บทที่7อัศวินสืบสวน
"ผมว่างานนี้เราต้องสืบ"ระหว่างยืนคุมคนงานซึ่งมีมาเพิ่มเติมทั้งจากฟาร์มตาแม้และฟาร์มพี่ฟ้า รินก็หันไปพูดกับพี่ชายซึ่งยืนทะเลาะกับเด็กข้างบ้านไม่สนใจงานการ
เสียงใสไม่ได้รับการตอบรับนายการันต์ดีดหนังยางใส่ไอ้ปูนอย่างเมามัน เมื่อวานเขาไปถอดเฝือกที่โรงพยาบาลมาเพราะต้องต่อคิวทั้งวันโครงการต่างๆเลยต้องพับเก็บเอาไว้เพื่อรอชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าของฟาร์มกลับมา
"พี่รัน!!!"
"โอ๊ยย อยู่ใกล้แค่นี้จะตะโกนทำไม"คุณชายผู้ไม่รับรู้ถึงความผิดของตัวเองหยีตาแล้วเอามือข้างที่หายดีอแล้วลูบหูป้อยๆ
"ผมบอกว่าเราต้องสืบ!!"รินย้ำคำอีกครั้งแต่ดูเหมือนพี่ชายผู้ดีแต่ใช้กำลังของเขานั้นยังไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ ปูนซึ่งโดดหลบไปไกลเมื่อเห็นว่าคู่อริสงบลงก็เลยเดินกลับมาใกล้รินหมายใช้เป็นโล่ไปในตัว
"เรื่องลูกแมวน้อยหายตัวไป มันต้องหลุดไปฟาร์มข้างๆแน่เลย แล้วเจ้าของฟาร์มที่มีเจ้าวัวน้อยอยู่นั่นแหละคือคนร้าย"ลางสังหรณ์นักสืบของเขาไม่มีทางผิดพลาด เด็กหนุ่มลูบคางอย่างใช้ความคิด สมองน้อยๆมองไปไกลถึงขั้นหาวิธีลอบเข้าไปยังฟาร์มต้องสงสัย ทว่า
"เดี๋ยวๆๆ รินน้องรัก เรื่องนี้พี่ไม่เห็นด้วย"ปูนพยักหน้าสนับสนุนคำค้านของรัน นั่นก็เพราะ
"ฟาร์มข้างๆเรามันก็ฟาร์มของฟ้ากับของไอ้ปูนนะ!?”
"อืม...จะว่าไปฟาร์มไอ้ปูนผมก็ยังไม่ได้เข้าไปสำรวจเลยแหะ"เพราะวันนั้นเกิดเรื่องเสียก่อนเลยต้องถอยทัพกลับ"แต่ฟาร์มพี่ฟ้าที่ให้ความช่วยเหลือเราดิบดีนี่ก็น่าสงสัย ในซีรี่ย์ส่วนใหญ่ตัวร้ายที่น่ากลัวที่สุดมักแฝงอยู่ในรูปมิตรภาพ"
"ฟ้า/พ่อไม่มีทางเป็นคนร้ายหรอก!!!!"สองเสียงสามัคคีดังขึ้นพร้อมกัน แม้จะมีพยางค์ที่ไม่พ้องกันแต่โดยรวมแล้วก็คล้ายกัน รินถอนหายใจพรืดใหญ่อย่างคิดถึงร่างสูงซึ่งรับภาระคุมงานเอกสารอยู่ในห้องทำงาน
"งั้นเดี๋ยวผมไปปรึกษาพี่คฑาแทนแล้วกัน"ทิ้งคำพูดไว้ก่อนสะบัดตัวทำท่าจะเดินจากไปคนเป็นพี่ถึงกับคว้าแขนไว้หมับ
"เดี๋ยว! ได้ๆ พี่เชื่อเราก็ได้"รันยื้อน้องชายเอาไว้หน้าเหวอ
"ถึงพี่รันจะเชื่อก็เถอะแต่ก็หาข้อมูลหรือวิธีดีดีมาไม่ได้อยู่ดี ผมว่าไปปรึกษาพี่คฑาที่เป็นทนายน่าจะได้เรื่องกว่า"เหมือนสายฟ้าผ่าลงกลางใจ หัวอกคนเป็นพี่ถูกทำลายล้างด้วยคำว่าเชื่อใจคนแปลกหน้ามากกว่า เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ
"ไอ้หน้านิ่งนั่นเป็นทนายเหรอ!?"
