34th Night
…When people die...
“เบื่อฉิบหายเลยโว้ย!”
คนที่เกลียดงานนั่งโต๊ะเข้ากระดูกคำรามออกมาโดยไม่สนใจว่าเลขาสาวของเพื่อนรักจะยังอยู่ในห้องด้วยหรือไม่ ธิชาที่กลับมาทำงานได้สักพักยิ้มแหยแล้ววางเอกสารชุดใหม่ให้คนที่ต้องรับภาระทำงานแทนเจ้านายของเธอตรวจสอบมันอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจะนึกเกรงใบหน้าบูดบึ้งนั้นมากแค่ไหนก็เถอะ
“วันนี้ตรวจแค่ชุดนี้เสร็จก็พอแล้วล่ะค่ะคุณนิล เดี๋ยวธิดูต่อให้เอง”
“อย่าปลอบใจเลยธิชา แค่ชุดเดียวที่ว่ามันกินเวลาไปตั้งเท่าไหร่แล้ว”
หญิงสาวหัวเราะแหะๆเพราะปฏิเสธไม่ได้ นิลถอนหายใจแม้ว่าจะได้พูดแซะเลขาสาวไปก็ไม่ทำให้งานของเขาน้อยลงเลยสักนิด
“ไม่รู้ว่าไอ้กาลทนทำงานพวกนี้ไปได้ยังไง นรกชัดๆ”
“จะทำยังไงได้ล่ะคะ บริษัทของตัวเองจะปล่อยให้เจ๊งก็กระไรอยู่”
“งั้นถ้าผมปล่อยให้มันพังคามือคงแทนไม่เป็นไรใช่ไหม”
เลขาสาวทำหน้ามุ่ยก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งให้นิลทำงานต่อไปเพียงลำพังพลางบ่นไปตามเรื่อง ชายหนุ่มมองงานที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ปล่อยมันพังพินาศไปได้อย่างที่ปากว่า ทั้งที่ปกติกิจการของทางบ้านนิลเองยังไม่เคยคิดจะแตะแต่กลับต้องมาทำงานของคนอื่นงกๆจนต้องพักงานเขียนของตัวเองไว้ช่วงหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ถ้าพ่อแม่บังเกิดเกล้ามาเห็นเขาในสภาพนี้ คงได้เกิดอารมณ์น้อยใจจนต้องหาอะไรขว้างใส่กันบ้างแหละ
“ขยันจังเลยนะครับ”
เสียงทักที่คุ้นเคยดีดังขึ้นทำให้นิลที่เริ่มปวดที่หัวตายอมเงยหน้าจากตัวเลขที่เรียงกันเป็นตับ ร่างกายสูงใหญ่ภายใต้ชุดเครื่องแบบเต็มยศก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่รอคำอนุญาตใดๆพร้อมกับขนมเบื้องเจ้าประจำของนิลกล่องใหญ่และรอยยิ้มพรายที่เจ้าตัวหวังว่าจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของอีกคนลงได้
“อย่าประชดได้ไหม หน้าตากูเหมือนกำลังเต็มใจทำอยู่รึไง”
“ไม่เลยครับ แต่ที่นิลไม่ยอมทิ้งงานของกาลไปทั้งที่เกลียดมันต่างหากที่ทำให้ผมมองว่านิลขยัน”
