วายที่6 มัดจำ ห้องนอนที่เริ่มร้อนระอุกับแสงแดดทะลุผ่านม่านเข้ามาอย่างแข็งขัน อบสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่ซุกอยู่บนเตียงท่ามกลางกองผ้าห่มและตุ๊กตาจนเริ่มสุก ต่อให้อยากจะนอนสักแค่ไหน สุดท้ายต้องพ่ายแพ้ให้กับความร้อน โผล่หัวจากกองผ้า ขยี้ตางัวเงีย อ้าปากหาว
“รู้งี้เปิดแอร์ดีกว่า”
เสียงเล็กบ่นงึมงำ ปกติผมเป็นพวกเปิดแอร์นอน แต่เมื่อคืนฝนตกอากาศเย็น เลยเปิดพัดลม พอเช้ามาถึงได้กลายเป็นแมวอบแบบนี้ ฮือ
ดวงตาเหม่อมองไปทางนาฬิกา สิบเอ็ดโมงกว่า... สรุปเมื่อคืนผมไม่ได้โทรหาพี่ และไม่ได้ออนเอ็มคุยด้วย หนีเข้าไปเล่นเกมทำใจแล้วยาวยันตีสาม รู้สึกอยากร้องไห้กับความงี่เง่าตัวเอง ได้แต่ปลอบใจว่า วันนี้ค่อยคุยแล้วกัน ถือว่าให้เวลาตัวเองทำใจหนึ่งคืน
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันลงมาชั้นล่าง ได้กลิ่นหอมๆของกับข้าว แม่ผมคงกำลังทำข้าวเที่ยงอยู่ มีไข่ตุ๋นของโปรดด้วย ผมเดินเข้าห้องครัวไปกอดคนที่ยืนทำอาหารด้วยความเคยชิน เอาหน้าถูกๆออกอ้อนเหมือนทุกที
ทำไมวันนี้แม่ผมตัวสูงใหญ่ มีกลิ่นหอมออกเย็นๆแบบผู้ชายอย่างนี้ด้วยเหรอ ผมเงยหน้ามองพลันชะงัก แม่ผมเปลี่ยนไป!
“ตื่นเต็มตารึยังเรา ถ้าตื่นแล้ว ปล่อยพี่ก่อน แบบนี้ทำอาหารไม่ถนัดนะ”
“พี่! มาได้ไง” ผมสะดุ้งโหยง ถอยห่างไปเกาะอยู่ตรงขอบประตูโผล่มาแค่ครึ่งหน้า นึกถึงโจทโจทก็มา แบบตัวเป็นๆยืนหล่อใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่ในครัวบ้านตัวเอง
“ขับรถมา” ตอบหน้าตายสุดๆ ผมเม้มปาก ยังไม่พร้อมเผชิญหน้าตอนนี้อะ อย่างน้อยๆถ้าคุยในเอ็มหรือโทรศัพท์ยังพูดง่ายกว่าอีก
“น้องปอนด์ตื่นแล้วก็อย่ามายืนเกะกะสิ” เสียงผู้หญิงคนสวยดังมาจากทางด้านหลัง มือนุ่มจับคอเสื้อลูกชายลากหลบออกจากประตูห้องครัว ผมถูกกันออกห่างโดยสมบูรณ์ ปกติผมคงจะเข้าไปป่วนเรียกร้องความสนใจแล้ว พอตอนนี้ อยากอยู่ห่างๆมากกว่า อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าจะคุยกันเคลีย
ระหว่างกินข้าวเที่ยง ผมต้องคอยหลบตาคมและพยายามละเลียดกินสิ่งที่พี่เขาตักมาให้เหมือนจะเอาใจ เชอะ ตามใจแบบนี้ไม่ใจอ่อนง่ายๆหรอกนะ แค่ไม่อยากให้กับข้าวที่แม่ทำเสียเปล่า เลยต้องทานเท่านั้นเอง
“จริงสิ น้องปอนด์ น้าพาคลอดน้องแล้วนะ น้าทิตเพิ่งจะโทรมาบอกแม่เมื่อเช้า”
ผมตาโต บ้านผมเป็นคนเหนือครับ มีเหตุบางอย่างแม่ผมเลยมาอยู่ที่กรุงเทพ ผมเกิดและเติบโตที่นี้ก็จริง แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องสำคัญ หรือวันหยุดยาวผมจะโดนแม่ลากขึ้นเหนือเป็นประจำ น้าทิตเป็นน้องชายแท้ๆของแม่ ส่วนน้าพาเป็นภรรยาของน้าทิต บ้านนั่นเขามีลูกแล้วหนึ่งคนอายุน้อยกว่าผม คนนี้คนที่สอง ครั้งก่อนผมไปยังแค่ท้องอ่อนๆอยู่เลย ตอนนี้คลอดแล้วเหรอเนี่ย ดีจัง
“ผู้หญิงหรือผู้ชายฮะ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น
“น้องเป็นผู้ชาย แม่ว่าจะขึ้นเหนือไปรับขวัญหลานคนใหม่สักหน่อย ปอนด์คงไม่ไปด้วยสินะ อืมมม เอาไงดี ทิ้งไว้บ้านคนเดียวก็เป็นห่วง”
แม่ผมครุ่นคิด ผมเป็นพวกไม่ชอบเดินทางไกลๆ แต่ถ้าเพื่อหนังสือวายที่อยากได้แล้วล่ะก็ ต่อให้เดินทางพันลี้ผมก็ยอม!