"อื้ม"นายน้อยแห่งฟาร์มกานต์ยิ้มอย่างภูมิใจราวกับเป็นทนายเสียเอง
การันต์มีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ราวกับกำลังปลงอะไรบางอย่าง
"เหรอ...เป็นทนายเหรอ"เสียงแผ่วเบาเหมือนเปรยกับตัวเองเรียกสายตาของเด็กแสบข้างบ้านให้เหลือบมองอย่างรู้ทัน
รินซึ่งห่างพี่ไปไกลแสนไกลค่อยดึงมือออกจากการกอบกุมก่อนหันหลังก้าวเท้าจากไป เนตรคมกริบมองภาพแผ่นหลังของน้อยชายด้วยสายตาว่างเปล่า อวัยวะภายนออกซ้ายสั่นไหวด้านชา
"ทำหน้าซึ้งเชียวเฮีย"บรรยากาศมันเงียบเกินปูนเลยชวนคุย
ความทรงจำสมัยม.1ย้อนเข้ามาในหัว จำได้ว่าวันก่อนเปิดเทอมวันหนึ่งซึ่งเด็กมัธยมรัฐบาลอย่างเขาต้องตัดผมสั้น พี่ชายข้างบ้านอุตส่าห์ขี่รถมาล้อถึงหน้าร้านตัดผม ใบหน้ากวนตีนน่าเอาเท้างามๆไปประทับสักป้าบนั้นดูยิ้มกว้างกว่าปกติ
รอยยิ้มของรันในวันนั้นมันต่างออกไปจากทุกที ชายหนุ่มเป็นคนร่าเริง ขี้แกล้งและมีพลังงานในการใช้ชีวิตล้นเหลือ แต่วันนั้นไหล่กว้างของผู้ชายคนนี้มันดูห่อเหี่ยวลงพิกล
ไม่รู้มันสังเกตได้ชัดเจนหรือเพราะรู้จักกันดียิ่งกว่าใคร ปูนเลยเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง ก่อนจะรู้ความจริงว่าวันนี้รันเองก็ควรจะเปิดเทอมเช่นเดียวกันแต่เขากลับต้องลาออกเสียตั้งแต่วันนั้นเพราะแฟนพี่สาวไม่ต้องการสืบทอดกิจการฟาร์มต่อ ลูกชายคนรองอย่างรันจึงต้องแบกรับหน้าที่ดูแลฟาร์มตั้งแต่วันนั้น...
....วันที่ควรได้เข้าไปเรียนคณะนิติศาสตร์ในมหาลัยชื่อดัง...
"ความฝันโง่ๆของผู้ชายบ้านนอกคนนี้คือการได้ว่าความเพื่อปกป้องคนดี"เสียงห้าวระบายในลำคออย่างสั่นเครือ
"ก่อนหน้านั้นในฟาร์มเคยมีคนงานอยู่คนหนึ่ง มันเป็นคนขยัน รักพ่อแม่ ตั้งใจทำงาน แต่มันก็ถูกพวกมาเฟียในเมืองยัดยา"
"ความฝันชั่วชีวิตของพี่ก็คือการเป็นทนายเพื่อปกป้องคนพวกนี้ คนที่ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของตัวเอง"
"เอาเข้าจริงแล้วโลกของทนายซับซ้อนกว่านั้นเยอะนะเฮีย เฮียไม่ต้องเสียใจไปหรอก"ปูนเดินมาตบไหล่เพื่อปลอบใจ เนตรคมเหลือบมองด้วยความเอ็นดู
"เรื่องแค่นี้รู้หรอกน่า อย่าสนใจเลย ก็แค่คนแก่บนกับตัวเอง หึหึ"พอเห็นคนโผงผางฝืนยิ้มมุมปากแบบนี้คู่อริตัวร้ายอย่างปูนถึงกับพูดอะไรไม่ออก
"เหตุผลที่เฮียไม่ส่งผมกลับบ้านก็เพราะอย่างงี้สินะ"
“อืม”
.
