ตอนที่6
แดริลลุกขึ้นนั่งบนเตียงเมื่อลืมตาตื่นขึ้น เด็กชายยังคงเจ็บบริเวณที่ถูกตีอยู่จนร้าวไปทั้งตัว รวมทั้งปวดหนึบบริเวณศีรษะ เหมือนมีใครเอาไม้มาทุบ หลังจากสงบใจได้และเริ่มชินกับอาการปวดร้าว แดริลก็สำรวจร่างกายของตนก่อนจะเหลียวมองไปยังโต๊ะข้างเตียงแล้วเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก ปรากฏว่าแหวนที่ห้อยเอาไว้กับสร้อยคอของดูต่างหน้าของแม่ยังคงนอนนิ่งอยู่ในนั้น เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก เป็นจังหวะเดียวกับที่ฟาติมาเปิดประตูเข้ามา
“ในที่สุดก็ตื่นได้ซักที”
ฟาติมายิ้มทั้งน้ำตา ในมือของเธอถือถาดอาหาร เธอสาวเท้ารัวเร็วมายังหัวเตียง วางถาดอาหารลง เด็กสาวเตรียมจะโผเข้ากอดแดริลแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นรอยแดงตามเนื้อตัวของน้องชายคนโปรด
“ท่านอาหารเสียหน่อยนะ”
เธอลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียง ยกถาดมาวางบนตักก่อนจะบรรจงป้อนอาหารให้แดริล เด็กชายอ้าปากกินอย่างว่าง่ายพอเคี้ยวแล้วกลืนจนหมด แดริลยิ้มแล้วเอ่ยปากขอทานด้วยตัวเอง ฟาติมายื่นถาดอาหารให้ด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ดีใจจริงที่เจ้ายอมทาน…ข้า…คิดว่า…”
เธออ้ำอึ้งน้ำตาคลอก่อนจะใช้นิ้วปาดน้ำตา พยายามสกัดกั้นอารมณ์สะเทือนใจ
“เจ้าอาจจะเกลียดข้าที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าเจ็บตัวแถมยังไม่ช่วยพูดแก้ต่างให้เจ้าอีก มันกลัวไปหมด”
ฟาติมาก้มหน้านิ่ง ยิ่งแดริลเอาแต่ตักอาหารกินโดยไม่พูดเธอยิ่งรู้สึกผิด
“พี่ฟาติมาไม่ผิดหรอกทั้งพี่และข้าต่างยังเด็ก จะทำอะไรสู้กับพวกผู้ใหญ่ได้”
ใช่ พวกเขายังเด็ก อันที่จริงเอลียาห์ก็ยังเด็ก การที่ฝ่ายนั้นจะลังเลไม่เข้าข้างเขาหรือตัดสินใจไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ความจริงคือต่อให้เอลียาห์มีฐานะใหญ่โตแค่ไหนอีกฝ่ายก็ปกป้องเขาไม่ได้
“หึหึ”
แดริลหัวเราะ
เขาเกลียดตัวเองจริงๆที่นึกอยากให้เอลียาห์ปกป้อง แต่ไหนแต่ไรเขาต้องปกป้องตัวเองมาโดยตลอด เอลียาห์ไม่ใช่แม่ของเขาทำไมฝ่ายนั้นจะต้องมาปกป้องเขาด้วย
“เอ่อ…คือ…” ฟาติมากล่าวอึกอัก แดริลเงยหน้าขึ้นมองฟาติมา
“เจ้าสลบไปสามวันระหว่างนั้นท่านเอลียาห์มาเฝ้าเจ้าทุกวันเลยนะ”
แดริลเบิกตากว้าง ภาพของเอลียาห์ซึ่งมีรัศมีเรืองรองและปลอบโยนเขาทั้งน้ำตาผุดวาบ
ภาพที่ได้เห็นเป็นความจริงเหรอ?