ฤทธิชาติว่ายิ้มๆก่อนจะจูบลงบนกะหม่อมบางของนิลอย่างเอ็นดูใบหน้าบูดบึ้งนั้น เขาถือวิสาสะนั่งลงตรงกันข้ามกับนักเขียนหนุ่มแล้วยื่นขนมให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ ซึ่งนิลก็ไม่อิดออด คนที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันเปิดกล่องของฝากแล้วจัดการกินมันทันที
“ถูกใจรึเปล่าครับ”
“อือ ว่าแต่ได้นอนบ้างรึยัง”
“ครับ ตอนเช้าหลังจากเข้าแถวเสร็จก็แอบไปงีบที่คอนโดมา”
นิลพยักหน้าอย่างพอใจในคำตอบนั้น เพราะเมื่อวานฤทธิชาติไม่ได้เดินทางมารับเขาอย่างเคยเพราะหน้าที่การงานที่หนักขึ้นหลายเท่าตัวในวันลอยกระทงที่ผู้คนมากมายต่างก็ออกมาทำตามประเพณีพร้อมกับความวุ่นวายที่มีมากขึ้นไม่แพ้กัน
นายตำรวจหนุ่มมองดวงตาคมกริบของนิลด้วยความพึงใจ ริมฝีปากที่ไม่ได้บางอย่างผู้หญิงกำลังเล็มเลียครีมสีขาวโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากริยาแบบนั้นเร้าความสนใจของอีกคนได้ดีแค่ไหน ขายาวออกแรงดันทั้งตัวเองและเก้าอี้ออกไปด้านข้างจนมันเคลื่อนมาอยู่ใกล้นิลในระยะที่ใกล้พอสมควร ชายในเครื่องแบบกางแขนกว้างแทนการร้องบอกให้นักเขียนหนุ่มย้ายร่างของตนมาประทับบนตักของเขา
นิลเลิ่กคิ้วขึ้นทั้งที่เข้าใจดีว่าอีกคนต้องการอะไรก่อนจะจุดยิ้มมุมปากเมื่อคิดอะไรดีๆได้ ชายหนุ่มถอดรองเท้าโดยไม่ใช้มือช่วยแล้วยกมันพาดไว้บนตักของอีกคนแทนที่จะเป็นตัวเขาอย่างที่ฤทธิชาติหวัง นิลหัวเราะออกมาอย่างพอใจแต่ก็ได้ไม่นานนัก เมื่อคนที่ถูกแกล้งอยู่เมื่อครู่กลับใช้กำลังที่มีเหลือเฟือออกแรงยกคนที่ตัวเล็กกว่าให้มานั่งกองอยู่บนตักของตนทั้งตัว
“เฮ้ย! ไม่เอาเดี๋ยวร่วง”
“ช่วยไม่ได้ นิลอย่างซนเองนิ”
“ใครกันแน่วะ ปล่อยนะเว้ย!”
“ขอปฏิเสธครับ อย่าที่เขาว่าขึ้นหลังเสือแล้วคงจะให้ลงไม่ได้ง่ายๆ”
นักเขียนหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอาในความปลิ้นปล้อนนั้นพลางหยิบเอาขนมเบื้องชิ้นสุดท้ายยัดใส่ปากที่กำลังยื่นมาทางตนอย่างรู้ทันโดยที่ฤทธิชาติก็ยอมรับมันไปอย่างไม่อิดออดแล้วใช้จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมที่ซอกคอของอีกฝ่ายแทนริมฝีปาก
“ว่าแต่ทำงานแทนกาลมาทั้งอาทิตย์เจออะไรผิดสังเกตบ้างรึยัง”
นายตำรวจหนุ่มถามขึ้นทันทีที่เคี้ยวของหวานในปากหมด นิลที่ยอมสงบลงเอนกายทับร่างของฤทธิชาติที่รองรับไว้อย่างเต็มใจ
“หลายอย่างเลย คิดอยู่แล้วว่าไอ้กาลคงไม่ทันได้สังเกต”
“นั่นสินะ...”
