บันทึกรักบทที่ 4 ล้างให้ออก ตอนที่ 1
ผมกลับมาจากวัดก็มาช่วยแม่ลงต้นไม้ ตอนนี้ที่บ้านของผมต้นไม้เยอะแยะไปหมด แม่ของผมเป็นคนชอบต้นไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พออยู่คนเดียวก็เลยทุ่มเทกับการแต่งสวนเต็มที่ แต่วันนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับแม่เท่านั้น ยังมีอีกสองคนที่อาสามาช่วยแม่ของผมลงต้นไม้ก็คือเด่นกับพัดโบก ผมเห็นแม่หัวเราะได้ก็มีความสุข แม่ปลูกต้นไม้ไปก็สอนเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้ต่างๆให้พัดโบกฟัง ดูแม่มีความสุขเมื่อได้พูดถึงสิ่งที่แม่รัก
“เสร็จเสียที ได้เด่นกับพัด แม่เบาแรงไปเยอะเลย” แม่เอ่ยชมสองคนนั่นระหว่างที่ผมเข้าไปชงน้ำแดงมาแจกทุกคน ทำไมไม่เห็นชมผมบ้างเลย ผมก็ทำนะ
“ผมก็คิดว่าถ้าปล่อยกลอนช่วยแม่คนเดียวคงจะไปเสร็จเอาตอนเปิดเทอมพอดี” เด่นมันแขวะผมตอนผมไม่อยู่ ดูมันครับ ไอ้เพื่อนขี้นินทา มันคงไม่รู้ว่าผมมาแอบฟังอยู่ไม่ไกล
“กลอนเขาไม่ถนัดลงแรงแบบนี้หรอก แต่แม่ก็ภูมิใจที่เขาเรียนเก่งเรียนดี ให้ไปสายวิชาการไปก็ดีแล้ว” แม่พูดจบผมก็ยิ้มออก
“แม่อยากให้กลอนทำงานอะไรเหรอครับ” พัดโบกถาม ผมเลยแอบยินฟังก่อน ยังไม่ได้เดินออกไป
“ใจจริงแม่ก็อยากให้เขารับราชการ มันมั่นคงดี แต่ก็ตามใจเขา แม่ก็แก่แล้ว แก่ตัวแม่ไม่ลำบากหรอก มีเงินบำนาญใช้ แม่ห่วงแต่กลอนนั่นแหละ แม่รู้ว่าเขาเลี้ยงตัวเองได้ แต่แม่กลัวเขาล้มเหลวในชีวิตครอบครัวเหมือนแม่”
“กลอนมันเข้มแข็งเหมือนแม่ แม่ไม่ต้องห่วงมันหรอกครับ ไม่ว่าจะยังไงเด่นก็จะช่วยดูแลมัน”
“แล้วกลอนมีแฟนบ้างไหม” ผมแทบทำถาดหลุดมือเมื่อแม่ถามคำถามนี้
“มีสิแม่” เด่นตอบ ผมแทบอยากจะเอาถาดตีหัวมันเดี๋ยวนี้เลย ไอ้เด่นอย่าพูดอะไรนะ
“จริงเหรอ” แม่ถามเสียงเหมือนประหลาดใจ
“หนังสือไงแม่ มันจะแต่งงานกับหนังสืออยู่แล้ว หลับนอนกับหนังสือทุกวัน ฮ่าๆๆ” ผมพรูลมหายใจเมื่อฟังเพื่อนตัวแสบพูดจบ ผมรีบเดินออกมาจากในบ้าน แอบมองพัดโบกที่เอาแต่ยิ้มอยู่ข้างไอ้เด่น
“นินทาอะไรเรา” ผมถามก่อนจะแจกน้ำแดงให้ทุกคน
“เปล๊า เนอะแม่เนอะ” ได้เด่นมันทำเสียงสูงเชียว