ไม่ไม่มีทาง เอลียาห์จะร้องไห้เพื่อเขาทำไม ขนาดจะเข้าข้างเขายังทำไม่ได้เลย
“เอ๊ะ”
แดริลอุทาน เด็กชายมองหน้าฟาติมาที่เล่าด้วยท่าทางไม่สบายใจ
“ท่านเอลียาห์เสียใจมาก ท่านเป็นห่วงเจ้าถึงขั้นไปขอยาขี้ผึ้งที่หายากมากจากฝ่าบาทบาดีเชียวนะ กับเราที่เป็นข้ารับใช้ได้รับเมตตาถึงขนาดนี้…”
“ข้าอยากไปอาบน้ำพี่ฟาติมา”
แดริลผุดลุกจากเตียง เขาปวดแปล๊บอยู่บ้างแต่ก็ปฏิเสธฟาติมาที่อาสาช่วยพยุง พอฝืนตัวมาถึงห้องอาบน้ำรวม แดริลก็คิดว่าตัวเองยังดวงดีอยู่ ในห้องอาบน้ำไม่มีใครอยู่เลยซักคน เด็กชายเริ่มต้นชำระล้างสิ่งสกปรกอย่างเหม่อลอย เขานึกถึงช่วงเวลาที่สนุกสนานกับเอลียาห์
หากอย่างมีชีวิตอยู่ก็ต้องเข้มแข็ง
เขาคิดแบบนี้มาโดยตลอดนับตั้งแต่ท่านแม่ตาย คิดจนกระทั่งหนีพ่อค้าทาสหัวซุกหัวซุน แต่เขาในตอนนี้กลับรู้สึกว่าแท้ที่จริงแล้วตนเองช่างเปราะบางเหลือเกิน
สิ่งที่เรียกว่าความรักความไว้ใจ เมื่อได้รับมาจนเคยชินแล้ว ก็อยากจะได้รับไปเรื่อยๆ และอยากได้มากขึ้น เพราะแบบนี้ถึงได้รู้สึกผิดหวังกับการกระทำของเทวทูต
“หายไปไหน”
แดริลคำรามเมื่อของดูต่างหน้าที่แอบเอาไว้ในลิ้นชักหายไป เขาค้นหาเสียทั่วจนห้องมีสภาพเละเทะแล้วก็ยังหาไม่เจอ
ขโมยเหรอ ไม่น่าใช่ เขาไม่เคยให้ใครเห็นสิ่งนั้นมาก่อนนอกจากเอลียาห์กับฟาติมา
บัดซบ ถ้าจับได้ว่าใครขโมยไปล่ะก็เขาจะฆ่ามัน ของเพียงอย่างเดียวที่แม่เหลือเอาไว้ให้ ของสำคัญของเขา
“แดริล”
ฟาติมาที่เปิดประตูเข้ามาพอเห็นสภาพห้องซึ่งเละเทะก็อุทานด้วยความแปลกใจ แดริลพุ่งเข้าหาเด็กสาวคว้าข้อมือเธอกุมเอาไว้แน่นจนเธอเจ็บแล้วหวีดร้องออกมา
“แหวนทองคล้องสร้อยอยู่ที่ไหน”
แดริลถามอย่างดุดัน ดวงตาวาวโรจน์เหมือนสัตว์ป่าทำเอาฟาติมาหวาดกลัวจนตัวสั่น
“มันไม่ได้อยู่ที่เดิมหรือ…อ๊ะ…”
“มันหายไป” แดริลกดเสียงต่ำ
“ไม่จริงน่า…หรือว่า…” ฟาติมาครางออกมาเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้
“อะไร” แดริลถามเสียงกร้าวนึกหงุดหงิดกับท่าทางอึกอักของฟาติมา
“ก่อนหน้านี้เล็กน้อยข้าตั้งใจจะทำความสะอาดห้องให้เจ้า แต่จู่จู่พี่ทาน่าก็บอกว่าหัวหน้ามหาดเล็กเรียก ก่อนจะไปนางอาสากับข้าจะทำความสะอาดแทน ตอนแรกข้าลังเลแต่พี่ทาน่าเคยดีกับข้า ข้าไม่นึกว่านางจะ…นางจะเข้ามาขโมยของ”
พอสรุปได้แดริลก็หมดความสนใจในตัวฟาติมา เขาเปิดประตูออกไปนอกห้องโดยมีเด็กสาวตามติด ที่เบื้องหน้า ทหารองครักษ์หลายคนเข้ามาล้อมจับทันที่ที่เด็กชายก้าวเท้าออกจากห้อง
