกคราบต้องทำที่ไหนอย่างไร แต่การมาพันตัวเขาไว้แบบนี้แล้วลอกคราบไปด้วยมันทำให้รู้สึกแหยงๆ และพะอืดพะอมชอบกล ถึงเขาจะไม่ได้รู้สึกกลัวงูแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรับได้ทุกกิริยาบถ

            บางทีเขาก็ไม่ใช่กิ่งไม้ที่ให้งูมาลอกคราบทิ้งเอาไว้นะ!

            เครือ..

            พอได้ยินเสียง สิ่งที่โอบรัดไว้รอบตัวเริ่มเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อของอสรพิษก็บีบรัดแน่นขึ้น จนคนที่ทำหน้าที่เป็นกิ่งไม้จำแลงหน้าถอดสี

            อีกแล้วเหรอ!

            “ บาซิกค์ เดี๋ยวๆใจเย็น อย่ารัดฉะ! อึก! ”

            ไม่ทันขาดคำ อสรพิษก็โอบรัดแน่นขึ้น ลำตัวบดเบียดเข้ามาจนคนถูกบีบแทบหายใจไม่ออก โชคดีที่บาซิกค์เหมือนจะเบาแรงให้เขาบ้าง ร่างกายของเขาจึงไม่ถูกห่อจนกลายเป็นถุงขนม ถึงจะไม่ได้รู้สึกเจ็บอย่างทีคิด แต่กลับเหมือนกำลังถูกกอดด้วยอ้อมแขนแน่นๆเสียมากกว่า แต่พอหลังจากภารกิจนี้เสร็จสิ้น เขาก็กล้าตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันน่า..

 
            ฟืบ!

            หยะแหยงมาก!

            มิกิกลอกตาขึ้น อย่างจนใจ เพราะไม่ทันขาดคำ ซากคราบงูขนาดใหญ่ก็ทิ้งไว้ตามตัว ในสภาพที่คล้ายกับผ้าเปียกๆเหนียวห่อพันเอาไว้ พร้อมกับน้ำใสเหนอะๆ

            ทีแรกเขาเขาคิดว่าเวลางูลอกคราบ ผิวที่ทิ้งไว้จะแห้งๆ เหมือนที่เคยดูในสารคดีสัตว์โลก แค่ความจริงคือ ถึงเปลือกหนังด้านนอกจะแห้ง แต่ข้างในกลับมีน้ำลื่นๆเพื่อใช้ในการลอกคราบอยู่ เลยให้เขาความรู้สึกพะอืดพะอมแปลกๆ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนทำแบบนี้!

            ตั้งแต่พบบาซิกค์ เขาก็ลงมาอยู่ที่นี่แทบทั้งวัน โดยหอบเอาข้าวของเครื่องใช้ที่คิดว่าน่าจะเป็นกระโยชน์เข้ามาด้วย และไม่ลืมที่จะนำคบเพลิงเข้ามาเพื่อให้ความสว่างและมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้น

            บาซิกค์เป็นเป็นงูหางกระดิ่งขนาดใหญ่โตโอฬาร แต่สีสันกลับแปลกตาไม่เหมือนกับงูหางกระดิ่งทั่วไปที่เป็นสีทราย เกล็ดของบาซิกค์พาดลายสีดำน่าเกรงขาม ปลายหางเรียวยาวเป็นปล้องใหญ่โปร่งแสงเป็นสีเหลืองอ่อน ส่วนศรีษะเดิมที่เป็นแผลพากบาก บัดนี้กลับจางลงจนเห็นเหมือนเป็นร่างโครงสีทองคล้ายกับมงกฏกลางหน้าผาก ดวงตาของอสรพิษเดิมที่เคยฝ่าฟางก็กลับเป็นสีอำพันเช่นเดิม และแผลต่างๆตามลำตัวก็ดีขึ้นเยอะจนแทบมองไม่เห็นแล้ว แต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมบาซิกค์ถึงยังกลับร่างมนุษย์ไม่ได้

            “ เฮ้อ เมื่อไรจะกลับร่างมนุษย์แล้วเลิกลอกคราบบนตัวฉันสักที ” มิกิถอนหายใจพลางโยนคราบงูแผ่นใหญ่ที่ลอกบนตัวทิ้งไป แต่ไม่ทันได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเหยียดแข้งขา น้ำหนักตัวสิ่งมีชีวิตก็เลื้อยเข้ามาพันรอบตัวอีกครั้งจนเขาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น มิกิทำท่าจะต่อว่า แต่พออสรพิษเอาหัวมานอนลงบนตักแล้วหลับตาลง ก็ต้องกลืนคำพูดหายไปในพริบตา

            นี่มันงูหรือแมวกันนะ

            “  ใจคอนายจะไม่ให้ฉันลุกไปไหนเลยหรือไง ฉันก็เมื่อยเป็นนะ ” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่มือกลับลูกบนศีรษะของอสรพิษไปอย่างเอ็นดู บาซิกค์นอนนิ่งปล่อยให้มิกิลูบไปอยู่แบบนั้น

            “ เพิ่งรู้ว่า งูก็อ้อนเป็นด้วย ” ใบหน้าอมยิ้มที่มุมปาก รู้สึกสุขใจจนแทบไม่เข้าใจตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิดว่าสิ่งมีชีวิตที่เขากลัวมากที่สุด กลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจมากที่สุดเช่นกัน แม้อดีตจะโหดร้ายทารุณ และไม่รู้ว่าน้ำตาที่เสียออกไปจะคุ้มค่ากับการเริ่มต้นชีวิตใหม่นี้หรือไม่ คำตอบนั้นเขาไม่สนใจอีกแล้ว เพราะทุกนาทีต่อจากนี้ คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่ไม่อยากจะให้คนคนนี้ต้องเจ็บอีกแล้ว หากต้นเหตุทั้งหมดมาจากตัวเขา เขาก็ยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่าง แม้ว่าจะต้องจากไปก็ตาม

            “ ขอโทษนะ บาซิกค์ทำให้วุ่นวาย ” กล่าวแผ่วเบาราวกระซิบ อสรพิษลืมตาขึ้นแล้วยกคอขึ้นมามองตาของเด็กหนุ่ม ดวงตาสีเขียวอ่อนกระพริบสองสามที ก่อนราชานาคินจะเลื้อยหนีออกไปจากตัวเขาคล้ายกับไม่พอใจบางอย่าง

 
            โกรธเหรอ?


            มิกิยืนขึ้นเต็มความสูง มองดูอสรพิษเลื้อยไปแอบขดตัวอยู่หลังโขดหินขนาดใหญ่ ทีแรกเขาคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลับเปลี่ยนใจ แล้วเดินไปบริเวณแอ่งน้ำภายในโพรงถ้ำ

            แอ่งน้ำนี้ คาดว่าน่าจะเป็นตาน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้พื้นดิน ทว่าว่ากลับมีความใสจนน่าแปลกใจ แต่ถึงจะส่องคบเพลิงเข้าไปใกล้ ก็ไม่สามารถมองเห็นหรือวัดระดับความลึกได้ บริเวณด้านบนเหนือตาน้ำมีหินย้อยงอกลงมาจากผนังเป็นรูปกรวยน้ำ ทว่ากลับมีหยาดทรายเม็ดละเอียดไหลลงมาเรื่อยๆราวกับน้ำตกทราย ซึ่งนับได้ว่าเป็นภาพสวยงามของธรรมชาติที่น้องคนนักที่มีโอกาสจะได้เห็น

            มิกินั่งจุ่มขาลงไปในน้ำ ก่อนความเย็นของน้ำทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลง เขาเงยศรีษะขึ้นมองดูหยาดทรายที่ร่วงตกลงมาจากหินราวกับสายพิรุณ

            นานเท่าไรแล้วนะ ที่เขามาอยู่ที่อนาคาน..

            เขาเผลอคิดทบทวนเรื่องเก่าขึ้นในหัว ภาพความทรงจำต่างกลับมาทั้งดีและไม่ดี เขาไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาเลยแม้แต่น้อย แต่เชื่อในเรื่องของวิทยาศาสตร์มาตลอด แต่ตอนนี้เขากลับไม่แน่ใจตัวเองแล้วว่า หากเขาได้เป็นคู่ครองของราชาบาซิกค์จริง ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป

            มันจะกลับมาเหมือนเดิมไหมนะ

            หรือความจริงแล้วเขาควรจะปฏิเสธ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีของมัน ถ้าทำเช่นนั้น ก็จะลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างอนาคานกับซาคาเดียร์ได้

            แต่บาซิกค์อาจต้องตาย

            ทำไมกันทำไมถึงได้รู้สึกว่าเขาปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้

            ทั้งๆที่คนคนนั้น ทรมานเขาแทบขาดใจ

            เขาทำถูกหรือเปล่านะ?

            “ บางที..ฉันอาจไม่ควรกลับมาที่นี่ ” มิกิเอ่ยขึ้นกับตัวเองเบาๆ แต่ด้วยความเงียบของโพรงถ้ำทำให้ดังก้องพอจะไปกระทบหูใครบางคน

            “ อย่างที่บาฮาลเคยบอกไว้ฉันจะทำอนาคานร้อนเป็นไฟ ถ้าฉันไม่มีคงดีเสียกว่า  ”  ดวงตาคู่สวยมองเกล็ดสายที่ไหลลงมา ริมฝีปากบางเม้มลงราวกับกำลังสะกดกั้นความเสียใจ

            “  แต่ก็น่าแปลกนะทั้งๆที่ ฉันควรจะกลับประเทศตั้งแต่ครั้งนั้น แต่สุดท้ายก็กลับมาที่นี่” น้ำเสียงอ่อนลงแต่กลับเจือไปด้วยความเศร้าสร้อย นัยน์ตาสีเขียวงดงามหันมามองภาพของตัวเองที่สะท้อนบนผืนน้ำที่กระเพื่อมไหวน้อยเพราะเกล็ดทรายที่ร่วงหล่น แต่กระนั้นก็พาให้นึกถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ถึงภายนอกเขาเหมือนไม้แข็งๆที่กล้าเผชิญทุกสิ่ง ทว่าภายในนั้นกลับอ่อนปวกเปียกไม่มีความแข็งแรงเลยสักนิด

 
            “ ฉันเคยบอกนายในนายมีความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลง แต่พอเอาเข้าจริงๆตัวฉันนั้นล่ะที่ขี้ขลาดที่สุด ”ตัวเขาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยเขาใจถึงความรัก หรือความห่วงใยที่แท้จริง ครอบครัวคือคำที่อบอุ่น แต่หากจะมีประโยชน์หากสิ่งเหล่านั้นเติมเต็มเขาไม่ได้ แต่พอได้พบกับที่สามารถมาประสานรอยร้าวในหัวใจได้ เขากลับรักษาไว้ไม่ได้เลยสักคน และตอนนี้เขาก็ไม่แน่ใจตัวเองด้วยเช่นกัน หากถลำลึกกับความรู้สึกนี้กับบาซิกค์แล้ว หากต้องจากไปเขาจะต้องยอมรับมันให้ได้ เพื่อให้คนคนนี้มีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ในใจจะเจ็บปวดก็ตาม

 
            “ ฉันขอโทษนะ บาซิกค์ จบเรื่องนี้เมื่อไร ฉันจะรีบไปจากที่นี่ แต่ฉันสัญญานะ ว่าฉันจะ..  ” ร่างเล็กเงียบไปมอง ผืนน้ำไหวกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น ริมฝีปากเอ่ยถ้อยคำในใจ “ จดจำทุกอย่าง ของนาย ”

           ดวงตาคู่สวยเงยขึ้นมองเบื้องบน รอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าเสียใจหรืออุ่นใจประดับอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่ม ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไปหมด จนได้ยินแค่เสียงเม็ดทรายที่ไหลลงสู่ผืนน้ำ

            ข้างในนี้คล้ายเจ็บปวด..แต่ขณะเดียวกันกับพอใจกับคำตอบที่ควรจะเป็น
 
            “ บาซิกค์ ฉันว่ามันควร.. ”

            ตูม!

            ไม่ทันได้พูดจนจบ พอหันไป เงาดำยักษ์ใหญ่ก็ดันเขาตกลงไปในผืนน้ำเย็นเฉียบโดนไม่ทันตั้งตัว กายบางตกใจพยายามตะเกียดตะกายขึ้นผิวน้ำ แต่ไม่ทันไรสิ่งที่ลอยทำร้ายก็กระโจนตามลงมา นัยน์ตาสีสวยขยายขึ้นเล็กน้อย เงาดำของสิ่งมีชีวิตอยู่ใกล้แค่เอื้อม ใบหน้าของอสรพิษชัดขึ้น ขณะที่ฟองอากาศที่ขาวลอยขึ้นผ่านรอบตัว ปลายหางอสรพิษโอบรัดเอวของเขาเอาไว้ รู้สึกเหมือนจะคล้ายอากาศหายใจ แต่ทว่ากลับโดนความงดงามของบางสิ่งสะกดจนลืมเลือน ชั่วครู่แสงสีทองสว่างวูบพลางให้เห็นผนังถ้ำใต้ที่เต็มไปด้วยพลอยที่ฝังอยู่ด้านใน ส่องสว่างเป็นประกาย รวมกับเกล็ดทรายที่โปรยปรายลงมาจากผิวน้ำเป็นละอองสีอำพัน มองดูแล้วราวกับภาพวิมานใต้ผืนน้ำจนมิอาจกระพริบตา ทว่า..ทั้งหมดอาจไม่งดงามเท่ารูปกายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

            เส้นผมสีดำสยายใต้ผืนน้ำ

            ดวงหน้างดงามดั่งทวยเทพจุติ ใกล้ขึ้น..

            ริมฝีปากอ่อนนุ่มคุ้นเคย แต่หาก โหยหา..

            จุมพิตใต้ผืนน้ำท่ามกลางสายพิรุธสีทองทาบทับลงมา มือทั้งสองโอบกอดแผ่นหลังซึ่งกันและกันอย่างคนึงหา ดวงตาของเด็กหนุ่มหลับลง ตอบรับด้วยรสจูบอย่างอ่อนหวาน ขอบตาทั้งสองร้อนผ่าวเหลือเกิน ใต้ผืนน้ำนี้คงปลดปล่อยตวเองได้อย่างไม่ต้องอับอายใคร อยากจะอยู่แบบนี้ตราบนาน

            รู้สึกตัวอีกทีก็ขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่จูบโหยหาก็ยังมิได้แยกจาก เรียวลิ้นที่เกี้ยวพันกัน ไม่รู้ต้องดูดกลืนเท่าไรกว่าจะเอิ่บอิ่ม มือที่กอดแผ่นหลังเปลี่ยมยึดเกาะที่หนาทั้งสองข้าง เสียงอารมณ์ที่ได้เติมเต็มหลุดออกมาอย่างอ่อนหวาน หัวใจเต้นแรงขึ้นเหมือนจะทะลุออกมา ก่อนที่ขีดจำกัดจะทำให้กลีบปากทั้งสองถ้อยห่างกัน

            “ คืนร่างได้แล้ว ทำไมไม่.. ”

            “ ฉันไม่ให้นายไปไหนทั้งนั้น ” พอได้ยินน้ำเสียงของคนที่พูดสวน หัวใจก็เต้นระส่ำอย่างไม่เคยเป็น ความรู้สึกสับสนบางอย่างเกิดขึ้นทำให้ไม่กล้ามองใบหน้าหล่อเหลานั้นตรงๆ

            “ มองฉัน..มิกิ ” มือทรงอำนาจเชยคางของคนที่หลบหนีให้หันมาสบ เขาเห็นดวงตาสีอ่อนเป็นประกายสั่นไหว ก่อนถ้อยคำที่ไม่คาดคิดจะทำให้หัวใจพองโตมากขึ้นจนร้อนวาบไปทั่วตัว

            “ เจ้าต้องอยู่เคียงข้างข้า หากเจ้าหนีข้าจะออกตามหา หากเจ้าตายข้าจะตายตามเจ้า ข้าเลือกแล้ว และเจ้าคือ พระชายาของข้าเพียงผู้เดียว และเจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ” น้ำเสียงดุดันแข็งกร้าวจริงจัง ดวงตาคมกริบจับจ้องใบหน้าของคนในอ้อมกอด มิกิลอบยิ้มที่มุมปาก หากนี้เป็นประโยคขอความรัก คงเป็นประโยคเผด็จการที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยิน

 
            อ่า..เขาควรดีใจหรือเปล่านะ ที่คนที่มาขอความรักเป็นถึงราชา(งู)

            “ ขู่กันแบบนี้ใครมันจะไปกล้าปฏิเสธ  ” มิกิยิ้มออกมา ก่อนจะแกล้งล้อเลียนประโยคย้อนยุคของคนตรงหน้าบ้าง

            “ ข้าขอน้อมรับบัญชาของพระองค์ ด้วยความเต็มใจ พ่ะย่ะค่ะ” เขาแกล้งทำเสียงเข้มขึ้นเพื่อให้ดูน่าเกรงขาม ขณะที่บางซิกค์ก็กลับหลุดยิ้มออกมาน้อยๆเช่นกัน

            “ เจ้ากล้าล้อเลียนข้าเหรอ ”

            “ เปล่าพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันต้อยต่ำนัก ไหนเลยจะริอาจกล้าล้อเลียนพระองค์..แค่หม่อมอยากจะบอกพระองค์ว่าถ้าปล่อยหม่อมฉันไว้นานกว่านี้ ” มิกิเว้นจังหวะไปพลางจ้องเข้าไปในดวงตาสีอำพัน

            “ ฉันได้แข็งตายแน่!  ” รูปประโญคเดิมกลับคืน มือทั้งสองปัดอ้อมกอดของราชานาคินออกอย่างว่องไว ก่อนจะจ้ำเท้าพรวดๆ เดินไปยกคบเพลิงที่ตั้งเอาไว้ ก่อนจะยิ้มหวาน

            “ แล้วไปเจอกันข้างบน ตกลงตามนี้ ”

            “  เดี๋ยว! ” กำลังจะหันหลังเดินไป แต่จู่เขาก็ถูกคว้าตัวไว้จากทางด้านหลัง วงแขนอันแกร่งโอบกอดเขาเอาไว้อีกครั้ง บาซิกค์ซบใบหน้าลงตัวเองลงกับแผ่น เอ่ยเสียงแผ่วเบา


            “  ขออยู่แบบนี้อีกสักพัก ” พอได้ยินคำออดอ้อน เขาก็ถอนหายใจออกมา

              สรุปเป็นแมวสินะ.. ถึงจะคิดแบบนั้นแต่รู้ตัวอีกก็กอดตอบอ้อมแขนนั้นไปแล้ว

     

            สองชั่วโมงผ่านไป
            หลังจากที่เขาถึงมาจากทางลับใต้ดิน และจัดการกิจส่วนตัวจนเสร็จ เขาคิดจะเดินไปที่สวนในเรือนเพาะชำ เพื่อสูดอากาศสบายๆ ทว่า..บรรยากาศภายในราชวังกลับดูเปลี่ยนไปหนักกว่าเก่า เหล่าบรรดาผู้อาวุโสต่างเดินขวักไขว่กันให้วุ่น ขณะที่สีหน้าของพวกเขาก็ตึงเครียดขึ้นกว่าเดิมราวกับมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น

 
            มิกิไม่รู้ว่าเกิดขึ้นบ้าง ในช่วงสองวันมานี้เขาเอาแต่ลงไปด้านล่างเพื่อดูแลบาซิกค์อยู่ด้านล่าง แม้จะมีคำถามอยู่ในใจมากมายว่าทำไมเหล่าข้าราชบริวารถึงไม่ยอมลงมาปรณนิบัติองค์เทพของตน แต่ถ้าให้เขาเดา บาซิกค์คงไม่อยากให้ใครมาในสภาพย่ำแย่ สุดท้ายคำถามนั้นก็ลืมหายไป

            เด็กหนุ่มเดินมาที่เรือนเพาะชำฝั่งทางเดินตะวันตกของวัง ด้วยชุดโธปสีเหลืองอ่อนยาวคร่อมเท้า แต่ระหว่างที่เขากำลังผลักประตูเทพธิดาเข้าไปด้านใน ผู้อาวุโสคนที่ทำพิธีสรงน้ำนิมิตให้เขา ก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าลำบากใจ

            “ ท่านมิกิ ” เสียงเรียกเต็มไปด้วยความกังวล ใบหน้าของเด็กหันมาสบ ในมือของชายสูงวัยถือจดหมายฉบับหนึ่งที่มีรูปตราอสรพิษแผ่แม่เบี้ยไว้แน่น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม เหตุใดผู้อาวุโสแห่งอนาคานถึงนำจดหมายนี่มาให้เขา เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์ระเบิด ก็ไม่มีใครผู้คุยกับเขาสักคนเดียว จนกระทั่งตอนนี้ ทว่า..ความกดดันบางอย่างบอกให้เขาควรอ่านมัน

            “  จดหมายนี่.. ”

            “ มีแต่พระชายาเท่านั้น ที่อาจแก้ไขได้ พิสูจน์ฐานะของท่านให้พวกข้าเห็น” คำตอบเพียงสั้นๆ แต่หากมาพร้อมความคาดหวังที่ลอยมาอย่างกดดัน มิกิขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง ริมผีปากมเม้มปิดลง

            เขาเข้าใจดีว่าผู้อาวุโสตรงหน้าหมายความว่าอย่างไร ความจริงแล้วแม้ตำแหน่งพระชายาจะเป็ยตำแหน่งที่สูงถัดลงมาจากกษัตริย์ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหาก ข้าราชบริวารไม่ยอมรับตัวเขา เขาตัดสินใจแล้ว..ไม่ว่ายังไงหากเขาต้องการให้อนาคานเกิดการเปลี่ยน เขาก็ต้องแสดงให้ทุกคนเห็น เพื่อที่จะสามารถยืนเคียงคู่ราชาได้อย่างสง่างาม ทว่า..ขณะที่กำลังเปิดซอง เสียงฝีเท้ากับเงาสูงใหญ่ของใครบางคน ก็ดึงความสนใจไปทันที

            “  ฝะ..ฝ่าบาท! ” ลมทะเลทรายพัดเส้นผมสีดำปลิวสยาย ร่างสูงศักดิ์ยืนองอาจอยู่ในอาภรณ์แห่งกษัตริย์ ใบหน้างดงามดูรูปปั้นสลักเรียบนิ่งแต่หากช่างเสริมให้ดูเปล่งปลั่งดั่งองค์สมมุติเทพ ดวงตาคมกริบสีอำพันหรี่ลง มองจดหมายในมือของว่าที่พระชายาราวกับรู้เนื้อความที่อยู่ด้านใน ก่อนริมฝีปากหยักโค้งเอ่ยคำสั่ง

            “ เตรียมขบวนให้พร้อม.. ” ลมหายใจผ่อนลง เสียงจากปลายหางของอสรพิษทะเลทรายสั่นระรัวเป็นคลื่นถี่กึกก้อง ดวงตาคมกริบเงยขึ้นมองใบหน้าของพระชายาแห่งอนาคาน

            “เราจะไป ซาคาเดียร์กัน”

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนสุดท้าย (จบ)]UP 14/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 14-10-2015 23:42:20
         
ค่ำคืนที่ 18 : พระชายาอนาคาน Part 1

            ไอร้อนพัดโชยมาตามสายลม แสงแดดทะเลทรายร้อนผ่าวปานจะแผดเผา แต่มิอาจสร้างความหวั่นเกรงให้กับขบวนอันยิ่งใหญ่ราวกองทัพ

            ถึงวิทยาการจะก้าวล้ำมากแค่ไหน แต่การเดินทางในทะเลทรายก็คงหนีไม่พ้นสัตว์พาหนะจำพวกม้าหรืออูฐอยู่ดี มิกิแอบบ่นอุบอิบในใจ อย่างน้อยราชาแห่งอนาคานก็น่าจะร่ำรวย การซื้อเฮลิคอปเตอร์สักลำเพื่อการเดินทางคงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งร่วง ซึ่งดีกว่ามานั่งขี่อูฐเป็นชั่วโมงๆ และเดินทางเป็นวันๆ กว่าจะถึงที่หมาย และแม้จะเป็นเพราะคำว่าคนของราชาคุ้มศีรษะอยู่ เลยทำให้เขาได้สิทธิพิเศษได้นั่งอยู่ในรถม้าด้านใน โดยไม่ต้องทนให้แดดทะเลทรายเผาเล่น แต่พอเจอบรรยากาศเงียบเชียบที่คนนั่งข้างกายสร้างขึ้น ก็พลันทำให้ในรถม้าราวกับถูกแช่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง

            ตั้งแต่ออกจากอนาคาน บาซิกค์ก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลยสักคำ แถมสีหน้ายังตึงเครียดมากกว่าปกติ แม้เขาจะพยายามถามให้ตายว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าก็ไร้ซึ่งคำตอบ ข้อความที่ซ่อนเอาไว้อยู่ในจดหมายที่เขาไม่ทันได้เปิดอ่านมันทำให้เขาสงสัย ขณะเดียวกัน สิ่งที่ผู้อาวุโสบอกเขาว่าต้องการให้พิสูจน์นั้นหมายถึงเรื่องอันใด เขาก็ยังไม่เข้าใจ ตอนนี้..เขารู้แต่เพียงว่า บาซิกค์กำลังพาเขาไปที่..ซาคาเดียร์

            ไม่นานนักมิกิก็สัมผัสถึงการเคลื่อนที่ที่หยุดลง บาซิกค์ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ราวกับไม่สนใจอะไร แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ทนกับความอยากรู้ไม่ไหว หน้าต่างภายในรถม้าเลื่อนออก ใบหน้าหวานชะโงกออกไปดู สถานที่ที่อยู่ด้านนอก ทันใดนั้นม่านตาสีสวยก็ขยายกว้าง

            “ถึงแล้วสินะ..ซาคาเดียร์” ดวงตาสีอำพันคมกริบหรี่ลง ใบหน้างดงามของราชาสงบนิ่งแต่หากแฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น

 

            ตึง..

            ตึง..

            เสียงกลองลั่นประดุจปลุกระดมกองทัพ ดังเข้ามาถึงพระราชวังแห่งซาคาเดียร์ ราชีนีคิเมดาห์ที่กำลังประทับอยู่บนบัลลังก์อสรพิษทองคำแสยะยิ้มที่มุมปากสวย คิดไม่ถึงว่าบุคคลที่เธอรอคอยจะมาเร็วกว่าที่คิดไว้ แต่เธอก็ไม่แปลกใจเท่าไรนัก เพราะของเล่นกิ๊กก๊อกอย่างระเบิดคงทำอะไรเทพนาคินมิได้มากมาย แต่อย่างไรวันนี้จะเป็นวันตัดสินชะตากรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเทพนาคิน พระชายา หรือแม้แต่อนาคาน  เพราะตอนนี้พวกเขาก็เหมือน..

            ลูกไก่ในกำมือ

             “เจ้าไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ข้าจะคุยกับองค์เทพที่ลานพิธี...กลางแจ้ง”  องครักษ์ข้างกายในชุดคลุมดำน้อมรับ ก่อนวิ่งออกไปตามรับสั่ง รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นบนดวงหน้าปานเทวี ร่างระหงลุกขึ้นยืนอย่างงามสง่า สะบัดชายอาภรณ์สีทอง เดินลงจากบัลลังก์

 

 
            พอเข้ามาในเมือง ก็สังเกตถึงความแต่งต่างระหว่างอนาคานกับซาคาเดียร์ได้อย่างแจ่มชัด ทั้งสิ่งปลูกสร้าง อาคาร ไปจนถึงผู้คนที่เต็มไปด้วยหญิงสาว มีสายตาหลายร้อยคู่จับจ้องมาที่รถนั่งของเขา ราวกับพวกเธอล่วงรู้ว่ามีบุคคลสำคัญนั่งอยู่ด้านใน

            มิกิรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่รู้จะบรรยายออกมายังไง เพราะสายตาของผู้คนไม่ใช่การสรรเสริญบูชาอย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นมองเหมือนกำลังดูถูก เหยียดหยาม ถึงการแสดงออกจะมีเพียงแต่สายตา แค่ก็อดไม่ได้ที่จะอึดอัดแทนบาซิกค์อยู่ดี เพราะอะไรกันซาคาเดียร์ถึงต้องเกลียดชังอนาคานเช่นนั้นด้วยเล่า ถ้าเทียบแล้วอนาคานก็เป็นเหมือนพี่น้องไม่ใช่หรือไง

            “อย่าได้ห่วงไปมิกิ...” เสียงนั้นทำเอาคนที่กำลังคิดสะดุ้ง ไม่รู้เป็นเพราะแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป บาซิกค์จึงหันมาสนใจเขา

            “ทำไมพวกเขาถึงมองแบบนั้น...” 

            “อีกไม่นานคงได้รู้ทุกอย่าง...” ไม่มีคำอธิบายเอ่ยออกมา คำตอบที่ไม่แน่ชัดยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจ ก่อนบาซิกค์จะหันมาสั่งเมื่อรถม้าหยุดลง

            “นายรออยู่ที่นี่...จนกว่าฉันจะเรียก” สิ้นเสียงประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงศักดิ์ที่จากไป มิกิพูดอะไรไม่ออก อยากจะรั้งท่อนแขนนั้นเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ทำดั่งใจ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจนหัวใจไม่สงบ ทว่าก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง เขาได้แต่แอบมองแผ่นหลังกว้างผ่านบานหน้าต่างในรถ ขณะที่ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใสกลับค่อยๆ มืดครึ้มลงเรื่อยๆ

 

            ลานพิธีกลางแจ้งเริ่มคลาคล่ำไปด้วยผู้คนรายล้อม เมื่อราชีนีคิเมดาห์กระจ่ายข่าวออกไปว่า วันนี้จะเป็นวันตัดสินโทษทัณฑ์ขององค์เทพต่อหน้าประชาชน ก็มีเสียงซุบซิบนินทาไปทั่ว พอร่างสูงศักดิ์พร้อมเหล่าราชบริวารปรากฏสู่สายตาผู้คน ตามคำเชิญของราชีนี รัศมีเย็นเยือกก็พาให้เหลือแต่เพียงความเงียบกริบ แต่หากความเงียบที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความตื่นกลัวอย่างที่คิด ชาวซาคาเดียร์ต่างเมินหน้าและหันหลังให้องค์เทพอย่างไม่คิดเคารพหวั่นเกรง การกระทำที่ดูหมิ่นเกียรติไม่ไว้ซึ่งศักดิ์แห่งราชาเพิ่งเคยจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติของชาวนาคิน สร้างความโกรธเกลียดให้ข้าราชบริวารยิ่งนัก  แต่อย่างไรราชาบาซิกค์ก็มิได้สนใจท่าทีเหล่านั้น พระหัตถ์ทรงอำนาจยกขึ้นปรามปฏิกิริยาต่อต้านของอนาคาน เมื่อเห็นกระนั้นพวกเขาจึงยอมสงบนิ่ง

            อย่างไรในเวลานี้อนาคานเป็นรองทุกสิ่ง.. หากให้คนของเขาก่อเรื่องขึ้นก็เท่ากับติดกับดักเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง แม้รู้อยู่แก่ใจว่าการมาที่ซาคาเดียร์นั้นอยู่ในหนึ่งแผนการของคิเมดาห์ ซึ่งเป็นเสมือนการบีบบังคับให้อนาคานยอมรับความผิดที่ก่อไว้อย่างไม่มีทางเลี่ยง 

            ตอนที่รักษาตัวอยู่ที่ถ้ำใต้ดิน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ข่าวเบื้องบน ว่าใครกระทำสิ่งใด การที่บาฮาลตัดสินใจเช่นนั้น เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิด เพราะหากเป็นเขาก็คงลงมือโต้ตอบเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไร ถ้าเลือกเส้นทางนี้แล้ว อนาคานกับซาคาเดียร์ ก็เหมือนเช่นน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีวันรวมกันได้ หากจุดไฟแล้ว เขาก็อยากจะรู้นักว่าฝ่ายใดจะมอดไหม้

            “ยินดีต้อนรับราชาบาซิกค์ นึกไม่ถึงว่าพระองค์จะเสด็จมาตามคำเชิญของหม่อมฉัน” สุรเสียงใสกังวาลดังขึ้น จากบันไดของราชวังที่ลาดยาวลงมาสู่ลานพิธีกลางเมือง

            ร่างผอมเพรียวของหญิงสาวในสุดอาภรณ์เต็มยศของผู้ปกครองสูงสุดค่อยๆ ก้าวลงมาเบื้องล่าง พร้อมกับองครักษ์ข้างกาย รัศมีของความงดงามที่พ่วงมาพร้อมกับอำนาจทำให้ชาวเมืองต้องรีบก้มหัวอยู่แทบเท้า พลางส่งเสียงสรรเสริญกันอย่างยิ่งใหญ่ พอเจอการกระทำเช่นนี้ เหล่าบรรดาทหารและขุนนางก็เกิดอาการลังเลว่าควรเคารพตามหรือไม่ แต่พอเห็นร่างผู้เป็นเจ้าชีวิตยืนนิ่งเฉยก็เลือกที่จะไม่ปฏิตามกฏเกณฑ์

            ร่างงามพร้อมองครักษ์เดินมาถึงลานพิธี เธอประทับลงบนเก้าอี้นางพญาอสรพิษ ก่อนจะยกมือ เพื่อให้เสียงสรรเสริญเธอนั้นเงียบลง

             “เหตุใดคนของพระองค์ถึงไม่เคารพหม่อมฉันเพคะ” สุรเสียงเรียบเย็นถาม รอยยิ้มร้ายกาจยกขึ้นบนดวงหน้างดงามไร้ที่ติ นัยน์ตานางพญาจับจ้องไปที่ราชาแห่งอนาคานราวกับไม่ได้คาดหวังเอาตำตอบแต่ต้องการตอกย้ำว่าเธอเหนือกว่า

            “บาฮาลอยู่ที่ใด” ราชาบาซิกค์กล่าวนิ่ง เส้นผมสีดำพัดพริ้ว นัยน์ตาที่แสดงช่างเย็นเยือกจนน่าตื่นกลัว คิเมดาห์เปรยยิ้มบาง ก่อนกวักมือเรียกราชบริพารให้นำบางสิ่งมาถวาย

            “ยังทรงพระทัยร้อนไม่เปลี่ยน เสด็จมาเหนื่อยๆ ทั้งที ทรงดื่มน้ำสักหน่อยแล้วค่อยมาเจรจากันก็ยังมิสาย”

            “ข้าไม่ดื่มน้ำจากซาคาเดียร์” ถ้วยน้ำที่นำมาถวายถูกปัดทิ้ง กล่าวด้วยเสียงเย็นชาไร้เยื่อใย คิเมดาห์แอบหัวเราะเบาๆ ในลำคอ  ก่อนจะเท้าคางมองคนตรงหน้าอย่างท้าทาย

            “สรุปพระองค์จะเป็นปริปักษ์กับหม่อมฉันจริงๆ ใช่ไหมเพคะ หากพิธีการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายไม่ถูกจัดขึ้น พระองค์ทรงทราบใช่ไหมว่าซาคาเดียร์จะทำอย่างไร ตอนนี้หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกล้าปฏิเสธน้ำของหม่อมฉันด้วยซ้ำ เพราะอะไรรู้ไหม” เธอเว้นจังหวะ มองราชาแห่งนาคิน “เพราะอนาคานกำลังทรยศหม่อมฉันไงเพคะ” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้า สิ่งที่ได้ยินทำเอาเหล่าข้าราชบริวารตกอยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ล้วนแต่ผิดทั้งนั้น หากซาคาเดียร์คือบันไดสวรรค์ องค์เทพของพวกเขาก็คือพระเจ้าเช่นกัน หากพระเจ้าเลือกที่จะทรยศสวรรค์ พวกเขาก็ต้องทรยศด้วย ถึงในใจจะไม่อยากผิดต่อสวรรค์ก็ตามที

            “ข้าไม่ได้มาเพื่อตอบคำถามเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังไม่หยุดการกระทำอันสกปรกของเจ้าล่ะก็นี่คือคำตอบของข้า” สิ้นเสียงที่แข็งกร้าวขึ้นพระหัตถ์ทรงอำนาจเผยออกไปด้านข้าง ดวงเนตรคมกริบผันแปรเป็นดวงตารียาวของสัตว์ร้าย งูหางกระดิ่งจำนวนนับสิบปรากฏลายล้อมร่างสูงศักดิ์ เสียงคลื่นถี่ระรัวจากการสั่นปลายหางของอสรพิษทะเลทรายดังก้องจนแสบหู 

            ราชีนีคิเมดาห์ขมวดคิ้วลงต่ำ ที่ปลายเท้าสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กอดรัด พอปรายสายตาลงมองก็พบเป็นอสรพิษเกล็ดสีเหลืองทรายกำลังหดหัวเตรียมจู่โจม ดวงตานางพญาค่อยๆ เงยขึ้นมองผู้บงการ สีหน้าที่ผันเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิดขององค์ราชาทำให้เธอสนุกยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าบาซิกค์จะหวงของเล่นได้ขนาดนี้

 
            เจ้าเป็นใครกัน คิโนมุระ มิกิ

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนสุดท้าย (จบ)]UP 14/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 14-10-2015 23:50:31
ค่ำคืนที่ 18 : พระชายาแห่งอนาคาน Part 2

 
            ภายในรถม้าของราชาแห่งอนาคาน มิกิได้แต่นั่งกระสับกระส่ายด้วยหัวใจที่ร้อนรนยิ่งนัก อยากจะแอบดูเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่แผ่นหลังของนายทหารที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าก็บังหน้าต่างรถไว้จนมิด ครั้นจะเปิดประตูออกไปก็ถูกล็อกเอาไว้จากด้านนอก จึงได้แต่ถอนหายใจฟึดฟัดอยู่ในรถ รู้สึกไม่เข้าใจเลยสักนิด ในเมื่ออีกไม่นานเขาก็จะเป็นพระชายาแห่งอนาคานแล้ว เหตุใดถึงต้องปกปิดปัญหาบ้านเมืองไม่ให้เขารู้ด้วย ถึงบาซิกค์จะเคยแก้ไขเรื่องต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว แต่สองหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวไม่ใช่หรือไง

           บ้าเอ๊ย!