.
และแล้วคุณพี่ผู้อกหักจากการเป็นทนายก็กัดฟันลงนั่งร่วมโต๊ะกับผู้ชายที่ไม่ถูกโฉลกกับตนตั้งแต่หน้าตายันหน้าที่การงานเมื่อเขาถูกรินน้องรักเรียกแกมบังคับให้ไปร่วมการประชุมไร้สาระด้วย
ไม่รู้ว่าการถูกเลี้ยงด้วยนมวัวสดตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจะมีผลต่อกระบวนความคิดหรือไม่ คฑามองเพื่อนรวมโต๊ะอันประกอบไปด้วยคุณการันต์ผู้ทำหน้ามุ่ยเท้าคางเบือนหน้าออกนอกหน้าต่าง เปียกปูนเด็กหนีออกจากบ้านซึ่งยอมมานั่งฟังแผนการบุกค้นบ้านพ่อตัวเองด้วยสีหน้านึกสนุก และริน รายนี้หนักสุดเลย ไม่รู้ว่าใช้ขี้เลื่อยส่วนไหนคิดแผนนี้ขึ้นมา
"อ่ะแฮ่ม ก่อนอื่นกระผมจะขอเท้าความวัตถุประสงค์ของเรากันก่อนนะครับ"
"ฟาร์มของเราถูกบุคคลปริศนาเผาคอกวัวและปล่อยวัวออกไป แต่ตอนนี้เราแก้ปัญหานั้นโดยการจับวัวทั้งหมดกลับมาและซ่อมแซมคอกทั้งหมดเรียบร้อยแล้วซึ่งมันกินเวลาไปกว่าหนึ่งเดือน แน่นอนว่าพี่คฑาผู้โดดงานมาช่วยพวกเราก็ต้องกลับไปทำมา
หากินของเขา..."เมื่อพูดถึงจุดนี้ปลายเสียงของรินดูจะแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน อากัปกิริยาผิดแผกเพียงชั่วขณะของร่างโปร่งไม่อาจเล็ดลอดสายตาคมกริบของทนายอย่างคฑาไปได้
"เราควรจะหาตัวค้นร้ายให้พบ และผมขอเสนอวิธีง่ายๆเลยคือพุ่งเป้าไปที่ฟาร์มข้างเคียงและหาหลักฐานอย่างเจ้าแมวน้อยให้เจอ"
"ขอถามครับ!"ปูนยกมือขึ้นเหมือนเด็กนักเรียนถามอาจารย์ รินผายมือเชิงอนุญาต
"ถ้าฟาร์มที่จับลูกแมวน้อยของพี่รินไปเขาแค่เห็นว่ามันหลุดมาแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นของใครเลยเอามาเลี้ยงเองหละครับ!!"เป็นคำถามที่ดีทีเดียว เพราะตัวต้นคิดมันทำหน้าตกใจราวกับไม่คาดคิดถึงเรื่องแบบนี้มาก่อน ผู้ให้คำปรึกษาอย่างคฑาถึงกับยกมือกุมหน้า
ผาก
"คือเราแค่จะตีวงให้แคบลงหรือจะพูดให้ถูกคือหาเบาะแสให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ซึ่งเวลามันผ่านมานานขนาดนี้แล้วจะไปหาพยานหรืออะไรก็คงไม่ทันการ"คุณทนายจึงเป็นผ่ายชี้แจงแทน
"ที่สำคัญ คุณรันครับ"คฑาเอ่ยถามคนที่นั่งเงียบไม่เสนอความเห็นใดใดด้วยท่าทางเกรงๆ เขารู้ดีว่าคนคนนี้ไม่ถูกกับตนเพราะอะไร