“ไปกับเราแต่โดยดีเถอะท่านผู้ติดตาม”
หนึ่งในทหารองครักษ์พูด แดริลจำต้องเดินไปอย่างไม่อาจขัดขืน
“หมอบลง”
แดริลถูกสั่งให้หมอบลงต่อหน้าคนจำนวนหนึ่ง คนพวกนั้นประกอบด้วยหัวหน้ามหาดเล็กยูซุฟ หัวหน้าหญิงรับใช้ผู้ชรา
เซาะบาร์กับมหาดเล็กและหญิงรับใช้อีกสี่ห้าคน
“ไม่ทราบว่าจับข้ามาทำไมครับ”
แดริลถามเสียงเย็นชาทั้งยังไม่ยอมหมอบตามคำสั่งของยูซุฟ
“ยังมีหน้ามาถามอีกนะเจ้าขโมย ทำให้มันคุกเข่าลง กับพวกขโมยไม่ต้องปฏิบัติกับมันเหมือนมนุษย์”
ทหารองครักษ์สองคนช่วยกันกดแดริลซึ่งแข็งขืนให้คุกเข่า เด็กชายกัดฟันกรอด เขาพยายามสะกดกลั้นความโกรธแล้วพูดกับยูซุฟด้วยเสียงกดต่ำ
“ท่านมีสิทธิอะไรมากล่าวหาข้าเป็นขโมย”
“สิทธินะหรือ…หลักฐานมันเห็นกันอยู่ชัดๆ ทาน่าเจ้าบอกมันสิว่าเจ้าเจออะไรในห้องของมัน”
หญิงรับใช้ทาน่าที่ยืนข้างหลังยูซุฟก้าวออกมา แดริลหรี่ตามองดูหญิงผู้นั้นด้วยแววตาประสงค์ร้าย
“อย่ามามองข้าแบบนั้นนะเจ้าขโมย”
ทาน่าตะคอกแดริล ทั้งที่เจ้าหล่อนหวาดกลัวสายตาคู่นั้น
แต่มันถูกจับอยู่จะทำไรเธอได้
“ข้าพบแหวนทองในห้องของมันค่ะ ข้าพบเพราะข้าอาสาช่วยน้องฟาติมาทำความสะอาดห้องให้มัน”
“แหวนทองนี่สินะที่มันขโมย”
ยูซุฟหยิบแหวนที่คล้องอยู่กับสร้อยคอออกมาแสดงให้เห็นทั่วกัน แดริลเมื่อเห็นสิ่งนั้น ร่างทั้งร่างก็ประหนึ่งถูกเผาผลาญด้วยไฟแห่งความโกรธ
“นั่นมันของของข้า” แดริลตวาด
“ของของเจ้าหรือ เจ้าสวะ ลูกโสเภณีอย่างแกจะมีแหวนทองได้อย่างไร ตั้งแต่เจ้าเข้ามาไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีเชื่อพระวงศ์ที่ไหนประทานของมีค่าเช่นนี้ให้แก่เจ้า”
ยูซุฟพูดพลางส่งหลักฐานให้หัวหน้าหญิงรับใช้เซาะบาร์ดู
“เจ้ารู้ไหมเด็กน้อยทำไมข้าถึงเชื่อว่าเจ้าขโมย”
เซาะบาร์สำรวจดูแหวนอย่างละเอียด
“พระนามที่ถูกสลักที่แหวนเป็นนามลับที่มีข้ากับคนจำนวนไม่มากในวังซึ่งอยู่มานานเท่านั้นที่จะรู้ ถึงไม่สามารถเฉลยเบื้องลึกของสิ่งนี้ได้ แต่มั่นใจว่าเจ้าต้องขโมยมาจากท่านเอลียาห์
บ้าไปกันใหญ่แล้ว
นอกจากบ้าแล้วพวกมันยังพูดอะไรไม่รู้เรื่อง
ไร้เหตุผล ไร้เหตุผลสิ้นดี สิ่งนั้นมันเป็นของเขาชัดๆ
โกรธจนพูดอะไรไม่ออก ถ้าทำได้อยากจะฆ่าพวกมันเสียให้หมด