“นี่ถ้ากลอนเป็นลูกสาวแม่ยกให้เด่นไปแล้ว” แม่พูดจบไอ้เด่นก็สำลักน้ำทันที ผมหัวเราะขำเพื่อกลบเกลื่อนสีหน้าที่ตกใจอยู่เหมือนกันที่ได้ยิน
“แม่ โชคดีแล้วที่มันเกิดเป็นผู้ชาย ผมชอบเปรี้ยวๆ จี๊ดๆ เรียบร้อยแบบนี้ไม่เอาหรอกแม่” ไอ้เด่นรีบพูด แม่หัวเราะขำใหญ่
“ยกให้ผมก็ได้ ผมชอบคนเรียบร้อย” พัดโบกพูดแทรกขึ้นมา ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าชา รีบส่งสายตาไม่พอใจไปให้
“หมายถึงถ้ากลอนเป็นผู้หญิงครับ” พัดโบกรีบพูดต่อ แต่ผมรู้ว่าสายตาหมอนั่นมันเจ้าเล่ห์มากๆ
“แม่ไม่ยกให้ใครหรอก แม่เลี้ยงได้ลูกคนเดียว ผู้หญิงสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนด้วย อยู่คนเดียวก็มีความสุขได้เนอะลูกแม่” แม่ลูบศีรษะของผม ผมรีบสวมกอดแม่เอาไว้
“จริงด้วย กลอนอยู่กับแม่ก็ได้”
“อย่าเพิ่งกลับกันนะ เดี๋ยวแม่จะทำขนมปังหน้าหมูให้ทานกัน” แม่บอกก่อนจะลุกเดินกลับเข้าไปในบ้าน ผมก็หยิบเครื่องมือทำสวนไปเก็บในห้องเก็บของที่แม่ต่อเติมเอาไว้ที่ด้านข้างโรงจอดรถอีกที ระกว่างที่ผมกำลังเก็บเครื่องมือเข้าที เสียงประตูห้องเก็บของเปิดออก พอผมหันไปดูพัดโบกก็มายืนประชิดตัวผมแล้ว ผมรีบใช้ศอกดันตัวพัดโบกออก
“เข้ามาทำอะไร” ผมถาม พักโบกชูสายยางที่ม้วนเก็บเรียบร้อยแล้วให้ผมดู
“เอาวางไว้ เดี๋ยวเราเก็บเอง” ผมบอก ห้องเก็บของมันแคบ อึดอัด ที่สำคัญ ผมไม่อยากอยู่กับพัดโบกสองคน
“วางถึงเหรอ ตอนเอามา เราหยิบมาจากบนโน้น” พัดโบกชี้ไปที่ชั้นที่อยู่เหนือหัวขึ้นไป
“เดี๋ยวใช้บันไดเอาได้”
“อะ ถือ” พัดโบกส่งสายยางให้ผม ผมรับเอาไว้ แต่สายยางแทบร่วงหลุดมือเมื่อพัดโบกจับเอาผมแล้วดันขึ้นเหมือนอุ้ม คือผมก็ไม่ได้ตัวเล็กมากมาย ถึงจะผอมก็เถอะ แต่ผู้ชายคนนี้ยกผมเหมือนผมเป็นแค่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
“เฮ้ย ทำอะไร ปล่อยเราลง” ผมรีบบอก
“รีบวางก็เสร็จแล้ว เร็วดิ” เสียงของพัดโบกดูจริงจัง ผมเลยรีบดันสายยางเข้าไปวางบนชั้น แล้วหมอนั่นก็วางผมลง
“ก็แค่นี้” หมอนั่นพูดจบก็เดินออกไปเลย ผมสิ ยังตกใจอยู่เลย ผมว่าผมจำเสียงได้ แต่มาคิดอีกที อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ดูท่าทางเขาไม่ออก ก็ดูแมนๆปกติ ผมอาจจะคิดมากไป ร้อนตัวไปเอง