แขกประจำบ้านที่นั่งเงียบอยู่นานสบโอกาสเหมาะ มองสองแม่ลูกก่อนจะยิ้มพูดเสียงนุ่ม ไม่คิดเลยว่าอะไรหลายๆอย่างมันจะประจวบเหมาะกันขนาดนี้ สวรรค์ช่างเป็นใจ
“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมดูแลน้องให้เอง”
ผมกับแม่หันไปมองพี่ชายเป็นตาเดียวด้วยสีหน้าแตกต่าง แม่ตาบ่นว่าทำไมคิดไม่ถึง ส่วนผมอ้าปากค้างไปแล้ว เฮ้ย! หนักกว่าเดิมอีก ตอนแรกยังมีแม่บังหน้า พอมาตอนนี้เหลือแค่สองคนกับอีกหนึ่งตัวเรอะ เจ้ามอมมันจะช่วยอะไรผมได้ วันๆเอาแต่เล่น กิน แล้วก็นอน(เหมือนใครฟะ)
“ไม่ได้นะแม่ ถ้าผมไปอยู่กับพี่เขาแล้วใครจะดูเจ้ามอมล่ะ ถ้าจะให้พี่ไปๆมาๆก็ไม่ได้ด้วย พี่เขาทำงานหนักจะตาย ผมไม่เป็นไรหรอก อยู่คนเดียวได้” ตอนนี้อะไรงัดมาอ้างได้ ต้องเอามาใช้ก่อน
“อยู่คนเดียวได้ที่ไหน ทำอาหารก็ไม่เป็น แถมยังซุ่มซ่ามอีกต่างหาก ประเดี๋ยวจะอดตายทั้งคนทั้งหมา ไม่เอา แม่ไม่ยอมให้อยู่คนเดียว” พอแม่ยื่นคำขาด ผมหัวหด เวลาแม่ผมเอาจริงขึ้นมาจะอะไรก็ขัดไม่ได้ทั้งนั้น
“เอาแบบนี้ดีกว่า เฟย์ แม่ฝากน้องสักสองสามวันนะลูก เดี๋ยวเรื่องเจ้ามอม แม่ฝากเพื่อนบ้านเขาช่วยดูให้”
“ได้ครับไม่มีปัญหา คุณแม่ขึ้นเหนืออย่างสบายใจได้เลย ผมจะดูแลน้องให้เอง”
“ขอบคุณนะเฟย์ ไว้แม่จะซื้อของมาฝาก รู้มั้ยอาหารเหนืออร่อยมากเลยนะ” ทั้งสองคนตกลงกันไปเรียบร้อยไม่ถามผมความเห็นของผมที่นั่งหัวโด่อยู่เลยสักนิด ผมจ้วงไข่ตุ๋นเข้าปากอย่างเคืองๆ พอทานข้าวหมด ก็โดนไล่ให้ไปเก็บเสื้อผ้า ผมอิดออดเต็มกำลัง จนโดนเสียงเร่งจากแม่ด้านล่าง หยิบอะไรใส่กระเป๋าบ้างไม่รู้ เอาเถอะ มีกางเกงในกับเสื้อผ้าสักชุดสองชุดก็พอแล้วสำหรับผม ไปค้างแค่สองสามวัน ไม่ได้ไปอยู่เป็นเดือนสักหน่อย
“เสร็จรึยังน้องปอนด์ พี่เขารอนานแล้วนะ”
“คร้าบๆ เสร็จแล้วคร้าบ”
ผมสะพายเป้วิ่งทั่กๆลงไปชั้นล่าง แม่คว้าผมไปกอดหอมซ้ายหอมขวา พร้อมส่งเงินให้พี่ชายเก็บเอาไว้ เฮ้เดี๋ยว มันต้องให้ผมไม่ใช่เหรอ ผมคงแสดงออกทางสีหน้ามากไปหน่อย แม่เลยเขม้นใส่
“ฝากไว้กับพี่เขาน่ะถูกแล้ว ขืนให้น้องปอนด์เก็บ แม่ว่าเงินหมดตั้งแต่วันแรก”