“ท่าเซาะบาร์เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ก็จริง แต่แค่ขโมย โดยปกติเราตัดสินพวกขี้ข้าที่ชอบขโมยกันแค่พวกเราสองคนย่อมได้อยู่แล้ว ท่านจะเอายังไงครับ”
ยูซุฟถามหัวหน้าหญิงรับใช้ที่มองดูแดริลด้วยแววตาเวทนา
“เฮ้อ…ข้าจะเกษียนไปอยู่กับหลานวันนี้แล้วแท้ๆ เด็กนี้อายุเท่าหลานข้าเลยนะ ตัดสินลงโทษแบบนี้ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”
“แต่ก็ต้องลงโทษครับ”
ยูซุฟทำหน้าประหนึ่งเข้าใจความรู้สึกของเซาะบาร์ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจังเมื่อพูดจบประโยค
“ทำตามกฎของพระราชสำนักเถอะ”
เซาะบาร์พูด ยูซุฟยิ้มกว้างในทันที หัวหน้ามหาดเล็กผู้นี้อารมณ์ดีราวกับมีงานเฉลิมฉลอง
“ตามกฎพระราชสำนักขโมยต้องตัดมือแล้วขับไล่ออกไป”
ยูซุฟประกาศ หัวหน้ามหาดเล็กหวังจะเห็นสีหน้าหวาดกลัวและเสียงร่ำไห้ของแดริล ทว่าเด็กชายวัยสิบขวบกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จนคนในห้องตกตะลึงด้วยไม่เข้าใจการกระทำของแดริล ในที่สุดเสียงหัวเราะก็เงียบไป เด็กชายก้มหน้ามองพื้น เขาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองใครอีกเลย
มาได้แค่นี้เองหรือ
ช่างเถอะถูกตัดมือแล้วเป็นไง อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงกับตาย ก็แค่กลับไปใช้ชีวิตอย่างหมาข้างถนน
บ้าเอ้ย นี่เขาต้องกลายเป็นคนพิการหรือนี่
คิดอย่างเลื่อนลอยขณะถูกบังคับให้ยื่นมือไปข้างหน้าข้างหนึ่ง
พอกันที ช่างมัน
“หยุดนะ”
เสียงห้ามของเอลียาห์ดังขึ้นหลังจากเสียงเปิดประตู แดริลกระตุกไหล่เล็กน้อย แต่นอกจากจะไม่หันไปมอง ดวงตาว่างเปล่ายังจับจ้องไปบนพื้นอย่างไม่ยินดียินร้าย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ฟาติมาไปตามเรามา บอกเหตุผลมาหน่อยสิว่าทำไมจับแดริลที่นี่”
เอลียาห์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล ท่าทางสง่าและสงบกว่าทุกครั้ง ทำเอาข้ารับใช้รู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แค่เด็กเจ็ดขวบหากแต่เป็นเจ้าชีวิตที่ต้องเคารพและนอบน้อม มีเพียงแค่แดริลซึ่งก้มหน้าไม่ยินดียินร้ายเท่านั้นที่ไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง เด็กชายจมอยู่กับความคิดด้านลบของตนจนปฏิเสธการรับรู้ทุกสิ่ง แต่กระนั้นก็ยังเข้าใจที่คนรอบข้างพูดคุยกันอยู่
“เราจับได้ว่าผู้ติดตามขโมยครับท่านเอลียาห์ เราตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้ว ตามกฎพระราชสำนักคือตัดมือแล้วเนรเทศออกนอกวัง”