           เขาสบถในใจอย่างหงุดหงิด มือเรียวพยายามเปิดประตูรถอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล แต่ขณะที่กำลังนั่งจมลงที่เบาะอย่างหมดความหวัง จู่ๆ ประตูรถก็ถูกกระชากออกอย่างแรง ไม่ทันได้รู้ว่าเป็นใคร เขาก็ถูกลากตัวออกมาด้านนอกในทันที


           “โอ๊ย!” เขาถูกจับตัวกดลงกับพื้น ข้อมือทั้งสองข้างถูกมัดไว้ไพล่หลัง เห็นทหารที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูนอนตายโดยมีมีดคมกริบปักอยู่ที่กลางอก เลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลราวกับจะทะลักออกมา  ภาพความตายอันน่าสยดสยองทำให้รู้สึกอย่างจะอาเจียน แต่ไม่ทันไรก็ถูกจับตัวให้ลุกขึ้น

 
           มิกิพยายามออกแรงดิ้น แต่จังหวะที่พลิกตัวกลับมาหาผู้ลอบทำร้าย ก็พบใบหน้าที่ไม่คาดคิด

 
           “แก!”

           “ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วยสินะ ได้เวลากลับบ้านแล้ว”

           ใบหน้าคุ้นตา นั้นทำเอาเขาอ้าปากค้าง ภาพความทรงจำที่เคยลืมหวนกลับมา เขาจำได้ชายคนนี้เป็นหนึ่งในทีมวิจัยของค็อตเลอร์ แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้!

           ฟ่อ!

           เสียงขู่อสรพิษดังขึ้น จนคนที่จับตัวต้องรีบหันกลับไปมอง ที่เท้าของเขาปรากฏร่างของงูหางกระดิ่งขดตัวอยู่ที่พื้น ปลายหางของมันยกขึ้นสั่นระรัวราวกับต้องการข่มขู่ศัตรู ใบหน้าของผู้ลอบทำร้ายซีดลง เหงื่อไคลซึมละกรอบหน้า มิกิอาศัยจังหวะที่อสรพิษเบนความสนใจ รีบใช้ไหล่กระแทก จนชายที่มุ่งร้ายเสียหลักล้มลงกับพื้น   ก่อนสัตว์ร้ายจะพุ่งเข้าจู่โจม ฝั่งคมเขี้ยวซ้ำที่ลำคอของคนที่ล้มลงต่อทันที

           ภาพความตายทำเอามิกิผงะเท้าถอยหลังจนล้ม หลังจากที่อสรพิษฝังคมเขี้ยวลงไปที่ชายผู้นั้น ใบหน้าของเขาก็ม่วงคล้ำ มีเลือดไหลออกมาจากดวงตาเหลือกขึ้นจนขาวโพลน ร่างกายชักงอเหมือนปลาที่แดดิ้นอยู่บนพื้น ฟองน้ำลายไหลออกมาจากปาก ก่อนวินาทีสุดท้ายจะสิ้นใจลงต่อหน้า

           มิกิกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รู้สึกขาทั้งสองข้างสั่นจนไม่มีแรงลุกขึ้น ใช่ว่าภาพความตายเหล่านี้เขาจะไม่เคยเห็นที่อนาคาน แต่เขาก็ไม่ใช่คนเลือดเย็นที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับความตายแบบนี้ มือเรียวยกขึ้นกุมแผ่นอกที่เต้นแรงราวกับจะทะลุออกมา พร้อมกับพยายามปรับลมหายใจให้สงบนิ่งมากที่สุด งูหางกระดิ่งเลื้อยมาหา เขา ดวงตาสัตว์ร้ายจ้องมองราวกับต้องการสื่อสารบางอย่าง และหากเขาจำไม่ผิดอสรพิษตัวนี้ เป็นตัวเดียวกับที่พาเขาไปพบบาซิกค์ ก่อนความรู้สึกบางอย่างจะบอกให้เขาพูดสิ่งนี้ออกไป

           “ขอบใจนะ” อสรพิษไม่โต้กลับ แต่ดูเหมือนจะรับรู้คำขอบคุณของร่างตรงหน้าได้ มันสั่นปลายหางครั้งหนึ่ง ก่อนจะเลื้อยออกไปด้านหน้าราวกับจะนำทางเขาอีกครั้ง

           มิกิขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้เขามีแรงพอจะลุกขึ้นยืนได้แล้ว ดวงตาคู่สวยมองตามอสรพิษอย่างครุ่นคิดสัญชาตญาณบอกให้เขาเดินตามมันไปอีกครั้ง แต่ทันทีที่เดินผ่านศพชายที่คุ้นหน้า คำถามหนึ่งก็เกิดขึ้นมาในหัวฉับพลัน

           ชายผู้นี้เป็นหนึ่งทีมวิจัยของค็อตเลอร์ไม่ผิดแน่ แต่เหตุใดถึงมาอยู่ที่ซาคาเดียร์ได้ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว แต่จะปลุกร่างที่ไร้วิญญาณขึ้นมาตอบก็เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เขาต้องพยายามคิดคำตอบนั้นออกมาเอง หากเกิดเหตุการเช่นนี้ขึ้นแสดงว่าค็อตเลอร์รู้แล้วว่าเขายังมีชีวิต แต่แล้วทำไมถึงได้รู้ว่าอยู่ที่นี่ ถ้าไม่มีคน..

           ‘มีแต่พระชายาเท่านั้น ที่อาจแก้ไขได้ พิสูจน์ฐานะของท่านให้พวกข้าเห็น’

 
           หรือว่า..ในจดหมายนั่น!

           นัยน์ตาคู่สวยเบิกโพลง หากเรื่องราวเป็นอย่างที่เขาคิดทั้งหมดจริง ก็หมายความว่า ค็อตเลอร์ร่วมมือกับซาคาเดียร์! และระเบิดนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี เช่นนั้นการที่บาซิกค์มาที่นี่ก็หมายความว่าบาซิกค์กำลังตกอยู่ในอันตราย!

           “รีบพาฉันไปที!” เอ่ยด้วยความร้อนรน อสรพิษรับคำด้วยการรีบเลื้อยนำออกไปเวลานี้เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว พอกันทีกับชีวิตที่สูญเสียไม่รู้จักจบสิ้น หากครั้งนี้จะมีคนที่ต้องจากไป ก็ขอใช้วิตของตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อปกป้องคนที่เขารัก

 

           ลมทะเลทรายพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นชื้นของสายฝน ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มขึ้นทุกวินาที ราวกับต้องการตอกย้ำบรรยากาศกดดันตรงหน้าให้หนักยิ่งขึ้น ดวงตาราชาอสรพิษจ้องเขม็ง ปานจะกินเลือดกินเนื้อหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าให้ตายด้วยสายตา โชคดีที่ลางสังหรณ์ของเขาถูกต้องจึงได้ทิ้งงูทะเลทรายคอยเฝ้าเด็กหนุ่มเอาไว้ ภาพมโนที่เห็นในห้วงความคิดผ่านสายตาของอสรพิษทำให้ถึงกับใจหายไปชั่วขณะเมื่อมิกิถูกลอบทำร้าย ทว่า..เขามิอาจดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบได้ ทันทีที่เขาเผลอราชีนีคิเมดาห์ ก็โต้กลับในทันที

            “พระองค์ทรงเห็นอะไรงั้นหรือ” รอยยิ้มสวยยกขึ้นที่มุมปาก กล่าวข้อความราวกับล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้น           “เจ้าต้องการสิ่งใด” ขค้นเสียงเยือกเย้นจนทำให้อากาศของทะเลทรายเย็นวาบ คิเมดาห์ลุกขึ้นยืนจากที่ประทับ งูหางกระดิ่งที่เคยอยู่ใต้ขาเธอบัดนี้ศูนย์สลายกลายเป็นผุยผงดวงอำนาจของนาง ดวงตานางพญามองอย่างเย้ยหยัน

            “ข้ามิได้ต้องการสิ่งใด นอกเสียจากการรักษากฏให้คงอยู่ไว้ แต่พระองค์ต่างหากต้องการสิ่งใดกันแน่ ถึงได้กล้าขู่ซาคาเดียร์เช่นนี้”

            สิ้นคำพูด เสียงขู่ ‘ฟ่อ’ ก็ดังจากทุกทิศทุกทาง งูเห่าจำนวนหลายสิบตัว ชูคอรายล้อมเหล่าบรรดาราชบริวารแห่งอนาคานเอาไว้ ราชาบาซิกค์เบิกพระเนตรกว้างทันที

            “เจ้าคิดจะทำอะไร!” แผดเสียงลั่นด้วยความกริ้ว แต่หากความโกรธกลับยิ่งทำให้ราชีนีอสรพิษยิ่งชอบใจ รอยยิ้มร้ายกาจยกขึ้น ในเมื่อเนื้อเข้าปากเสืออย่างเธอแล้วก็คงรอดได้ยาก

            “หม่อมฉันไม่เคยคิดทรยศอนาคาน แต่สิ่งที่พระองค์ทรงทำกำลังทำให้บ้านเมืองแตกแยก หากหม่อมฉันเสด็จสวรรคต คิดหรือว่าเรื่องนี้จะจบลงง่ายๆ” 

            “หากเจ้ากล้าแตะต้องคนของข้าแม้แต่ปลายเล็บ อนาคานกับซาคาเดียร์เป็นอันขาดกัน!” ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความโกรธที่เริ่มกักเก็บไว้ไม่อยู่ คิเมดาห์สาวเท้าเดินเข้ามาหาราชาใกล้ขึ้นแต่ก็ห่างพอในระยะปลอดภัย ใบหน้างามเอียงมองราชาแห่งอนาคานตั้งแต่ปลายเท้าจรดศรีษะประหนึ่งกำลังพินิจสิ่งของไร้ค่า ก่อนเหยียดรอยยิ้มอย่างไม่ปิดบัง

            “แต่ะต้อง? แตะต้องใครล่ะเพคะ?  ราชบริวาร หรือทาสหนุ่มนั่น”

            “หากเจ้าสังหารพระชายา ข้าจะฆ่าเจ้า” บาซิกค์กล่าวอย่างเย็นชา คิเมดาห์กลับหัวเราะชอบใจ

            “ทำไมล่ะเพคะ ก็แค่ชีวิตชาวต่างชาติคนเดียว ไยพระองค์ถึงได้คิดสังหารหม่อมฉันได้ เขายังไม่ใช่พระชายาของพระองค์สักหน่อย และจะไม่มีวันได้เป็นด้วย” คิเมดาห์เอ่ยอย่างร้ายกาจ ความจริงที่พูดตอกย้ำจนเผลอกำมือจนสั่น ถึงเขาจะเลือกมิกิเป็นพระชายา แต่สถานะตอนนี้พวกเขาก็ยังมิได้สมรสกัน จึงไม่มีข้อผูกพันธ์ใดๆ เกี่ยวข้องกับอนาคานอย่างที่หญิงตรงหน้าบอก คิเมเดาห์เป็นราชีนีที่ฉลาด หากเขาคิดทำอะไรวู่วามที่ซาคาเดียร์ลงไป เขาก็อาจปกป้องใครไม่ได้อีกเลย

            ทุกอย่างเงียบไปสักพัก ดูเหมือนราชาบาซิกค์กำลังรู้แล้วว่าสถานะของตัวเองในเวลานี้เป็นเช่นไร แต่ทั้งหมดยังไม่สาสมกับที่เธอต้องการ

           เธอจะบีบอนาคานให้มากกว่านี้ บีบจนกว่าจะยอมร้องขอสยบอยู่แทบเท้า!

            “นำตัวองค์ชายบาฮาลออกมา” สิ้นเสียง ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลขององค์ชายบาฮาลถูกองครักษ์แห่งซาคาเดียร์ลากออกมาจากด้านหลัง ก่อนจะเหวี่ยงร่างสูงศักดิ์ที่ถูกมัดไว้ให้ล้มลงกองกับพื้นกลางลานพิธี ท่ามกลางสายตานับร้อย

            บาซิกค์เบิกตากว้าง คิดไม่ถึงว่าน้องชายตนจะถูกทำร้ายจนไร้เรี่ยวแรง แต่ถึงความกริ้วโกรธจะทุขึ้นในใจแต่ก็ต่องระงับเอาไว้ อย่างไรบาฮาลได้กระทำผิดต่อซาคาเดียร์จริง แต่หลักฐานที่มัดแน่นนี้ ทำยังไงเล่าถึงจะแก้ปมเชือกได้

            “องค์ชายบาฮาลคิดสังหารหม่อมฉัน อนาคานจะรับผิดชอบอย่างไร” ดวงตานางพญาหันมามองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ราชาบาซิกค์ยืนนิ่งพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก ถึงจะพอเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายออก แต่เขาก็ต้องการย้ำให้แน่ชัดว่า คิเมดาห์คิดไม่ซื่อกับอนาคานจริง

            “เจ้าต้องการสิ่งใด”  พอได้ยินคำถามร่างงามก็ยิ้มหวานตอบรับ

            “หม่อมฉันไม่ขอสิ่งใดมาก แค่พิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย จะต้องถูกจัดขึ้น และหม่อมฉัน จะทำเป็นลืมว่า...เคยเกิดอะไรขึ้นระหว่างซาคาเดียร์และอนาคาน” ข้อเสนอหยิบยื่นออกมาพร้อมรอยยิ้ม บาซิกค์คาดเดาไว้อยู่แล้วคิเมดาห์คงต้องการเช่นนี้ แต่ถึงอยากจะปฏิเสธอย่างไร เขาก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอ อีกทั้งคนที่ต้องรับเคราะห์กรรมนี้คงเป็นน้องชายของเขาเอง แต่หากยอมรับ ก็เท่ากับอนาคานยอมคุกเข่าให้ซาคาเดียร์อีกครั้ง ซึ่งรวมไปถึงเรื่องในอนาคตที่คิเมดาห์ต้องการครอบครองอนาคานไว้นำกำมือ ผสานกับความจริงที่บีบคั้นกับฉากสายตานับร้อยคู่ของประชาชน ทั้งหมดเป็นแผนการของคิเมดาห์ที่ต้องการกดดันตัวเขาให้ยอมรับ แต่...

            “ยะ...อย่านะท่านพี่..” เสียงอ่อนแรงจากคนที่คิดว่าสิ้นการรับรู้ไปแล้วเอ่ยขึ้นดังจากเบื้องล่าง องค์ชายบาฮาลพยายามเหลือบมองพี่ชายของตนเองอย่างอ้อนวอน ว่าอย่าได้สนใจชีวิตของเขา ถึงอยากจะกลั้นใจพูดมากกว่านี้ ว่าเขายอมตายยังดีเสียกว่าตกเป็นเครื่องมือทำลายประเทศของตัวเอง แต่ร่างกายของเขาก็ไร้แรงเกินกว่าจะขยับได้

            บาซิกค์มองใบหน้าน้องชายของตัวเองนิ่ง เขาเข้าใจว่าบาฮาลต้องการให้เขาทำเช่นไร ทว่าความลังเลบางอย่างที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงกลางใจก็ไม่สามารถทำให้เขาตัดสินใจได้ทันที หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่สนใจ แต่เวลานี้ สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกมันกลับบอกว่า..เขาต่างหากที่ควรจะจบเรื่องทุกอย่าง

            “ได้โปรดใช้ชีวิตของพระองค์ ช่วยเหลือพวกเขา...” คิเมดาห์ย้ำเตือนครั้งสุดท้าย ราวกับเป็นการกระตุ้นบทสรุปทุกอย่าง ได้ยินเสียงข้าราชบริวารของตัวเองกำลังร่ำไห้ คำวิงวอนให้เขาโปรดเมตตาดังก้องทั้งสองใบหู เขาจะต้องเสียสละ

           ...ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออนาคาน
           ...และมันจะต้องเป็นเช่นนั้น
                 ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

                       ริมฝีปากหยักสวยสมดั่งองค์เทพกำลังเขยื้อนเอ่ย.. ถ้อยคำสุดท้าย..กล่าวอำลา

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนสุดท้าย (จบ)]UP 14/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 14-10-2015 23:51:23
ค่ำคืนที่ 18 : พระชายาแห่งอนาคาน Part จบ
 
           “อย่านะบาซิกค์!”

           เสียงเรียกของใครบางคนตะโกนลั่น สติที่หลุดลอยกลับคืนมาอีกครั้ง บาซิกค์รีบหันไปหาเจ้าของเสียงนั่น  เหล่าฝูงชนต่างแหวกออกเป็นสองข้างราวกับต้องการให้ดวงตาของราชาอสรพิษมองเห็นผู้ขัดจังหวะได้ชัดเจน เด็กหนุ่มต่างชาติในชุดโธปสีขาวแบกร่างไร้วิญญาณของใครบางคนไว้กับแผ่นหลัง ด้วยสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยเอาการ เจ้าตัวสาวเท้าตึงตังเดินมายังใจกลางลานพิธี โยนร่างไร้วิญญาณที่แบกมาลงกับพื้นต่อหน้าทุกคน

            “ไอ้พวกขี้ขลาด!” เสียงตวาดลั่นใส่หน้าราชีนีแห่งซาคาเดียร์ คิเมดาห์เบิกตาโพลงไม่คาดคิด

            “ซาคาเดียร์เก่งแต่เรื่องแทงข้างหลังคนอื่นหรือยังไง”

           “บังอาจ!”

           องครักษ์ข้างกายราชีนีทำท่าจะเอาเรื่องเด็กหนุ่ม แต่มือเรียวกลับยกขึ้นห้ามเอาไว้ฉับพลัน ราวกับมีบางอย่างน่าสนใจ ก่อนดวงตานางพญาจะปรายลงมองที่ซากศพที่ถูกพิษงูจนสิ้นลม แล้วหันมาให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มคนที่กล้าว่าเธอต่อหน้าทุกคน

            “นั่นไม่ใช่คนของซาคาเดียร์” สุรเสียงเอ่ยนิ่งเรียบ เธออยากจะรู้นักว่าเด็กที่ไม่สิ้นปากกลิ่นน้ำนม จะเอาอะไรมาสู้กับเธอได้

            “แล้วคิดจะบอกคนที่บงการอยู่เบื้องหลังไหมล่ะ” พอได้ยินคำถามที่สวนกลับมา สีหน้าของนางพญาก็เปลี่ยนไปฉับพลัน มิกิยกยิ้มขึ้น

            “ถ้าซาคาเดียร์บริสุทธิ์ใจ ก็ยอมรับออกมาซะว่าเป็นใคร ถึงฉันจะไม่รู้กฏที่นี่ แต่ก็แน่ใจว่าการทำร้าย’คนของพระราชา’ ย่อมมีความผิดเท่ากับการทำร้ายราชาเช่นกัน” มิกิจงใจเน้นย้ำคำว่า ‘คนของพระราชา’ เป็นพิเศษ หลังจากผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เขาก็แน่ใจบาซิกค์จะต้องปกป้องเขาจากคำพูดนี้ได้แน่นอน ถึงแม้คนอื่นจะยังไม่ยอมรับในตัวเขาก็ตาม

            “เจ้ายังไม่ใช่คนของอนาคาน” คิเมดาห์ยิ้มอย่างเหนือกว่า แต่หากรอยยิ้มนั้นต้องจางหายไปทันที เมื่อ เสียงเรียบสวนขึ้นมา

            “เขาเป็น...” คิเมดาห์หันมามองบาซิกค์ มือเรียวกำจนแน่น

            “และเป็นมาตลอด” รอยยิ้มหยั่นยกขึ้นจากดวงหน้างดงามขององค์ราชา คิเมดาห์รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยก้อนน้ำแข็งจนชาวาบ อย่างไรเธอจะไม่ยอมแพ้อยู่แค่นี้ หากเล่นสงครามเช่นนี้กับเธอ เธอก็จะสนองให้

            “นี่ไม่ใช่ความผิดของซาคาเดียร์ ไม่มีความจำเป็นต้องรับผิดชอบ อย่าลืมสิว่าพระองค์เสด็จมาที่นี่เพราะเหตุใด หากคนของท่านมีหลักฐานไม่ชัด อนาคานก็ไม่มีสิทธิ์มาเหิมเกริมเปลี่ยนผิดเป็นถูกที่นี่” ร่างงามกล่าวเสียงแข็งกร้าว มิกิคาดไม่ถึงว่าคิเมดาห์จะงัดเรื่องนี้ออกมาปิดปากพวกเขา

            “เอาอย่างไรดีเล่า...พระองค์ตัดสินพระทัยได้หรือยัง แต่หากปฏิเสธพิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายล่ะก็...”จังหวะเว้นหายไป ดวงตานางพญาเปลี่ยนมองราชบริวารแห่งอนาคานที่ลายล้อมอยู่รอบนอก

           “พวกเขาก็ต้องชดใช้แทน” เสียงดีดนิ้วดังขึ้น พร้อมกับเสียงกรีดร้องของราชบริวาร

           ราชาบาซิกค์เบิกพระเนตรกว้างเมื่อเห็น อสรพิษพันอยู่ที่ลำคอข้าราชบริวารทุกคน แม้จะเคยสั่งลงโทษราชบริวารของตนจนถึงแก่ความตายมามาก แต่กลับทนไม่ได้หากคนของเขาจะต้องตายด้วยน้ำมือของผู้อื่น มันเป็นเหมือนการหยามเกียรติหยามศักดิ์ แต่เวลานี้เขาอยู่ในรังศัตรู หากใช้อำนาจที่มีลงมือช่วยก็เท่ากับว่า เขาเปิดสงครามขึ้นทันที และทุกคนจะต้องตายอยู่ที่นี่..สิ่งที่จะช่วยทุกคนคือ..ตัวเขาเอง


            “จะไม่มีพิธีการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น!” เสียงประกาศกร้าวดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด เด็กหนุ่มสองสายเลือดยืนอยู่ใจกลางลานพิธี สีหน้าที่จริงจังปรากฏขึ้นพร้อมกับของเหลวบางอย่างที่กำลังไหลจากมาจากฝ่ามือ...

 
          แหมะ..

            แหมะ..

           คมมีดกรีดลึกบนฝ่ามือ เลือดสีแดงเข้มไหลหยดลงสู่พื้น กลิ่นบุปผชาติโบราณโชยคลุ้งขจรขจรายไปตามสายลม ทันทีรับรู้ อสรพิษที่เกี่ยวรัดคอร่วงหล่นบนกับพื้น ก่อนเลื้อยไปในจุดเดียวกัน กอดเกี่ยวพันกันจนกลุ่มก้อนร่วมรับไม่รู้จักอับอาย

           “หากบังคับพวกมันได้ ก็ลองดู” มิกิแสยะยิ้ม คิเมดาห์พยายามใช้อำนาจของตัวอีกครั้งแต่อสรพิษเหล่านั้นหาได้ทำตามคำสั่งไม่ ดวงตานางพญาหันมามองเด็กหนุ่มด้วยความกริ้ว แต่ทว่า แทนที่เขาจะได้ยินเสียงชื่นชมยินดีจากราชบริวารแห่งอนาคาน กลับกลายเป็นเสียงตัดพ้อในชีวิตต่อว่าว่าที่พระชายาแห่งอนาคาน คิเมดาห์ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ยกริมฝีปากขึ้นเมื่อรู้สึกเป็นต่อ อย่างไรเรื่องนี้ดิ้นรนไปก็คงสูญเปล่า หากอนาคานยังคงเป็นเมืองที่โง่งมเช่นนี้อยู่ ขณะที่มิกิทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!

            “หยุดพล่ามได้แล้วไอ้พวกขี้ขลาด! ราชาบาซิกค์ให้ชีวิตกับพวกนายไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงตอบแทนเขาแบบนี้!” เสียงตะโกนที่ตะเบ็งออกมาจากคนที่เสียสละเลือดของตัวเอง มิกิยืนขึ้นเต็มความสูงหันใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ เข้าหาเหล่าบรรดาบริวารแห่งอนาคานที่เอาแต่ห่วงชีวิตของตัวเอง

            “เพราะกฏงั้นหรือ งั้นพวกนาย นาย นาย! ก็สมควรตายด้วยกันหมดทุกคน!” เขากล่าวเสียงแข็งอย่างไม่เคยเป็น นัยน์ตานั้นเริ่มสั่นคลอ แต่หาใช่ความเสียใจ แต่เป็นความเจ็บใจที่รอบตัวของบาซิกค์ไม่มีคนที่จริงใจเลยสักคน

            “พวกนายมันเห็นแก่ตัว รักแต่ชีวิตของตัวเองที่รอคอยการปกป้อง แต่เคยถาม องค์ราชาสักคำไหมว่า เขาเจ็บปวดมากแค่ไหน” เสียงของเขาดังก้อง ประโยคสุดท้ายที่พูดราวกับเขารับความเจ็บปวดของบาซิกค์ไว้กับตัวเอง

            “ถ้าพวกนายภักดีแค่ปาก ก็อย่าพูดมันอีกเลย กลับไปให้หมดซะ! แต่หากรักองค์เทพจริงก็จงหยิบอาวุธขึ้นมาสู้เพื่อความถูกต้อง และหยุดไล่เขาให้ไปตายสักที..” ประโยคช่างแสนเจ็บปวดจนขอบตาร้อนผ่าว แต่เขาจะเปลี่ยนมันเป็นความเข้มแข็ง

           “แต่หากพวกนายไม่กล้า...” มิกิเดินไปขวางอยู่หน้าบาซิกค์ กางแขนออกทั้งสองข้าง “ฉันจะปกป้อง องค์ราชาเอง...” สายลมวูบหนึ่งพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นบุปผาที่โปรดปราน แม้ร่างกายนี้จะไม่มีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ใดๆ มาป้องกัน แต่ก็จะขอใช้ร่างกายที่อ่อนแอนี้ปกป้องคนที่เขารักจนวินาทีสุดท้าย

           จะไม่ยอมเสียใครไปอีกแล้ว..

           จะไม่ยอมไปไหนอีกแล้ว..

           หากชีวิตนี้ต้องดับสิ้น ก็ขอให้สิ้นใจใต้อ้อมแขนของคนรักก็เกินพอ

           บาซิกค์อยากจะสวมกอดคนตรงหน้าไว้จริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะรู้สึกละอายในความลังเลของตัวเองจนทำให้เรื่องทุกอย่างกลายเป็นเช่นนี้จึงไม่กล้าทำเช่นนั้น มิกิเป็นเด็กหนุ่มที่เหมือนจะอ่อนแอ แต่ทว่าความเป็นจริงแล้วกลับเป็นคนที่เข้มแข็งและกล้าหาญจนเขาคาดไม่ถึง เขาได้สร้างบาดแผลมากมายให้ร่างนี้มากมาย ทั้งภายนอกและภายใน น่าแปลกที่คนคนนี้กลับยอมรับมันได้ทุกอย่างโดยไม่ลังเล ขณะที่เขากลับสับสนแม้จะเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง เขาจะปกป้องคนอื่นได้อย่างไร หากตัวนั้นยังอ่อนแอเช่นนี้อยู่..

           บทเรียนทุกอย่างสามารถเรียนรู้ได้

           แต่บทเรียนที่สอนใจคนเล่า มันจะสามารถเรียนรู้ได้เช่นกันหรือเปล่า? เขาก็อยากรู้คำตอบ

            “เป็นความกล้าหาญที่งดงามมาก คิโนมุระ มิกิ” เสียงปรบมือดังขึ้นจากร่างระหง เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าบาซิกค์จะมีของเล่นชิ้นดีเช่นนี้อยู่ในกำมือ แต่อย่างไรเรื่องนี้คงไม่จบเพียงเท่านี้ หากบีบบังคับตามที่วางแผนไว้ไม่ได้ เธอก็จะใช้วิธีใหม่ที่กดดันยิ่งกว่าเดิม

           “ข้าก็อยากจะรู้เช่นกัน ว่าเจ้าละทิ้งความเห็นแก่ตัวอย่างที่เจ้าพูดได้หรือเปล่า หากข้ายกโทษของอนาคานครั้งนี้ให้แก่เจ้าเป็นคนตัดสิน เพื่อแลกกับอิสระภาพที่เจ้าต้องการ เจ้าจะได้กลับประเทศของเจ้า เริ่มทุกสิ่งใหม่อีกครั้งพร้อมเงินทองมากมาย และจะไม่มีใครตามมาทำร้ายเจ้า เจ้าจะได้ทุกอย่าง หากเจ้ากลับไป”


           เอาเลยสิมิกิ..แสดงความเห็นแก่ตัวของเจ้าออกมา

            “อนาคานอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว” สิ้นประโยค คิเมดาห์ก็ทิ้งรอยยิ้มชั่วร้ายไว้ทันที เธออยากจะรู้นักว่าคนที่คิดจะปกป้องราชา จะทำจริงอย่างที่ปากว่า หรือก็แค่เสียงไก่กาไม่ต่างจากคนอื่น เมื่อเจอข้อเสนอที่ตัวโหยหามาตลอด

            มิกิยืนนิ่งครุ่นคิด รู้สึกบนบ่าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ถูกต้องที่เขาลังเล เพราะปากเขาก็พูดออกไปแล้วว่าจะปกป้องบาซิกค์ ทว่า ความคิดชั่ววูบก็พลันแล่นเข้ามาในหัว

            ใช่..เขาอยากกลับบ้าน กลับไปใช่ชีวิตในแบบที่เขาต้องการไม่ต้องมีเรื่องอะไรมาพัวพันอีกแล้ว

          เขาไม่ควรอยู่ที่นี่

          และอนาคานก็ไม่เคยมอบความสุขใดให้..

          หากกลับญี่ปุ่นพร้อมกับเงินทองมากมายเหล่านี้ ทั้งชีวิตเขาไม่ต้องทำงานเลยก็ยังได้

          โอกาส กองอยู่ตรงหน้าแล้วมิกิ..

          เลือกสิ..มิกิ

            “ฉันจะกลับ...”  คำตอบที่ได้ยินทำเอาทุกคนถึงกับเบิกตากว้าง แต่ไม่ทันที่คิเมดาห์จะยกยิ้มให้กับความสำเร็จของเธอ คำตอบก็เผยมาอีก

            “แต่ไม่ใช่ประเทศของฉัน แต่เป็น...” มิกิเว้นจังหวะไป ทุกอย่างเงียบสงบ ใบหน้าอ่อนหวานของเด็กหนุ่มหันมองราชาแห่งนาคิน  “อนาคาน”

            สิ้นข้อต่อรองสุดท้ายที่ถูกพังทลาย บรรดาชาวอนาคานทุกคนยิ้มนับยินดีกับคำตอบเช่นนั้นของว่าที่พระบา ก่อนทุกคนหยิบอาวุธของตัวเตรียมขึ้นสู้รบ ภาพที่เปลี่ยนไปทำเอาราชีนีแห่งซาคาเดียร์สติขาดผึงทันที!

            “งั้น ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก!”