“โธ่แม่อะ”
“ไม่ต้องงอแงเลย ไม่ยอมไปกับแม่เองช่วยไม่ได้”
และแล้ว ผมก็โดนจับยัดใส่รถพี่ชายมุ่งหน้ากลับคอนโดสุดหรู ตลอดทางผมแทบไม่ได้คุยอะไรกับพี่เขาเลย ถามคำตอบคำจนถึงห้อง ทั้งที่ปกติผมจะเป็นฝ่ายชวนคุย จ้อไม่เลิกแท้ๆ
ห้องของผมคือห้องนอนแขก พี่เฟย์บอกให้ผมเอาเสื้อผ้าเข้าไปเก็บข้างใน หลังจากพี่เขาชวนคุยแล้วผมไม่ค่อยคุยด้วย กลายเป็นพี่ชายเงียบตามผม บรรยากาศชวนอึดอัด ไม่รู้ว่ากลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ผมวางเป้ ยังไม่คิดเก็บแล้วทิ้งตัวนอนคว่ำอยู่บนเตียง
อยากคุย อยากกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ผมเริ่มไม่ถูก เพราะผมเป็นพวกหน้าบางขี้อาย จะให้ไปถามโต้งๆว่า พี่นอกใจคุยกับเด็กคนอื่นนอกจากผมเหรอ หรือจะให้ถาม ผมเป็นอะไรสำหรับพี่กัน... ว๊ากกกก จะบ้าตาย มันก็เห็นอยู่ไม่ใช่รึไง ก็แค่น้องชายคนหนึ่ง
ทำไมพอคิดแบบนี้แล้วรู้สึกเศร้าขึ้นมาล่ะ ผมซุกหน้ากับหมอนน้ำตาซึม ไม่อยากได้แค่พี่ชายแล้วงะ งื้อออ
“ปอนด์”
เสียงเรียกตรงประตูทำให้ผมสะดุ้ง พร้อมๆกับข้างเตียงที่ยุบลงตามน้ำหนักของคนที่มานั่ง ผมซุกหน้ากับหมอน ไม่อยากให้พี่ชายเห็นสีหน้าของผมตอนนี้จริงๆ
“เฮ้อ โกรธพี่เรื่องอะไร บอกพี่หน่อยได้มั้ย”
“...” ผมเงียบ ไม่อยากพูด ถ้าพูดไปตอนนี้เสียงผมต้องสั่นมากแน่ๆ กลิ่นอายจากเจ้าของห้องหายไป พี่เขาออกจากห้องแล้ว ทั้งที่ควรสบายใจไม่ต้องกดดันกับคำถาม กลับเป็นผมร้องไห้เงียบๆกับหมอน จู่ๆ ตัวผมลอยหวืดจากเตียง ถูกจับให้นั่งอยู่บนตักหน้า พี่ชายกลับมาอีกรอบพร้อมกับโน๊ตบุ้คในมือ แขนข้างหนึ่งกอดรั้งเอวผมไว้ไม่ให้หนี แล้วเปิดโน๊ตบุ้คต่อหน้า
มือเล็กกำหมอนที่กอดอยู่แน่น ทันทีที่เครื่องเปิดเสร็จ เสียงแจ้งเตือนเอ็มดังขึ้นพร้อมหน้าต่างหลายข้อความหลายอันโผล่ขึ้นมา ตัวผมเกร็งคิดว่าพี่ชายน่าจะรู้สึกได้ นิ้วยาวเห็นข้อนิ้วชัดเจนดูแข็งแรงสมชายเลื่อนลูกศรไปที่รายการเพื่อน พวกบรรดาชื่อแปลกๆเหมือนวัยรุ่นชอบใช้กัน ถูกไล่บล็อกและลบทิ้งทีละอัน ไม่มีการเข้าไปคุยบอกเจ้าของเอ็มเลยแม้แต่น้อย
“พี่ทำอะไรน่ะ!?”