"ช่วงนี้มีกลุ่มนายทุนเข้ามาติดต่อเพื่อเอาฟาร์มเข้าร่วมกับบริษัทหรืออะไรบ้างไหมครับ"รันขมวดคิ้วมุ่น มองคฑาด้วยสายตาวาววับราวกับว่ามันไปกระตุกต่อมซาดิสต์อะไรในตัวเขาเข้า ริมฝีปาดยิ้มอย่างพอใจ
"ถ้าช่วงก่อนผมเข้าโรงพยาบาลก็ไม่มีนะ แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้"
"แต่ถ้าไปตรวจสอบกับสหกรณ์ดูอาจจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง เพราะถ้าเป็นคนจากภายนอกเข้ามาติดต่อต้องผ่านสหกรณ์ก่อน"
นับเป็นความเห็นที่เข้าท่าที่สุดเท่าที่ฟังมา หากมีผู้ค้ารายใหญ่ต้องการทำสัญญาผูกขาดกับฟาร์มใดฟาร์มหนึ่งแล้วหละก็ มีโอกาสเป็นไปได้ที่ฟาร์มกานต์จะถูกเล่นงานด้วยน้ำมือของฟาร์มที่มีระดับพอๆกัน
"แต่ผมว่าตัดตาแม้ออกไปได้นะ นี่พูดโดยไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวมารวมด้วย ผมว่าตาแกรวยจนไม่รู้จะรวยยังไงแล้วก็มีบริษัทโยเกิร์ตที่ร่วมลงทุนกับแกอยู่แล้ว ผิดกับลุงเปรมพ่อไอ้ปูนแล้วก็ฟ้า"
"งั้นก่อนอื่นเราแอบเข้าไปดูในคอกต่างๆกันก่อนไหม"พูดเหมือนนึกสนุก โดยไม่ต้องหันไปคฑาก็รู้ได้ทันทีว่าใบหน้าของรินยามนี้จะเป็นเช่นไร
"ไปๆๆผมไปด้วย!!"สนับสนุนด้วยไอ้เปียกเด็กข้างบ้านผู้สนับสนุนให้บุกเข้าตรวจค้นบ้านตัวเองด้วยสีหน้าระรื่น
คฑาเหลือบมองซ้ายทีขวาทีก่อนหันไปเลิกคิ้วให้รันอย่างขอความเห็น ชายหนุ่มทอดถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลก่อนจะจำใจพยักหน้าเห็นด้วย
"จะไปกันเมื่อไหร่หละ?"ดูเหมือนรันจะยกหน้าที่จัดการทุกอย่างมาให้เขาแบบมึนๆ ร่างสูงลุกขึ้นคว้าไม้เท้าที่ว่างพิงไว้ข้างโต๊ะและกล่าวทิ้งท้ายว่า
"เดี๋ยวผมจะลองตรวจสอบกับสหกรณ์ดูว่ามีบริษัทติดต่อมาหรือเปล่า ฝากคุณหาหลักฐานด้วยแล้วกัน"
แม้แขนจะถอดเฝือกออกแล้วแต่ขาก็ยังต้องใช้ไม้เท้าช่วยค้ำจุนการไปบุกน้ำลุยไฟกับพวกรินจึงเป็นไปไม่ได้ ถึงจะไม่พอใจเท่าไหร่แต่ก็ดีกว่าไปกันเองสองคน
คฑาพยักหน้ารับ เขาหันมามองหน้าตาชื่นมื่นของคนที่เหลือ เม็ดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าร่วมกับได้รับภาระอันยิ่งใหญ่...
"คืนนี้ห้าทุ่ม มาเจอกันตรงนี้ โอเคนะ"
.
.