            “บาฮาล!” เสี้ยววินาทีที่เผลอไป องครักษ์ข้างกายของราชีนีก็จ่อคมดาบไว้ที่ต้นคอขององค์ขายแห่งอนาคานในทันที คิเมดาห์แสยะยิ้มชั่วร้าย เพราะบางทีอนาคานอาจจะลืมไปแล้วว่าหากปฏิเสธสิ่งที่เธอปรารถนาก็ต้องมีคนชดใช้ให้เธอเช่นกัน!

            “ประหารองค์ชาย เพื่อชดใช้ความผิดแด่ซาคาเดียร์ซะ!” สิ้นบัญชาอย่างโหดเหี้ยม คมมีดกำลังพุ่งปาดลงที่ลำคอคอขององค์ชายหนุ่มทันที แต่ไม่ทันได้ดั่งใจ พริบตาเดียวในจังหวะที่กำลังจะถึง งูหางกระดิ่งที่แอบซ่อนตัวไว้ใกล้สาบเสื้อขององค์ชายก็พุ่งตัวฉกเข้าข้อมือองครักษ์ของราชีนี พอได้โอกาสบาซิกค์ก็รีบตรงเข้าประชิดองครักษ์นั่น ฝ่ามือทรงอำนาจบีบเข้าที่ลำคออย่างไม่ลังเล ก่อนจะกดร่างนั้นจนล้มลงกองกับพื้น แล้วเหยียบเท้าทับไว้ที่ลำคอของอีกฝ่ายไม่ให้คิดหนี

            “ราซิส!” คิเมดาห์ร้องดังด้วยความตกใจ องครักษ์ที่ปิดบังใบหน้าใต้ผ้าคลุมศีรษะเผยออก ใบหน้าคุ้นตาของชายหนุ่มผมทอง กับดวงตาสีครามอยู่ใต้ฝ่าเท้า เพียงแค่นั้นเขาก็จำได้ทันที

           “เจ้ายังไม่ตายจริงๆด้วยสินะ” ราซิสพยายามดิ้นให้หลุด แต่ด้วยแรงกดมหาศาลทำให้เหมือนร่างกายของเขาถูกล็อกเอาไว้ แม้จะกลายร่างเป็นนาคินก็มิอาจทำได้ แต่พอได้ยินสุรเสียงเย็นชาคุ้นหูแล้วหัวใจก็ชาวาบขึ้นมา แม้เรื่องในอดีตจะผ่านไปนานจนคิดว่าเริ่มทำใจได้ แต่พอพบคนคนนี้อีกครั้ง ความรู้สึกหลากหลายก็เข้ามาปะปนจนสับสน ทั้งเกลียดชัง ทั้งเจ็บใจ แต่ทำไมกัน ทำไมถึงได้เหลือเยื่อใยไว้ด้วย ทั้งๆ ที่คนๆ นี้ตัดเขาทิ้งออกไปแล้วทุกอย่าง หากอยากจะฆ่าเขาก็ทำเลย ไม่ต้องมามองด้วยสายตาแบบนั้น

            สายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพช

            “บังอาจนักบาซิกค์ ปล่อยเขาไม่งั้นข้าจะฆ่าบาฮาลเดี๋ยวนี้!” คิเมดาห์แผดเสียงลั่น หยิบคมมีดมาจ่อไว้ที่องค์ชายบาฮาลอย่างรวดเร็ว บาซิกค์ปรายตาหันกลับมองราชีนีแห่งซาคาเดียร์แล้วยกยิ้มเย็นเยียบ ในที่สุดเขาก็พอจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว ว่าทำไมคิเมดาห์ถึงอยากจะให้เขาพิธีเกี่ยวเก็บครั้งสุดท้าย

            “หากเจ้าฆ่าบาฮาล ข้าจะฆ่าราซิสด้วย และเป็นอันว่าอนาคานจะยอมรับข้อเสนอพิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย และข้าจะทำตามความปรารถนาของเจ้า โดยเลือกเจ้าเป็นราเมียร์คู่บัลลังก์” พอได้ยินคำตอบ คิเมดาห์ก็กลืนน้ำลายแทบไม่ลง ที่บาซิกค์พูดเหมือนรู้แผนเธอทุกอย่างว่าต้องการสิ่งใด แต่มีหรือว่าเธอจะยอมรับเรื่องนี้

            “หึ คิดหรือว่าข้าจะ...”

            “อ๊ากก!” ราซิสร้องโหยหวนด้วยความเจ็บเมื่อบาซิกค์กดเท้าที่คอแรงขึ้น

            “อย่านะ!” คิเมดาห์ร้องห้ามอย่างลืมตัวเมื่อได้เห็นคนรักถูกทำร้าย ขณะที่บาซิกค์แน่ใจแล้วว่า ที่ราซิสรอดชีวิตที่ซาคาเดียร์เป็นเพราะเหตุใด ก่อนดวงตาคมกริบจะจ้องมองราชีนีแห่งซาคาเดียร์อย่างเหนือกว่า

            “คิดหรือว่าข้าจะไม่รู้แผนการของเจ้า ที่ไว้ชีวิตราซิสไว้ก็เพื่อที่จะนำมาเป็นคู่ครอง ตามกฏข้าไม่สามารถเลือกราเมียร์ที่มีคู่ครองได้ แต่หากราซิสตาย เจ้าก็ไร้คู่และข้าก็สามารถเลือกเจ้าเป็นราชีนีคู่บัลลังก์ได้ และที่เจ้าหวังจะให้พิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น ก็เพื่อจะครอบครองโอรสเทพนาคินองค์ใหม่ไว้ในมือ แล้วนี่หรือที่บอกว่าซาคาเดียร์ไม่เคยทรยศอนาคาน!”

            “พอแล้วบาซิกค์!!” มิกิทนไม่ไหวร่างเล็กรีบเข้ามาห้ามก่อนที่บาซิกค์จะเหยียบราซิสให้ตายคาแทบเท้าของตัวเอง แต่กลับถูกผลักจนล้มกับพื้น

          “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้ามิกิ!” บาซิกค์ตวาดเสียงดังด้วยความกริ้ว ก่อนใบหน้าคมจะหันตวัดกลับมาที่ราชีนีซาคาเดียร์

            “หากเรื่องนี้ซาคาเดียร์ไม่ยอมรับ ก็เท่ากับว่าต้องการเปิดสงคราม ต้องการเช่นนั้นหรือไม่”

            ดวงตาราชาจับจ้องด้วยความพิโรธ คิมเดาห์กันฟันแน่นคิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนให้จนมุม แต่อย่างไรเธอก้ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องราวลงเอ่ยเช่นนี้ได้ แม้ในอดีจะเคยคิดใช้ราซิสเป็นเพียงแค่เครื่องมือให้เธอมีชีวิตรอด แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องการให้ชายผู้นี้เจ็บปวดอีกแล้ว บาดทางกายนั้นหายได้ แต่บาดแผลในใจยากจะรักษา หากเป็นเช่นนั้นเธอยอมตายไปด้วยเสียยังจะดีกว่าต้องอยู่เพียงลำพัง

            “ใช่หม่อมฉันยอมรับ” สิ้นคำตอบทุกอย่างเงียบกริบไปอีกครั้ง ราชีนีคิเมดาห์เงยใบหน้าขึ้นมาอ้อนวอนทั้งน้ำตานองหน้าอย่างไม่ปิด

           “แต่ได้โปรด ปล่อยเขา...” น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมา ทั้งๆ ที่ทีแรกคิดเสมอว่าราซิสคือเครื่องมือของเธอแต่พอมาตอนนี้ เธอมิอาจโกหกความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป บาซิกค์เมื่อเห็นคิเมดาห์หลั่งน้ำตา ก็ยกเท้าขึ้น ราซิสโก่งตัวไอออกมาทันทีที่ได้รับอากาศอีกครั้ง ร่างงามรีบวิ่งเข้ามาหาองครักษ์ก่อนทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

            “ราซิส เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”

            “ข...ข้าขอโทษ ข้าฆ่าเขาไม่ได้”

            “อย่าพูดอีกเลยราซิส” มือเรียวลูบลงบนเส้นผมสีทองอย่างอ่อนโยน ก่อนดวงตานางพญาจะเงยขึ้นมองคนที่ยืนคร่อมด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ

            “นี่คือสิ่งที่ต้องการใช่หรือไม่ ในที่สุดซาคาเดียร์ก็ไม่เหลือเกียรติใดๆ อีกแล้ว หากอยากตัดขาดกัน ก็ขาดกันตั้งแต่วันนี้!”

            “นั่นไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเริ่มก่อนหรอกหรือ ที่มาลอบวางระเบิดที่อนาคาน!”

            “นั่นไม่ใช่ฝีมือของหม่อมฉัน!” คิเมดาห์ขึ้นเสียงแข็งกับความจริงบางอย่างที่ทำเอาชาวอนาคานทุกคนไม่คาดคิดไปตามๆ กัน แต่ไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ ดวงตาคู่สวยของนางพญาก็หันมามองที่เด็กหนุ่มต่างชาติ

            “แต่ทรงถามคนของพระองค์ที่ทรงหวงนักหนาเองเถอะ ว่าเพราะเหตุใดแน่” พอคำตอบถูกโยนมาที่เขา มิกิถึงกับสะดุ้ง เพราะมีเรื่องราวบางอย่างที่เขายังไม่ได้บอกคนตรงหน้า ใช่ว่าเขาจะปิดบัง แต่เขาแค่ไม่ในใจว่า ‘คนจากฝั่งนั้น’ กลับมาตามหาเขาจริงหรือเปล่า แต่พอได้ฟังเช่นนี้ คำตอบทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจน

            คิเมดาห์ยกมือขึ้นปาดน้ำตาแห่งความเจ็บใจ คิดไม่ถึงเลย ว่าเด็กต่างชาติเพียงคนเดียวจะทำให้ทุกอย่างที่วางแผนมาพังทลายไม่มีชิ้นดี

            “ไม่คิดเลยว่าคนนอกจะทำให้กฏของเทพนาคินย่อยยับ หากพระองค์ต้องการสงครามจริง หม่อมฉันก็จะสนอง...”

            “อนาคานจะชดใช้ให้เจ้าอย่างสมเกียรติ...และไม่จะตัดสัมพันธ์กับซาคาเดียร์ทิ้ง”

            “หึ ด้วยอะไรล่ะเพคะ พิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย พระองค์ก็ปฏิเสธมันไปแล้ว ยังจะเหลืออะไรที่หม่อมฉันต้องการอีก!” เธอกล่าวอย่างนึกขัน ตอนนี้เธอไม่ได้อะไรสักอย่างในสิ่งที่ต้องการ แล้วจะใช้อะไรมาเอาใจเธอเพื่อผูกสัมพันธ์กับซาคาเดียร์อย่างที่เธอพอใจได้ แต่คำตอบกลับเป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึง

            “ชีวิตขององค์ชายบาฮาล ข้ายกให้เจ้า ฆ่าเขาซะ เพื่อชดใช้แทนเรื่องทั้งหมด” คำตอบแสนเลือดเย็นทำเอาคิเมดาห์เบิกตากว้าง มิกิรีบลุกขึ้น ทันทีเขายอมไม่ได้ที่จะให้เกิดเรื่องแบบนี้!

            “บาซิกค์! อึก!” ไม่ทันจะได้เข้าไปห้าม ทันทีที่สบดวงตาเรียวยาวของอสรพิษ ก็เหมือนมีบางอย่างทำให้ภาพทุกอย่างขาดหายไป ก่อนร่างกายจะทรุดฮวบลงในอ้อมแขนขององค์ราชา

            “นำตัวมิกิออกไป...” ราชบริวารรีบเดินเข้ามา รับตัวเด็กหนุ่มออกไปจากอ้อมแขนแกร่งตามรับสั่ง ก่อนดวงตาคมกริบจะหันมามองกับผู้ที่สำคัญที่สุดกับการรักษาความสัมพันธ์ครั้งนี้

            “เรื่องนี้เจ้าเสียสละตัวเองได้หรือไม่บาฮาล” เสียงที่แสนเย็นชา จนไร้ซึ่งความรู้สึกเอ่ยกับน้องชายตน บาฮาลมองดวงตาสีอำพันของราชานาคิน แม้ภายนอกมันจะรุ้สึกว่างเปล่าไม่มีเยื่อใยให้เขา แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ซ่อนเอาไว้กับการแสดงออกเพียงเปลือกนอกจากพี่ชายคนนี้ ตั้งแต่เกิดมาชีวิตของเขาไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ และเติบโตมาเพียงลำพังตลอด แต่หากเขาคงไม่มีวันได้รับโอกาสเหล่านั้นหากเทพนาคินไม่เมตตาไว้ชีวิต ทั้งๆ ที่รู้ว่าอนาคตเขาอาจกลายเป็นเทพนาคินแย่งอำนาจของพี่ชายตัวเองก็ได้ แม้การแสดงออกภายนอกจะมีแต่ความเย็นชา แต่ถึงจะเป็นความเย็น ก็เป็นความเย็นที่สามารถปกป้องและห่อหุ่มเขาได้เสมอ หากจะตอบแทนเพื่อสร้างประโยชน์ให้คนคนนี้ ชีวิตของเขาก็เกิดมาคุ้มค่ากับทุกสิ่งแล้ว

            “ชีวิตของกระหม่อมเป็นของพระองค์” บาฮาลหลับตาลง พยายามโน้มศีรษะแสดงความภักดีว่าน้อมรับบัญชาขององค์เทพ บาซิกค์พยายามยกรอยยิ้ม ก่อนหันใบหน้าที่เรียบเฉยถามคิเมดาห์

           “เจ้าพอใจกับคำตอบนี้หรือเปล่า...” คิเมดาห์พูดไม่ออก แต่ก็มิอาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ ก่อนเสียงฟ้าคำรามท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุจะดังขึ้น พร้อมบัญชาจากองค์เทพ

            “ฆ่าเขา...”

            สายฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมา อสรพิษแผ่แม่เบี้ยชูคอขึ้นสูง คมเขี้ยวพร้อมพิษล้างหัวใจฝังลงไปบนบ่ากว้างขององค์ชายแห่งอนาคาน...

                        หยดน้ำจากฟากฟ้า ตกลงมา..

                                       หรือคือ หยาดน้ำตาขององค์เทพ..

                                                          ลาก่อน บาฮาล
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนสุดท้าย (จบ)]UP 14/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 15-10-2015 00:02:02
ค่ำคืนที่ 19 : ของขวัญ Part 1
       
        หยาดน้ำโปรยปรายจากฟากฟ้าสีดำ เสียงตกพร่ำของสายฝนบนผืนทรายฟังแล้วช่างแสนเศร้าสลด ราวกับทวยเทพเบื้องบนล่วงรู้ว่าควรไว้อาลัยให้กับการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่แด่องค์ชายแห่งอนาคาน..


        มิกิเฝ้ามองสายพิรุณที่ตกพร่ำลงมาอยู่แบบนั้นผ่านหน้าต่างในห้อง แม้จะรู้สึกเสียใจจนอยากกลั่นน้ำตาระบายเพื่อคนที่จากไป แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาเลยสักหยด ทว่าความอึดอัดที่เกิดขึ้นกลางแผ่นอก กลับทวีเพิ่มขึ้นทุกวินาทีที่นึกถึงความผิดพลาดของตัวเอง

 
         เขาคิดว่าทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว...หากความจริงคือเขาคิดไปเองหมดทุกอย่าง แม้แต่คนใกล้ตัวที่คิดว่าหลอมละลายหัวใจอันเยือกเย็นได้ ก็กลับเป็นแค่ภาพฝันซึ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงความโหดร้ายจะเป็นเรื่องธรรมชาติของโลกใบนี้ที่เขารู้จักดี แต่การใช้สายเลือดตัวเองเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับได้


        “ฉันคิดว่านายเปลี่ยนไปแล้ว...” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ ใบหน้าที่แสดงความผิดหวังหันกลับมามองบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าประห้อง “แต่ความจริงคือไม่เลย..นายไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว”

 

“มิกิ...” กายสูงขยับเข้าไปใกล้คนอยู่ริมหน้าต่าง สีหน้าที่ยังคงบ่งบอกถึงความเสียใจในตัวเขายังคงแสดงออกอย่างชัดเจน บาซิกค์ใช้มือทั้งสองจับไหล่บางเอาไว้ หวังจะพูดบางสิ่ง แต่ทว่ากลับถูกปัดทิ้งอย่างไร้เยื่อไย


        “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!” ดวงตาคู่สวยมองอย่างแข็งกร้าว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นชา


        “นายมันโหดร้าย ฆ่าได้แม้แต่น้องของตัวเอง!”


        “ความเสียสละจำเป็นสำหรับเรื่องนี้ เพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์กับซาคาเดียร์ คนที่ทำผิดก็ควรยอมรับการตัดสิน”

 
        “แต่บาฮาลคือน้องชายของนาย! มันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ !”


        “เช่นทางไหนล่ะ!” ขึ้นเสียงดังกลับจนคนที่เริ่มเรื่องสะดุ้ง “จะบอกว่าความผิดฐานรอบปลงพระชนม์สามารถแลกด้วยคำว่าขอโทษหรือยังไง” มิกิก้มหน้าลงเพราะพูดอะไรไม่ออก รู้สึกขอบตาทั้งสองข้างเริ่มร้อนผ่าวเสียจนมีน้ำใสๆ คลออยู่บนดวงตาก่อนจะหยดลงมา “ในเมื่ออนาคานปฏิเสธสิ่งที่ซาคาเดียร์ต้องไปทุกอย่างแล้ว สิ่งใดกันเล่ามิกิ ถึงจะคู่ควรและชดใช้กับความบาดหมางครั้งนี้ได้” เสียงที่สั่นไหวกว่าทุกครั้ง ทำเอาเด็กหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมา

         สิ่งที่เห็น..ในดวงเนตรขององค์เทพปรากกฏความเจ็บปวดไม่แพ้กัน

        “บางครั้ง...ความตายอาจไม่ใช่ทางออกของทุกสิ่ง แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่” คำตอบสุดท้ายช่างแสนเศร้า นัยน์ตาตู่สวยหลับลง มือเรียวยกขึ้นป้องปากกลั้นเสียงสะอื้น ศีรษะทิ้งลงพิงกับแผ่นอกกว้างราวกับคนกำลังหมดเรี่ยวแรง มีเพียงอ้อมแขนอันอบอุ่นที่โอบกอดแผ่นหลังปลอมประโลมร่างที่สั่นไหว

        “อย่าห่วงไปมิกิ...จากนี้บาฮาลจะได้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าอนาคานเคยมอบให้” มือใหญ่ลูบลงบนเส้นผมสีอ่อน ได้ยินเสียงร้องไห้และสัมผัสได้ถึงกายที่สั่นไหว ถึงแม้เขาจะทำเสมือนไร้ความรู้สึกใด ทว่าในดวงตากลับซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงไว้ไม่มิด

 
        จะรู้ไหมว่าเขาเจ็บปวดเพียงใด..

        จะรู้ไหมว่าต้องรับภาระไว้แค่ไหน..

        หากทั้งหมดไม่เชื่อเพื่ออนาคาน เขาคงไม่ตัดสินใจเช่นนี้ บางทีการเป็นคนธรรมดาคงดีกว่า เกิดเป็นองค์เทพเพื่อลิขิตชีวิตคน..

        ขอโทษนะบาฮาล..



        หลังจากที่พ้นความวุ่นวาย ซาคาเดียร์กลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ทว่าสายฝนที่พร่ำตกลงมาอย่างหนักกลับทำให้บรรยากาศในราชวังช่างแสนเศร้าสลด

        ราชีนีคิเมดาห์เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องบรรทมไม่ยอมตรัสสิ่งใดเป็นเวลากว่าหลายชั่วโมง เพราะไม่คิดมาก่อนว่าบทสรุปสุดท้ายของซาคาเดียร์จะไม่มีสิ่งใดสมปรารถนา แม้ชีวิตขององค์ชายบาฮาลจะเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้คาดหวัง แต่ก็อดทึ่งกับการตัดสินใจอันเด็ดขาดของราชาแห่งอนาคาน และความกล้าหาญขององค์ชายบาฮาลเป็นไม่ได้ ความละอายแก่ใจทำให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นค้านอนาคานได้อย่างครั้งก่อน แม้แต่พระศพขององค์ชายก็ยังไม่กล้าเปิดมองและยกให้องครักษ์ข้างกายเป็นคนจัดการ

        ราชิสหลังจากเข้าเฝ้าองค์ราชีนีเสร็จ ก็ถอนหายใจอยู่หน้าประตู เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างผลกระทบร้ายแรงทางจิตใจกว่าที่คิดไว้นัก แม้สายฝนจะจากไปแล้วแต่ก็ยังคงเหลือร่องรอยให้มองเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่นี่ หยาดน้ำตาของน้องชายเขาคงเป็นคำตอบได้อย่างดิบดี ซาอิดร้องไห้เสียใจจนหมดสติไปต่อหน้า จนเวลานี้ก็ยังไม่ฟื้น ความเสียใจที่เกิดขึ้นกับการสูญเสียคนสำคัญ ทำให้เขาเข้าใจดีว่าเหมือนกับการถูกเฉือนเนื้อหัวใจให้เหวอะวิ่น

        เคยรู้สึกเช่นนั้น

        เจ็บปวดมากกว่านั้น

        แต่ยามที่เจอคนคนนั้น ความเจ็บปวดกลับไม่สามารถแปลงเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังได้อย่างที่ควรจะเป็น

        เขายังคงรัก..

        และรักเสมอ..แม้วินาทีสุดท้ายที่ร่างกายนี้จะต้องแตกสลายใต้แทบเท้า คำตอบก็ยังเป็นเช่นเดิม

        สองเท้าพาร่างสูงโปร่งเดินเอื่อยเฉื่อยไปรอบวัง ทีแรกเขาคิดจะไปหาน้องชายตนเพื่อไปดูอาการ แต่ก็เปลี่ยนใจถอยหลังกลับ เวลานี้พวกราชบริวารคนอื่นต่างยุ่งกับคำสั่ง ว่าให้จัดเตรียมสถานที่สำหรับพิธีศพองค์ชายแห่งอนาคานอย่างสมเกียรติ ก่อนที่จะส่งพระศพคืนแก่อนาคาน  ทั้งนี้เป็นเพราะพิธีโบราณในการรักษาความสัมพันธ์ แม้ราชาบาซิกค์จะทรงต้องการรับพระศพของน้องชายกลับไปก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้เชื่อว่ากายเนื้อที่สลายสิ้นที่แผ่นดินวิญญาณของซาคาเดียร์จักต้องได้การชำระเสียก่อน เพื่อให้กายที่ไร้หัวใจนี้บริสุทธิ์ เสมือนเป็นการลบความบาดหมางต่อทั้งสองเมืองจักได้ไม่มีสิ่งใดค้างคา ถึงจะรู้ดีว่ามันไม่มีวันลบได้ แต่คงไม่อะไรที่ดีกว่านี้ หากต้องการรักษาความสัมพันธ์

        พระศพขององค์ชายบาฮาล ถูกเก็บไว้ที่ห้องโถงกลางทางทิศใต้ของราชวัง โดยจัดร่างพระองค์ให้นอนบรรทมไว้บนแท่นนาคินทองคำ แต่น่าแปลกทั้งที่พระศพถูกพิษควรจะดำคล้ำ แต่กลับมีพระวรกายสดใสดุจยังมีลมใจ มีดวงฤทัยที่นิ่งสงบเท่านั้นเป็นเครื่องยัน ทว่าในใจลึกๆกลับสังหรใจในบางสิ่ง

        ระหว่างที่เขาออกจากห้องพระศพ และเดินไปตามทางเดินที่แสนเงียบกริบ รู้สึกตัวอีกที สุดสายตาตรงหน้า ก็คือประตูทางเข้าเชื่อมต่อไปยังสระน้ำศักดิ์สิทธิ์

         ฝีเท้าชะงักลง..เมื่อพบว่าบนพื้นมีร่างของอสรพิษทะเลทรายนอนขดตัวขวางไว้อยู่ ส่วนหัวของมันชูขึ้นมองเขา พร้อมกับปลายหางที่สั่นไหวเป็นเสียงคลื่นถี่

         ราชิสจ้องมองสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมนิ่ง แต่เพียงแค่สบดวงตาของสัตว์ร้าย ก็เหมือนว่ามันกำลังทำให้เขาได้สื่อสารถึงใครบางคน

        ใครบางคนที่ไม่คาดคิด

        “ฝะ...ฝ่าบาท” เอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อ หากจำไม่ผิดดวงตาของอสรพิษคู่นั้นคือดวงตาเฉกเช่นกับเทพนาคินเป็นแน่ ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะพระองค์มีอำนาจมนตราที่เหนือนาคินทั่วไป

         แต่เหตุใดกันเล่า ถึงได้ส่งอสรพิษตัวนี้มาสื่อสารกับเขา?

        คำถามมากมายผุดขึ้นในหัว แต่จู่ๆ ก็พลันทำให้เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ไม่ทันจะได้ถามออกไป เสียงเรียบเย็นก็ดังกังวาลในหัว

        “ราซิส เจ้ารู้ใช่ไหมที่ข้ามาพบเจ้าเพราะเหตุใด” คำถามนั้นทำให้อดีตองครักษ์สะกิดในใจ ข้อสงสัยบางอย่างที่ข้องใจเกี่ยวกับพระศพขององค์ชายบาฮาล ถูกยกขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรก และหากเขาเรียงลำดับเหตุการณ์และวัดความเป็นไปได้ทั้งหมด บางทีเขาอาจจะพบแผนการที่เกินความคาดหมาย

        ตั้งแต่ที่ต่อสู้กันคราก่อน เขาจำได้ว่าองค์ชายบาฮาลถูกกริซที่อาบพิษที่ร้ายแรงที่สุดของอนาคานปักเข้าที่ท้อง และน้อยคนนักที่สามารถมีชีวิตรอดจากพิษนี้ไปได้เพียงข้ามวัน ทว่า..ตัวขององค์ชายบาฮาลกลับไม่เป็นเช่นนั้นจนน่าแปลกใจ แม้ร่างนาคินขององค์ชายจะเป็นนาคินซึ่งไร้พิษร้าย แต่กลับกันอาจเป็นนาคินที่สามารถรักษาพิษได้ด้วยตัวเอง หากพิษที่ร้ายแรงที่สุดไม่สามารถทำอันตรายได้ นับประสาอะไรกับพิษงูเห่าเล็กน้อยนี่ ถึงอย่างมากก็แค่ทำให้หัวใจหยุดเต้น แต่ก็อาจจะเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแค่ระยะเวลาชั่วคราว และเหตุผลนี้อาจเป็นไปได้ว่า ทั้งหมดคือละครที่สร้างขึ้นบังหน้าซาคาเดียร์ ถึงจะไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าองค์ชายแห่งอนาคานจะทรงฟื้นหรือไม่ แต่การที่ปล่อยเนื้อเข้ามาในปากเสือแล้วคงเป็นเรื่องยากที่จะเอาคืน

        “กระหม่อมไม่แน่ใจนัก ว่าทรงวางแผนใดเอาไว้ แต่คงไม่ดีหากเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างที่กระหม่อมคิด”ราซิสกล่าวเรียบนิ่ง รอฟังคำตอบของอีกฝ่ายที่เงียบไปเป็นเวลานานเหมือนกำลังตัดสินใจ กระทั่งสุรเสียงจากเจ้าผู้ปกครองนาคินก้องในหูอีกครั้ง

        “ทั้งหมดอาจเป็นอย่างที่เจ้าคิด อนาคานจะไม่เหลือเกียรติใดๆ อีก หากคิเมดาห์ทราบเรื่องเข้า และข้าหวังว่าครานี้ข้าจำเป็นต้องพึ่งเจ้า” น้ำเสียงที่ดังในหัวอ่อนลง ราซิสหัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอ

        “เหตุใดกระหม่อมต้องทำตามที่พระองค์ตรัสด้วยเล่า อีกอย่างทรงลืมไปแล้วหรือว่าทำสิ่งใดกับกระหม่อมไว้ กระหม่อมจะไม่มีวันทำสิ่งที่อนาคานขอร้อง” น้ำเสียงนั้นช่างแข็งกร้าวไร้ซึ่งความนอบน้อมเช่นครั้งอดีต ทำไมเขาจะต้องให้ดอกไม้กับคนที่คิดจะขยี้มันทิ้งด้วย ว่าแล้วก็ชักดาบประจำตัวออกมาหมายจะฟันอสรพิษตัวแทนให้หายไปจากสายตา

        “ไม่ใช่อนาคาน...” คำพูดขององค์ราชาทำให้มือที่กำลังตวัดดาบลงชะงัก ประโยคต่อมาทำให้หัวใจเขาอ่อนยวบ “แต่เป็นข้าที่กำลังขอร้อง แล้วไหว้วอนเจ้า”
       สิ้นคำร้องขอที่ไม่เคยได้ยิน ดาบในมือก็เก็บลงฝัก ราซิสหัวเราะออกมาคล้ายกับคนเสียสติ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหากไม่มีเรื่องเช่นนี้ บาซิกค์จะเห็นหัวเขาอยู่หรือไม่

       “ทำไมกระหม่อมต้องสนใจในสิ่งที่พระองค์ต้องการ กระหม่อมไม่ใช่องครักษ์ของพระองค์อีกแล้ว ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน กระหม่อมจะไม่มีวันลืมในสิ่งที่พระองค์ทรงทำ หากองค์ราชีนีทรงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเพียงละครบังหน้า อนาคานจะไม่มีวันสงบสุข”

       “หากสิ่งนั้นเรียกว่าความแค้น โปรดนำความแค้นของเจ้ามาลงที่ข้า แต่อย่าลงกับอนาคานได้ไหมราซิส” ราซิสชะงักในคำพูด อสรพิษเลื้อยเข้ามาใกล้หวังจะย้ำความจริง

        “ในอดีตถึงข้าจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อข้า แต่ข้ากลับไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกที่เจ้าต้องการได้ กระทั่งวันนั้น..สิ่งที่เจ้าทำ มันทำให้ข้าไม่เหลือทางเลือกใด” สิ้นคำพูดก็พลันทำให้ดวงตาสีครามขยายขึ้น บาซิกค์เข้าใจดีว่าในอดีตเขาได้สร้างบาดแผลให้ราซิสขึ้นมาในหัวใจยากที่จะลบล้าง แต่ก็ไม่ได้หวังว่าจะให้ร่างตรงหน้าอภัย เพราะทางออกที่ปราณีที่สุดที่เขาคิด กลับกลายเป็นสร้างความเจ็บช้ำยากจะลืมเลือน

       “พระองค์เลยทรงให้กระหม่อมมาตายที่นี่ ทรงรู้อะไรไหม หากพระองค์ประทานความมตายให้ด้วยมือของพระองค์เอง กระหม่อมยังคงมีความสุขเสียกว่าส่งมาตายด้วยมือคนอื่น!” ราซิสตวาดเสียงลั่น ไม่รู้เพราะความโกรธหรือความเสียใจ แต่บริเวณอกข้างซ้ายมันเจ็บ เจ็บตรงใต้หัวใจดวงนี้ จนน้ำเย็นชื้นตาไหลออกมา ยิ่งได้ยินคำตอบมาเท่าไร ก็เหมือนต้องการขุดอดีตขึ้นมาฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น

       “ราซิสที่ข้าทำเช่นนั้น เพราะข้ามิอาจฆ่าเจ้าได้ด้วยมือของตัวเอง”

       “เลือดของคนที่ถูกตราหน้าว่าทรยศ คงสกปรกเกินกว่าจะแปดเปื้อนมือพระองค์สินะ!” แผดเสียงกร้าวน้ำตาไหลพรากเป็นสาย แทบจะหมดแรงยืนรั้งร่างกาย “กระหม่อมน่าจะสังหารพระองค์เสียตั้งแต่วันนั้น ให้สมกับที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ!”

       “เจ้าไม่เคยทรยศข้า! ข้าต่างหากที่ทรยศความรู้สึกของเจ้า!” เสียงตะโกนที่ดังกลับมาทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น รู้สึกเหมือนถูกแทงมีดที่ท้องจนมิดด้าม แต่กลับปลอบใจด้วยคำขอโทษ บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยากเกินกว่าจะลบด้วยคำพูดได้ แต่ทำไมในใจดวงในกลับสั่นไหวเหลือเกิน

       จะทำอย่างไรกับหัวใจตัวเอง

       ความแค้นความเกลียดชังเพิ่มพูนจนเต็มร้อย ทว่า..คำว่ารักเพียงคำเดียวที่อาจหลงเหลือเพียงเสี้ยวใจ จะสามารถลบสิ่งเหล่านั้นได้จริงหรือ เขาก็ยังไม่รู้ตัวเอง


       “ทรงกลับไปเสีย กระหม่อมไม่มีสิ่งใดที่จะทำเพื่อพระองค์อีกแล้ว”

       “ราซิส...” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขาอย่างคุ้นเคยนั้น ทำเอาร่างกายเจ็บปวดยิ่งนัก เขาพยายามบอกตัวเองว่าห้ามแสดงความอ่อนแอ และจะไม่หันหลังกลับไปมอบหัวใจ แต่ทำไมตรงอกนี้ กลับมิอาจทานคำพูดต่อจากนี้ได้

       ประโยคที่หลอมละลายทุกอย่างออกจากใจ

       “เจ้าคือคนของอนาคาน และเจ้าจะเป็นตลอดไป”

       อสรพิษเลื้อยหายไปจนลับตา ทว่าเสียงเย็นทุ้มกลับก้องในหัวจนยากจะฝืนหัวใจ ใต้แผ่นอกนี้เจ็บปวดเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันกลับเหมือนได้รับหยาดน้ำที่หวานฉ่ำจากท้องฟ้า มาราดรดบนดวงใจที่แห้งแล้งแตกละเอียด

       ขาทั้งสองไร้เรี่ยวแรง พิงกายลงที่ข้างกำแพง

       น้ำใสๆ จากริมขอบตาหยดลงมาบนพื้น..

       รอยยิ้มที่ไม่อาจวัดได้ ว่าสุขใจหรือสมเพชตัวเอง ประดับไว้บนดวงหน้า

       บางที..นี่อาจจะเป็นอย่างสุดท้ายที่เขาทำได้ เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งให้หวนคืน..

       ไม่ว่าเขาจะไม่อยากให้อภัยอนาคานก็ตาม..