เรานั่งคุยกันระหว่างที่รอเวลาขนมปังหน้าหมูของแม่เสร็จ ผมก็ได้รับรู้เรื่องที่ประหลาดใจมากๆเกี่ยวกับพัดโบก อันที่จริงแล้วพัดโบกไม่ได้เป็นนักกีฬา ผมคิดไปเองเพราะได้ยินคำว่าไปเก็บตัว แล้วรูปร่างของพัดโบกก็ดูดี ดูแข็งแรง ใครจะไปคิดว่าหมอนั่นเรียนเกี่ยวกับด้านอาหาร เด่นบอกว่า พัดโบกชอบทำขนมมาตั้งแต่เด็กๆ มีพรสวรรค์ ไปเรียนกับเชฟชาวญี่ปุ่นเพื่อไปแข่งทำขนมหวานที่ปารีส ผมอึ้งไปเหมือนกัน นับกันแล้วก็อายุมากกว่าผมปีเดียว แต่ได้ทำในสิ่งที่รักและก็ก้าวไปไกลได้ขนาดนี้
“คืนนี้ว่าจะไปคาราโอเกะ ไปเปล่า เดี๋ยวกูมารับ” เด่นถามผมหลังจากที่ได้กินขนมปังหน้าหมูเสร็จ พอแม่ของผมได้รู้ว่าพัดโบกเก่งเรื่องทำขนมก็คุยกันถูกคอยกใหญ่ แถมยังขอให้พัดโบกมาสอนทำเค้กบ้าง เพราะแม่อยากทำหลังจากที่เกษียณอายุราชการแล้ว
“แม่จะให้ไปรึเปล่าไม่รู้” ผมบอก ใจก็ไม่อยากไป แต่รู้ว่าพ่อจะมาคุยอะไรกับแม่ก็เลยอยากให้ท่านอยู่คุยกันสองคน
“มึงรอแป๊ป กูไปขอให้” เด่นพูดจบก็ดินกลับเข้าไปในบ้าน
“ผอมลงนะ” พัดโบกพูดกับผมก่อน
“ก็ปกตินะ” ผมตอบไป
“ไม่ปกติ เอวนิดเดียว” พออีกฝ่ายตอบกลับมาผมก็ทำหน้าไม่ถูก
“ปกติ”
“โอเค ปกติก็ปกติ” พักโบกยกมือทำท่ายอมแพ้
“เราทำอะไรให้โกรธรึเปล่า” พัดโบกถามผม หลังจากที่ผมเงียบไปอีก รู้สึกอึดอัดยังไงบอกไม่ถูก แต่พอได้ยินคำถามก็รู้สึกว่าตัวเองตั้งแง่ไปรึเปล่า
“เปล่าหรอก ร้อนเลยหงุดหงิดนิดหน่อย” ผมแก้ตัว รู้สึกผิดเหมือนกัน พัดโบกก็ไม่ได้ทำอะไร มันเป็นเพียงการคาดเดาของผม อีกอย่าง ถึงจะใช่พัดโบกจริงๆ ผมจะโกรธเขาก็ไม่ได้ ผมสมยอมเอง ผมผิดเองที่ไม่รู้จักยับยั้งความต้องการที่เกิดขึ้นในคืนนั้น
“ชอบกินขนมอะไร” พักโบกเปลี่ยนเรื่อง
“เอแคลร์” ผมตอบดีๆ น้ำเสียงไม่ห้วนเหมือนตอนแรกๆ
“ไส้กาแฟเหรอ”
“รู้ได้ไง” ผมถาม ผมชอบเอแคลร์ไส้กาแฟจริงๆ
“คนชอบเอแคลร์ไส้กาแฟจะชอบมีเซ็กส์ที่เร้าร้อน” พัดโบกพูดจบก็ยักคิ้ว ส่วนผมนี่หน้าร้อนวูบเลย โอ้ย ไม่น่าญาติดีด้วยเลยจริงๆ
“บ้า ตรรกะบ้าๆ” ผมต่อว่าออกไปทันที อีกฝ่ายหัวเราะ จนเด่นเดินกลับมาได้จังหวะทำลายความอึดอัดนี้พอดี
“แม่มึงโอเค หัวค่ำกูมารับ” เด่นบอกผมก็พยักหน้าให้มัน ผมไม่ได้มองหน้าพัดโบกหรอก เดินกลับเข้าไปในบ้านเลย ผมว่าผมควรจะแน่ใจได้แล้วมั๊งว่าคนแปลกหน้าในคืนนั้นจะเป็นหมอนี่จริงๆ