เสียงใบไม้ถูกเหยียบดังกรอบแกรบตลอดทางที่จะเข้าสู่คอกวัวคอกแรกซึ่งเป็นคอกสำหรับอนุบาลลูกวัว คณะสำรวจพุ่งเป้ามาที่แห่งนี้ก่อนเพราะมีความเป็นไปได้ที่จะพบลูกวัวน้อยมากที่สุด
"เดินเบาๆหน่อยสิ!"นายน้อยแห่งฟาร์มกานต์แวดเสียงกระซิบใส่ปูนผู้รู้ลู่ทางในพื้นที่เป็นอย่างดีจึงอาสานำทาง
มือเรียวตีบ่าดัง เพี้ยะ ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำไปยังประตูไม้เก่าๆสำหรับเข้าไปในโรงเลี้ยงวัว ความจริงการทำที่อยู่ให้วัวนั้นต้องมีระบบระบายอากาศที่ดี ลมถ่ายเทสะดวก ชาวบ้านส่วนใหญ่เลยทำโรงเรือนแบบไม่มีผนัง แต่ฟาร์มที่มีเงินทุนสูงพอจะติดตั้งระบบระบายอากาศหรือสปริงเกอร์ฉีดน้ำก็จะทำโรงเรือนแบบปิดซึ่งสามารถกันฝนกันพายุได้ดีกว่า
บริเวณคอกวัวของฟาร์มเปรมไร้เงาคนงาน เนื่องจากเวลาใกล้จะห้าทุ่มแล้วใครที่ไหนมันจะมานั่งรีดนมวัวตอนนี้
เปียกปูนมองหน้าคนขี้บ่นแบบงงๆ ในนี้ก็มีแต่วัวกับหญ้าทำไมต้องย่อง
เด็กหนุ่มเดินยืดเต็มความสูงเดินเข้าไปในคอกแห่งแรกอย่างสง่าผ่าเผยราวกับอยู่ในบ้านของตัวเอง เอ่อ...ก็บ้านตัวเองอะนะ แต่ตอนนี้กำลังหนีออกจากบ้านอยู่ แอบๆหน่อยแล้วกัน
สภาพด้านในของคอกไม่ต่างจากของฟาร์มกานต์มากนัก เมื่อสะเดาะกลอนเข้าไปด้านในได้สำเร็จ ทั้งสองคนก็รีบเข้าไปสำรวจทันทีปล่อยให้คฑายืนเฝ้าดูต้นทาง
"เฮ้อ"ชายหนุ่มทอดถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน บอกตามตรงว่าคดีนี้มืดแปดด้าน
ขนาดคนทำคดีมาหลายคดีอย่างเขายังไม่รู้เลยว่าจะระบุได้อย่างไรว่าใครจะเป็นคนร้าย
อย่างที่ปูนถาม...รู้ว่าเจ้าแมวน้อยอยู่ที่ไหนแล้วไงต่อ?
ดีไม่ดีจะหาตัวไม่เจอด้วยซ้ำ...เผลอๆมันอาจจะตกร่องตายอยู่กลางทุ่งที่ไหนสักแห่ง...
"เจอแล้ว!!"
นั่นไง บอกแล้วว่าไม่มีทางหาเจอ...หืม?
"พี่คฑาๆ เจอเจ้าแมวน้อยแล้วครับ"
เนตรคมเบิกกว้างด้วยสภาพเหลือเชื่อ เขาหันไปมองรินซึ่งพยามปีนรั้วเหล็กสูงประมาณเอวเข้าไปด้านใน ก่อนจะเดินตรงไปยังลูกวัวเพียงตัวเดียวในรั้วเหล็กนั้น สังเกตดูดีดีที่หางมันจะมีโบว์สีชมพูผูกติดไว้ตามคำบอกเล่า...
คฑาเดินเข้ามาพิจารณาสิ่งมีชีวิตสี่ขาอย่างชั่งใจ ด้วยความรอบคอบชายหนุ่มไม่ลืมปิดประตูเข้ามา
"เราจะพามันกลับไปยังไง"เพราะเขามาที่นี่ด้วยความเชื่อว่าไม่มีทางพบแน่นอน จึงขับรถกระบะคันที่ใช้ขนนมมา หากจะพาลูกวัวตัวนี้เดินไปที่รถที่จอดอยู่ห่างจากประตูฟาร์มออกไปอีกเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตเห็นทีว่าต้องใช้กำลังมากพอดู
"ลูกพี่ครับ..."