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนสุดท้าย (จบ)]UP 14/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 15-10-2015 00:08:08
ค่ำคืนที่ 19 : ของขวัญ Part 2


        “ได้ข่าวคนของเราบ้างหรือเปล่า”

       ภายในห้องพักหรูของโรงแรมชั้นหนึ่งในอาราบัส ค็อตเลอร์นั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกชิดกับขอบหน้าต่างหน้า บุหรี่ที่อยู่ในมือถูกยกขึ้นมาสูบแล้วพ่นควันสีเทาออกมาจากปากครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับพยายามผ่อนคลายความตึงเครียด เมื่อไม่ได้รับข่าวการเคลื่อนไหวอะไรเลยตั้งแต่ 2 วันก่อน

       “ไม่มีการตอบกลับเลยครับศาสตราจารย์” ลูกน้องของเขาที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตอบเสียงแผ่ว ค็อตเลอร์ปรายตามองคนที่ให้คำตอบ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเริ่มไม่สบอารมณ์ เขาคิดไว้อยู่แล้ว ว่าจดหมายเชิญที่ได้รับมามีอะไรแปลกๆ ถึงเนื้อความข้างในเหมือนจะรู้สิ่งที่เขาต้องการ แต่ข้อแลกเปลี่ยนที่ได้กลับมาเป็นเพียงแค่อากาศเปล่าๆ

        เขาไม่รู้ว่าคนที่ส่งจดหมายมานั้นคือใคร รู้แต่เพียงว่า ชื่อเมืองที่ระบุอยู่ข้างใน คือเมืองโบราณที่นามว่า ซาคาเดียร์

       ด้วยความที่เขาไม่มีอะไรจะเสีย เขาจึงจำยอมรับข้อเสนอกับคนที่เขาไม่รู้จัก ซึ่งบอกว่าจะนำตัวเด็กคนนั้นมาให้ หากแลกกับระเบิดเล็กๆ น้อยๆ แต่ด้วยความสังหรณ์ใจ เขาจึงส่งลูกน้องตัวเองไปแทนที่จะเป็นตัวเขา จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรกลับมา

       “แต่...มีข้อมูลใหม่เรื่องนึงนะครับที่น่าสนใจ” ชายหนุ่มเสนอขึ้นอย่างยินดี ค็อตเลอร์ตีสีหน้าสงสัยขึ้นทันที

       “ศาสตาจารย์จำเมืองที่ชื่อนาคานได้ไหมครับ สายของเราในนั้นรายงานมาว่า ราชาแห่งอนาคานจะทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระชายาต่างชาติ ว่ากันว่าเขาเป็นผู้ชายน่ะครับ” ได้ยินกระนั้น คิ้วหนาก็ขมวดลงครุ่นคิด

       ราชากับผู้ชายในตำแหน่งพระชายาดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้เลยในยุคปัจจุบันนี้ และเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะยอมรับกับชาวโลก แต่หากประเทศนั้นเป็นประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จักแล้วล่ะก็ ข่าวนี้ก็เป็นเสมือนข่าวในที่คนนอกยากจะรับรู้ โชคดีจากการที่เขาส่งคนไปวางระเบิดที่ อนาคาน โดยผ่านตัวกลางอย่างซาคาเดียร์ซึ่งเป็นอดีตคนของที่นั่น ลูกน้องของเขาเลยฝ่าเข้าไปได้ไม่ยากเย็น ทว่าก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่า ไอเด็กเจ้าปัญหาที่เขาต้องการตัวอยู่ที่อนาคานจริงหรือไม่ เพราะไม่ทันที่คนของเขาจะกลับมารายงาน ก็เหมือนถูกฆ่าตายไปเสียก่อน แต่ถ้าเขาจำไม่ผิด ข่าวสุดท้ายที่ซาคาเดียร์ก่อนหน้าที่ลูกน้องเขาจะหายตัวไป ลูกน้องของเขาได้แจ้งข่าวมาว่ากำลังรอคอยราชาแห่งอนาคานเสด็จมาที่ซาคาเดียร์เพื่อมารับคนที่คิดปลงพระชนม์ราชินี

       หากเป็นเช่นนั้น..ก็มีความเป็นไปได้สูง ว่าอนาคานอาจขัดแย้งกับซาคาเดียร์ในเรื่องบางอย่าง และการอภิเษกกับเด็กหนุ่มต่างชาติ แถมยังเพศเดียวกัน ก็นับได้ว่าผิดมนุษย์มนาพอสมควร แต่สำหรับคนที่เป็นราชาเป็นเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผยให้ใครรับรู้ ถึงแม้จะเป็นราชพิธีภายในก็ไม่ควรอยู่ดี เพราะประชาชนอาจจะไม่ยอมรับ ยกเว้นแต่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่มีอะไรดีจนคาดไม่ถึง เขาไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นคิดอะไรอยู่แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ชายคนนั้นที่อภิเษกกับราชา อาจจะเป็นคนที่เขาตามหา เพราะหากไล่ความสัมพันธ์ที่รุมกันยุ่งเหยิง อาจมีเหตุบางอย่างที่สอดคล้องกัน ค็อตเลอร์ลองคิดภาพความสัมพันธ์ที่น่าจะพอเป็นไปได้

       หากไล่มาจาก คุณสมบัติของคนที่เขาตามหา มิกิ ถือเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี ในตัวมีเซรุ่มสมบูรณ์แบบของดอกเพเซียผสมอยู่ในเลือด แต่ทำไมกันหนอพอนึกถึงเหตุผลถึงเรื่องที่ราชาแห่งอนาคานจะแต่งงานกับมิกิแล้ว กลับไม่พบผลประโยชน์ข้อไหนที่เอื้ออำนวยเลยสักนิด กลับมีแต่ข้อเสียอยู่เต็มไปหมด ทั้งในเรื่องของชื่อเสียงที่ทรงอภิเษกกับเพศเดียวกัน และเรื่องที่ขัดแย้งกับซาคาเดียร์ เพราะอาจผิดรักกับราชินี หากนำข้อมูลทุกอย่างมาสนับสนุนให้คิดว่าพระชายาคนนี้คือคนที่เค้าตามหาละก็  คือหนึ่งเป็นผู้ชาย สองคือเป็นชาวต่างชาติ และสามคือ ก่อนที่มิกิจะหายตัวไป เขาได้นำรูปของเจ้าตัวและสอบถามชาวเมืองอาราบัส ก่อนจะได้คำตอบหนึ่งที่น่าสนใจจาก พ่อค้าขายผ้าคลุมเกล็ดงูคนหนึ่งว่ารับซื้อผ้าคลุมมาจากเด็กคนนี้  ซึ่งผ้าคลุมนี้เป็นผ้าคลุมหายาก ว่ากันว่าได้มาจากเมืองโบราณนามว่าอนาคานเท่านั้น

       หึ..ทั้งหมดเป็นแบบนี้สินะ

       รอยยิ้มชั่วร้ายกระตุกที่มุมปาก ก่อนยกบุหรี่ขึ้นมาสูบจนเต็มปอดและพ่นออกจนสุด ใบหน้าของชายวัยกลางคนเงยขึ้น ดวงตาใต้กรอบแว่นหรี่ลงยากจะคาดเดา

       “เตรียมตัวให้พร้อม เราจะไปร่วมเป็นสักขีพยานรักครั้งนี้แด่องค์ราชา” กระตุกยิ้มเย็นเยียบ ดวงตามองออกนอกหน้าต่างยังพื้นฟ้าดับสนิท ทว่า...เขากลับรู้สึกเหมือนดวงดาวให้ชัยชนะปรากฏอยู่ข้างกาย

       พระชายาแห่งอนาคานงั้นหรือ..คิดไม่ถึงเหมือนกันนะมิกิ

 


            สองสัปดาห์ให้หลัง..

            กลิ่นบุปฝาอบอวลโชยตลบในห้องเตรียมฉลองพระองค์ในราชพิธีสำคัญ สองไหล่ประดับผ้าคลุมสีขาวขลิบทองปราณีตยาวลากพื้น ลายบนผ้าคือเทพธิดาเปลือยกายโอบกอดอสรพิษสีเงิน บนบ่าบางปักติดด้วยบั้งอสรพิษทองคำ มีชายพู่สีเหลืองห้อยระย้าลงมาอย่างงดงาม อาภรณ์แห่งพิธีสูงศักดิ์ถูกสวมใส่โดยคนที่ใครต่างก็ไม่คาดคิด ใบหน้าหวานถูกบังคับให้เชิดขึ้นเล็กน้อย ตามคำสั่งของคนที่กำลังแปลงโฉมให้สายเลือดต่างแดน เป็นบุปผาเคียงราชัน ผงแป้งสีเนื้ออ่อนค่อยๆ ปะพรมด้วยแปรงปัดบนใบหน้า ริมฝีปากกดเม้มลงบนกระดาษแดงแผ่นเล็กที่ยื่นให้อย่างว่าง่าย ก่อนกลีบปากเคลือบเป็นสีทับทิม น้ำหอมฉีดพรมไปตามร่างกาย จนโชยฟรุ้ง

       ดวงตากลมโตงดงามดุจแสงมรกตลืมขึ้น กลีบปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อยเหมือนอยากพูดบางสิ่ง ทว่าหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะนี้กลับทำให้เขานิ่งเงียบไป เหมือนในหัวมันว่างเปล่าไปหมด

         หลังจากกลับมาถึงอนาคาน..ผ่านไปแค่สองอาทิตย์ ในที่สุดก็มาถึงวันอภิเษกสมรส

       มิกิไม่เข้าใจว่าบาซิกค์ต้องการสิ่งใด ทั้งที่อนาคานเพิ่งสูญเสียบุคคลสำคัญอย่างองค์ชายบาฮาลไปได้ไม่พ้นเดือน แต่กลับจัดพิธีมงคลอย่างรวดเร็วขึ้นทับราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

       เขาอยากจะคัดค้าน อยากให้ทนรอ และไว้อาลัยกับคนที่เสียสละเพื่อบ้านเมือง แต่สุดท้ายคำขอของเขาก็เป็นเพียงลมพัดผ่านมาและผ่านไป..

       เขาไม่สิทธิ์..

          เขาไม่มีอำนาจ..

          เป็นเพียงทาสผู้อาศัย..

            จากวันนั้น เขาก็ไม่คุยกับบาซิกค์อีกเลยหรือแม้แต่จะเจอหน้า รู้แต่เพียงว่าอีกไม่นาน..เขาจะต้องอภิเษกสมรสกับราชาแห่งอนาคานเพื่อจบเรื่องทุกอย่าง บาซิกค์จึงส่งคนมาคอยดูแล และสอนถึงธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ของอนาคาน ที่เขาต้องกระทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ก่อนเข้าพิธี ตั้งแต่คำราชาศัพท์ การวางตัว และท่าทีที่ต้องสง่าผ่าเผยทุกกิริยาราวกับเขากำลังเป็นราชีนีที่ยิ่งใหญ่เคียงกษัตริย์

       แต่เขาไม่ใช่.. เพราะเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตโลดโผนอิสระ แต่เมื่อรู้ว่าอีกไม่นานชีวิตของตัวเองกำลังเข้ามาอยู่ในกรอบของราชวงศ์ เขากลับรู้สึกไม่เป็นตัวเองเลยสักนิด แม้จะเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าการเป็นราชีนี หรือการได้เป็นเจ้าหญิงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรใฝ่ฝัน ทว่าเพศที่ตรงกันข้ามนี้มันกลับทำให้เขาประหม่าจนไม่มั่นใจ อีกทั้งยังมีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่ค้างอยู่ในใจ และมันบอกเขาว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น!

            บาซิกค์รู้ว่ามีกลุ่มคนกำลังต้องการตัวเขา ถึงจะเป็นการจัดพิธีเพียงแค่ภายใน ที่รับรองความปลอดภัยได้มาก แต่ก็อดที่จะเป็นกังวลจนทำตัวไม่ถูก

       อนาคานยังคงเป็นประเทศที่ปิด และไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนเพราะมีความลับมากมายที่มิอาจให้ใครล่วงรู้ได้ และด้วยเพราะความที่เป็นเมืองโบราณนี้เอง เขาจึงไม่คาดคิดว่าประชาชนจะรับทั่วทั้งหัวใจ

       จะทำอย่างไรหากเกิดการต่อต้าน

       จะทำอย่างไรเขาถึงสามารถยืนในฐานะนี้ได้อย่างสมเกียรติ

       หากโลกภายนอกรู้เข้า อนาคานคงตกเป็นข่าวยักษ์ใหญ่น่าดู ที่รู้ว่าเมืองโบราณนี้มีพระชายาคู่บัลลังก์เคียงราชาเป็นเพศชาย แถมยังเป็นชาวต่างชาติ

       แม้ตัวเขาจะไม่มีอะไรให้เสีย ไม่มีอะไรให้อับอาย เพราะชีวิตสูญเสียไปหมดทุกสิ่งแล้ว แต่มาวันนี้ วันที่กำลังจะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่า เขามีตัวตนในฐานะคนรักของราชา มันทำให้เขาเริ่มกลัวจนอยากจะเปลี่ยนใจ

         แต่ถึงเป็นแบบนั้น ก็สายเกินไปที่จะปฏิเสธทุกอย่าง ราวกับโชคชะตากำลังนำพาเขาไปในเส้นทางที่ถูกลิขิตมาไว้แต่แรก..และทำให้เส้นทางที่จะทำให้ชีวิตที่ไม่มีอะไรเลยของเขา กลายเป็น..พระชายาของแผ่นดิน

            “พระชายาได้เวลาเสด็จแล้ว พะย่ะค่ะ” ประโยคสูงศักดิ์ที่ควรพูดกับเชื้อพระวงศ์ถูกมอบให้เขา

        มิกิหลุดออกจากภวังค์ พยายามปรับลมหายใจและหัวใจที่ดูเหมือนไม่สงบนี้ให้มั่นคงมากที่สุด

       นัยน์ตาคู่สวยหลับลง ปล่อยให้ผ้าผืนบางสีแดงคลุมบดบังใบหน้า ก่อนสิ่งสุดท้ายจะค่อยๆ สวมลงศีรษะ

       รัดเกล้าของราชินี..

            ชีวิตใหม่พร้อมแล้ว..

 

            เสียงระฆังลั่นกังวาน แสงอาทิตย์ร้อนแรงลอดผ่านหมู่มวลก้อนเมฆสดใส หลังพายุร้ายได้จบสิ้นลง ชีวิตหนึ่งก็พบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

       ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าบรรดาเหล่าผู้อาวุโสในต่ำแหน่งสำคัญต่างๆ ทั้งราชเลขา สมุหนายก ทูตให้มาเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีศักดิ์สิทธิ์กันอย่างครบครัน

       ทันทีที่เสียงระฆังกังวานดังอีกครั้ง บันไดขั้นบนสุดปรากฏร่างที่ทุกคนรอคอย ความงดงามดุจเทพธิดาจำแลงกายก็พานให้เสียงเซ็งแซ่นั่นเงียบสนิท สายตานับร้อยดูตกตะลึงมองไปทางเดียวกันเมื่อได้ยลโฉมชายาของแผ่นดิน

       ร่างบางยืนสงบใจอยู่ชั่วครู่ เรียวขาค่อยๆ ก้าวลงจากบันไดท้องพระโรงของราชวังไปตามพรหมแดง โดยมีราชบริวารที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดประกอบอยู่สองฝั่ง คอยโปรยกลีบกุหลาบในพานทองลงบนพื้น

       แต่ละย่างก้าวนั้นต้องเชื่องช้า สง่างาม ราวกับว่าต้องการตรึงสายตาจากผู้คนให้มิอาจถอดถอน แม้ใบหน้าชายาแห่งแผ่นดินนั้นจะถูกผนึกด้วยผ้าคลุมสีแดงมิให้ใครได้ยลโฉม ทว่าเพียงแค่ได้เห็นอาภรณ์สูงศักดิ์กับรูปร่างที่งดงาม กลับยิ่งทำให้ดูมีสง่าราศีสมดั่งเทวีเคียงกับฝั่งฟ้าเทวัน

       ใต้ใบหน้าที่ซ่อนเอาไว้ มิกิรู้สึกประหม่า..จนเผลอลอบกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก สัมผัสได้ถึงขาทั้งสองขาแข็งเกร็งไปหมดในแต่ละย่างก้าว ส่วนหัวใจก็เต้นแรงจนไม่รู้ว่าจะควบคุมตัวเองได้นานแค่ไหน ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าจะได้แต่งงานกับใคร และยิ่งไปกว่านั้น คือไม่คิดว่าต้องมาเป็นเจ้าสาวให้กับใคร!

       แต่พอมาถึงวันนี้ วันที่เขาได้สวมชุดพระชายาของแผ่นดิน มันกลับทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ไม่ใช่เพราะความดีใจ แต่เป็นความกังวลที่พกมาอยู่เต็มหัวใจต่างหากที่ทำให้สับสน..

       สิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ช่างไกลเกินฝัน..

       และไม่มีชายคนใดจะได้เป็นอีกแล้ว..

       จากวันนั้น..ถึงวันนี้ ภาพความทรงจำต่างๆ ปรากฏเข้ามาในหัวเต็มไปหมด ทั้งดีและไม่ดีปะปนจนตื้นในอก ทว่า..บทสรุปสุดท้ายกลับพลิกแพลงออกไปจากอย่างที่ควรจะเป็นไว้มาก บาซิกค์กำลังรอเขาอยู่ลานพิธีด้านนอกนั้น และอีกไม่นานฐานะคนธรรมดานี้ก็จะต้องสละทิ้ง..

       เขาจะกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ไหมนะ..

       และชื่อเสียงของอนาคานจะต้องป่นปี้เพราะตัวเขาไหมนะ

       คำถามเหล่านี้ดังก้องทับทบอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งเสียงป่าวประกาศจากราชบริวารที่ทำหน้าที่นำเสด็จดังขึ้นเมื่อเขาเดินมาถึง ประตูหน้าพระราชวัง


       “พระชายาเสด็จแล้ว”

       ทุกอย่างเงียบกริบลงในบัดดล เสียงกลองแทรกขึ้นดังเป็นจังหวะรับตึงตัง พลันเอาหัวใจเต้นแรงตามไปด้วย แต่ทันทีที่ดวงตาคู่สวยทอดมองผ่านม่านคลุมศรีษะของตัวเอง เนื้อตัวก็เย็นเฉียบ เมื่อโดยรอบกลับรายล้อมไปด้วยประชาชนของอนาคานที่มาเข้าเฝ้าล้นหลามเต็มทั้งสองฝั่งฟาก โชคดีที่ใบหน้าของเขามีผ้าปิดอยู่ผู้คนจึงไม่เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล กระทั่งราชบริวารที่ทำหน้าที่นำเสด็จ เห็นพระชายาไม่ยอมก้าวลงจากบันไดเสียที จึงโค้งคำนับเป็นสัญญาณ

       “เชิญเสด็จพะย่ะค่ะพระชายา”

       ราชบริวารเผยมือไปด้านหน้า มิกิได้สติกลับคืนมา นัยน์ตาสีอ่อนมองไปตามทางเดินที่ถูกพรมโปรยด้วยกลีบดอกไม้และเสาสลักรายอสรพิษ ทอดออกไปสุดสายตาคือลานพิธีกว้างใหญ่ที่ยกขึ้นสูงจากพื้นดิน บนนั้นมีโต๊ะยาว เครื่องเสวยมากมาย และแท่นพิธีศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ ทว่าสิ่งที่ดึงสายตาของเขาไปจนมิอาจถอดถอนได้ กลับเป็นร่างสูงสง่าจากชายผู้ปกครองสูงสุดแห่งอนาคาน ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ที่กำลังมองมาทางเขานิ่ง

       สายลมพัดโชยเกล็ดทรายไปในอากาศ..

       ใบหน้าใต้มงกุฎของราชา งดงามดั่งองค์เทพจุติพื้นภพ..

       ดวงตาเรียวคมของเทพนาคิน ปรากฏเพียงภาพของตัวเขา..

       ได้ยินเสียงหัวใจเต้น ‘ตุบ’ดังอยู่ข้างใน..

       รอยยิ้มที่คลี่ออก แม้จะเห็นเพียงบางเบา แต่กลับสัมผัสได้ว่าเขาคือเจ้าของ..เพียงผู้เดียว

       แค่นั้น ก็พลันทำให้รอบขอบตากลับเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา ความกังวลทั้งหมดมลายหายไปดุจมีเวทมนต์มาหลอมละลาย คำพูดเดียวที่เขาอยากบอกที่สุดก็คือ..

 

       ขอบคุณนะ บาซิกค์

 
 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนสุดท้าย (จบ)]UP 14/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 15-10-2015 00:11:12
ค่ำคืนที่ 19 : ของขวัญ Part จบ


            อีกทางด้านหนึ่งในกลุ่มคน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ได้แอบมองดูเหตูการณ์ทุกอย่างอยู่หลังฝูงชน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากลานพิธีที่จัดอย่างโจ่งแจ้ง ทันทีที่ได้ยินเสียงป่าวประกาศว่าพระชายาเสด็จ รอยยิ้มชั่วร้ายก็ยกขึ้นที่มุมปาก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพิธีอภิเษกสมรสของเมืองนี้จะจัดขึ้นกลางแจ้ง

            แบบนี้ทุกอย่างก็ง่ายสำหรับเขาแล้วสินะ

            ค็อตเลอร์เผลอคิดในใจ อย่างไรเขาก็ไม่ต้องสนใจอะไรกับประเทศเล็กๆ นี่หรอกจริงไหม ถึงมีความเป็นไปได้ ว่าอาจจะเป็นข่าวดังครึกโครมหากเขาลงมือทำอะไรลงไป แต่ใช่ว่าจะสามารถจับตัวเขาได้ เพราะไม่นานเรื่องนี้ก็อาจจะต้องถูกเก็บเงียบไม่มีคนสนใจ ปกปิดพลางตัวสักหน่อย ก็คงจับมือใครดมไม่ได้ และถึงแม้จะรู้ว่าเป็นใคร แต่คงไม่มีหลักฐานจะเอาผิดเขา

 
            หลังจากที่ทราบเรื่องทุกอย่าง เขาก็ได้ส่งคนมาดูลาดเลาในเมืองแห่งนี้แล้ว และเมื่อพบว่าเป็นพิธีกลางแจ้งแผนของเขายิ่งง่ายขึ้น!

            “ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”


            “คนของเราอยู่ประจำจุดแล้วครับศาสตราจารย์” ได้ยินคำตอบ รอยยิ้มเหี้ยมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 
            “ได้เวลาถวายพระพรแด่พระราชาแล้ว” ค็อตเลอร์เดินออกจากฝูงคน มุ่งตรงไปออกไปนอกเมืองในทันที

 
 

            “ขอให้พระองค์ทั้งสอง ทรงหยดพระโลหิตลงในถ้วยปฏิญาณด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

            เสียงจากผู้อาวุโสผู้ทำหน้าที่ดำเนินพิธีประกาศต่อองค์สมมุติเทพทั้งสอง เวลานี้เขายื่นอยู่ลานพิธีเบื้องบน บนโต๊ะมีเครื่องเสวยมากมาย ทั้งผลไม้ และเนื้อสัตว์ เป็นเครื่องเซ่นไหว้ขอพรจากบรรพบุรุษเทพนาคิน เหนือขึ้นไปตรงกลางคือถ้วยกระเบื้องลายเกล็ดนาคิน ด้านในบรรจุเลือดของงูศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่เอาไว้ มีมีดเล่มเล็กวางไว้บนพานทองด้านหน้า จากที่เขาฟังมาในช่วงเวลาที่ต้องเตรียมตัว พิธีนี้ทั้งเขาและบาซิกค์จะต้องใช้มันกรีดฝ่ามือของตัวเอง แล้วให้เลือดหยดผสมลงไปในถ้วยปฏิญาณ เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับองค์เทพนาคิน และดื่มมันให้หมด

            มิกิหันมองบาซิกค์ผ่านผ้าคลุมใบหน้า ราชาแห่งอนาคานเผยยิ้มเรียบมาให้เพื่อให้เขาอุ่นใจ ก่อนพระหัตถ์เปี่ยมอำนาจจะใช้มีดกรีดเข้าที่มือของตัวเอง จนพระโลหิตไหลออกมาจากรอยแผล ก่อนจะยื่นออกไปที่ถ้วยปฏิญาณ แล้วหยดพระโลหิตลงไปให้กลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน

         มิกิทำตามอย่างองค์เทพ จนหยาดเลือดจากอุ้งมือหยดลงบนน้ำปฏิญาณ ผู้อาวุโสที่ดำเนินพิธีเห็นขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็พยักเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะใช้ถ้วยทองคำเล็กๆ ตักน้ำที่ผสมพระโลหิตจากสมมุติเทพแห่งอนาคานทั้งสองพระองค์ขึ้นมาจากถ้วยปฏิญาณแล้วยื่นให้

            พระชายาแห่งนาคินมองน้ำสีแดงเข้มในถ้วยทองอย่างลังเลใจ แต่สุดท้ายก็รับมาอย่างเสียไม่ได้ บาซิกค์มองเขานิ่งแต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใด แต่เขากลับรู้สึกกดดันตัวเองอย่างห้ามไม่ได้ เพียงแค่ดื่มน้ำในถ้วยนี้จนหมด ชีวิตของเขาก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และมีทุกอย่างตามต้องการ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างที่มันไม่ถูกต้อง บางอย่างมันค้างคาจนทำให้ไม่กล้าที่จะดื่มมันลง

            “เป็นอะไรไป มิกิ” เสียงทุ้มนุ่มทำเอาคนที่กำลังคิดสะดุ้ง

            “ขะ...ขออภัยฝ่าบาท” ท้ายที่สุดพอดึงสติกลับคืนมาได้ เมื่อรู้ว่าคิดอะไรที่ไม่สมควร ก็รีบกลั้นใจค่อยๆยกถ้วยน้ำปฏิญาณของตัวเองขึ้นจรดริมฝีปาก น้ำหยดแรกกลืนลงสู่ลำคอ รสเค็มหวานเฝื่อนๆ ของเลือดงูทำให้เขารู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่คิดไว้ซะทีเดียว ไม่นานร่างกายกลับค่อยๆ ร้อนรุ่มขึ้นมาทีละนิด


            สิ้นหยดสุดท้ายของน้ำในถ้วย มิกิเม้มริมฝีปากลง ยื่นถ้วยให้แก่ผู้อาวุโสที่ยิ้มรับ เมื่อทั้งคู่ทำพิธีเสร็จสิ้นแล้วก็มาถึงขั้นต่อไป

            “จากนี้ไปทรงเปิดพระพักตร์พระชายา ได้แล้วพะย่ะค่ะ”

            พูดจบผู้อาวุโสก็ถอยหลังออกห่างอย่างรู้หน้าที่ ทุกอย่างเงียบลงฉับพลัน มีเพียงแค่เสียงสายลมที่โชยพัดรายล้อม มิกิมองใบหน้างดงามประหนึ่งองค์เทพจุติของชายตรงหน้า แม้เมื่อก่อนจะเคยรู้สึกหวาดกลัวดวงตาคมกริบนี้ เพราะมีแต่ความโหดร้ายเย็นชาที่เขาได้รับ แต่มาบัดนี้ ในดวงเนตรกลับแสดงความอ่อนโยนและจริงใจจนไม่คาดคิด

            ทำไมกัน..ทั้งๆ ที่ไม่คิดจะรักชายผู้นี้ แต่กลับอดคิดอย่างเห็นแก่ตัวไม่ได้  เขามันเป็นเด็กน้อย..เด็กที่ไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นจากใครจนสุดทาง ถึงวินาทีที่จะถึงข้างหน้านี้ ด้วยความรักจากอ้อมกอดของชายผู้นี้ห่อหุ้มเขาไปทั้งหัวใจ ก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี

 
            บาซิกค์จะจากเขาไปเหมือนคนอื่นไหม

            เด็กปากมากอย่างเขาดูไม่คู่ควรเลยสักนิดแต่ทำไม ถึงไม่อยากเอ่ยปากปฏิเสธความรักของคนคนนี้

            ราวกับหัวใจมันต้องการหาที่ผูกมัด เพราะมันเหนื่อยที่จะเดินหาเต็มทน

            อยากจะรัก..

            อยากอยู่ด้วยกัน

            ตลอดไป..

            มือนั้นกำลังเลื่อนชายผ้าคลุมที่ปิดบังความรู้สึกกังวลของเขาออก เผยให้เห็นสัดส่วนทีละนิด ทั้งริมฝีปากบางสีแดงอ่อน จมูกโด่งสัน ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ดวงตาสีสวยเปล่งประกาย ใบหน้าของเจ้าแผ่นดินใกล้เพียงลมหายใจ เวลาเหมือนจะถูกสะกดหยดไว้แล้ว แต่..

 

            ปัง!!

            เสียงปืนลั่นขึ้นฟ้าซึ่งไม่รู้ดังมาจากทิศใดทำเอาทุกอย่างพังทลาย เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากกลุ่มฝูงชนที่วิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุนอยู่ด้านล่าง พระเนตรสีอำพันเบิกกว้าง พยายามมองหาต้นเหตุอย่างเร่งรีบ แต่ประชนกลับวิ่งหนีกันให้วุ่นวายจนไม่รู้ใครเป็นใคร มิกิรู้สึกใจคอไม่ดี สังหรณ์ใจในเรื่องบางอย่าง แต่ไม่ทันได้คิดอะไรไกล วัตถุบางอย่างถูกโยนมาจากฝูงชนขึ้นบนลานพิธีต่อหน้าใครบางคนที่ยืนข้างข้างกาย!

            “บาซิกค์...” เสียงเรียกนั้นแผ่วเบาจนใจหล่นวูบ ใบหน้าหวานซีดลง ดวงตาคู่สวยมองมาที่เขาราวกับเป็นครั้งสุดท้าย..

 

            “มิกิ!”

 

            ตูม!

 
            วินาทีถัดมาระเบิดควันสีเทาก็ฟุ้งกระจายไปทั่วจนมองไม่เห็นสิ่งใด กลุ่มก๊าซขยายออกเป็นวงกว้าง จมูกโด่งสันเผลอสูดดมเพียงนิดเดียวก็รู้สึกแสบทั้งที่ขอบตาและลำคอ มิกิไอสำลักควันออกมาเป็นจำนวนมาก ร่างกายที่เคยยืนขึ้นทรุดลงฮวบอยู่กับพื้น มีเสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาพยายามมองหาบาซิกค์ทั้งที่น้ำตาคลอฉ่ำ แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้หัวใจหล่นวูบ เมื่อเห็นเงาคะครุ่มดำตรงหน้ากำลังจะกลายร่างเป็นนาคิน

            ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด พิธีนี้ไม่ได้มีแค่ชาวอนาคาน! และมั่นใจว่าไม่ใช่ซาคาเดียร์ แต่เป็น..

            “อย่านะบาซิกค์! อุบบ..อื๊อ!” ไม่ทันได้เอ่ยห้ามจนจบ ผ้าผืนใหญ่ก็โปะเข้าที่จมูกกับริมฝีปากจนมิด มิกิพยายามออกแรงดิ้น กายบางพยายามสะบัดให้หลุดจากการลอบจู่โจม แต่ยิ่งนานเข้าก็รู้สึกอ่อนแรงลงทุกที ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง เงาสีดำที่กำลังขยายใหญ่ทรุดตัวฮวบลงตรงหน้า ดวงตาสีเขียวอ่อนเบิกโพลนทั้งน้ำตาที่คลอฉ่ำ หัวใจหล่นหายไปอยู่แทบเท้า เนื้อตัวสั่นสะท้านราวจะใกล้จะขาดใจ แต่ไม่ทันได้เอื้อมมือไปคว้า คนตรงหน้าเอาไว้ ภาพทุกอย่างที่เห็นพร่าเบลอจนเหลือแต่ภาพสีดำ...

 


           อีกด้านหนึ่งบริเวณทะเลทรายไม่ใกล้ไม่ไกลจากประตูทางด้านหลังของนครเมืองโบราณแห่งอนาคาน เฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ถูกติดเครื่องจอดรอ พอเห็นรถจิ๊บคันหนึ่งวิ่งออกมาจากเมือง คนที่นั่งรออยู่ในนั้นก็แสยะยิ้มรับ เมื่อเห็นร่างผอมบางที่อยู่ในอาภรณ์สูงศักดิ์นั้นถูกแบกลงมา

            ค็อตเลอร์หรี่ตาลงมองคนที่หลับไม่ได้สติพลางเดาะลิ้นอย่างสบายอารมณ์ มือเลิกผ้าคลุมศีรษะสีแดงขึ้นพร้อมรัดเกล้าทองคำ ทันทีที่เห็นใบหน้าของพระชายาแห่งอนาคานอย่างใกล้ชิด ก็ส่ายหน้าหน่ายราวกับไม่คาดคิด

 
            “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวิธีการเอาตัวรอดของเจ้าเด็กนี่จะมาเหนือชั้น” มือหยาบเกลี่ยลงบนแก้มขาวนุ่มของเด็กหนุ่มที่หลับไม่ได้สติ

            “แต่ยังก็ไงเถอะ นายก็ไม่รอดมือฉันอยู่ดี” รอยยิ้มร้ายยกขึ้น ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องของตัวให้นำเครื่องขึ้น ในที่สุดเวลาที่เขารอคอยก็มาถึง

 
             “ได้เวลากลับบ้านแล้ว มิกิ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 19]UP 15/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: lahlunla ที่ 19-10-2015 00:17:51
ไม่นะมิกิ

ชะตาชีวิตของมิกินี่ชีพจรลงเท้าสินะ ไปไหนมาไหนแบบไม่เต็มใจตลอด
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 19]UP 15/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: JY_JRB ที่ 19-10-2015 06:47:37
- - เยอะไปม่ะ เรื่องวุ่นวายเหนี่ย ... เปลืองตัวเยอะมาก  เจ็บตัวพะรุงพะรัง  กว่าจะแฮปปี้ (ถอนหายใจแรงๆ)     :angry2:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 19]UP 15/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 19-10-2015 16:56:30
ค่ำคืนที่ 20 : ดวงตาเทพนาคิน Part 1

         พอฟื้นขึ้นมาก็มาอยู่ที่ห้องสี่เหลี่ยมแปลกตาที่ล้อมรอบด้วยกำแพงทึบหนาสีเทา มีเพียงแค่เตียงนอนแข็งๆ กับแสงสว่างที่รอดผ่านช่องประตูมาจากด้านล่าง

         กระทั่งความปวดหนึบแล่นเข้ามาที่ขมับ รู้สึกเหมือนหัวสมองจะระเบิดออกเสียให้ได้ แต่พอคิดจะยกมือขึ้นมา ก็พบว่าแขนทั้งสองข้างถูกรั้งไว้ด้วยเชือกที่ผูกเอาไว้กับขาเตียง

         มิกิตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก่อนจะหันสำรวจทุกอย่างบนร่างกาย อาภรณ์อันทรงเกียรติถูกถอดออกจนหมด แทนที่ด้วยชุดสีฟ้าที่คล้ายกับคนไข้ในโรงพยาบาล ซึ่งเขาแน่ใจว่าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแน่! แต่มันเป็นที่ไหนกันล่ะ?

         เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบๆ ในใจก็หวังจะพบอะไรที่เป็นประโยชน์และทำให้เขารู้ว่าอยู่ที่ไหน ก่อนไปสะดุดอยู่ที่ช่องหน้าต่างเล็กๆ เพียงช่องเดียวเหนือหัวเตียง

         เท้าเล็กเหยียบขึ้นไปยืนเต็มความสูง ปลายเท้าเขย่งมองภาพภายนอกผ่านหน้าต่าง ทว่าสิ่งที่ทอดสู่สายตาทำเอาแทบล้มทั้งยืน เมื่อพบว่าภายนอกเป็นป่ารกรัง ด้านล่างกลับเป็นเหวลึก และมีแม่น้ำสายใหญ่

         เด็กหนุ่มพยายามคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น..

         จำได้ว่า..เขากำลังจะเข้าพิธีอภิเษก แต่ในตอนนั้นกลับมีเสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับความวุ่นวาย ระเบิดควันลูกหนึ่งตกลงมาตรงหน้า เขาเห็นบาซิกค์กำลังจะกลายร่างเป็นนาคินท่ามกลางหมอกควัน เขาจึงได้เอ่ยร้องห้าม มีใครบางคนมาโปะยาจากด้านหลัง แต่จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

         น้ำลายอึกใหญ่กลืนลงคอ หากเขาคิดไม่ผิด ที่นี่เหมือนกับห้องพักในศูนย์วิจัย แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้ทั้งห้องนี้มีเพียงแค่เตียงนอน ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้เขานึกถึงใครบางคนที่ไม่อยากจะขึ้นคิดมา

         คนที่ต้องการตัวเขาจนทำเรื่องแบบนี้ได้คงหนีไม่พ้น..“ฟื้นได้สักทีสินะ”

         ประตูห้องถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวค่อยๆ เดินเข้ามาด้านในพร้อมกับลูกน้องอีกสองคน รอยยิ้มแสยะตรงมุมปาก กับใบหน้าใต้แว่นกรอบใสมองมาทางเขาอย่างเจ้าเล่ห์ มือเรียวกำแน่นทันที!

         “ค็อตเลอร์ ไอสารเลว!”

         “มาถึงก็ทักทายกันน่ารักเลยนะ” พูดจบเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น มิกิก้าวถอยหลังด้วยความไม่ไว้ใจ

         “แกคิดจะทำอะไร” ถามเสียงแข็งอย่างไม่กลัว ค็อตเลอร์หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ

         “เราอยู่ในที่ห่างไกลมิกิ แต่ไม่ต้องห่วง...นายจะไม่เป็นอะไร ถ้านายยอมให้ความร่วมมือ แล้วบอกฉันว่าเซรุ่มดอกเพเซียของจริงอยู่ที่ไหน”

         “เศษสวะอย่างแก ไม่ควรค่าจะแตะต้องผลงานของศาสตราจารย์หรอก!”

         “งั้นเหรอ” ค็อตเลอร์เว้นจังหวะไป “ความจริงแล้วฉันไม่ต้องเสียเวลามานั่งถามเด็กอย่างนายก็ได้ ถ้ามันไม่จำเป็น แต่พอหมดค่าแล้วจะตายฉันก็ไม่ว่านะ เหมือนอย่างโลเกียไง ฮ่าๆ” พูดจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ สิ่งที่ได้ยินเหมือนสะกิดแผลที่ร้ายแรงที่สุด มิกิสติขาดทันที!

         “หนอยแก! อึก!” หมัดหนึ่งกำลังปล่อยออกไป แต่ไม่ทันได้ซัดไปที่ใบหน้าใต้กรอบแว่นนั้นดั่งใจ กำปั้นก็ถูกเชือกรั้งจนไปไม่สุด

         “หืม...จะทำอะไรน่ะไอหนู เป็นเด็กเป็นเล็กต้องทำตัวว่านอนสอนง่ายรู้ไหม” ค็อตเลอร์เยาะเย้ยอย่างสะใจ มิกิกำมือแน่นจนสั่น ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็งอยากจะฆ่าคนชั่วช้าตรงหน้าให้ตายคามือ!

         ค็อตเลอร์รู้สึกสนุกยิ่งนัก แต่ก็นับเป็นโชคดีของเขาที่มิกิยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวเอาชีวิตออกมาได้อย่างไรกับระเบิดในตอนแรก แถมยังทำเรื่องประหลาดใจโดยการเป็นพระชายาคู่บัลลังก์ให้กับราชาเมืองโบราณอีก สงสัยเขาคงต้องยอมรับจริงๆ ว่าเด็กคนนี้ดวงแข็งกว่าที่เขาคิดไว้มาก ทว่าน่าเสียดายที่ต้องดวงกุดเอาเสียวันนี้

         “ไหนดูซิ มีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจจากตัวนาย” สิ้นเสียงลูกน้องของเขาก็เหมือนกับรู้หน้าที่ รีบพุ่งตรงเข้าไปจับร่างบางไว้ทันที

         “แกจะทำอะไร!” มิกิพยายามดิ้น แต่ด้วยแรงคนที่มากกว่าทำเอาเขาถูกจับตัวกดเอาไว้ลงกับเตียง

         “ฉันได้ยินว่านายกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับราชาแห่งอนาคานงั้นเหรอ แต่น่าเสียดายนะวาสนานายคู่กับฉันมากกว่า อ่า...แต่ก็ไม่รู้ป่านนี้องค์ราชา พระองค์ท่านจะเป็นอะไรมากไหมนะ” ค็อตเลอร์เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม มิกิเบิกตากว้างขึ้น

         “แกทำอะไรเขา”

         “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อาจจะเจ็บพระวรกายด้วยกระสุนไปหลายนัด แต่ก็นะดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ใช่ไหมล่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ กับประเทศเล็กๆ ที่ยังไม่เปิด ไม่มีคนสนใจเท่าไรหรอก ถึงจะสิ้นพระชนม์ไป แต่น่าเสียดายที่ฉันคงส่งตัวนายกลับไปเข้าเฝ้าราชาจนถึงวันสุดท้ายไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไหม...เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันต้องทิ้งเงินจำนวนมหาศาลเพียงเพราะความรักผิดเพศของนาย ” พอได้ยินความคิดทุกอย่างของค็อตเลอร์ มิกิก็กำมือของตัวเองแน่น พยายามออกแรงอย่างหนัก พลางตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายสารพัด ที่กล้าดูถูกตน แต่ทว่าชายผู้นี้มีความโลภจนไม่สนใจความผิดถูก ไม่ละอายใจ ความต้องการที่น่ารังเกียจทำให้เขารู้สึกขยะแขยงเสียยิ่งกว่าหนอนในศพ คนที่ทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน แม้กระทั่งหักหลัง หรือฆ่าเพื่อนร่วมงานของตัวเองช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก ถึงกฎของธรรมชาติจะมีไว้ซึ่งผู้แข็งแกร่ง แต่หาได้สอนสัตว์ที่มีมันสมองให้ฆ่าสายพันธุ์เดียวกันทิ้ง มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนก็จริง แต่คนที่เป็นเช่นนี้เขามิอาจพูดคำว่ามนุษย์ออกมาได้


          “ฉันจะฆ่านายเองค็อตเลอร์” มิกิกล่างเสียงเย็น ส่งสายตาแข็งกร้าวจนน่ากลัว ทว่าค็อตเลอร์กลับไม่สะทกสะท้าน มือหยาบกร้านจบลงบนแก้มนุ่ม ใบหน้าหวานเบี่ยงออกด้วยความขยะแขยง แต่ก็ไม่พ้นถูกบีบให้หันกลับมา


         “นายนี่มันเป็นเด็กที่น่าทึ่งมากมิกิ สมแล้วที่เป็นลูกรักของโลเกีย”

         ถุย!

         “ขี้โคลนสกปรกอย่างแก ไม่ควรค่าที่จะเอ่ยชื่อเขา!” น้ำลายถ่มรดบนหน้าของอีกฝ่าย ค็อตเลอร์สูดลมหายใจลึกระงับโทสะ ก่อนยกมือขึ้นปาดน้ำใสๆ ที่รดใบหน้าของตัวเองออก ดวงตาหลังกรอบแว่นเริ่มผันเปลี่ยนเป็นความโกรธ ก่อนจะตรงเข้าบีบแก้มทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มแรงๆ จนเจ็บกราม


         “ยังปากดีเหมือนเดิมนะมิกิ แต่ก็ดี...ฉันชอบอะไรที่ตื่นเต้น” ดวงตาเต็มไปด้วยความนึกสนุก มือหยาบเหวี่ยงใบหน้าของอีกฝ่ายออกแรงๆ ก่อนจะหยิบวัตถุบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อชุดกาวน์ตัวเอง มิกิมองสิ่งที่อยู่ในมือนั้น ก่อนจะพบว่าเป็นเข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวใสไว้ด้านใน


         “เห็นเข็มฉีดยานี่ไหม...” ค็อตเลอร์ยกเข็มฉีดยาขึ้นมา มิกิถึงกับหน้าถอดสี

         “ฉันได้ยินเรื่องนายจาก เมือง อ่า...อะไรนะ ซาคา อะไรสักอย่าง” แกล้งทำท่าเป็นครุ่นคิด ก่อนจะดีดนิ้วดัง

         “อ๋อจำได้แล้ว ซาคาเดียร์นี่เอง ที่นั่นบอกกับฉันว่าเลือดของนายมันพิเศษ” รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปาก มิกิตะลึงค้าง คิดแล้วไม่มีผิดที่ซาคาเดียร์กับค็อตเลอร์คงต้องรู้เห็นกัน เรื่องทั้งหมดเขาสามารถผสานกันได้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว แม้ตอนนี้อนาคานและซาคาเดียร์จะไม่มีเรื่องอันใดต่อกันอีก แต่ใช่ว่าข้อมูลที่รั่วไหลมาก่อนหน้าจะไม่เป็นประโยชน์สำหรับอีกฝ่าย และอาจเป็นไปได้ว่าค็อตเลอร์อาจรู้จักทุกซอกทุกมุมของอนาคานดีกว่าตัวเขาเสียอีก การจับตัวเขาจึงทำได้ง่ายดายนัก


         “ใช่แล้วการแลกเปลี่ยนยังไงล่ะ ฉันให้ระเบิดพวกเขา แลกกับการที่พวกเขาจับตัวนายเป็นๆ มาให้ แต่นึกไม่ถึงว่าพวกนั้นจะทำเลยเถิดไปหน่อย แต่ช่างเถอะฉันก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าสภาพนายจะเป็นยังไง ถึงจะเป็นศพกลับมา ฉันก็ยังสามารถใช้ดีเอ็นเอของนายสกัดสิ่งที่ชั้นต้องการออกมาได้อยู่ดี เพียงแค่เสียเวลาเพิ่มขึ้นนิดหน่อย” ค็อตเลอร์ยักไหล่เหมือนช่วยไม่ได้ พลางกล่าวเหมือนเรื่องทั้งหมดนั้นถูกต้อง มิกิพอได้ฟังความจริง ก็ทราบถึงจุดประสงค์ที่ซาคาเดียร์ต้องการฆ่าเขาให้ตายโดยไม่คิดจะไว้ชีวิตเหมือนอย่างที่ค็อตเลอร์พูด เพราะซาคาเดียร์คิดแค่เพียงว่าหากกำจัดเขาได้ ราชาบาซิกค์ก็จะไร้คู่ครอง แล้วพิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้น แต่ทุกอย่างกลับเกิดผลตรงกันข้ามและจบลงโดยดี ซึ่งก็แลกมาด้วยชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับขององค์ชายบาฮาล

         คนจิตใจโหดเหี้ยมไม่สนใจแม้ชีวิตเพื่อนร่วมงานคงไม่มีวันเข้าใจถึงการสูญเสีย

         “อึก!”  สะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บ รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกลูกน้องของค็อตเลอร์สองคนจับเขานอนคว่ำลง แล้วล็อกแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่นแล้วยึดเอาไว้กับเตียงจนขยับไม่ได้ ก่อนเข็มในมือของคนที่ยืนอยู่อยู่จะแทงลงมาที่ท่อนแขนขาว ดวงตาคู่สวยขยายกว้างพยายามออกแรงดิ้น ทว่าไม่ถึง 5 นาที รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนคนสติเลื่อนลอย จนไม่สามารถขยับตัวเองได้

         “ไหนดูซิ...เด็กดี” มือหยาบกร้านลูบบนเส้นผมอ่อนนุ่ม รอยยิ้มร้ายคลี่ออกมาเมื่อเห็นสัตว์ทดลองจอมพยศนิ่งสงบ ก่อนจะหันไปสั่งให้ลูกน้อง


         “เจาะเลือดมัน”

         หลอดแก้วใสถูกเติมเต็มด้วยของเหลวสีแดงเข้มหลอดแล้วหลอดเล่า มิกิเริ่มรู้สึกเปลือกตาหนักอึ้ง ภาพทุกอย่างพล่าเบลอจนใกล้ครองสติไว้ไม่อยู่


         “เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็ต้องพิสูจน์เสียหน่อยจริงไหม”

         “ฆ่าฉันสิ ไอพวก...อึก!” กัดฟันเอ่ยแม้สติจะใกล้มอดดับ ค็อตเลอร์ย่อตัวลงใกล้คนที่อ่อนแรง กระซิบเสียงเย็นข้างใบหู


         “ชู่ว...ใจเย็นๆ สิมิกิ นายยังมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปอีกนาน อย่าเพิ่งใจร้อนรีบไปหาโลเกียเลยนะ แต่ถ้าการทดลองนี้สำเร็จแล้ว ฉันรับรองว่า นายจะได้ไปพบโลเกียในทันที” เข็มที่เจาะแขนถูกดึงออก แทนที่ด้วยการทำแผลอย่างลวกๆ แค่สำลีชุบแอลกอฮอล มิกิไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน แขนทั้งสองข้างเป็นรอยแผลจากการถูกเข็มแทง ภาพทุกอย่างค่อยๆ พร่าเลือนไปเรื่อยๆทุกที ก่อนค็อตเลอร์จะยืนขึ้นเต็มความสูงมองดูเหยื่อที่นอนนิ่งอย่างสงสาร


         “ทนอีกสักหน่อย...อย่าเพิ่งทำอะไรให้เลือดหมดตัวไปเสียล่ะ เดี๋ยวจะไม่ได้เจอหน้าราชาที่รักนะ” รอยยิ้มเยาะเย้ยทิ้งไว้ เลือดที่บรรจุในหลอดแก้วนับสิบถูกบรรจุลงในกล่องเก็บ ประตูห้องปิดลงพร้อมกับผู้คนที่จากไป ดวงตาสีอ่อนปรือจนใกล้ปิด รู้สึกทุกสิ่งอย่างกำลังเลวร้ายไปหมด อยากเข้มแข็งให้มากกว่านี้ ไม่อยากทำให้ตัวเป็นภาระของใคร แต่สุดท้ายเขาก็เป็นแค่คนที่สร้างแต่เรื่องเดือดร้อน หรือสมควรแล้วที่ชีวิตควรจะพบเจอเรื่องแบบนี้ แต่ทำไมกันทำไมถึงได้อยากร้องไห้ขนาดนี้ คิดถึง...

         ไม่เอานะไม่อยากให้เป็นแบบนี้..

         น้ำตาอาบลงมา..ดวงตาค่อยๆ ปิดลง

         ช่วยฉันด้วย บาซิกค์.. 



 
         “ฝ่าบาท ประสงค์จะทำเช่นนี้จริงๆ หรือพะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าเรามิอาจไว้ใจ...”

         “ไม่เหลือเวลาให้คิดแล้วผู้อาวุโส” สุรเสียงเคร่งเครียดในท้องพระโรงที่ถูกเปลี่ยนเป็นที่ประชุมการใหญ่ระหว่างผู้อาวุโสฝ่ายต่างๆ กับราชาแห่งนาคิน ทว่ากลับไม่มีใครเห็นด้วยกับองค์เทพของพวกเขาเลยสักคนที่กระทำเช่นนี้


         แม้รู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้เทพนาคินที่มีจิตใจเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งกลับร้อนจนปานจะแผดเผาทุกอย่างให้เป็นจุณ เป็นเพราะเหตุใด แต่ราชโองการฉบับนี้จะออกไปไม่ได้เป็นอันขาด เพราะอาจจะทำให้อนาคานตกอยู่ในเงื้อมือของอดีตคนที่คิดร้าย หากทำเช่นนี้ก็ไม่เท่ากับโยนเนื้อให้เสือที่หิวโซ

         พระเนตรคมกริบมองทะลุปรุโปร่งราวกับล่วงรู้ว่าราชบริพารของเขาคิดสิ่งใด แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลให้ทุกคนยอมรับอีกแล้ว มีเพียงแค่ความเชื่อใจ และความสัมพันธ์กับใครคนนั้น แม้มันจะหลงเหลืออยู่บางเบาเพราะเขาเป็นคนทำลายมันเอง แต่เขาจะไม่อะไรเสียอีก สิ่งเดียวที่บอกก้องในหัวใจซึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือผิดก็คือ

         ความเชื่อใจ


         “ข้าไว้ใจเขา และท่านก็ควรไว้ใจเขาเช่นเดียวกับข้า” คำตรัสของราชาทำเอาทุกอย่างเงียบสนิท เหล่าบริวารได้แต่มองพระพักตร์ที่เรียบนิ่ง แต่หากแฝงไว้ด้วยความจริงใจอย่างไม่เคยเป็น ถึงอยากจะคัดค้านเพียงใด แค่เมื่อฟังน้ำเสียงของพระองค์แล้ว ก็ไม่มีใครพูดโต้เถียงอีก


         ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว

         แต่เป็นความเคารพ และเชื่อในสมมุติเทพของพวกเขา


         “เขาคือคนของเรา ซาคาเดียร์คือพี่น้อง พวกเจ้าทั้งหมดจงคิดไว้แค่นั้น ได้โปรดช่วยข้านำพระชายากลับมา” บัญชาด้วยเสียงที่เรียบเย็น ทว่าความรู้สึกที่ซ่อนเอาไว้ในประโยคนั้นราวกับไหว้วอนขอร้องทุกคน สัมผัสภายในใจที่ไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใด ทำเอาเหล่าบรรดาราชบริวารซาบซึ้งใจ แรงต่อต้าน แรงคัดค้านทุกอย่างถูกทำลายไปสิ้นโดยไม่ต้องใช้เวทมนต์ใด


         มนตรา คำสาป เวทมนต์ ทั้งหมดอำนาจร้ายแรงผลาญทุกสิ่ง

         แต่หาก อนุภาพที่เหนือกว่าทั้งปวง คือการเปลี่ยนใจคน

         ทั้งหมดก็คือ..ความรัก

          ราชบริวารทั้งหมดยืนขึ้น น้อมรับคำสั่งของทวยเทพจากดวงใจ ขานรับคำหนักแน่น หากพระเจ้าองค์นี้จะพาพวกเขาไปที่ใด เขาก็จะขอติดตามไปทุกหนแห่ง ไม่เว้นว่าที่แห่งนั้นจะเป็นนรกหรือสวรรค์

         ด้วยใจที่เคารพ จะปฏิบัติตามดำรัสแห่งเทพนาคินตลอดไป

หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 20]UP 19/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 19-10-2015 17:01:48
ค่ำคืนที่ 20 : ดวงเนตรเทพนาคิน Part 2

            เสียงมอเตอร์ไซค์ดูคาติสีดำแล่นไปตามถนนคดเคี้ยวนอกตัวเมือง สปีดที่เพิ่มขึ้นสูงทุกวินาทีจนเห็นภาพทุกอย่างเคลื่อนผ่านเพียงชั่วพริบตา บ่งบอกได้ถึงความชำนาญของคนขี่ ยิ่งสายลมที่วิ่งผ่านตีสวนกับชุดหนังและหมวกกันน็อคสีดำที่ปกปิดใบหน้ามากเท่าไร ยิ่งทำให้พวกเขาไม่รู้สึกกลัวว่าพระเจ้าจะมาพรากชีวิตเลยสักนิด ความเร็วยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับไม่อยากสูญเสียเวลาอันมีค่าไปมากกว่านี้ ทว่าความเร็วที่มากเกินไปทำให้คนที่ซ้อนท้ายอยู่ด้านหลังต้องเผลอกอดเอวของคนขับไว้เสียแน่นด้วยความกลัว



            สัมผัสจากรอบเอวทำเอาความคิดที่จะเร่งความเร็วเพิ่มชะงัก ใบหน้าใต้หมวกกันน็อคหันมามองคนข้างหลังเล็กน้อยเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วกลับเหมือนถูกแกล้ง เมื่อเจ้าตัวกลับเร่งเกียร์เพิ่ม ทำเอาคนซ้อนต้องรีบกอดเอวไว้แน่นยิ่งกว่าเดิมจนไม่ทันได้ทักท้วง แต่ถึงจะสะกิดไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะสุดท้ายเส้นทางที่เขากำลังวิ่งตามหาอยู่นั้น เป็นเส้นทางที่ใช้สันชาตญาณชี้นำไป

           รู้สึกตัวอีกทีความเร็วรถก็ชะลอช้าลง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าศาลเจ้าแห่งหนึ่ง

           คนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังรีบปล่อยมือและลงจากรถอย่างรู้หน้าที่ หมวกกันน็อคถูกถอดออก มือยกขึ้นมาเสยเส้นผมสีดำขลับให้เข้าทรง ก่อนใบหน้าหมดจดของชายหนุ่มจะมองขึ้นไปด้านบน คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีครามงดงามดั่งท้องฟ้ามองไปที่ป่ารกรังหลังศาลเจ้าราวกับว่ามีบางอย่าง

            “ได้กลิ่นจางๆ มาจากที่นี่” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ แต่สายตายังคงไม่ละออกจากป่า

            “บนเขาลูกนั้นสินะ” เสียงเข้มรอดผ่านใต้หมวกกันน็อค ร่างสูงใหญ่ผู้ขับดูคาติก้าวลงตามมา ก่อนจะใช้มือยกกระบังกันลมที่ติดอยู่กับหมวกขึ้น เพื่อให้มองเห็นสถานที่ได้ชัดๆ

            “ฝ่าป่าเข้าไปคงไม่ง่ายแน่” น้ำเสียงของร่างสูงฟังดูตึงเครียดขึ้น ขณะที่ชายหนุ่มที่ลงมาคนแรกกลับสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจข้างพุ่มไม้ ก่อนเขาจะเดินเข้าไปใกล้


            “งั้นใช้ผู้ช่วยสิ น่าจะได้คำตอบเร็วกว่า” งูเขียวหางไหม้ถูกอุ้มเอาไว้ในอุ้งมือ ริมฝีปากบางเขยื้อนเอ่ยเป็นภาษาบางอย่างที่คนธรรมดาฟังไม่ออก แต่น่าแปลกที่อสรพิษไม่คิดขัดขืนเลยสักนิด ไม่นานก็ปล่อยมันลงกับพื้น อสรพิษเลื้อยหายเข้าไปในป่า

            “เสร็จแล้วก็ขึ้นมาสักที เราต้องรีบอ้อมไปอีกทาง” ร่างสูงเร่งบอกเมื่อเห็นว่าอีกคนอืดอาดอยู่ข้างพุ่มไม้นานเกินไป ก่อนเจ้าตัวจะรีบเดินขึ้นไปขี่คูบาติสีดำ พลางบิดคันเร่งเสียงดังราวกับต้องการเร่งคนที่กำลังยืนหน้าศาลเจ้าให้รีบขึ้นมาซ้อนท้ายอย่างใจร้อน

            “อย่างท่าน 5 นาทีก็คงถึง” ร่างโปร่งบ่นประชดพลางเดินมาขึ้นซ้อนท้ายตามคำสั่ง ก่อนจะยึดเอวอีกฝ่ายไว้

           ใบหน้าคนขับใต้หมวกกันน็อคหันมา “แค่นาทีเดียวก็พอ จับให้แน่นๆ นะซาอิด ” ดวงตาสีดำคมกริบตวัดกลับมองถนน แววตาแสดงเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังออกล่าเหยื่อ ก่อนจะปิดที่กันลมแล้วยานพาหนะสองล้อก็พุ่งตัวในทันที





            สองวันผ่านไปแล้ว..

           เครื่องบินส่วนตัวลำใหญ่เข้าเทียบท่าอากาศยานในประเทศหมู่เกาะแดนอาทิตย์อุทัย ทันทีที่เครื่องลงจอดสนิท ร่างของใครบางคนที่ใช้ให้นำรถลีมูซีนมารอรับถึงที่รันเวย์ก็เงยขึ้นไปบนประตูเครื่อง มีชายหนุ่มรูปร่างดีราวกับเป็นบอดี้การ์ดเดินออกมามากมาย เพื่อเคลียร์พื้นที่ป้องกันผู้เป็นนายที่อยู่ด้านใน

           เมื่อร่างสูงศักดิ์ก้าวออกมาทุกคนก็ยืนตรงเคารพให้กับความยิ่งใหญ่ สายลมพัดพลิ้วเส้นผมสีดำให้ปลิวสยาย ดวงตาคมกริบสีอำพันปรายต่ำมองคนที่มารอรับที่อยู่ด้านล่างราวกับต้องการสื่อสารบางอย่างซึ่ง ชายคนนั้นก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายอยากฟังสิ่งใด ทันทีที่ออกรถ ก็เอ่ยถามตามต้องการ

           “ทุกอย่างเรียบร้อยไหมบาฮาล” ถึงใบหน้าจะแสดงทีท่าว่านิ่งสงบ แต่ลึกๆ ในดวงตาก็ปรารถนาคำว่าใช่ ร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันมาตอบเจ้าชีวิต

           “พะย่ะค่ะ เราเจอพระชายาแล้ว” พอได้ยินคำตอบก็รู้สึกเบาใจไปเปราะหนึ่ง คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เขาแอบส่งตัวบาฮาลและซาอิดมาที่ประเทศญี่ปุ่นหลังจากวันที่ส่งพระศพคืนแด่อนาคาน แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงแผนเพื่อสร้างละครตบตาซาคาเดียร์เพียงเท่านั้น แต่หากจะสำเร็จไม่ได้และน้องชายของเขาคงถูกเผาทั้งที่มีลมหายใจ ถ้าไม่ได้ราซิสคอยช่วยเหลือ

           “ท่านพี่ ข้าอยากจะ...”

           “เก็บคำพูดของเจ้าไว้ก่อน ตอนนี้ข้าอยากรู้เรื่องในตอนนี้มากกว่า” ไม่ทันได้พูดจนจบอีกฝ่ายก็ขัดเสียก่อน ดวงตาที่ดูจริงจังนั้นทำเอาบาฮาลเข้าใจดี แล้วรีบกล่าวไปตามจริง

           “ท่านพี่อย่าได้ห่วงไป เรื่องนั้นข้าส่งซาอิดไปจัดการเรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ” ทันทีที่ได้ยินชื่ออดีตหัวหน้าราชบริวารแห่งอนาคานก็เบาใจมากขึ้น ถึงแม้ซาอิดจะเป็นนาคินเลือดผสมแต่เรื่องความจงรักภักดีกลับไม่แพ้ใครในอนาคาน เขาช่างโชคดีจริงๆ ที่มีราชบริวารเช่นนี้ แต่ก็น่าเสียดายนัก เพราะทางออกของเรื่องที่ก่อ เขาจำเป็นจะต้องปล่อยคนทั้งสองไป

           “ดี” บาซิกค์พยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “จัดการให้เร็วที่สุด ฆ่าทุกคนที่เข้ามาขวางทาง”

 

 

            อาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า หลังจากที่ทำงานจนเหนื่อยมากว่าค่อนวัน ก็ได้เวลาบอกลาสถานีวิจัยกลางป่านี่แล้วกลับบ้านไปพักผ่อนเสียที

            บริเวณพุ่มไม้ขนาดใหญ่ ดวงตาสีครามแอบเฝ้ามองเหล่าบรรดานักวิจัยในกาวน์สีขาวต่างทยอยเดินกันออกมาจากสถานี

           ซาอิดพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก หลังจากที่ตามกลิ่นดอกเพเซียของพระชายามาถึงที่นี่ ก็สืบพบว่าสถานีวิจัยแห่งนี้ของรัฐบาลซึ่งมีป้ายติดประกาศไว้ว่า ‘เขตหวงห้าม’  ซึ่งการเข้าไปด้านในคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ถ้าไม่ใช่คนใน แต่คนที่ไม่มีเส้นสายอะไรเลยจะทำอย่างไรได้เล่า นอกจากลอบเข้าไป

            ซาอิดซ่อนตัวอยู่ด้านหลังรอจังหวะที่นักวิจัยคนหนึ่งเดินหลงเข้ามาในทางที่แอบอยู่ ก่อนจะรีบใช้มือปิดปากบุคคลผู้โชคร้าย แล้วคว้าตัวมาใช้สันมือทุบเข้าที่หลังต้นคออย่างรวดเร็ว ทักษะที่ถูกฝึกปรือมาอย่างดีทำให้นักวิจัยผู้โชคร้ายสลบลงทันที เขารีบถอดชุดกาวน์ของอีกฝ่ายออกนำมาสวมทับกับตัวเอง ก่อนจะก้มลงไปหยิบบัตรประจำตัวของนักวิจัยมาคล้องคอ และจัดการมัดคนของอีกฝ่าย ซ่อนเอาไว้ใต้พุ่มไม้ด้านใน 




           “วันนี้ก็ไม่ได้เรื่องอีกเหรอ”

           เสียงจากหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ถามขึ้นในห้องทดลองราวกับจะกดดันลูกมือของตัวเองให้ตอบคำว่า’ได้’ออกมาเต็มปาก ทว่าคำตอบกลับทำให้เขาผิดหวังจนน่าหงุดหงิด

            นี่ก็ปาเข้าไปวันที่สองแล้วที่เขาไม่สามารถสกัดแยกผลเซรุ่มของโลเกียออกมาจากเลือดของมิกิ

           “ขะ ขอโทษครับศาสตราจารย์” ลูกน้องของเขาตอบเสียงสั่น คนที่ถูกเรียกว่าศาสตราจารย์ส่ายหน้าผิดหวัง พลางเดินไปหยิบเอกสารที่เป็นผลการทดลองจากเลือดของมิกิขึ้นมาอ่านอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะขย้ำมันทิ้งแล้วปาลงพื้น

           “ไม่ได้เรื่องเลย! เดี๋ยวเจ้าเด็กนั่นก็ตายเสียก่อนเซรุ่มจะสำเร็จหรอก!” ค็อตเลอร์กล่าวอย่างหัวเสีย ความจริงแล้วเลือดในร่างกายมนุษย์นั้นมีอยู่ประมาณ 5-6 ลิตรจากน้ำหนักตัว แต่การทำการทดลองที่เร่งรีบแบบนี้ แต่ละครั้งก็ต้องใช้เลือดของผู้ถูกทดลองเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ต่ำกว่า น้ำหนึ่งแก้วต่อครั้งหรือประมาณ 200 มล. ซึ่งเขาเกรงว่า ต่อให้ร่างกายของเจ้าเด็กนั่นแข็งแรงเพียงใด แต่หากถูกสูบเลือดออกไปเรื่อยๆ ทุกวัน เจ้าตัวอาจจะตายก่อนที่เซรุ่มจะสำเร็จ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด นี่ยังไม่รวมเรื่องงบประมาณในการทำทดลองแต่ละครั้งอย่างมหาศาลอีก ซึ่งตอนนี้เงินก้อนเก่าก็กำลังจะหมดลงแล้ว คิดกระนั้นจึงได้ถามทันที

           “แล้วเรื่องใบเบิกงบประมาณครั้งนี้ทำไมถึงได้ล่าช้านัก” ค็อตเลอร์ถามลูกน้องพร้อมจ้องตาเขม็ง แต่คำตอบที่ได้ก็ยังไม่ได้ดั่งใจ

           “เอ่อ...เห็นทางนั้นบอกว่า ทางองค์กรได้ปรับเปลี่ยนระบบบริหารรวมทั้งผู้ถือหุ้นส่วนรายใหม่ครับก็เลยวุ่นวายพอสมควร ทำให้เงินที่ทางเราขอล่าช้าครับ”

           “ผู้ถือหุ้นรายใหม่เหรอ เหอะ...ก็เห็นมีทุกปี แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยสักนิด คอยดูเถอะถ้างานนี้เสร็จเมื่อไหร่ฉันจะซื้อองค์กรเฮงซวยนี่เอง!” สถบอย่างหงุดหงิดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะหุนหันเดินตึงตังออกไปจากห้อง คิดจะไปดูอาการของคนเจ้าปัญหาสักหน่อยว่ายังมีลมหายใจเหลือให้ทดลองได้อีกสักกี่วัน


            ค็อตเลอร์เดินมาตามทางเดินเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูเหล็กบานหนึ่งที่อยู่ด้านในสุดบริเวณทางเดินชั้นสามของสถานีวิจัย มือหยาบกร้านล้วงเอาบัตรประจำตัวของตนเองขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะรูดมันลงที่เครื่องรองรับ แล้วกดรหัสบางอย่าง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดัง ‘กึก’ จากตัวประตู ก่อนเขาจะเปิดเข้าไปด้านใน

            ทันทีที่ก้าวเข้ามา ภายในเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสีเทาหม่นจนทำให้บรรยากาศดูมืดครึ้ม ยังดีที่มีแสงไฟจากหลอดไฟนีออนด้านบน ที่พอจะให้ความสว่าง ทำให้ที่นี่ไม่ดูเหมือนคุก แต่จะพูดแบบนั้นก็คงไม่ถูกเท่าไรนัก เพราะในความคิดของร่างที่นองนิ่งอยู่บนเตียงด้วยลมหายใจรวยริน ที่นี่ก็คงเป็นเหมือนคุกดีๆ นี่เอง

           ความจริงเขาก็คิดสงสารอยู่หรอกนะ แต่ใครให้เจ้าตัวมีสิ่งที่เขาต้องการอยู่ในเลือดกันล่ะ?