ผมตาโตรีบจับมือพี่ชายไว้ แต่มือนั่นยังบล็อกและลบรายชื่อต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือเพียงแค่ชื่อเมล์ภาษาต่างประเทศ กับเมล์ของโฟมและของผม...
“พี่ลบไปแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” ถึงผมจะไม่ค่อยชอบใจคนพวกนั้น แต่พอมองมุมกลับ ถ้าผมเป็นคนโดนแบบนี้บ้าง โดยไม่รู้สาเหตุคงจะเสียใจน่าดู
“ไม่เป็นไร พี่บอกพวกเขาหมดแล้วว่าวันนี้พี่จะลบทุกคนออก เหลือไว้แค่เพื่อน ครอบครัว กับคนสำคัญ”
เหมือนโดนคำสุดท้ายโจมตีอย่างหนัก หัวใจผมเต้นรัวจนลืมไปแล้วว่าตอนนี้อยู่บนตักใคร ทั้งลุ้นทั้งดีใจในเวลาเดียวกัน
โน๊ตบุ้คถูกวางทิ้ง พี่เฟย์รวบกอดผมทั้งตัว เกยคางบนหัวผม แผ่นหลังแนบไปกับแผ่นอกกว้างอบอุ่น ผมรู้สึกจังหวะการเต้นของหัวใจพี่ชายเร็วไม่ต่างกับผม
“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ พี่เข้าใจเราว่ายังสับสน รอให้ปอนด์โตกว่านี้ก่อน พวกเราค่อยคุยกันอีกที แต่พี่อยากให้เรารู้ไว้ สำหรับพี่แล้วปอนด์คือคนพิเศษ...” น้ำเสียงนุ่มนวลฉายความจริงจังจนผมใจสั่น ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดเงียบๆ
“ห้องนี้พี่ไม่เคยให้ใครเข้ามานอกจากโฟม พี่เคยไม่ดูแลใครมากเท่านี้มาก่อน หายโกรธพี่นะคนดี ยิ้มให้พี่ คุยกับพี่ อย่าเงียบหรือทำหน้าเศร้าแบบนี้เลย”
ผู้ชายตัวโตๆ พูดเหมือนจะอ้อนเด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่า แถมยังหอมแก้มเป็นการปิดท้าย คล้ายจะได้ยินเสียงบรึ้มมจากที่ไหนสักแห่ง ลูกแมวตัวนิดในอ้อมแขนหมาป่าใบหน้าแดงก่ำถึงหู ก้มหน้าซุกหมอนที่ติดมือสุดชีวิต เฟย์อยากจะขำใจจะขาด ทั้งน่ารัก น่าเอ็นดูและน่า... อะแฮ่ม ต้องรอจนกว่าจะเข้ามหาลัย ท่องไว้เฟย์...