“ถึงการชอบทำงานคนเดียวของมันจะได้งานที่ได้ดั่งใจกับให้ผลตอบรับที่ดีตามระดับความสามารถ แต่ช่องโหว่ที่ร้ายกาจนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะถมให้เต็มได้ง่ายๆ”
“เพราะใกล้เกินไปเลยไม่ทันได้สังเกต...แล้วจะเอายังไงต่อครับ”
“รอดูไปก่อนแล้วกัน ยังไงก็อยากจับให้ได้คาหนังคาเขา...เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น ไอ้กาลคงไม่ยอมเชื่อ”
ฤทธิชาติเห็นด้วยกับความคิดนั้น ทั้งคู่ช่วยกันดูงานของรัตติกาลอยู่พักใหญ่ก่อนจะพากันเดินทางไปรับรพีที่โรงเรียนเหมือนอย่างเคย นายตำรวจหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับต่อสายถึงลูกน้องที่เขาคอยให้เฝ้าสังเกตการณ์อยู่รอบๆโรงเรียนอนุบาลว่าตนเองกำลังจะเดินทางไป ในขณะที่นิลก็เอาแต่สบถเพราะรถที่ติดเป็นทางยาว
“ชิ แม่งจะติดไปไหนวะ”
“อาจจะมีอุบัติเหตุ”
“ไม่เข้าใจจริงๆว่ามันจะชะลอดูกันทำไม ญาติตัวเองรึก็ไม่ใช่”
“ฮ่าๆ อาจจะเพราะว่ากลัวเป็นแบบนั้นล่ะมั้งครับ แต่จริงๆก็คงแค่อยากรู้อยากเห็นตามประสา”
“ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้นไงถึงได้น่าโมโห”
“ใจเย็นๆนะ ให้ผมขับแทนไหม”
“ยังไหวอยู่ แค่ไม่อยากให้พีรอนาน”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมบอกให้ลูกน้องเฝ้าต่อจนกว่าเราจะไปถึง”
“หึ ใครได้มาเป็นลูกน้องมึงนี่ซวยชะมัดเลยนะ”
ฤทธิชาติยิ้มออกมาเมื่อได้ฟัง เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากนิลรู้ว่าทุกวันนี้ลูกน้องในการปกครองของเขาบ่นอุบไม่ผิดจากที่ว่าเจ้าตัวจะหัวเราะดังขนาดไหน
“ว่าแต่คิดยังไงถึงได้มาเป็นตำรวจ”
นิลถามขึ้นเมื่อบทสนทนาเมื่อครู่ถูกตัดบทไปด้วยความเงียบ
“หื้ม? อยากรู้หรอครับ?”
“ถ้าไม่อยากรู้จะถามทำไม”
นักเขียนหนุ่มทำหน้าระอาใส่คนที่มีความสามารถในการกวนประสาทเขาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเวลาที่เขาแสนเบื่อหน่ายแบบนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านิลชอบเวลาที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือนกัน
“ฮ่าๆ ก็ปกตินิลไม่เคยสนใจเรื่องของผมเลยนิ ทุกทีเห็นสนใจแต่กาล”
“ตกลงจะหึงมันให้ได้เลยว่างั้น”
นิลเหยียดปากกับข้อหาที่อีกฝ่ายชอบตั้งให้เขาเสียเหลือเกินตั้งแต่การพบกันช่วงแรกๆจนแม้ว่าทั้งคู่กำลังดูใจกันอยู่ก็ยังไม่เว้น ก็รู้อยู่หรอกว่าเขากับรัตติกาลสนิทกันมากและทั้งคู่ก็มีรสนิยมทางเพศคล้ายๆกันแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องสนใจกันเอง กลับกันด้วยซ้ำยิ่งสนิทกับรัตติกาลมากเท่าไหร่นิลก็กลับคิดว่าระหว่างเขากับร่างโปร่งไม่มีวันจะเกินเลยมากกว่านี้เพราะความที่รู้จักกันดีเกินไป
“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ นิลไม่ได้ชอบผมอย่างที่ผมชอบนิลนิ คงไม่เข้าใจหรอก”
“ต่อให้ชอบก็ไม่เข้าใจ กูกับไอ้กาลเนี่ยนะ คิดไปได้ยังไง ถามจริงเถอะอะไรทำให้มึงคิดว่ากูชอบมันวะ”
“คงเพราะ...ข้อตกลงของเรามั้งครับ”
“...”