            ใจเย็นอีกสักหน่อย เขาจะค่อยๆ เอาของของเขากลับคืนมา แล้วชีวิตของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็จะเป็นอิสระจากโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้

           “เป็นยังไงบ้าง หึหึ ท่าทางไม่เลวเลยนี่มิกิ” เสียงที่ไม่อยากได้ยินทำเอาคนที่นอนเพลียแรงอยู่บนเตียงกัดฟันแน่น ทว่าฤทธิ์ยาที่ฉีดเข้าไปก่อนหน้าทำให้เขามีอาการอ่อนแรง เกินกว่าจะลุกขึ้นไปโต้ตอบคนที่มาเยือน

           ค็อตเลอร์เดินเข้ามาใกล้ขึ้น ในมือถือเข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวสีเหลืองใสไว้ด้านใน มิกิมองยาหลอดนั้นอย่างระแวดระวัง น้ำตาร้อนชื้นเหมือนจะไหลออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บใจเมื่อรู้ว่าร่างกายกำลังจะถูกคุกคาม

           “ไม่ต้องกลัวนะเด็กดี นี่คือวิตามินบำรุงที่จะทำให้ร่างกายนายดีขึ้น” เหมือนจะเป็นคำปลอบใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าใต้กรอบแว่นนั้นดูน่ากลัวเป็นที่สุด มิกิพยายามเคลื่อนตัวหนีเท่าที่จะทำได้ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าไม่มีวันพ้น แต่สุดท้ายมืออันหยาบกร้าน ก็คว้าท่อนแขนของเขาออกมา แล้วจัดการใช้เข็มฉีดเข้าไปในต้นแขนขาวที่เต็มไปด้วยร่องรอยเข็ม

           “ชู่ว...อย่างเกร็งแขนสิ ไม่ฉันงั้นต้องฉีดใหม่นะ” มิกิพยายามยื้อแขนกลับ แต่เรี่ยวแรงก็อ่อนปวกเปียกไปหมด สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ยาสีเหลืองใสถูกฉีดเข้าไปในร่างกายจนหมด กายบางทรุดฮวบลงกับเตียง หอบหายใจรวยริน น้ำตาชื้นอยู่บริเวณที่ริมตาทั้งสองข้าง นี่ไม่ใช่วิตามินแต่เป็ฯยาที่ทำให้กล้ามเนื้อของเขาอ่อนแรงจนไม่ทางขัดขื้น สภาพอันน่าสมเพชนี้เขาไม่สามารถยอมรับตัวเองได้ ไม่สามารถยอมรับได้เลยจริงๆ แม้แต่จะกำมือตัวเองก็ทำได้แค่หลวมๆ สุดท้ายจึงได้แต่พยายามเปล่งเสียงด่าคนชั่วช้าตรงหน้าด้วยความเจ็บใจ

            “ไอสวะ ค็อตเลอร์” เมื่อได้ยินกระนั้นค็อตเลอร์ถึงกลับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขันสร้างความเจ็บใจให้เพิ่มขึ้นกว่าเก่า แต่ก่อนที่ร่างหัวหน้านักวิจัยจะก้าวพ้นผ่านประตูไป ก็ทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้

            “อย่ารีบตายนะไอหนู จนกว่างานฉันจะเสร็จ” พูดจบก็โบกมือลาให้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินออกไปจากห้องสีเทา ทิ้งความเงียบ และความคับแค้นเป็นเพื่อนข้างกาย..


            ทันทีที่เห็นเป้าหมายก้าวเดินออกมาจากห้องที่อยู่ด้านในสุด และเข้าไปในลิฟต์ ร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์สีขาวที่แอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่บริเวณหลังเสาขึ้นบันได ก็เผยตัวออกมาด้านนอก ดวงตาสีครามจ้องมองไปที่ห้องด้านในสุด จมูกโด่งสันได้กลิ่นหอมของดอกไม้โบราณชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับอยู่ใกล้แค่เอื้อม

            หลังจากที่ปลอมตัวเป็นนักวิจัย แล้วลอบเข้ามาที่สถานีวิจัยได้สำเร็จทางประตูหนีไฟด้านหลัง เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าพระชายาของอนาคานถูกจับตัวมาไว้ที่นี่ เพราะกลิ่นของดอกเพเซียนั้นชัดเจนยิ่งนัก เขาตามกลิ่นนั้นมาเรื่อยๆ ก่อนจะพบว่าบริเวณชั้นสามของสถานีวิจัยเป็นชั้นที่มีกลิ่นของดอกไม้รุนแรงกว่าชั้นอื่น ก่อนจะเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องด้านใน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นศาสตราจารย์ค็อตเลอร์ หัวหน้าสถานีวิจัยแห่งนี้จากที่เขาสืบข้อมูลมา

           ซาอิดใช้บัตรประจำตัวฝ่าเซ็นเซอร์ประตูกั้น เดินตรงเข้าไปที่ห้องในสุด ประตูเหล็กสีเทาถูกล็อคด้วยอุปกรณ์ที่คล้ายกับกล่องสี่เหลี่ยม มีแป้นตัวเลขแบบดิจิตอล และมีช่องที่คาดว่าไว้สำหรับรูดบัตรประจำตัวของนักวิจัยที่นี่เพื่อความปลอดภัย ถึงเขาจะอยู่ที่เมืองโบราณแทบทั้งชีวิต แต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องการเคลื่อนไหวของโลกหรือเทคโนโลยีด้านนอก ว่าเปลี่ยนไปถึงไหน ซาอิดหยิบบัตรประจำตัวที่แอบขโมยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะรูดมันลงไป ข้อความอิเล็กทรอนิกส์หนึ่งปรากฏขึ้นเหนือแป้นพิมพ์ตัวเลข

           ‘กรุณาระบุรหัสประจำตัว’

           ขมวดคิ้วเรียวเป็นปม ก่อนจะก้มมองดูเลขบัตรของตัวเองที่เขาขโมยมา แล้วกดหมายเลขที่อยู่ในบัตรลงไป ทว่า..

           ‘ท่านไม่ได้รับอนุญาต’

           ข้อความตัวแดงปรากฏขึ้นบนหน้าจอ พร้อมกับเสียงค้านของตัวเครื่อง ซาอิดถอนหายใจ และคิดว่าคนที่สามารถเปิดประตูนี้คงมีแต่ค็อตเลอร์เพียงคนเดียว แม้จะเป็นห่วงพระชายาใจจะขาดว่ามีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง ถึงจะแน่ใจว่ามิกิยังมีชีวิติอยู่ แต่ครั้นจะเคาะประตูและเปล่งเสียงทักทายเข้าไปจากหน้าประตู ก็กลัวว่าจะเป็นที่สงสัย สุดท้ายก็ได้แต่เม้มริมฝีปากลงแล้วเดินถอยออกมาจากประตู ก่อนจะเดินลงบันไดหนีไฟออกจากสถานีวิจัยเพื่อไปรายงานเรื่องนี้แก่ผู้ปกครองชีวิต

           องค์ราชาบาซิกค์...



           ค่ำคืนนี้หนาวเหน็บจนตัวสั่น มิกินอนห่อกายอยู่บนเตียงแข็งๆ ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยเข็มเขียวจ้ำโอบกอดตัวเองไว้แน่น ราวกับหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความโหดร้ายนี้ลงได้ แต่ไม่เลย..มันไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นซ้ำร้ายยังทำให้เขากลับรู้สึกเหงา และโดดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิม จนเผลอคิดว่า ทำไมโลกนี้ถึงได้ทอดทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง

           ทั้งที่แต่ก่อน เขาคอยแต่โหยหาอิสรภาพ และหวังจะใช้ชีวิตโดยไม่มีมีใครมาตลอด แต่พอมาสัมผัสจริงๆ ถึงได้รู้ว่าโหดร้ายแค่ไหน

           นายอยู่ไหนบาซิกค์

           ทำไมถึงปล่อยฉันอยู่แบบนี้

           ฉันยังมีค่ากับนายอยู่ไหม

           อยากเจอ.. อยากเจอที่สุด

           คำปรารถนาในหัวใจไหลล้นมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลลงมานานเท่าใด ทำไมถึงได้คิดถึงและโหยหาอ้อมกอดของคนคนนั้นขนาดนี้ ถึงจะรู้ว่าบาซิกค์คงพยายามตามหาตัวเขาอยู่ แต่อดไม่ได้ที่จะเผลอคิดอย่างเด็กน้อยที่เห็นแก่ตัว เขาไม่อยากถูกทอดทิ้งอีกแล้ว ไม่อยากเลยจริงๆ แต่หากพระเจ้าจะขีดเส้นทางชีวิตเขาให้เป็นเช่นนั้น เขายินดีที่จะจบชีวิตตัวเองลง ยังดีเสียกว่าการรอคอยที่ไม่สมหวังเลยสักครั้ง แต่เขาก็อยากจะเชื่อ อยากจะเชื่อในตัวของบาซิกค์ และเชื่อในดวงตาสีอำพันคู่นั้นว่าจะไม่มีวันลบเขาไปจากหัวใจ

           นายอยู่ไหนบาซิกค์

           ตุบ!..

           เสียงที่คล้ายกับอะไรบางอย่างล่วงลงมาจากที่สูง ทำให้ร่างที่นอนห่อตัวอยู่บนเตียงหันมาให้ความสนใจ ใช้แขนค่อยๆ ยันกายที่เริ่มพอจะมีเรี่ยวแรงแรงลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ก่อนหูจะพลันได้ยินเสียงสั่นรัวของบางสิ่งที่ทำเอาเขาขมวดคิ้ว

           “นาย...”

           ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นงูหางกระดิ่งตัวหนึ่งกำลังขดตัวมองเขานิ่งปลายหางของมันเลิกสั่น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มรับรู้ถึงการมีตัวตนของตนเอง และด้วยสัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขาแน่ใจว่าเจ้างูตัวนี้ เป็นตัวเดียวกับที่พาเขาไปพบบาซิกค์ที่ห้องลับ เพียงแค่นั้นหัวใจก็พลันอบอุ่นขึ้นมาอย่างประแปลกประหลาด ทว่าไม่ทันไรเจ้างูนั่นก็มีท่าทีที่แปลกไป จนกระทั่งมันกระทำสิ่งหนึ่ง

           “นี่มัน” หลอดแก้วเล็กๆ ที่บรรจุของเหลวสีแดงถูกขย้อนออกมาจากปากของอสรพิษ มิกิมองสิ่งนั้นอย่างไม่เข้าใจและไม่กล้าหยิบมันขึ้นมา งูพิษจึงใช้ศีรษะของมันดันขวดนั้นไปหาเขา

           “มันคืออะไร” แม้ถามไปก็ไม่มีวันรู้ถึงคำตอบเพราะเขาไม่อาจเข้าใจภาษางูได้ แต่อสรพิษกลับมองเขานิ่งเมื่อต้องการสื่อสารบางอย่าง ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่สัญชาตญาณกลับสั่งให้รู้ว่ามันกำลังบอกให้เขาทำอะไร

           “อยากให้ฉันดื่มมันเหรอ” มิกิเอ่ยถาม อสรพิษสั่นหางเบาๆ เหมือนแทนคำตอบว่า ‘ใช่’
           เขาลังแลอยู่สักพัก ดวงตาสีอ่อนจ้องมองหลอดแก้วสีแดงอย่างครุ่นคิด แต่สุดท้ายมือเรียวก็เอื้อมไปคว้าขวดแก้วขึ้นมาจากพื้น ฝาที่ปิดหลอดถูกเปิดออก ก่อนยกสิ่งนั้นขึ้นมาดมเพื่อพิสูจน์ว่ามันคืออะไร

            กลิ่นคาวคล้ายกับเลือดตีคลุ้งเข้าจมูก แต่กลับรู้สึกหอมอ่อนๆ เหมือนมีรสหวาน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้เท่าไร แต่เขาก็คิดว่า บาซิกค์คงส่งเจ้างูนี้มาแทนคำตอบทุกอย่างว่าเขากำลังทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางช่วยเหลือเขา และคงไม่ได้คิดร้ายกับเขาแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ไม่มีอะไรจะต้องห่วง สุดทเนก็กลั้นใจดื่มของเหลวสีแดงนั้นลงคอจนหมดในอึกเดียว

           รสคาวเฝื่อนลิ้นติดอยู่ที่ริมฝีปากหลังจากที่ดื่มไป เขาแน่ใจว่าสิ่งนี้คือเลือดเป็นแน่ แต่ทำไมบาซิกค์ถึงต้องให้เขาดื่มเลือดนี้ด้วย คิดได้ไม่ทันไร..คำตอบก็สัมผัสได้ด้วยร่างกายของเขาเอง

            เวลานี้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้น ราวกับมีกองไฟเล็กๆ ล้อมอยู่รอบตัว หัวสมองที่ปวดหนึบก็กลับคลายจนเริ่มกลายเป็นปกติอย่างไม่น่าเชื่อ มิกิมองหลอดโปร่งใสในมือพลางเม้มริมฝีปากลง แต่ไม่ทันจะได้หันใบหน้าไปขอบคุณเจ้าสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาช่วยเขา มันก็หายตัวไปเสียแล้ว..

           
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 20]UP 19/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 19-10-2015 17:04:00
ค่ำคืนที่ 20 : ดวงเนตรเทพนาคิน Part 3


            ในวันรุ่งขึ้น..



            “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ตัดงบประมาณงั้นเหรอ คิดว่าการทดลองนี้มันไม่ใช้เงินทุนหรือยังไง! ฉันจะไปคุยกับสำนักงานใหญ่ให้รู้เรื่อง!”



             เสียงโวยวายดังขึ้นแต่เช้าที่สถานีวิจัยกลางป่า ค็อตเลอร์รู้สึกหัวเสียจนขว้างปาเอกสารวิจัยกระจุยกระจายเต็มห้อง

             ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวหน้าของพวกเขาโมโหสุดขีด แต่นับได้ว่าเรื่องงบประมาณเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการทดลอง หากไม่มีงบ ก็เท่ากับคนที่ขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงชีวิต ศาสตราจารย์ดูจะหวังการวิจัยเรื่องดอกเพเซียนี้ไว้มาก แต่ด้วยทีมและศาสตราจารย์โลเกียผู้ช่วยคนสำคัญดันมาด่วนจากโลกนี้ไป ก็ทำให้งานที่ค้างอยู่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น และกินงบประมาณของทางองค์กรไปกว่าหลายล้าน สุดท้ายก็มาถึงวันนี้วันที่ทุกอย่างถูกยุติเอาเสียดื้อๆ แม้จะเดินมาได้ใกล้สุดทางแล้วก็ตาม สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามปลอบใจหัวหน้าของพวกเขา



            “ใจเย็นก่อนครับศาสตราจารย์ เรายังพอมีเงินทุนเหลืออยู่บ้าง พอที่จะทำถึงสิ้นเดือนนี้”



            “สิ้นเดือนนี้! มันจะไปพออะไร!” ค็อตเลอร์ตวาดเสียงดังพลางโยนเอกสารใส่หน้าลูกน้องของตัวเอง ก่อนจะเดินวนไปวนมาด้วยความหงุดหงิด ถึงเขาจะเป็นคนที่ทำงานให้กับรัฐบาล แต่รัฐบาลกลับไม่ได้เห็นค่าคนอย่างเขาว่าสามารถทำประโยชน์ให้องค์กรได้มากขนาดไหน



            ค็อตเลอร์นั่งลงที่โต๊ะ เคาะปากเร่งเป็นจังหวะราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ใบหน้าใต้กรอบแว่นนั้นเต็มไปด้วยตึงเครียด อย่างไรเขาก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว อีกไม่ถึงอาทิตย์ก็สิ้นเดือน พวกเขาจะต้องเก็บข้าวของทุกอย่างที่ทำและมอบให้รัฐบาลอย่างไม่มีข้อแม้ แต่ใครจะยอมมอบผลงานของตัวเองที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์ไปให้คนอื่นเชยชมกันล่ะ ถึงแม้จะผิดกฎหมาย แต่เขาไม่สนใจ อย่างไรเม็ดเงินจำนวนมหาศาลก็รออยู่ตรงหน้าขอเพียงแค่เขาสามารถสกัดทุกอย่างออกมาจนเสร็จ ฉะนั้นสิ่งที่พอทำได้ก็คือ..



            เก็บวัตถุดิบที่เหลือมาให้หมด



            “ไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าฝ่ายนั้นต้องการบีบเราขนาดนี้ เห็นทีจะต้องคว้าประโยชนไว้ให้ได้มากที่สุด” ค็อตเลอร์หมุนเก้าอี้หันมามองลูกน้องของตัวเอง ขณะคนที่ถูกมองใบหน้าเริ่มถอดสีไม่อยากคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป



            “ศาสตราจารย์หมายความว่า…”



            “วันนี้เราจะเก็บตัวอย่างเลือดทั้งหมดจากเจ้าเด็กนั่นออกมา” คำสั่งเลือดเย็นหลุดออกมาจากหัวหน้าทีมวิจัย ทำเอาทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบกริบ พวกลูกน้องได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่กลับไม่มีใครกล้าแย้งศาสตราจารย์ที่ใจคอโหดเหี้ยมเลยสักคน ว่ากันว่ามนุษย์คือสัตว์ชั้นสูงที่มีความคิดเฉลียวฉลาดมีความรู้สึก สงสารเป็น รักเป็นเกลียดเป็น แต่หากมองในเรื่องวงจรผู้ล่า มนุษย์นั้นล่ะคือสัตว์ร้ายที่อันตรายที่สุด

 

 

            บรึน

 

            บรึน!

            เสียงบิดเครื่องยนต์จากยานพาหนะเหล็กสองล้อเร่งดังรบกวนอยู่ที่หน้าศูนย์วิจัยกลางป่า จนทำให้คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่คอยเฝ้าผู้เข้าออกอยู่หน้าประตูสองนายต้องเดินออกมาไล่ด้วยความหงุดหงิด ไม่คิดว่ากลางป่าเขาเช่นนี้แล้วจะมีพวกก่อกวนตามมาไม่เลิก



            “เฮ้ยแกเป็นใครน่ะ ที่นี่คนนอกห้ามเข้ากลับไป!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศูนย์วิจัยเอ่ยไล่คนที่จอดบิดมอเตอร์ไซด์อยู่ด้านหน้าอย่างไม่ไยดี ถึงพาหนะสีดำตรงหน้าจะดูโก้หรูมีราคา และรูปร่างของคนขับจะดูเท่สูงใหญ่สมชายชาตรี แต่ด้วยใบหน้าที่ปกปิดไว้ใต้หมวกกันน็อคกลับทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจเลยสักนิด



            คาบูติสีดำบิดคั่นเร่งดังขึ้น ราวกับต้องการยั่วโมโหคนที่เฝ้า ในที่สุดก็เริ่มทนไม่ไหว รีบเดินย่ำตึงออกมา ในมือกำไม้ตะบองเตรียมยกขึ้นมาขู่ไล่เจ้าบ้าที่พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง



            “บอกให้กลับไปไงเล่า ที่นี่เขตหวงห้ามอ่านภาษาคนไม่ออกเหรอ อยากโดนจับหรือไง!” ยามหนุ่มขู่เสียงดุ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เมื่อคาบูติสีดำบิดคันเร่งแรงขึ้นเสียงดังจนคนที่คิดมาไล่สะดุ้งจนล้มหงาย ไม่ทันได้พักหายใจต่อ ยานพาหนะสองล้อตรงหน้าก็พุ่งตรงมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว!



            “เฮ้ย!” อุทานเสียงหลง ก่อนจะกลิ้งตัวหลบอย่างทุลักทุเลแต่...

 

            โครม!!

 

            เสียงที่ได้ยินทำเอาสองยามต้องรีบเหลียวหลังหันมามอง ก่อนจะพบว่าประตูที่กั้นทางเข้า ถูกคาบูติสีดำยกล้อหนาๆ พุ่งเข้าใส่จนพังยับ ต่อด้วยสัญญาณเตือนที่ดังว่ามีผู้บุกรุก ตามมาด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านในทั้งหมดรุมกันเข้ามาเพื่อไล่จับ คนที่ขับมอเตอร์ไซค์กันวุ่นวาย โดยที่ไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่ามีใครบางคนแอบลอบเข้าที่ประตูด้านหลัง

 

 

            “ข้างนอกเอะอะเสียงดังอะไรกัน” ถึงจะได้ยินเสียงโหวกเหวกอยู่ภายนอก แต่ค็อตเลอร์ก็ถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เพราะมือทั้งสองกำลังยุ่งอยู่กับการใช้เข็มดึงตัวยาสีเหลืองใสออกมาจากขวดทดลอง



            หลังจากที่เตรียมถุงบรรจุเลือดยัดลงในกระเป๋าแช่เย็นสำหรับการเก็บตัวอย่างจนเสร็จ ลูกน้องของเขาก็ยืนขึ้นไปดูคำตอบให้ผู้เป็นนายที่หน้าต่าง เห็นคนขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาที่ศูนย์วิจัย



            “มีคนบุกรุกเข้ามาครับศาสตราจารย์!” เขาหันมาตอบด้วยท่าทีตื่นๆ ค็อตเลอร์ละสายตาออกจากขวดยา และเก็บเข็มฉีดยาเข้ากระเป๋าเสื้อของตัวเองเหมือนเช่นเคย ร่างสูงของชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเดินตามลูกน้องตัวเองไปดูให้ชัดๆ ร้อยวันพันปีสถานีวิจัยแห่งนี้ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ไฉนถึงได้เป็นแบบนี้ เห็นทีจะต้องอบรบพนักงานที่อยู่ที่นี่ใหม่ทุกคนเสียแล้ว ไม่สิ...เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องสนใจที่แห่งนี้อีกแล้วเพราะอีกไม่นานโครงการนี้ก็จะถูกยุบและทุกคนก็จะกระจัดกระจายกันออกไป แต่ใครเล่าจะยอมทิ้งเงินมหาศาลไปเปล่าๆ ให้โง่ ถ้าเขานำเลือดออกจากเจ้าเด็กนั่นหมดเมื่อไร เขาจะไปจากที่นี่ทันที โดยไม่เหลียวแล



            ค็อตเลอร์แสยะยิ้มออกมาตรงมุมปาก ปรายตามองคนที่ก่อกวนผ่านหน้าต่างราวกับใครคนนั้นเป็นแค่แมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญ ก่อนจะหันหลังกลับ แล้วรีบมุ่งตรงไปที่ชั้นสามของสถานีวิจัยทันทีพร้อมกับลูกน้องอีกสองคน

 

            ทันทีที่มาถึงชั้นสาม ร่างผอมสูงของหัวหน้าศูนย์วิจัยก็รีบเดินมาตามทางเดิน โดยมีจุดหมายคือห้องด้านในสุดทางเดิน ทว่าระหว่างที่กำลังเดินไปจนใกล้ถึง จู่ๆ ไฟทุกอย่างก็ดับลงกะทันหัน!



            ฟืบ!



            “ฟะ ไฟดับ” ลูกน้องข้างกายเขาร้องขึ้นอย่างตกใจ และเนื่องจากเป็นทางเดินปิดตายที่สามารถเข้าได้เพียงด้านเดียว เวลาไฟดับก็พลันทำให้ทุกอย่างนั้นมืดสนิท



            “กลัวบ้าอะไรกัน เกิดมาไม่เคยเห็นไฟดับหรือไง” ศาสตราจารย์ค็อตเลอร์ดุลูกน้องทั้งสองที่ทำตัวเลิ่กลั่กจนหงอย ก่อนเขาจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา แล้วส่องให้ความสว่างแทน ทว่า...หูกลับได้ยินเสียงเหมือนคนเปิดประตูเข้ามาด้านใน



            “ใครน่ะ!” เพราะด้วยไฟดับทำให้ระบบทุกอย่างถูกตัด ประตูทุกบานจึงไม่ต้องใช้เลขบัตรของพนักงานในการเปิด ค็อตเลอร์จึงรีบหันหลังกลับไปมองพลางใช้ไฟบนหน้าจอมือถือของตัวเองส่องไปยังประตูทางเข้า แต่กลับไม่พบใครสักคน หัวใจเริ่มเต้นระส่ำแปลกๆ คล้ายกลับกำลังสังหรณ์ใจบางอย่างที่ไม่ดีเลยสักนิด



            ป่านนี้เจ้าพวกบ้านั้นจะจับคนมาก่อกวนไปหรือยัง แล้วทำไมระบบไฟฉุกเฉินถึงไม่ทำงานสักที

            เขาเผลอคิดขึ้นมาด้วยความระแวง ปนกับความกลัวบางอย่างที่ผุดขึ้นในใจ แต่จู่ๆ เสียงสั่นระรัวที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบเฉียบก็พลันทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ

            เสียงนั้นสั่นระรัวจนคล้ายกับเสียงคลื่นถี่ของกระดิ่งพวงเล็กๆ

            เสียงที่คล้ายกับสัตว์บางอย่างในทะเลทราย และมันอยู่..

            ที่พื้น!

 

            ฟ่อ!

 

            “อ๊ากก!!”

 

            “เฮ้ยพวกแกเป็นอะไรไป!” ค็อตเลอร์ตะโกนเสียงหลง เมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของลูกน้องที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะเงียบไปหายไปทีละคน

            หัวหน้าวิจัยหนุ่มหน้าซีดเผือด เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พยายามใช้ไฟจากหน้าจอมือถือส่องที่พื้น แต่กลับพบลูกน้องตนที่นอนแน่นิ่งเป็นศพไร้ลมหายใจ สักพักรู้สึกเหมือนมีลมเย็นวูบผ่านจนหนาวสะท้าน ดวงตาใต้กรอบแว่นเบิกกว้าง ริมฝีปากเริ่มสั่นด้วยความกลัว เหงื่อไคลไหลซึมเกาะทั่วใบหน้า เท้าก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาตที่พาหนี แต่ไม่ช้าระบบไฟฉุกเฉินก็ทำงาน เผยภาพทุกอย่างตรงหน้าให้กระจ่าง แต่สิ่งที่เห็นทำเอาเขาล้มลงไปอ้วกอยู่กับพื้น



             เส้นผมสีดำขลับยาวจรดกลางหลัง ใบหน้างดงามดั่งรูปหล่อทองคำของทวยเทพ แต่ทั้งหมดกลับไม่เท่าดวงตาเรียวยาวคมกริบคล้ายกับอสรพิษที่กำลังจ้องมองราวกับจะกลืนกินวิญญาณของเขาไปจนไม่มีวันได้ผุดเกิด บุคคลร่างสูงสง่าในอาภรณ์สูงศักดิ์กำลังยืมคร่อมขวางทาง



            ค็อตเลอร์พยายามคุมสติของตัวเองไม่ให้แตกกระเจิง แต่ภาพที่พบมันช่างเลวร้ายเกินจะรับไว้ เมื่อเห็นสภาพการตายของลูกน้องทั้งสองคน ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่เหลือรูป ขากรรไกรอ้าข้างมีน้ำลายปะปนกับเลือดไหลออกมาไม่หยุด บริเวณลำคอและลำตัวมีงูเลื้อยพันกันยั้วเยียะจนน่าขนลุก



            “ประตูห้องด้านในสุดเปิดมันออกซะ” ริมฝีปากหยัดสวยเอ่ยอย่างเย็นเยียบ ดวงตาคมกริบขององค์เทพจ้องมองไปที่คนที่ทรุดตัวอยู่กับพื้นราวกับอยากฉีกออกเป็นชิ้นๆ



            ค็อตเลอร์เมื่อได้ยินประโยคที่ร่างตรงหน้าพูด เขาก็พอจะเดาเรื่องทุกอย่างได้ทันทีว่าคนคนนี้เป็นใคร เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดถูกเฉลยออกมาทันทีว่าคงหนีไม่พ้นฝีมือของบุคคลผู้นี้ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักว่าร่างสูงศักดิ์เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร แต่ก็พยายามสยบความกลัวของตัวเองไว้



            ดูเหมือนว่าชายผู้นี้คงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาคิดแน่! ทว่า หมากเกมนี้เขาต่างหากที่เป็นต่อ!



            “พระองค์กำลังตามหาใครที่ห้องด้านในหรือพะย่ะค่ะ” นักวิจัยเจ้าเล่ห์จงใจยั่วโทสะของอีกฝ่าย



            “เจ้าอยากตายนักใช่ไหม” บาซิกค์ถลึงดวงเนตรดุดันปานจะแผดเผาร่างกายของชายชั่วให้มอดไหม้ ค็อตเลอร์เหยียดยิ้มร้ายกาจ ก่อนจะปัดฝุ่นแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงมองใบหน้าขององค์เทพทะเลทราย



            “แต่กระหม่อมคิดว่าพระองค์ไม่สามารถบังคับกระหม่อมได้นะ หรือจะฆ่าก็ไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม” ค็อตเลอร์มองดวงตาเย็นเยือกของอีกฝ่ายอย่างท้าทาย ริมฝีปากยกขึ้น “เพราะกระหม่อมเพียงคนเดียวที่สามารถเปิดประตูห้องนั้นได้!”

 

            ฟ่อ!

            เพียงพริบตาเดียว คำพูดทุกอย่างก็กลืนหายไปในลำคอ น้ำหนักของสิ่งมีชีวิตบางสิ่งปรากฏขึ้นบนบ่าทั้งสอง ค็อตเลอร์หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นอสรพิษขนาดใหญ่เท่าท่อนแขนเลื้อยพันอยู่ที่ลำคอของตัวเอง  เหงื่อไหลหยดลงมาจากไรผม

            “เฮ้ย!!” ตกใจร้องเสียงหลงลงจนล้มไปกองกับพื้น แต่ไม่วายอสรพิษที่พันคอเขาไว้อยู่นั้นก็ไม่ได้หลุดออกแต่อยางใด มือทั้งสองข้างจึงพยายามแกะสิ่งแปลกปลอม แต่ยิ่งพยายามเท่าไรก็ยิ่งถูกบีบรัดแรงขึ้นจนแทบจะหายใจไม่ออก ดวงตาใต้กรอบแว่นพยายามเหลือบมองคนที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างตื่นกลัว



            “กะ แก เป็นตัวอะไรกัน อึก!” งูรัดที่ลำคอเริ่มบดแน่นขึ้นจนเสียงที่กำลังพูดกลืนหายไปชั่วอึดใจ อย่างไรบาซิกค์ไม่ได้คิดจะไว้ชีวิตคนคนนี้ไว้อยู่แล้ว แต่หากอยากเล่นไม้นี้กับเขาเขาก็จะสนองคืนให้อย่างสาสม



            “ข้าไม่มีเวลามาตอบคำถามชีวิตที่ไร้ค่าเช่นเจ้า หากเจ้าไม่ทำก็จงตายซะ” น้ำเสียงเยือกเย็นทำเอาคนฟังถึงสั่นผวา ดวงเนตรที่เต็มไปด้วยความเย็นชาทำเอาค็อตเลอร์รู้ดีถึงความน่ากลัวของราชาผู้นี้ อย่างไรเขาก็ยังไม่พร้อมจะตายที่นี่ อย่างไรข้อเสนอของเขาอาจจะใช้ไม่ได้เลยกับคนที่มีอำนาจมนตรา ถึงจะเจ็บใจที่ต้องทิ้งทุกอย่างไป แต่สิ่งที่เขาควรทำก็คือ...การมีชีวิตรอดเพื่อหาโอกาสทวงคืน

            “ตัดสินใจหรือยังค็อตเลอร์”

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 20]UP 19/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 19-10-2015 17:04:50
ค่ำคืนที่ 20 : ดวงเนตรเทพนาคิน Part จบ



            มิกิได้ยินเสียงเอะอะดังออกมาจากด้านนอกนั่นพร้อมกับไฟในห้องที่ดับลงอย่างกะทันหัน มิกิไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พยายามใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู แต่ด้วยข้อมือทั้งสองข้างถูกมัดไว้กับขาเตียงที่ยึดติดกับพื้นทำให้เขาไม่สามารถไปได้ดั่งใจนึก



            ร่างบางขบกรามตัวเองแน่น รู้สึกใจเจ็บใจยิ่งนักที่ไม่สามารถทำอะไรดั่งใจได้ ขณะเดียวกันก็ใจคอไม่ดีเลยสักนิดราวกับสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง แต่พอได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นด้านนอกก็พาเอาหัวใจเต้นกระตุก ไม่นานระบบไฟสำรองก็กลับมาให้ความสว่างอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยหรี่ลงมองที่ช่องประตูด้านล่าง เห็นเงาดำวูบไหวไปมาอยู่ด้านนอก  ริมฝีปากเม้มลงแน่น



            หากเขาเดาไม่ผิด คงต้องเป็นค็อตเลอร์แน่ที่อยู่ข้างนอกนั่น แต่ทำไมเขากลับได้ยินเสียงร้องราวจะเป็นจะตายดังออกมาด้วย



            บานประตูค่อยๆ ถูกเปิดออก มิกิมองตามพลางใจเต้นแรง หากเป็นค็อตเลอร์ เขาจะไม่ยอมให้เจ้าคนชั่วนั่นแตะต้องร่างกายเขาอีกแล้ว แม้จะต้องต้องตายก็ขอสู้อย่างสุดแรง ว่าแล้วก็กำหมัดตัวเองแน่น แสงไฟจากด้านนอกส่องสว่างผ่านแผ่นหลังสูงใหญ่ของผู้มาเยือนจนเห็นเป็นเพียงเงาดำย้อนสายตา แต่ทำไมรูปร่างของคนคนนี้ถึงได้คุ้นตานัก



            ทันทีที่ทุกอย่างปรับชัดเข้าที่ ก็พลันทำให้ดวงตาคู่สวยนั่นตะลึงค้าง ภาพทุกอย่างราวกับหยุดชะงักจนหยุดนิ่ง ใบหน้าอันแสนคุ้นเคย นั่นทำให้รู้สึกตื้นตันขึ้นในอก



            ทั้งริมฝีปากนั่น

            จมูกนั่น

             และดวงตาสีอำพันคมกริบดุจแสงอรุณ ที่กำลังสะท้อนเป็นภาพตัวเขาอีกครั้ง



            น้ำตารื้นขึ้นมาที่ริมขอบตาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร หัวใจตัวเองเต้นแรงราวกับได้พบความอบอุ่นที่รอคอยมาแสนนาน ริมฝีปากแห้งปากของเขาเม้มลงแน่น ขณะที่หยาดน้ำใสๆ จากใบหน้าหยดลงบนพื้น 



            “บาซิกค์” เสียงนั้นแผ่วเบาราวกระซิบ มือทั้งสอง เอื้อมขึ้นไปด้านหน้าหวังว่าภาพที่เห็นอยู่นั้นไม่ใช่เพียงฝันไป



            “ฉันมารับแล้ว” ได้ยินเพียงเสียงคุ้นเคย มือที่เอื้อมไปถูกกุมมาแนบที่อกกว้าง เชือกที่พันธนาการเอาไว้มลายหายราวกับโดนแผดเผา ในอุ้งมือสัมผัสถึงเสียงหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอแต่ทว่าอบอุ่นจนน้ำตาไหลอาบลงมาจากดวงตา



            เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโหยหาขนาดนี้

            เป็นครั้งแรกที่ตื้นตันในหัวใจว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้ง

            เป็นครั้งแรกที่น้ำตาไหลอาบลงมามากมายราวกับไม่มีวันจะหยุดลง

 

            ค็อตเลอร์มองภาพของคนทั้งสองอย่างเจ็บใจ ขณะที่หัวสมองก็พยายามใช้ความคิดอย่างหนักถึงวิธีเอาตัวรอด หากเจ้างูที่อยู่บนคอเขาเกิดจากมนตราของราชาแห่งอนาคานจริง ก็พอเป็นได้ว่ามนตรานั้นอาจจะสูญสลายลงหากเขาสามารถทำร้ายผู้ใช้ได้เหมือนอย่างในหนังหรือภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ถึงจะไม่มีเหตุผลใดมาค้ำประกันได้ว่าสิ่งที่เขาคิดถูกต้อง เพราะถ้าหากพลาดก็หมายถึงชีวิตของเขาจะต้องดับสูญอย่างน่าอนาถ แต่อย่างไรก็ไม่มีวันตกอยู่ในสภาพนี้เด็ดขาด หากชีวิตไม่ได้มาซึ่งเงินทองที่วาดฝันไว้ ทั้งที่มันอยู่แค่เอื้อมแล้วละก็ ถึงจะเสี่ยงก็ยอมดีกว่าตายเปล่าเช่นนี้!