ฉับพลันเสียงกระซิบก็ดังมาจากนอกคอก เล่นเอาสามทหารเสือด้านในมองหน้ากันตาเหลือก นอกจากหลังวัว ในนี้ก็ไม่มีที่ให้ซ่อนแล้วนะ
"เงียบๆสิวะไอ้เจ๋ง เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นเข้า!" อีกเสียงหนึ่งดังปราม ดูเหมือนว่าเสียงของเจ้าคนนี้จะดังมากกว่าด้วยซ้ำ
"แผนของเราไปถึงไหนแล้ว"เสียงของลูกพี่ดังขึ้นอีกครั้ง
คฑาสะกิดแขนของปูนพลางส่งสายตาเชิงถามไปว่า รู้จักเจ้าคนชื่อเจ๋งหรือไม่
"ไม่ครับ"เปียกปูนตอบเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ เอื้อมมือของตัวเองไปคว้าขอมือบางของรินเอาไว้ก่อนกระชับมั่น พวกมันเป็นใครเข้ามาทำอะไรในนี้ก็ไม่รู้ หากโดนจับได้ขึ้นมาจะเจอกับอะไรก็ไม่มีใครตอบได้
"พวกนั้นฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิด ใช้เวลาไม่ถึงเดือนฟาร์มก็กลับมาเหมือนเดิมแล้วครับ"
"!!!"
แต่ละถ้อยคำจากน้ำเสียงแหบแห้งได้ยินติดๆขัดๆนอกโรงเรือน กลับชัดเจนไปถึงขั้วหัวใจ นายน้อยแห่งฟาร์มกานต์มั่นใจมากว่าเจ้าสองคนข้างนอกคือตัวการของเรื่องทั้งหมด มือเรียวกระชับมือของปูนเอาไว้แน่นก่อนส่งสายตาขอความเห็นจากคฑา
"อืม กลับเถอะ ข้าว่าแถวนี้ลางไม่ดี"
"ครับลูกพี่..."
เหมือนมีก้อนเมฆสีดำเข้าครอบงำบ้านสองชั้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่งแต้มด้วยสีขาวลายวัวของฟาร์มกานต์ดูมืดมนเสียยิ่งกว่าวันที่ถูกไฟไหม้
บุคคลทั้งสี่เข้านิ่งประจำที่โต๊ะประชุม(โต๊ะกินข้าว)นายการันต์ยกมือขึ้นประสานกันบนโต๊ะ ชายหนุ่มไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ในขณะที่เหลือบมองใบหน้าตกใจระคนผิดหวังของเจ้าเด็กแสบข้างบ้าน
"ตอนนั้นมันกะทันหัน ผมเลยไม่ได้อัดเสียง"เป็นคฑาที่ชี้แจงขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่วินาทีที่สองคนปริศนานั้นเดินจากไปความเงียบก็เข้าปกคลุมตัวแสบทั้งสอง เขาไม่รู้เลยว่าตลอดทางกลับบ้านซึ่งสองคนนี้นั่งจับมือกอดเข่ากันอยู่บนกระบะรถจะเกิดอะไรขึ้นในจิตใจบ้าง ตัวชายหนุ่มผู้ขับรถรีบร้อนมาเล่าให้การันต์ฟังจนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปอีกคน
ฟาร์มกานต์กับฟาร์มลุงเปรมมีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาหลายสิบปี
"เมื่อเย็นผมโทรเช็คกับสหกรณ์มาแล้ว....เขาบอกว่ามีบริษัทผลิตนมและอาหารเสริมรายใหญ่ต้องการฟาร์มเข้าร่วมโครงการอำเภอละหนึ่งแห่ง และทางสหกรณ์ก็เสนอรายชื่อฟาร์มใหญ่ทั้งสี่ไปแต่ตาแม้ปฏิเสธเลยเหลือแค่สาม"รันไม่สามารถควบคุมน้ำเสียงของตัวเองได้เลย มันสั่นแรงพอๆกับหัวใจของเขาตอนนี้
"พอเถอะ...เห็นๆอยู่ว่าพ่อเป็นคนร้าย..."
"เดี๋ยวสิปูน มันยังไม่แน่!!"
"มันแน่แล้วพี่ริน เป็นใครอื่นไม่ได้เลย"เปียกปูนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตอนนี้เจ้าเด็กแสบไม่หลงเหลือเค้าของความสดใสแม้แต่น้อย
"ช้าก่อน...ไอ้เปรมไม่ใช่คนแบบนั้น"
ทันใดนั้นเองเสียงของชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางประตู เรียกให้ทุกสายตาเบนไปจับจ้องเจ้าของร่างท้วมลงพุงตามกาลเวลาหากแต่ใบหน้าแต่ประดับด้วยรอยเหี่ยวย่นเพียงเล็กน้อยนั้นยังคงเค้าความดูดีเอาไว้ได้เหมือนลูกชายคนรองของตน
"พ่อ!!"