“นิลจะไม่คบใครถ้าเกิดคุณกาลยังไม่มีความสุข...ถ้านิลลองมาเป็นผมบ้าง อาจจะคิดมากไม่ต่างกันก็ได้”
นิลชำเลืองมองอีกฝ่ายที่พูดเรื่องแย่ๆออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่เคยเปลี่ยนทั้งที่เพิ่งทำให้เขารู้สึกจุกไปทั้งอก
“ก็บอกแล้วว่ามีเหตุผล”
“ครับ และนิลก็บอกเหตุผลนั้นกับผมไม่ได้”
“...มึงไม่เข้าใจ”
“ไม่ปฏิเสธครับ ก็ผมไม่เข้าใจจริงๆนิ”
ฤทธิชาติพูดแล้วขำออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบต้นขาของอีกฝ่ายเบาๆ นิลไม่ได้หลบเลี่ยงสัมผัสนั้นกลับกันเขาใช้มืออีกข้างตรึงมือของนายตำรวจหนุ่มไว้ที่หน้าขาของตัวเองก่อนจะเหยียบคันเร่งทันทีที่รถข้างหน้าเคลื่อนตัวไป
“อยากหยุดแล้วหรอ”
“ผมไม่ใช่คนที่ชอบหันหลังกลับกลางคัน ถ้าไม่ใช่เพราะอยากไปจนสุดทางผมคงไม่ยอมรับเงื่อนไขของนิลในวันนั้น”
“ดื้อด้านอย่างที่คิดเลย”
“ฮ่าๆ แล้วก็นะ นิลบอกว่าจะไม่คบใครถ้าเกิดคุณกาลยังไม่มีความสุข ไม่ได้บอกว่านิลจะไม่มีวันรักใครสักหน่อย สักวันอาจจะเป็นนิลเองก็ได้ที่ต้องการผมจนทนไม่ไหว ถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นได้คงสนุกน่าดูเลยนะครับ”
“หึ เข้าใจพูดนะ”
นิลยกมืออีกฝ่ายขึ้นแล้วใช้ปลายลิ้นเลียเบาๆบนฝามือที่หยาบกร้าน ฤทธิชาติมองการกระทำของคนข้างๆด้วยความพอใจแม้สุดท้ายมันจะเป็นเพียงการแกล้งกันของนิลก็ตาม
“ถ้าคิดว่าทำแบบนั้นได้ก็ลองดู”
“ผมมันดื้อด้านอย่างที่นิลว่านั่นแหละ เตรียมใจรอไว้ได้เลยครับ”
ฤทธิชาติยิ้มพรายแล้วยกมือของนิลขึ้นแล้วจูบลงบนเนื้อเย็นนั้นกลับก่อนจะขบเบาๆบนนิ้วยาวเหมือนลำเทียนในขณะที่กำลังสบตากับเจ้าของมันอย่างไม่ลดละ
“หึ ว่าแต่จะตอบได้รึยังว่าทำไมถึงมาเป็นตำรวจ”
“ยังสงสัยอยู่อีกหรอครับ ผมดูไม่เหมาะมากเลยหรอ”
“ไม่เลยสักนิด บอกว่าเป็นคนร้ายยังจะเข้าท่ามากกว่า”
นักเขียนหนุ่มพูดไปตามที่ใจคิด มีอยู่หลายครั้งที่เขามักจะได้รับรู้เบื้องหลังการทำงานที่แสนจะแหกกฎของผู้หมวดคนนี้ จนนิลนึกแปลกใจว่าทำไมฤทธิชาติถึงยังสามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้ทั้งที่บางการกระทำมันร้ายแรงจนเขานึกไม่ถึง หนำซ้ำผู้ใหญ่ในกรมหลายคนดูเหมือนจะพอใจกับผลงานของชายคนนี้อยู่มากโข
แต่ชอบก็ส่วนชอบ ตามระเบียบปฏิบัตินายตำรวจชั้นผู้ใหญ่พวกนั้นคงไม่สามารถนำพาให้นายตำรวจคนนี้ออกไปยืนแถวหน้าได้อย่างที่หวัง แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่เดือดร้อนอะไร ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่เคยสนใจเลยซะมากกว่า
“ฮ่าๆ อาจจะเป็นเพราะจริงๆแล้วผมเกลียดตำรวจมากก็ได้นะ”
นิลเลิ่กคิดขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบของฤทธิชาติ นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้เขาก่อนจะหันไปมองถนนที่แออัดแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“พ่อผมก็เป็นตำรวจน่ะ เลยได้รับรู้เรื่องราวที่พูดออกมาไม่ได้ตั้งแต่เด็กๆ ผมไม่เคยชอบมัน...จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชอบ”
“แต่ดันมาเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเนี่ยนะ”
“ครับ ก็เพราะว่าไม่ชอบนั่นแหละถึงได้มาเป็น”
“อยากเปลี่ยนแปลงมันหรอ?”