“ว่าไงครับ อภัยให้พี่ได้รึเปล่า”
พี่ชายกระซิบถาม ร่างเล็กบนตักพยักหน้ารับรัวๆ แต่ดูยังไม่พอใจคนบางคนสักเท่าไหร่ ถึงย้ำเข้าไปอีก
“พูดให้พี่ได้ยินเสียงด้วยสิ จะได้รู้ว่าให้อภัยแล้วจริงๆ”
คนโดนรังแกไม่รู้ตัว โดนเสียงหงอยหลอกล่อ รีบพูดออกจนลืมคิด
“ให้อภัยแล้วจริงๆฮะ ไม่โกรธ ไม่หึง อุ๊บ” ยกมือตะคลุบปากตัวเองที่ดูท่าจะไม่ทัน คุณพี่ชายหัวเราะในลำคอ แต่ใบหน้ายิ้มแย้มดีใจแบบที่ใครก็ไม่เคยเห็น น่าเสียดายที่เด็กน้อยหันหลังให้อยู่ เลยอดไปตามระเบียบ ก่อนที่เฟย์จะเชยคางเล็กแล้วก้มลงไปแตะริมฝีปากดังจุ๊บแล้วผละออก
คนโดนจู่โจมครั้งแรกแทบจะแดงสุกไปทั้งตัว ยกมือปิดปาก ถอยกรูดจนเกือบตกเตียง อ้ำๆอึ้งๆ หัวใจแทบหลุดออกมาจากอก สัมผัสเมื่อกี้ยังเด่นชัด ผลเลยกลายเป็นการโวยวาย
“พี่ทำอะไรเนี่ย! ผมเป็นเจ้าบ่าวไม่ได้แล้ว”
“อุ๊บ...ฮ่าๆๆ”
เสียงพี่ชายหัวเราะลั่นมันจี๊ดในใจผมเหลือเกิน พอจบเรื่องเศร้าความโล่งใจก็เข้ามาพร้อมความเขิน และความสุขที่มีมากจนล้น ผมนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว ขนาดเวลาผ่านไปจนเข้ามื้อเย็น พี่ชายทำอาหารอยู่ในครัว ผมยังมานั่งยิ้มอยู่หน้าทีวี
ทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม ไม่มีอะไรมากขึ้นหรือน้อยลง แต่ผมเองก็ชอบที่มันเป็นแบบนี้นะ ปล่อยมันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย ผมกับพี่เฟย์ตกลงกันไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม เราจะคงสถานะที่เป็นอยู่เพื่อให้โอกาสทั้งสองฝ่าย
กินข้าวด้วยกัน ผมช่วยเก็บจาน มานั่งดูดีที หรือต่างคนต่างงมนิยายการ์ตูนวายของตัวเองแทน กระทั่งถึงเวลาเข้านอน ผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดกระโดดขึ้นเตียงนุ่มๆ กลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความฟิน แล้วหยุดกึก เมื่อนึกบางอย่างออก
“เป็นอะไรปอนด์?”
คุณพี่ช่างสังเกตเหลือเกิน แค่ผมหยุดกลิ้งผงกหัวขึ้นมาทำหน้าตื่นก็ถามแล้ว ผมลุกขึ้นนั่งหันไปมองพี่ชายที่อ่านหนังสือบนโซฟา ผมเปิดประตูห้องนอนทิ้งไว้เพราะยังไม่ถึงเวลานอน เลยมองเห็นกันระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่น
“ผมลืมเอาตุ๊กตามาอะ คืนนี้ไม่มีกอดจะนอนหลับมั้ยเนี่ย”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง ทำท่าครุ่นคิดพลางมองเวลา แล้วปิดหนังสือเดินเข้าห้องตัวเอง ผมมองตามไปอย่างงงๆ เข้าใจว่าคงจะไปหยิบหมอนข้าง ไม่ก็ตุ๊กตาห้องตัวเองมาให้ผมกอดล่ะมั้ง เลยนอนอ่านหนังสือนิยายที่อ่านค้างไว้
ผ่านไปสักพัก พี่ชายออกจากห้องนอนตัวเองในสภาพอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อย จัดการปิดไฟในห้องทั้งหมดจนเหลือแค่ห้องผม อุ้มหมอนมาด้วยใบหนึ่ง
“จะนอนแล้วเหรอพี่”
“อืม”
พี่เฟย์ตอบพลางปิดประตูปิดไฟในห้อง ขึ้นเตียงมานอนกับผมเฉย ไอหมอนนั่นเอามาเพื่อการนี้เองสินะ!
“เฮ้ยพี่ ไหงไม่นอนห้องตัวเอง มาแย่งเตียงผมทำไม”
มือหนาดึงหนังสือออกจากมือผม คั่นแล้วไปวางบนโต๊ะโคมไฟ ก่อนจะคว้าแขนผอมๆไปกอดเจ้าของห้อง ผมเบ้ปากในความมืด คุณพี่ครับ คิดว่าตัวเองเป็นตุ๊กตาหมาป่าตัวโตหรือไงกัน ทำเหมือนว่าไม่มีหมอนข้างให้กอดตัวเองอย่างงั้นแหละ ผมไม่ยอมดึงแขนกลับ
“ผมจะกอดตุ๊กตาน่ารักนุ่มนิ่มพี่ ไม่ใช่ยักษ์” พี่ชายหัวเราะรวบผมเข้าไปกอด อีกระ วันนี้สองรอบแล้วนะ ผสานร่างกันเลยมั้ยครับพี่
“เรื่องมากจริงเจ้าลูกแมว นอนไปได้แล้ว” มือหนาลูบหัวลูบหาง(?) หึ ถึงลูบไปไม่ได้ตุ๊กตามากอดผมก็นอนไม่หลับหรอกนะ
ผ่านไปสิบนาที...