พอหัวค่ำเด่นก็ขับรถมารับผมตามเวลาที่นัดกันเอาไว้ ตอนที่ผมจะออกจากบ้าน พ่อก็มาพอดี แต่คราวนี้มาคนเดียว ผมนึกห่วงแม่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าพ่อจะมาพูดอะไรให้แม่เสียใจอีกรึเปล่า แต่ถึงพ่อจะเสียในเรื่องนี้ พ่อก็ไม่ใช่คนไม่ดี ผมหวังว่าเรื่องที่คุยอันจะเป็นเรื่องที่ตกลงกันได้ก็แล้วกัน
ผมไปถึงโรงแรมใหญ่ประจำจังหวัดที่มีห้องคาราเกะที่ทันสมัยที่สุดในตอนนั้น เข้าไปถึงก็เจอคนหลายคนเลย ส่วนใหญ่ผมก็พอจะคุ้นเคยบ้างเพราะเป็นญาติๆของเด่น มีผู้หญิงมากันหลายคน พัดโบกก็นั่งเป็นไข่แดงอยู่ในกลุ่มสาวๆด้วย ผมทักทายทุกคนก่อนจะไปนั่งที่โซฟาที่ตั้งอยู่มุมห้อง ในห้องมีจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่ตั้งอยู่ มีเครื่องสีดำที่ให้เราเอาไว้เลือกเพลงที่จะร้อง สาวๆแย่งรีโมทกันใหญ่ ผมได้แต่นั่งดู เด่นสั่งไวน์ขวดเล็กๆมาให้ผม แต่ผมไม่ได้ดื่มหรอก จนได้ฟังเพลงที่พี่ฉลามเคยร้องให้ผมฟังบ่อยๆ ผมถึงกับยกไวน์มาดื่มเพราะไม่อยากให้อารมณ์จมดิ่งไปกับเพลง ผมเริ่มรู้สึกอยากกลับบ้าน แต่เห็นเด่นมันกำลังป้อสาวอยู่เลย แล้วตอนนี้มันก็หายไปไหนไม่รู้ ผมเลยกระซิบบอกกับญาติอีกคนของเด่นว่าผมจะกลับบ้าน ดูเวลาแล้วยังไม่ดึกมาก รถสามล้อเครื่องน่าจะยังมีอยู่ ผมออกมาก็เจอพัดโบกยืนทำมิวสิควีดีโออยู่ที่หน้าทางเข้าโรงแรม มองที่พื้นเห็นขี้บุหรี่ด้วย นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าหมอนี่จะสูบบุหรี่
“จะกลับเหรอ เราไปส่ง” พัดโบกบอก
“กลับเองได้ จะได้ไม่ต้องเสียงเวลากลับไปกลับมา”
“ไปเหอะ เบื่อเหมือนกัน ขี้เกียจอยู่” พัดโบกเดินนำผมไปที่รถโดยไม่ฟังคำตอบจากผมเลย ผมชั่งใจอยู่ก่อนจะตัดสินใจเดินตามไป พัดโบกไม่ได้พาผมกลับบ้าน แต่พาขับรถวนรอบเมือง ไปจอดรถอยู่ที่คูเมือง ซึ่งก็ไม่ไกลบ้านของผมเท่าไหร่
“อกหักมาเหรอ” พัดโบกถามผม ผมหันไปมอง นึกเคืองเด่นที่เล่าให้หมอนี่ฟัง
“รู้ได้ไง” ผมถามทั้งที่โทษไอ้เด่นไปแล้ว
“ก็เห็นฟังเพลงรักแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้”
“เปล่าสักหน่อย”
“อย่าหลอกตัวเอง”