ฤทธิชาติส่ายหน้าออกมาแทนคำตอบ ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งจนกระทั่งนิลสามารถฝ่าการจราจรที่คิดขัดออกมายังทางลัดที่สามารถไปถึงโรงเรียนของรพีได้
“ผมอยากทำลายมัน พูดแบบนี้คงจะตรงตัวมากกว่า”
“...อ่าฮะ ถ้าทำลายได้แล้วจะทำยังไงต่อ”
“นั่นสินะ...เรื่องหลังจากนั้นยังไม่เคยคิดไว้ซะด้วยสิ”
นิลหลุดขำออกมาจนทำให้อีกคนพลอยหัวเราะไปด้วย ภายในห้องโดยสารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหนักอึ้งของบทสนทนากลับมีเสียงหัวเราะของคนสองคนดังก้องอยู่ในนั้น พาหนะคันใหญ่จอดลงตรงลานใกล้ๆกับสนามเด็กเล่นที่ยังคงมีนักเรียนจับกลุ่มกันอยู่ไม่น้อย นิลพยายามมองหารพี ในขณะที่ฤทธิชาติกำลังโทรหาลูกน้องที่ให้คอยจับตาดูเด็กชายไว้
“สวัสดีค่ะคุณนิล มารับน้องพีหรอคะ”
ครูประจำชั้นของร่างป้อมทักขึ้นในระหว่างที่นิลกำลังเดินเข้าไปด้านใน นักเขียนหนุ่มฉีกยิ้มให้ครูสาอย่างเป็นกันเองก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยท่าทางเป็นมิตรเช่นเคย
“ครับ แล้วนี่พีไปเล่นอยู่ไหน ตอนเดินมาผมไม่ยักกะเห็น”
“เอ๋? เมื่อกี้ครูยังเห็นพีเล่นกับน้องข้าวอยู่เลยนะคะ”
“ว่าไงนะครับ”
สีหน้าของนิลเปลี่ยนไปทันทีที่หญิงสาวพูดจบ เขารีบเดินกลับไปทางเดิมพลางมองหาคนที่มาด้วยกันแต่กลับกลายเป็นว่าฤทธิชาติไม่ได้รออยู่ที่รถอย่างเคย นิลรีบต่อสายหานายตำรวจหนุ่มด้วยความร้อนใจ เขาพยายามเดินหารอบๆนั้นไปด้วยในขณะที่เสียงรอสายดังขึ้นแล้วดับลงอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง จนกระทั่งชายหนุ่มยอมรับมันในครั้งที่ห้าพร้อมกับเสียงขึงขังของฤทธิชาติที่ดังลอดมา
“นิล รีบมาตรงสระน้ำด่วนเลย”
“เดี๋ยวชาติ รพีหายไป”
“น้องพีอยู่กับผมไม่เป็นอะไร แต่คุณรีบมาทางนี้ก่อนเถอะ”
นิลรับปากก่อนจะวางสายพลางออกวิ่งไปด้วยความเร่งรีบ สระน้ำขนาดย่อมที่ส่องประกายรับกับแสงแดดปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มในเวลาไม่นาน นิลรีบรุดเข้าไปด้านในทันทีที่เห็นฤทธิชาติโบกมือให้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก และข้างๆกันนั้นมีร่างของผู้ชายคนที่เขาไม่เคยเห็นกำลังนอนหลับอยู่บนพื้นไม่ได้สติโดยที่รพีกำลังบีบมือของชายคนนั้นอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก
“พี!!”
“อานิล!”
เด็กชายรีบวิ่งมาหาคนที่มีศักดิ์เป็นอาก่อนจะกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของนิลที่ปิดสีหน้ากังวลใจไว้ไม่มิด เขาพยายามสำรวจร่างกายของรพีไปด้วยแต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆอย่างที่กังวล จะมีก็แต่ความหวาดกลัวเล็กๆที่แสดงออกมาเท่านั้นที่ทำให้นิลรู้สึกว่าเด็กชายคงเพิ่งผ่านเหตุการณ์บางอย่างมาแน่ๆ
“พีหายไปไหนมา แล้วนี่เป็นอะไรรึเปล่า”
“พีไม่เป็นไรฮะ แต่พี่คนนั้น...”