“เราไม่เชื่อว่าแดริลขโมย”
ดวงตาของแดริลวูบไหวเมื่อได้ยินคำพูดของเอลียาห์ แปลกใจว่าทำไมครั้งนี้อีกฝ่ายถึงเข้าข้างเขา
ต้องการแก้ตัวอย่างนั้นเหรอ หรือว่าแค่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
แดริลยิ้มหยันโดยที่ยังก้มหน้านิ่ง
“น้องเอลียาห์พี่พูดตรงๆนะ มันทำผิดเป็นครั้งที่สาม ยังไงดีล่ะ พี่เชื่อนะว่ามันขโมย มันเป็นลูกโสเภณีในสลัมนะจะเป็นคนดีได้ยังไง”
ซาฟิลเอ่ยอย่างอ่อนโยน แดริลอดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้
ถึงแม้จะเอ่ยปากเชื่อเขา แต่อีกเดี๋ยวพอถูกโน้มน้าวเอลียาห์ก็จะทอดทิ้งไปอีก
“ท่านพี่ซาฟิล”
เอลียาห์เรียกชื่อญาติผู้พี่อย่างนิ่มนวล เทวทูตเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดกับอีกฝ่ายด้วยเสียงที่เข้มงวดเย็นชา
“เราถามท่านพ่อแล้วว่าโสเภณีหมายถึงอะไร ท่านพ่ออธิบายให้เราเข้าใจ และท่านยังบอกอีกว่าเพราะท่านพี่ยังเด็กจึงพูดจาออกมาแบบไม่คิด ถึงครั้งนี้เราจะให้อภัย แต่ครั้งหน้าหากยังดูหมิ่นแดริลอีกเราจะไม่พูดกับท่านอีกเลย”
แดริลได้ยินเต็มสองหู เด็กชายค่อยๆเงยหน้ามองดูเทวทูต
“ถ้าทุกคนยังยืนยันว่าแดริลเป็นขโมยเราจะขอดูหลักฐาน”
เอลียาห์ประกาศด้วยเสียงทรงอำนาจ แดริลมองดูเอลียาห์ด้วยสายตาประหนึ่งเหมือนเพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรก
“น..นี่ครับ” ยุซุฟยื่นส่งของให้อย่างนอบน้อม
“มันขโมยแน่ๆสวะ..เอ้ยข้ารับใช้อย่างเราถึงได้เงินเดือน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อแหวนทองได้ง่ายๆ”
จะจำได้หรือเปล่านะว่าสิ่งนั้นคือของของเขา
แดริลมองดูเอลียาห์ ดวงตาสีฟ้าวูบไหวด้วยความกลัวและกังวล
ถ้าจำไม่ได้ ถ้าจำไม่ได้แล้วล่ะก็ อีกฝ่ายจะทอดทิ้งไปอีก ถึงตอนนั้นเขาคง
“นี่เป็นของแดริล” เอลียาห์ตอบทั้งรอยยิ้มเมื่อได้หลักฐานไปอยู่ในมือ
“จะเป็นไปได้ยังไงนี่มันแหวนทองนะ” ซาฟิลโวยวาย
“ใช่ครับมันเพิ่งเข้ามาในวังแค่ปีเดียวไม่น่ามีเงินถึงขนาดซื้อแหวนทองได้”ยุซุฟก็โวยวายเช่นกัน
“เราเป็นคนให้แดริลด้วยตัวเองเจ้าสิ่งนี้เราให้เขากับมือ พวกเจ้าได้ยินแล้วนะ”
เอลียาห์กล่าวหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำ
“ฝ่าบาทเอลียาห์ไม่ได้นะครับต่อให้ท่านเอ็นดูมันแค่ไหนแต่ถึงกับโกหก ท่านจะถูกข้ารับใช้มองยังไง ท่านยังเด็ก อย่าให้ความชอบแบบเด็กๆมาบดบังความจริงสิครับ”