ฟี้~
คนอยากได้ตุ๊กตาหลับสนิทคาอก มืออุ่นเปลี่ยนจากลูบมากอดเอาไว้หลวมๆ ริมฝีปากแนบจูบหน้าผากมน สูดกลิ่นหอมของเด็ก ทั้งที่ใช้สบู่เหมือนกันแถมเป็นกลิ่นผู้ใหญ่ พอเด็กน้อยใช้ กลิ่นกลับหอมขึ้นซะอย่างนั้น พรุ่งนี้เอาสบู่กลิ่นวานิลลาที่ซื้อมาผิดให้ลูกแมวลองดีกว่า เฟย์คิดอย่างอารมณ์ดี
พอวันรุ่งขึ้น เจ้าตัวทำอย่างที่คิด ระหว่างรอเด็กน้อยตื่น เฟย์รื้อตู้เอาเจ้าสบู่ออกมาวางไว้ในห้องน้ำ ก่อนไปจัดเตรียมอาหารเช้า แล้วงัดเจ้าแมวขี้เซาออกจากเตียง เด็กน้อยงอแงกอดผ้าห่มอย่างเหนียวแน่น ขนาดเฟย์ยกผ้าห่มขึ้น ยังติดปอนด์มาด้วย เหมือนลูกแมวเกาะผ้าไม่มีผิด
“ปอนด์ตื่นได้แล้ว” มือหนาเขย่าผ้าห่มไปมา เจ้าเด็กหัวยุ่งปรือตามอง อ้าปากหาวใส่ ไหลลงไปนอนซุกหมอนต่อ ลำบากเจ้าของห้องต้องดึงหมอนหนี
“อือออ ไม่เอา ยังไม่อยากตื่นอ่า ขออีกห้านาที” ไม่พูดเปล่ายังมากอดเอาหัวซุกๆกับพุงแข็งๆที่มีแต่กล้ามของพี่ชาย ไถไปไถมาจนหัวยุ่งหนักกว่าเก่า สุดท้ายเลยต้องอุ้มเหมือนลูกลิง เปิดน้ำลูบหน้าให้ตื่น
“เอ้า ตื่น อาบน้ำ นี่สบู่ อย่าให้รู้ว่าหลับในห้องน้ำนะ จะงดไม่ให้กินขนมเลย” แมวตะกละสะดุ้ง ส่ายหัวขวับๆ พยายามถ่างตาให้โต
“ตื่นแล้ว ไม่ง่วง ไม่หลับแน่นอน จะรีบอาบน้ำด้วย พี่เตรียมขนมไว้รอเลยนะ”
มือดันหลังพี่เฟย์ออกไปจากห้องน้ำแล้วปิดประตูถอดเสื้อผ้าวิ่งเข้าใต้ฝักบัว เปิดอาบอุ่นรดตัว หยิบขวดสบู่ทีพี่ชายยื่นให้มาใช้ถูตัว พลางเอียงคอสงสัย จมูกเล็กดมฟุดฟิด กลิ่นไม่เหมือนกับของที่ใช้เมื่อวานแฮะ ช่างเถอะ รีบๆอาบให้เสร็จดีกว่า
ผมอาบน้ำรวดเร็วใส่เสื้อผ้าออกมาหาพี่ชาย บนโต๊ะหน้าทีวีมีแซนวิชทูน่าพร้อมนมหนึ่งแก้ว ส่วนพี่เฟย์มีแค่กาแฟดำอย่างเดียว ไม่ต้องรอให้ใครเชิญ ผมหยิบแซนวิชมาหม่ำอย่างเอร็ดอร่อย คนตัวสูงนั่งมองยิ้มๆช่วยเช็ดปากให้เป็นระยะ พอผมทานเสร็จดื่มนมเรียบร้อย แก้วน้ำเปล่าถูกยื่นมาตรงหน้าให้ดื่มล้างปาก ผมรับมาแล้วลูบพุงตัวเอง
“อิ่มจังตังอยู่ครบ”
“เป็นเด็กขี้งกตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะเรา” นิ้วยาวเกลี่ยแก้มนุ่มเล่น ตั้งแต่เมื่อวานที่ได้คุยกัน ดูเหมือนจะสนิทใจกันมากขึ้น ผมงับนิ้วมือที่มาก่อกวนอยู่ตรงแก้ม พี่ชายไม่สะท้านแถมยังวางแก้วกาแฟ ดึงผมเข้าไปหา
ฟอดดด