รพีชี้ไปยังร่างของคนแปลกหน้าที่นอนไม่ได้สติอยู่ริมสระน้ำจนกระทั่งเขาเดินไปพบเข้าหลังจากเดินไปส่งข้าวขึ้นรถกลับบ้าน เด็กชายที่ไม่รู้เรื่องอะไรมากนักพยายามปลุกร่างไร้สตินั้นแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรกลับมาจนรพีเริ่มใจเสีย เขาไม่กล้าทิ้งชายคนนี้ไว้แล้วไปตามให้คนอื่นมาช่วยรพีจึงได้แต่นั่งอยู่แบบนั้นขณะที่พยายามปลุกคนแปลกหน้าต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งอาชาติที่ร่างป้อมคุ้นเคยดีจะเดินผ่านมา
“นี่มัน...”
“ลูกน้องผมเอง สลบไปแต่ไม่มีรอยแผล”
นายตำรวจหนุ่มอธิบายสั้นๆก่อนจะต่อสายไปยังโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ไม่ไกล นิลไม่อยากให้ลูกชายของรัตติกาลรับรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแค่ไหนจึงพารพีมายืนอยู่อีกมุมหนึ่งให้ห่างไกลจากร่างที่หลับใหลนั่นแต่ก็ยังไม่อาจห้ามให้เด็กชายเลิกสนใจชายคนนั้นได้
“พี่เขาเป็นอะไรฮะอานิล ทำไมพีปลุกแล้วเขาไม่ตื่น”
“...เขาคงไม่สบายน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ อาชาติโทรตามหมอแล้ว ว่าแต่พีไปไหนมา ทำไมไม่อยู่ใกล้ครูไว้อย่างที่อาบอก”
“พีไปส่งข้าวขึ้นรถมาฮะ แค่แปปเดียวเอง...พีขอโทษ”
เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆในตอนท้ายเมื่อรู้ตัวว่าขัดคำสั่งของผู้ใหญ่ที่เคารพรัก นิลถอยหายใจออกมาก่อนจะลูบหัวกลมๆของหลานแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนเพราะไม่อยากให้เด็กชายกังวลมากไปกว่านี้
“ครับ อายกโทษให้ แต่อย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้าพีเป็นอะไรไปพ่อเราคงเล่นงานอาตายแน่ๆ”
“ฮะ...พีสัญญาว่าจะไม่ทำอีก”
“ดีมากครับ...พี ถืออะไรอยู่น่ะ?”
นิลเพิ่งสังเกตว่าเด็กชายกำลังกำบางอย่างไว้ในมือ รพีเอียงคออย่างสงสัยในท่าทางของผู้ใหญ่ ร่างป้อมยื่นมือที่มีสิ่งของบางอย่างอยู่ออกมาด้านหน้าก่อนจะแบมันออกมาจนเผยให้เห็นวัตถุกลมมนที่อยู่ด้านใน นิลเบิกตากว้าง เขาไม่อาจฟันธงได้ว่ามันคืออะไรแต่ความรู้สึกบางอย่างกำลังร้องบอกเขาว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
“ชาติ!! มานี่หน่อย!!!”