ยูซุฟหว่านล้อมหากแต่เอลียาห์ไม่มีท่าทีลังเลใดใด ท่ามกลางเสียงคัดค้านการกระทำของเอลียาห์ เทวทูตที่เคยถูกชักจูงได้ง่ายในสายตาของแดริล ตอนนี้กลับดูเข้มแข็งและมั่นคงยิ่งนัก
“ยูซุฟเราได้ฟังฟาติมาเล่าหมดแล้ว เราไม่อยากปรักปรำใคร แต่เราถามหญิงรับใช้กับมหาดเล็กอื่นๆถึงได้รู้ว่าก่อนหน้านั้นซาลามไล่ตื้อฟาติมาอย่างชัดแจ้งมาโดยตลอดดังนั้นเราจึงเชื่อที่ฟาติมาพูด”
“ฝ..ฝ่าบาท”
ยุซุฟเหงื่อแตก ตอนนี้หัวหน้ามหาดเล็กยืนตัวเกร็งพูดไม่เป็นภาษา
“สำหรับเรื่องที่เจ้าทำตัวไม่เป็นธรรม เรื่องจะลงโทษยังไงเราปรึกษาท่านพ่อแล้ว แต่ว่า…สำหรับเราตอนนี้…”
เอลียาห์นิ่งครุ่นคิด
“ทุกคนฟังให้ดี นอกจากฟังคนที่นี่ยังต้องบอกเรื่องที่เราพูดให้คนในพระราชวังได้รู้ทั่วกัน ท่านพ่อบอกเราว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เรารู้สึกถึงความเกลียดชังที่มีต่อแดริลมากเป็นพิเศษ”
เอลียาห์เว้นระยะคำพูด เทวทูตกวาดมองผู้คนในห้องก่อนจะหยุดสายตาที่แดริล แดริลประสานสายตากับเอลียาห๋ เทวทูตส่งยิ้มให้ รอยยิ้มบริสุทธิ์ที่เขาได้เห็นมาตลอดยามได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
“แดริลเป็นคนของเราเ ป็นของของเรา นับจากนี้ไปใครกล้ารังแกหรือใส่ร้ายเขาอีกเราจะไม่ไห้อภัย”
“ฝ่าบาทพูดจาแบบนี้มัน”
ผุ้คนในพระราชวังต่างพยายามห้ามปรามและแสดงท่าทางกังวลหากแต่เอลียาห์ไม่สนใจ แดริลมองดูเทวทูตเดินตรงเข้ามาหาเขา เอลียาห์ออกคำสั่งให้องครักษ์ปล่อยตัวให้เขาเป็นอิสระ
“ลุกขึ้นไหวไหม?”
แดริลมองดูมือเล็กๆที่ยื่นมาตรงหน้า รู้สึกได้ถึงความร้อนระอุในอก ทั้งดีใจ ปลาบปลื้ม และคาดไม่ถึงไปพร้อมๆกัน ที่เบื้องหน้าเทวทูตมองมาที่เขาด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้
อา….
เขาก็ร้องไห้เหมือนกัน
เทวทูตใช้มือเช็ดน้ำตาให้เขา ใบหน้าที่ช่างแสนอ่อนโยนคล้ายกับใบหน้าของท่านแม่ในความฝัน
อย่างนี้นี่เองมันไม่ใช่ความฝัน
คนเลวร้าย ทรยศ และเย็นชาอย่างร้ายกาจ ก็คือเขาเอง เขาเองเป็นคนทอดทิ้งเทวทูต
“ไปจากที่นี่กันเถอะ”
เอลียาห์พูด หลังจากที่แดริลยื่นมือไปจับมือเล็กๆ ทั้งคู่พากันเดินออกไปจากที่ตรงนั้นโดยมีฟาติมาที่อยู่ร่วมเหตุการณ์อยู่ตลอดวิ่งตามหลังไป
ตอนหน้าอาจจะอีกสักห้าหกวันจะเอามาลงนะคะ
กำลังรีบปั่นงานพิเศษอยู่