“ยุ่งอะไรด้วย”
“แล้วทำไมถึงยุ่งไม่ได้ละ”
“ก็นายไม่ใช่เพื่อนเราด้วยซ้ำ”
“ก็ไม่ใช่เพื่อนไง จริงไหม”
“............” ผมไปต่อไม่ถูก สมองผมกำลังคิดไปต่างๆนาๆว่าควรทำยังไงดี
“คืนนั้น ตอนวันเกิดคุณลุง นาย..นายค้างที่บ้านของเด่นใช่รึเปล่า” ผมตัดสินใจถามให้รู้เรื่อง
“เปล่า” พัดโบกปฏิเสธ ผมนิ่งไป ไม่ใช่พัดโบก รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“กลับตอนตีสี่ได้มั๊ง” ความโล่งอกเมื่อครู่หายวับไปในทันที
“..........................” ผมกัดริมฝีปาก กำลังคิดว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่ดี จนพัดโบกขยับมาใกล้ผมแล้วเอาหัวแม่มือมากดริมฝีปากของผมออกจากฟันของผมเบาๆ ก่อนจะขยับกลับไปนั่งตามเดิม
“กัดทำไม ไม่เจ็บเหรอ ตอนเราอยู่ที่ญี่ปุ่นนะ ลูกสาวของครูที่สอนเรากัดริมฝีปากแบบนี้ ครูดุราวกับเป็นเรื่องใหญ่เลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ห้ามแลบลิ้นเลียบ่อยๆด้วย” พัดโบกพูดยาวกว่าทุกที แต่นี่สิ นั่งเกร็งไปหมดแล้ว จู่ๆก็มาจับปากผม
“ไปอยู่ที่โน้นเป็นไงบ้าง” ผมตัดสินใจที่จะไม่พูดเรื่องคืนนั้น แต่ชวนคุยเรื่องอื่นแทน
“ก็ดี ชอบ แต่การอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมันก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด คนละประเพณี คนละขนบธรรมเนียม บางทีทำอะไรผิดแบบที่ไม่รู้ตัว แต่ทุกอย่างมันคือประสบการณ์ที่ดีในชีวิต” พัดโบกพูดแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงอีกคนที่อยู่ไกลบ้าน ไกลผม เขาจะเป็นยังไงบ้าง
“แฟนอยู่ไกลเหรอ” พัดโบกถาม ผมหลุดออกมาจากความคิดถึงใครคนนั้น
“ไม่ได้เป็นแฟนแล้ว” ผมก็ไม่รู้ทำไมถึงได้พูดออกไปทั้งที่ทีแรกยังไม่ไว้ใจหมอนี่อยู่เลย
“คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก เดี๋ยวก็เจอกันอีก” พัดโบกพูดออกมา ผมรู้สึกว่าหัวใจตัวเองมันเต้นตึกตัก คำว่า แล้วพบกันใหม่ที่ผมกับพี่ฉลามพูดกันในวันนั้น ถ้าได้พบกันใหม่ เราจะยังรู้สึกเหมือนเดิมไหมนะ
“กัดปากอีกแล้วนะ” พัดโบกมาคางผมให้หันไป ผมสบตาอีกฝ่ายอยู่สักพัก ก่อนจะรีบหันกลับไปมองเบื้องหน้าเหมือนเดิม
“แล้วจะต้องไปแข่งทำขนมเมื่อไหร่” ผมถาม