นายเทียนเจ้าของฟาร์มกานที่แท้จริง หลังจากทอดทิ้งลูกชายคนเล็กให้แบกรับภาระหนักอึ้งส่วนตนหนีไปรับขวัญหลานสบายใจ ในที่สุดเขาก็กลับมา
รินผุดลุกจากโต๊ะก่อนโผตัวสวมกอดคนเป็นพ่อด้วยความคิดถึง ซุกไซ้ศีรษะไปมาตรงซอกคอของบิดาอย่างออดอ้อน ใบหน้าเปี่ยมสุขของเด็กหนุ่มเรียกบรรยากาศให้ดีขึ้นไม่มากก็น้อย
"ที่ว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น แสดงว่าเขาไม่ใช่คนร้ายหรอครับพ่อ"ลูกชายอีกคนหนึ่งถามขัดจังหวะพ่อลูกกอดกันกลม รินปล่อยมือออกจากเทียนอย่างอิดออด ใบหน้าแสนเสียดายที่ต้องกลับมานั่งแหมะบนเก้าอี้ตัวเดิม
นายเทียนเลื่อนเก้าอี้ของตัวเองมานั่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ"อืม พ่อเชื่อแบบนั้น"
"แต่พวกเราเข้าไปได้ยินคนในฟาร์มนั้นคุยกันเรื่องของเรานะครับ"การันต์แย้ง แม้นไม่อยากจะเชื่อแต่หลักฐานมันคาหูอยู่จะๆ
"พ่อแค่เดา ไอ้เปรมก็เพื่อนพ่อมาแต่เด็ก มันเป็นคนเจ้าอารมณ์แต่ก็รักลูกมาก มันไม่ทำให้ลูกมันผิดหวังในตัวมันหรอก ใช่ไหม"
ประโยคแรกพูดกับทุกคนแต่คำสุดท้ายชายวัยกลางคนหันมาเลิกคิ้วถามลูกชายเพียงคนเดียวของฟาร์มข้างๆ
ตากลมใสทอดมองสีหน้าสับสนของน้องชายข้างบ้าน เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ตนควรทำอย่างไร มีเพียงฝ่ามือที่ยังคงกระชับเอาไว้ไม่ปล่อยตั้งแต่แรก
"งั้นพรุ่งนี้เราเข้าไปใหม่ เข้าไปถามตรงๆเลยไหม?"นายเทียนกล่าวชี้ทาง
"ก็ดีนะครับ"คฑาผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวของใดๆกับครอบครัวหรือฟาร์มนั่งเงียบมาสักพัก ไม่มีจังหวะให้เขาแทรกตัวเข้าไปได้จึงนั่งนิ่งๆรอจังหวะ
"แล้วคุณคิดว่าถ้าไอ้เปรมไม่ใช่คนร้ายแล้วใครหละ"พ่อของรินหันมาคุยกับคฑาด้วยแววตาจริงจัง
"มีความเป็นไปได้อีกอย่างคือลูกน้องกระทำโดยพลการครับ"ร่างสูงกล่าวจากการเอาประสบการณ์จริงเข้ามาผสม ใบหน้าของลูกน้องผู้บ้าคลั่งกล้าดีตีหัวเจ้านายยังแจ่มชัดในความทรงจำ
"อืม...เป็นไปได้ เป็นไปได้ แล้วอย่างงี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกจ้างคนไหนในฟาร์มเปรมเป็นคนทำ"
"ผมจำเสียงได้ครับ ถ้าได้ยินอีกครั้งต้องชี้ตัวได้แน่นอน"จากประสบการณ์เป็นทนายและความสุขุมที่มีอยู่เป็นทุนเดิม คฑากล่าวเสียงเรียบด้วยความมั่นใจ
"เยี่ยม!! คุณยอดเยี่ยมมากจริงๆ มีประโยชน์กว่าลูกชายผมเยอะเลย ฮ่าๆๆๆๆ ว่าแต่ว่า...
.
.
.
คุณเป็นใคร?"