คนที่กำลังดูอาการลูกน้องตัวเองรีบวิ่งมาทันทีที่นิลร้องเรียก ชายหนุ่มชี้ไปยังของบนมือของรพีด้วยความร้อนใจทำให้ฤทธิชาติหันไปมองในทันที เขาหยิบมันออกมาแล้วสังเกตลักษณะภายนอกอยู่สักพักก่อนตัดสินใจยกมันขึ้นมาดมกลิ่นใกล้ๆ ใบหน้าหล่อเหลาของผู้หมวดหนุ่มเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกแล้วรีบเดินแยกไปทันทีพร้อมกับร้องบอกให้อีกคนพาเด็กเดินออกไปให้ห่าง
ไม่นานนักบริเวณรอบสระน้ำก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เด็กชายพยายามชะเง้อมองออกไปนอกคันรถเมื่อมีคนที่แต่งตัวแปลกๆคล้ายมนุษย์อวกาศเดินผ่านรถของนิลเข้าไปทางด้านใน
“อานิลฮะ ทำไมมีคนแต่งชุดแปลกๆเต็มไปหมดเลยล่ะ”
เด็กชายหันมาถามด้วยความไม่รู้แต่กลับทำให้คนที่รู้ดีไม่กล้าที่จะอธิบายออกไป นิลอ่านข้อความที่ฤทธิชาติส่งมารายงานความคืบหน้าเป็นระยะด้วยความร้อนใจกับสถานการณ์ที่เลวร้ายถึงขีดสุด จากที่เคยคิดว่าพวกนั้นเป็นเพียงผู้ไม่หวังดีธรรมดาแต่กลับต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อมันกล้าหยิบยื่นวัตถุอันตรายระดับนั้นให้กับเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างรพีทั้งๆที่มีคนคุ้มกันอยู่หนาแน่น
นิลคอยกอดรพีเอาไว้จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด นายตำรวจหนุ่มเปิดประตูรถด้านคนขับก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนขนาดที่ว่านิลยังรู้สึกได้ เขามองอีกฝ่ายด้วยความห่วงใยระคนกับไม่สบายใจ จนฤทธิชาติต้องโน้มศีรษะของนักเขียนหนุ่มเข้ามาหอมเบาๆแทนคำปลอบโยน
“กลับบ้านกันนะ”
ฤทธิชาติขับรถไปตามทางโดยไม่พูดอะไร ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่รพีที่เคยร่าเริงก็ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดรอบๆตัว นายตำรวจหนุ่มพาทั้งคู่มายังคอนโดของตนแทนที่จะเป็นบ้านพัฒนเดชาอย่างเคย โดยที่นิลก็ไม่ค้านอะไรเพราะเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลพอถึงตัดสินใจทำแบบนี้
“น้องพีกินนี่รองท้องก่อนนะครับ อีกสักพักอาหารที่อาสั่งไว้ถึงจะมาส่ง”
“ฮะ ขอบคุณฮะ”
ร่างป้อมยกมือขอบคุณก่อนจะรับขนมปังก้อนใหญ่มาถือไว้ รพีค่อยๆกัดกินมันช้าๆโดยมีผู้ใหญ่ทั้งสองคนมองดูอยู่เงียบๆ ฤทธิชาติปล่อยให้เด็กชายกินจนหมดก่อนจะเริ่มป้อนคำถามพร้อมกับยื่นน้ำส้มแก้วใหญ่ให้
“ของเล่นอันนั้นของพีหรอครับ”
ผู้หมวดหนุ่มจงใจบิดเบือนคำถามเพื่อให้รพีสบายใจที่จะตอบ และมันคงดีกว่าถ้าเด็กชายจะไม่เข้ามารับรู้ว่าตัวเองและพ่อกำลังตกอยู่ในอันตราย
“ของเล่น? ลูกบอลอันนั้นหรอฮะ?”
“ครับ พอดีอาอยากซื้อไปให้หลานอาเล่นบ้าง รพีได้มาจากไหนหรอ”
“พีไม่ได้ซื้อฮะ มีคนให้พีมา”
“ใครครับ น้องพีเคยรู้จักเขามาก่อนรึเปล่า”
เด็กชายพยักหน้าที่มีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่ก่อนจะเอ่ยชื่อๆหนึ่งออกมา ผู้ใหญ่สองคนในห้องเบิกตาขึ้นโดยเฉพาะนิลที่เปลี่ยนเป็นกัดฟันกรอดเมื่อถึงใบหน้าของคนคนนั้น เขาลุกขึ้นพร้อมกับถือโทรศัพท์ไว้ในมือ ชายหนุ่มกดเบอร์โทรศัพท์ที่เพิ่งจำได้ขึ้นใจแล้วรอสายอยู่ไม่นานก่อนที่เสียงของเพื่อนรักจะดังขึ้น
“ไอ้กาล รีบกลับมาที่นี่เดี๋ยวนี้เลย...เรารู้ตัวคนร้ายแล้ว”
(มีต่อเม้นต์ล่างคับ)