“อีกสองอาทิตย์”
“ถ้าชนะแล้วจะยังไงต่อเหรอ”
“ก็มีชื่อเสียงไง แต่ไม่ชนะหรอก เราไปเอาประสบการณ์ มีแต่คนเก่ง ความฝันเราแค่มีร้านขนมอร่อยๆ ที่ไหนก็ได้”
“เรานึกว่าพัดโบกเป็นนักกีฬาเสียอีก”
“เหรอ มีแต่คนคิดงั้น หรือไปเป็นนักกีฬาดี มวยปล้ำ ดีไหม”
“ทำไมชอบพูดลามก” ผมสวนไป
“ฮ่าๆๆๆ เขินแล้วน่ารักนะ ผู้ชายเขาก็คุยติดเรทกันแบบนี้แหละ ทำไมละ”
“ผู้ชายแถวไหน แถวนี้ไม่มีใครพูด”
“โอเคๆ ถ้าไม่ชอบไม่พูดแล้ว เชื่อแล้วว่าเรียบร้อย”
“อยากกลับบ้านแล้ว” ผมบอก
“อีกเดี๋ยวสิ กลิ่นไวน์ยังมีอยู่เลย เดี๋ยวแม่ก็ว่าหรอก” พัดโบกพูดจบผมก็อึ้งๆไปนะ ไม่ทันคิดเรื่องนี้ สะเพร่าจริงด้วย ถ้าแม่ยังไม่นอนแล้วได้กลิ่นคงไม่ชอบใจแน่ๆ ถึงผมจะโต แต่ก็ยังเรียนไม่จบ แม่คงไม่เข้าใจหรอก ดีไม่ดีคราวหน้าไม่ให้ผมไปเที่ยวกลางคืนอีก แต่ตอนที่ผมอยู่กรุงเทพ แม่ไม่เคยถามหรือจับผิดนะ ทำนอง ไม่รู้ก็ไม่ว่า แต่อย่าให้รู้
“ขอบใจนะ เราไม่ทันนึกถึงข้อนี้ ทำไงดี ยังมีกลิ่นมากเลยเหรอ” ผมถามด้วยความกังวล
“ไหนลองพูดอีกทีดิ” พักโบกบอก
“ได้กลิ่นไหม” ผมพูด แต่ก็ต้องชะงักตกใจเมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวเอาจมูกมาใกล้ปากผมเลย ผมผงะถอยหลังจนชนประตูรถ
“ยังมีอยู่ อมลูกอมนี่” พัดโบกตีหน้าตายพร้อมกับส่งลูกอมให้ผม ผมรับมาแกะใส่ปาก
“ป่านนี้แม่คงนอนแล้วละ ไปส่งเราเถอะ” ผมว่าผมยอมถูกแม่ว่าดีกว่าอยู่ต่อ ไม่ได้กลัวว่าพัดโบกจะมาทำอะไร แต่กลัวตัวเองนี่แหละครับ วัยฮอโมนไม่ควรมีอะไรมากระตุ้น แหะๆ
“โอเค” พัดโบกตอบรับแล้วพาขับมาถึงบ้านผมในที่สุด รถของพ่อไม่อยู่แล้ว ไฟหน้าบ้านเปิดเอาไว้ ไม่รู้ว่าแม่ยังรอรึเปล่า
“ขอบใจนะที่มาส่ง ขับกลับดีๆนะ”
“อืม แล้วเจอกันใหม่” พัดโบกพูดคำนี้อีกแล้ว ผมพยักหน้าให้ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน พัดโบกยังไม่ได้ขับกลับ รอจนผมเข้าไปในบ้านผมถึงได้ยินเสียงรถแล่นออกไป
ผมเข้ามาในบ้านก็เจอแม่นั่งดูทีวีอยู่ แม่บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผม ผมรีบบอกแม่ว่าขอไปอาบน้ำแป๊ปเดียวเพราะร้อนมาก ผมกลัวแม่ได้กลิ่นไวน์ที่ดื่มเข้าไป อาบน้ำแปรงฟัน เช็คว่าโอเคดีแล้วก็รีบลงมา สีหน้าของแม่ไม่ค่อยดี ผมไปนั่งลงข้างๆแม่ แม่ก็ถอนหายใจออกมา