เสียงดังฟังชัด พร้อมสัมผัส จมูกโด่งฟัดแก้ม กลิ่นหอมหวานวานิลาชวนให้รู้สึกดี และน่ากินในเวลาเดียวกันจนเริ่มอดใจไม่ไหว จับลูกแมวรวบข้อมือทั้งสองข้างแล้วฟัดพุงนุ่มๆ เสียงหัวเราะด้วยความจั๊กจี้ดังขึ้น ก่อนเฟย์จะปล่อย ถึงเขาจะเล่นแต่รู้ลิมิตตัวเองดี
“พี่ไปทำขนมให้ลูกค้าก่อน นอนกลิ้งเล่นไปนะ”
“ฮึ่ย ฝากไว้ก่อน วันหลังจะเอาคืน” ผมโวยวายไล่หลังพี่เฟย์ ปล้นเอาโน๊ตบุ้คมาเปิดดูอะไรเล่น พออันไหนน่าสนใจก็อุ้มโน๊ตบุ้ควิ่งเอาไปให้เจ้าของห้องดูด้วย จนเปิดไปเจอคลิปลูกแมวตัวกลมขนฟูน่ารัก กำลังนอนหงายเล่นกับเจ้าของที่อัดคลิปไว้ด้วยเสียงหัวเราะ มีเสียงมี้ๆของเจ้าขนปุยแจมเป็นระยะ ผมคิดอะไรสนุกๆออก
พี่ชายเป็นพวกชอบของน่ารักและเป็นทาสแมวตัวพ่อ สังเกตจากตุ๊กตากลมหน้าแบ๊วในห้องกับรูปภาพแมวเต็มคอม ขนาดวอลเปเปอร์ยังเป็นรูปแมว ผมเลยรอจังหวะที่พี่เฟย์เดินเอาขนมมาให้ นอนกลิ้งบนพรมนุ่มเรียกอีกฝ่าย
“พี่ฮะๆ หันมานี่หน่อย”
“หือ?” เจ้าของห้องหันไปมองตามเสียงเรียก ผมตั้งท่าทันที นอนหงายพุง ทำมือเหมือนแมว มองพี่ชายตาแป๋ว และจัดสเตปสุดท้าย
“เหมี้ยว~”
แคร้ง.. ช้อนในมือชายร่างสูงร่วงไปบนจานทั้งที่คิดจะจัดวางดีๆ พลางยืนตัวแข็งทื่อมองภาพตรงหน้า คนแกล้งเห็นอีกฝ่ายนิ่งนึกว่าไม่ได้ผล จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเซ็งๆ ลุกขึ้นเดินทำปากบ่นงุบงิบมาหยิบจากเค้กบนโต๊ะ แต่มือยังไม่ทันถึงจาน ก็โดนคนที่ยืนเป็นท่อนไม้จนถึงเมื่อครู่คว้าไหล่ทั้งสองข้าง
“ปอนด์ จำไว้นะ อย่าทำแบบนี้อีก” ผมกระพริบตาปริบๆ มองอย่างไม่เข้าใจ
“มันไม่น่าดูขนาดนั้นเชียว” ผมชักหมดความมั่นใจ มันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ มิน่า พี่เฟย์ถึงไม่สะท้านสะเทือนอะไรเลย
“ป่าว... มันได้ผลมากเกินไปต่างหาก” รอยยิ้มอบอุ่นรอบนี้มันทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นแบบแปลกๆ แล้วผมก็ถูกคว้าไปฟัดแบบเต็มอัตรา ยิ่งพอโวยวายเหมือนลูกแมวขู่พองขนใส่ ยิ่งโดนกอดรัดฟัดหนักกว่าเก่า กว่าจะหลุดจากเงื้อมมือพี่ชายได้แทบยับไปทั้งตัว จำจนวันตาย จะไม่เล่นอะไรที่มันกระตุ้นต่อมทาสแมวอีกเด็ดขาด
คนได้เติมพลังยิ้มแก้มปริทั้งที่โดนเล็บข่วนแก้มไปหนึ่งที พวกทาสแมวเป็นพวกมาโซอย่างที่เคยได้ยินมาจริงๆด้วย ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นคงไม่ต้องบรรยายมาก แค่เช้าวันต่อมาก่อนพี่เฟย์จะไปทำงาน เจ้าตัวมาบอกปนกวนผมตอนนอนเลยโดนฟ้อนเล็บใส่ไปหนึ่งที แต่หลังจากพี่กลับมา ผมดูแลอย่างดีเลยนะ เพราะแอบรู้สึกผิดหน่อยๆ