 

            ฉึก!

            เข็มฉีดยาปักเข้าคาที่ไหล่ขององค์เทพ ภาพอันโหดร้ายราวกับถูกสะกดค้างไว้ต่อดวงตาของเด็กหนุ่มที่เบิกกว้าง กายสูงทรุดตัวล้มลงคาอ้อมแขนของคนรัก ก่อนเสียงปืนจะลั่นดังตามมาจนหูอื้อชา

 

            ปัง!

            ดวงตาคู่สวยขยายโพลน สัมผัสได้ถึงของเหลวที่เปรอะกระเซ็นใส่ใบหน้า ความกลัวในสิ่งที่ไม่อยากจะคิดทำให้เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด มือเรียวโอบกอดร่างกายที่ทรุดลงกับพื้น แต่พอยกขึ้นมากลับพบแต่เลือดสีแดงฉานจนสติแทบขาดสะบั้น ภาพนิมิตในอดีตย้อนกลับมาในหัวอีกครั้ง น้ำตาผันแปรจากความดีใจเป็นความโศกาก่อนมันจะกลั่นออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง

            “บาซิกค์!!”



            สมมุติฐานของเขาเป็นจริงทั้งหมด เมื่อเวลานี้งูที่พันรอบลำคอเขาหายไปแล้ว ค็อตเลอร์เหยียดยิ้มเย็นมองดูสภาพของคนทั้งสองอย่างสะใจ มิกิเหลือบตามองคนกระทำพลางจ้องเขม็งด้วยความเคียดแค้น แต่ไม่ทันจะได้ลุกขึ้นไปจัดการคนชั่วช้า ขณะที่กระบอกปืนสีดำถูกยกขึ้นมาขู่

            “สีหน้าแบบนี้เหมือนโลเกียตอนที่ฉันจะยิงเขาไม่ผิด แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่างกันนิดหน่อย” ค็อตเลอร์เหยียดยิ้มเย้ย ใบหน้าเต็มไปด้วยความต่ำช้าเกินบรรยาย “ตรงที่หมอนั่นขอชีวิตแกกับฉันไว้ยังไงล่ะ!” ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

            “ไอชาติชั่ว!! ”



            ปัง!



            กระสุนนัดหนึ่งยิงเข้าที่หัวไหล่จนทะลุ ความแรงของกระสุนทำให้กายบางล้มกระแทกพื้น ความเจ็บแล่นแปลบขึ้นมาราวกับแขนทั้งท่อนกำลังถูกไฟครอกจนร้อนแสบทรมาน มิกิร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่ก็พยายามกัดฟันทั้งน้ำตานองหน้ากลั้นเสียงของตัวเองไม่ให้ชายที่ไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้นั้นได้ใจ

            ค็อตเลอร์ยืนฉีกยิ้มอย่างพอใจมองภาพม้าพยศดิ้นทรมานอยู่กับพื้น

            “ร้องออกมาสิมิกิ ส่งเสียงของนายออกมาให้ดังๆ เพราะหลังจากนี้นายจะไม่มีวันได้ร้องไห้อีกแล้ว เพราะกระสุนนัดนี้…” ค็อตเลอร์จ่อปืนสูงขึ้น ปลายนิ้วชี้จ่อไว้ตรงไกปืน “จะเล็งที่หัวนาย” ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่เอ่ย ไม่คิดเลยว่าชีวิตจะต้องมาจบเพราะคนที่มีจิตใจเลวทรามอำมหิต หากเขาเข้มแข็งมากกว่านี้ ทุกอย่างก็อาจไม่ต้องลงเอยเช่นนี้ ความตายไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่ความโดดเดี่ยวต่างหากคือสิ่งที่ร้ายแรงที่สุด



            เขาไม่อยากทิ้งใครให้โดดเดี่ยว

            เพราะการมีกันและกันต่างห่างที่ทำให้หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉาดวงนี้อบอุ่น

            บาซิกค์จะอยู่ได้ไหมนะ...ถ้าไม่มีเขา

            “ลาก่อนไอหนู” เสียงเย็นเยียบกล่าวทิ้งท้าย นิ้วเรียวค่อยๆ เหนี่ยวไกเชื่องช้า ดวงตาคู่สวยหลับลง ในใจคิดถึงแค่เพียง ขอให้ชายข้างกายคนนี้ให้อภัย



            ฟ่อ!

            ปัง!



            กระสุนพลาดไปถูกเตียงที่ด้านหลังเป็นรูดำ มิกิรีบลืมตาขึ้นมาดูเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยความึนงง ก่อนจะพบว่ามีงูหางกระดิ่งตัวหนึ่ง กัดเข้าที่ข้อเท้าของค็อตเลอร์!

            “ไองูบ้านี่!”

            ค็อตเลอร์สะบัดเท้าออก พลางรีบเล็งปืนไปที่อสรพิษที่ลอบกัด ก่อนกระหนำกระสุนยิงไม่ยั้งใส่เจ้างูตัวนั้น แต่อสรพิษก็กลับซ่อกแซกกว่าที่เขาคิดไว้นัก ทำให้กระสุนยิงไม่โดน แต่เพียงไม่นานค็อตเลอร์เริ่มเหงื่อแตกกาฬ สัมผัสได้ถึงอาการชาที่เริ่มไล่ขึ้นมาจากปลายเท้า หากปล่อยไว้เช่นนี้เขาคง..



            “เซรุ่ม” ไม่รอช้าก่อนที่ขาจะใช้ไม่ได้ ค็อตเลอร์รีบวิ่งออกจากห้องทันที โดยไม่หันหลังมองพวกเขาอีก



            “ค็อตเลอร์! อึก!” เปล่งเสียงเรียกด้วยความแค้นพยายามจะลุกตามออกไป แต่แผลที่ไหล่ก็เจ็บเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ทันที กระทั่งได้ยินเสียงของคนข้างกายเรียกชื่อเขาแผ่วเบา



            “มิกิ” ร่างบางรีบมาอยู่ข้างๆ ค่อยๆ ยกคนที่นอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้นขึ้นมานอนไว้บนตัก สองมือก็ประคองใบหน้าของอีกฝ่าย



            “ทะ ทำใจๆ ดีไว้ บาซิกค์นายจะไม่เป็นอะไร” ถึงจะพูดปลอบไปแต่ทว่าน้ำตาเย็นชื้นกลับหยดรดใบหน้า บาซิกค์คลี่ยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะบกมือขึ้นซับน้ำตาให้คนขี้ตกใจ



            “นายต่างหากที่ต้องใจเย็นๆ กระสุนปืนฆ่านาคินไม่ได้ อึก...” บาซิกค์คล้ายกลับกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่ดูเหมือนร่างกายเขากลับอ่อนแรงลงเสียดื้อๆ หากเดาไม่ผิดอาจเป็นเพราะเข็มฉีดยานั่นที่ค็อตเลอร์แอบแทงเข้าในตัวบาซิกค์เป็นยาตัวเดียวกันกับเขาที่จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เลยทำบาซิกค์มีอาการแบบนี้



            “มันคือยาคลายกล้ามเนื้ออดทนหน่อยนะบาซิกค์” ดวงตาสีเขียวมองชายคนรัก บาซิกค์พยายามพยักใบหน้ารับ เพราะประมาทไปหน่อยถึงได้พลาดท่าได้



            “ลุกขึ้นไหวไหม โอ๊ย!” มิกิพยายามพยุงตัวบาซิกค์ให้ลุกขึ้น แต่ไม่วายกระสุนปืนที่ฝังอยู่ในไหล่เขาก็ทำพิษจนต้องร้องครวญ



            “นายบาดเจ็บ” น้ำเสียงที่ไม่เคยได้ยินเอ่ยขึ้น ความห่วงใยส่งทอดมาจากดวงตาคู่นั้น



            “ฉะ ฉันไม่...อึก!”



            ไม่ทันได้พูดต่อจนจบประโยค ก็สัมผัสได้ถึงนิ้วเรียวยาวที่เลียลงบนปากแผลจนสะดุ้ง ดวงตาคมกริบเงยขึ้น



            “ถอดเสื้อออก”

            ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไร แต่พอเห็นใบหน้าและดวงตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยแล้ว เขาก็ไม่สามารถขัดคำสั่งนั่นได้ มิกิค่อยๆ ถอดเสื้อของตัวเองออก เผยให้เห็นอกขาวบางเรียบ ดวงเนตรสีอำพันมองขึ้นไปบริเวณบาดแผลที่ยังคงมีเลือดไหลซึม ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้รอยแผลมากขึ้น ลมหายใจอุ่นๆ ไหลรดจนร่างกายร้อนวูบ ก่อนการกระทำหนึ่งจะทำให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง



            กลีบปากอ่อนนุ่มไล่บรรจงจุมพิตลงยังบาดแผล ความเจ็บปวดแสบร้อนมลายหายราวกับร่ายเวทย์มนต์ มือทรงอำนาจสัมผัสลงบนรอยเลือด ความอบอุ่นไหลซ่านกระจ่ายที่หัวไหล่ เพียงไม่นานกระสุนที่คาอยู่ด้านในก็ถูกขับออกมาหล่นกับพื้น  ก่อนเนื้อหนังที่ฉีกขาดจะกลับเป็นดั่งปกติ



            เมื่อทุกอย่างกลับเป็นเช่นเดิม มิกิรู้สึกพูดไม่ออก ได้แต่มองใบหน้างดงามขององค์เทพอยู่แบบนั้น แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในหัว แต่ในใจกลับไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงมันออกมายังไง มีคำๆ หนึ่งอยากจะเปล่งเสียงออกมา แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกในใจบางอย่างจนยากจะอธิบาย รู้สึกตัวอีกที ริมฝีปากของชายผู้นี้ก็ปิดทับลงมาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับ ประโยคที่ไม่เคยคาดว่าจะได้ยิน

            “ฉันขอโทษ” ถ้อยคำเพียงสั้นๆ แต่ลึกกินใจเสียจนน้ำตาไหล สองมือโอบกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้แน่น เสียงสะอื้นดังออกมาไม่ขาดสาย หยาดเลือดที่เปรอะเปื้อนจากบาดแผลหายไปแล้ว เวลานี้ เหลือเพียงแผลในหัวใจที่กำลังค่อยๆ ได้รับการรักษาจากยาชั้นดี ต่อให้ชีวิตนี้ต้องเจออะไรมากกว่านี้ เขาจะไม่จากอ้อมแขนของชายผู้นี้ไปอีกแล้ว แม้จะต้องตกเป็นทาสกับความรู้สึก ก็ยินดีผูกโซ่คล้องเอาไว้ตลอดไป

            “ไปจากที่นี่กันเถอะ”

 



 

            เวลานี้ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่สถานีวิจัยบ้าง ถึงจะมีเสียงกรีดร้อง พร้อมกับเสียงปืนดังขึ้นอยู่เป็นระยะแต่เขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากชีวิตของตัวเอง



            ค็อตเลอร์เดินโซเซจนถึงที่ชั้นสองของสถานีวิจัยซึ่งเป็นชั้นที่เก็บเซรุ่มและพวกยาปฏิชีวิณะต่างๆโดยเฉพาะ จึงไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ในชั้นนี้



            ความจริงแล้วถึงสถานีวิจัยแห่งนี้จะอยู่กลางป่า แต่หลังจากที่เขาได้รับอำนาจให้ดูแลเกี่ยวกับการวิจัยของดอกเพเซียเพื่อมารักษาโรคเจ้าหญิงนิทราต่อ เขาก็ได้เตรียมเซรุ่มป้อนกันพิษงูเอาไว้มากมาย เพราะดอกเพเซียเป็นดอกไม้ที่ปล่อยกลิ่นฟีโรโมนดึงดูดพวกงูมาชุมนุมกัน แต่ถ้าเทียบกับตอนที่นำตัวมิกิกลับมาใหม่แล้ว พวกงูกลับชุกชุมกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก จนต้องสั่งเซรุ่มมาเพิ่มเติมเรื่อยๆ เพราะมีนักวิจัยหลายคนถูกงูกัด



            แขนเสื้อกาวน์ข้างหนึ่งถูกฉีกออกอย่างเร่งด่วนเพื่อมาพันไว้ที่ขาข้างที่ถูกกัด ค็อตเลอร์ขบกรามแน่น เหงื่อกาฬแตกพลั่ก และหายใจลำบากขึ้นทุกที ขณะที่เขาก็พยายามลากขาที่แทบจะไร้ความรู้สึกของตัวเองไปที่ตู้เก็บเซรุ่ม ใส่รหัสบางอย่างลงไปพร้อมกับมือที่เริ่มสั่น ก่อนที่สายตาจะพล่าเรือนไปมากกว่านี้เขารีบควานหาตัวยาป้องกันในทันที เซรุ่มที่หยิบออกมาเป็นหลอดสีเหลือง หากเดาไม่ผิดงูที่กัดเขาเป็นงูหางกระดิ่ง โชคดีที่เขาจำสีของเซรุ่มนี้ได้จึงฉีดมันเข้าตัวอย่างไม่ลังเลว่าจะกลัวผิด



            ไม่นานนักอาการทุกอย่างก็ทุเลาลง ทีละน้อย กระทั่งเริ่มขยับขากลับมาเป็นปกติได้บ้าง แต่เซรุ่มที่ฉีดกลับส่งผลให้ร่างกายของเขาอยากหลับตาลงพัก แต่เขาจะเสียเวลาเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ว่าแล้วก็กลั้นใจใช้เข็มฉีดยาแหลมๆ แทงเข้าที่ไหล่ตัวเอง ให้ความเจ็บปวดกระตุกให้เขาตื่นขึ้นมา



            ค็อตเลอร์หอบหายใจถี่รัวจากความเจ็บ เลือดสีแดงสดไหลลงมาจากบาดแผล ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น แล้วถอดเสื้อกาวน์ที่เลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยคาบเลือดของตัวเองออก



            ในห้องเก็บเซรุ่มนี้เขาจำได้ว่า มีตัวอย่างเลือดของมิกิที่ยังไม่ได้รับการทดสอบเก็บไว้อยู่ด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงจะไปเอาเลือดที่ยังไม่ได้ใช้ หากสามารถนำมันออกไปได้ เขาก็สามารถสกัด DNA จากเลือดของมิกิให้เพิ่มขึ้นมาได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเจ้าตัว



            หัวหน้านักวิจัยพยายามเดินไปให้ถึงตู้เก็บสีขาวขนาดใหญ่ที่คล้ายกับเครื่องแช่ มือเปื้อนเลือดรีบกดรหัสผ่านของตัวเครื่อง ด้านในมีถุงพลาสติกใสที่บรรจุเลือดสีแดงสดไว้สองถุงเต็มๆ ก่อนเขาจะคว้ามันขึ้นมา แล้วยัดใส่กระเป๋าเก็บที่วางไว้อยู่ข้างตู้ แล้วรีบเดินออกไปจากห้องทันที



            ทว่า..ก่อนจะออกมาด้านนอก เขาก็เหลือบไปเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ซึ่งคอมพิวเตอร์ทุกตัวในสถานีนี้สามารถเข้าสู่ระบบส่วนกลางของสถานี รวมทั้งเซตระบบป้องกันต่างๆ ได้ เพียงแค่ใช้รหัสจากเขาซึ่งเป็นผู้ควบคุมทั้งหมดและรวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆ ในนี้ด้วย เพียงแค่นั้นความคิดชั่วร้ายก็แล่นเข้ามาในหัวทันที ก่อนที่จะแสยะยิ้มแล้วทำบางอย่าง





 

 

            มิกิค่อยๆช่วยพยุงบาซิกค์ออกมาจากห้อง แม้จะเป็นองค์เทพที่มีอำนาจมนตราสามารถรักษาแผลให้หายได้ในพริบตา แต่หากเป็นผลของพวกยากลับไม่ได้หายในทันที บาซิกค์ส่งยิ้มอ่อนๆมาให้เหมือนรู้ตัวว่าทำให้เขาต้องลำบาก แต่มิกิกลับไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย เวลานี้พวกเขาจะต้องรีบออกไปจากที่นี่ หากเขาเดาไม่ผิด ทุกศูนย์วิจัยมักจะมีระบบป้องกัน เหมือนๆกันแทบทุกสถานี หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นอาจเป็นไปได้ว่าระบบ อาจจะทำลายตัวเองเพื่อกันข้อมูลรั่วไหล หรืออาจส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากภายนอกโดนอัตโนมัติ หรือไม่ก็..

 

            กริ๊งงง!!



            จู่ๆเสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น มิกิหน้าซีดเผือดทันที มองไฟสีแดงที่กระพริบถี่อยู่บนเพดานทางเดิน

            ไม่นะ หรือค็อตเลอร์คิดจะ..

            ตูม!! เสียงระเบิดดังขึ้นจากชั้นหนึ่งของสถานีวิจัย ทำให้พื้นที่ด้านบนสั่นสะเทือนราวกับจะถล่มลงมา! มิกิรีบจับตัวบาซิกค์เอาไว้แน่น



            “เราต้องรีบขึ้นไปชั้นบน ทางออกจากที่นี่ตอนนี้มีเพียงทางเดียวคือ เฮลิคอปเตอร์ที่ดาดฟ้า”



            “จับฉันไว้มิกิ”



            ฟืบ!

            พริบตาเดียว คนที่เคยพยุงมากลับแปรเปลี่ยนเป็นอสรพิษทะเลทรายขนาดใหญ่ เกล็ดสีเหลืองทองสลับลายพาดดำ ทำให้เขาจำได้อย่างดิบดี รู้สึกตัวอีกทีมือทั้งสองข้างก็โอบลำคอของนาคินยักษ์เอาไว้แน่น พร้อมกับการเคลื่อนที่พุ่งทะยานขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ขณะที่เสียงระเบิดไล่ตามขึ้นมาเรื่อยๆ จากชั้นล่างจนโครงสร้างของตึกเริ่มบิดเบี้ยวคล้ายกับอีกไม่นานจะถล่มลงมา



            มิกิเกาะบาซิกค์เอาไว้แน่น แรงระเบิดทำกลุ่มควันคละคลุ้งไปหมด เศษหิน ซากเพดานตกลงมาเรื่อยๆราวกับห่าฝน แต่บาซิกค์ก็คอยหลบเลี่ยงแล้วใช้ศีรษะ และลำตัวของตัวเองคอยปกป้อง ไม่ช้าก็พุ่งทะยานออกมาที่ชั้นบนสุดของสถานีวิจัย ทว่าพื้นของดาดฟ้าด้านบนเริ่มเอนเอียงไปตามรูปทรงของตึกที่ใกล้พังทลาย ก่อนบาซิกค์จะกลับคืนรูปมนุษย์แล้วทรุดตัวลงฮวบเนื่องจากฝืนเรี่ยวแรงของตัวที่ยังไม่กลับคืนมาจนถึงขีดจำกัด



            มิกิตกใจเข้าไปช่วยพยุงร่างแกร่งลุกขึ้น แล้วรีบพาไปที่เฮลิคอปเตอร์ที่จอดนิ่งอยู่ใจกลาง ถึงเขาไม่รู้ว่าจะขับเฮลิคอปเตอร์ลำนี้เป็นไหม และคิดว่าคงคล้ายกับวิดีโอเกมที่เขาเคยเล่นตอนเด็กเท่าไร แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว

            เด็กหนุ่มคอยพยุงบาซิกค์ไปถึงตัวเครื่อง แต่ไม่ทันได้แตะประตู เสียงปืนก็ขึ้นมาทางด้านหลังจนไม่กล้าขยับ

 

            ปัง!



            “นึกไม่ถึงพวกนายจะหนังเหนียวเกินคาดนะ” เสียงที่ไม่อยากได้ยินทำเอามิกิกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ ที่คนคนนี้ยังไม่ยอมไปเฝ้านรกอย่างที่ใจคิด ค็อตเลอร์ถือกระเป๋าบางอย่างไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างเล็งกระปืนมาที่เขา



            “แต่จะทำอย่างไรดี ที่บนเฮลิคอปเตอร์นี้ คงมีไม่พอสำหรับพระองค์และพระชายา” รอยยิ้มชั่วร้ายใต้กรอบแว่นยกขึ้นอย่างไม่สำนึกผิด ขณะที่มิกิเกินจะทนแล้วจริงๆ



            “แกมันไม่มีสำนึกของความเป็นคนอยู่เลยใช่ไหม พวกเขาเป็นลูกน้องของแก แกจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดเลยหรือไง ค็อตเลอร์ไอชาติชั่ว!” แผดเสียงลั่นอย่างไม่เคยเป็น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธ แต่หากคนที่กำลังเอ่ยถึงกลับหัวเราะเสียงดัง



            “ไม่เอาสิพระชายา อย่าทำกิริยาเช่นนั้น มันไม่สง่างามเลยนะ” พูดจบก็ยิงปืนลงกับพื้นที่มิกิยืนอยู่ ก่อนจะขู่เสียงเย็น “ถอยออกไป” เมื่อได้ยินคำสั่งของอีกฝ่าย มิกิกัดฟันแน่ด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถมีกำลังไปต่อกรกับค็อตเลอร์ได้เลย ขณะที่บาซิกค์เอง ก็รู้สึกเจ็บใจไม่แพ้กัน ถึงตอนนี้เขาจะสามารถยืนได้แล้ว แต่ยาที่ฉีดเข้าไปกลับทำให้หัวสมองเขามึนงงจนไม่สามารถใช้อำนาจนาคินของตัวเองได้ ผสานกับการฝืนตัวเองกลายร่างก่อนหน้านี้เพื่อพามิกิหนีขึ้นมาด้านบนทำให้เหนื่อย จนแทบจะรั้งร่างกายให้ยืนไว้ยังลำบาก สุดท้าย พวกเขาทั้งสองคนถึงได้แต่ทำตามคำขอที่ชั่วช้าของค็อตเลอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดก็มองดูอีกฝ่ายแย่งเฮลิคอปเตอร์ไปต่อหน้าต่อตา แต่เหมือนเจ้าตัวยังไม่อยากหมดสนุกเพียงแค่นี้



            “ถอยไปจนสุดขอบดาดฟ้านั่นล่ะ”



            “แก!”



            ปัง!     มิกิทำท่าจะขัดขืน แต่กระสุนก็ถูกไล่ยิงที่พื้นจนเขาไร้ข้อแย้ง



            “ถอย-ไป-อีก” กล่าวเน้นย้ำทีละคำช้าๆ มิกิกับบาซิกค์จำใจก้าวถอยหลังไปจนสุดดาดฟ้าอย่างที่สั่ง มือเรียวกำแน่นด้วยความเจ็บใจ ขณะที่แรงสั่นสะเทือนของสถานีวิจัยก็ใกล้ขึ้นทุกที ค็อตเลอร์รีบขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ สายลมมหาศาลพัดจากใบพัดที่กำลังเตรียมโผบินไปบนฟ้า แต่ขณะที่กำลังนำเครื่องขึ้น ใบหน้าชั่วช้าก็ชะโงกออกมาด้านนอก พร้อมกับปืนที่เล็งมาที่หัวใจของเจ้านาคิน มิกิเบิกตากว้าง

 

            “แล้วก็ได้โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยนะ ฝ่าบาท”



            “บาซิกค์!!”

 



            ทันทีที่ยิงปืนนัดสุดท้ายเสร็จ ค็อตเลอร์มองภาพเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านเฮลิคอปเตอร์ แล้วแสยะยิ้มเยาะ ในที่สุดเรื่องนี้เขาก็เป็นผู้ชนะ และอีกไม่นานเงินทองมหาศาลก็จะตกเป็นของเขา เขาไม่กลัวที่ตัวเองกระทำผิดเลยสักนิด เพราะจะเอาอะไรกับราชาประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จักกันเล่า จะบอกว่าเขาลักพาตัวพระชายาไปงั้นหรือ แล้วหลักฐานล่ะ เพราะทั้งหมดมันถูกทำลายลงไปแล้ว ไม่มีใครจับตัวเขาหรือสามารถเอาผิดเขาได้เลยสักนิด หากเรื่องนี้จะต้องโทษใครสักคน ก็ต้องโทษที่เจ้าเด็กนั่นที่ดันดื้อด้านไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเขาตั้งแต่ทีแรก อ่า..แต่เขาก็ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้วเพราะทุกอย่างกำลังจะจบแล้ว



            ว่าแล้วก็เร่งเครื่องให้บินขึ้นสูงขึ้นอย่างสบายใจ แต่ไม่ทันไรที่ปลายเท้ากลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผสานกับเสียงสั่นถี่รัวคล้ายกับปลายหางของสิ่งมีชีวิตที่เขาเพิ่งหนีรอดมาก็พลันทำให้หน้าซีดเผือดทันที



            อย่าบอกนะว่าเจ้างูที่กัดเขามัน..

 

            ฟ่อ!



            “โอ๊ย!” คมเขี้ยวฝังลงที่โคนขาด้านใน ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาจนแทบจะขาดสติมิอาจควบคุมเฮลิคอปเตอร์ได้



            อสรพิษถอนคมเขี้ยวออก ดวงตาเรียวยาวจ้องมองเขานิ่งงัน ลิ้นสองแฉกแลบยาวออกมาราวกับมันต้องการจะเยาะเย้ยในความหลงระเริงของเขา



            ค็อตเลอร์กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ไม่ทันไรพิษของงูหางกระดิ่งก็พลันเล่นงานเร็วกว่าที่คิดไว้ ไม่ช้าทั่วทั้งตัวของเขาก็เป็นอัมพาต ระบบประสาททั้งหมดในร่างกายถูกทำลาย หลอดลมตีบลงจนไม่สามารถหายใจ ใบหน้าเริ่มเขียวช้ำจนดูน่ากลัวบิดเบี้ยวราวกับศพ ในที่สุดเฮลิคอปเตอร์ที่ไร้การควบคุม ก็หมุนติ้วอยู่กลางอากาศ ไม่ช้าก็ตกลงมากลางป่าแล้วระเบิดเป็นพลุไฟสีแดง

 



 

            ปัง!



            เสียงปืนดังก้องฟ้า หมู่นกโบยบินขึ้นจากป่า ภาพทุกสิ่งทุกอย่างหมุนช้าลง หากเพียงเสี้ยววินาทีเขาช้าไปกว่านี้ เขาอาจจะได้เห็นภาพที่เขาไม่ต้องการ มือเรียวของเด็กหนุ่มผลักร่างผู้ครอบดวงใจให้พ้นวิถีกระสุนจนนาทีพรากชีวิตแปรเปลี่ยมมาฝังลงกลางอกเขาเสียแทน



            ไม่เสียดายเลย..

            ไม่เสียดายเลยสักนิดหากหัวใจนี้ต้องแหลกสลาย

            แต่ขอให้หัวใจนี้ได้ทำเพื่อใครสักคนที่รักหมดใจ อย่างน้อยก็ล่วงรู้แล้วว่าสามารถปกป้องคนที่รักไว้ได้

            เขาเคยบอกว่าดวงตาของเทพนาคินจะจ้องมองเพียงเขา เสมือนเขาเป็นเจ้าของ

            แต่กลับกัน เขาต่างหากที่กลับตกเป็นทาสดวงเนตรงดงามโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด

            ความรู้สึกสุดท้ายกำลังจะหายไป..มือเอื้อมขึ้นมาหวังจะสัมผัสใบหน้างดงามนั้นดั่งใจ แต่ทำไมช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน..



“มิกิ!! ”

 

            วูบ!



            ร่างกายนี้กำลังร่วงหล่นลง หรือโบยบินกันนะ

            ทำไมใบหน้าของคนคนนั้นถึงพร่าเลือนไปเรื่อยๆ

            มีเสียงบางอย่างดังขึ้นคล้ายกับกำลังเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            เงาดำสูงใหญ่นั้นช่าง..งดงามจัง

 

            ตูม!!



            จบแล้วสินะ ภาพสุดท้ายที่เห็นคือแสงสีดำ กับความหนาวเย็นที่ห่อหุ้มร่างกายที่แหลกสลายพร้อมกับลมหายใจที่สิ้นไปในสายน้ำ

 


+++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 20]UP 19/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 19-10-2015 18:47:32
 :katai1: :katai1: :katai1: :hao5: :hao5: :hao5: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนที่ 20]UP 19/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: philosopher ที่ 20-10-2015 20:42:39
สนุกมากเลยค่ะ
อ่านมา 20 ตอนรวดลุ้นจนเกร็งไปหมดเลยค่ะ
อยากอ่านต่อเร็วๆแล้ว
อยากรู้ว่ามิกิจะได้รักกับพระราชาหรือไม่ 55555555
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนสุดท้าย]UP 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 23-10-2015 16:58:58
ค่ำคืนสุดท้าย : ชายาคู่บัลลังก์

 

            “เกิดอะไรขึ้นที่สถานีวิจัยกันแน่คะ”

          “รัฐบาลไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำของศาสตราจารย์ค็อตเลอร์จริงหรือเปล่าครับ”

          “โครงการเซรุ่มนี้ยังดำเนินต่อไปอีกไหมคะ”

          “อนาคานเป็นประเทศที่มีอยู่จริงๆ ใช่ไหมครับ”

          “แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นไปอยูที่ไหนแล้ว”

 

            คำถามมากมายถูกระดมยิงจากสื่อมวลชนทุกแขนงราวกระสุนปืน หลังจากที่โครงการวิจัยเซรุ่มดอกเพเซียรั่วไหลออกมาด้วยฝีมือของใครบางคน รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด หากแต่เปิดแถลงข่าว และให้คำตอบเฉพาะในเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ แต่เรื่องนี้กลับปิดได้ไม่ง่ายนัก เมื่อนักข่าวกลับสืบคุ้ยข้อมูลต่างๆ ออกมาจนกลายเป็นข่าวครึกโครมในสังคม พร้อมกับข้อสงสัยที่ว่า

 

         อนาคาน เป็นประเทศที่มีอยู่บนโลกจริงหรือ?

 

         หลายคำถามถูกตอบโดยรัฐบาลอย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลไปมากกว่านี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ศูนย์วิจัยลับกลางป่าของประเทศ กลับสร้างคำถามมากมายให้นักข่าว ยิ่งพอพบซากเฮลิคอปเตอร์พร้อมกับศพไหม้เกรียมของศาสตราจารย์ค็อตเลอร์หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ที่ควบคุมโครงการเซรุ่มดอกเพเซียนี้ต่อจากศาสตราจารย์โลเกีย ก็เหมือนรัฐบาลกำลังปิดบังความจริงไว้บางอย่าง ถึงฉากบังหน้าที่ประชาชนพบจะรับรู้ว่าเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ แต่นักข่าวกลับเชื่อมเหตุการณ์ระเบิดที่ศูนย์วิจัยทะเลทรายฮาซานจนกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาว่าเซรุ่มจากดอกเพเซีย จะช่วยรักษาโรคให้ประชาชนหรือช่วยรักษาผลประโยชน์ของใครบางคนกันแน่ อีกทั้งผลชันสูตรกลับพบสารพิษอยู่ในศพของศาสตราจารย์ค็อตเลอร์ ถึงจะไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าพิษจากสิ่งใด หรืออาจเป็นแผนฆาตกรรม แต่ทั้งหมดก็ทำได้เพียงคาดเดาไปต่างๆ นานา

 

         รัฐบาลยอมรับว่ามีการวิจัยเซรุ่มดอกเพเซียจริง แต่กลับมิอาจตอบเต็มปากเต็มคำในเรื่องของศาสตราจารย์ค็อตเลอร์ได้ว่า เขาฆ่าเพื่อนร่วมงานของตัวเองรวมทั้งจับเด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นผู้ช่วยงานวิจัยของศาสตราจารย์โลเกียมาทดลองด้วย ถึงจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังว่าข่าวนี้ใครเป็นคนแพร่ออกมา ซึ่งทำให้พวกเขาหัวหมุนอยู่ไม่น้อย สุดท้ายจึงได้แต่ตอบตามบทที่คุ้นกันดีว่า ‘เราจะทำการสืบเรื่องนี้ต่อไป’

 
         “เรื่องจบแบบนี้ จะดีกับอนาคานจริงเหรอ”

         ที่ตึกแห่งหนึ่ง..ดวงตาสีครามมองภาพฝูงชนเบื้องล่างจากบนดาดฟ้าสูง คนถามหันหน้ามา มองชายหนุ่มผิวเข้มที่ยืนอยู่ข้างกาย สายลมโบกพัดเส้นผมสีดำให้ปลิวสยาย เห็นนัยน์ตาคมนั้นหรี่ลง ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นราวกับสบายใจที่ได้กล่าวคำตอบ

 
         “ฝ่าบาทประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น” สิ่งที่ได้ยินทำเอาคนถามแอบจะอมยิ้มเป็นไม่ได้ บางทีสัตว์ร้ายที่เห็นว่านิ่งก็ควรจะขู่คำรามเสียบ้างจะได้ไม่มีใครกล้ามาข่มเหง แต่สำหรับคนที่ปฏิเสธการมีตัวตนมาแสนนาน พอออกสู่โลกกว้างจะปรับตัวได้ไหมนะ?