“พ่อว่าไงเหรอครับ” ผมถาม
“พ่อเขาเอาพินัยกรรมของเขามาฝากแม่ แล้วก็ฝากให้แม่เป็นธุระให้” แม่เริ่มเล่าให้ผมฟัง
“ทำไมเหรอครับ เขาทะเลาะกับผู้หญิงคนนั้นหรอ”
“พ่อเขาเป็นมะเร็งตับ” ผมพูดไม่ออกเลย มันอื้ออึงและหน่วงๆ พ่อก็ดูปกติดีนี่นา
“ระยะไหนครับ”
“ระยะที่สอง แต่พ่อเขาไม่อยากประมาท อยากทำให้ทุกอย่างเรียบร้อย เขาไม่ได้จดทะเบียนกับผู้หญิงคนนั้นหรอก ทุกอย่างที่สร้างมาด้วยกันกับแม่เขายกให้กลอนหมด ส่วนหลังจากที่เลิกกับแม่เขาขอให้ลูกอีกคน”
“มันมีโอกาสรักษาไหมครับ”
“แม่ก็ไม่แน่ใจ” แม่พูดจบก็ถอนหายใจ
“ผู้หญิงคนนั้นจะดูแลพ่อไหมครับ” ผมถาม รู้สึกอยากร้องไห้ แม่เองก็ตาแดงๆ แม่คงยังรักพ่ออยู่
“ก็หวังว่าจะดูแล แม่อยากให้ลูกหมั่นไปหาพ่อเขา กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นยารักษาที่ดีที่สุด”
“แม่ไม่โกรธพ่อแล้วใช่ไหม”
“แม่หายโกรธนานแล้วละ แต่มันก็ไม่เหมือนเดิมหรอก ได้แต่ปลง แม่ก็พยายามดูแลตัวเองให้ดี แม่อยากอยู่กับกลอนนานๆ อยากเห็นกลอนประสบความสำเร็จในชีวิต”
“กลอนไม่ยอมให้แม่หนีหายไปไหนหรอก” ผมลงไปนั่งกับพื้นแล้วซบหน้ากับตักของแม่ รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก น้ำตามันก็ไหลมาเอง ผมยอมเสียทุกอย่างที่มีในชีวิตเพื่อแลกกับการที่มีแม่อยู่กับผม
“กลอนน่าจะเรียนหมออย่างที่พ่ออยากให้เรียน” ผมบอกกับแม่
“ชีวิตคนเรามีพบก็มีจาก ทำทุกวันดีแล้วก็ไม่มีอะไรน่าเสียใจนะกลอน แม่ภูมิใจในตัวกลอนนะ ไม่ได้เป็นหมอ แม่ก็ภูมิใจ”
“กลอนรักแม่จัง” ผมจับมือแม่มาหอมหลายที แม่ก็ลูบศีรษะของผม
“ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ไปทำบุญกันอีกวัน” แม่บอก ผมรีบคำก่อนจะลุกมาหอมแก้มแม่
..ผมอาจจะไม่มีความฝันที่ชัดเจนเหมือนกับพัดโบก ผมรู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ชอบมันถูกหรือเปล่า มันจะพาผมไปพบความสำเร็จไหม แต่อย่างที่แม่บอก ถ้าทำวันนี้ให้ดีก็คงไม่มีอะไรน่าเสียใจ เรื่องของพี่ฉลามก็เหมือนกัน โชคดีที่เราสองคนตัดสินใจแบบนั้น แม้เราทั้งคู่จะต้องเสียน้ำตา แต่มันคงคุ้มค่าในอนาคตแน่นอน..
(มีต่อข้างล่างค่ะ)
V
V