ผมอยู่กับพี่เฟย์อย่างสงบสุขจนถึงกำหนดวันส่งตัวแมวคืนสู่อกแม่แบบครบสามสิบสอง ซึ่งในระหว่างนั้นโดนอะไรไปบ้างขอไม่พูดถึง แต่ที่แน่ๆคือ ไม่มีอะไรเกินเลยชัวร์ มากสุดแค่หอมแก้มสกินชิพไปวันๆ ผมหวังว่าความสุขแบบนี้ยืดยาวต่อไปตราบนานเท่านาน
ณ บริษัทแห่งหนึ่ง
เลขาคนสวยแม่ลูกสองกำลังนั่งทวนเอกสารที่ต้องส่งมอบให้เจ้านายช่วงเช้า วันนี้เจ้านายของเธอเข้างานช้ากว่าทุกที จึงพอมีเวลาทบทวนมากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ยังมาก่อนเวลางานอยู่ดี
“สวัสดีครับคุณยุพิณ”
“สวัสดีค่ะหัวหน้า ว๊าย! หน้าไปโดนอะไรมาคะ?” ต่อให้เป็นเลขาคนเก่งเก็บอาการได้แค่ไหนยังต้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าอันแสนหล่อเหลาของหัวหน้าที่เคารพรัก ผู้มีความเข้มงวดสูงและเนียบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีรอยเล็บประดับอยู่ที่หน้าสองรอย รอยหนึ่งจาง อีกรอยเหมือนเพิ่งโดนมาใหม่ๆ แถมยังยิ้มทั้งที่ปกติมีเพียงใบหน้าเคร่งขรึมเท่านั้น ตายๆ มิน่าล่ะ พนักงานในแผนกถึงเงียบกริบยิ่งกว่าป่าช้า
เธอมองไปยังเพื่อนร่วมแผนก แต่ละคนตัวแข็งกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ บางคนถือปากกาค้าง บางคนหนักของร่วงออกจากมือยังไม่รู้ตัว หัวหน้าเธอช่างทำบาปจริงๆ ยุพิณเศร้าใจยิ่งนัก
“ผมไปดันกวนลูกแมวตอนหลับเลยถูกข่วนมาน่ะครับ คุณยุพิณช่วยเอาเอกสารทั้งหมดกับสรุปการประชุมที่ผ่านมาส่งที่ห้องผมด้วยนะครับ”
“ค่ะหัวหน้า” เธอรับคำอย่างสงบ มองตามหลังเจ้านายพลางถอนหายใจ หยิบเอกสารที่ต้องใช้แนบอก แล้วหันไปเรียกสติเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
“มัวเหม่อระวังถูกตัดเงินเดือนนะ”
ทุกคนได้สติกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง ว่าแต่... หัวหน้าเลี้ยงแมวตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า
ตกเย็น ถึงเวลาเลิกงานทุกคนแปลกใจเป็นรอบที่สองของวัน หัวหน้าผู้บ้างานและขยันทำล่วงเวลามาคราวนี้กลับบ้านไวกว่าปกติ ตรงเวลาเลิกงานเป๊ะๆ จนทุกคนหันไปมองนาฬิกาพรึบเป็นตาเดียว เป็นแบบนี้อยู่ประมาณสองวัน ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ เหลือไว้เพียงเรื่องเล่าแปลกๆเกี่ยวกับหัวหน้าเท่านั้น
[จบภาคต้น]