 
         “คำถามจากผู้คนจะรุมล้อมไปที่อนาคาน ฝ่าบาทอาจต้องทรงรับมือกับสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น”

 
         “อย่าห่วงไป...ฝ่าบาทมีทุกสิ่งทุกอย่างในมือแล้ว” คำตอบนั้นทำเอาขมวดคิ้ว ใบหน้าคมเข้มหันกลับมา ดวงตาสีดำขลับมองมาที่เขา พลันทำเอาใจเต้นระส่ำ กายสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ขึ้น มือใหญ่ค่อยๆ ช้อนคางของคนตัวเล็กกว่าให้เงยขึ้น

 
         “แม้แต่วิญญาณที่คิดจากไป ก็ยังดึงกลับมาได้ เขาจะต้องกลัวอะไรอีก” รอยยิ้มมุมปากยกขึ้น แววตาหวานซึ้งอย่างแปลกประหลาดจนเขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เช่นท่านใช่หรือไม่”   

 
         “เปล่า...” มือเปลี่ยนเป็นโอบไหล่คนข้างกายเอาไว้ ก่อนจะผินหน้าออกไปมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน“แต่เป็นคนคนนั้นต่างหาก”

 

                                                                     

         ระฆังวิวาห์ดังกังวาลไปทั่วอาณานครที่ยิ่งใหญ่ กลีบบุปผาขาวถูกโปรยปรายลงมาจากหอคอยสูง ก่อนจะล่องลอยออกไปไกลแสนไกลตามลมทะทรายที่พัดพาไป

 
         ประตูราชวังอันยิ่งใหญ่ถูกเปิดต้อนรับ พื้นทรายสีทองและหินอ่อนด้านอกถูกโอบล้อมด้วยเหล่าพสกนิกรที่ร่วมแสดงความปลาบปลื้มปิติที่อัดล้นอยู่เต็มหัวใจ น้ำพุรูปร่างเทพธิดามีอสรพิษเกี่ยวพันรอบลำตัวปล่อยน้ำมาจากปากที่อ้าค้าง หากมองรอดผ่านแสงอาทิตย์จะเห็นเหมือนเป็นม่านน้ำสีรุ้งประกายงดงาม รวมทั้งดอกกระบองเพชรสีชมพูสวยที่ไม่เคยมีวี่แววว่าจะผลิดอก กลับบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ขจรขจราย พาให้สวนทรายที่แห้งแล้งมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

 
         ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่เว้นแม้แต่ธรรมชาติ เหมือนต่างกำลังอวยพรให้ทวยเทพที่กำลังจุติลงมายังราชวังเบื้องหน้าให้พานพบแต่ความสุขตลอดไป

 

         สายตาของผู้คน ต่างทอดมองออกไปที่ทางเดินบันไดสูงชันที่ทวยเทพของพวกเขาจะเสด็จลงมาเยือนในไม่ช้านี้

 

         กริ๊ง..

 

         เสียงกระดิ่งจากชายผ้าคลุมสีขาวบริสุทธิ์ขลิบทองดังรอดออกจากหลังประตูวังบานใหญ่ พลันทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดลงราวกับลืมหายใจ เพียงไม่กี่อึดใจ บุคคลที่พวกเขารอคอยก็ประจักษ์สู่สายตา

 

         ราชาในชุดราชพิธีสีขาวบริสุทธ์ ผู้เป็นดั่งเทพปกรนัมของชาวนาคิน ก้าวเดินลงมา ดวงตาสีอำพันส่องเป็นประกายงดงามราวกับเพชรล้ำค่ากวาดมองเหล่าพสกนิกรนิ่งงัน ทว่าหากสังเกตทีริมโอษฐ์จะเห็นว่าแย้มพระสรวงขึ้นบางๆ ภาพที่เห็นทำเอาชาวนาคินน้ำตารื้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยได้รับแม้แต่ปรายพระเนตรที่จะสนใจ ทว่าธิดาจุติองค์ใดกันเล่า ที่สามารถเปลี่ยนพระทัยที่เยือกเย็นขององค์เทพเราให้กลายเป็นประกายไฟที่ให้ความอบอุ่นได้ หากไม่ใช่..

 

         กริ๊ง..

 

         พระหัตถ์อบอุ่นยื่นมา..

         ดวงเนตรอ่อนโยนทอดมอง..

         ทาสหัวใจ..

 

         “ข้ามขั้นตอนมาแบบนี้จะดีเหรอ ฝ่าบาท” เสียงหวานนุ่มกังวาลดังระฆังแก้วจนใจสั่น ใบหน้าหมดจดสวยงามหันมาคลี่รอยยิ้มสดใส ความกังวลเมื่อคราก่อนบัดนี้หายไปจนสิ้นเหลือแต่ความตื้นตันที่เต็มล้นอยู่ในหัวใจ และไม่มีคิดว่าชีวิตนี้จะกลายเป็นเช่นนี้ได้

 

         ความรักที่ไม่เคยสุดทางเลยสักครั้ง ทำให้เขาตัดสินใจเลิกเชื่อในสิ่งๆ นั้นไปในที่สุด

         ทุกคนจากไปหมดแล้ว เหลือตัวเขาเพียงลำพัง

 

         กระทั่งมาเจอกับชายผู้นี้ที่มาพร้อมกับความโหดร้ายอย่างที่ชีวิตไม่เคยพบว่าเจอแต่ไฉนเลย สวรรค์ถึงได้เล่นตลกกับหัวใจของเขาให้หลงรักอสูรร้ายไปได้

 

         รู้สึกตัวอีกที ก็อยากจะถูกอ้อมแขนนี้รัดไว้ตราบสิ้นลมหายใจ...เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่างแล้วคนคนนี้จะไม่มีวันทอดทิ้งเขาไป และเหตุใดเขาถึงจะต้องยอมเสียมันไปด้วยเล่า

 

            พอกระสุนปืนฝังเข้าที่กลางอก เขาจำได้ว่าร่วงลงไปจากดาดฟ้า และจากนั้นทุกอย่างก็ดำมืดไปหมด วินาทีที่มีเพียงแค่ภาพสีดำตรงหน้าโดยรู้ตัวว่าจะไม่มีวันได้ตื่นขึ้นมาพบกับแสงสว่างอีก ความรู้สึกนั้นมันช่างน่ากลัวจนยากจะทานทน

 

            เขาเหงา เขาโดดเดี่ยว

            อยากจะร้องไห้ เพราะอยากเจอใครคนนั้นแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย

            ราวกับความรู้สึกของเขามันสูญเปล่า

            เขาไม่เคยกลัวความตาย

 

            แต่สิ่งที่เขากลัวคือการถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง แม้จะคอยโกหกตัวเองอยู่เสมอว่าชีวิตนี้ต้องการแค่อิสระภาพ แต่พอเจอกับคนคนนั้น คนที่มาปลดล็อกความรู้สึกทุกอย่าง เขาก็ได้มอบหัวใจไปให้โดยไม่รู้ตัว ก่อนแสงสว่างจะทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมา และพบกับความจริงทุกอย่างว่า บาซิกค์ยังคงอยู่ข้างกายเขาไม่ไปไหน

 

            เขาตื่นขึ้นมา พบรอยยิ้ม และสีหน้าที่ไม่เคยได้เห็นมอบให้ ดวงเนตรที่มันแสดงแต่ความโหดร้ายเย็นชากลับคลอด้วยหยาดน้ำใสๆ ที่ปรากฏเป็นภาพตัวเขา

 

            เวลาที่อ้อมแขนนั้นโอบกอดช่างอบอุ่นจริงๆ

            หรือเพราะเขาเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการคำปลอบโยนกันถึงได้รู้สึกแบบนี้

 

            ทีแรกก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงยังได้มีชีวิตอยู่ แต่พอทราบความจริงว่า ในตอนที่เขาถูกจับ งูหางกระดิ่งตัวนั้นได้มอบเลือดของบาซิกค์มาให้เขาดื่ม ซึ่งบาซิกค์บอกกับเขาว่ามันจะช่วยให้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้น ถึงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าดื่มเลือดงูแล้วจะอยู่ยงคงกระพัน แต่ในกรณีถ้าเป็นเลือดของเทพนาคิน คงมิวายพ้นคำว่า อมตะ(ชั่วคราว)กระมัง ฟังดูเหมือนกับปาฏิหาริย์ไม่มีผิด แต่เขาคิดว่าคงไม่ใช่ และคิดว่าบาซิกค์คงวางแผนทุกอย่างไว้ก่อนหน้าที่จะช่วยตัวเขาออกมาแล้ว นึกแล้วก็ใจหายอยู่เหมือนกันที่จู่ๆ เรื่องทุกอย่างก็จบลงด้วยดี

 

“เจ้าควรดีใจ ที่คนส่งตัวเจ้าเป็นข้าเองมิใช้ผู้อาวุโสแบบครั้งก่อน” บาซิกค์ยื่นมือมาพร้อมกับน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด มิกิจึงหลุดออกจากความคิดตนเอง

 

“ตรัสเช่นนี้ ทรงกังวลเรื่องอันใดอยู่อีก” เอื้อมมือไปรับมือของอีกฝ่าย พระหัตถ์กุมมือคนรักเอาไว้ ก่อนทั้งสองที่ดั่งสมมุติเทพจะค่อยๆ เดินจูงมือกันเอื่อยเฉี่ยยไปยังลานแท่นพิธีกลางแจ้ง

 

“ก็กลัวว่า...จะมีใครมาแย่งเจ้าไปอีก” น้ำเสียงนั้นกึ่งจริงจังแต่ก็กึ่งหยอกเย้า มิกิคลี่ยิ้มออกมาแต่กลับชวนมองจนคนข้างๆ ลอบยิ้มตาม

 

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวพระองค์เอง ว่าทรงอยากทิ้งหม่อมฉันหรือเปล่า” กล่าวประชดไปเล่นๆ เพื่อหวังให้คนที่จูงมือใจเสีย แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมา มิกิขมวดคิ้วย่น

 

“ทรงขำอะไร” แกล้งทำเป็นไม่พอใจ บาซิกค์หันมากล่าวด้วยรอยยิ้มละมุน

 

“พอเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกไม่ชิน เวลาเจ้าพูดราชาศัพท์กับข้า” กล่าวจบ คนที่เดินข้างกายถึงกับผงะฝีเท้า ใบหน้าหวานจู่ๆ ก็เริ่มแดงซ่านขึ้นมาจนถึงใบหู

 

กะ..ก็ใครมันเป็นคนสั่งให้คนมาสอนเขากันเล่า!

 

กำลังจะโต้เถียง แต่ก็ถูกคนตรงหน้าปรามไว้ด้วยรอยยิ้มเรียบๆ

 

“พูดอย่างที่เจ้าถนัดเถอะ...มิกิ” ร่างเล็กถอนหายใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบาซิกค์จะเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือได้ขนาดนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องดี

 

“ไว้หลังจากเสร็จพิธีแล้วกัน” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือไปจนถึงแท่นพิธีกลางแจ้งเช่นครั้งก่อน

 

มิกิก้าวไปตามพรหมสีแดงที่ทอดยาวไปถึงแท่นพิธีที่อยู่เบื้องบน ตลอดทางเป็นด้วยเสาหินสลักลายอสนพิษที่น่าองอาจ กระทั่งมาถึงบันไดเตี้ยๆจะก้าวไปสู่แท่นพิธี ดวงตาคู่สวยกวาดมองประชาชน และเหล่าบรรดาคนในวังที่ต่างมาร่วมเป็นสักขีพยานกันยกใหญ่ ถึงแม้จะมีเพียงแค่คนใน แต่เขาก็อดที่จะรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่

 

บาซิกค์กุมมือเขาไว้แน่น เหมือนต้องการจะบ่งบอกว่า มีเขาอยู่ไม่ต้องกลัวอะไร พอได้รับกำลังใจจากคนข้างกายแล้วมิกิก็สูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด เพื่อบรรเทาความตื่นเต้นที่อยู่ในใจ เมื่อบาซิกค์เห็นว่าเจ้าตัวพร้อมแล้ว จึงได้จำยอมปล่อยมือคู่นั้น แล้วก้าวไปราชพิธีสำคัญ

 

            เมื่อมาถึงด้านบนสุด เสียงทุกอย่างก็เงียบสงบลบ มีเพียงเปลวไฟจากคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ระนาบเยื้องอยู่ทั้งสองข้างที่โบกสะบัดไปตามแรงลม ส่วนตรงหน้าคือเครื่องเสวย และถ้วยปฏิญาณขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำสีแดงเข้มอยู่ด้านใน

 

มิกิรู้สึกใจสั่นแปลกๆ พิธีเลิกผ้าคลุมถูกเอาออกไปแล้วตามคำสั่งของราชา โดยให้ความเห็นว่า เขาต้องการจะเริ่มพิธีถัดจากนั้นเลยไม่อยากเสียเวลามาไล่ทุกอย่างใหม่ แต่กระนั้นพิธีกรีดเลือดให้หยดลงบนถ้วยปฏิญาณของทั้งสองก็ยังคงทำอยู่เช่นเดิม

 

ทันทีที่ดื่มน้ำสีแดงเฝื่อนลิ้นในถ้วยของตัวเองจนหมด ผู้อาวุโสที่ทำพิธีก็อัญเชิญคำสัตย์สาบานต่อเทพนาคินในทันใด เสียงกลอง และสายลมโหมพัดรุนแรงขึ้นราวกับล่วงรู้ถึงพิธีการสำคัญในวันนี้

 

“โอม...เสียงกลองจงสะท้อนก้อง...อัญเชิญองค์มหาเทพนาคินพันเศียร

โปรดเสด็จเป็นประจักษ์พยาน แด่โอรสของพระองค์
ด้วยสัจวาจาจะมิหมายมองใครอื่นใดจากคู่หทัย

ด้วยหยดเลือดจักพันผูกด้วยกายดุจงูรัด

แม้วิญญาณสูญสลาย รักพิสุทธิ์มิอาจพังทลาย

จงสาบานด้วยหยาดเลือดนี้ ต่อดวงเนตรเทพนาคิน.. ” สิ้นคำขาน สายลมวูบหนึ่งก็พัดเข้ามา ทำให้เปลวไฟในคบเพลิงโหมลุกขึ้นโชติช่วง ราวกับเป็นคำตอบที่เทพยดาขานรับ ผู้อาวุโสที่ทำพิธีหันมามองพระพักตร์พระชายาแห่งอนาคาน

 

            “คิโนมุระ มิกิ เจ้าสาบานว่าจะมอบทั้งกาย ใจ และวิญญาณนี้ต่อองค์เทพนาคินหรือไม่” หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบไม่ได้ยินคำปฏิญาณนั้น ฟังไม่ออกด้วยซ้ำว่าพูดว่าอะไร แต่เพียงได้เห็นดวงเนตรคมกริบสวยงามนั้น ก็เหมือนกับสะกดให้ริมฝีปากของเขาพูดออกไปทั้งหัวใจ

 

            “ข้าสาบาน” เขาตอบด้วยเสียงที่หนักแน่น มั่นคง แต่ร่างกายกลับสั่นไหวน้อยๆ ราวกับหัวใจมันจะหลุดออกมา

 

            “องค์ราชาบาซิกค์ พระองค์ทรงยอมรับคำสาบานนี้จากพระชายาหรือไม่”

 

            “ข้ายอมรับ” น้ำเสียงนั้นเรียบเย็น ฟังดูไม่หวานหูเลยสักนิด แต่น่าแปลกที่มันกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นประหลาดๆ ทั้งที่ไม่ควรจะเป็น มิกิแอบเม้มริมฝีปากลง แกล้งเบี่ยงสายตาไม่มองออกไป เพราะตอนนี้เขารู้สึกสั่น จนแทบจะยืนตรงๆ ไม่ได้ แถมยังร้อนๆ แถวใบหน้าขึ้นมาจนถึงหู ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหรืออะไรกันแน่

 

            “เชิญพระองค์ทั้งสอง จุมพิตปฏิญาณพะย่ะค่ะ” พูดให้สัญญาณเสร็จสรรพถึงพิธีสุดท้าย ร่างสูงศักดิ์ก้าวมาใกล้ ไออุ่นจากคนตรงหน้าประชิดตัวเขาแล้ว แต่เด็กหนุ่มกลับยืนตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นหิน ท้ายสุดก็ถูกพระหัตถ์ใหญ่เชยขึ้นมาสบ ดวงตาเทพนาคินจ้องมองอย่างละเมียดละไมอยู่นานสองนาน และลอบยิ้ม นิ้วเรียวสวยเกลี่ยลงบนแก้มขาวนุ่มจนรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ

 

            “ทรงมองนานเช่นนี้ เกิดลังเลขึ้นมาหรืออย่างไร” แกล้งถามออกไป พลางเริ่มทำใจให้เป็นปกติหันมองคนสูงกว่า

 

            “เปล่า...ข้าแค่อยากมองหน้าเจ้าให้ชัดๆ ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน” ดวงเนตรทอดมองภาพเจ้าหัวใจเพียงคนเดียวนิ่ง ประกายของความบริสุทธิ์ใจที่ไม่มีวันผันแปรปรากฏขึ้นในแววตา ขณะที่แววตาของตัวเองก็จะไม่แปรเปลี่ยนเช่นเดียวกัน

 

“ทรงจูบเถิด คนอื่น...เขารอฉลองกันอยู่” พูดด้วยความเขินอาย บาซิกค์หัวเราะเบาๆ

 

“ปากเจ้ามันน่าโดนกัดไม่เปลี่ยน”

 

“หึ...งั้นก็กัดเลย”

สัมผัสอ่อนนุ่มครอบครองทั้งหัวใจ จุมพิตสาบานร้อนแทบหลอมละลายทุกสรรพสิ่ง แม้ความร้อนของทะเลทรายสีทองกว้างใหญ่ก็มิอาจเทียบเท่า ความรักนี้ บทเรียนนี้ ทำให้เรารู้จักหัวใจตัวเองมากขึ้น บางทีคนที่สามารถทำลายกำแพงสูงกั้นในจิตใจตัวเองได้ อาจมิใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเอง ขอเพียงเปิดใจ แล้วปล่อยหัวใจให้นำพาไป แล้วจะพบว่าอ้อมแขนที่เราโหยหาจะอยู่ใกล้เพียงเอื้อม ความสุขของหัวใจกลั่นออกมาเป็นน้ำตาจนล้นเอ่อ แม้พันธนาการรักนี้จะไม่ได้สวยหรูมาตั้วแต่ต้น แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้..แม้จะต้องพันผูกโซ่ด้วยทาสใจ ก็จะอยู่เช่นนี้ไป นิจนิรันดร์..

 

       
  สายลมดุจเป็นพยานรัก..

         จุมพิตจักกัดกลืนถึงใจหมาย..

         ขอเพียงรัก เจ้านี้ ไม่เสื่อมคลาย..

         แม้ชีวาย มิพรากรัก สิ้นมรณา..

 

         ดวงตาคู่นี้จักปรากฏแค่ภาพเขา..
          และจักเป็นเช่นนั้นตลอดไป..

 
+++++++++++++++ เสน่หาทาสนาคิน (จบบริบูรณ์) +++++++++++++++

 

ทักทายทิ้งทายกันสักนิด

 

          กรี๊สสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส  ในที่สุดพี่งูของหมู่เฮาก็แล่นมาถึงตอนสุดท้ายจน ได้ โฮกกกกกกก  รู้สึกใจหายมากมาย ( เหลือบมองต้นฉบับ 200 นิดๆ ) เป็นเรื่องที่ทำดี้ร้องโอดครวญที่สุดเท่าที่เคยแต่งมาฮืออ พยายามทำออกมาให้สมเหตุสมผลที่สุดแง้ และแล้วมันก็ออกมาเป็นแบบนี้  (แก้เยอะมากก แก้บ่อยมาก) แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกใจ รีเดอร์ ทุกท่านกันไหม T^T
                  ขอบคุณนะคะ  ขอบคุณทุกคนจริงๆที่คอยเป็นกำลังใจให้ดี้มาตลอดทั้งจากเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ และยังไม่หนีไปไหน ดี้ยอมรับผิดแต่โดยดีค่ะว่าเรื่องนี้ เบี้ยวบ่อยมาก แล้วก็อัพช้ามาก แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าแต่ล่ะงาน ดี้ตั้งใจทำเขียนนะ ตั้งใจจริงๆ(ดูหน้า *^*) จนถึงหน้าสุดท้ายอิอิ

       มาถึงพาร์ทสำคัญกันบ้าง  หลายคนอาจสงสัยว่าว่า เฮ้ย!!! ขุ่นพระขุ่นเจ้า บาฮษลกับ ซาอิดมา โผล่ญี่ปุ่นได้ยังไง เฮ้ยแล้วเรื่องราว รอดออกมาได้ยังไง ทำไมไม่เห็นรู้เรื่อง!

 

อย่าเพิ่งโวยวายค่ะ..

คำตอบทั้งหมดอยู่ในตอนพิเศษ สำหรับคู่ น้ำพริกปลา(งู)เค็ม? ของนิยายเรื่องนี้ค่ะ ซึ่งจะจัดให้ อาเฮียหลีบาฮาล กับ อาเจ้ซาอิด โดยเฉพาะ รวมถึงเฉลย ปมใน บางอย่างด้วย..ฮิ้วววว  ใครอยากรู้ช่วยอุดหนุนดี้กันนเร๊อะ (ถ่อวววว งานขายตรง)

        พอพูดถึงตอนพิเศษ แล้ว บอกเลยแล้วกันเนร๊อะว่ามีทั้ง 3 ตอน ด้วยกัน เป็น คู่หลัก 2 ตอน แล้ว คู่ บาฮาลกับซาอิด อีก 1 ตอนค่ะ

     บอกใบ้ให้ว่า ใครอยากเห็น ลูกงู ตัวน้อยๆ วิ่งไปวิ่งมา?  ห้ามพลาดเชียว! ><y (ขายอีกล่ะ)       

 อ่า ถึงย่อหน้าสุดท้ายแล้ว ไม่มีไรมาก แค่อยากจิบอกว่า รักทุกคนนะคะ และคิสถึงมากด้วยย จุ๊ฟ >3
ใครรอเรื่องตำนานรักเพลงราชันภาค 2 อยู่ อาจมีข่าวดีเร็วๆนี้ 

 

ส่วยนิยายเรื่องนี้เปิดเจอเมื่อไรดี้จะอัพเดทให้ทราบโดยด่วนค่ะ คาดว่า สิ้นเดือนนี้ น่าจะรู้กัน ><

ปล. สนพ หนึ่งเดียว นะคะ  บลายยยยยยยยยย >3

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนสุดท้าย]UP 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 23-10-2015 19:35:24
 :-[ :o8: :-[ :-[ :o8: :-[ :-[ :o8: :-[
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนสุดท้าย]UP 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Cockroach ที่ 25-10-2015 18:57:55
อยากเห็นมิกิแปลงเป็นงูได้บ้างจัง=3=+ แล้วจะรอหนังสือนะครับผม
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 26-10-2015 20:38:37
เปิดจองนิยาย Basilik Eye สเน่หา ทาสนาคิน
โดย EtuDe 

1.   เสน่หา ทาสนาคิน Basilisk Eye By EtuDe   

วาดปกโดย  Sweet Surrender

รอปก

          หลังจากที่สามารถสกัดเซรุ่มรักษาโรคเจ้าหญิงนิทราจาก ‘ดอกเพเซีย’ ได้สำเร็จ พวกเขาก็ถูกหักหลังโดยเพื่อนร่วมงานที่หนีชิ่งเอาผลงานไป ศาสตราจารย์โลเกียได้มอบเซรุ่มที่มีประสิทธิผลมากที่สุดให้กับ ‘มิกิ’ แล้วบอกให้เขาฉีดเซรุ่มนั้นกับตัวเอง มิกิหนีรอดจากความตายมาได้ ทว่าเส้นทางที่รอเขาจากนี้กลับทำให้เขาคิดว่าเขาควรตายซะจะดีกว่า เมื่อเขาถูกพ่อค้าทาสจับตัวไปขาย
          มิกิถูกประมูลขายไปในราคาสูงริบโดย ’บาซิกค์’ ราชาผู้สูงศักดิ์แห่งอนาคาน เด็กหนุ่มพยายามหลบหนีทุกวิธีเท่าที่ยังมีลมหายใจ  แต่กลับได้ทราบความจริงที่ไม่ควรรู้ เมื่อเมืองอนาคานกลับเต็มด้วยมนุษย์งู! และที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อาจเป็นเพราะเซรุ่มจากดอกเพเซียที่ไหลเวียนอยู่ในเลือด! แต่เขาก็ตอบไม่ได้ว่าเซรุ่มนี้มีจะมีผลอยู่นานเท่าไร
เขาจะต้องหาทางออกไปจากประเทศแห่งนี้ก่อนยาจะหมดฤทธิ์ !
แต่จะทำยังไงล่ะ! ในเมื่อคิดจะหนีก็ถูกลากขึ้นเตียงไม่เว้นแต่ละวัน เพราะตัวเซรุ่มที่อยู่ในร่างกายเขากลับเป็นยาปลุกเซ็กส์งู!


รายละเอียดหนังสือ 

- หนังสือขนาด  A5  เล่มเดียวจบ ความหนาโดยประมาณ  510 หน้า++  อาจมีเพิ่มหรือลดได้เพื่อความเหมาะสมของการรวมเล่ม
- หนังสือเล่มเดียวจบ

ตอนพิเศษที่มีเฉพาะในเล่ม  ทั้งหมด  3  ตอน

-  คู่หลักมิกิ บาซิกค์ และลูกงู
- บาฮาล และ ซาอิด
-  ตอนพิเศษลับที่ยิ่งกว่าลับ มีให้อ่านในเล่มเท่านั้น 

ของแถมประจำเล่ม (หลังรอบจองก็มีให้)
-   ที่คั่นหนังสือ  1 ชิ้น

ของแถมเฉพาะรอบจอง(หลังรอบจองหาไม่ได้นะเออ ทำรอบเดียวจบจ้า )

Mini Novel ขนาด B6 เรื่อง เรื่อง ปิ๊ง รัก เจ้าตัวจิ๋ว : Cactus Red Hood

แต่งโดย EtuDe  วาดปก KillAel

     ‘รุจ’ บรรณาธิการหนุ่ม นวนิยายสยองขวัญ ที่ไฟใกล้มอดดับเต็มทน? แม้จะทำงานด้วยหน้าเบื่อโลก
แต่เขาก็ไม่เคยโทษโลกว่าทำให้เขาเบื่อเลยสักนิด และเพราะชีวิตที่จืดชืดอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์นี่เอง ทำให้แฟนสาวข้างกายเลือกที่จะสะบัดบ๊อบและทอดทิ้งเข้าไปในที่สุด ทว่าสถานะทางการเงินชนิดเดือนชนเดือนทำให้เขาไม่มีเวลามานั่งนอยด์ชีวิตทิ้งไปวัน ๆ ได้ ขณะที่กำลังแก้ต้นฉบับทั้งน้ำตานองหน้า จู่ ๆ ต้นกระบองเพชรจิ๋ว ที่แฟนสาวของเขาเป็นคนซื้อให้ ที่ตั้งอยู่หน้าจอคอม ก็ส่งเสียงร้องโหยหวนจนหลอนตกเก้าอี้ งานนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ภูต? กระบองเพรช (จิ๋ว?) ก็มีอยู่จริง! แต่..

   เลิกเอาเข็มมาขู่กันสักที่ได้ม้ายยย!!

   “จงกราบไหว้ข้าด้วยไก่บอนชอน และไอศกรีมฮาเก้น-ดาสซะ เจ้ามนุษย์!!”

เปิดจองตั้งแต่วันที่  28 ตุลาคม 2558  -  31 มกราคม 2559
หนังสือราคาเล่มละ 540 บาท  ค่าส่ง 50 บาท
 รวมเป็นเงินทั้งชุด 590 บาท 


Special Promotion
Special Promotion ซื้อ 3 ได้ 6
หากคุณลูกค้าซื้อหนังสือนิยาย   มนต์รักข้าวมันไก่ (nikkou แต่ง) ราคา 320 + Basilik Eye สเน่หา ทาส นาคิน (EtuDe แต่ง) ราคา 540 + Plus+Man ผู้ชายคิดบวกปิ๊งรัก My Angel (?) (Ranmaru * แต่ง) ราคา 390 บาท จากทั้งเซ็ต เพียงราคา  1,249 บาทเท่านั้น  ส่งฟรี***

ทุกชุดจะได้รับ
ถุงผ้าขนาด  กว้าง 14 สูง 10 ฐาน 4 นิ้ว จำนวน 1 ใบ
+
ปฏิทิน Planner 2016 ขนาด 10.5x14.5 ซม. ลายปกนิยาย

  หากมีข้อสงสัยสอบถามได้จากทุกช่องทางของ สนพ.หนึ่ง หรือเพจคนแต่งค่ะ

 
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 27-10-2015 15:32:41
เรื่องราววุ่นวายดีแท้ นายเอกเราถึกและอึดสุดๆ ฉากสุดท้ายเขาแต่งงานกัน :m3: :m3: ขอบคุณค่ะสนุกมากเลย :pig4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-10-2015 10:12:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 29-10-2015 08:26:15
บวกเป็ดให้เลยยย สนุกมากกกก ลุ้นทุกตอน สงสารมิกิที่สุดเลยยย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ คะ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 30-10-2015 16:45:11
เรื่องนี้สนุกมากกกกกกกกค่ะ o13 o13 o13
เค้าจะซื้อแน่ๆเก็บตังค์ๆ :mc4: :mc4:
 :pig4: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 31-10-2015 11:09:49
อ่านสองวันติดกันจนจบ
เป็นนิยายที่ดีงามมาก :katai1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: boworange ที่ 06-11-2015 20:14:43
 :pig4: คือดีงามค่ะ  :heaven
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 06-11-2015 23:04:03
 o13  o13  o13
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 07-11-2015 06:42:54
เป็นเรื่องที่ทรหดอดทนกันมากเลยอ่ะ 55555
ชอบค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 10-01-2016 16:17:24
หน่วงมาก
หน่วงทั้งเรื่อง
ตัวร้ายตายง่ายไปอ่ะ
แค่ถูกงูกัดแค่เนี้ย
แต่โดยรวมก็ชอบค่ะ
จะมีบางประโยคคำซ้ำกันให้งงๆก็มีบ้าง
แต่ก็โอเคค่ะ
ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 11-01-2016 01:45:44
เรื่องนี้ดีงามมาก อยากให้ทุกคนได้เข้ามาอ่านจริงๆ อ่านรวดเดียวไม่ยอมวางเลย ><
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 12-01-2016 12:44:06
สนุกเกินคาด
ตอนแรกๆ นี่อยากตบองค์ราชาม๊าก มิกิก็พอกัน
แรงเจอแรง ชีวิตน่าสงสารทั้งคู่ จะว่าไปทั้ง2เมืองต่างตกอยู่ภายใต้ประเพณีที่งี่เง้าไร้เหตุผล มีอำนาจกันซะเปล่าแต่ไม่มีสติคิดตริตรอง ดีที่ราชาราชินีรุ่นใหม่ไม่ยอมจำนนต่อกฏของคนที่ตายไปแสนปีเศษ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 13-01-2016 02:06:20
สนุกมาก อ่านจนจบ ไม่หลับไม่นอน
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Aunttk ที่ 13-01-2016 03:09:37
รวดเดียวจบ สนุกมากก เนื้อหาไม่งงเลยยย
แอบจิกพระเอกเบา ตอนแรกทำโหดด
ตอนนี้ละหลงชายาจนหัวปักหัวปำกระมังเพค่ะ!
อยากได้ตอนพิเศษองค์ราชาบาสิกค์กลัวเมีย เอ่ย!กลัวพระชายามิกิสักตอนสองตอนให้ชุ่มหัวใจจุง คึคึ :hao7:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 13-01-2016 19:01:26
 o13
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ia091 ที่ 13-01-2016 19:55:46
ชอบมากเลยค่ะ เป็นคนชอบอ่านแนวนี้อยู่แล้ว มาเจอเรื่องนี้ฟินเลยค่ะ

ขอบคุณที่ให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: GF_pp ที่ 02-11-2016 00:03:11
งงบ้างเล็กน้อยแต่ก็สนุกมากค่ะ  :ruready

 ชอยมิกิจังดูเข้มแข็งมากๆๆๆค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 05-11-2016 21:55:51
ขอบคุณเรื่องราวดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[ค่ำคืนสุดท้าย]UP 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 06-11-2016 00:18:01
ฮืออออ อยากอ่านลูกงู
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 06-11-2016 15:59:03
                            :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
  อ่านรวดเดียวจนจบสนุกดีนะเรื่องแนวทะเลทรายเราชอบพอดีตอนแรกๆเจ้าชายบาซิกค์จะใจร้ายกับมิกิไปไหรหะใจร้าย
ส่วนอีกคู่ๆๆขององค์ชายบาฮาลกับ ซาอิด ก็น่ารักนะทำเป็นข้าเกรียดเจ้าอิอิจริงๆอยากพูดข้ารักเจ้าก็บอกเหอะองค์ชาย
ส่วนอีกคู่ก็น่าประทับใจในความรักเเละเสียสละขององค์หญิงเมืองซาคาเดียกัยซาริส
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 10-11-2016 02:01:03
อ่านรัวมาสองวันจนเก็บเรื่องนี้ไปฝัน
5555+
เป็นเรื่องที่ดีมากจิงๆ
ดีนะที่ได้มาอ่าน
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 23-11-2016 17:37:21
อ่านรวดเดียวจบ
อ่านแล้ววางไม่ลง สนุกมาก
บรรยายดีมากๆ ชอบ
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Praykanok ที่ 28-01-2017 16:24:54
ชอบแนวแบบนี้มากเลยค่ะะะะะะ
ขอบคุณนะคะะะ อยากอ่านตอนพิเศษมั่งงงง ><
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 04-11-2018 19:27:49
ลึกลับโหดเหลือเกิน เพราะน้องหอม งูเลยติดใจ
 ใครพระเอก เดาไม่ถูก
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 26-11-2018 21:54:44
สนุกมากๆเลยค่ะ ใช้ภาษาและการบรรยายดีมากๆ เห็นภาพวาดของตัวละครทุกคนเลยอะ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:23:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 26-05-2021 13:28:56
ลุ้นแถบแย่ว่าจะเป็นยังไง เข้มข้นทุกตอน จริงๆ สนุกมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายดีๆนะคะ :pig4: